Super User
กพช. ครั้งที่ 79 - วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
1.ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.ความคืบหน้าการดำเนินงานแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
3.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02)
4.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
5.ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
6.โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.ความเห็นเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน
8.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
9.แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
10.การส่งเสริมนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
11.ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
12.การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
13.การกำหนดราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีน
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาชนจีน โดยทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าใน สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศไทยจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2560 ต่อมา เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2543 คณะผู้แทนบริษัทไฟฟ้าแห่งรัฐและการไฟฟ้ายูนนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาเยือนไทย เพื่อหารือในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ได้ข้อสรุปของผลการหารือที่สำคัญ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงจะเป็นโครงการแรกขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 และโครงการที่เหลืออีก 1 โครงการในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 ทั้งนี้ กฟผ. จะบรรจุโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง และโครงการที่เหลือไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าในระยะยาวฉบับใหม่
2. คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย-จีน ได้มีการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 4-5 กันยายน 2543 ณ เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญของผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
2.1 ได้มีการเน้นย้ำถึงความร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ได้ตกลงกันไว้แล้วในเดือนมีนาคม 2543
2.2 การหารือถึงความตกลงในการลงทุนก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง และได้ลงนามในความตกลงเรื่อง "การร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงระหว่างกลุ่มผู้ ลงทุนไทย-จีน" เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543
2.3 การตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC แบบวงจรเดี่ยว (Single Pole) เพื่อส่งไฟฟ้าจำนวน 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการแรก ในปี 2556 และเพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อส่งไฟฟ้าอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ แบบสองวงจร (Bi Pole) ในปี 2557 โดยแนวสายส่งจากจีนมาไทยจะผ่านพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) และมีสถานีจุดเปลี่ยนกระแสไฟฟ้า (Coverter Station) อยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.4 เห็นชอบให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง เข้าร่วมการซื้อขายไฟฟ้าในตลาด Power Pool ของไทย โดยต้องอยู่บนหลักการของการแข่งขันด้านการซื้อขายไฟฟ้าอย่างยุติธรรม ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้เสนอทางเลือกให้พิจารณา 2 ทางคือ ให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ส่งไฟฟ้าเข้าไปซื้อขายในตลาด Power Pool ของไทย โดยตรง หรือให้ซื้อขายไฟฟ้าผ่านบริษัทผู้ค้าไฟฟ้า (Energy Trader Company)
2.5 เห็นชอบกับแผนงานเบื้องต้นของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงที่จะดำเนิน การในระยะต่อไป ได้แก่ การศึกษาความเป็นไปได้ของระบบสายส่ง การปรับปรุงสัญญาด้านการปฏิบัติการ ข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้า การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ รวมทั้งการจัดเตรียมและเริ่มงานก่อสร้าง โรงไฟฟ้าฯ อย่างเป็นทางการ ในปี 2549 เพื่อให้โครงการฯสามารถส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยได้ทันตามกำหนดในปี 2556
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการดำเนินงานแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้กำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุน จากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี (คณะกรรมการดำเนินการฯ) ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และผู้แทนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมเป็นกรรมการ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประเมินราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำหนดอัตราค่า ไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำกับดูแลการจัดทำสัญญาทุกฉบับ กำหนดราคาหุ้น จำนวนหุ้น และวิธีการขายหุ้นของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ให้กับประชาชนและพนักงาน กฟผ.
2. คณะกรรมการดำเนินการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2543 ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบจำนวนหุ้น วิธีการขายหุ้น วิธีการกำหนดราคาหุ้น และช่วงราคาหุ้น (Price Range) ของบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และได้นำเสนอมติคณะกรรมการดำเนินการฯ ต่อคณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุม เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2543 ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดำเนินการฯ แล้ว ดังนี้
2.1 จำนวนหุ้นสามัญของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) ทั้งหมดเท่ากับ 1,450 ล้านหุ้น จำนวนหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเท่ากับ 580 ล้านหุ้น โดยมีโครงสร้างการจัดจำหน่ายและการกระจายหุ้นคือ ให้มีการกระจายหุ้นส่วนหนึ่งให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ (Nationwide) ชำระเงินผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และส่วนที่เหลือให้กระจายหุ้นผ่านทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายและ รับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) ผู้ร่วมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-Lead Underwriter) และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-Manager) ทั้งนี้ ให้กำหนดโดยคณะกรรมการบริษัทราชบุรีโฮลดิ้งฯ
2.2 วิธีการกำหนดราคาหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก จะใช้วิธี Book-building กับ นักลงทุนสถาบันการเงิน
2.3 ช่วงราคาหุ้นเพื่อทำ Book-building ราคาหุ้นละ 13-15 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2542-2554 ฉบับปรับปรุง (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ตาม ข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ช่วงปี พ.ศ. 2542-2554 เป็นระยะๆ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และให้ กฟผ. รับไปศึกษาเกณฑ์กำหนดปริมาณสำรองการผลิตไฟฟ้าของประเทศที่เหมาะสมต่อไป
2. ในช่วงปี 2542 โครงการโรงไฟฟ้าหลายโครงการได้ถูกชะลอออกไป และไม่เป็นไปตามแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ประกอบกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้จัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติชุดใหม่ ขณะนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศยังอยู่ระดับใกล้เคียงกับค่าพยากรณ์ความ ต้องการ ไฟฟ้ากรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง รวมทั้งสถานการณ์การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนยังไม่แน่นอน กฟผ. จึงได้ปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า PDP 99-01 ใหม่เป็น PDP 99-02 โดยใช้แผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ตามเดิม แต่เปลี่ยนแปลงกำหนดแล้วเสร็จของโรงไฟฟ้าตามผลความก้าวหน้าของการก่อสร้าง และเปลี่ยนแปลงกำหนดจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเอกชนตามที่ร้องขอ ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้อนุมัติแล้ว
3. สาระสำคัญของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02) สรุปได้ดังนี้
3.1 โครงการต่างๆ ที่บรรจุอยู่ในแผนฯ ฉบับนี้ (PDP 99-02) เป็นตัวโครงการที่ปรากฏในแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ โดยเฉพาะโครงการที่ กฟผ. ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ได้แก่ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers : IPPs) 7 โครงการ จำนวน 5,943.5 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2543-2550 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producers : SPPs) 1,958.4 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2539-2546 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3,300 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2549-2551 ทั้งนี้ เนื่องจากแผนฯ ฉบับนี้ (PDP 99-02) ใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง (MER) ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่ใช้ในแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง)
