Super User
กพช. ครั้งที่ 66 - วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม 2540
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2540 (ครั้งที่ 66)
วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2540 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.การของดเงินเพิ่มร้อยละ 3 กรณีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังระยะเวลาที่กำหนด
4.มาตรการและแนวทางการใช้เชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ
5.แนวทางการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
6.มาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
7.การลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวสำหรับโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP)
8.การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ปรึกษางานเหมืองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
9.ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
10.ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3
11.เรื่องแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (ฉบับที่ 2) ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
13.การขายหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด
14.การแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีตของการไฟฟ้านครหลวง
15.การขายหุ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
รองนายกรัฐมนตรี นายกร ทัพพะรังสี รองประธานกรรมการ เป็นประธานการประชุม
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการและเลขานุการ เป็นเลขานุการที่ประชุม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน ถึง กลางเดือนตุลาคม 2540 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดิบเดือนกันยายนอยู่ในสภาวะทรงตัว โดยราคาเฉลี่ยอยู่ในระดับ 18.0 - 19.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าจะมีน้ำมันดิบจากอิรัคเข้าสู่ตลาด ก็ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง เนื่องจากประเทศนอกกลุ่มโอเปคมีปริมาณการผลิตลดลง ในขณะที่ความต้องการน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม ราคาน้ำมันดิบแข็งตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 19.2 - 21.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจาก ความต้องการน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคและจากกระแสข่าวเหตุการณ์ตึง เครียดในตะวันออกกลาง และเมื่อเหตุการณ์ต่างๆ ได้เริ่มคลี่คลายในช่วงกลางเดือนตุลาคม ทำให้ราคาอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 18.8 - 21.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันเบนซินและก๊าดอยู่ในระดับทรงตัว ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาได้แข็งตัวขึ้นมาประมาณ 0.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากการเริ่มสำรองน้ำมันเพื่อเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว ส่วนในครึ่งแรกของเดือนตุลาคม การจัดหาน้ำมันในภูมิภาคเอเซีย ได้รับผลกระทบจากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นในอินโดนีเซีย และการเลื่อนการเปิดดำเนินการของโรงกลั่นใหม่ในฟิลิปปินส์ ในขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันอยู่ในระดับสูง ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษ เบนซินธรรมดา ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 25.7, 24.1, 25.5, 23.8 และ 18.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ได้มีการปรับราคาขายปลีก น้ำมันเบนซินและดีเซลรวม 14 ครั้ง เนื่องจากค่าเงินบาทอ่อนตัวลง การปรับภาษีมูลค่าเพิ่มและราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น รวมทั้งสิ้น 2.49 และ 2.41 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยครั้งที่ 12 และ 13 เป็นการปรับราคาขายปลีก เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้น 1 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และรัฐบาลได้ตัดสินใจลดภาษีสรรพสามิตลงมาสู่ระดับเดิม เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2540 ทำให้ราคาขายปลีกลดลงมาสู่ระดับเดิม และครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2540 ได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 0.25 บาท/ลิตร ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาท ได้อ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 39 บาท/เหรียญสหรัฐฯ โดยราคาน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว เบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว และดีเซลหมุนเร็วอยู่ในระดับ 11.92, 11.53 และ 10.71 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ในช่วงเดือนกันยายน ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับ 0.94 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าปกติ เนื่องจากราคาขายปลีกเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าค่าเงินบาทที่ลดลง และกลับเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.03 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม ส่วนค่าการกลั่นในเดือนกันยายนได้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.09 บาท/ลิตร และในครึ่งแรกของเดือนตุลาคม ลงมาอยู่ในระดับ 0.94 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การควบคุมผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและสารละลาย คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตปรับปรุงการกำหนดคุณสมบัติของสารละลายประเภทไฮโดร คาร์บอนที่ต้องเสียภาษีใหม่ให้ครอบคลุมถึงสารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนทุก ชนิดที่มีคุณสมบัตินำไปใช้ปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิงและมีราคาไม่สูงนัก โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2540 ซึ่งกรมสรรพสามิตได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขประกาศกรมสรรพสามิต เรื่องกำหนดคุณสมบัติสารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอน และระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยการอนุญาตให้ใช้สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอน ที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายในเดือนตุลาคม 2540
2. การติดตั้งมาตรวัดน้ำมันแบบอัตโนมัติ กรมสรรพสามิตกำลังดำเนินการจัดทำรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะ (Specification) ของระบบวัดน้ำมันอัตโนมัติสำหรับคลังน้ำมันแต่ละแห่ง และระบบเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลจากจังหวัดต่างๆ มายังห้องปฏิบัติการฯ โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการประกวดราคาได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2540 และเริ่มติดตั้งประมาณเดือนเมษายน 2541 โดยติดตั้งที่คลังเป้าหมาย จำนวน 4 คลังก่อน สำหรับคลัง น้ำมันส่วนที่เหลือทั้งหมดกรมสรรพสามิตคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จ ทันตามระยะเวลาที่กำหนด คือประมาณเดือนกรกฎาคม 2542
3. การเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ส่งออกไปนอกราชอาณาจักร กรมสรรพสามิตกำลังดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติสาร Marker ของบริษัทต่างๆ ที่เสนอมาเพิ่มเติมจำนวน 4 บริษัท คือ บริษัท John Hogg , Biocode, Eastman และ บริษัท Bahf เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า เมื่อนำมาใช้เติมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ ส่งออกแล้วจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศที่สุจริต โดยทำการตรวจสอบตัวอย่างน้ำมันนำเข้าจากประเทศต่างๆ ว่าได้มีการเติมสาร Marker ชนิดใดชนิดหนึ่งไปแล้วหรือไม่ เพื่อจะนำมาใช้ในการเติมใน น้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ส่งออกต่อไป
4. การแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 ให้กรมทะเบียนการค้าแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง มิให้นำประกาศกำหนด คุณภาพสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศ มาใช้บังคับกับน้ำมันที่นำมาเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน (คสน.) และน้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ โดยกรมทะเบียนการค้าได้รายงานว่าข้อกำหนดเรื่องคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงตาม ประกาศกระทรวงพาณิชย์ ใช้บังคับเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเพื่อจำหน่ายภายในประเทศเท่านั้น ส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาเก็บใน คสน. เพื่อรอการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศนั้น ไม่ต้องอยู่ในบังคับเรื่องข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงตามประกาศกระทรวง พาณิชย์แต่อย่างใด ซึ่งกรมทะเบียนการค้าได้แจ้งให้กรมศุลกากรทราบแล้ว
5. ผลการจับกุมน้ำมันดีเซลในช่วงระหว่างเดือนมกราคม - กันยายน 2540 สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบ หนีภาษีได้จำนวน 2,286,166 ลิตร ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 4.5 ล้านลิตร
6. ปริมาณจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนสิงหาคม 2540 มีปริมาณ 1,377.7 ล้านลิตร ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 150 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 9.8 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะมีปริมาณ 1,341.6 ล้านลิตร ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 62 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 4.4
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กรมสรรพสามิตดำเนินการปรับแผนการดำเนินการติดตั้งระบบควบคุม การรับ-จ่ายน้ำมัน ณ คลังชายฝั่ง 47 แห่ง (จำนวน 58 คลัง) รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบข้อมูลจากจังหวัดต่างๆ มายังห้องปฏิบัติการใหม่ของกรมสรรพสามิตให้แล้วเสร็จเร็วขึ้น และให้นำเสนอในที่ประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 3 การของดเงินเพิ่มร้อยละ 3 กรณีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังระยะเวลาที่กำหนด
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมสรรพสามิต ได้ขอให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน พิจารณาเรื่องการของดจ่ายเงินส่วนเพิ่มร้อยละ 3 กรณีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังระยะเวลาที่กำหนดของผู้ค้า น้ำมัน ซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดในการคำนวณอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เมื่อมีการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2539 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มขึ้น โดยคำนวณอัตราใหม่เฉพาะปริมาณสารเติมแต่งที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ได้คำนวณจากปริมาณน้ำมันทั้งหมด
2. การพิจารณาเรื่องดังกล่าวข้างต้นเป็นอำนาจของคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงานตาม คำสั่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้พิจารณาแล้วและมีมติเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2540 เห็นชอบให้งดเงินเพิ่มร้อยละ 3 กรณีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ภายหลังระยะเวลาที่กำหนดตามคำร้องขอของผู้ค้าน้ำมัน 3 ราย คือ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด, บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จำกัด, และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน 5,381,750.81 บาท; 3,134,524.74 บาท; และ 788,635.68 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,304,911.23 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 มาตรการและแนวทางการใช้เชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมควบคุมมลพิษได้ขอความร่วมมือให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จัดทำแนวทางในการลดมลภาวะของโรงไฟฟ้าเก่าทุกขนาด เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเสนอค่ามาตรฐานการระบายมลพิษของก๊าซซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (SO2) ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนในรูปของไนโตรเจนไดออกไซด์ (NOx as NO2) และฝุ่นละออง (TSP) ซึ่งกรมควบคุมมลพิษได้จัดทำขึ้น
2. สพช. ได้จัดให้มีการประชุมโดยเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมพิจารณา ซึ่งได้ข้อสรุป ดังนี้
2.1 มาตรการและแนวทางการใช้เชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ในช่วงปี 2540-2542 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ต้องใช้ น้ำมันเตาในโรงไฟฟ้าต่างๆ ในระดับหนึ่ง เพราะปริมาณก๊าซธรรมชาติของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ที่จำหน่ายให้ไม่เพียงพอและยังไม่มีการวางท่อส่งก๊าซเส้นใหม่ไปยังโรงไฟฟ้า
ระยะที่ 2 ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป เมื่อ ปตท. วางท่อส่งก๊าซแล้วเสร็จก็จะสามารถส่ง ก๊าซธรรมชาติให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ กฟผ. มีทางเลือกในการใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนน้ำมันเตา ดังนี้
(1) โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ การใช้น้ำมันเตาในช่วงปี 2543-2551 อยู่ในระดับ 190-317 ล้านลิตรต่อปี และจะเลิกผลิตไฟฟ้า (Retire) ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นไป ซึ่งในระหว่างที่ยังดำเนินการอยู่ต้องใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณ Asphaltene ต่ำ และปริมาณกำมะถันไม่เกิน 1% โดยให้ปตท. จัดหาให้แก่โรงไฟฟ้า พระนครเหนือ ตั้งแต่มกราคม 2541 เป็นต้นไป
(2) โรงไฟฟ้าพระนครใต้ มีการใช้น้ำมันเตาปีละ 2,000 ล้านลิตร โดยจะลดการใช้น้ำมันเตา ให้เหลือ 767 ล้านลิตรในปี 2543 และลดลงเหลือ 260 ล้านลิตร ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป โดยใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทน ในช่วงที่ยังไม่สามารถเพิ่มการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ ให้ ปตท. จัดส่งน้ำมันเตาประเภท 2 ที่มีปริมาณ Asphaltene ไม่เกิน 3% และปริมาณกำมะถันไม่เกิน 2% และน้ำมันเตา High Pour Point ซึ่งมีปริมาณกำมะถันไม่เกิน 0.5% ประมาณเดือนละ 40 ล้านลิตร ให้แก่โรงไฟฟ้าพระนครใต้
(3) โรงไฟฟ้าบางปะกง จะลดการใช้น้ำมันเตาลงจากปีละ 3,800 ล้านลิตร เหลือ 724 ล้านลิตรต่อปี ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นไป โดยจะมีการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เนื่องจาก ปตท. จะวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติแล้วเสร็จ
(4) โรงไฟฟ้ากระบี่ใหม่ จะใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถัน 2% อย่างเดียว เนื่องจากได้มีการติดตั้งระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์แล้ว
(5) โรงไฟฟ้าสระบุรี หน่วยผลิตไฟฟ้าที่เป็น Gas Turbine จะใช้ก๊าซธรรมชาติ ส่วนที่เป็น Thermal Unit จะใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถัน 2% ซึ่งได้มีการติดตั้งระบบกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์แล้ว ทั้งนี้จะต้องใช้ก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาตามสัญญาให้หมดก่อน
(6) โรงไฟฟ้าหนองจอกและไทรน้อย มีการเดินเครื่องโดยใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ววันละ 10-14 ชั่วโมง ทำให้ค่าก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนเกินมาตรฐาน และคาดว่า ปตท. จะสามารถส่งก๊าซธรรมชาติ ให้โรงไฟฟ้าหนองจอกในราวเดือนมกราคม 2542 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้
เพื่อให้การใช้น้ำมันเตาและการจัดหาก๊าซธรรมชาติให้แก่โรงไฟฟ้าของ กฟผ. สอดคล้องกับมาตรการและแผนการดำเนินการของโรงไฟฟ้าต่างๆ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการจัดหา น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถันต่ำให้แก่โรงไฟฟ้า รวมทั้งให้เร่งดำเนินการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติเพื่อจัดส่งก๊าซธรรมชาติ ให้แก่ กฟผ. และให้มีการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ กฟผ. เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดหาก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าดัง กล่าว
2.2 มาตรฐานการระบายมลพิษจากโรงไฟฟ้าเก่า กรมควบคุมมลพิษรับจะไปดำเนินการออกประกาศมาตรฐานการระบายก๊าซซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน และฝุ่นละอองที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเก่าทุกขนาดต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 แนวทางการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ฉบับ 97-01 (PDP 97-01) เพื่อใช้เป็นแผนลงทุนในการดำเนินงานของ กฟผ. โดยแผนดังกล่าวได้จัดทำเป็น 2 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 แผนหลักจัดทำภายใต้ค่าพยากรณ์ ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีฐาน โดยมีข้อสมมติฐานว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงแผนฯ 8 จะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และแนวทางที่ 2 กรณีศึกษาจัดทำภายใต้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีต่ำ โดยมีข้อสมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงแผนฯ 8 จะขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6.5 ต่อปี
2. ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2540 การใช้ไฟฟ้าเป็นไปตามค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีต่ำแต่หลังจากรัฐบาล ได้กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2540 เป็นต้นมา การใช้ไฟฟ้าได้เริ่มชะลอตัวลง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้กำหนดเป้าหมายเศรษฐกิจ มหภาคชุดใหม่ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ดังกล่าว
3. คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ได้ดำเนินการปรับค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเป็นชุดกรณีต่ำมาก เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายเศรษฐกิจดังกล่าว ปรากฏว่าความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีต่ำมาก จะทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ฉบับ 97-01 มีมากเกินความจำเป็น ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กฟผ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย จึงได้ประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. โดยเห็นควรให้มีการดำเนินการ ดังนี้
3.1 ควรชะลอโครงการต่างๆ ของ กฟผ. ยกเว้นโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และปรับแผนงาน ของโครงการในอนาคตให้เหมาะสม โดยการเลื่อนเวลาการดำเนินงานของโครงการต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในแผนหลัก PDP 97-01 ดังนี้
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี เครื่องที่ 3 จากปี 2544 เป็นปี 2547 และเครื่องที่ 4 จากปี 2545 เป็นปี 2548
- โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ เครื่องที่ 2 จากปี 2544 เป็นปี 2546
- สำหรับโครงการอื่นให้เลื่อนออกไปตามการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีต่ำมาก
3.2 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ลูกค้าตรงของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) บางรายยกเลิกโครงการหรือลดการใช้ไฟฟ้าลง ซึ่งมีผลทำให้โครงการ SPP บางโครงการไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยประเมินว่าการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP จะลดลงประมาณ 500 เมกะวัตต์
3.3 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายใหญ่ (IPP) ที่ได้รับคัดเลือกแล้ว 7 ราย ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามแผนการรับซื้อเดิม ซึ่งมีเพียงบางโครงการอาจเลื่อนเวลาออกไป 1-6 เดือน ส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ในรอบใหม่จะเลื่อนเวลาออกไปอีก 1 ปี
3.4 โครงการลิกไนต์หงสา และโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ยังอยู่ระหว่างการเจรจาสัญญารับซื้อไฟฟ้า จึงยังมีความไม่แน่นอนและอาจล่าช้าออกไป ซึ่งได้มีการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าเป็นทางเลือกไว้แล้วและหากโครงการ ดังกล่าวเป็นไปตามข้อตกลง คือ โครงการลิกไนต์หงสาดำเนินการในปี 2545 และโครงการ น้ำงึม 2, 3 ดำเนินการในปี 2546 จะทำให้มีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองสูงสุดในระดับร้อยละ 36.5 ในปี 2547 ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ และจะเกิดขึ้นเพียงปีเดียว ส่วนกรณีที่มีการชะลอออกไปกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง ก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับ 97-01
4. สพช. เห็นว่าการปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าข้างต้นมีความเหมาะสม และเห็นควรให้ กฟผ. นำไปจัดทำรายละเอียดของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ชุดใหม่ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 มาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องปัญหาเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมเอกชนในการผลิต ไฟฟ้าในรูปของผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) และได้มีมติให้คงนโยบายการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการขายให้ผู้ใช้โดยตรงโดยไม่ใช้สายไฟฟ้าของการไฟฟ้า และได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธานอนุกรรมการ และอนุกรรมการ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานตามนโยบายการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กบรรลุผลตาม เป้าหมายและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ได้ดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติดังกล่าวข้างต้น โดยได้มีการพิจารณาความเหมาะสมในการให้ SPP บางประเภทต้องปฏิบัติตามบางส่วนของ Grid Code การเปิดให้เอกชนใช้บริการสายป้อนของการไฟฟ้า การแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และ SPP เพื่อบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาทลอยตัว และได้เสนอมาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
2.1 การแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ระหว่าง กฟผ. กับ SPP ในขณะนี้สามารถหาข้อยุติได้เกือบ ทุกประเด็นแล้ว โดยประเด็นหลักที่ยังไม่มีข้อยุติเป็นประเด็นเกี่ยวกับการรับก๊าซธรรมชาติ จากการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) จึงเสนอให้ กฟผ. SPP และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) หาข้อยุติโดยเร็ว หากหาข้อยุติได้ เห็นควรให้ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขสัญญาไปได้เลย ในกรณีที่ไม่มีข้อยุติ ให้คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเป็นผู้ชี้ขาด
2.2 การแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ ระหว่าง ปตท. กับ SPP และการดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ยังคงมีประเด็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับ ปตท. คือประเด็นปัญหากรณีที่ ปตท. ไม่สามารถจัดหาก๊าซให้ SPP ได้ ซึ่งทำให้ SPP ไม่ได้รับค่าไฟฟ้าและยังต้องจ่ายค่าปรับให้ กฟผ. จึงเสนอให้มอบหมายให้ กฟผ. SPP ปตท. และ สพช. เร่งดำเนินการหาข้อยุติให้ได้โดยเร็ว ทั้งนี้ หากหาข้อยุติได้ เห็นควรให้ ปตท. และ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP หรือแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ไปได้เลย ในกรณีที่ไม่มีข้อยุติให้คณะอนุกรรมการพิจารณานโยบาย ส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเป็นผู้ชี้ขาด
2.3 การปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ได้มีข้อสรุปในการปรับอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
(1) ราคารับซื้อไฟฟ้า กำหนดให้ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Payment) บางส่วน ให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับค่าพลังงานไฟฟ้าที่ SPP ได้รับในแต่ละเดือน จะเป็นไปตามสูตรในปัจจุบัน
(2) ให้ SPP สามารถเจรจาขอปรับโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้า สูตรการปรับค่าพลังไฟฟ้า และการปรับค่าพลังงานไฟฟ้าจากโครงสร้างราคามาตรฐานได้ ทั้งนี้ มูลค่าปัจจุบันของค่าไฟฟ้าที่ผู้ผลิตรายเล็กจะได้รับจะต้องไม่เกินกว่า มูลค่าปัจจุบันของค่าไฟฟ้าตามประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กในงวด นั้นๆ และเพื่อให้การเจรจาโครงสร้างราคามีความรวดเร็ว เห็นควรให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันเจรจาโครงสร้างราคากับ SPP ในกรณีที่มีข้อยุติให้ กฟผ. และ SPP ดำเนินการแก้ไขสัญญาได้เลย ในกรณีที่ไม่มีข้อยุติให้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อหาข้อยุติ
(3) การกำหนดค่า Kp และ Kpp ในการคำนวณปริมาณพลังไฟฟ้าจริง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของระบบที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นดังนี้ Kp เท่ากับ 3.0/13.5 และ Kpp เท่ากับ 10.5/13.5
2.4 การแก้ไขเงื่อนไขการขอใช้ไฟฟ้าสำรองเนื่องจากปริมาณการขอใช้ไฟฟ้าสำรองของ SPP ยังไม่มีความชัดเจน เห็นควรให้แก้ไขข้อความ เพื่อให้ปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) และผู้ผลิตรายเล็กอื่นที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ดำเนิน การโดยเอกชนและไม่ได้จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้า (IPS) สามารถซื้อจากการไฟฟ้าได้ไม่เกินขนาดกำลังการผลิตของ IPS หรือกำลังการผลิตของ SPP ลบด้วยปริมาณพลังไฟฟ้าที่ SPP ขายให้ กฟผ. และเห็นควรให้ กฟภ. ยกเลิกข้อกำหนดขั้นตอนการขอใช้ไฟฟ้าสำรองที่ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการผลิต ไฟฟ้าร่วมกับพลังงานความร้อน (Cogeneration) จะต้องแสดงสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพ (Thermal Processes) ต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดเป็นรายเดือน นับตั้งแต่เดือนที่ผู้ใช้ไฟฟ้าทำหนังสือแจ้งการไฟฟ้าย้อนหลังไปจนครบ 12 เดือน เพื่อให้ SPP สามารถขอซื้อไฟฟ้าสำรองตั้งแต่วันเริ่มต้นผลิตไฟฟ้าได้
2.5 ขั้นตอนการขอสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้าล่าช้า เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการพิจารณาคำขอสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้า และรับไปพิจารณาลดขั้นตอนการขอสัมปทานกิจการไฟฟ้า สำหรับการแก้ไขในระยะยาวเห็นควรให้มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การขอใบอนุญาต เกี่ยวกับการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารวมอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน
2.6 ปัญหาการขอใบอนุญาตการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ใช้เวลานาน เห็นควรให้สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเร่งพิจารณาหาข้อยุติโดยเร็ว
2.7 ปัญหาระบบเชื่อมโยงกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ล่าช้า ให้ SPP ที่ประสบปัญหาการ เชื่อมโยง เข้าพบหารือกับผู้ว่าการ กฟภ. โดยตรง
2.8 การพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ เมื่อ กฟผ. ประกาศโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่แล้ว ให้ กฟผ. แจ้งให้ SPP ยืนยันความประสงค์จะดำเนินโครงการ หาก SPP รายใดไม่ประสงค์จะดำเนินโครงการต่อไป ให้แจ้ง กฟผ. ภายใน 1 เดือน โดยให้ กฟผ. คืนเงินค้ำประกันให้แก่ SPP ดังกล่าว และหาก SPP รายใดมีความประสงค์จะขอเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจ่ายไฟฟ้าให้ติดต่อกับ กฟผ. โดย กฟผ. และ สพช. จะพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเป็นรายๆ ไป ตามความเหมาะสม
2.9 การปฏิบัติตามบางส่วนของ grid code กฟผ. ได้จัดทำ SPP Grid Code และได้หารือร่วมกับ สพช. และ SPP โดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว ทั้งนี้หากหาข้อยุติได้ก็ให้ กฟผ. ประกาศใช้ได้เลย หากไม่มีข้อยุติให้ นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อหาข้อยุติ
2.10 การใช้บริการสายป้อนของการไฟฟ้า เห็นชอบข้อเสนออัตราและเงื่อนไขการใช้บริการสายป้อน โดยอัตราค่าใช้บริการสายป้อนซึ่งไม่รวมค่าไฟฟ้าสำรอง และไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มที่ระดับแรงดัน 69 KV ขึ้นไปเท่ากับ 57 บาท/กิโลวัตต์/เดือน และที่ระดับแรงดัน 22-23 KV เท่ากับ 81 บาท/กิโลวัตต์/เดือน และมอบหมายให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ยกร่างข้อตกลงการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และข้อตกลงการใช้บริการสายป้อนแล้วนำเสนอ สพช. ให้ความเห็นชอบก่อนการประกาศใช้
2.11 การรับซื้อพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติม เห็นชอบให้ SPP ที่มีความประสงค์จะขายไฟฟ้าให้ กฟผ. เกินกว่าปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาสามารถยื่นข้อเสนอต่อ กฟผ. โดย กฟผ. และ สพช. จะพิจารณาผ่อนผันให้ตามความเหมาะสมเป็นรายๆ ไป และในกรณีที่ระบบเชื่อมโยงและระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้าสามารถรับไฟฟ้า ในส่วนที่เกินดังกล่าวได้ ให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมจาก SPP ได้ โดยปริมาณพลังงานไฟฟ้าในส่วนที่เกินนั้น กฟผ. จะจ่ายเฉพาะค่าพลังงานไฟฟ้า ในอัตราเท่ากับค่าพลังงานไฟฟ้าตามสัญญาประเภท Firm
2.12 การผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP เห็นชอบให้มีการผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP ตามที่ระบุไว้ในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก โดยให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผัน ติดต่อกับ กฟผ. เป็นรายๆ ไป โดยคุณสมบัติของ SPP ที่จะได้รับการผ่อนผัน ได้แก่ คุณสมบัติการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration และผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ และครึ่งหนึ่งของพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจาก น้ำมันและ/หรือก๊าซธรรมชาติ เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันเริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอของคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ดังรายละเอียด ตามข้อ 2.1-2.12
เรื่องที่ 7 การลดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวสำหรับโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลได้มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วน ร่วมใน กิจการไฟฟ้าอันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและการให้บริการ รวมทั้งยังเป็นการลดภาระด้านการลงทุนของภาครัฐในระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer: IPP) รอบแรก จำนวน 3,800 เมกะวัตต์ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 และต่อมาได้ประกาศซื้อเพิ่มอีกประมาณ 10 % รวมกำลังผลิตที่ต้องการซื้อทั้งสิ้นประมาณ 4,200 เมกะวัตต์ และเมื่อถึงกำหนดวันยื่นข้อเสนอมีผู้ยื่นข้อเสนอ 32 ราย รวม 50 โครงการ ซึ่งประกอบด้วยข้อเสนอทั้งสิ้น 88 ทางเลือก รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 39,067 เมกะวัตต์ โดยใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ 37 ราย ถ่านหิน 12 ราย และออริมัลชั่น 1 ราย
2. การประเมินและคัดเลือกข้อเสนอจาก IPP ดังกล่าวข้างต้น ดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอจาก ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน โดยได้พิจารณาจากปัจจัยด้านราคา (Price Factor) 60% และจากปัจจัยด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากราคา (Non-Price Factors) 40%
3. ต่อมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 อนุมัติในหลักการให้มีการเพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในช่วงปี 2543 - 2546 จำนวน 1,600 เมกะวัตต์ โดยคัดเลือกจากโครงการที่ได้ยื่นข้อเสนอ ต่อ กฟผ. และตามประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP ในรอบแรก โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินและ คัดเลือกข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรับไปดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ได้ให้อำนาจ กฟผ. ที่จะพิจารณา เพิ่มลดปริมาณการซื้อขายกระแสไฟฟ้ากับเอกชนได้ในอัตราร้อยละ 20 เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนกระแสไฟฟ้า ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยผลการพิจารณาคัดเลือกการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน เป็นดังนี้
3.1 การรับซื้อไฟฟ้าเอกชนระยะที่ 1 (พ.ศ. 2539-2543) จำนวน 3 ราย รวม 1,721 เมกะวัตต์ ได้แก่ บริษัท Independent Power (Thailand) Co., Ltd. (IPT) จำนวน 700 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิง, บริษัท Tri Energy Co., Ltd. (TECO) จำนวน 700 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง, และบริษัท Eastern Power and Electric Co., Ltd. (EPEC) ขนาดกำลังผลิต 321.25 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง โดยบริษัท IPT และ TECO ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
3.2 การรับซื้อไฟฟ้าเอกชนระยะที่ 2 (พ.ศ 2544-2546) จำนวน 4 ราย รวม 4,114 เมกะวัตต์ ได้แก่ บริษัท Union Power Development Co., Ltd. จำนวน 1,400 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง, บริษัท Bowin Power Co., Ltd. จำนวน 673 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง, บริษัท BLCP Power Limited จำนวน 1,341 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง, และบริษัท Gulf Power Generation Co., Ltd. จำนวน 700 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง โดยบริษัท Union Power Development Co., Ltd. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
4. การดำเนินงานในการบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาทลอยตัวต่อโครงการ IPP มีดังนี้
4.1 โครงการ IPP 3 โครงการที่ได้ลงนามกับ กฟผ. ไปแล้ว คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชน ได้รับการยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าการออกประกาศของกระทรวงการ คลังเรื่องการปรับปรุงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย (Change in Law) ซึ่งตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ผู้ลงทุนมีสิทธิขอให้ กฟผ. พิจารณาปรับราคา และหามาตรการช่วยเหลือ ส่วนโครงการ IPP อีก 4 โครงการที่ได้มีการเจรจาเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการลงนามในสัญญา PPA ตามประกาศเชิญชวน IPP กำหนดให้สามารถเจรจาเพื่อขอปรับสัญญาได้
4.2 คณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการเจรจากับผู้พัฒนาโครงการทั้ง 7 ราย จนสามารถหาข้อยุติ ที่เป็นที่ยอมรับได้ของทั้ง 2 ฝ่าย และได้มีการลงนามในข้อตกลง (Memorandum of Understanding : MOU) ซึ่งสรุปสาระสำคัญของข้อตกลงได้ดังนี้
(1) การปรับราคาซื้อขายไฟฟ้า โดยปรับปรุงสูตรการกำหนดค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment : AP) บางส่วนให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ค่า AP จะสูงขึ้นหากอัตราแลกเปลี่ยนลดต่ำกว่า 27 บาท/เหรียญสหรัฐฯ
(2) การเพิ่มกำลังการผลิต ตกลงให้ IPP บางรายสามารถเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อช่วยให้ IPP สามารถจัดหาเงินกู้มาดำเนินโครงการได้ ดังนี้ BLCP เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1,346.5 เมกะวัตต์ Bowin เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 713 เมกะวัตต์ และ EPEC เพิ่มกำลังการผลิตเป็น 350 เมกะวัตต์
(3) การเลื่อนวันเริ่มต้นจ่ายไฟฟ้า เนื่องจากการจัดหาเงินกู้ประสบความล่าช้า จึงตกลงให้ IPT Union Power และ Gulf Power สามารถเลื่อนวันเริ่มต้นจ่ายไฟฟ้าออกไปได้ เป็นเวลาประมาณ 3-6 เดือน
(4) การจำกัดวงเงินค่าปรับสำหรับโครงการก๊าซธรรมชาติ ทั้ง 4 โครงการ ให้จำกัด วงเงินค่าปรับ (Penalties) ของรายรับส่วน AP ไว้ที่ 1% ของค่า APR1n (บาท/กิโลวัตต์) เป็นเวลา 12 เดือน นับจากวันจ่ายไฟเข้าระบบของ กฟผ.