3.2 โครงการที่มีการเลื่อนกำหนดจ่ายไฟฟ้าออกไปจากแผนฯ เดิม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPPs) ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด เลื่อนจากเดือนกันยายน 2542 เป็น เดือนมิถุนายน 2543, บริษัท อิสเทิร์นเพาเวอร์ จำกัด เลื่อนจากเดือนมกราคม 2545 เป็นเดือนกรกฎาคม 2545, บริษัท ยูเนียนเพาเวอร์ดีวีลอปเมนต์ จำกัด เครื่องที่ 1 และ 2 เลื่อนจากเดือนตุลาคม 2545 และมกราคม 2546 เป็นเดือนตุลาคม 2546 และมกราคม 2547, บริษัท กัลฟ์เพาเวอร์เจนเนอเรชั่น จำกัด เครื่องที่ 1 และ 2 เลื่อน จากเดือนตุลาคม 2545 และเมษายน 2546 เป็นเดือนตุลาคม 2546 และเมษายน 2547, และโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี กำลังผลิตรวม 3,645 เมกะวัตต์ เลื่อนออกไปประมาณ 1 ปี โดยปัจจุบันเริ่มเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมชุดที่ 1 กังหันแก๊สชุดที่ 1-2 แล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องได้เต็มที่ทั้งโครงการประมาณเดือนตุลาคม 2544
3.3 ได้เปลี่ยนแปลงกำหนดจ่ายไฟฟ้าตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ชุดใหม่ คือ เลื่อนโครงการแหล่งก๊าซใหม่จากฝั่งตะวันออกในบริเวณโครงการพัฒนาร่วม ไทย-มาเลเซีย (Joint Development Area : JDA) จากปี 2550 เป็นปี 2553
4. เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าในปี 2543 ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในอัตราร้อยละ 7.3 ตามการ ขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับมีการชะลอบางโครงการออกไป จึงทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในปี 2543 ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 43.5 ลดลงเหลือร้อยละ 19.1 และทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในปีอื่นๆ ต่ำกว่าประมาณการที่ได้จัดทำไว้ในแผนฯ ชุดเดิม (99-01 ฉบับปรับปรุง)
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และมอบหมายให้ กฟผ. เสนอแนวทางฟื้นฟูสภาพแวดล้อมจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าบางปะกงในการ ประชุมครั้งต่อไป รวมทั้ง ให้รับไปพิจารณาถึงการตั้งโรงไฟฟ้าในภาคอีสานเพื่อ การพัฒนาอุตสาหกรรมด้วย
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนกันยายนได้เพิ่มขึ้น 3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าประเทศในกลุ่ม โอเปคจะตกลงเพิ่มปริมาณการผลิต 800,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ตลาดน้ำมันดิบก็ยังตึงตัว เพราะความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราการผลิตน้ำมันดิบ ประธานาธิบดีคลินตันแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศให้มีการนำน้ำมัน สำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้จำนวน 30 ล้านบาร์เรล โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง และเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปเก็บสำรองไว้สำหรับฤดูหนาว ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ในระดับ 1 - 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 25 กันยายน 2543 อยู่ในระดับ 29 - 32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายนมีความผันผวนค่อนข้างสูง เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมัน ทางการค้าในสิงคโปร์และญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำ และเกิดสภาวะตึงตัวจากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของเดือนราคาน้ำมันสำเร็จรูปลดลงเนื่องจากปริมาณการซื้อลดลง ประกอบกับค่าการกลั่นที่สูง ทำให้โรงกลั่นในภูมิภาคนี้เพิ่มปริมาณการผลิตขึ้น นอกจากนี้ได้เริ่มมีการส่งออกจากอินเดีย ไทย และญี่ปุ่น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 25 กันยายน อยู่ในระดับ 31.8, 40.6, 36.8 และ 26.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลง 1 ครั้ง จำนวน 25 สตางค์/ลิตร หลังจากนั้น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้ปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นรวม 1.0 บาท/ลิตร บางจากปรับขึ้น รวม 1.3 บาท/ลิตร และผู้ค้าเอกชนปรับขึ้นรวม 1.2 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ำมันเบนซินไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 กันยายน 2543 น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 16.49, 15.49 และ 14.48 บาท/ลิตร ตามลำดับ สำหรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของบางจาก และ ปตท. ต่ำกว่าผู้ค้าน้ำมันอื่นอยู่ 11 และ 20 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ โดย ปตท. ได้ใช้นโยบายตรึงราคาขายปลีก ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับต่ำมากหรือขาดทุน ทางกลุ่มผู้ค้าน้ำมันจึงได้มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อขอหารือกับฝ่ายรัฐ
4. จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และผู้ค้าได้ชะลอการปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไว้ ทำให้ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายนลดต่ำลงมากจนอยู่ในระดับ ติดลบ ค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์ในเดือนกันยายนอยู่ในระดับติดลบที่ 0.05 บาท/ลิตร และผลจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมัน ดิบ ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนกันยายนอยู่ในระดับสูงโดยเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3 - 1.6 บาท/ลิตร) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.19 บาท/ลิตร
5. นักวิเคราะห์ด้านน้ำมันได้วิเคราะห์ว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาว แต่มีความเป็นไปได้ที่ประเทศในกลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิต เพื่อหยุดการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ณ ไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันเบนซินจะปรับลงตามความต้องการที่จะลดลง แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันเพื่อความอบอุ่น (ก๊าด และดีเซล) ที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ราคาน้ำมันประเภทดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น แต่ระดับของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เกิน 40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะจูงใจให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการผลิต จึงคาดว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปลายปีนี้จะไม่เกิน 45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาขายปลีกของไทย ราคาน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามราคาตลาดโลก ส่วนราคาน้ำมันดีเซลในไตรมาสสุดท้าย คาดว่าจะเคลื่อนไหวในระดับ 15 - 16 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ตอบหนังสือกลุ่มผู้ค้า น้ำมัน เพื่อชี้แจงว่ารัฐบาลยังคงนโยบายการค้าเสรี โดยไม่ได้มีการเข้าไปแทรกแซงการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 5 ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคาร ของรัฐ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้งอาคารของรัฐ ได้มีการอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ รวมเป็นเงิน 491.33 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯเพื่อว่าจ้างศึกษาการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศ เก่าที่ถูกถอดออกและการตรวจสอบการดำเนินงานของตัวแทนดำเนินการ รวมเป็นเงิน 2 ล้านบาท ส่วนโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงิน 237.71 ล้านบาท นอกจากนี้ได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเร่งรัดให้กระทรวง/ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโครงการเร่งด่วน (Fast Track) ให้แก่ทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกองทัพเรือแล้ว รวมเป็นเงิน 15.4 ล้านบาท และ ยังมีอาคารส่วนราชการยื่นขอรับการสนับสนุนอีกจำนวน 3 ราย คือ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และโรงพยาบาลอุดรธานี จำนวนเงิน 34.53 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการจัดทำข้อเสนออีกจำนวน 15 ราย จำนวนเงิน 45 ล้านบาท
1.2 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)ประกอบ ด้วย โครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จำนวน 3 โครงการ คือ 1) โครงการลดต้นทุน อุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SMEs-ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) ซึ่ง ขณะนี้ กสอ. ขอชะลอโครงการฯ ไว้ก่อนเพื่อรอแนวทางที่ชัดเจนของโครงการทดสอบนำร่องก่อนจัดทำข้อเสนอมาใหม่ อีกครั้ง 2) โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงานแก่โรงงาน อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการเบื้องต้นจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุนแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และ 3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาด ย่อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อเสนอโครงการเบื้องต้นให้สมบูรณ์ก่อนจะนำ เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ มีโครงการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวน 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและโครงการ สาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs เป็นสารทำความเย็น ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาค ความร่วมมือแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ส่วนโครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้แจ้งว่าโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมีผลกระทบต่องบประมาณ จึงขอนำโครงการฯ กลับไปทบทวน เพื่อรอข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน
1.3 โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน ภาคความร่วมมือได้พิจารณาข้อเสนอโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทาง ไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของกรมควบคุมมลพิษแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และมีมติเห็นชอบให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เพิ่มเติมก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป
1.4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) โดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะเริ่มให้บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ระยะที่ 1 ในเดือน ตุลาคม - ธันวาคม 2543 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยจะตั้งศูนย์บริการประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก และจะมีศูนย์บริการเคลื่อนที่เพื่อให้บริการกับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ รวม 10 แห่งๆ ละ ประมาณ 10 วัน และในระยะที่ 2 จะขยายการให้บริการตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ 16 จังหวัด รวมจุดบริการ 60 แห่ง ในระยะเวลา 3 ปี คาดว่าจะให้บริการรถยนต์ได้อย่างน้อย 49,000 คัน
1.5 โครงการรณรงค์ในวันคาร์ฟรีเดย์ (Car Free Day) คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 เห็นชอบให้คณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจร่วมรณรงค์ในวันคาร์ฟรีเดย์ในวันที่ 22 กันยายน 2543 โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางในแนวทางที่ประหยัด เช่น การใช้รถที่มีขนาดเล็กและ ไม่เปลืองน้ำมัน หรือเดินทางโดยรถสาธารณะ หรือจักรยาน หรืออาจใช้วิธีการใช้รถร่วมกัน (Car Pool) เพื่อให้เกิดการประหยัดน้ำมัน ผลการดำเนินโครงการดังกล่าวพบว่า การจราจรบนถนนเบาบางลงกว่าวันปกติทั่วไป ร้อยละ 5-10 ส่วนบนทางด่วนเบาบางลงร้อยละ 15-20 และจากการตรวจวัดปริมาณมลพิษ 2 ตัวหลัก โดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในช่วงเวลา 7.00-24.00 น. ปริมาณมลพิษรวมเมื่อเปรียบเทียบกับในวันที่ 21 กันยายน 2543 ลดลงร้อยละ 9 โดยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ลดลงร้อยละ 2 และฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลงร้อยละ 16 สำหรับการใช้บริการรถสาธารณะเมื่อเทียบกับวันที่ 21 กันยายน 2543 พบว่ามีผู้ใช้บริการรถ ขสมก. เพิ่มขึ้น 193,000 คน คิดเป็นร้อยละ 7 ผู้ใช้บริการรถไฟชานเมืองเพิ่มขึ้น 21,500 คน คิดเป็นร้อยละ 36 และผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้น 24,868 คน คิดเป็นร้อยละ 15
1.6 โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน การ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในวงเงิน 168 ล้านบาท ในการจัดสร้างโรงไฟฟ้าระบบเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 500 กิโลวัตต์ โดยจะดำเนินการก่อสร้างในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน บนพื้นที่ขนาด 18,000 ตารางเมตร ใกล้โรงไฟฟ้าดีเซลของ กฟผ. เพื่อเสริมการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าดีเซล รวมทั้งจะใช้เป็นที่ศึกษาและอบรมนักศึกษา นักวิชาการ นักธุรกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวด้านเซลล์แสงอาทิตย์ในอนาคต
1.7 โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานได้อนุมัติให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) ดำเนินโครงการสาธิตเทคโนโลยี ประสิทธิภาพพลังงานซึ่งประกอบด้วยโครงการจัดตั้งศูนย์สาธิต 4 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร อยุธยา พิษณุโลก และเชียงใหม่ และจัดทีมรถนิทรรศการสาธิตเคลื่อนที่ไปอีก 22 จังหวัด รวมทั้งการจัดหาพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้งค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน สำหรับศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานในกรุงเทพฯ ได้จัดสร้างที่ชั้น 1 อาคารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม ศกนี้
2. มาตรการลดราคาน้ำมัน ประกอบด้วย
2.1 ปตท. ได้ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร 0.25 บาทต่อลิตร และลดราคาน้ำมันหล่อลื่นอีกลิตรละ 2.00 บาท เป็นการชั่วคราวตั้งแต่ 1 เมษายน - 30 กันยายน 2543 และจะพิจารณาขยายเวลาต่อไปอีก นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่สูง ขึ้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ทั้งนี้จะให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรรายครัวเรือนที่สังกัดสถาบัน/องค์กร เกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลโดยชดเชยให้ครัวเรือนละ 15 ลิตรต่อเดือน ในอัตราลิตรละ 3 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2543
2.2 ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้แก่กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึง สิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดลิตรละ 0.60 บาท นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้อนุมัติเงินจ่ายขาดวงเงิน 321 ล้านบาท ให้กับกรมประมงเพื่อใช้ชดเชยการขาดทุนของกลุ่มผู้ประกอบการประมงโดยการลด ราคาให้ในอัตราลิตรละไม่เกิน 3 บาท ให้กับเรือขนาดความยาวเกินกว่า 14 เมตร แต่ไม่เกิน 18 เมตร เป็นระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นมา โดยเปิดรับสมัครสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันภายใต้การควบคุมดูแลขององค์การ สะพานปลา และตั้งแต่วันที่ 1-19 กันยายน 2543 มีการสั่งซื้อน้ำมันดีเซลจาก ปตท. ผ่านองค์การสะพานปลาแล้ว จำนวน 7.904 ล้านลิตร
2.3 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 เห็นชอบในหลักการให้ชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วย รถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงคมนาคมกำหนด ซึ่งต่อมา ปตท. ได้จัดพิมพ์คูปองส่งให้กรมการขนส่งทางบกเพื่อนำไปจ่ายให้ผู้ประกอบการขนส่ง แล้วตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2543
2.4 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมโดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2543 แต่เนื่องจากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ปตท. จึงได้ขยายระยะเวลาต่อไปอีกระยะหนึ่ง
3. การจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าราชบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กฟผ., ปตท. และ สพช. โดยมีประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้เพียง 1 ประเด็น คือ ปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าผลการพิจารณาร่วมกันจะมีข้อยุติและสามารถจัดทำสัญญาได้ภายในเดือน ตุลาคม 2543
4. ปตท. ได้เร่งรัดการดำเนินมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติมากขึ้นทั้งในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยการจัดทำโครงการ NGV Pre-marketing Project ซึ่งการประเมินผลและการจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์จะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม ศกนี้ ต่อจากนั้นจะนำผลการทดสอบ รวมทั้ง ข้อคิดเห็นเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานในการปรับปรุงรถของ ขสมก. และ กทม.ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตลอดจนการสร้างสถานีบริการก๊าซฯ นอกจากนี้ยังมีโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบ Bi-fuel ในรถแท๊กซี่อาสาสมัคร จำนวน 100 คัน ใช้งบประมาณของ ปตท. วงเงินประมาณ 4 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2543 โดย ปตท. ได้กำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ให้อยู่ในระดับร้อยละ 50 ของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพื่อเป็นการจูงใจให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น
5. ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มเติมจากอิรัก ทำให้การจัดหาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้รายงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ไปแล้วซึ่งมีปริมาณ 129.8 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 135.3 พัน บาร์เรลต่อวัน โดยการจัดหาในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 จำนวน 29 พันบาร์เรลต่อวัน การนำเข้าน้ำมันดิบ ดังกล่าวเป็นลักษณะสัญญา TERM ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่าตลาดจรประมาณ 0.08-0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
6. การแสดงความคิดเห็นในเวทีนานาชาติเพื่อสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนจากราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ) ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกลุ่มเอเปค (ยกเว้นจีนไทยเป และฮ่องกง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Indian Ocean Rim Association for Regional Economic Cooperation-IOR-ARC เพื่อขอให้ร่วมแสดงความห่วงกังวลต่อผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันไปยัง ประชาคมโลกโดยผ่านเวทีนานาชาติที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโอเปคเพื่อ เตือนให้ประเทศในกลุ่มโอเปคคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวจาก ความถดถอยของเศรษฐกิจโลก
ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ในฐานะประธานการประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 10 ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการอังค์ถัด เพื่อขอให้ร่วมแสดงความกังวลต่อ สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกและร่วมส่งสัญญาณเตือนไปยังกลุ่มโอเปค และในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ 3 (Third APEC Senior Officials Meeting) ณ ประเทศบรูไน ดารูซซาลาม ระหว่าง วันที่ 21-23 กันยายน 2543 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ในฐานะรัฐมนตรีพลังงาน ได้มีการนำประเด็นปัญหาเรื่องสถานการณ์ราคาน้ำมันขึ้นหารือ และในการประชุมผู้นำเอเปคครั้งที่ 8 APEC Economic Leaders Meeting ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ก็จะนำปัญหาดังกล่าวขึ้นหารือเช่นกัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ได้เสนอขอให้มีการจัดตั้งสถานี (Tanker) จำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมงในเรื่องต้นทุนการทำประมง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเล ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งระบบ การค้าน้ำมันกลางทะเลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติรับทราบผลการศึกษาดังกล่าว และมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ ต่อไป