(5) การเปลี่ยนแปลงทางเทคนิค ให้ Union Power เปลี่ยนค่าอุณหภูมิอ้างอิงของ cooling water จาก 32.2 °C เหลือ 28 °C
(6) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสัดส่วนผู้ถือหุ้น ให้ TECO เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสัดส่วนผู้ถือหุ้น เป็นดังนี้ Banpu Gas Power Ltd. 55.6%, Texaco 54.4%
5. คณะกรรมการ กฟผ. ได้พิจารณาเรื่องการแก้ไขผลกระทบที่ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนได้รับจากการเปลี่ยน แปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตรา และได้มีมติเห็นชอบในบางประเด็น ดังนี้
5.1 เห็นชอบหลักการการปรับสูตรราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่ โดยสัดส่วนเงินลงทุนที่เป็นเงินตรา ต่างประเทศที่ใช้ในการคำนวณสูตรการปรับราคารับซื้อไฟฟ้าให้แก่ IPP ให้จ่ายตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่ ไม่เกิน 90% สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมกังหันก๊าซ และไม่เกิน 72% สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนถ่านหิน
5.2 เห็นชอบการขอปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมในส่วนของ non-price ที่ IPP ทั้ง 6 ราย ขอมา ยกเว้นการขอเพิ่มขนาดกำลังการผลิตของ Bowin, BLCP, และ EPEC
5.3 ไม่เห็นชอบการจำกัดค่าปรับในช่วง 12 เดือนแรกไว้ไม่เกิน 1% ของรายได้จาก APR1 ของโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
6. IPP ทั้ง 7 ราย ได้พิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการ กฟผ. ในข้อ 5 แล้ว ไม่สามารถรับข้อเสนอของคณะกรรมการ กฟผ. ได้ เนื่องจากจะทำให้โครงการไม่มีความคุ้มทุน และไม่สามารถหาเงินกู้ได้ ดังนั้น เพื่อให้ การดำเนินการแก้ไขปัญหาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว สำหรับโครงการ IPP มีข้อยุติโดยเร็ว สพช. มีความเห็น ดังนี้
6.1 การดำเนินการแก้ไขผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวต่อโครงการ IPP โดยเร็วเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ มิฉะนั้นจะมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นใจของผู้ลงทุนและสถาบันการเงินใน เศรษฐกิจไทย และระบบการบริหารงานทางด้านพลังงานของรัฐบาลไทย ประกอบกับ กฟผ. ได้นำโครงการ IPP ทั้ง 7 โครงการ บรรจุไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. แล้ว หากโครงการดังกล่าวจะต้องยกเลิกหรือเลื่อนออกไปอีก ก็จะมีผลต่อความมั่นคงของระบบไฟฟ้าของประเทศ
6.2 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าเอกชน เป็นผู้เจรจากับผู้พัฒนาโครงการ IPP ซึ่งการเจรจาดังกล่าวได้ ข้อตกลงทั้งส่วนของการปรับราคาซื้อขายไฟฟ้า และการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้านอกเหนือจากสูตรราคา (Non Price) โดยข้อตกลงทั้ง 2 ส่วน จะแยกจากกันไม่ได้ เนื่องจากคณะอนุกรรมการฯ ได้กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนฐานอยู่ ณ ระดับ 27 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น IPP จึงขอแก้ไขสัญญาในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับราคาไฟฟ้าด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงขนาดกำลังการผลิต
6.3 การขอเปลี่ยนแปลงขนาดกำลังการผลิตของ IPP นั้นจะมีผลทำให้กำลังการผลิตรวมของทั้ง 7 โครงการเปลี่ยนแปลงจาก 5,835 เมกะวัตต์ เป็น 5,909 เมกะวัตต์ ซึ่งยังอยู่ในอำนาจที่ กฟผ. จะดำเนินการได้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ที่ได้ให้อำนาจ กฟผ. ที่จะพิจารณาเพิ่มลดปริมาณการ ซื้อขายกระแสไฟฟ้ากับเอกชนได้ในอัตราร้อยละ 20 ของปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าที่ได้รับอนุมัติเพิ่มเติม 1,600 เมกะวัตต์
6.4 คณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2540 และเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอของอนุกรรมการฯ เพียงบางส่วน ซึ่งแตกต่างจากข้อตกลงที่ได้ลงนามไปแล้วในสาระสำคัญ และ กฟผ. ได้ดำเนินการแจ้ง IPP ทั้ง 7 โครงการแล้ว ปรากฏว่า IPP ไม่ยอมรับข้อเสนอของคณะกรรมการ กฟผ. หากจะให้ IPP รับข้อเสนอของคณะกรรมการ กฟผ. แล้ว อัตราแลกเปลี่ยนฐานจะต้องลดจาก 27 บาท/เหรียญสหรัฐฯ เป็น 25-26 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น
มติของที่ประชุม
1.อนุมัติข้อเสนอการบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาทลอยตัวต่อโครงการผู้ผลิต ไฟฟ้าอิสระ (IPP) ทั้งในส่วนของการปรับสูตรราคาซื้อขายไฟฟ้า และการปรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสูตรราคาตามที่ได้มี การลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กฟผ. กับ IPP ทั้ง 7 โครงการแล้ว ดังรายละเอียดตามข้อ 4
2.ให้ กฟผ. เร่งดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ IPP ทั้ง 3 โครงการที่ได้มีการลงนามไปแล้ว สำหรับ IPP อีก 4 โครงการ ที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาให้ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขข้อความในสัญญา และให้มีการลงนามโดยด่วนต่อไป
เรื่องที่ 8 การจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ปรึกษางานเหมืองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้เสนอเรื่องขอจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ระหว่าง กฟผ. บริษัท Rheinbraun Engineering Und Wasser GmbH (RE) และบุคคลอื่น โดยใช้ชื่อบริษัทว่า "EGAT - RHEINBRAUN ENGINEERING COMPANY LIMITED" (EREC) ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายรักเกียรติ สุขธนะ) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการ และได้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการประสาน การดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เพื่อพิจารณาในรายละเอียด ซึ่งรวมถึงร่างสัญญาและข้อตกลงร่วมจัดตั้งบริษัท ประกอบด้วย สัญญาการผูกพัน (Association Contract) และสัญญาการร่วมมือ (Cooperation Contract) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าได้มีการพิจารณาในราย ละเอียด เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2540 และมีมติเห็นชอบในหลักการการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ปรึกษางาน เหมือง และมอบหมายให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดแผนงานการดำเนินการจัดตั้งบริษัทฯ เพิ่มเติม และเห็นว่าควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ในการแข่งขันด้านการตลาดด้วย รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของข้อความในสัญญาการผูกพัน (Association Contract) ฉบับภาษาอังกฤษ และฉบับภาษาไทยให้สอดคล้องกัน
3. กฟผ. ได้เสนอรายละเอียดแผนงานการดำเนินการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ ปรึกษางานเหมือง เพื่อประกอบเรื่องขออนุมัติจัดตั้งบริษัทร่วมทุนฯ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายปรับโครงสร้างแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดหาไฟฟ้า จากนโยบายดังกล่าว กฟผ. จึงได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัท Rheinbraun Engineering Und Wasser GmbH (RE) ที่เชิญชวน กฟผ. ร่วมทุนจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรที่ปรึกษางานเหมืองและงาน อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย และประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออก และเห็นว่าข้อเสนอของบริษัท RE จะเป็นประโยชน์ต่องานเหมืองในอนาคต
3.2 บริษัทที่จัดตั้งใหม่เป็นบริษัทร่วมทุนชื่อ "EGAT-RHEINBRAUN ENGINEERING COMPANY LIMITED : EREC" (บริษัทอีแกต-ไรน์บราวน์ เอ็นยิเนียริ่ง จำกัด) ประกอบด้วยผู้ร่วมทุน 3 กลุ่ม คือ กฟผ. ถือหุ้นร้อยละ 49, บริษัท RE ถือหุ้นร้อยละ 40, และบริษัท เอ็กโก้ธุรกิจเหมือง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 11 โดยบริษัทฯ มีเงินทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 10 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 10,000 หุ้นๆ ละ 1,000 บาท ระยะเวลาดำเนินงานในช่วงแรกประมาณ 2 ปี
3.3 บริษัท EREC มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้บริการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเหมืองแร่ให้แก่หน่วยงานภายนอก กฟผ. ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านในบริเวณเอเชียตะวันออก เพื่อสร้างชื่อเสียงของบริษัทฯ ให้เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก และเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของ กฟผ. ให้เป็นที่ปรึกษาระดับนานาชาติ
3.4 โครงสร้างของบริษัท EREC ประกอบด้วย คณะกรรมการบริษัท มีจำนวนรวม 5 คน และพนักงานของบริษัท ประกอบด้วย กรรมการผู้จัดการ 1 คน ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะกรรมการบริษัท และเลขานุการกรรมการผู้จัดการ 1 คน โดยระยะแรกพนักงานทั้ง 2 คน จะเป็นการขอยืมตัวจากพนักงาน กฟผ. มาปฏิบัติงานกับบริษัท EREC ชั่วคราวเป็นระยะเวลา 2 ปี
3.5 แผนธุรกิจ ประกอบด้วย แผนการตลาด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นการสร้างยอดขายจากการให้บริการด้านวิศวกรรม เหมืองแร่ และมุ่งสร้างภาพพจน์ด้านชื่อเสียงของบริษัท (Corporate Awareness) และคุณภาพการให้บริการให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเน้นที่อุตสาหกรรมถ่านหินเป็นอันดับแรก และ แผนการเงิน โดยรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากค่านายหน้าในการติดต่องาน และรายได้จากส่วนของการบริหารโครงการต่างๆ
4. กฟผ. ได้ดำเนินการตามมติคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าโดย ได้แก้ไขข้อความในสัญญาการผูกพัน (Association Contract) ฉบับภาษาไทย และฉบับภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกันแล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินธุรกิจที่ปรึกษางานเหมืองของ กฟผ. รวมทั้ง สัญญาการผูกพัน (Association Contract) และสัญญาการร่วมมือ (Cooperation Contract) ทั้งนี้ โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทร่วมทุนจะต้องไม่ทำให้บริษัทร่วมทุนดังกล่าวมี สภาพเป็นรัฐวิสาหกิจ หากมีสภาพดังกล่าวก็ให้ดำเนินการลด สัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ลง รวมทั้งโครงสร้างดังกล่าวจะต้องไม่ขัดกับข้อตกลงที่รัฐบาลมีกับกองทุนการ เงินระหว่างประเทศด้วย
เรื่องที่ 9 ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยไปเจรจากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน เรื่องการขยายความร่วมมือด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ และการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ในมณฑลยูนนาน เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย รวมทั้งเห็นชอบในหลักการของร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจาก สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจารับซื้อไฟฟ้ากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อไป
2. หลังจากที่กระทรวงการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้พิจารณาแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับที่ได้รับความเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีแล้วเสร็จ และได้ส่งกลับมาเพื่อให้ฝ่ายไทยได้พิจารณาและดำเนินการต่อไป พร้อมกันนี้ได้เสนอว่า หากมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ในระดับกระทรวงต่อกระทรวง แทนที่จะเป็นระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลของทั้งสองประเทศแล้ว ก็จะช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาในการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวได้
3. การแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ของกระทรวงการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนดังกล่าวข้างต้น ได้มีการเสนอขอแก้ไขในข้อ 7 จากที่ฝ่ายไทยเสนอ โดยขอให้แก้ไขเป็น "กระทรวงการไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จะอำนวยความสะดวกและให้ความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นแก่นักลงทุนและสถาบันการ เงินของไทย ตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนของจีนที่กำหนดไว้ในการดำเนินโครงการไฟฟ้าใน สาธารณรัฐประชาชนจีน"
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับการบริหาร ราชการ หรือสั่งการและปฏิบัติราชการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจในข้อ 1 แต่ทั้งนี้หากทั้งสองฝ่ายเห็นควรให้มีการแก้ไขร่างบันทึกดังกล่าวในราย ละเอียดปลีกย่อย ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญก็ให้รองนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายสามารถลงนามในบันทึกดังกล่าวที่ได้แก้ไขแล้ว
เรื่องที่ 10 ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลง ร่วมกันที่จะส่งเสริมและพัฒนาไฟฟ้าเพื่อจำหน่ายให้ประเทศไทยในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (คปฟ.-ล) และคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป.ลาว (Committee for Energy and Electric Power-CEEP) เพื่อทำหน้าที่ในการประสานความร่วมมือในการพัฒนาโครงการให้เป็นไปตามบันทึก ความเข้าใจดังกล่าว
2. ในการประชุมระหว่าง คปฟ-ล. กับ CEEP เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 ณ สปป.ลาว ทั้ง 2 ฝ่าย ได้เจรจาตกลงการซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 จนสามารถได้ข้อยุติและได้นำไปสู่การเจรจาในรายละเอียดของบันทึกความเข้าใจ ทั้งสองโครงการ
3. หลังจากที่การเจรจาในรายละเอียดของบันทึกความเข้าใจทั้งสองโครงการ ได้ตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย และ คปฟ-ล. ก็ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบในร่างบันทึกความเข้าใจของโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 แล้ว การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 จึงได้มีการร่วมลงชื่อย่อเพื่อการผูกพันเบื้องต้น (Initial) และพร้อมนี้ กฟผ. ก็ได้ส่งร่างบันทึกความเข้าใจของทั้งสอง โครงการดังกล่าวมายังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
4. โครงการน้ำงึม 2 เป็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ตั้งอยู่บนลำน้ำงึมใน สปป.ลาว มีกำลังผลิต ติดตั้ง 615 เมกะวัตต์ คู่สัญญาประกอบด้วย กฟผ. และ Shlapak Group Co., Ltd มีอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 30 ปี นับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ ในวันที่ 1 มีนาคม 2546 โดยมีจุดส่งมอบไฟฟ้า ณ จังหวัดหนองคาย และจะมีการรับซื้อไฟฟ้า Primary Energy ในราคาเฉลี่ยตลอดอายุโครงการเท่ากับ 5.63 เซนต์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง
5. โครงการน้ำงึม 3 เป็นโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ตั้งอยู่บนน้ำงึมใน สปป.ลาว มีกำลังผลิตติดตั้ง 460 เมกะวัตต์ คู่สัญญาประกอบด้วย กฟผ. และ Nam Ngum 3 Power Company Limited (การไฟฟ้าลาวและ MDX Lao Company Limited) มีอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 25 ปี นับจากวันเดินเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มีนาคม 2546 โดยมีจุดส่งมอบไฟฟ้า ณ จังหวัดหนองคาย และจะมีการรับซื้อไฟฟ้า Primary Energy ในราคาเฉลี่ยตลอดอายุโครงการเท่ากับ 5.78 เซนต์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง สาเหตุที่ราคา รับซื้อไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 3 สูงกว่าโครงการน้ำงึม 2 เนื่องจากรัฐบาลแห่ง สปป. ลาว เป็นผู้ถือหุ้นใน โครงการนี้ถึงร้อยละ 45 และค่าภาคหลวงของโครงการน้ำงึม 3 ก็สูงกว่าโครงการน้ำงึม 2 ด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ฉบับที่มีการ ลงชื่อย่อเพื่อการผูกพันเบื้องต้น (Initial) เพื่อให้ กฟผ. นำไปลงนามในบันทึกความเข้าใจกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการ น้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ต่อไป
2.อนุมัติในหลักการว่า หากคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป. ลาว (Committee for Energy and Electric power: CEEP) เสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ซึ่งไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่าไฟฟ้าเฉลี่ย หรือมีการเปลี่ยนแปลงแนวสายส่งใน สปป. ลาว สำหรับโครงการทั้งสอง โดยไม่มีผลกระทบต่อระบบส่งฝั่งไทยที่สร้างเพื่อเชื่อมโยงกัน ณ ชายแดนไทย-ลาว ก็ให้ กฟผ. ดำเนินการแก้ไขรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจ เรื่องการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และ น้ำงึม 3 ในส่วนที่เกี่ยวข้องดังกล่าวได้
เรื่องที่ 11 เรื่องแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (ฉบับที่ 2) ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2539 เห็นชอบแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Pipeline Master Plan) ฉบับที่ 1 ปี ค.ศ. 1997-2005 ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2540 เห็นชอบในหลักการของกรอบและทิศทางการปรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปรับปรุงกรอบการลงทุนรวมของประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้จากภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของประเทศได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณการ ใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ ปตท. จึงได้ปรับแผน การลงทุนและแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฉบับที่ 1 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อขออนุมัติแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Pipeline Master Plan) ฉบับที่ 2 ปี ค.ศ. 1998-2006
2.สาระสำคัญของแผนแม่บทระบบท่อก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 2 ปี ค.ศ. 1998-2006 สรุปได้ดังนี้
2.1 การปรับปรุงแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฯ
(1) ดำเนินการโครงการติดตั้งเครื่องเพิ่มความดันก๊าซฯ ในทะเล (Midline Compressor) ควบคู่ไปกับการวางท่อส่งก๊าซฯ บนบกจากจังหวัดระยองไปโรงไฟฟ้าบางปะกงเส้นที่ 3 และการวางท่อส่งก๊าซฯ จาก JDA ไปยังแท่นชุมทางเอราวัณ 2 (JDA-ERP2) ทดแทนการวางท่อส่งก๊าซฯ เส้นที่ 3 ในทะเลจาก JDA ไปราชบุรี ซึ่งการดำเนินการนี้จะต้องตัดเชื่อมท่อส่งก๊าซฯ สายประธานระยะที่ 1 และท่อคู่ขนานในทะเลด้วย เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ จะทำให้ระบบท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 มีขีดความสามารถจัดส่งก๊าซฯ ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เมื่อรวมกับระบบท่อเดิมแล้วจะทำให้ความสามารถของระบบท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลเพิ่มขึ้นเป็น 2650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเพียงพอในการบริการจัดส่งก๊าซฯ ในช่วงระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
(2) ลดขนาดท่อราชบุรี-วังน้อย จากเดิมเส้นผ่าศูนย์กลาง 36 นิ้ว และเครื่องเพิ่มความดัน ต้นทางและปลายทาง เป็นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 30 นิ้ว โดยชะลอการลงทุนติดตั้งเครื่องเพิ่มความดันก๊าซฯ ออกไปจนกว่าจะเห็นว่ามีความจำเป็น