2. สพช. ได้จัดทำรายละเอียดแนวทางการดำเนินโครงการ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 โครงการดังกล่าวจะช่วยพัฒนาระบบการป้องกันและปราบปรามน้ำมันเถื่อนในทะเล จากการติดตามจับกุมเป็นการป้องกันมิให้มีการลักลอบนำน้ำมันขึ้นฝั่ง โดยประสานงานกับผู้จำหน่ายน้ำมันในทะเลและชาวประมง ทำให้จับกุมได้ง่ายและทันเวลา สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราม นอกจากนั้นยังช่วยให้เรือประมงได้ใช้น้ำมันคุณภาพดี ราคาต่ำ และสามารถเข้าทดแทนโครงการลดราคาน้ำมันเพื่อช่วยเหลือชาวประมงของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ได้ ช่วยให้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการอุดหนุน ได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งช่วยให้ผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศสามารถจำหน่ายน้ำมันส่วนเกินของโรง กลั่นได้ ซึ่งคาดว่า จะมีปริมาณความต้องการน้ำมันดีเซลของกลุ่มเรือประมงในระดับ 120 ล้านลิตรต่อเดือน หรือมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี
2.2 คุณภาพของน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในโครงการ มีค่ากำมะถันโดยน้ำหนักไม่เกิน 0.5% อุณหภูมิการกลั่นไม่เกิน 3700C และมีการเติมสาร Marker ตามข้อกำหนดของน้ำมันส่งออก รวมทั้งเติมสีน้ำเงิน เพื่อให้มีความแตกต่างจากน้ำมันที่ใช้ทั่วไป
2.3 ราคาที่จำหน่ายให้แก่เรือประมง จะเป็นราคาไม่รวมภาษีและกองทุนต่างๆ และหักค่าปรับลดคุณภาพน้ำมัน บวกด้วยค่าพรีเมี่ยมของโรงกลั่นและผู้จำหน่ายน้ำมันกลางทะเล ทำให้ราคาจำหน่ายจะต่ำกว่าปกติในระดับมากกว่า 2 บาท/ลิตร ขึ้นไป
2.4 การอนุญาตให้จำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องเป็นอำนาจอนุมัติของอธิบดีกรม ศุลกากร โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเป็นไปตามที่ศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปราม การลักลอบกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (ศปปป.) กำหนด
2.5 เรือที่จำหน่ายน้ำมันต้องติดตั้งมิเตอร์จ่ายน้ำมันและมีมาตรฐานความปลอดภัย โดยให้ปฏิบัติ ตามระเบียบและมาตรฐานที่ทางราชการกำหนดไว้
2.6 มาตรการควบคุมการลักลอบนำเข้า จะดูแลโดย ศปปป. ซึ่งกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมัน เรือจำหน่ายน้ำมัน และสมาคมประมงฯ ต้องรายงานข้อมูลการซื้อขายเป็นรายเดือน ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบ รวมทั้งสมาคมประมงฯ ต้องแจ้งปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของเรือประมงที่เป็นสมาชิกทุกลำ สำหรับผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งล่วงหน้าถึงข้อมูลการรับน้ำมันจากโรงกลั่น การขนส่งไปยังคลังทัณฑ์บนและขนส่งไปยังเรือจำหน่ายน้ำมัน สถานที่และเวลาการขนถ่ายน้ำมัน เพื่อที่ ศปปป. จะได้ตรวจสอบเปรียบเทียบปริมาณ น้ำมันที่รายงาน ซึ่งต้องสัมพันธ์กับของต้นทาง (โรงกลั่น/ผู้ค้าน้ำมัน) กลางทาง (เรือ Tanker) และปลายทาง (ผู้ซื้อคือเรือประมง) เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่ามีการลักลอบนำเข้าหรือจัดซื้อน้ำมันจากต่างประเทศหรือ ไม่ นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบเรือประมงที่แล่นสู่ชายฝั่งทะเล ท่าเทียบเรือ แพปลา มิให้มีการสูบถ่ายน้ำมันจากเรือประมงออกจากถังนำมาจำหน่ายบนฝั่ง โดยการตรวจสอบสี และสาร Marker ในน้ำมันที่จำหน่ายในสถานีบริการชายฝั่งโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอความร่วมมือจากสมาคมประมงฯ เรือจำหน่ายน้ำมันและเรือประมงสมาชิกช่วยสอดส่องดูแล แจ้งเบาะแสการกระทำผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐทราบ
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้
3.1 เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
3.2 ให้กรมสรรพสามิตพิจารณาดำเนินการยกเว้นภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันดีเซลและน้ำมันที่คล้ายกันที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้จำหน่ายไป ยังเรือจำหน่ายน้ำมันกลางทะเล (Tanker) ในเขตต่อเนื่อง (12-24 ไมล์ทะเล) โดยมีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายให้แก่ชาวประมง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเรือประมง ในทะเล ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติตามภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
3.3 ให้กรมศุลกากรพิจารณาอนุญาตให้เรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงใน เขต ต่อเนื่อง สามารถขนถ่ายสิ่งของใดๆ ได้ ตามมาตรา 37 ตรี แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 (แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2540)
3.4 ให้กรมศุลกากรพิจารณากำหนดให้การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงออกไปจำหน่ายในเขต ต่อเนื่อง ระบุจุดหมายปลายทางว่า "เขตต่อเนื่อง" รวมทั้ง พิจารณายกเว้นอากรขาเข้าสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชาวประมงซื้อในเขตต่อ เนื่อง และน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในถังใช้การปกติของยานพาหนะที่นำมาจากนอกราช อาณาจักร เพื่อใช้สำหรับยานพาหนะนั้นเท่านั้น
3.5 ให้กรมทะเบียนการค้าไปพิจารณาออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะส่ง ออกไปจำหน่ายในเขตต่อเนื่องให้สอดคล้องกับหลักการของโครงการฯ และเหมาะสมกับสภาพการใช้งานในทะเล
3.6 ให้กรมสรรพากรสนับสนุนโครงการฯ โดยการเร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เร็วที่สุด เพื่อให้ ผู้จำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ สามารถแข่งขันราคากับผู้จำหน่ายน้ำมันในต่างประเทศได้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ ในการตรวจสอบความถูกต้องของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ ตามข้อ 3
เรื่องที่ 7 ความเห็นเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม รับไปพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน ในกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้มีการพิจาณาผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมัน ดีเซลและเบนซิน เพื่อเป็นการลดระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
2. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าควรคงข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันไว้ตามที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากการผ่อนปรนคุณภาพน้ำมันดีเซล โดยการเพิ่มอุณหภูมิการกลั่นจาก 357oC เป็น 370oC และการเพิ่มปริมาณกำมะถันจากร้อยละ 0.05 เป็นร้อยละ 0.5 โดยน้ำหนัก จะมีผลโดยตรงต่อปริมาณฝุ่นละอองในไอเสียของรถยนต์ดีเซลที่จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศที่อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานอยู่ แล้วจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นอกจากนี้ ยังเห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและคุ้ม ค่า ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อ เนื่อง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความเห็นว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการผ่อนปรนคุณภาพน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาลดลงบ้างนั้นไม่คุ้มค่ากับความเสียหายต่อสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากปัญหามลพิษที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการผ่อนปรนคุณภาพนั้น ดังนั้น จึงควรคงสภาพข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไว้ อนึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและคุ้มค่า ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 8 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยสาขาพลังงานได้กำหนดแนวทางการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกำหนดให้มีการวางกรอบการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ และให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงานขึ้นเป็นหน่วยงานอิสระ เพื่อรับผิดชอบในการกำกับดูแลกิจการพลังงานในอนาคต ต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงานเพื่อ ดำเนินการยกร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จ และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภาพิจารณาต่อไปตามลำดับ
2. คณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยใช้กรอบของแนวทางในการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 และแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยะยาวที่คณะ รัฐมนตรีได้ให้ความ เห็นชอบเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 รวมทั้งข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้าที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 มาใช้เป็นแนวทางหลักในการ ยกร่างกฎหมายดังกล่าว
3. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีสาระสำคัญ คือ
3.1 เพื่อกำกับดูแลกิจการพลังงานที่มีลักษณะผูกขาด ได้แก่ กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการอื่นที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติมีหน้าที่คือออกใบ อนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน ส่งเสริมการแข่งขัน ป้องกันการใช้อำนาจการผูกขาดโดย มิชอบ และให้การคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน
3.2 ให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติขึ้น เป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการเพื่อให้คณะกรรมการสามารถ ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.3 ให้มีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยขึ้น ทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมระบบส่งไฟฟ้าของประเทศ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน โดยมีคณะกรรมการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้กิจการไฟฟ้ามีการแข่งขัน ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือก ในการซื้อไฟฟ้า และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดการสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พลังงาน พ.ศ. ... เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2543 โดยได้เชิญผู้แทนจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ ผู้ใช้พลังงาน สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมสัมมนา นอกจากนี้ ได้ประกาศเชิญชวนประชาชนผู้สนใจทั่วไปให้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ผ่านทางสื่อ ต่างๆ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้กว่า 500 คน ซึ่งคณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ได้นำข้อคิดเห็นที่ได้รับจากการสัมมนาในหลายประเด็น มาใช้ในการปรับปรุงร่างกฎหมายตามความเหมาะสมแล้ว
5. เมื่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ได้รับความเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะ รัฐมนตรีแล้ว ก็จะนำพระราชบัญญัติฉบับนี้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาตรวจ ร่าง ก่อนนำเสนอรัฐสภาพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งคาดว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ประมาณกลางปี 2545
6. ในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐสภา สพช. จะเป็นแกนกลางในการประสานงานเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมาย ที่จะออกตามบทบัญญัติแห่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานของ องค์กรกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน โดยคาดว่าจะจัดตั้งขึ้นภายในปี 2545 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะช่วยให้การประกาศใช้กฎหมายรองรับ รวมทั้งกฎและระเบียบที่จะใช้ในการกำกับดูแลกิจการพลังงานสามารถดำเนินการได้ อย่างรวดเร็วหลังการจัดตั้งองค์กรกำกับการประกอบกิจการพลังงาน และวันเริ่มต้นที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานในการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่ง ประเทศไทยที่กำหนดภายในปี 2546
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งข้อแก้ไขมายัง สพช. เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และเวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
เรื่องที่ 9 แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้า โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว และหากมีประเด็น ที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
2. สพช. ได้จัดทำแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาด กลางซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งได้ปรับปรุงรายละเอียดแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับร่างพระราช บัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า และการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
3. แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้าที่คณะ อนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 สามารถสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
3.1 การจัดทำกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Market Rules) จะครอบคลุมถึงกฎเกณฑ์ กติกาในการซื้อขายไฟฟ้าและการกำหนดราคา ตลอดจนข้อปฏิบัติทางเทคนิคในการควบคุมความมั่นคงของระบบและตรวจวัดหน่วย ไฟฟ้าเพื่อชำระเงิน ในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว สพช. จะเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำร่างกฎตลาดกลางฯ จะแล้วเสร็จ และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบได้ในราวเดือนตุลาคม 2544
3.2 การดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ดังกล่าวจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ได้แก่ กิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และคาดว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว จะผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และมีผลใช้บังคับประมาณกลางปี 2545
3.3 การดำเนินการยกร่างกฎหมายรองรับในช่วงที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ ระหว่างการพิจารณาในสภาฯ สพช. จะเป็นแกนกลางในการจัดทำร่างกฎระเบียบ ข้อกำหนด ประกาศ ฯลฯ และรายละเอียดอื่นๆ ทางกฎหมายที่จำเป็นต่อการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระและการดำเนินการของ ตลาดกลางฯในอนาคต
3.4 การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง (Stranded Cost) สพช. เป็นแกนกลางในการดำเนินการและว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแบบจำลองทาง การเงินเพื่อประเมินมูลค่าและเสนอมาตรการในการจัดการต้นทุนติดค้าง ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544
3.5 การดำเนินการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการ ร่วมกันเพื่อจัดทำข้อกำหนดการเชื่อมโยง การใช้บริการและการปฏิบัติการระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Grid Code and Distribution Code) และกำหนดขอบเขตระหว่างระบบส่ง และระบบจำหน่ายให้ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จในปลายปี 2544
3.6 การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟผ. คาดว่าจะสามารถปรับหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กรออกเป็นหน่วยธุรกิจเชิงพาณิชย์ ภายในปลายปี 2544 โดยจะจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ภายในเดือนตุลาคม 2545 และลดสัดส่วนการถือหุ้นภายในเดือนตุลาคม 2546 นอกจากนี้ กฟผ. จะดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านระบบมิเตอร์และการสื่อสารให้เสร็จภายในสิ้น ปี 2545 และจะเริ่มการเตรียมระบบของศูนย์ ควบคุมระบบ (SO) ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (MO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA) โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว กฟผ. ได้ดำเนินการขออนุมัติงบประมาณ ซึ่งจะรวมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนระยะยาว และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สศช. ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จและตลาดกลางฯ สามารถเปิดดำเนินการได้ในเดือนธันวาคม 2546
3.7 การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟน. และ กฟภ. มีดังนี้
(1) การปรับโครงสร้างองค์กรภายใน กฟน. และ กฟภ. จะต้องปรับกิจการหลักเป็นการดำเนินการเชิงพาณิชย์ แยกธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกเป็นบริษัทในเครือ และลดสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จก่อนเดือนธันวาคม 2546
(2) การเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี กฟน. และ กฟภ. จะดำเนินการพัฒนาระบบการวัดหน่วยไฟฟ้า ระบบเรียกเก็บเงิน ระบบชำระเงิน และลักษณะการใช้ไฟฟ้ารูปแบบต่างๆ (Load Profiles) เพื่อให้ระบบสามารถรองรับการซื้อขายไฟฟ้าที่มีการแข่งขันได้ภายในปี 2545
3.8 การจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า หลังจากที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีผลใช้บังคับ ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ในช่วงแรกตลาดกลางฯ จะมอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตลาดกลางฯ ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ต้องมีการโอนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ พนักงาน และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของตลาดกลางฯ จาก กฟผ. ไปเป็นของตลาดกลางฯ ภายใน 3 ปี นับจากวันที่พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ
4. ความคืบหน้าในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้
4.1 คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายให้ สพช. ในการ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาในเรื่อง 1) การกำหนดกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า 2) การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง และ 3) การดำเนินการทางด้านกฎหมายและการกำกับดูแล ซึ่งขณะนี้ สพช. อยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2543
4.2 กฟผ. ได้เริ่มดำเนินการจัดเตรียมระบบศูนย์ควบคุมระบบอิสระโดยได้จัดทำขอบเขตการ ศึกษาสำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคและ ข้อเสนอด้านราคาเพื่อคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา
4.3 กฟน. อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนา กฟน. โดยจะจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และแผนการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อการดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้แล้วเสร็จภาย ในเดือนพฤศจิกายน 2543
4.4 สพช. ได้ช่วยเหลือการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำขอบเขตการศึกษา 3 เรื่อง คือ 1) ข้อกำหนดการเชื่อมโยงการใช้บริการและการปฏิบัติการระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้า 2) การจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และ 3) แผนการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดยการศึกษาในเรื่องแรก การไฟฟ้าทั้ง 3 จะดำเนินการร่วมกันเพื่อจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา โดยมี กฟผ. เป็นแกนนำ สำหรับการศึกษาใน 2 เรื่องที่เหลือ กฟภ. จะเป็นผู้ดำเนินการ
4.5 คณะอนุกรรมการประสานฯ เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน จำนวน 5 คณะ คือ คณะทำงานพิจารณาร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า คณะทำงานศึกษาต้นทุนและหนี้สินติดค้าง คณะทำงานเตรียมการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า คณะทำงานเตรียมการด้านกฎหมายและการกำกับดูแล และคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบตามข้อเสนอแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการ จัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 3 และเอกสารแนบ 2 ของเอกสารแนบวาระ 4.4.1 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนการดำเนินงานฯ และให้กระทรวงการคลังนำแผนดังกล่าวไปใช้เป็นหลักเกณฑ์หนึ่งในการประเมินผล การดำเนินงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