2.2 โครงการในแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 ประกอบด้วย โครงการจำนวน 12 โครงการ ดังนี้
(อัตราแลกเปลี่ยน 1US$ = 36 บาท)
โครงการหลัก | กำหนดแล้วเสร็จ | เงินลงทุน (ล้านบาท) |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งไพลิน | ระยะที่ 1 1998 ระยะที่ 2 1999 |
2,231 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่ง JDA ไปเอราวัณ | ปลายปี 2000 | 20,040 |
โครงการ Midline Compressor พร้อม Platform และท่อต่อ | ปลายปี 2000 | 8,222 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ ระยองไปบางปะกง | ปลายปี 2000 | 9,331 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย | กลางปี 1999 | 8,457 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ไปโรงจักรพระนครใต้ | ไตรมาสที่ 1 ปี 2000 | 2,832 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งเบญจมาศเชื่อมท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งทานตะวัน | กลางปี 1999 | 487 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากท่อคู่ขนานไปโรงไฟฟ้าทับสะแก | ปลายปี 2006 | 9,172 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่ง JDA ไปสงขลา | ปลายปี 2000 | 5,729 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากสงขลาไปยะลา (ชายแดนไทย-มาเลเซีย) | ปลายปี 2000 | 2,830 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากโรงแยกก๊าซขนอมไปสุราษฎร์ธานี | ปลายปี 2002 | 2,508 |
โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากโรงไฟฟ้าสุราษฎร์ธานีไปโรงไฟฟ้ากระบี่ | ปลายปี 2004 | 6,239 |
รวมเงินลงทุนทั้งสิ้น | 78,078 |
2.3 โครงการเร่งด่วนที่มีความจำเป็นจะต้องเร่งรัดการดำเนินการมีจำนวน 6 โครงการ เพื่อ สร้างความมั่นคงให้กับระบบจัดจ่ายก๊าซฯ ของประเทศและสามารถจัดส่งก๊าซฯ จากสหภาพพม่าไปเสริมบริเวณโรงไฟฟ้าวังน้อยได้ตามความจำเป็น ดังนี้
ท่อไพลิน - ERP 2 กำหนดแล้วเสร็จปลายปี ค.ศ. 1998
ท่อราชบุรี - วังน้อย กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 1999
ท่อ JDA - เอราวัณ กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 2000
เครื่องเพิ่มความดันก๊าซฯ ในทะเล กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 2000
ท่อระนอง - บางปะกง เส้นที่ 3 กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 2000
ท่อเบญจมาศ กำหนดแล้วเสร็จกลางปี ค.ศ. 1999
2.4 เงินลงทุนในการดำเนินงานตามแผนแม่บทดังกล่าว มีวงเงินรวมประมาณ 78,078 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 US$ = 36 บาท) ซึ่งจะมีการกระจายการลงทุนตามความจำเป็นในช่วงเวลาที่เหมาะสม และแผนการดำเนินงานจะมีวงเงินการลงทุนสูงสุดในปี ค.ศ. 2000 กล่าวคือ ประมาณ 27,423 ล้านบาท โดยใช้เงินลงทุนส่วนหนึ่งจากรายได้ของ ปตท.เอง และเงินกู้จากต่างประเทศ สัดส่วนประมาณ 25 : 75 ซึ่ง ปตท.จะดำเนินการศึกษาผลตอบแทนการลงทุนโครงการในแผนแม่บทฯ ฉบับที่ 2 ในแต่ละโครงการต่อไป และเมื่อเปรียบเทียบเงินลงทุนของแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฯ ฉบับที่ 1 และ ฉบับที่ 2 ทำให้เงินลงทุนทั้งหมดเปลี่ยนแปลงจาก 112,394 ล้านบาท มาเป็น 78,078 ล้านบาท (ที่อัตราแลกเปลี่ยน 1 US$ = 36 บาท) ทำให้สามารถลดการลงทุนได้เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 34,316 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 2 ในช่วงปี พ.ศ. 2541-2549 ตามที่ ปตท. เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนทางด้านการก่อสร้างระบบท่อและอุปกรณ์ต่างๆ โดยมีโครงการที่จะอนุมัติในช่วงปี พ.ศ. 2541-2549 จำนวน 12 โครงการ วงเงินลงทุนทั้งสิ้น 78,078 ล้านบาท
2.ให้ใช้แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติตามข้อ 1 เป็นกรอบของการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการในช่วงปี พ.ศ. 2541-2549 โดยไม่ต้องเสนอขออนุมัติในระดับนโยบายอีก ยกเว้นโครงการที่มีประเด็นนโยบายพิเศษ โดยมีโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินการในช่วง พ.ศ. 2541-2549 จำนวน 12 โครงการ ดังรายละเอียดตามข้อ 2.2 ทั้งนี้ ให้ ปตท. นำเสนอโครงการตามขั้นตอนที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2539
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้ ปตท. กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะ-กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปจัดทำรายละเอียดเรื่องการขายหุ้น ปตท. ในบริษัท ปตท.สผ. จำกัด ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) ได้เป็นประธานในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 และได้มีมติมอบหมายให้ ปตท. จัดทำแผนการขายหุ้นในบริษัท ปตท.สผ. ซึ่งอาจจะว่าจ้างที่ปรึกษาเพิ่มเติมทำการศึกษาเฉพาะเรื่อง เมื่อการจัดทำแผนการขายหุ้นแล้วเสร็จให้มีการจัดประชุมระหว่างหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมแผนการขายหุ้นในบริษัท ปตท.สผ. เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
2. ปตท. ได้มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา 9 แห่ง ดำเนินการศึกษาแนวทางการแปรรูป ปตท. รวมทั้งการขายหุ้นของ ปตท. ในบริษัท ปตท.สผ. และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) นอกจากนี้ สพช. ได้มีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาเรื่องดังกล่าวเช่นกัน และในการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง สพช. ปตท. และ ปตท.สผ. ได้พิจารณาแผนการจำหน่ายหุ้นของบริษัท ปตท.สผ. ตามผลการศึกษาของบริษัทที่ปรึกษาและเห็นควรให้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ทั้งนี้คณะกรรมการ ปตท. ได้ให้ความเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2540
3. ประเด็นพิจารณาประกอบการจัดทำแผนการขายหุ้นในบริษัท ปตท.สผ. ประกอบด้วย ภาวะตลาดหุ้น (Market Position) ทางเลือกในการเสนอขายหุ้น ปตท.สผ. โดยการเสนอขายให้กับพันธมิตรร่วมทุน (Strategic Investor) และการเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป กำหนดเวลาและโครงสร้างในการเสนอขายผลกระทบต่อการ แปรรูปของ ปตท. ผลกระทบต่อ ปตท.สผ. จำนวนหุ้นที่จะเสนอขาย และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการเสนอขาย
4. ข้อเสนอแนวทางการจำหน่ายหุ้น ปตท.สผ. มีดังนี้
4.1 การลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ใน ปตท.สผ. อาจทำโดยวิธีการเพิ่มทุนของ ปตท.สผ. และ/หรือ วิธีการจำหน่ายหุ้นในส่วนเดิมที่ ปตท. ถือครอง
4.2 แนวทางการจำหน่ายหุ้น ปตท.สผ. ควรเลือกวิธีการจำหน่ายหุ้นกับนักลงทุนทั่วไป โดยสัดส่วนนักลงทุนไทยและต่างชาติควรพิจารณาตามภาวะตลาดในช่วงที่เสนอขาย
4.3 ระยะเวลาที่เป็นไปได้ในการจำหน่ายหุ้นของ ปตท.สผ. โดยเร็วที่สุดควรจะเป็นช่วงครึ่งปีแรกของปี 2541 และการจำหน่ายหุ้นของ ปตท. อันเนื่องมาจากการแปรรูป ควรดำเนินการหลังจากการจำหน่ายหุ้นของ ปตท.สผ. แล้วประมาณ 6-12 เดือน ซึ่งจะเป็นช่วงประมาณปลายปี 2541 ถึงต้นปี 2542
4.4 การถือหุ้นของ ปตท. ใน ปตท. สผ. กำหนดให้มีสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51 ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน แต่ภายใต้ภาวะตลาดในปัจจุบันปริมาณหุ้นที่จะจำหน่ายให้กับนักลงทุนในระยะแรก ควรจำหน่ายประมาณร้อยละ 5-10 ของปริมาณหุ้นทั้งหมดของบริษัท และคำนึงถึงการลดสัดส่วนการถือหุ้นโดยการเพิ่มทุนของ ปตท.สผ. เองด้วย
4.5 ให้ ปตท.และ/ หรือ ปตท.สผ. คัดเลือกและว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ดำเนินการจำหน่ายหุ้นด้วยวิธีการขายให้นักลงทุนทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ และดำเนินการจำหน่ายหุ้นเมื่อตลาดมีความพร้อม
4.6 การขอยกเว้นกฎระเบียบที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายจ่ายโอน หุ้น หรือกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เพื่อให้สามารถดำเนินการจำหน่ายหุ้นได้ในระยะเวลาที่กำหนด โดยการกำหนดราคาและวิธีการจำหน่ายหุ้น ปตท.สผ. จะเป็นไปตามกลไกตลาด และวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด ณ ช่วงเวลาที่ดำเนินการจำหน่ายหุ้น
4.7 ปตท.สผ. ควรต้องแก้ไขข้อบังคับของบริษัทในเรื่องข้อจำกัดในการถือหุ้นของผู้ถือหุ้น ต่างชาติ ซึ่งในปัจจุบันกำหนดให้ผู้ถือหุ้นต่างชาติถือได้ร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นโดยต่างชาติ อยู่ในระดับร้อยละ 20 แล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอแผนการจำหน่ายหุ้นของ บริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) และมอบหมายให้ ปตท. และบริษัท ปตท.สผ. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ สพช. ทุกระยะ
เรื่องที่ 13 การขายหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปจัดทำรายละเอียด เรื่อง การขายหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัดโดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) ได้เป็นประธานในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 และได้มอบหมายให้ สพช. และกระทรวงการคลังนัดหารือเพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางในการขายหุ้นของกระทรวง การคลัง โดย สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าว และได้นำเสนอผลการศึกษาเพื่อหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลังและสพช. ซึ่งผลการหารือเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อ พิจารณา
2. แผนการขายหุ้นของกระทรวงการคลังในบริษัท เอสโซ่ฯ มีดังนี้
2.1 ประเด็นประกอบการพิจารณา มีดังนี้
(1) วัตถุประสงค์ของการดำเนินการขายหุ้นดังกล่าว ประกอบด้วย
รัฐบาลมีอำนาจการต่อรองทำให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการขายหุ้น
วิธีการเป็นที่ยอมรับและได้รับความร่วมมือจากบริษัท เอสโซ่ฯ
ขั้นตอนการดำเนินการโปร่งใสเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป
ระยะเวลาการดำเนินการสั้น
ช่วยระดมเงินทุนจากต่างประเทศ
ช่วยพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นที่สนใจในระดับนานาชาติ
สอดคล้องกับเงื่อนไขในสัญญาของบริษัท เอสโซ่ฯ กับกระทรวงอุตสาหกรรม
(2) ทางเลือกในการเสนอขายหุ้นมี 3 ทางเลือก คือ
ทางเลือกที่ 1 เสนอขายคืนให้กับกลุ่มเอสโซ่ โดยมีการประเมินราคาโดยผู้ประเมินอิสระจำนวนหนึ่ง
ทางเลือกที่ 2 เสนอขายให้แก่พันธมิตรธุรกิจ (Strategic Partner)
ทางเลือกที่ 3 เสนอขายให้กับนักลงทุนโดยทั่วไป และนำบริษัทเข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
(3) ผลการวิเคราะห์ พบว่าทางเลือกที่ 1 และ 3 คือ การเสนอขายคืนให้แก่บริษัทเอสโซ่ฯ และการเสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป โดยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดว่า มีความเหมาะสมที่ใกล้เคียงกัน การเปิดทางให้สามารถเจรจาได้ทั้ง 2 วิธี จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
2.2 ข้อเสนอแนะในการเจรจาต่อรอง บริษัทที่ปรึกษาได้มีข้อเสนอแนะเพื่อใช้ประกอบการเจรจาต่อรองกับบริษัทเอส โซ่ฯ ในการซื้อหุ้นคืนโดยกำหนดประเด็นในการเจรจาต่อรองไว้อย่างละเอียด
2.3 ขั้นตอนการดำเนินการขายหุ้นคืน ใช้ระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 4 เดือน ส่วนการดำเนินงาน ในการเสนอขายหุ้นให้นักลงทุนทั่วไป ใช้ระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 6 เดือน
มติของที่ประชุม
1.ให้กระทรวงการคลังรับไปเจรจากับบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อขายหุ้นคืนทั้งหมดหรือเจรจาทางเลือกอื่นที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่รัฐ มากที่สุด
2.ให้เพิ่มกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าร่วมการพิจารณาจัดทำแผนการขายหุ้นของกระทรวงการคลังใน บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วย เนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ในฐานะคู่สัญญาของบริษัท เอสโซ่ฯ และเมื่อการจัดทำแผนแล้วเสร็จให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแหงชาติ พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 14 การแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีตของการไฟฟ้านครหลวง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) รับไปจัดทำรายละเอียด เรื่อง การแปรรูป กิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีตของ กฟน. เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. กฟน. ได้ว่าจ้างบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ทำการศึกษาเรื่องดังกล่าว และได้มีการนำเสนอผลการศึกษาในการหารือระหว่าง กฟน. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อพิจารณานำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
3. แผนการแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีต กฟน. มีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้
3.1 การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท จำกัด (ธันวาคม 2540) มีแนวทางดังนี้
(1) โครงสร้างผู้ถือหุ้นในระยะแรก กฟน. ถือหุ้นในบริษัทร้อยละ 100 ส่วนในระยะที่สอง ปี พ.ศ. 2542-2543 กฟน. ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท และมีสัดส่วนการถือหุ้นไม่เกินร้อยละ 49 ส่วนที่เหลือร้อยละ 51 เปิดให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่น และบริษัทเอกชนเข้ามาดำเนินการถือหุ้น
(2) คณะกรรมการบริษัท ประกอบด้วย ประธานกรรมการบริษัท และคณะกรรมการซึ่งมาจาก กฟน. หรือผู้มีความรู้ความสามารถในด้านธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่
(3) โครงสร้างองค์กร ประกอบด้วย ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบัญชีและการเงิน ฝ่ายขายและ การตลาด ฝ่ายวิศวกรรม และฝ่ายผลิต
(4) การดำเนินธุรกิจ แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรก บริษัทจะผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตประเภทเสาไฟฟ้า และคอนกรีตสำเร็จรูปประเภทต่างๆ ที่ดำเนินการในปัจจุบัน โดยกำหนดราคาเท่ากับราคาที่จำหน่ายให้ กฟน. แต่จะกำหนดให้ลดราคาลงทุกปี เพื่อสามารถแข่งขันได้ โดย กฟน. เป็นตลาดเป้าหมายในระยะแรก และบริษัทมีจำนวนพนักงานไม่เกิน 224 คน ส่วนในระยะสอง บริษัทขยายธุรกิจ หรือ เพิ่มผลิตภัณฑ์โดยเน้นธุรกิจที่อาศัยเทคโนโลยีสูง ซึ่งควรเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนเข้าร่วมทุนและบริหารงาน
3.2 การว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในการวางรูปแบบระยะที่ 2 (มกราคม - ตุลาคม 2541)
3.3 การขออนุมัติยกเว้นคำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับกับบริษัทใน ระยะแรก ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการคล่องตัว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนการแปรรูปหน่วยงานสำนักงานออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ เป็น บริษัทออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ จำกัด ตามข้อเสนอของ กฟน. ทั้งนี้ ให้ กฟน. ปรับแผนการดำเนินการเพื่อให้พ้นการเป็น รัฐวิสาหกิจให้เร็วขึ้น และให้พิจารณาหาพันธมิตรร่วมทุน (Strategic Investor) แทนการเข้าถือหุ้นของรัฐวิสาหกิจอื่น
2.เห็นชอบให้ บริษัท ออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์ จำกัด ที่ กฟน. ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ซึ่ง ยังคงสภาพเป็นรัฐวิสาหกิจได้รับการยกเว้นคำสั่ง กฎระเบียบ ข้อบังคับ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรี ที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้บังคับ เพื่อให้บริษัทดังกล่าวสามารถดำเนินการได้คล่องตัวเช่นเดียวกับบริษัทเอกชน ทั่วไป
เรื่องที่ 15 การขายหุ้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2540 เห็นชอบแนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กฟผ. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (บผฟ.) รับไปจัดทำรายละเอียดเรื่องการขายหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ. โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) ได้เป็นประธานในการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและเร่งรัด การดำเนินการตามแนวทางการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 และได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง กฟผ. สพช. และ บผฟ. หารือเพื่อจัดทำข้อเสนอแนวทางในการขายหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ.
2. กฟผ. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางในเรื่องดังกล่าว และบริษัทฯ ได้นำเสนอผลการศึกษาให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กฟผ. สพช. และ บผฟ. (กระทรวงการคลังไม่ได้เข้าประชุม) เพื่อพิจารณาผลการศึกษาดังกล่าว และเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อไป
3. แผนการขายหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ. สรุปประเด็นสำคัญของการเสนอขายหุ้น ได้ดังนี้
3.1 แนวทางการเสนอขายหุ้นที่เหมาะสมที่สุด คือ การลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ. จากที่ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 39.96 ของจำนวนหุ้นที่ออกจำหน่ายแล้ว รวมทั้งหุ้นสำรอง (Warrants) ของ บผฟ. ลงเหลือร้อยละ 25.05 โดยจำหน่ายหุ้นให้กับพันธมิตรร่วมทุน (Strategic Investor) ภายใต้เงื่อนไขว่า ในอนาคต กฟผ. และ บผฟ. จะเปิดโอกาสให้พันธมิตรร่วมทุนสามารถเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน บผฟ. ได้ใน 2 กรณี คือ กรณีที่พันธมิตรร่วมทุนซื้อหุ้นโดยตรงจาก กฟผ. หรือ กรณีที่พันธมิตรร่วมทุนซื้อหุ้นใหม่จากการเพิ่มทุนของ บผฟ. ซึ่งแนวทางนี้ กฟผ. อาจเสียโอกาสในการที่จะได้ราคาหุ้นสูงสุด เนื่องจากการเสนอขายเพียงร้อยละ 14.9 อาจจะไม่ดึงดูดให้เสนอราคาที่มี Premium มากเมื่อเทียบกับการเสนอขายในสัดส่วนที่มีมากกว่าร้อยละ 25
3.2 เกณฑ์ในการพิจารณาราคาขายของหุ้น บผฟ. มูลค่าราคาหุ้นที่จะได้รับจากการเสนอขาย จะขึ้นอยู่กับแนวทางเลือกโครงสร้างของการเสนอขายหุ้น ซึ่งกลุ่มที่ปรึกษามีความเห็นว่า มูลค่าหุ้นที่ควรจะได้รับในการเสนอขายครั้งนี้ ควรจะมีมูลค่าที่สูงกว่าราคาหุ้นเฉลี่ยของ บผฟ. ในช่วงระยะ 3 เดือนก่อนจะมีการเปิดให้ยื่นเสนอซื้อ
3.3 ขั้นตอนในการเสนอขายที่เหมาะสมคือ การพิจารณาคัดเลือกจากพันธมิตรร่วมทุนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม 4-6 ราย แล้วตามด้วยขั้นตอนการพิจารณาคำเสนอซื้อ ซึ่งเสนอโดยพันธมิตรร่วมทุนดังกล่าว คาดว่าขั้นตอนในการเสนอขาย จะมีระยะเวลาประมาณ 6 เดือน
3.4 เกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติของพันธมิตรร่วมทุน กลุ่มที่ปรึกษาเสนอให้ กฟผ. และ บผฟ. พิจารณาคุณสมบัติในเบื้องต้น คือ มูลค่าตลาดของขนาดธุรกิจ ข้อมูลทางการเงิน อันดับความน่าเชื่อถือประสบการณ์การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและภูมิภาคเอ เซีย โครงสร้างที่เสนอเพื่อถือหุ้น แผนการดำเนินธุรกิจ ความเห็นของผู้เสนอซื้อและเงื่อนไขสัญญา
3.5 แผนการใช้เงินที่ได้รับจากการขายหุ้น กฟผ. จะใช้เป็นงบการลงทุนในปี 2541 แทนการใช้เงินกู้ภายในประเทศ และจัดตั้งกองทุนเงินสวัสดิการสำหรับพนักงานที่สมัครใจลาออกก่อนอายุเกษียณ โดยจะขออนุมัติใช้เงินจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ของจำนวนเงินทั้งหมดที่ได้รับจากการขายหุ้น บผฟ.
4. การเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement) และสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) กฟผ. ตกลงในเบื้องต้นที่จะเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับพันธมิตรร่วมทุน และ กฟผ. และ บผฟ. ตกลงในเบื้องต้นที่จะเข้าทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นกับพันธมิตรร่วมทุน รวมทั้งสัญญาและ/หรือเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) กับพันธมิตรร่วมทุน
การพิจารณาของที่ประชุม
ประธานฯ ได้ตั้งข้อสังเกตใน 2 ประเด็น คือ ควรคำนึงถึงจังหวะระยะเวลาการขายหุ้นของ บผฟ. เพื่อที่จะให้ได้ราคาสูงสุด และควรมีการศึกษาเปรียบเทียบว่าจำนวนเงินที่ได้มาจากการขายหุ้นครั้งนี้ สามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ของ กฟผ. ได้เพียงใด
มติของที่ประชุม
1.ให้ กฟผ. ขายหุ้นและดำเนินการตามรายละเอียดในข้อ 3
2.ขอยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่าย กิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
3.ให้แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกพันธมิตรร่วมทุน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการ-นโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง ผู้แทนจากบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (บผฟ.) และผู้แทนจาก กฟผ. เป็นกรรมการ โดยมีหน้าที่คัดเลือกพันธมิตรร่วมทุน และกำหนดราคาหุ้นซึ่ง รวมหุ้นเดิมที่ กฟผ. ประสงค์จะขายและหรือหุ้นออกใหม่จากการเพิ่มทุน และหุ้นที่ กฟผ. จะต้องขายให้กับพันธมิตรร่วมทุนตามสิทธิพึงได้รับก่อน (Rights of First Refusal) ภายใต้สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น (Shareholders Agreement) แล้วนำเสนอคณะกรรมการ กฟผ. ต่อไป
4.ให้คณะกรรมการ กฟผ. อนุมัติเลือกพันธมิตรร่วมทุนและกำหนดราคาหุ้นที่จำหน่ายตามข้อ 3 ข้างต้น แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
5.ให้ กฟผ. ทำสัญญาซื้อขายหุ้น (Share Purchase Agreement) กับพันธมิตรร่วมทุน และให้ กฟผ. และ บผฟ. เข้าทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น และสัญญาและเอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) กับพันธมิตรร่วมทุน และขอทำสัญญาและเอกสารหลักฐานอื่นๆ (ถ้ามี) เป็นภาษาอังกฤษ
6.เงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นให้ กฟผ. นำไปจัดสรรดังนี้
(1) จัดสรรร้อยละ 90 ของรายได้สุทธิจากการจำหน่ายหุ้น สำหรับการลงทุนของ กฟผ. ในอนาคตแทนการใช้เงินกู้
(2) จัดสรรร้อยละ 10 ของรายได้สุทธิจากการจำหน่ายหุ้น สำหรับจัดตั้งกองทุนบริหารทรัพยากรบุคคล แล้วนำไปใช้ในโครงการพนักงานลาออกจากงานด้วยความยินดีทั้ง 2 ฝ่าย (Mutual Separation Schemes : MSS) เพื่อชดเชยให้แก่บุคลากรที่ได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลมีนโยบายในการเร่ง รัดการแปรรูป
7.ให้ กฟผ. จ้างกลุ่มที่ปรึกษาทางการเงิน ได้แก่ Kleinwort Benson Limited, Lehman Brothers Limited และ บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อทำการเสนอขายหุ้นให้กับพันธมิตรร่วมทุน โดยให้ดำเนินการจัดจ้างโดยวิธีพิเศษ เนื่องจากกลุ่มที่ปรึกษาดังกล่าวได้ทำการศึกษาเรื่องแนวทางการขายหุ้นของ กฟผ. ใน บผฟ. อยู่แล้ว เพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง และแล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำดอกผลอันเกิดจากเงินกองทุนจำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาโรงกลั่นน้ำมันมาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้าน พลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุด หนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหารงานกองทุน ทั้งนี้ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมทำ หน้าที่พิจารณา จัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุน ทั้งนี้ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำหน้าที่พิจารณาจัดระเบียบ วางแนวทาง และพิจารณาจัดสรรเงินกองทุน
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดทำรายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่น ปิโตรเลียม ในรอบปีงบประมาณ 2540 เพื่อรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ และพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนการจัดสรรเงินในปีงบประมาณ 2541-2543 ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ในรอบปีงบประมาณ 2540 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2539 อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2540 จำนวนเงินทั้งสิ้น 55.0 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติวงเงินทั้งสิ้น 55.9 ล้านบาท ดังนี้
หมวดรายจ่าย | วงเงินตามแผน | อนุมัติ |
(1) การค้นคว้า ศึกษา วิจัย | 17.00 | 12.20 |
(2) ทุนการศึกษาและฝึกอบรม | 12.00 | 13.40 |
(3) การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูล | 10.00 | 8.50 |
(4) การดูงาน ประชุม และการจัดประชุม สัมมนา | 10.00 | 8.50 |
(5) การจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ | 5.50 | 5.50 |
(6) ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน | 0.50 | 0.50 |
รวม | 55.00 | 55.90 |
2.2 รายงานสถานะการเงินกองทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2540 กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม 428.8 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินฝากกระแสรายวัน 0.02 ล้านบาท เงินฝากออมทรัพย์ 41.34 ล้านบาท เงินฝากประจำ 387.13 ล้านบาท และลูกหนี้เงินยืม 0.31 ล้านบาท ในส่วนของหนี้สินและทุนประกอบด้วย หนี้สิน 0.37 ล้านบาท ทุน 350 ล้านบาท และรายรับมากว่ารายจ่ายทั้งสิ้น 78.43 ล้านบาท
2.3 แผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2541-2543 ตามข้อกำหนดในระเบียบว่าด้วยการบริหารกองทุนฯ กำหนดให้มีการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ อย่างน้อยทุกปีหรือตามความจำเป็น ดังนั้นจึงเห็นสมควรให้มีการปรับแผนการใช้จ่ายเงิน สำหรับปีงบประมาณ 2541-2543 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
หมวดรายจ่าย | ปีงบประมาณ | รวม | ||
2541 | 2542 | 2543 | ||
(1) การค้นคว้า วิจัย ศึกษา | 16.50 | 16.50 | 16.50 | 49.50 |
(2) ทุนการศึกษาและฝึกอบรม | 9.40 | 9.40 | 9.40 | 28.20 |
(3) การประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูล | 10.00 | 10.00 | 10.00 | 30.00 |
(4) การดูงาน ประชุม และการจัดประชุม สัมมนา | 8.00 | 8.00 | 8.00 | 24.00 |
(5) การจัดหาเครื่องมือ และอุปกรณ์ | 5.50 | 5.50 | 5.50 | 16.50 |
(6) ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 1.80 |
รวม | 50.00 | 50.00 | 50.00 | 150.00 |
3. เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตลอดระยะเวลา 3 ปี คือ ปีงบประมาณ 2541-2543 จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและ โครงการในปีงบประมาณ 2541-2543 ตามแผนการใช้จ่ายเงินข้างต้น วงเงินรวม 150 ล้านบาท และให้คณะ-กรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่าง ๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯด้วย
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2540
2.เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2541-2543 และมาตรการการบริหารเงินกองทุนฯ ตามที่คณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม เสนอ
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 8 เมษายน 2554
กพช. ครั้งที่ 65 - วันพุธที่ 10 กันยายน 2540
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2540 (ครั้งที่ 65)
วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2540 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานผลความคืบหน้าในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 2
5.แนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน
7.นโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
8.แนวทางในการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
9.หนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
10.ราคาก๊าซธรรมชาติที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
11.ข้อเสนอแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อส่งเสริมโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard)
นายกร ทัพพะรังสี รองนายกรัฐมนตรี รองประธานกรรมการ เป็นประธานการประชุม
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ถึงต้นเดือนกันยายน 2540 สรุปได้ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดิบโดยรวม ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมาอยู่ในสภาวะทรงตัว โดยมีราคาเฉลี่ยอยู่ในระดับ 17-20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบเกิดขึ้น เช่น การส่งออกน้ำมันของอิรัก การขายน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนี แต่ก็มีผลกระทบต่อระดับราคาน้อยมาก
2. ราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันก๊าด ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนกันยายนค่อนข้างทรงตัว โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 25.1 และ 21.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วราคาลดลง 1.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรลในเดือนกรกฎาคม และปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในเดือนสิงหาคม โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 22.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเตาราคาปรับตัวสูงขึ้นโดยตลอดในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาประมาณ 1.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคา ณ ต้นเดือนกันยายนอยู่ในระดับ 16.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมาได้มีการ ปรับตัวสูงขึ้นมาตลอด จากการที่รัฐบาลปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวทำให้ค่าเงินบาทลดลงจากอัตราแลก เปลี่ยนเดิมในระดับ 25.80 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ลงมาอยู่ในระดับ 36.70 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในต้นเดือนกันยายน จึงทำให้มีการขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลรวม 9 ครั้ง โดยเป็นการทยอยปรับครั้งละ 15-20 สตางค์/ลิตร รวม 1.79 บาท โดยการปรับราคาเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2540 เป็นการปรับราคาจากการที่รัฐบาลเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7 % เป็น 10 % มีผลให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษไร้สารตะกั่ว เบนซินธรรมดาไร้สารตะกั่ว และดีเซลหมุนเร็วในปัจจุบันขึ้นมาอยู่ในระดับ 11.22 , 10.83 และ 10.06 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมอยู่ในระดับ 0.99 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าปกติ เนื่องจากราคาขายปลีกเพิ่มสูงขึ้นช้ากว่าค่าเงินบาทที่ลดลง ส่วนในเดือนสิงหาคมหลังจากมีการทยอยปรับราคาหลายครั้งทำให้ค่าการตลาดเพิ่ม สูงขึ้นเป็น 1.03 บาท/ลิตร สำหรับค่าการกลั่นอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำโดยมีระดับต่ำสุดในเดือนกรกฎาคมที่ 0.70 บาท/ลิตร และเพิ่มสูงขึ้นในเดือนสิงหาคมมาอยู่ในระดับ 0.90 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลความคืบหน้าในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่..) พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถริบเรือทุกขนาดที่ใช้ในการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากรได้ และกำหนดมาตรการห้ามขนถ่ายสิ่งของในทะเลนอกเขตท่า ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2540 และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีคำสั่งที่ 2/2540 ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2540 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อป้องกันและ แก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีอำนาจหน้าที่ครอบคลุมการแก้ไขกฎเกณฑ์อื่นๆ ที่ยังเป็นอุปสรรคในการดำเนินงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งหมด
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดการสัมมนา เรื่อง การเติมสาร Marker ในน้ำมันเชื้อเพลิงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลจากการสัมมนาทำให้สามารถกำหนดขั้นตอนและรายละเอียดการปฏิบัติได้อย่าง สมบูรณ์ ตั้งแต่การเติมสาร Marker การตรวจสอบน้ำมันว่ามีสาร Marker หรือไม่ และการดำเนินคดีเมื่อพบการกระทำผิด ซึ่งขณะนี้กรมสรรพสามิต กรมตำรวจ และ สพช. กำลังจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความ เห็นชอบในการประชุมคราวต่อไป และคาดว่าจะเริ่มดำเนินการเติมสาร Marker ได้ในช่วงต้นปี 2541 เป็นต้นไป
4. ผลการจับกุมของหน่วยงานปราบปรามในช่วงระหว่างเดือนมกราคม-สิงหาคม 2540 สามารถจับกุม น้ำมันลักลอบหนีภาษีได้จำนวน 2,092,667 ลิตร ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 4.6 ล้านลิตร
5. การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในเดือนกรกฎาคม 2540 มีปริมาณ 1,512.8 ล้านลิตร ลดลงจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน 57 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราร้อยละ 3.8 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะมีปริมาณ 1,476.0 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราร้อยละ 3
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่ 2
สรุปสาระสำคัญ
1. ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยนำผู้แทนส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องเดิน ทางไปร่วมการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งที่สอง ณ เมืองเอดมันตัน มณฑลอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 26-27 สิงหาคม 2540
2. ผลการประชุมรัฐมนตรีพลังงาน ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในแนวทางที่สำคัญดังนี้
2.1 เห็นชอบร่วมกันตามแนวทางที่ได้เห็นชอบไว้ในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค ครั้งแรก คือ การพัฒนาสาขาพลังงานในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค จะต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมเพื่อการพัฒนาภูมิ ภาคเอเซีย-แปซิฟิคอย่างยั่งยืนต่อไป
2.2 รับทราบผลการประชุมกลุ่มธุรกิจด้านพลังงาน (Energy Business Forum) ซึ่งจัดขึ้นควบคู่ในโอกาสเดียวกัน และที่ประชุมได้สนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนในการแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจและ การเปิดการค้าเสรีสาขาพลังงาน ด้วยการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในรูปผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producers - IPP) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producers - SPP)
2.3 รับทราบผลการดำเนินการตามแนวหลักการนโยบายที่ไม่ผูกพัน 14 ประการ (14 Non-Binding Policy Principles) ซึ่งที่ประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคครั้งแรกที่ซิดนีย์ได้เห็นชอบให้ทุก ประเทศถือเป็น แนวทางการดำเนินการด้านพลังงาน และที่ประชุมได้มีมติให้ทุกประเทศยังคงยึดถือแนวนโยบายนี้เป็นหลัก ในการพัฒนาสาขาพลังงานของตนต่อไป
2.4 เห็นชอบหลักการการปฏิบัติที่ดีที่สุดในการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในการ ผลิตไฟฟ้า (Best Practice Principles for Independent Power Producers)
2.5 เห็นชอบแนวทางการพัฒนาบริการพื้นฐานซึ่งเหมาะสมสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม โดยมีมติให้ทุกประเทศยึดถือปฏิบัติตามหลักสิ่งแวดล้อมที่ดีในการพัฒนา โครงการด้านไฟฟ้า และให้ผนวกเข้าไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติของแต่ละประเทศ
2.6 เห็นชอบข้อเสนอให้จัดทำความร่วมมือทางด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์พลังงาน และได้มีมติเห็นชอบให้มีความตกลงพหุภาคีเรื่องมาตรฐานผลิตภัณฑ์พลังงานต่างๆ โดยให้ยอมรับผลการทดสอบจากสถาบันทดสอบที่ได้ผ่านการรับรองแล้ว
3. คณะผู้แทนไทยได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ก่อนการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปค การประชุมทวิภาคีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และรัฐบาลมณฑลอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 การประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการก่อนการประชุมรัฐมนตรี พลังงาน เอเปคเพื่อกำหนดท่าทีของกลุ่มอาเซียนในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคให้ เป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดยรัฐมนตรีพลังงานอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเร่งเปิดเสรีการค้าด้านพลังงานของเอเปคให้เร็ว กว่ากำหนด โดยทั้ง 3 ประเทศประสงค์จะให้กลุ่มอาเซียนสนับสนุนการค้าเสรีของกลุ่มเอเปคตามกำหนด ระยะเวลาซึ่งกลุ่มเอเปคได้เห็นชอบกันแต่เดิม คือ สำหรับประเทศกำลังพัฒนากำหนดให้เปิดเสรีสาขาพลังงานในปี ค.ศ. 2020
3.2 การประชุมทวิภาคีกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ฝ่ายไทยได้ขอบคุณสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงิน โดยผ่านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และได้ขอร้องให้ทางฝ่ายจีนจัดทำ Statement of Confidence จากผู้นำจีน เพื่อแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าฝ่ายจีนยังมีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งแสดงถึงความเป็นมิตรที่ดีต่อกัน ซึ่งในเรื่องนี้ฝ่ายจีนได้แจ้งว่ายินดีที่จะดำเนินการให้ต่อไป นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงความร่วมมือด้านการพัฒนาถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกัน รวมทั้งการศึกษาโครงการผลิตไฟฟ้าในมณฑลยูนนานและขายไฟฟ้าให้แก่ไทย โดยฝ่ายไทยจะส่งผู้แทนไปพบกับฝ่ายจีน เพื่อดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
3.3 การประชุมทวิภาคีกับรัฐบาลมณฑลอัลเบอร์ต้า ฝ่ายไทยได้เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรีมณฑลอัลเบอร์ต้า และได้มีการหารือด้านความร่วมมือทางด้านการพัฒนาหินน้ำมัน (Oil shale) ในประเทศไทย โดยฝ่ายรัฐบาลอัลเบอร์ต้ายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและเทคโนโลยี การพัฒนาหินน้ำมันแก่ไทย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 การแก้ไขสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียมระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม กับ บริษัทสุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด ได้มีหนังสือถึงกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขอยกเลิกหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาจำนวน 1,400 ล้านบาท (หนึ่งพันสี่ร้อยล้านบาทถ้วน) ที่บริษัทฯ ได้วางไว้กับกระทรวงอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่มีการลงนามในสัญญา เนื่องจาก บริษัทฯ เห็นว่าในระหว่างการก่อสร้างโรงกลั่นปิโตรเลียม บริษัทฯ มีภาระทางด้านการเงินจำนวนมาก จึงขอให้รัฐบาลช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการเงินโดยอ้าง มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540
2. การยกเลิกหนังสือค้ำประกันตามคำร้องขอของบริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด ไม่สามารถดำเนินการได้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเรื่อง ข้อเสนอปรับปรุงกฎเกณฑ์เพื่อส่งเสริมการแข่งขันของโรงกลั่นปิโตรเลียม ซึ่งเป็นการแก้ไขสัญญาของโรงกลั่นปิโตรเลียม 4 รายคือ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยออยล์ จำกัด, บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด, และบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด เพื่อยกเลิกการเก็บเงินผลประโยชน์พิเศษ รวมทั้ง ให้ดำเนินการเช่นเดียวกัน หากได้รับการร้องขอจากโรงกลั่นปิโตรเลียมอีก 3 ราย คือ บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด, บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด, และบริษัท ไทยบิทูเมน จำกัด ดังนั้นหากจะดำเนินการตามคำร้องขอของบริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบก่อน
3. การกำหนดให้ต้องมีการค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาเกิดจากในอดีตรัฐควบคุมการ จัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียม จึงต้องใช้การค้ำประกันเป็นเครื่องมือบังคับให้ผู้รับอนุญาตจัดตั้งโรงกลั่น ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาอย่างจริงจังและภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ในปัจจุบันรัฐเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมได้อย่างเสรี และยกเลิกการกำหนดให้ผู้ขออนุญาตจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมต้องทำสัญญากับ กระทรวงอุตสาหกรรม ทำให้ไม่ต้องมีการยื่นหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญากับรัฐอีกต่อไป
4. บริษัท สุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด เป็นผู้รับอนุญาตจัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียมรายสุดท้ายในช่วงของการควบคุมการ จัดตั้งโรงกลั่นปิโตรเลียม และเป็นรายเดียวที่ยังมีหนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาต่อรัฐ เนื่องจากระยะเวลาในการก่อสร้างโรงกลั่นตามสัญญายังไม่สิ้นสุด
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น ปิโตรเลียมเพื่อการส่งออก ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรมกับ บริษัทสุโขทัยปิโตรเลียม จำกัด เพื่อยกเลิกข้อ 4 ผลประโยชน์ตอบแทนแก่รัฐ ข้อ 5 เงินผลประโยชน์พิเศษ และข้อ 14 หนังสือค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาจัดสร้างและประกอบกิจการโรงกลั่น ปิโตรเลียมเพื่อการส่งออก ฉบับลงวันที่ 23 สิงหาคม 2539 และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปดำเนินการลงนามในสัญญาดังกล่าวโดยเร็ว ต่อไป
เรื่องที่ 5 แนวทางในการเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐวิสาหกิจทางด้านพลังงานมีทั้งหมด 6 แห่งคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (ปตท. สผ.) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (บจป.) และมีกิจการด้านพลังงานที่รัฐหรือรัฐวิสาหกิจถือหุ้นอยู่ (ไม่รวมกิจการด้านปิโตรเคมี ซึ่ง ปตท. ถือหุ้น) อีก 9 แห่ง คือ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด, บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (EGCO), บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด, บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด, บริษัท Thai LNG Power จำกัด, บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด, บริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด, และบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบิน กรุงเทพ จำกัด
2. การดำเนินการเพื่อเพิ่มบทบาทของภาคเอกชนในกิจการด้านพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ที่สำคัญ คือ การกระจายหุ้นให้ประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ การกระจายหุ้นของบริษัท ปตท. สผ. EGCO และ บจป. การดำเนินการส่งเสริมเอกชนลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้า ได้แก่ โครงการ IPP และ SPP รวมทั้งการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศลาว พม่า และ จีน ซึ่งจะทำให้ลดภาระการลงทุนของ กฟผ. ในด้านการผลิตไฟฟ้าลงได้ สำหรับกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติเป็นกิจการผูกขาดโดยธรรมชาติ (Natural Monopoly) ดังนั้น การเพิ่มบทบาทเอกชนจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการแปรรูปและปรับโครงสร้าง เพื่อเพิ่มการแข่งขันและหลีกเลี่ยงการโอนกิจการผูกขาดของรัฐไปเป็นการผูกขาด ของเอกชน
3. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับการแปรรูปกิจการด้านพลังงาน ได้แก่ กฟผ. กฟน. กฟภ. และ ปตท. ดังนี้
3.1 กำหนดให้แยกโรงไฟฟ้าพลังความร้อนของ กฟผ. จัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด และขายหุ้นให้ประชาชน/เอกชน โดย กฟผ. จะเหลือธุรกิจสายส่งและการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ ซึ่งจะยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจต่อไป โดยในช่วงแรก กฟผ. จะเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตต่างๆ (Central Supplier) แต่ในช่วงต่อไปจะเปิดให้มีการซื้อขายไฟฟ้าโดยตรงระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้ ไฟฟ้า โดยใช้บริการสายส่งและสายจำหน่ายของการไฟฟ้า ทั้งนี้รัฐจะเป็นผู้กำกับดูแลอัตราค่าใช้บริการ (Wheeling Charge) นอกจากนี้จะมีการจัดตั้ง Electricity Pool ในการซื้อขายไฟฟ้า โดยในขณะนี้ กฟผ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาซึ่งสรุปผลได้ว่า ควรมีการจัดตั้งบริษัทย่อย ของ กฟผ. รวม 10 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า 3 บริษัท และบริษัทสนับสนุนอื่นๆ 7 บริษัท ส่วนในด้านการกำกับดูแลนั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อพิจารณารูปแบบการกำกับดูแลที่เหมาะสมซึ่งจะ สอดคล้องกับรูปแบบโครงสร้างกิจการไฟฟ้าดังกล่าวในอนาคต
3.2 กำหนดให้ กฟภ. ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่ให้มีการจัดตั้งบริษัทในเครือ 4 แห่งเพื่อรับผิดชอบกิจการจำหน่ายไฟฟ้าในแต่ละภาค
3.3 กำหนดให้ กฟน. ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่แยกกิจการบางประเภทออกเป็นบริษัทในเครือ ได้แก่ บริษัทบริการระบบไฟฟ้า บริษัทออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์คอนกรีต และบริษัทบริการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (ESCO)
3.4 กำหนดให้มีการแปรรูป ปตท. และกระจายหุ้นให้ประชาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งขณะนี้ ปตท. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อพิจารณาในรายละเอียดการแปรรูปและกระจายหุ้น ในขณะเดียวกัน สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซ ธรรมชาติ เพื่อส่งเสริมให้มี การแข่งขันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในการให้ผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติขายก๊าซฯได้โดยตรงแก่ผู้ใช้ โดยใช้บริการท่อ (Third Party Access) และให้เอกชนลงทุนในบางส่วนของระบบท่อก๊าซฯ
4. แนวทางในการเร่งแปรรูปกิจการด้านพลังงานโดยการลดบทบาทของรัฐ ดำเนินการได้โดยแบ่งเป็น ระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว ดังนี้
4.1 การขายหุ้นของรัฐที่ดำเนินการได้เร็ว มีดังนี้
(1) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด(บจป .) มีกระทรวงการคลังถือหุ้น 48% ควรหาStrategic Investor เข้าถือหุ้นแทนในส่วนนี้ ซึ่งจะทำให้กระทรวงการคลังได้รับเงิน 3,758 ล้านบาท ในกรณีที่ขายหุ้นได้ 15 บาท/หุ้น ในส่วนของ ปตท. ที่ถือหุ้นอยู่ 24% ควรพิจารณาหา Strategic Partner เข้าถือหุ้นแทนเช่นกัน
(2) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด ปัจจุบัน กระทรวงการคลังถือหุ้น 12.5% ซึ่งการถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ก็เพื่อความมั่นคงในการจัดหาน้ำมัน แต่ภายใต้สภาวะการณ์แข่งขันของตลาดน้ำมันในปัจจุบันไม่มีความจำเป็นแล้ว ประกอบกับการถือหุ้นในระดับ 12.5% ไม่มีอำนาจเพียงพอในการกำหนดนโยบายของบริษัทฯ หรือ ทิศทางการบริหารงานของบริษัทฯ จึงเห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปเจรจากับบริษัท เอสโซ่ฯ เพื่อขายหุ้นคืนทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะได้เงินอย่างน้อย 4,000 ล้านบาท
(3) ปตท.สผ. มี ปตท. ถือหุ้น 70.98% และประชาชน 29.02% เนื่องจากเงื่อนไขเงินกู้ของ ปตท.สผ. กำหนดให้ ปตท. ต้องถือหุ้นอย่างน้อย 51% จึงเสนอให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. ลงเหลือ 49-51% โดยจำหน่ายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่ง ปตท. จะมีรายได้ประมาณ 25,000 ล้านบาท และให้ ปตท. นำเงินดังกล่าวส่งคลังต่อไป
(4) บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (EGCO) ปัจจุบัน กฟผ. ถือหุ้นใน EGCO ถึง 40.7% จึงทำให้ EGCO ไม่สามารถเข้าร่วมในการประมูล IPP ได้ เพราะจะเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น จึงควรให้ กฟผ. ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 0% โดย EGCO ควรสรรหา Strategic Partner เข้าถือหุ้นแทน ซึ่งจะทำให้มีรายได้ประมาณ 13,765 ล้านบาท
4.2 การขายหุ้นของรัฐที่จะดำเนินการในขั้นต่อไป มีดังนี้
(1) การแปรรูป กฟผ. โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ในบริษัทผลิตไฟฟ้าที่จะจัดตั้งขึ้นแต่ละบริษัทเหลือ 49% โดยการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ และหากยังมีความจำเป็นในการลดบทบาทของ กฟผ. ก็ให้ลดสัดส่วนของ กฟผ. เหลือ 0% โดยหา Strategic Investor ที่เหมาะสม สำหรับระยะเวลาในการขายหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าแต่ละบริษัทให้คำนึงถึงปัจจัย ต่างๆ ประกอบด้วย ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมควรเป็นดังนี้ บริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 1 (บางปะกง) มิถุนายน 2541, บริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 3 (แม่เมาะ) มีนาคม 2542, และบริษัทผลิตไฟฟ้าที่ 2 (ราชบุรี) มีนาคม 2543 ตามลำดับ โดยรายได้สุทธิจากการขายหุ้นส่วนหนึ่ง อาจนำไปชำระหนี้สินของ กฟผ. และกระทรวงการคลังอาจกำหนดให้นำเงินส่งคลังอีกจำนวนหนึ่ง
(2) การแปรรูป ปตท. ควรดำเนินการหลังจากการกำหนดนโยบายการแปรรูปกิจการ ก๊าซธรรมชาติแล้วเสร็จ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อยุติภายในเดือนตุลาคม 2540 นี้ สำหรับแนวทางการแปรรูป ปตท. ให้ดำเนินการแยกกิจการท่อก๊าซธรรมชาติ (Main System) ออกเป็นบริษัทจำกัด และกำหนดให้เป็น Common Carrier รวมทั้งให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท.ลงเหลือ 49% ส่วนกิจการอื่นของ ปตท. อาจแยกเป็นบริษัทลูกภายใต้ Holding Company ที่ตั้งขึ้นใหม่ โดยขั้นแรกปตท. อาจถือหุ้น 100% แล้วจึงนำ Holding เข้าตลาด หลักทรัพย์ฯ โดยลดสัดส่วนการถือหุ้นของ ปตท. เหลือ 49% และควรทยอยดำเนินการ โดยเริ่มจากการกระจายเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระดับ 30% ก่อนแล้วจึงเพิ่มเป็น 51% ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม 2541 และจะทำให้รัฐมีรายได้ประมาณ 153,000 ล้านบาท นอกจากนี้ให้ ปตท. เจรจากับบริษัทเชลล์ฯ และบริษัทคาลเท็กซ์เพื่อขายหุ้นให้บริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด และบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด ตามลำดับ และให้ ปตท. ซื้อหุ้นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด จากบริษัทเชลล์ฯ และบริษัทคาลเท็กซ์ฯ
(3) การแปรรูป กฟน. และ กฟภ. เนื่องจากกิจการจำหน่ายไฟฟ้าเป็นกิจการผูกขาด ซึ่งการดำเนินการแปรรูปเป็นเอกชนจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับทั้งพระราช บัญญัติการไฟฟ้านครหลวง และพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมทั้งมีการออกกฎหมายใหม่ในการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า ดังนั้น ในระยะสั้นสมควรมีการพิจารณาว่ามีธุรกิจใดของ กฟน. และ กฟภ. ที่ควรแปรรูปหรือยกเลิก ซึ่ง สพช. เห็นว่า ธุรกิจผลิตภัณฑ์คอนกรีต (ทำเสาไฟฟ้า) น่าจะเป็นธุรกิจที่มีความเหมาะสมที่จะขายให้เอกชนไปดำเนินการได้ในช่วง 2 ปีนี้
4.3 การขายหุ้นของรัฐในระยะยาว ได้แก่ การขายหุ้นใน บริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด, บริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด, และบริษัท Thai LNG Power จำกัด
4.4 การเพิ่มบทบาทเอกชนในโครงการใหม่ มีดังนี้
(1) กฟผ. สามารถเปลี่ยนโครงการทับสะแกที่กำหนดให้ กฟผ. ดำเนินการเอง เป็นการเปิดประมูล IPP ในรอบต่อไปแทนได้หากยังมีความจำเป็น รวมทั้งสามารถขายโรงไฟฟ้าลำตะคองแบบสูบกลับ ให้เอกชนได้ เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับการชลประทาน โดยอาจแยกเป็นบริษัทที่ 4 หรือผนวกไว้กับบริษัท ผลิตไฟฟ้าบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็ได้
(2) การลงทุนในการขยายระบบท่อก๊าซฯ ของ ปตท. บางเส้นอาจให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการขายหุ้นของรัฐที่ดำเนินการได้เร็วตามข้อ 4.1 โดยให้ ปตท. รับไปพิจารณาขายหุ้นของ ปตท.ในบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ให้แก่ Strategic Investor ที่เหมาะสมด้วย ทั้งนี้ ให้หน่วยงานดังต่อไปนี้รับไปจัดทำรายละเอียดแล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (กพช.) ภายใน 1 เดือน ดังนี้
(1) บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) : กฟผ., บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด, กระทรวงการคลัง, และ สพช.
(2) บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) : ปตท., กระทรวงอุตสาหกรรม, กระทรวงการคลัง, และ สพช.
(3) บริษัท บางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) : กระทรวงการคลัง, สพช., บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด และ ปตท.
(4) บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด : กระทรวงการคลัง และสพช.