2.รับทราบการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการ ไฟฟ้า สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และมอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาตามขอบเขตการศึกษาที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะ อนุกรรมการประสานฯ รายละเอียดตามข้อ 3 ต่อไป
3.มอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมของระบบตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์ควบคุมระบบ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน โดยให้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดตั้งตลาดกลางฯ มีความเป็นกลางและเป็นไปอย่างราบรื่นตามแผน และให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในช่วงแรกไปก่อน ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการตลาดกลางฯ จากนั้นจึงทำการโอนระบบตลาดกลางฯ ออกจาก กฟผ. มาเป็นองค์กรอิสระ (ISO) เพื่อให้ศูนย์ควบคุมระบบเป็นอิสระจากกิจการระบบส่งภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี นับจากวันที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีผลใช้บังคับ
4.มอบหมายให้ สพช. เป็นผู้เตรียมการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน โดยดำเนินการ ยกร่างกฎระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
เรื่องที่ 10 การส่งเสริมนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) มีข้อกำหนดกระบวนการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ให้มีสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อการผลิต พลังงาน ทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี และมีสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานน้ำมันและ/หรือก๊าซ ธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
2. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอย ตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบมาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยเห็นชอบให้มีการผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่ใช้ในกระบวน การอุณหภาพจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันเริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา และผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่ง ของพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมัน และ/หรือก๊าซธรรมชาติ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากวัน เริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา ซึ่งมีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ขอผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP จำนวน 19 ราย โดยกำหนดวันสิ้นสุดของการได้รับผ่อนผันภายในปี 2546 จำนวนทั้งสิ้น 14 ราย ขอผ่อนผันเป็น Open Cycle จำนวน 10 ราย ขอผ่อนผันสัดส่วนพลังงานความร้อนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน 14 ราย และขอผ่อนผันประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 จำนวน 9 ราย
3. สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ขอให้พิจารณายกเลิกเงื่อนไขการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่ใช้ใน กระบวนการอุณหภาพ และสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการ อุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมันและ/หรือก๊าซธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) เนื่องจาก SPP ได้พยายามผลิตไฟฟ้าให้เกิดการใช้พลังงานความร้อนในกระบวนการอุณหภาพให้สอด คล้องตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แต่ปัจจุบันลูกค้าอุตสาหกรรมที่ซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและ การตลาด ทำให้ต้องชะลอการลงทุน ลดการลงทุน หรือยกเลิกโครงการ ส่งผลให้ SPP ไม่สามารถใช้พลังงาน ความร้อนได้ตามเงื่อนไข
4. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการกำหนดสัดส่วนการผลิตพลังงานความร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้าราย เล็กแล้ว และมีมติ เห็นควรให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำ ไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี และสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมันและ/หรือก๊าซ ธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี สำหรับโครงการ SPP ที่กำหนดวันสิ้นสุดการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ภายในปี 2546 ให้เลื่อนออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2546 ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผันติดต่อกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นรายๆ ไป
5. นอกจากนี้ กรมโยธาธิการได้มีหนังสือถึง สพช. ขอให้พิจารณาสนับสนุนการดำเนินงานของโรง ไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต ในเรื่องการคิดอัตราค่าไฟฟ้าสรุปได้ดังนี้
5.1 โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต ของกรมโยธาธิการ ได้เคยยื่นคำร้องเสนอขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ในปริมาณ 1 เมกะวัตต์ แต่เนื่องจากตามกฎหมายระบุว่ากรมโยธาธิการเป็นหน่วยงานราชการที่ไม่สามารถ ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าได้ กรมโยธาธิการจึงไม่สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ ดังนั้น กฟผ. จึงได้แจ้งยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว
5.2 แม้ว่าโครงการโรงไฟฟ้าขยะของกรมโยธาธิการจะไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ได้ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP แต่โครงการก็ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และส่งกระแสไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยว่าจ้างบริษัทเอกชนดำเนินการ และมีแผนที่จะโอนโครงการดังกล่าวให้กับเทศบาลเมืองภูเก็ตเป็นผู้บริหารงาน ต่อไปประมาณปลายปี 2543 สำหรับการผลิตไฟฟ้าได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นมา พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการและโรงบำบัดน้ำเสียของเทศบาล เมืองภูเก็ต ส่วนที่เหลือจะส่งเข้าระบบของ กฟภ. โดยไม่ได้รับค่าพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ตามในช่วงที่โรงไฟฟ้าขยะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้อง การใช้ไฟฟ้า โครงการฯ ก็จะซื้อไฟฟ้าจาก กฟภ. ในอัตราปกติประเภทกิจการขนาดกลาง โดยใช้เงินจากงบประมาณ
5.3 กรมโยธาธิการได้มีหนังสือถึง สพช. ขอให้พิจารณาสนับสนุนการดำเนินการของโรงไฟฟ้าขยะ โดยขอให้พิจารณาแลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งให้ กฟภ. และที่ซื้อจาก กฟภ. และของดหรือลดค่า ความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) จากการคิดค่าไฟฟ้าในอัตราปกติประเภทกิจการขนาดกลาง เพื่อเป็นการลดภาระของท้องถิ่นที่จะดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและอนุรักษ์พลังงานในการผลิตไฟฟ้า จากขยะมูลฝอย ตลอดจนเป็นการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมให้ดีขึ้น
5.4 คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติเห็นควรให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อ ไฟฟ้าจากโครงการ SPP ขนาดเล็ก โดยมอบให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 ร่วมกันดำเนินการ ต่อไป และเห็นควรให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต แลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบของ กฟภ. กับที่ซื้อจาก กฟภ. ได้ ในระหว่างที่ยังไม่โอนงานให้กับเทศบาลเมืองภูเก็ต โดยกรมโยธาธิการจะไม่คิด ค่าไฟฟ้าสำหรับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบ กฟภ. เกินกว่าที่ซื้อจาก กฟภ. ทั้งนี้ เมื่อการโอนงาน แล้วเสร็จ เทศบาลเมืองภูเก็ต จะสามารถขอสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้าและยื่นคำร้องเพื่อเสนอขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ได้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP สำหรับโครงการ SPP ที่มีกำหนดวัน สิ้นสุดการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ภายในปี 2546 ออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2546 โดยคุณสมบัติของ SPP ที่ได้รับการผ่อนผันมีดังนี้
1.1 ผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพ นอกจากการผลิตไฟฟ้าต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
1.2 ผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่ง ของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมัน และ/หรือก๊าซธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผันติดต่อกับ กฟผ. เป็นรายๆ ไป
2.เห็นชอบให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อไฟฟ้า จากโครงการ SPP ขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ก๊าซชีวภาพจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็ก ทั้งนี้ มอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการต่อไป
3.เห็นชอบให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต แลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบของ กฟภ. ได้ในระหว่างที่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้รับสัมปทาน ภายหลังจากที่ได้รับสัมปทานแล้วให้โครงการขาย ไฟฟ้าให้ กฟผ. ตามระเบียบ SPP
เรื่องที่ 11 ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องการพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต ไฟฟ้า โดยเห็นชอบให้นำเงื่อนไขหลักๆ ของสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา มายกร่างสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยอัตราค่าผ่านท่อควรสะท้อนถึง การแบ่งภาระความเสี่ยงระหว่าง ปตท. และ กฟผ.