2.รับทราบแนวทางในการแปรรูป กฟผ. และ ปตท. ตามข้อ 4.2 (1)-(2) 4.3 และ 4.4 โดยมอบหมายให้ กฟผ. ปตท. และ สพช. เร่งดำเนินการศึกษาแนวทางในการแปรรูปในข้อ 4.2 (1)-(2) ให้แล้วเสร็จโดยเร็วและศึกษาความเหมาะสมของแนวทางในการแปรรูปเพิ่มเติมตาม ข้อ 4.4 แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ภายในเดือนพฤศจิกายน 2540
3.ให้ กฟน. และ กฟภ. จัดทำรายละเอียดในการแปรรูปกิจการผลิตภัณฑ์คอนกรีต แล้วนำเสนอ กพช. ภายใน 1 เดือน
เรื่องที่ 6 การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา
สรุปสาระสำคัญ
1. ในปี 2535 รัฐบาลมีนโยบายยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเตา ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม โดยให้เก็บเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเพียงประเภทเดียว แต่คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน มีความเห็นว่า น้ำมันเตาในช่วงนั้นยังมีคุณภาพไม่ดีเท่าที่ควร จึงได้เสนอให้ยังคงจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา โดยปัจจุบันมีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตากำหนดเป็นมูลค่าที่ 17.5% ของราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ภาษีเทศบาลเท่ากับ 10% ของภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.06 บาท/ลิตร กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 0.01 บาท/ลิตร และภาษีมูลค่าเพิ่ม 10%
2. ในปี 2537 ได้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาให้ดีขึ้น โดยการลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตาที่จำหน่ายในกรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ เป็นไม่เกิน 2% โดยน้ำหนัก ซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2537 ส่วนในเขตจังหวัดอื่น ให้ลดลงเป็นไม่เกิน 2-3% โดยน้ำหนัก และจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2541 นอกจากนี้รัฐบาลยังได้กำหนดคุณภาพน้ำมันเตาที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้มงวดกว่าน้ำมันที่จำหน่ายทั่วไป โดยจะต้องใช้น้ำมันเตาที่มีปริมาณกำมะถันโดยเฉลี่ยต่อเดือนไม่สูงกว่า 2% และ 1.7% โดยน้ำหนัก ตามลำดับ รวมทั้งได้มีการกำหนดมาตรฐานการระบายของทั้ง โรงไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรม
3. จากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นแบบลอยตัว ทำให้ค่าเงินบาทลดลงและได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง โดยเฉพาะ กฟผ. แม้ว่าจะสามารถเพิ่มค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติตาม ราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น แต่ก็ยังคาดว่า กฟผ. จะประสบการขาดทุนในปีงบประมาณ 2540 และคาดว่าในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับ 35 บาท/เหรียญสหรัฐฯ จะต้องมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2540 อันเป็นผลจากผลกระทบของค่าเงินบาทต่อภาระหนี้สินของการไฟฟ้า ในระดับ 15 สตางค์/กิโลวัตต์ชั่วโมง
4. การเก็บภาษีสรรพสามิตทำให้ราคาน้ำมันเตาสูงกว่าที่ควร ในขณะที่เชื้อเพลิงอื่นที่ใช้ทดแทน น้ำมันเตาไม่ถูกเก็บภาษีสรรพสามิต จึงเป็นผลให้น้ำมันเตาเสียเปรียบเชื้อเพลิงอื่นและเกิดการบิดเบือน การตัดสินใจเลือกใช้เชื้อเพลิงของโรงงานอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า ประกอบกับรัฐบาลได้กำหนดนโยบาย ในการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาให้ดีขึ้นและมีการกำหนดมาตรฐานการระบายของโรง ไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างเข้มงวด ฉะนั้นในหลักการจึงไม่ควรมีการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาอีกต่อไป โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าน้ำมันเตาจะมีเหลือต้องส่งออกประมาณ 3,000 ล้านลิตร ในขณะที่ประเทศไทยต้องนำเข้าถ่านหินและก๊าซธรรมชาติจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นการสูญเสียเงินตราต่างประเทศโดย ไม่จำเป็น
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงได้จัดทำข้อเสนอการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา เป็น 2 ทางเลือก คือ ยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา หรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาลงเหลือร้อยละ 8 ของมูลค่า ซึ่งจะมีผลทำให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีปี 2541 ประมาณ 9,807 ล้านบาท สำหรับทางเลือกที่ 1 และ 5,324 ล้านบาท สำหรับทางเลือกที่ 2 แต่จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ขายให้ประชาชนลดลง 6 และ 3 สตางค์/กิโลวัตต์ชั่วโมง ตามลำดับ ซึ่งจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นในช่วง ปลายปี
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการว่าไม่ควรมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา แต่ในขณะนี้เห็นควรให้ยังคงจัดเก็บภาษีตามเดิมไปก่อน จนกว่าฐานะการเงินการคลังของประเทศจะอยู่ในภาวะที่เหมาะสมแล้ว จึงพิจารณาดำเนินการให้มีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาต่อไป
เรื่องที่ 7 นโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดเดียวที่มีการควบคุมราคา โดยราคาขายปลีกและราคาขายส่งที่กำหนดในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่าที่ควรจะ เป็น เมื่อเทียบกับราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งกำหนดโดยอิงกับราคา LPG ในตลาดโลก ทำให้ต้องจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยให้แก่ผู้ผลิตก๊าซ LPG ประกอบกับการกำหนดนโยบายราคาขายส่ง ณ คลังก๊าซเท่ากันทั่วประเทศทำให้ต้องจ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซให้แก่การ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) อีกส่วนหนึ่ง ในขณะที่อัตราภาษีสรรพสามิตของ LPG เท่ากับ 2.17 บาท/กิโลกรัม ราคาขายปลีกของก๊าซหุงต้มเท่ากับ 10.75 บาท/กิโลกรัม และค่าการตลาดเท่ากับ 2.3566 บาท/กิโลกรัม
2. จากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นแบบลอยตัว และการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่า กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถรับภาระจ่ายเงินชดเชยได้จนถึงเดือนกันยายน 2540 เท่านั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG โดยพิจารณาเพิ่มราคาขายปลีกและหรือลดอัตราภาษีสรรพสามิตของ ก๊าซ LPG และหรือเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันชนิดอื่น
3. ในหลักการไม่ควรมีการเก็บภาษีสรรพสามิตจากก๊าซ LPG ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม ควรเก็บเฉพาะที่ใช้กับยานพาหนะ และเนื่องจากก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดและก่อให้เกิดมลพิษน้อยกว่าน้ำมันเตา ประกอบกับกำลังผลิตก๊าซ LPG ในปัจจุบันสูงกว่าความต้องการใช้ในประเทศ จึงควรส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซ LPG แทนการใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าหรือใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตก๊าซ LPG ให้ต่ำลง
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดทำข้อเสนอนโยบายราคาก๊าซ LPG เพื่อแก้ไขปัญหากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งไม่สามารถรับภาระจ่ายเงินค่าชดเชยก๊าซ LPG อีกต่อไป และเพื่อให้ราคาก๊าซ LPG สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง โดยกำหนดเป็น 3 แนวทาง ดังนี้
- แนวทางที่ 1 : ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซ LPG และยกเลิกการกำหนดราคาขายส่ง LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น
- แนวทางที่ 2 : ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซ LPG แต่ยังคงชดเชยค่าขนส่ง LPG เพื่อให้ราคาขายส่ง LPG ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น
- แนวทางที่ 3 : ไม่เปลี่ยนแปลงราคาขายปลีก LPG และยังคงระบบการกำหนดราคา LPG เช่นเดิม โดยใช้มาตรการด้านภาษีและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อรักษาระดับราคา LPG ได้แก่
พลิงของน้ำมันชนิดอื่น พร้อมลดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อให้ราคาขายปลีกคงที่
ในการดำเนินการตามแนว
(1) ลดอัตราภาษีสรรพสามิต LPG
(2) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันชนิดอื่น
(3) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเ
ทางที่ 1 และ 2 จะต้องมีการดำเนินการเพื่อเพิ่มการแข่งขันในตลาด การค้าก๊าซ LPG ก่อน โดยการยกเลิกการควบคุมการนำเข้า และให้ ปตท. ให้บริการเป็นผู้รับจ้างขนส่งและเก็บรักษาก๊าซของผู้ค้าก๊าซทุกราย (Third Party Access) โดยผู้ค้าก๊าซทุกรายสามารถจะใช้บริการคลังก๊าซภูมิภาคของ ปตท.
5. การดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ จะมีผลกระทบดังต่อไปนี้
5.1 แนวทางที่ 1 และ 2 ราคาขายส่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มของก๊าซ LPG จะเพิ่มขึ้นเท่ากับอัตราเงิน ชดเชย และราคาขายปลีกในส่วนกลางจะสูงขึ้นเท่ากันทั้ง 2 แนวทาง ส่วนราคาขายปลีกในส่วนภูมิภาคตามแนวทางที่ 1 จะสูงขึ้นตามส่วนกลางบวกกับค่าขนส่งไปยังแต่ละพื้นที่ แต่แนวทางที่ 2 จะไม่เปลี่ยนแปลง โดยทั้ง 2 แนวทาง ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่น ๆ จะลดลงตามอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ลดลง
5.2 แนวทางที่ 3 (1) เป็นการลดอัตราภาษีสรรพสามิตเป็นศูนย์ และเพิ่มอัตรากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันชนิดอื่นให้เพียงพอกับการจ่ายชดเชยก๊าซ LPG ดังนั้น จะกระทบต่อราคาขายปลีกของน้ำมันชนิดอื่น ๆ ยกเว้นก๊าซ LPG
5.3 แนวทางที่ 3 (2) การเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันเบนซิน ดีเซลหมุนเร็ว ดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตาจะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันดังกล่าวเพิ่มขึ้นเท่ากัน ในขณะที่ตาม แนวทางที่ 3 (3) การเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันชนิดดังกล่าวไม่มีผลต่อราคา ขายปลีก เนื่องจากได้ลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดังกล่าวเท่ากัน
5.4 ทางเลือกที่ 1, 2, 3 (2) ประชาชนโดยรวมมิได้จ่ายเงินมากขึ้น เพราะถ้ามีการยกเลิกการ ควบคุมราคาก็จะมีการลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันต่างๆ เพื่อชดเชยราคา LPG ด้วย โดยราคาน้ำมันจะลดลง ในขณะที่ราคา LPG จะสูงขึ้นบ้าง ซึ่งจะเป็นธรรมสำหรับประชาชนในชนบทซึ่งใช้น้ำมัน แต่ต้องจ่ายเงินชดเชยให้ LPG ผ่านราคาน้ำมันมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ LPG มีการใช้ในเขตเมืองเป็นส่วนใหญ่ ส่วนทางเลือกที่ 3 (1) และ (2) แม้ว่าประชาชนไม่ต้องซื้อน้ำมันและก๊าซที่แพงขึ้น แต่รัฐก็จะขาดรายได้ภาษีกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งอาจต้องมีการตัดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมหรือเพิ่มภาษีประเภทอื่น
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า ในหลักการควรดำเนินการตามข้อเสนอในแนวทางที่ 1 เพราะจะทำให้ราคาก๊าซ LPG สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงมากที่สุด แต่เนื่องจากจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในชนบทมากเกินไป จึงควรบรรเทาผลกระทบ โดยในขั้นแรกให้ดำเนินการตามข้อเสนอในแนวทางที่ 2 ไปก่อน และเมื่อสภาวการณ์เหมาะสมจึงค่อยดำเนินการยกเลิกการชดเชยค่าขนส่งก๊าซฯ ต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอปรับปรุงนโยบายราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ตามแนวทางที่ 2 ทั้งนี้ ให้นำระบบลอยตัวเต็มที่ หรือ ระบบกึ่งลอยตัวมาใช้ และให้พิจารณาลดอัตราภาษีสรรพสามิตและปรับปรุงสูตรราคา ณ โรงกลั่น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่จะมีต่อประชาชน โดย
1.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง ในการลดอัตราภาษีสรรพสามิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว และมอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปพิจารณาปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่น
2.ให้นำผลการดำเนินการตามข้อ 1 เสนอต่อคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเพื่อพิจารณากำหนดโครงสร้างราคาและ ขั้นตอนปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้ง ดำเนินการออกประกาศและประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ในการกำหนดราคาต่อไป
เรื่องที่ 8 แนวทางในการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2538 เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในเรื่องแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (พ.ศ. 2538-2554) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ทำการศึกษาความเหมาะสมของสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และนำเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ เพื่อใช้เป็น แนวทางในการวางแผนพัฒนาพลังงานในอนาคตต่อไป
2. กฟผ. ได้ดำเนินการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษา Electronic Data Systems Corporation (EDS) ทำการศึกษาถึงความเหมาะสมในการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน และได้จัดทำรายงานผลการศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย กฟผ. ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และ สพช. ร่วมพิจารณาผลการศึกษาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศ เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2540 ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นว่าผลการศึกษาของ บริษัทที่ปรึกษา EDS ดังกล่าว อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เนื่องจากได้คำนึงถึงประเด็นที่สำคัญต่างๆ ไว้อย่างเพียงพอ
3. ผลการศึกษาการซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศของบริษัทที่ปรึกษาดังกล่าว ได้ข้อสรุปที่สำคัญดังนี้
3.1 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเดียว ไม่เกินร้อยละ 13 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.2 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 2 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 25 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.3 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 3 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 33 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
3.4 จำกัดการรับซื้อไฟฟ้าจาก 4 ประเทศ ไม่เกินร้อยละ 38 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด
ทั้งนี้ ในการรับซื้อไฟฟ้าจากหลายประเทศ จะต้องจำกัดให้การรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งไม่เกินร้อยละ 13 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดด้วย
4. ในปัจจุบันการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านได้ขยายตัวออกไปอย่างมาก โดยรัฐบาลไทยได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 และรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่าในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2553 ขณะเดียวกันก็ได้มีการหารือเพื่อแลกเปลี่ยนนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ายูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ในโครงการไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ปริมาณ 1,200 เมกะวัตต์ แต่ความร่วมมือในการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวยังไม่มีข้อตกลงอย่างเป็นทางการใน ระดับรัฐบาลของทั้งสองประเทศ
5. เพื่อให้การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการพลังน้ำจิงหงคืบหน้าต่อไป รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) จึงได้พิจารณาเห็นสมควรให้มีการเดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็น ทางการ เพื่อเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ซึ่งยังอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากภายนอกประเทศ โดย สพช. ได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งสาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ได้กำหนดให้ กฟผ. หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมาย รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ได้ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ. 2558) และได้กำหนดให้รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องยินยอมให้ผู้ลงทุนไทยมีส่วน ร่วมในการดำเนินโครงการ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบกับข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากภายนอกประเทศตามที่ กฟผ. เสนอ ตามข้อ 3 ของระเบียบวาระที่ 4.5 เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ต่อไป
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย ไปเจรจากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเรื่องการขยายความร่วมมือด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ และการเจรจารับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำจิงหง ในมณฑลยูนนาน เพื่อจำหน่ายไฟฟ้า ให้แก่ประเทศไทย
3.เห็นชอบในหลักการร่างบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเจรจารับซื้อไฟฟ้ากับรัฐบาลของสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อไป
เรื่องที่ 9 หนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2534 เห็นชอบแนวทางและมาตรการในการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วน ราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณนั้นๆ โดยให้นำงบประมาณค่าสาธารณูปโภคที่ได้รับไปชำระค่าสาธารณูปโภค โดยมิให้นำไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น หากงบประมาณที่ตั้งไว้ไม่พอชำระ ให้โอนเงินงบประมาณเหลือจ่ายจากหมวดอื่นไปจ่ายชำระค่าสาธารณูปโภคส่วนที่ เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยให้ถือเป็นความสำคัญลำดับแรกของการใช้เงินเหลือจ่าย และให้รีบดำเนินการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคให้แก่รัฐวิสาหกิจผู้ขายให้แล้ว เสร็จ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับใบแจ้งหนี้
2. ปัจจุบันส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหลายแห่งยังไม่ได้ถือปฏิบัติเกี่ยวกับ มาตรการการชำระหนี้ค่าไฟฟ้าให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ทำให้เกิดหนี้สะสมเป็นจำนวนมาก ถึง 2,379 ล้านบาท แบ่งเป็นในเขตการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 1,089 ล้านบาท และเขตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 1,290 ล้านบาท
3. ส่วนการชำระเงินค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย (กฟผ.) ให้แก่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะเป็นไปตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเตา ระหว่าง กฟผ. และ ปตท. สัญญาทั้ง 2 กำหนดเงื่อนไขการชำระเงินภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ กฟผ. ได้รับใบแจ้งหนี้ มีการกำหนดเบี้ยปรับการชำระเงินล่าช้าระหว่าง กฟผ. และ ปตท. โดยคิดเบี้ยปรับเป็นรายวัน นับถัดจากวันครบกำหนดชำระในอัตราเท่ากับดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ซึ่งประกาศโดยธนาคารกรุงไทย จำกัด ณ เดือนที่ผิดนัดบวกด้วยสอง อย่างไรก็ตามหาก กฟน. หรือ กฟภ. ชำระค่าไฟแก่ กฟผ. ล่าช้า จะไม่มีเบี้ยปรับ
4. การค้างชำระค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมากรวมถึงการส่งเงินรายได้ เข้ารัฐ และการชำระค่าซื้อไฟฟ้าแก่ กฟผ. ดังนั้น การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จึงเสนอให้เรียกเก็บเงินค่าดอกเบี้ยสำหรับส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ชำระ หนี้เกินกำหนด 15 วัน ในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เช่นเดียวกับที่ได้ดำเนินการกับผู้ใช้ไฟรายใหญ่
5. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีการพิจารณาเรื่องหนี้ค่าไฟฟ้าของส่วนราชการและ รัฐวิสาหกิจเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2540 และได้มีมติ ดังนี้
5.1 ให้ส่วนราชการที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 250,000 หน่วยต่อเดือน ซึ่งจะต้องซื้อไฟฟ้าในอัตราเดียวกันกับธุรกิจเอกชนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไปอยู่แล้ว และรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง มีวิธีการชำระเงิน ค่าไฟฟ้าเช่นเดียวกับธุรกิจเอกชน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ดำเนินการแจ้งให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจดังกล่าว มาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าด้วย
5.2 ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายชำระเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระเงินค่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป หากชำระเงินเกิน 30 วัน ให้มีเบี้ยปรับโดยคิดเป็นรายวันในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ประกาศโดยธนาคารกรุงไทย บวกด้วยสอง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ส่วนราชการที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 250,000 หน่วยต่อเดือนต่อมิเตอร์ ซึ่งจะต้องซื้อไฟฟ้าในอัตราเดียวกันกับธุรกิจเอกชนทั่วไป ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไปอยู่แล้ว และรัฐวิสาหกิจทุกแห่งมีวิธีการชำระเงินค่าไฟฟ้าเช่นเดียวกับธุรกิจเอกชน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ดำเนินการแจ้งให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจดังกล่าว มาทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าด้วย
2.ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายชำระเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ได้รับใบแจ้งหนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการชำระเงินค่าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไป หากชำระเงินเกิน 30 วัน ให้มีเบี้ยปรับโดยคิดเป็นรายวันในอัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำของเงินกู้เบิกเกิน บัญชี (MOR) ประกาศโดยธนาคารกรุงไทย บวกด้วยสอง
3.ในกรณีที่การดำเนินการในข้อ 1 มีปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับเบี้ยปรับที่เกิดจากการชำระค่าไฟฟ้าเกินกำหนด ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ แล้วนำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานให้ความเห็นชอบเพื่อให้ส่วนราชการ ถือปฏิบัติต่อไป
เรื่องที่ 10 ราคาก๊าซธรรมชาติที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยจำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2540 อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฝ่ายเศรษฐกิจ เรื่อง รายงานการดำเนินการแก้ไขปัญหาการส่งออก โดยในเรื่อง ค่ากระแสไฟฟ้าและพลังงาน ได้ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ในโครงสร้างราคาเดียวกับที่จำหน่ายให้ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ซึ่งต่อมา ปตท. ได้ขอให้พิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงปริมาณจำหน่ายก๊าซฯ ที่แตกต่างกัน ระหว่าง IPP กับSPP รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการส่งก๊าซฯ และความเสี่ยงในการจัดการบริหารสัญญาซึ้อขายก๊าซธรรมชาติ
2. นโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ได้มีการกำหนดราคาและเงื่อนไขการซื้อขายก๊าซธรรมชาติ สำหรับสัญญาระยะยาวที่มีความแน่นอน (Firm) ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) หรือคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยมีการกำหนดหลักการของการกำหนดราคาไว้ ดังนี้
ราคาก๊าซธรรมชาติ = ราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซ + ค่าตอบแทนในการจัดหา และจำหน่าย + ค่าผ่านท่อ
โดยกำหนดค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายเท่ากับ 1.75% ของราคาเนื้อก๊าซฯ หลักการ ดังกล่าว ในขณะนี้มีการนำไปใช้กับราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. จำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ IPP แต่ยังไม่ได้มีการนำไปใช้สำหรับ SPP โดยสูตรราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. ขายให้ SPP ในปัจจุบัน เป็นดังนี้
ราคาก๊าซธรรมชาติของ SPP = ราคาก๊าซฯ ที่ กฟผ. ซื้อ + X · Wy/Wo
โดยที่ X = ค่าการตลาดที่มีค่าเบื้องต้นที่ 11 บาทต่อล้านบีทียู และจะมีค่าลดลงตามปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากซื้อก๊าซฯ ในปริมาณสูงมากกว่า 500 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ค่า X จะเท่ากับ 0
Wy = ดัชนีราคาขายส่ง (Wholesale Price Index) ในช่วงเวลา y
5. สูตรราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้ SPP ดังกล่าว ทำให้ราคาขายก๊าซฯ สูงกว่าราคาขายให้ IPP ทั้งๆ ที่เป็นกิจกรรมการผลิตไฟฟ้าเหมือนกัน ดังนั้น SPP จึงขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซฯ บางประการ โดยเฉพาะในเรื่องสูตรราคาขาย และการกำหนดปริมาณก๊าซฯ ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าของ SPP ลดลงประมาณ 9.5 สตางค์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ จะทำให้ ปตท. ขาดรายได้จากที่ควรจะได้รับไปประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี
6. ปตท. ได้เสนอใช้สูตรราคาเหมือน IPP แต่กำหนดค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายในระดับ 9.33% ของราคาเนื้อก๊าซฯ แทนที่จะเป็น 1.75% เช่นในกรณีของ IPP ดังนี้
ราคาขายก๊าซฯ ของ SPP = ค่าเนื้อก๊าซ (Pool 3) + ค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่าย (9.33% หรือ 6.4177 บาท/ล้านบีทียู) + ค่าผ่านท่อ
7. สพช. ปตท. และ SPP ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2540 และ 3 กันยายน 2540 เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้สัญญาดังกล่าวมีความสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP จนได้ข้อยุติในประเด็นที่สำคัญๆ และ ปตท. ได้จัดทำร่างสัญญามาตรฐานแล้ว ซึ่งประกอบด้วยการแก้ไขในประเด็นสำคัญๆ เช่น ปริมาณก๊าซฯ ที่ซื้อขาย คุณภาพก๊าซฯ และระดับความดันก๊าซฯ Make Up Period ระยะเวลาทดสอบ ความรับผิดชอบของ ปตท. ในกรณีส่งก๊าซฯ ไม่ได้คุณภาพตามที่กำหนดในสัญญา และระยะเวลาการชำระเงิน
มติของที่ประชุม
1.รับทราบการดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้สอดคล้องกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ตามแนวทางการแก้ไขในข้อ 5 ของระเบียบวาระที่ 4.7
2.เห็นชอบโครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. ขายให้กับ SPP ตามที่ ปตท. เสนอในข้อ 4 ของระเบียบวาระที่ 4.7
3.มอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการแก้ไขสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ SPP เพื่อให้เป็นไปตามร่างสัญญามาตรฐานตามเอกสารแนบ 3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7 และเพื่อให้ราคาซื้อขายเป็นไปตามโครงสร้างราคาใหม่ ทั้งนี้ให้โครงสร้างราคาขายใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2540
4.สำหรับ SPP ที่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญาให้ ปตท. ยึดถือร่างสัญญามาตรฐานตามเอกสารแนบ 3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7 และโครงสร้างราคาใหม่เป็นหลักในการดำเนินการ
5.มอบหมายให้ สพช. และ ปตท. พิจารณาความเหมาะสมของโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติและสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติที่ ปตท. จำหน่ายให้กับผู้ใช้ก๊าซประเภทอื่นๆ นอกจาก IPP และ SPP โดยกำหนดประเภทผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติที่เป็นลูกค้าของ ปตท. เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าและในกระบวนการผลิต และกลุ่มผู้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบในการผลิต ทั้งนี้ โครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติดังกล่าวอาจมีลักษณะเป็นขั้นบันได โดย มีหลักการให้ผู้ใช้ก๊าซฯ ในปริมาณมากได้รับราคาที่ถูกกว่า ผู้ใช้ก๊าซฯ ในปริมาณที่น้อยกว่า แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติในเดือนมีนาคม 2532 เห็นชอบยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคใต้โดยสร้างสะพานเศรษฐกิจเชื่อมระหว่างทะเล อันดามันและอ่าวไทย ประกอบด้วย ท่าเรือน้ำลึกทั้งสองฝั่งทะเลเชื่อมโยงด้วยระบบถนน รถไฟ และท่อส่งน้ำมันมาตรฐานสูง โดยให้ ปตท. เป็นแกนนำในการพัฒนาโครงการในส่วนของกิจการที่เกี่ยวกับปิโตรเลียม และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2538 เห็นชอบให้ ปตท. ศึกษาในขั้นรายละเอียด (Feasibility Study) 3 โครงการ คือ โครงการระบบท่อส่งน้ำมันดิบกระบี่ - ขนอม โครงการโรงกลั่นน้ำมันในพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และโครงการปิโตรเคมี ซึ่ง ปตท. ได้ว่าจ้าง Fluor Daniel Inc. ดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จและในปัจจุบัน ปตท. กำลังดำเนินการศึกษาทบทวนในรายละเอียดของโครงการ เพื่อปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และเชิญชวนบริษัทที่สนใจเข้าร่วมลงทุนกับ ปตท. ซึ่งมีบางรายได้แสดงความสนใจ เช่น ITOCHU เป็นต้น
2. ตามโครงการดังกล่าวในส่วนของคลังน้ำมันจะมีการดำเนินการจัดตั้งเป็นคลัง สินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน (คสน.) เพื่อรองรับการเป็นคลังน้ำมันปลอดภาษีสำหรับการซื้อขายระหว่างประเทศใน ภูมิภาคตะวันออกไกล แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์ของรัฐในปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับการจัดตั้งคลังน้ำมัน เป็นสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็นน้ำมัน (คสน.) ดังนี้
2.1 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ให้กรมศุลกากรระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. ไว้ก่อนจนกว่าปัญหาความเสี่ยงภัยในการเกิดการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง จะได้รับการแก้ไขให้เสร็จเรียบร้อย
2.2 ประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 เรื่องระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน ข้อ 16 และระเบียบของกรมศุลกากรว่าด้วยการตรวจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและของเหลวซึ่งนำ เข้าในลักษณะ BULK CARGO กำหนดให้การนำเข้าน้ำมันของคลัง คสน. ถือปฏิบัติเช่นเดียวกันกับการนำเข้าตามปกติเพื่อใช้ในประเทศคือน้ำมันที่นำ เข้าต้องมีคุณภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนด
3. เพื่อให้สามารถจัดตั้งคลัง คสน. ได้ตามโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยสามารถเป็นศูนย์กลางการค้าปิโตรเลียมได้ใน อนาคตและจะช่วยให้มีน้ำมันสำรองในประเทศมากขึ้น จึงเห็นควรปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ โดยขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ในเรื่องการระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. โดยมิให้ใช้บังคับกับการจัดตั้งคลัง คสน. ตามโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ และให้กรมทะเบียนการค้าแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมิให้นำประกาศกำหนดคุณภาพสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศมาใช้บังคับ น้ำมันที่นำมาเก็บในคลัง คสน. และน้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ รวมทั้ง ให้มีการแก้ไขประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 ดังกล่าวข้างต้นด้วย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ เพื่อจัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน (คสน.) บริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลของประเทศ เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าปิโตรเลียมและมีน้ำมันสำรองใน ประเทศมากขึ้น โดยให้ดำเนินการปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐ ดังนี้
1.ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ในเรื่องการระงับการอนุมัติให้จัดตั้งคลัง คสน. โดยมิให้ใช้บังคับการจัดตั้ง คสน. ตามหลักเกณฑ์ที่จะได้มีการกำหนดขึ้น โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับไปศึกษาและนำเสนอหลักเกณฑ์ใน การจัดตั้งคลัง คสน. ที่เหมาะสมต่อไป
2.ให้กรมทะเบียนการค้าแก้ไขกฎเกณฑ์การควบคุมคุณภาพของน้ำมันเชื้อเพลิง มิให้นำประกาศกำหนดคุณภาพสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในประเทศ มาใช้บังคับกับน้ำมันที่นำมาเก็บในคลัง คสน. และน้ำมันที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ
3.ให้กรมศุลกากรแก้ไขประกาศกรมศุลกากร ฉบับที่ 12/2539 เรื่อง ระเบียบเกี่ยวกับคลังสินค้า ทัณฑ์บนทั่วไปสำหรับเก็บน้ำมัน มิให้นำหลักเกณฑ์วิธีการที่กรมศุลกากรถือปฏิบัติสำหรับการนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงเพื่อใช้ในประเทศ มาใช้บังคับกับการนำเข้าของคลัง คสน. เพื่อให้คลัง คสน. สามารถนำเข้า - ส่งออกและเก็บรักษาน้ำมันที่มีคุณภาพแตกต่างจากที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศ กำหนดได้
กพช. ครั้งที่ 64 - วันพุธที่ 30 กรกฎาคม 2540
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2540 (ครั้งที่ 64)
วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานผลความคืบหน้าในการเจรจาการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
3.บันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า
4.การแก้ไขปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับค่าไฟฟ้า
5.การลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตตามมติคณะรัฐมนตรี
6.ร่างแผนปฏิบัติการด้านพลังงานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544)
7.ปัญหาเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมเอกชนในการผลิตไฟฟ้าในรูปของผู้ผลิตรายเล็ก (SPP)
8.มาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
นายกร ทัพพะรังสี รองนายกรัฐมนตรี รองประธานกรรมการ เป็นประธานการประชุม
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม 2540 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดิบ ในเดือนมิถุนายนได้อ่อนตัวลงจากเดือนพฤษภาคม ในระดับ 1.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากความต้องการน้ำมันดิบเข้ากลั่นได้ลดลงและปริมาณสำรองทางการค้าของ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มสูงขึ้น ส่วนในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันดิบโดยรวมอยู่ในสภาวะทรงตัว ในระดับ 17.2 - 19.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากปริมาณการผลิตและปริมาณสำรองทางการค้าของน้ำมันดิบได้ลดลง รวมทั้งอิรัคยังไม่สามารถส่งออกน้ำมันดิบได้ สำหรับราคาน้ำมันดิบในเดือนสิงหาคมมีแนวโน้มที่จะลดลงจากระดับปัจจุบัน
2. นับตั้งแต่ต้นเดือนมิถุนายนถึงกลางเดือนกรกฎาคม ราคาของน้ำมันเบนซิน ก๊าด และดีเซลในตลาดจรสิงคโปร์ได้ลดลงในระดับ 1, 1.5 และ 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ อ่อนตัวลงและปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปออกสู่ตลาดมากขึ้น แต่ในช่วงครึ่งหลังของเดือนกรกฎาคม ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลได้แข็งตัวขึ้น 0.3 และ 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดได้ลดลงอันเป็นผลมาจากค่าการกลั่นที่ ลดต่ำลงจึงทำให้โรงกลั่นลดกำลังกลั่นลง ส่วนน้ำมันเตาในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม ราคาได้แข็งตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 16.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันเบนซินพิเศษ เบนซินธรรมดา ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม อยู่ในระดับ 24.4 , 22.5 , 23.9 , 21.9 และ 16.2 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยในเดือนมิถุนายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินได้ปรับลง 12 สตางค์/ลิตร และน้ำมันดีเซลปรับลง 25 สตางค์/ลิตร และจากการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัวในเดือนกรกฎาคมได้ส่งผล ให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงจากระดับ 25.8 บาท/เหรียญสหรัฐฯ มาอยู่ในระดับ 31-32 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันสูงขึ้นประมาณ 80-90 สตางค์/ลิตร สำหรับราคาน้ำมันเบนซินในเดือนนี้สูงขึ้นประมาณ 0.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันเบนซินสูงขึ้นประมาณ 85-95 สตางค์/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลราคาเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมได้อ่อนตัวลง 0.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งช่วยชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นส่วนหนึ่ง ทำให้ต้นทุนของน้ำมันดีเซลสูงขึ้นประมาณ 65-75 สตางค์/ ลิตร จากผลกระทบดังกล่าว ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นสามครั้ง รวม 45-48 สตางค์/ลิตร มีผลให้ราคาน้ำมันเบนซินพิเศษ เบนซินธรรมดา และดีเซลหมุนเร็ว ขึ้นมาอยู่ในระดับ 9.99, 9.91 และ 8.78 บาท/ลิตร ตามลำดับ สำหรับแนวโน้มการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย คาดว่าราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินจะปรับสูงขึ้นอีกประมาณ 25-35 สตางค์/ลิตร ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจะต้องปรับขึ้นอีกประมาณ 5-15 สตางค์/ลิตร
4. ในเดือนมิถุนายนราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันได้อ่อนตัวลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบ ทำให้ค่าการกลั่นลดลงมาอยู่ในระดับต่ำที่ 0.85 บาท/ลิตร และลดลงอีกในเดือนกรกฎาคมมาอยู่ในระดับ 0.55 บาท/ลิตร ส่วนค่า การตลาดในเดือนมิถุนายนอยู่ในระดับ 1.29 บาท/ลิตร และเดือนกรกฎาคมได้ลดลงมาอยู่ในระดับ 1.06 บาท/ลิตร ซึ่งเป็นผลให้การปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นน้อยกว่าต้นทุนที่สูงขึ้นจากค่า เงินบาทที่อ่อนตัวลง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลความคืบหน้าในการเจรจาการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อร่วมมือกันที่จะพัฒนาไฟฟ้าเพื่อ จำหน่ายให้ประเทศไทยในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (คปฟ.-ล) และคณะกรรมการพลังงานและไฟฟ้าแห่ง สปป.ลาว (Committee for Energy and Electric Power -CEEP) เพื่อดำเนินการประสานความร่วมมือให้เป็นไปตามบันทึกความเข้าใจดังกล่าว
2. โครงการรับซื้อไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว ประกอบด้วย โครงการที่ สปป.ลาว เสนอมา 6 โครงการ มีกำลังการผลิต 2,444 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ โครงการที่ได้ตกลงราคาซื้อขายไฟฟ้าแล้วและอยู่ระหว่างการจัดทำสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้า1 โครงการคือ โครงการลิกไนต์หงสา โครงการที่ได้ตกลงอัตราค่าไฟฟ้าแล้วและอยู่ระหว่างการจัดทำบันทึกความเข้าใจ เกี่ยวกับเงื่อนไขการซื้อขายไฟฟ้า จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำงึม 2 และโครงการน้ำงึม 3 ส่วนโครงการที่ยังไม่ได้เจรจา ได้แก่ โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย โดยจะดำเนินการเจรจาหลังจากการเจรจาโครงการน้ำงึม 2 และโครงการน้ำงึม 3 แล้วเสร็จ
3. ในการประชุมระหว่าง คปฟ-ล. กับ CEEP เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2540 ณ สปป.ลาว ทั้ง 2 ฝ่ายได้เจรจาตกลงการซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 จนสามารถได้ข้อยุติ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดทำบันทึก ความเข้าใจเกี่ยวกับเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้า โดยราคารับซื้อไฟฟ้าทั้งสองโครงการมีราคาเฉลี่ย 5.70 เซนต์สหรัฐฯ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเป็นราคาที่ คปฟ.-ล เห็นว่ามีความเหมาะสมและเป็นธรรมแล้ว และทั้ง 2 ฝ่าย ได้ตกลงให้มีการทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement-PPA) ให้แล้วเสร็จและสามารถลงนามได้ไม่เกินเดือนเมษายน 2541 เพื่อให้โครงการสามารถเริ่มจ่ายไฟฟ้าได้ในเดือนธันวาคม 2545 โดยกำหนดจุดส่งมอบไฟฟ้าอยู่ที่จังหวัดหนองคาย
4. นอกจากนี้ CEEP ได้หยิบยกประเด็นที่เคยมีหนังสือถึง คปฟ-ล. ขึ้นมาหารืออีกครั้งเกี่ยวกับการขอเร่งระยะเวลาการรับซื้อไฟฟ้าโครงการเซ เปียน-เซน้ำน้อย ให้เร็วขึ้นกว่าที่กำหนดไว้เดิมคือ จากปี 2547 เป็นปี 2545 ซึ่ง คปฟ.-ล ได้ขอรับข้อเสนอให้มีการนำเรื่องนี้มาพิจารณาอีกครั้งในการประชุมระหว่าง CEEP และคปฟ.-ล. ครั้งต่อไป โดยกำหนดให้มีการจัดประชุมในเดือนสิงหาคม 2540 ที่กรุงเทพฯ และถ้าทุกอย่างพร้อมก็จะให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) การรับซื้อไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 ในการประชุมครั้งนี้ด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 บันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วงระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคม 2540 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) พร้อมด้วยผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรมวิเทศสหการ และกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางไปเยือนสหภาพพม่า เพื่อหารือในเรื่องพลังงานและการผันน้ำกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (U Khin Maung Thein) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งสหภาพพม่า ซึ่งต่อมากระทรวงพลังงานแห่งสหภาพพม่า และ สพช. ได้มีการเจรจาและพิจารณาในรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับ ซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่าและได้ตกลงที่จะให้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจใน โอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแห่งสหภาพพม่าจะมาเยือนประเทศไทยในวัน ที่ 4 กรกฎาคม 2540
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศสหภาพพม่า และมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าวในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย แต่ทั้งนี้หากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) และรัฐบาลสหภาพพม่าเห็นชอบให้มีการแก้ไขร่างบันทึก ดังกล่าวในรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) สามารถลงนามในบันทึกดังกล่าวที่ได้แก้ไขแล้ว
3. นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยแล้ว และไม่มีข้อขัดข้องทางกฎหมายเกี่ยวกับร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว แต่มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่าการที่สหภาพพม่ากำลังจะเข้าอาเซียน น่าจะเป็นหลักประกันประการหนึ่งสำหรับความร่วมมือด้านพลังงานไทย-พม่า และการกระจายแหล่งรับซื้อไฟฟ้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าหนึ่งประเทศก็จะ ทำให้เกิดการแข่งขัน แต่ทั้งนี้ควรมีการประชาสัมพันธ์ประเด็นการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่าให้ สาธารณชนไทยทราบตั้งแต่แรก เพื่อป้องปรามการต่อต้านในประเทศ
4. สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า ซึ่งได้มีการลงนามไปแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2540 สรุปได้ดังนี้
4.1 ประเทศไทยจะให้ความร่วมมือกับสหภาพพม่า โดยสนับสนุนให้ กฟผ. หรือหน่วยงานอื่นที่ได้รับมอบหมายรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในสหภาพพม่าให้ได้ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2010 (พ.ศ. 2553)
4.2 รัฐบาลแห่งสหภาพพม่าจะเป็นผู้คัดเลือกผู้ลงทุนในแต่ละโครงการ โดยจะมีการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับแต่ละโครงการที่มีความเป็นไปได้
4.3 ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมมือกันในการวางแผนและก่อสร้างระบบสายส่งระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
4.4 รัฐบาลแห่งสหภาพพม่าจะยินยอมให้ผู้ลงทุนไทยมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ
4.5 จะมีการเจรจาเพื่อจัดทำบันทึกความเข้าใจอีกฉบับในเรื่องการผันน้ำให้แก่ประเทศไทย
5. ผลของการลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลแห่งสหภาพพม่าในครั้งนี้ สพช. คาดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของความร่วมมือในการพัฒนาด้านพลังงานใน ระหว่าง 2 ประเทศ และจะนำไปสู่การขยายความร่วมมือในด้านการรับซื้อไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและการ ขยายความร่วมมือด้านพลังงานอื่นๆ ได้ต่อไปในอนาคต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 การแก้ไขปัญหาการร้องเรียนเกี่ยวกับค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2539 รับทราบผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาการส่งออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และในส่วนของแนวทางการลดต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ได้มอบหมายให้ผู้บริหารระดับสูงจากภาคเอกชนหารือกับสำนักงานคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เรื่องค่าไฟฟ้าและการยกเว้นระบบ TOD สำหรับ โรงงานที่ต้องการทำงาน 24 ชั่วโมง
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2539 เห็นชอบเรื่องการแก้ไขปัญหาของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมอบหมายให้ สพช. รับไปพิจารณาในประเด็นการยกเลิกการเก็บ Demand Charge สำหรับอุตสาหกรรมทุกประเภทที่จำเป็นต้องทำการผลิตตลอด 24 ชั่วโมง และศึกษา ความเป็นไปได้ในการเพิ่มประเภทผู้ใช้ไฟฟ้า โดยให้มีประเภทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ใช้ไฟฟ้ามากกว่าที่กำหนดอยู่ในปัจจุบัน และกำหนดให้มีอัตราค่ากระแสไฟฟ้าลดลงอีก
3. คณะที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและการต่างประเทศ ได้มีการพิจารณาเรื่องแนวทาง การลดค่าไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออก เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2540 และได้มีมติมอบหมายให้ นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะ ศึกษาเพิ่มเติมในรายละเอียดกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าเพื่อส่งออกเกิน กว่าร้อยละ 50 และมีลักษณะการใช้ไฟฟ้าต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง และศึกษาเพิ่มเติมการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าโดยตรงของผู้ผลิตรายเล็กในบริเวณนิคม อุตสาหกรรม รวมทั้งศึกษาประเด็นผลกระทบการเก็บภาษีตอบโต้ (CVD) จากประเทศคู่ค้า หากมีการลดค่าไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟกลุ่มนี้เป็นการเฉพาะ นอกจากนี้คณะอนุกรรมการติดตามและเร่งรัดการส่งออกภายใต้คณะกรรมการพัฒนาการ ส่งออกได้มีมติเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2540 มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง พิจารณาจัดทำสูตรค่าไฟฟ้าพิเศษสำหรับโรงงานที่ต้องใช้ไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง
4. สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ร่วมหารือกับผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2539 โดยมีนายทวีบุตรสุนทร รองประธานสภาอุตสาหกรรมฯ เป็นประธาน เพื่อพิจารณาหาแนวทาง ในการลดภาระค่าไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่ใช้อัตราค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาของวัน (Time of Day Rate : TOD) ซึ่งสามารถสรุปเป็นข้อยุติเพื่อกำหนดแนวทางในการปรับปรุงอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
4.1 ควรมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า TOD Rate ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และควรพิจารณาขยายผลการใช้อัตรา TOD Rate ให้ครอบคลุมไปสู่ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอื่น ที่ไม่ได้ใช้อัตรา TOD Rate ในปัจจุบัน
4.2 การลดค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟฟ้ามาก สามารถดำเนินการได้โดยการขอเพิ่มประเภทอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าใน ระดับแรงดันสูง เช่น ในระดับแรงดัน 115 เควี เนื่องจากการไฟฟ้าสามารถประหยัดการลงทุนในระบบลงและสามารถลดการสูญเสียใน ระบบลงได้
4.3 สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Automatic Adjustment Mechanism หรือ Ft) ควรปรับปรุงให้มีความชัดเจนและโปร่งใส และให้มีความผันผวนน้อยลง
5. ต่อมาคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 เห็นชอบ รายละเอียดการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าตามแนวทางดังกล่าวข้างต้นและให้ ประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2540 เป็นต้นไป โดยได้มีการกำหนดให้อัตรา TOU เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟที่ใช้อัตรา TOD ในปัจจุบัน เพื่อให้โครงสร้างค่าไฟฟ้าสะท้อนต้นทุนและลักษณะการใช้ไฟฟ้า (Load Curve) ของระบบที่เปลี่ยนแปลงไป และอัตรา TOU ใหม่นี้จะเพิ่มประเภทอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟในระดับแรงดัน 115 เควีขึ้นไป นอกจากนี้ ให้มีการแยกภาษีมูลค่าเพิ่มออกจากโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและ ค่า Ft ให้ชัดเจน โดยค่าไฟฟ้าที่ขายให้แก่ประชาชนจะอยู่ในระดับเดิม และให้มีการปรับปรุงสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติให้มีการเปลี่ยน แปลงน้อยลง
6. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2540 คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าได้พิจารณาเรื่องแนวทางการลดค่า ไฟฟ้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออก โดยได้มีการหารือร่วมกับผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ และนายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสมภพ อมาตยกุล) ได้หารือร่วมกับ สพช. กฟผ. และผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
6.1 ที่ประชุมไม่เห็นด้วย ในการลดค่าไฟฟ้าสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อส่งออกเกินกว่าร้อย ละ 50 และมีลักษณะการใช้ไฟฟ้าต่อเนื่อง เนื่องจากอุตสาหกรรมที่ทำงานต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง จะซื้อไฟฟ้าได้ในราคาต่ำอยู่แล้ว และอุตสาหกรรมเพื่อส่งออกไม่มีรูปแบบ (Pattern)การใช้ไฟฟ้าที่ชัดเจน นอกจากนี้ การให้การช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมใดเป็นการเฉพาะ จะขัดกับข้อตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) และจะถูกประเทศคู่ค้าเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (CVD) ได้
6.2 ที่ประชุมได้สรุปแนวทางการลดค่าไฟฟ้าว่าไม่ควรแทรกแซงโครงสร้างค่าไฟฟ้าใน ปัจจุบัน แต่ควรใช้แนวทางอื่น ซึ่งอาจดำเนินการได้ ดังนี้
(1) ควรเร่งดำเนินการหามาตรการในการปรับปรุงประสิทธิภาพของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง อย่างจริงจัง
(2) เร่งรัดการแปรรูปกิจการไฟฟ้า ส่งเสริมการแข่งขันในระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า และในอนาคตให้ผู้ใช้ไฟสามารถซื้อไฟฟ้าได้โดยตรงจากผู้ผลิตไฟฟ้า โดยใช้บริการผ่านสายส่ง สายจำหน่ายของ การไฟฟ้า (Third party access) ซึ่งจะก่อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพในกิจการไฟฟ้า และส่งผลให้เกิดการลดค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาว
(3) มาตรการในระยะสั้น ควรส่งเสริมการจำหน่ายไฟฟ้าตรงของผู้ผลิตรายเล็กไปยังผู้ใช้ไฟในบริเวณใกล้ เคียง เช่น บริเวณนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันได้มีการดำเนินการเจรจาซื้อขายโดยตรงทำให้ ผู้ใช้ไฟสามารถซื้อไฟฟ้าในราคาที่ต่ำกว่าการซื้อจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย และสามารถลดปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ ได้ด้วย
(4) การลดราคาก๊าซธรรมชาติที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำหน่ายให้แก่ ผู้ผลิตรายเล็ก จะทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของผู้ผลิตรายเล็กลดลง และส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่ผู้ใช้ไฟที่ซื้อไฟฟ้าตรงจากผู้ผลิตรายเล็กลดลงได้ เช่นกัน อย่างไรก็ตามการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ ปตท. ขาดรายได้จำนวนหนึ่ง
(5) ควรส่งเสริมให้มีการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ส่งเสริมการใช้เครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ให้มีการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม (Energy Audit) และจัดทำมาตรการเพื่อการประหยัดพลังงาน การดำเนินการดังกล่าวจะสามารถขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงินได้จากสำนักงาน การจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (สจฟ.) ของ กฟผ. เช่น โครงการมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง จะให้ความช่วยเหลือในเงินลงทุนค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในการซื้อมอเตอร์ ประสิทธิภาพสูง และให้ ผู้ใช้ไฟผ่อนชำระทางใบแจ้งค่าไฟฟ้า นอกจากนี้ การทำ Energy Audit เพื่อจัดทำมาตรการประหยัดพลังงาน ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสามารถขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานได้
(6) ให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และ สพช. เร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมให้มี การใช้ไฟฟ้าในอัตรา TOU Rate
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับงบประมาณที่ตั้งไว้ในปี 2540 และ 2541 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2540 เห็นชอบให้กระทรวงการคลังเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้น 9 สตางค์/ลิตร และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติดำเนินการออกประกาศลดอัตรา เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานลง โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2540 จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2541
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2540 ให้ปรับอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว ดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตาที่ผลิตในประเทศเท่ากับ 3, 10, 2, 0 และ 6 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ และสำหรับน้ำมันเบนซินก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว ดีเซลหมุนช้า และน้ำมันเตาที่นำเข้าเท่ากับ 3, 10, 8, 6 และ 9 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2540 เป็นต้นไป
3. ปัจจุบันการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2539 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 โดยกำหนดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนฯของน้ำมันเบนซินและดีเซลที่ผลิตในประเทศและนำเข้าเป็น 3 สตางค์/ลิตร และอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯของน้ำมันก๊าดและน้ำมันเตาที่ผลิตในประเทศและนำ เข้าเป็น 7 สตางค์/ลิตร และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2540 ในการออกประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอให้ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ดังนี้
3.1 ให้ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นการชั่ว คราว โดยไม่มีการเก็บเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมัน เบนซิน ก๊าด และดีเซลหมุนช้า และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมัน ดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันเตาเป็น 1 สตางค์/ลิตร ในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม 2540 - 30 กันยายน 2541
3.2 ให้เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับ น้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตาเป็น 4 สตางค์/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2541 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้รายได้ของเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพิ่มขึ้น สู่ระดับเดิม
มติของที่ประชุม
1.ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับ น้ำมันเบนซิน ก๊าด และดีเซลหมุนช้าที่ผลิตในประเทศและนำเข้าเป็น 0 สตางค์/ลิตรและกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและน้ำมันเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้าเป็น 1 สตางค์/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2540 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2541 และให้เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้าเป็น 4 สตางค์/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2541 เป็นต้นไป
2.เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2540 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร
สรุปสาระสำคัญ
1. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2539 เป็นต้นมา และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2539 เห็นชอบคู่มือการแปลงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้กระทรวง ทบวง กรม ใช้เป็นแนวทางในการจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่ดำเนินงานใน รูปแบบกลไกของคณะกรรมการนโยบายระดับชาติ มีหน้าที่ตามคู่มือการแปลงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ไปสู่การปฏิบัติ โดยมีหน้าที่ในการประสานและจัดทำแผนปฏิบัติ เพื่อเป็นกรอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบใน แต่ละเรื่องนำไปกำหนดไว้เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการกระทรวง เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติและให้มี ความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
3. ร่างแผนปฏิบัติการด้านพลังงานในช่วงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ซึ่ง สพช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานได้จัดทำขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น มีเนื้อหาแบ่งเป็น 3 ส่วน ดังนี้คือ
ส่วนที่ 1 แนวทางการพัฒนาพลังงานในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 เป็นการกำหนดเป้าหมาย แนวทางและมาตรการด้านพลังงานในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ให้ชัดเจนเพียงพอ เพื่อเป็นกรอบให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ในแต่ละเรื่องนำไปจัดทำแผนงาน/โครงการ ด้านพลังงานให้มีความสอดคล้องกัน ในขณะเดียวกัน สพช. ก็ใช้เป็นกรอบในการกำกับดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้บรรลุผล ตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
(1) เป้าหมายการพัฒนาพลังงาน เป็นการกำหนดเป้าหมายการเพิ่มการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ต่อปี กำหนดเป้าหมายการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ของประเทศ การรักษาสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ กำหนดการเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าโดยโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย และการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ Independent Power Producer (IPP) และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer : SPP) ตลอดจน การกำหนดเป้าหมายการลดการใช้ไฟฟ้าจากมาตรการการจัดการ ด้านการใช้ไฟฟ้า และลดการใช้พลังงานจากการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน กำหนดมาตรฐาน ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และจำกัดระดับการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์จากการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ในยานพาหนะ ในการผลิตไฟฟ้า ในอุตสาหกรรมและอื่นๆ
(2) แนวทางการพัฒนาพลังงาน สรุปแนวทางหลักๆ ได้ 5 แนวทางดังนี้
(2.1) จัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการ มีคุณภาพ มีความมั่นคง และในระดับราคาที่เหมาะสม โดยการเร่งสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมและถ่านหินทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เร่งการเจรจาและพัฒนาพลังงานกับประเทศเพื่อนบ้าน การสนับสนุนธุรกิจด้านพลังงานของไทยไปร่วมลงทุนและพัฒนาพลังงานในต่างประเทศ การลงทุนเพื่อเพิ่มกำลังผลิตสำรองเพื่อเพิ่มความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและกำหนด มาตรฐานคุณภาพบริการของกิจการไฟฟ้า
(2.2) ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดโดยใช้มาตรการทาง ด้านราคาและมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งได้แก่ การปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานทั้งราคาน้ำมันและไฟฟ้าให้สะท้อนถึงต้นทุน ที่แท้จริง กำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและค่าผ่านท่อให้มีความชัดเจนและ โปร่งใส เร่งรัดการดำเนินโครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า และการอนุรักษ์พลังงานตามพระราชบัญญัติ การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 รวมทั้ง เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานการทดสอบและมาตรฐานระดับประสิทธิภาพการใช้ พลังงานขั้นต่ำของเครื่องมืออุปกรณ์และการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพของเครื่อง มืออุปกรณ์ที่ช่วยให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น
(2.3) ส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงานและเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน เพื่อลดภาระการลงทุนของรัฐ และให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาพลังงาน โดยการปรับโครงสร้างและแปรรูปกิจการปิโตรเลียมและกิจการไฟฟ้าให้มี ประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน พัฒนาระบบการขนส่ง ก๊าซธรรมชาติทางท่อให้สามารถรองรับการขายก๊าซได้โดยตรงในระยะยาว ส่งเสริมตลาดการค้าน้ำมันสำเร็จรูปให้มีการแข่งขันอย่างเสรี และส่งเสริมธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้มีการแข่งขันกันมากยิ่งขึ้น ตลอดจน เร่งรัด การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
(2.4) ป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาและการใช้พลังงาน รวมทั้ง ปรับปรุงให้กิจการทางด้านพลังงานดำเนินการอย่างมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยให้มีการศึกษาความเหมาะสม ในการขยายพื้นที่บังคับใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำ การเร่งให้มีการจำหน่ายน้ำมันดีเซลกำมะถัน 0.05% โดย น้ำหนักให้เป็นไปตามกำหนดเวลา การควบคุมและกำกับดูแลการจัดเก็บและการกำจัดกากน้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันหล่อ ลื่นใช้แล้ว การส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงสะอาดในโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า และใน ยานพาหนะ รวมทั้ง ปรับปรุงมาตรฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียม เหลวและให้มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง
(2.5) พัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและกลไกการบริหารงานด้านพลังงาน โดยเร่งดำเนินการออกพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... เพื่อใช้แทนพระราชบัญญัติว่าด้วย การเก็บรักษาน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2474 ดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ที่ ล้าสมัย และดำเนินการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมทั้งพิจารณา ความเหมาะสมในการกำหนดให้องค์กรกำกับดูแลกิจการด้านพลังงานให้มีความเป็น อิสระ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค
ส่วนที่ 2 แผนงานตามแนวทางการพัฒนาพลังงานปี 2540-2544 ได้จำแนกแผนงานหลักที่สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาพลังงานดังกล่าวข้างต้น ออกเป็น 6 แผนงาน คือ แผนงานจัดหาพลังงาน แผนงานส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด แผนงานส่งเสริมให้มีการแข่งขันในกิจการพลังงาน แผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม แผนงานพัฒนากลไกการบริหารงานด้านพลังงาน และแผนงานพัฒนาความร่วมมือด้านพลังงานกับต่างประเทศ
ส่วนที่ 3 สรุปแผนงานตามแนวทางการพัฒนาพลังงานปี 2540-2544 เป็นการสรุปรวบรวมแผนงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานในส่วนที่ 2 เพื่อให้สามารถเห็นภาพรวมของแผนปฏิบัติการด้านพลังงานได้อย่างชัดเจนและจะ เป็นประโยชน์ในการติดตามการปฏิบัติงานตามแผนต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการด้านพลังงานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานของกระทรวง ทบวง กรม และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานและเพื่อให้มีการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีให้สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป
2.มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตามแผนปฏิบัติการรายงานผลการปฏิบัติงาน ตามแผนให้สพช. ทราบทุก90 วัน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที 23 กรกฎาคม 2539 เพื่อที่ สพช. จะได้รวบรวมและรายงานผลการปฏิบัติงานตามแผนให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติและคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
3.มอบหมายให้ สพช. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปศึกษาแนวทางใน การจัดตั้งกระทรวงพลังงาน และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
เรื่องที่ 7 ปัญหาเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมเอกชนในการผลิตไฟฟ้าในรูปของผู้ผลิตรายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้เอกชนมีบทบาทในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศทำให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ มีความต้องการทั้งไอน้ำและไฟฟ้าเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตของโรงงาน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2534 ให้เอกชนสามารถผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำได้โดยตรงโดยระบบ Cogeneration เพื่อใช้ในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม ต่อมาได้มีการแก้ไขมาตรา 37 ของ พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจต่อผู้ลงทุน และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ร่วมกันออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 พฤษภาคม 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก เป็น 3,200 เมกะวัตต์ สำหรับการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2539-2543 และให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงต่อไป โดยไม่กำหนดปริมาณการรับซื้อไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตรายเล็กที่ได้รับการคัดเลือกจาก กฟผ. จำนวน 58 ราย กำลังการผลิตรวม 4,655 เมกะวัตต์ โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าที่จะขายให้ กฟผ. 2,452 เมกะวัตต์ และมีปริมาณพลังไฟฟ้าที่ใช้เองและขายให้แก่ ผู้ใช้ไฟฟ้าในบริเวณใกล้เคียงอีกจำนวน 2,203 เมกะวัตต์ โดยมีการลงนามในสัญญาแล้วจำนวน 44 ราย มี ผู้ผลิตรายเล็กจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้วจำนวน 19 ราย และ อีก 14 ราย อยู่ระหว่างการทำสัญญากับ กฟผ. นอกจากนี้ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการคัดเลือกโครงการจัดตั้งโรงงาน ผลิตไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมอีกจำนวน 11 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตรวม 1,120 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมเป็นหลัก
3. นโยบายในการส่งเสริมให้เอกชนผลิตไฟฟ้าดังกล่าวข้างต้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดังนั้น กฟภ. จึงได้จัดทำข้อเสนอให้ระงับการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กที่ ใช้เชื้อเพลิงเชิงพาณิชย์และมีวัตถุประสงค์เพื่อขายไฟให้ผู้ใช้โดยตรง จนกว่ารัฐบาลจะได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล (Regulator) ขึ้นแล้ว และหากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กประสงค์จะขายไฟฟ้าให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเดิมของการ ไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยไม่ใช้สายป้อนของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ในขณะที่ยังไม่ได้ จัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล ก็ให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กชดเชยรายได้ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย และให้การไฟฟ้าขอสงวนสิทธิ์ในการสำรองกำลังไฟฟ้าที่จะขายกรณีฉุกเฉินแก่ผู้ ผลิตไฟฟ้าของ SPP ส่วนผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็กที่ได้รับอนุญาตไว้แล้วและมีความประสงค์จะขาย ไฟให้ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยตรงในพื้นที่ที่มีระบบสายป้อนของการไฟฟ้าอยู่แล้ว ให้ใช้ระบบสายป้อนของการไฟฟ้าโดยจ่ายค่าใช้สาย ซึ่งให้คำนวณจากต้นทุนรวม ของระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าทั้งหมดของการไฟฟ้า
4. อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ที่ได้รับคัดเลือกจาก กฟผ. แล้วก็ประสบปัญหาในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ความล่าช้าของระบบเชื่อมโยงกับ กฟภ. โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าสำรองมีความไม่ชัดเจนข้อจำกัดในการออกสัมปทานของกรม โยธาธิการตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ความล่าช้าในการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อจ่ายไฟฟ้าสำรองให้แก่ SPP และการเปลี่ยนแปลงระบบการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอย ตัว เป็นต้น
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้พิจารณาข้อเสนอของ กฟภ. และปัญหาต่างๆ ของ SPP แล้วจึงได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมเอกชนในการ ผลิตไฟฟ้าในรูปของผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ดังนี้
5.1 โครงการ SPP ที่ดำเนินการภายใต้ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งการไฟฟ้าฯได้ดำเนินการคัดเลือกแล้ว และกำหนดว่าการไฟฟ้าฯจะรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP รวมกันทั้งหมด 3,200 เมกะวัตต์ ให้ดำเนินการต่อไปให้แล้วเสร็จ โดยให้กรมโยธาธิการ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานอื่น ๆ ให้การส่งเสริมและสนับสนุน เพราะเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยส่วนรวม
5.2 โครงการ SPP ที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบ กาก เศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และโครงการ SPP ที่ขายไฟฟ้าประเภท Non-Firm ให้แก่ กฟผ. ให้มีการรับซื้อต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาและปริมาณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของระบบส่งและระบบจำหน่ายที่จะรับได้ตามที่ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้เคยมีมติไปแล้ว โดยให้กรมโยธาธิการ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้การส่งเสริมและสนับสนุน เพราะเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยส่วนรวม
5.3 เห็นควรให้เลื่อนประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่ผลิตกระแสไฟฟ้า ด้วยระบบ Cogeneration ที่มีสัญญาประเภท Firm และใช้พลังงานเชิงพาณิชย์เป็นเชื้อเพลิง ออกไปจนกลางปี 2541 เนื่องจากในปัจจุบันความต้องการไฟฟ้าได้ชะลอลงมาก ทั้งนี้ ให้ใช้วิธีการเดียวกับโครงการ IPP คือ ให้มีการยื่น ข้อเสนอเมื่อมีการออกประกาศเชิญชวน และให้มีการแข่งขันในด้านราคาด้วย ทั้งนี้อาจดำเนินการพร้อมกับ การประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP
5.4 เห็นควรให้การประเมินและคัดเลือกโครงการ SPP และการเจรจาเพื่อทำสัญญาดำเนินการในรูปของคณะอนุกรรมการที่มีผู้ว่าการ กฟผ. เป็นประธาน และประกอบด้วยผู้แทนจาก กฟน. กฟภ. สพช. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) รับไปดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ ต่อไป
5.5 เห็นควรให้ กฟผ. รับไปพิจารณาความเหมาะสมในการให้ SPP บางประเภทต้องปฏิบัติตามบางส่วนของ Grid Code เนื่องจากกำลังผลิตของ SPP จะมีสัดส่วนที่สูงเทียบกับกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ โดยกำลังผลิตส่วนหนึ่งจะขายตรงให้ลูกค้าธุรกิจอุตสาหกรรม และการควบคุมระบบจ่ายไฟฟ้าจะทำได้ยากเพราะอยู่กระจัดกระจาย
5.6 ให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ดำเนิน การโดยเอกชน สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าแทนการก่อสร้างสายจำหน่ายหรือสายป้อนของ ตนเอง โดยให้เอกชนชำระค่าใช้บริการสายป้อนแก่การไฟฟ้า ซึ่งจะแก้ไขปัญหาการลงทุนซ้ำซ้อนกับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย และ การไฟฟ้าก็จะได้ใช้ประโยชน์จากสายป้อนที่ตนเองได้สร้างไว้แล้ว ส่วนการซื้อขายไฟฟ้าภายในนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตอุตสาหกรรมที่ดำเนินการโดย เอกชน ให้เป็นการเจรจาตกลงระหว่างผู้ผลิตไฟฟ้ากับผู้ใช้ไฟฟ้าได้โดยตรงเช่นใน ปัจจุบันต่อไปซึ่งในการกำหนดเงื่อนไขการใช้บริการสายป้อนนั้น ให้ กฟน. และ กฟภ. รับไปดำเนินการ โดยยึดถือแนวทางตามที่ สพช. เสนอในเอกสาร "Distribution Wheeling For Small Power Producers"
5.7 ในการจ่ายไฟฟ้าสำรอง ให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) ในกรณีที่การไฟฟ้าสำรองไฟฟ้าให้แก่ผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ไฟฟ้าสำรองเป็นไฟฟ้าที่สำรองไว้ใช้ทดแทนในกรณีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของ SPP ขัดข้อง หรือหยุดซ่อมแซมและบำรุงรักษา สำหรับในส่วนที่ SPP ใช้เอง และในส่วนที่ SPP จำหน่ายให้ลูกค้าตรง กล่าวคือ ปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ SPP จะขอซื้อจากการไฟฟ้าจะเท่ากับขนาดกำลังการผลิตของ SPP ลบด้วย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่ SPP ขายให้ กฟผ.
(2) กำหนดให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ TOU Rate ซื้อไฟฟ้าตามอัตราค่าไฟฟ้าสำรอง เมื่อคิดเป็น บาท/kW/เดือน ซึ่งเหมือนกับผู้ใช้ไฟอื่น
5.8 เห็นควรให้ความเห็นชอบในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้ กฟผ. สามารถขายไฟฟ้าสำรองให้แก่ SPP และ IPP ที่เชื่อมโยงระบบของตน กับระบบของ กฟผ. และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปดำเนินการตรวจร่างโดยด่วน ต่อไป
5.9 ให้ กฟผ. รับไปดำเนินการร่างกฎหมาย เพื่อแก้ไขมาตรา 6 ของ พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อให้ กฟผ. สามารถขายไฟฟ้าได้โดยตรงให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าโดยไม่ต้องออกเป็น พระราชกฤษฎีกาแล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อไป
5.10 ให้ สพช. และกรมโยธาธิการร่วมกันพิจารณาแก้ไขประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 เพื่อให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นในระบบไฟฟ้าของประเทศ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
5.11 ให้ กฟผ. และ สพช. รับไปพิจารณาแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงอันเป็นการช่วยเหลือให้ SPP สามารถหาเงินกู้ในเงื่อนไขที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งในการบรรเทาผลกระทบของค่าเงินบาทลอยตัว
มติของที่ประชุม
1.ให้คงไว้นโยบายการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการขายไฟฟ้าให้การ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการขายให้ผู้ใช้โดยตรงโดยไม่ใช้สายไฟฟ้าของการไฟฟ้า ทั้งนี้ เนื่องจากนโยบายดังกล่าวได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบมาเป็น เวลานาน โดยได้มีการแก้ไขกฎหมายและกำหนดระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว อีกทั้งยังได้แสดงให้เห็นว่าเป็นนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยส่วนรวม
2.โครงการ SPP ที่ดำเนินการภายใต้ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่ง กฟผ. ได้ดำเนินการคัดเลือกแล้ว ซึ่งกำหนดว่า กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP รวมทั้งหมด 3,200 เมกะวัตต์ ให้ดำเนินการ ต่อไปให้แล้วเสร็จ โดยให้กรมโยธาธิการ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานอื่นๆ ให้การส่งเสริมและสนับสนุน เพราะเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยส่วนรวม
3.โครงการ SPP ที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบ กาก เศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และโครงการ SPP ที่ขายไฟฟ้าประเภท Non-Firm ให้แก่ กฟผ. ให้มีการรับซื้อต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาและปริมาณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถของระบบส่งและระบบจำหน่ายที่จะรับได้ตามที่ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้เคยมีมติไปแล้ว โดยให้กรมโยธาธิการ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้การส่งเสริมและสนับสนุน เพราะเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยส่วนรวม
4.ในการจ่ายไฟฟ้าสำรอง ให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ปฏิบัติดังต่อไปนี้
4.1 ในกรณีที่การไฟฟ้าสำรองไฟฟ้าให้แก่ผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ไฟฟ้าสำรองเป็นไฟฟ้าที่สำรองไว้ใช้ทดแทนในกรณีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของ SPP ขัดข้อง หรือหยุดซ่อมแซมและบำรุงรักษาสำหรับในส่วนที่ SPP ใช้เอง และในส่วนที่ SPP จำหน่ายให้ลูกค้าตรง กล่าวคือ ปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ SPP จะขอซื้อจากการไฟฟ้าจะเท่ากับขนาดกำลังการผลิตของ SPP ลบด้วย ปริมาณพลังไฟฟ้าที่ SPP ขายให้ กฟผ.
4.2 กำหนดให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ใช้ TOU Rate ซื้อไฟฟ้าตามอัตราค่าไฟฟ้าสำรองเมื่อคิดเป็นบาท/kW/เดือน ซึ่งเหมือนกับผู้ใช้ไฟอื่น
5.เห็นชอบในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้ กฟผ. สามารถขายไฟฟ้าสำรองให้แก่ SPP และ IPP ที่เชื่อมโยงระบบของตนกับระบบของ กฟผ. และ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปดำเนินการตรวจร่างโดยด่วนต่อไป
6.ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณานโยบายส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธานคณะอนุกรรมการ และอนุกรรมการประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมโยธาธิการ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กรมควบคุมมลพิษ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยมีสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาข้อเสนออื่นๆ ของ สพช. เกี่ยวกับแนวทางในการกำหนดนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กในอนาคต ผลกระทบต่อผู้ผลิตรายเล็กจากการเปลี่ยนแปลงระบบการกำหนดอัตรา แลกเปลี่ยน และการพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งผลกระทบต่อการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จากนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก เพื่อให้การดำเนินงานตามนโยบายในการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กบรรลุผลตาม เป้าหมายและเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เรื่องที่ 8 มาตรการเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ความคืบหน้าในการดำเนินการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
1.1 ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2540 (มกราคม-มิถุนายน) สามารถจับกุมน้ำมันลักลอบหนีภาษีได้จำนวน 1,986,167 ลิตร ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 2.5 ล้านลิตร
1.2 ในเดือนมิถุนายน 2540 การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีปริมาณ 1,563.0 ล้านลิตร ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราร้อยละ 0.51 และหากไม่รวมปริมาณการใช้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแล้ว ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะมีปริมาณ 1,492.0 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 54.8 ล้านลิตร คิดเป็นอัตราร้อยละ 4
1.3 การจัดทำร่างพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... เพื่อขยายการปฏิบัติการปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตต่อ เนื่องระหว่าง 12-24 ไมล์ทะเล ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับ ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้วเมื่อวันพุธที่ 9 กรกฎาคม 2540 และได้นำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ซึ่งวุฒิสภาได้รับหลักการในวาระที่ 1 แล้ว และอยู่ระหว่างการเสนอกรรมาธิการบริหารและการยุติธรรม เพื่อพิจารณาศึกษาหรือแก้ไข ก่อนเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ต่อไป
1.4 กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบคุณสมบัติสาร Marker ของบริษัทต่างๆ ที่เสนอมาในเบื้องต้นพบว่า สาร Marker ของบริษัท Biocode และบริษัท John Hogg มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับนำไปใช้ผสมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และขณะนี้กรมสรรพสามิตอยู่ระหว่างการศึกษาเพิ่มเติมว่า สาร Marker ของทั้งสองบริษัทจะถูกสกัดหรือฟอกออกด้วยสารเคมีบางชนิดได้ง่ายหรือไม่ ก่อนที่จะดำเนินการคัดเลือกสาร Marker และกำหนดมาตรการการควบคุมการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้เหมาะสมรัดกุมต่อไป ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2540
2. ข้อเสนอมาตรการเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น มีดังนี้
2.1 การควบคุมผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและสารละลาย
(1) กรมสรรพสามิตได้กำหนดให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและสารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอน บางประเภทอยู่ในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2539 แต่ไม่สามารถกำหนดให้ชำระภาษีก่อนและขอคืนภาษีในภายหลังได้ เนื่องจากพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ไม่ได้ให้อำนาจไว้ จึงได้กำหนดให้ผู้ประกอบการเลือกชำระภาษีก่อน หรือ ขอยกเว้นภาษีได้แต่ต้องทำหนังสือยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบได้ แต่เนื่องจากในปัจจุบันยังคงมีปัญหาการนำผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและสารละลายมา จำหน่ายโดยผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงขายตามสถานีบริการต่างๆ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่อยู่ในพิกัดภาษีของกรมสรรพสามิต เนื่องจากผู้ประกอบการได้พยายามปรับปรุงขบวนการผลิตเพื่อหลีกเลี่ยงการควบ คุม ดังนั้น กรมสรรพสามิตจึงเห็นควรขยายขอบเขตการควบคุมผลิตภัณฑ์ดังกล่าวโดยกำหนด คุณสมบัติของสารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนที่ต้องเสียภาษีให้ครอบคลุมถึงสาร ละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนทุกชนิดที่มีคุณสมบัตินำไปใช้ปลอมปนในน้ำมันเชื้อ เพลิงได้และมีราคาไม่สูงนัก ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2540 นี้
(2) สำหรับการเก็บภาษีก่อนและให้ขอคืนภาษีได้หากนำไปใช้เป็นวัตถุดิบ นั้น พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 ไม่ได้ให้อำนาจไว้ และหากแก้ไขกฎหมายจะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการ ส่วนใหญ่ที่สุจริตและอาจมีผลกระทบต่อราคาสินค้าได้ กรมสรรพสามิตจึงขอดำเนินการในแนวทางเดิมต่อไปคือ การยกเว้นภาษี แต่ปรับปรุงแนวปฏิบัติในการควบคุมผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้เข้มงวดขึ้น โดยจะควบคุมปริมาณ ที่ขายจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมและตรวจสอบยืนยันการรับปลายทาง ซึ่งกรมสรรพสามิตมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีผลกระทบ น้อยที่สุด โดยจะทดลองใช้มาตรการนี้ควบคุมอย่างเข้มงวดเป็นเวลา 6 เดือน
2.2 การติดตั้งมาตรวัดน้ำมันแบบอัตโนมัติ
(1) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กรมสรรพสามิตดำเนินการติดตั้งมิเตอร์ในคลัง น้ำมันดีเซลและเบนซินชายฝั่งทุกแห่ง รวมทั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนด้วย แต่จากการตรวจราชการการปฏิบัติงานปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง บริเวณชายฝั่งทะเลภาคใต้ ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและสงขลา เมื่อวันที่ 18-19 มิถุนายน 2540 ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) พบว่าในส่วนของมาตรวัดน้ำมันแบบอัตโนมัติที่ได้ติดตั้งไปแล้ว ในปัจจุบันมีคลังน้ำมันหลายคลังที่ไม่มีคู่สายโทรศัพท์เชื่อมต่อกับสำนักงาน สรรพสามิตจังหวัด ทำให้มิเตอร์ที่ติดตั้งไม่สามารถปฏิบัติงานได้ในบางขณะ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้ระบบสื่อสารสำรองซึ่งใช้กับโทรศัพท์มือถือซึ่งต้อง เสียค่าใช้จ่ายสูง กรมสรรพสามิต จึงขอให้พิจารณาจัดหาคู่สายโทรศัพท์ติดตั้งแก่อุปกรณ์ดังกล่าวด้วย
(2) สำหรับการติดตั้งมาตรวัดน้ำมันแบบอัตโนมัติเพิ่มเติมนั้น ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้ทำการสำรวจข้อมูลจากคลังน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจำนวน 19 คลัง และคลังน้ำมันเบนซิน 39 คลัง เสร็จเรียบร้อยแล้วและจะทำการประกวดราคาในเดือนกรกฎาคม 2540 นี้ ซึ่งกำหนดติดตั้งแล้วเสร็จวันที่ 31 มกราคม 2542
2.3 การควบคุมน้ำมันผ่านแดนไปยัง สปป.ลาว
(1) เนื่องจากประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดกับทะเล จึงได้รับสิทธิ์ตามอนุสัญญาบาเซโลน่า ค.ศ. 1921 ให้นำสินค้ารวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงผ่านประเทศที่สามได้ ซึ่งไทย-ลาว ได้ทำความตกลงว่าด้วยการส่งสินค้าผ่านแดนระหว่างกัน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2521 เพื่อให้ลาวขนสินค้าผ่านแดนไทยได้ โดยในกรณีที่สินค้าผ่านแดนอยู่ภายในประเทศไทยเกินกำหนด 150 วัน นับแต่วันนำเข้า ฝ่ายไทยจะแจ้งให้ฝ่ายลาวทราบ เพื่อร่วมกันปรึกษาหารือแก้ไขปัญหาร่วมกันภายใน30 วัน แต่เนื่องจากของผ่านแดนได้ตกค้างในประเทศไทยและสร้างภาระแก่หน่วยงานไทยเป็น อย่างมาก ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2538 มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแก้ไขความตกลงว่าด้วยการส่งสินค้า ผ่านแดนระหว่างไทยกับลาว โดยให้สินค้าผ่านแดนของลาวตกค้างอยู่ ภายในประเทศไทยได้ 75 วัน นับแต่วันนำเข้า และหากเกินกว่านั้นให้ถือเป็นของตกค้าง เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถดำเนินการกับของตกค้างตามกฎหมายศุลกากรประเทศไทยได้ ซึ่งขณะนี้ได้มีการตกลงกันระหว่างประเทศไทยกับ สปป.ลาว ลดระยะเวลาเหลือ 90 วัน โดยกระทรวงการต่างประเทศได้จัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางถนนระหว่าง ไทยและลาวเป็นภาษาไทยเสร็จเรียบร้อยแล้วและอยู่ระหว่างการแปลเป็นภาษาอังกฤษ
(2) อย่างไรก็ตามการแก้ไขข้อตกลงดังกล่าวจะไม่ประสบผลได้ เนื่องจากในปัจจุบัน กรมศุลกากรได้กำหนดเป็นกรณีพิเศษให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ขอผ่านแดนไปยัง สปป. ลาว เป็นสินค้าเพียงชนิดเดียวที่ขอผ่อนผันขยายอายุทัณฑ์บนสินค้า > และสามารถเก็บรวมกับน้ำมันที่นำเข้ามาใช้ภายในประเทศได้ เพียงแต่แยกบัญชีควบคุมสินค้าเท่านั้น จึงทำให้มีช่องโหว่ให้ผู้ลักลอบนำเข้าใช้โอกาสนี้ขอขยายเวลาและนำน้ำมันผ่าน แดนที่จะส่งไปยังลาวออกมาจำหน่ายก่อน โดยไม่ต้องชำระภาษีและกองทุนต่างๆ ดังนั้น จึงควรกำหนดมาตรการให้กรมศุลกากรพิจารณายกเลิกการขอผ่อนผันขยายอายุทัณฑ์บน ใบขนสินค้าสำหรับน้ำมัน เชื้อเพลิงไปยัง สปป.ลาว เพื่อไม่ให้มีการตกค้างภายในประเทศไทย
2.4 การริบเรือขนาดเกินกว่า 250 ตันกรอส
เนื่องจากพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการริบเรือที่มีขนาดเกินกว่า 250 ตันกรอสไว้ ดังนั้น ในทางปฏิบัติเมื่อจับกุมเรือได้และส่งดำเนินคดีก็จะมีข้อสงสัยว่าจะใช้หลัก กฎหมายทั่วไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ได้หรือไม่ และกรณีที่เจ้าของเรือไม่ใช่ผู้รู้เห็นเป็นใจก็จะใช้ประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญามาตรา 36 พิจารณาไม่ริบเรือ ทำให้ผู้ลักลอบนำเข้าสามารถนำเรือดังกล่าวกลับมากระทำการได้อีก เพื่อแก้ไขในด้านข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการปราบปรามการลักลอบ นำเข้า รวมทั้งพิจารณาเพิ่มอำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้สามารถกระทำการในเขต เศรษฐกิจจำเพาะได้ คณะอนุกรรมการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฎหมายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ จึงได้พิจารณาเห็นควรแก้ไขพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469ให้สามารถริบเรือทุกขนาดที่ใช้ในการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากรได้ และกำหนดมาตรการห้ามการขนถ่ายสิ่งของในทะเลนอกเขตท่าด้วย เพื่อป้องกัน การกระทำความผิดหลบหนีศุลกากร โดยได้จัดทำร่างพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. .... ขึ้น
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
1.การควบคุมผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและสารละลาย
1.1 ให้กรมสรรพสามิต ปรับปรุงการกำหนดคุณสมบัติของสารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนที่ต้องเสียภาษี ใหม่ให้ครอบคลุมถึงสารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอนทุกชนิดที่มีคุณสมบัตินำไปใช้ ปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิงและมีราคาไม่สูงนัก เพื่ออุดช่องโหว่ในการนำผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงจำหน่าย ตามสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆต่อไป โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2540
1.2 ให้กรมสรรพสามิตดำเนินการควบคุมการจำหน่ายและการรับซื้อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และ สารละลายอย่างเข้มงวดตามแนวทางเดิมคือ การยกเว้นภาษีต่อไปเป็นเวลา 6 เดือน และหากผลปรากฏว่าไม่สามารถควบคุมได้ ให้พิจารณากำหนดให้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและสารละลายต้องชำระภาษีเมื่อนำออกจาก โรงงานอุตสาหกรรมก่อน และขอคืนได้หากนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต
2.การติดตั้งมาตรวัดน้ำมันแบบอัตโนมัติ
2.1 ให้กระทรวงคมนาคม พิจารณาจัดหาคู่สายโทรศัพท์เพื่อใช้กับมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงของคลัง น้ำมันที่กรมสรรพสามิตติดตั้งไปแล้วและกำลังจะติดตั้งต่อไปอย่างเพียงพอ โดยให้กรมสรรพสามิตแจ้งความประสงค์ให้แก่กระทรวงคมนาคมทราบ
2.2 ให้กรมสรรพสามิต พิจารณาเลือกมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงแบบอัตโนมัติที่จะติดตั้งต่อไป โดยต้องคงหลักการการทำงานโดยใช้เครื่องมืออัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการควบคุมด้วยบุคคลให้มากที่สุด
3.การควบคุมน้ำมันผ่านแดนไปยัง สปป. ลาว
- ให้กรมศุลกากร ยกเลิกการผ่อนผันขยายอายุทัณฑ์บนใบขนส่งสินค้าสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงไปยัง สปป. ลาว เพื่อไม่ให้มีการตกค้างภายในประเทศไทย
4.การริบเรือขนาดเกินกว่า 250 ตันกรอส
- เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถริบเรือทุกขนาดที่ใช้ในการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากรได้ และกำหนดมาตรการห้ามขนถ่ายสิ่งของในทะเลนอกเขตท่า และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปดำเนินการตรวจร่างโดยด่วนต่อไป
ครั้งที่ 14 - วันพฤหัสบดี ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2549