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเข้าก๊าซฯจากสหภาพพม่า ปตท. จะเชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้วให้นำก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา (Pool 4) กับก๊าซฯ จากอ่าวไทย และเยตากุน (Pool 2) มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน และเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบ ให้ กฟผ. ให้ความร่วมมือกับ ปตท. ในการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของสัญญาฯ ยาดานา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 และให้มีการลงนามในสัญญาโดยเร็ว
3. นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยในส่วนของการจัดหาเชื้อเพลิง (ก๊าซธรรมชาติ) มีประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
3.1 บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีจะทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ ปตท. โดยตรง (Gas Sales Agreement :GSA) ทั้งนี้ กฟผ. จะต้องทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ หลัก (Master Gas Sales Agreement :MGSA) กับ ปตท. ซึ่งจะระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระของ กฟผ. กรณีบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. ส่งให้ครบตามปริมาณที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Minimum Take Liability) ซึ่งเป็นรูปแบบ เดียวกันกับการจัดหาก๊าซของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในกรณีที่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กฟผ. จะเป็นผู้จัดหาก๊าซฯ ให้แก่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีเป็นการชั่วคราวจนกว่าบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จะลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กับ ปตท. ได้
3.2 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (GSA) ระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี กับ ปตท. ได้กำหนด เงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณและการจัดส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโดยจะใช้สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง บริษัท Tri Energy Company Limited (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนซึ่งซื้อก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. จัดหาจาก สหภาพพม่า) กับ ปตท. เป็นต้นแบบ
3.3 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลัก (MGSA) ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระรับผิดชอบของ กฟผ. กรณีบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. ส่งให้ครบตามปริมาณที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ โดยอาจจะใช้สัญญาซื้อขายก๊าซฯ หลักตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก เอกชน (Master IPP Program Gas Sales Agreement) ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. เป็นต้นแบบ หรือแก้ไขสัญญาหลักดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมถึงบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี
4. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2543 และเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 รับทราบ รายงานผลการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีระหว่าง ปตท. และ กฟผ. โดยให้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
5. ปตท. กฟผ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดทำสัญญา ซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยคำนึงถึงหลักการการจัดทำสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรี ข้างต้นแล้วเสร็จ โดยแยกออกเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี (Gas Sales Agreement : GSA) ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณและการจัดส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี และสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลักระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. (Ratchaburi Master Gas Sales Agreement : RMGSA) ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระความรับผิดชอบของ กฟผ. ในกรณีที่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี ไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. จัดหาให้ตามปริมาณที่กำหนดไว้ตามสัญญา GSA
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี (GSA) และร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลักระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. (RMGSA) โดยเร่งรัดให้ ปตท. และ กฟผ. รวมทั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด รับไปดำเนินการลงนามในสัญญาฯ ดังกล่าวต่อไป
เรื่องที่ 12 การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541 เห็นชอบการออกพันธบัตรในตลาดทุนต่างประเทศของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมทั้ง เงื่อนไขของธนาคารโลกในการค้ำประกันเงินต้น และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่ง สพช. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา Pricewaterhouse Coopers (PwC) ทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการศึกษาได้แล้วเสร็จ
2. คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนจาก สพช. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง สำนักบริหารหนี้สาธารณะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย นักวิชาการ และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้พิจารณาผลการศึกษาดังกล่าวจนได้ข้อยุติ
3. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้มีการปรับปรุงตามความเห็นของคณะกรรมการกำกับการศึกษาฯ สรุปได้ดังนี้
3.1 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง มีดังนี้
(1) โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กำหนดเป็นโครงสร้างเดียวกัน โดยไม่มีการกำหนดส่วนเพิ่ม-ส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้กับ กฟน. และ กฟภ. ดังเช่นปัจจุบัน แต่มีการชดเชยรายได้ระหว่าง กฟน. และ กฟภ. ในลักษณะเหมาจ่ายแทน
(2) ค่าไฟฟ้าขายส่งประกอบด้วยค่าผลิตไฟฟ้า และค่ากิจการระบบส่ง โดยค่าไฟฟ้าจะ แตกต่างกันตามระดับแรงดัน และช่วงเวลาของการใช้
(3) กำหนดบทปรับค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายส่ง ระหว่าง กฟผ. กับ กฟน. และ กฟภ. หากค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าต่ำกว่า 0.875 ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน
(4) กำหนดค่าบริการการเชื่อมโยงระบบใหม่ ในอัตรา 50,000 บาท/MVA/ปี สำหรับผู้ เชื่อมโยงระบบ ณ ระดับแรงดัน 69 kV ขึ้นไป และ 100,000 บาท/MVA/ปี ณ ระดับแรงดันกลาง
(5) ราคาขายส่งเฉลี่ยจะลดลงจากค่าไฟฟ้าขายส่งปัจจุบันร้อยละ 2 ซึ่งสอดคล้องกับค่า ไฟฟ้าขายปลีกที่ลดลงในสัดส่วนเดียวกัน
3.2 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก มีดังนี้
(1) อัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยลดลงประมาณร้อยละ 2
(2) ลดการอุดหนุนระหว่างกลุ่มให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มใดต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
(3) โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าจะมีการแยกให้เห็นอย่างชัดเจน สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก
(4) มีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแบบ Time of Use (TOU) ใหม่ เพื่อให้สะท้อนถึง ต้นทุนและลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟ (Load Profile) ที่เปลี่ยนแปลงไปให้มากที่สุด
(5) ขยายขอบเขตการใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบ TOU ให้ครอบคลุมถึงผู้ใช้ไฟฟ้าในกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่มีการใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 250,000 หน่วย/เดือน หรือมีความต้องการพลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ ขึ้นไป นอกจากนี้ อัตรา TOU จะนำมาใช้เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยกิจการขนาด เล็ก และส่วนราชการ
(6) ปรับปรุงการจำแนกกลุ่มผู้ใช้ไฟใหม่ โดยกำหนดให้กลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดกลางที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเกิน กว่า 250,000 หน่วย หรือมีความต้องการพลังไฟฟ้าเกินกว่า 1,000 กิโลวัตต์ ขึ้นไป อยู่ในกลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ทั้งหมด
(7) รวมค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในปัจจุบันเท่ากับ 64.52 สตางค์/หน่วย เข้าไปในค่าไฟฟ้าฐาน และกำหนดค่า Ft ใหม่ ณ จุดเริ่มต้นเท่ากับ 0
(8) โครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ค่าไฟฟ้าเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
3.3 ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าจะจำแนกรายละเอียดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทกิจการ ไฟฟ้า ได้แก่ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่าย รวมทั้งแสดงการให้การอุดหนุนค่าไฟฟ้าระหว่างกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ใช้ไฟทราบถึงค่าไฟฟ้าในแต่ละกิจการไฟฟ้าอย่างแท้จริงและมูลค่า การอุดหนุนค่าไฟฟ้าของตน ทั้งนี้ ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะนำมาใช้กับผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ ก่อน
3.4 คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าได้พิจารณาให้มีการ ปรับปรุงสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของบริษัทที่ปรึกษา PwC ดังนี้
(1) แยกค่า Ft ในแต่ละกิจการอย่างชัดเจน กล่าวคือ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก
(2) ปรับฐานค่า Ft ใหม่ (Rebase เพื่อให้ Ft เท่ากับ 0 ณ จุดเริ่มต้น) เนื่องจากตามข้อเสนอ โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกจะรวมค่า Ft ณ ระดับ 64.52 สตางค์/หน่วย ไว้แล้ว
(3) เนื่องจากการไฟฟ้ายังไม่มีอิสระในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างแท้จริง จึงเห็นควรให้การไฟฟ้านำผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อหนี้สินของการไฟฟ้า ปรับในค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft ได้ในช่วงแรก หากอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากระดับ 38 บาท/เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ การคำนวณค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นไป ให้การไฟฟ้ารับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย โดยให้มีการปรับค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน (ซึ่งจะเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยน ที่ใช้ในการคำนวณค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนเมษายน 2544) เกินกว่าร้อยละ 5 แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 45 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน ให้การไฟฟ้าคืนผลประโยชน์ให้ประชาชน ผ่านสูตร Ft ทั้งหมด
(4) รายได้ที่เปลี่ยนแปลงของ 3 การไฟฟ้า เนื่องจากราคาขายเปลี่ยนแปลงไปจากที่ประมาณการ (MR) ยังคงให้ปรับค่าไฟฟ้าผ่าน MR ในช่วง 6 เดือนแรก หลังปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ เพื่อให้การไฟฟ้ามีรายได้สอดคล้องกับราคาขายปลีกที่ลดลงร้อยละ 2 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวให้นำค่า MR ออกจากสูตร Ft
(5) ค่า Ft จะปรับตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ จากอัตราเงินเฟ้อที่ใช้ในการคำนวณฐานะการเงินของกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก ทั้งนี้ ค่าตัววัดประสิทธิภาพ หรือค่า "X" สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่าย ได้นำไปรวมไว้ในการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานแล้ว
(6) ค่าใช้จ่ายด้านการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ให้นำออกจากสูตรการคำนวณ Ft