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 14)
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2549 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เดือนพฤษภาคม 2549)
2. ผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีงบประมาณ 2547 และ 2548
4. การเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี 5
5. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ในการใช้ก๊าซเอ็นจีวีในรถยนต์
6. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
7. โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer)
8. โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เดือนพฤษภาคม 2549)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ เดือนพฤษภาคม 2549 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 70.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากผู้นำอิหร่านยังคงยืนยันสิทธิที่จะทดลองพลังงานนิวเคลียร์ต่อไปและโอเปคไม่ลดเพดานการผลิตในการประชุมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549 ที่ประเทศเวเนซูเอล่า
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ เดือนพฤษภาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.80, 86.17 และ 84.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น จากเดือนที่แล้ว 5.32, 5.70 และ 0.94 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งปิดซ่อมบำรุง และตลาดในภูมิภาคยังคงมีความต้องการซื้อเข้ามาจากผู้ซื้อหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจาก บริษัท Pertamina ในไนจีเรียต้องการนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนมิถุนายนเพิ่มอีก 600,000 บาร์เรล เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าที่เกิดปัญหาในระบบท่อส่งก๊าซ ขณะที่อุปทานในภูมิภาคลดลงจากโรงกลั่นหลายแห่งอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุง
3. ราคาขายปลีก เดือนพฤษภาคมผู้ค้าน้ำมันยกเว้น ปตท และเชลล์ ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.50, 0.55 และ 0.50 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร ส่วนเชลล์ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.50, 0.55 และ 0.50 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร และ ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.50 และ 0.55 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 29.89, 29.09 และ 27.24 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เดือนพฤษภาคม 2549 การจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันชนิดต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ฐานะกองทุน น้ำมันฯ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 10,008 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระจำนวน 68,089 ล้านบาท หนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้สถาบันการเงินอายุ 2.5 ปีจำนวน 26,605 ล้านบาท หนี้ เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,422 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 10,367 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างประจำเดือนจำนวน 159 ล้านบาท และหนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ฐานะกองทุน น้ำมันฯ สุทธิติดลบ 58,081 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมิถุนายนประมาณ 2,611 ล้านบาท โดยที่กองทุนฯ จะไม่ต้องชำระหนี้ธนาคารรวม 8,800 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายนจึงส่งผลให้กองทุนฯ จะมีรายรับมากกว่ารายจ่าย จำนวน 1,978 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีงบประมาณ 2547 และ 2548
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ได้กำหนดให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) จัดทำบัญชี และรายงานการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ทุกสิ้นระยะเวลาบัญชีและให้ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบ
2. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบงบการเงินสำหรับสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547 ของกองทุนน้ำมันฯ และได้แจ้งผลพร้อมมีข้อสังเกตของการตรวจสอบให้ สบพ. สรุปได้ดังนี้
2.1 ฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2548 และ 2547 มีรายได้ต่ำกว่า ค่าใช้จ่ายสะสม เป็นจำนวนเงิน -78,359.5 ล้านบาท และ - 28,259.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีรายได้จาก การดำเนินงานต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และหนี้สินรวมเป็นจำนวน 81,080.1 ล้านบาท และ 29,332.6 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ มีผลลัพธ์ของรายได้จากดำเนินการในปี 2548 สูงกว่าปี 2547 ขณะที่งบกระแสเงินสดของกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือเป็นจำนวนเงิน 1,254.0 ล้านบาท และ 805 ล้านบาท ตามลำดับ
2.2 ข้อสังเกตจากการตรวจสอบบัญชี พบว่า ระบบบันทึกบัญชีของกองทุนน้ำมันฯ ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่ยากต่อการปฏิบัติทางบัญชี และการรับรู้รายได้จากเงินส่งเข้ากองทุนฯ ซึ่งจะได้รับข้อมูลนำส่งเข้ากองทุนและเงินชดเชยราคาน้ำมันจากกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร กองทุนฯ ยังไม่มีข้อมูลที่สามารถสอบยืนยันจำนวนเงินที่หน่วยงานทั้งสองนำฝากเข้าบัญชีได้ ทำให้กองทุนฯ ต้องบันทึกบัญชีพักไว้เป็นบัญชีเงินรับรองการตรวจสอบซึ่งทำให้ไม่สามารถรับรู้จำนวนเงินนำส่งในเดือนกันยายนที่เป็นรายได้ของกองทุนฯ ให้ทันต่อการจัดทำงบการเงินประจำปี
2.3 ข้อเสนอแนะของ สตง. เห็นว่ากองทุนฯ ควรจัดหาโปรแกรมสำเร็จรูปเฉพาะงานมาใช้ โดยมีการออกแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานและง่ายต่อความเข้าใจรวมทั้งจัดให้มีระบบสำรองข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อข้อมูลสูญหาย ส่วนประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ฯ เห็นว่า กองทุนฯ ต้องรับ ข้อมูลโดยตรงจากผู้มีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ซึ่งทำให้สามารถรับรู้รายได้ในงบการเงินได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ โดยนำเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามาใช้ระบบการจัดเก็บรายได้ และจัดประชุม/สัมมนาชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ
2.4 ปัจจุบัน สบพ. ได้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาเชื่อมต่อกับระบบโปรแกรมพร้อมทั้งศึกษารูปแบบและวิธีการที่จะปฏิบัติได้โดยต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันแนวโน้มราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น กำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบ "แผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ" ซึ่งประกอบด้วย การจัดหาแหล่งพลังงาน การเร่งใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน เช่น ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล และถ่านหิน รวมทั้งการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2549 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบ "มาตรการแก้ไขปัญหาพลังงานระยะสั้น (มิถุนายน-สิงหาคม 2549) และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นแก่ประชาชน และกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ หรือ NGV เป็นมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐกำหนดให้เป็นมาตรการใช้พลังงานทดแทนน้ำมันอย่างยั่งยืน
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงเห็นควรเร่งให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง เกิดความมั่นใจ ยอมรับ และสนใจปรับเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทน จึงได้จัดทำโครงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคขนส่งขึ้น เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่กลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ รวมถึงนโยบายของรัฐ เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูล หรือทางเลือกสำหรับการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพื่อสร้างกระแสการรับรู้ เกิดทัศนคติที่ดีต่อการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ สนใจที่จะทดลองและเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทน พร้อมทั้งเพื่อสร้างความมั่นใจแก่กลุ่มเป้าหมายในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และความเพียงพอของสถานีบริการ ตลอดจนเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงาน และ ผลสำเร็จของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ จากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
3. สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ประกอบด้วย กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ เจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล เจ้าของธุรกิจรถบริการ/รถสาธารณะ และผู้ลงทุน/ผู้ประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ สถานีบริการก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ สื่อมวลชน ผู้นำความคิด อาทิ คอลัมน์นิสต์ นักวิชาการ เป็นต้น และหน่วยงาน ภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการขนส่งทางบก สมาคมผู้ประกอบการรถแท๊กซี่ เป็นต้น
4. แนวทางการดำเนินงาน โดยประชาสัมพันธ์ด้วยการจัดจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในการวางแผนการผลิต การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และซื้อสื่อเพื่อเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ โดยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ประกอบด้วยการผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นผ่านสื่อโทรทัศน์ และวิทยุ เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบคอลัมน์ประจำผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ การออกแบบ และผลิต Web page NGV และ/หรือพลังงานทดแทน การจัดกิจกรรมและดูงาน กับสื่อมวลชน และการจัดสัมภาษณ์ผู้บริหารทาง โทรทัศน์
5. โครงการจะใช้งบประมาณจำนวนเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ในการดำเนินงาน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 - มกราคม 2550 (8 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา)
6. ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ พลังงานทดแทนอื่นๆ รวมถึง นโยบายของรัฐ และการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อประหยัดพลังงาน และสามารถนำไปใช้เป็นทางเลือกสำหรับการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และทำให้เกิดกระแสการรับรู้ เกิดทัศนคติที่ดีต่อก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์และพลังงานทดแทน รวมทั้งเกิดความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย ความเพียงพอของสถานีบริการเชื้อเพลิง NGV
7. เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2548 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2549 - 2553 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารกองทุนของทุกหน่วยงานจำนวน 376.1534 ล้านบาท และงบประมาณสำรองปีละ 80 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ด้วยภารกิจเร่งด่วนที่ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงานจะต้องดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จึงจำเป็นต้องขอรับเงินสนับสนุนจากงบประมาณสำรองมาใช้เพื่อการดังกล่าว
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมในโครงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานในภาคขนส่งให้กับ สนพ. ในวงเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) (โดย รายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบวาระที่ 4.1)
เรื่องที่ 4 การเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี 5
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติให้กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลจากปาล์ม สำหรับราคาจำหน่ายปลีกให้ควบคุมราคาให้เหมาะสม ตามกลไกตลาดและให้แข่งขันได้กับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปกติ โดยอาจกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อชดเชยราคาจำหน่ายปลีกไบโอดีเซลได้ตามความจำเป็น
2. โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจัดจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 โดยที่ราคาขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 50 สตางค์/ลิตร ซึ่งปัจจุบัน ปตท.และบางจาก มีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 23 แห่ง และ 12 แห่ง ตามลำดับ
3. การผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล ปัจจุบันปริมาณ CPO (Crude Palm Oil) ที่ล้น Stock มีปริมาณ 1,200,000 ลิตร/วัน โดยมีโรงงานที่ผลิต B100 จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงงานสยามน้ำมันพืช ไทยไบโอดีเซลออยล์ ราชาไบโอดีเซล และไบโอเอนเนอยี่พลัส ซึ่งกำลังการผลิตรวมทั้ง 4 โรงงานเท่ากับ 274,000 ลิตร/วัน ดังนั้น CPO คงเหลือในตลาด 926,000 ลิตร/วัน ประกอบกับปริมาณการจำหน่าย B5 ของ ปตท. และ บางจาก เท่ากับ 100,000 ลิตร/วัน
4. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นในด้านราคาจำหน่ายของน้ำมันไบโอดีเซล จึงต้องมีการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือจ่ายชดเชยแตกต่างไปจากอัตราปกติ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ดังนี้
4.1 การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จะประกอบด้วย คุณลักษณะน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่แตกต่างจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ
4.2 ให้มีการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
4.3 ความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงอัตรา เนื่องจากการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ในข้อ 2 มีความไม่แน่นอนจึงไม่อาจกำหนดเป็นอัตราคงที่ได้ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ กบง. เห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ประธานคณะกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการกำหนดรายละเอียด ในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 รวมแล้วจะต้องไม่เกิน 2.50 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ประกอบด้วย คุณลักษณะน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างจากราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วปกติ และในส่วนการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้เรียกเก็บเท่ากับอัตราที่เก็บจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ
ทั้งนี้ให้เรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
2. มอบหมายให้ประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี 5 โดยที่จะไม่มีการนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหารือร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติ และราคาน้ำมันไบโอดีเซล (B 100) ให้เหมาะสมต่อไป
4. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสนับสนุนการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 จากปริมาณปาล์ม (CPO : Crude Palm Oil) ที่มีมากเกินความต้องการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เท่านั้น
สรุปสาระสำคัญ
1. จากปัจจุบันราคาน้ำมันทั้งในตลาดโลกและตลาดภายในประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐได้จัดหาพลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกและสามารถผลิตได้ในประเทศมาใช้แทนน้ำมันคือ ก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ซึ่งสามารถใช้ได้โดยตรงกับรถยนต์เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล และในการจะปรับเปลี่ยนการใช้ เชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นก๊าซ NGV ในรถยนต์ สิ่งจำเป็นต้องดำเนินการ คือ การดัดแปลงเครื่องยนต์ หรือใช้รถยนต์ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อใช้กับก๊าซ NGV รวมทั้ง ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สถานีบริการเติมก๊าซ NGV การจัดหาอุปกรณ์และเตรียมผู้ชำนาญการในการติดตั้งอุปกรณ์ ตรวจสอบความปลอดภัย เป็นต้น เพื่อให้การส่งเสริมการใช้ NGV ประสบความสำเร็จ กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ขึ้น โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 2.0 ล้านบาท (สองล้านบาทถ้วน)
2. สำนักความปลอดภัยธุรกิจธรรมชาติ กรมธุรกิจพลังงานได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ก๊าซ NGV อย่างปลอดภัย เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ NGV อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสถานีบริการก๊าซ NGV ให้แพร่หลาย และให้บริการอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งส่งเสริมการเป็นผู้ตรวจสอบความปลอดภัยในการดัดแปลงเครื่องยนต์ NGV
3. สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการเป็นการจัดสัมมนาและบรรยายในส่วนภูมิภาคของประเทศ จำนวนรวม 8 ครั้ง ครั้งละ 1 วัน พร้อมแจกสื่อและสิ่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้งการสาธิตรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ณ สถานที่ของภาคเอกชนในส่วนภูมิภาคจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ราชบุรี ชลบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งละ 100 คน ประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้ประกอบการกิจการภาคขนส่ง 2) กลุ่มผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดตั้ง ทดสอบ และ ตรวจสอบเครื่องยนต์ดัดแปลง 3) หน่วยงานภาครัฐ ในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และเทศบาล และ 4) ข้าราชการ/พนักงาน/ลูกจ้างและประชาชนทั่วไป ซึ่งระยะเวลาการดำเนินการ 6 เดือน (เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2549)
4. การประเมินผลโครงการฯ โดยวัดจากปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้น และ/หรือปริมาณการจำหน่ายก๊าซ NGV ในภาคขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิงในภาคขนส่งลดลง ช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ให้กับกรมธุรกิจพลังงานในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) ระยะดำเนินการ 6 เดือน (เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2549) (โดยมีรายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบการประชุมวาระที่ 4.3)
เรื่องที่ 6 การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงานซึ่งมีภารกิจหลักเกี่ยวกับการกำกับควบคุมกิจการพลังงานในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคง โดยการกำกับดูแลตามกฎหมายและพัฒนามาตรฐานการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และเพื่อการยกระดับมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันและปลูกจิตสำนึกของประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้น กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จึงจะจัดให้มีการรับรองมาตรฐาน "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ขึ้น เพื่อเป็นมาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการปรับปรุงมาตรฐานและระบบการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการให้บริการของตนเอง รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้รับบริการ และภาพพจน์ที่ดีของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
2. สำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง กรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ขึ้น เพื่อการดังกล่าวโดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ด้วย มีวัตถุประสงค์ของโครงการ คือ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อยกระดับมาตรฐานด้าน คุณภาพ ความปลอดภัย ความสะอาด สะดวก ของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงตระหนักและมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และรับผิดชอบต่อสังคม โดยที่กลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ สถานีบริการ น้ำมันเชื้อเพลิงประเภท ก และประเภท ข ทั่วประเทศ ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543
3. ลักษณะโครงการจะเป็นการจัดการเชิญชวนให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ประสงค์จะขอรับ เครื่องหมายรับรองปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ จะต้องจัดทำคู่มือปฏิบัติการระบบการควบคุมคุณภาพ น้ำมันเชื้อเพลิงและความปลอดภัย และให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ส่งรายชื่อสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้ ธพ. ประเมินเพื่อรับรองมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในด้านคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ปลอดภัย สะอาด สะดวก และ ธพ. จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ถึง โครงการนี้เพื่อให้การรับรองมาตรฐานเป็นที่รับทราบแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยตั้งเป้าหมายจะมีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 1,000 แห่ง ในส่วนคู่มือปฏิบัติการระบบฯ ธพ. จะพิจารณา รายละเอียดของคู่มือให้ครอบคลุมทุกขั้นตอนที่กำหนดและขั้นตอนการดำเนินงานมีความน่าเชื่อถือ และสามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อผู้ค้าน้ำมันได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองแล้ว จะสามารถนำเครื่องหมายรับรองไปแสดง ณ สถานีบริการที่ ธพ. อนุญาตเท่านั้น
4. การดำเนินการของโครงการจะเป็นการกำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการรับรองมาตรฐาน "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้กบริการ" และการจัดแถลงข่าวโครงการ พร้อมด้วยการประชาสัมพันธ์เชิญชวนสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการรับรองมาตรฐาน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงโครงการนี้ นอกจากนี้ มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจประเมินและคัดเลือกลงตรวจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าร่วมโครงการเพื่อตรวจประเมินรับรองระดับมาตรฐาน และการจัดพิธีมอบการรับรอง มาตรฐานให้แก่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผ่านการตรวจประเมิน โดยจะแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 โดยจะจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และคณะทำงานดำเนินโครงการ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการ ร่างหลักเกณฑ์และกระบวนการรับรองมาตรฐานตามโครงการ พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินการ จัดตั้งคณะทำงานตรวจประเมินและคัดเลือกในส่วนภูมิภาคและส่วนกลางเพื่อรับสมัคร คัดเลือก ตรวจประเมิน และรับรองมาตรฐานให้กับสถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งการมอบสัญลักษณ์ระดับมาตรฐาน "ปั๊มปลอดภัย น่าใช้บริการ" ที่ผ่านเกณฑ์การรับรองตามโครงการ แล้วติดตามประเมินผลหลังการ ออกรับรองระดับมาตรฐาน
5. สำหรับส่วนที่ 2 เป็นการการดำเนินงานส่วนประชาสัมพันธ์โดยการจ้างที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการทางวิทยุหรือด้านอื่นๆ เพื่อเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการและเป็นการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการรับรองมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมัน จัดงานแถลงข่าวเปิดโครงการ และส่วนที่ 3 คือ การดำเนินงานส่วนของบริษัทผู้ค้าน้ำมัน/ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน และประชาสัมพันธ์ไปยังสถานีบริการน้ำมันเครื่องหมายการค้าของตนเอง
6. โครงการได้กำหนดระยะเวลา ดำเนินการ 12 เดือน (กรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550) โดยใช้วงเงินงบประมาณ 3 ล้านบาทถ้วน โดยแบ่งเป็นงบประมาณส่วนงานตรวจประเมินและคัดเลือก 600,000 บาท และ งบประมาณส่วนงานประชาสัมพันธ์โดยจ้างที่ปรึกษา 2,400,000 บาท
7. ส่วนผลที่คาดว่าจะได้รับ โดยประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับความปลอดภัย สะอาดและสะดวก จากการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ และสถานีบริการน้ำมันได้ปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการของตนเองให้ดีขึ้น และมีมาตรฐานที่ดี พร้อมทั้งสร้าง Brand Awareness ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการรับรองมาตรฐานสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ให้กับกรมธุรกิจพลังงานในวงเงิน 3,000,000 ล้าน (สามล้านบาทถ้วน) ระยะเวลา ดำเนินการ 12 เดือน (เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550) (โดยมีรายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบวาระที่ 4.4)
เรื่องที่ 7 โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer)
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามเป้าหมายการเพิ่มปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV จำนวน 300,000 คัน ในปี 2551 และเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คัน ในปี 2553 ของแผนยุทธศาสตร์พลังงานประเทศ เพื่อรองรับการดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมผู้ชำนาญการติดตั้งและปรับแต่งเครื่องยนต์ และผู้ตรวจและทดสอบความปลอดภัยของการติดตั้งที่เป็นไปตามกฎหมายให้เพียงพอกับปริมาณงานและความต้องการที่เพิ่มขึ้น กรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการฝึกอบรมผู้ชำนาญการติดตั้ง โดยปัจจุบันได้ขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่จาก ปตท. และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเป็นวิทยากร จึงเห็นควรจัดทำ โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ขึ้น เพื่อกระจายการผลิตวิทยากรดังกล่าวให้ทั่วประเทศ โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ
2. วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสร้างวิทยากรที่จะไปอบรมช่างติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV และเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ตรวจและทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV ตามกฎหมาย โดยการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV และการตรวจและทดสอบรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์แล้ว ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 10 ครั้ง ครั้งละ 5 วัน แบ่งเป็นภาคทฤษฎี 1 วัน และภาคปฏิบัติ 4 วัน ซึ่งจะจัด ฝึกอบรม 10 รุ่นๆ ละ 15 คน รวม 150 คน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ อาจารย์ในวิทยาลัยอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย และวิทยากรของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยใช้สถานที่ขอรัฐหรือเอกชนในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นที่จัดฝึกอบรม สำหรับในส่วนภูมิภาคจะดำเนินการในจังหวัดที่มีศักยภาพในการใช้ NGV เช่น เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ราชบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สงขลา เป็นต้น
3. โครงการจะดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550 โดยใช้งบประมาณ 8.39 ล้านบาท ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับคือการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV เป็นไปตามเป้าหมาย และประชาชนได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย และมีทางเลือกใช้เชื้อเพลิงราคาประหยัด
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงินงบประมาณ 8,390,000 บาท (แปดล้านสามแสน เก้าหมื่นบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี (เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550)
เรื่องที่ 8 โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานมีนโยบายและมาตรการเร่งด่วนให้รถยนต์ติดตั้งอุปกรณ์ NGV เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอื่นทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง และช่วยรักษาดุลการค้าของประเทศ ตามนโยบายประหยัดพลังงานและลดการใช้น้ำมันของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องมีสถานประกอบการติดตั้ง ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้เข้ารับการติดตั้ง และได้รับความคุ้มครองตามความเหมาะสม รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจ โดยใช้หลักวิชาการที่ถูกต้อง มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานในระดับสากล และเป็นที่ยอมรับของผู้เข้ารับการ ติดตั้ง กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ
2. การจัดทำโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานสถานประกอบการฯ ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของประชาชน และช่วยสร้างภาพพจน์และความรับผิดชอบธุรกิจการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ตลอดจนลดความเสี่ยงของผู้มารับการติดตั้งและผู้เกี่ยวข้องให้น้อยลง
3. วิธีการดำเนินงาน โดยประชาสัมพันธ์ได้สถานประกอบการฯ มีความประสงค์จะขอใบรับรองมาตรฐานสถานประกอบการฯ ยื่นคำขอรับใบรับรองจากคณะอนุกรรมการ โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรกมารเฉพาะกิจ ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และหลังจากนั้น คณะอนุกรรมการจะแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบสถานประกอบการฯ ผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับใบรับรองมาตรฐานฯ พร้อมป้ายแสดงมาตรฐานฯ จากคณะกรรมการ และกลุ่มเป้าหมายจะเป็นสถานประกอบการติดตั้งรถยนต์ NGV ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 163 แห่ง โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - กรกฎาคม 2550 และใช้วงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายจำนวน 2 ล้านบาท ซึ่งจะมีคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
4. ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ จะมีสถานประกอบการฯ ที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย และเป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง เป็นที่ยอมรับของประชาชน
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี (ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - กรกฎาคม 2550)