3.5 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า (Financial Tranfers) เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมีต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ในขณะที่โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกเป็นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ ควรมีการชดเชยรายได้แบบเหมาจ่าย (Lump sum financial Transfer) จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. แทนการชดเชยรายได้ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่งเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ กฟน. ต้องชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในระดับ 7,979-9,152 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2544-2546
4. คณะกรรมการฯ ได้ศึกษาผลกระทบของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ เปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันแล้วพบว่า ผลกระทบโดยรวมค่าไฟฟ้าจะลดลงร้อยละ 2.11
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และรายละเอียดใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 4.6.1-4.6.3 และเอกสารแนบ 8-9 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1 และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
- เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) รายละเอียดตามข้อ 4.7 และเอกสารแนบ 10 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1 ทั้งนี้ ให้มีการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติครั้งต่อไปใน เดือนกุมภาพันธ์ 2544 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไป ดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
- เห็นชอบในหลักการการชดเชยรายได้ระหว่าง กฟน. และ กฟภ. รวมทั้งกลไกในการปรับปรุงการ ชดเชยรายได้ รายละเอียดตามข้อ 4.8 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1
เรื่องที่ 13 การกำหนดราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบแนวทางในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับผู้ใช้ และอัตราค่าผ่านท่อ ในประเด็นราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ให้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม (Pool) และเมื่อ ปตท. เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้ว ก๊าซฯ จาก Pool 4 (ยาดานา) และ Pool 2 (อ่าวไทย และ เยตากุน) จะถูกนำมาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้อง การ โดยเฉพาะมาตรการเร่งรัดโครงการท่อก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2543 เพื่อเชื่อมโยงระบบท่อส่งก๊าซฯ จาก สหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลัก เพื่อส่งก๊าซฯ จาก สหภาพพม่าไปที่โรงไฟฟ้าวังน้อย
2. ปตท. ได้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Gas Sales Agreement : GSA) กับผู้ใช้โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ทั้ง 4 ราย และโรงไฟฟ้าราชบุรี ในการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ดังกล่าว อยู่บนพื้นฐานการกำหนดราคาก๊าซฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ที่กำหนดให้มีการ เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลัก แล้วนำราคาก๊าซฯ จาก Pool 2 และ Pool 4 มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน
3. จากการเชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อก๊าซฯ หลักตามโครงการก่อสร้างท่อก๊าซฯราชบุรี-วังน้อยซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จและ เริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯได้จริง (Commissioning) ในวันที่ 1 มกราคม 2544 ขณะที่โรงไฟฟ้า IPP จำนวน 2 รายคือ บริษัทไตรเอนเนอจี้ จำกัด (Tri Energy) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด (Independent Power) สามารถรับก๊าซฯ และผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กับ กฟผ. (Commercial Operation Date :COD) ได้แล้วตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 และ วันที่ 15 สิงหาคม 2543 ตามลำดับ
4. ปตท. ได้จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ 1) Tri Energy รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของเยตากุนเท่านั้น) และ Pool 4 (ยาดานา) แทนที่จะต้องรับและ จ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (อ่าวไทยและ เยตากุน) และ Pool 4 (ยาดานา) ตามสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติ และ 2) Independent Power รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของอ่าวไทยเท่านั้น) แทนที่จะต้องรับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (อ่าวไทยและ เยตากุน) และ Pool 4 (ยาดานา) ตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ
5. บริษัท Tri Energy ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) แจ้งความเห็นของ กฟผ. ว่า กฟผ. ไม่ควรจะต้องจ่ายค่าก๊าซฯ ในราคาค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจากสหภาพพม่า (เยตากุน และ ยาดานา) โดยเห็นว่า Tri Energy ควรจะรับซื้อก๊าซฯ ในราคาค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 กับ Pool 4 ตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ
6. สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นปัญหาดังกล่าวแล้ว มีความเห็น ดังนี้
6.1 ในหลักการสมควรที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง 1) ปตท. ในฐานะผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติ 2) IPP ในฐานะผู้รับซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. และผู้ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. และ 3) กฟผ. ในฐานะผู้รับซื้อไฟฟ้าจาก IPP จำเป็นต้องอ้างถึงสัญญาต่างๆ ที่มีอยู่คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ IPP (Gas Sales Agreement : GSA) ที่กำหนดให้ ปตท. จำหน่ายก๊าซฯ ให้ IPP ในราคาก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 และ Pool 4 และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ IPP (Power Purchase Agreement : PPA) ที่กำหนดให้ราคาไฟฟ้าที่ IPP ขายให้ กฟผ. เป็นราคาส่งต่อ (Passthrough) ตามที่ ปตท. เรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP
6.2 อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงกำหนดแล้วเสร็จของโครงการท่อก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อยที่สามารถ เริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯ ได้จริง (Commissioning) ในวันที่ 1 มกราคม 2544 ซึ่งทำให้ ปตท. สามารถนำราคาก๊าซฯ Pool 4 (สหภาพพม่า) มาเฉลี่ยรวมกับราคาก๊าซฯ จาก Pool 2 ได้ จึงเห็นสมควรกำหนดให้ ปตท. จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ Tri Energy : รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของเยตากุนเท่านั้น) และ Pool 4 (ยาดานา) ส่วน Independent Power : รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของอ่าวไทย เท่านั้น)
6.3 กำหนดให้ กฟผ. รับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก IPP ทั้งสองรายตามราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. เรียกเก็บ ตามที่ได้มีการปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคาที่ระบุใน Schedule 4 และ 5 ของสัญญา GSA ไปจนกว่าโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย แล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการ จ่ายก๊าซฯ ได้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2544
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการกำหนดให้ ปตท. จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ บริษัทไตรเอนเนอจี้ จำกัด และ บริษัทผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด ตามข้อ 6.3 รวมทั้งกำหนดให้ กฟผ. รับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก IPP ทั้ง 2 รายตามราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. เรียกเก็บจาก IPP ทั้ง 2 ราย ตามข้อ 6.3 โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคาที่ระบุใน Schedule 4 และ 5 ของสัญญา GSA ไปจนกว่าโครงการท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย จะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯ ได้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2544
ปิดประชุมเวลา 13.00 น.
ครั้งที่ 8 - วันพุธ ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2548 (ครั้งที่ 8)
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2548 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการฯ ติดประชุมที่รัฐสภา จึงมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ แทน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.54 และ 5.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด เนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อภายหลังมีข่าวกลุ่มมุสลิมขู่โจมตี สถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไนจีเรีย และจากข่าวสหภาพแรงงานของบริษัท Statoil ขู่หยุดงานประท้วง ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังการผลิตของ Statoil ประมาณ 920,000 บาร์เรล/วัน ประกอบกับตลาดกังวลว่าอุปทาน น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกา อาจตึงตัวหลังจากมีข่าวโรงกลั่น ExxonMobil ต้องหยุดดำเนินการหน่วย Fluid Catalytic Cracker (208,000 บาร์เรล/วัน) เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 28 มิถุนายน อยู่ที่ระดับ 54.02 และ 58.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.95 และ 4.87 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันเบนซินในตลาด NYMEX หลังจากมีข่าวโรงกลั่น ExxonMobil ในสหรัฐอเมริกา ต้องหยุดดำเนินการ ส่งผลให้ตลาดคาดว่า Arbitrage จากเอเซียไปขายในตะวันตกสามารถทำได้ ประกอบกับความต้องการซื้อน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงกลั่นในไต้หวันและเกาหลีอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุงประจำปี ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.59 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากที่คาดว่า อุปทานจากตะวันออกกลางจะลดลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วง Peak Demand ในหน้าร้อนประกอบกับความต้องการซื้อในภูมิภาคเอเซีย เช่น จีน อินเดีย และเวียดนามยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2548 อยู่ที่ระดับ 63.10, 61.30 และ 69.14 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 5 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร ในเดือนมิถุนายน และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 6 ครั้ง รวมเป็น 2.40 บาท/ลิตร โดยที่ ปตท. ปรับราคาดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 5 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2548 อยู่ที่ระดับ 24.54, 23.74 และ 20.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของ ปตท. อยู่ที่ระดับ 20.59 บาท/ลิตร ทั้งนี้นับแต่เริ่มดำเนินการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม - 24 มิถุนายน 2548 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินอุดหนุนตรึงราคาน้ำมันไปแล้วรวมประมาณ 90,657 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการปรับข้อมูลด้านพลังงานให้ถูกต้องและเป็นชุดเดียวกันก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและสาธารณชนต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. จากวิธีปฏิบัติเดิม ตามความในข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 11 และข้อ 11 แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ให้ผู้ผลิตและนำเข้ามันเชื้อเพลิงส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและขอรับเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแยกวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และขอรับเงินชดเชยออกจากกัน ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตและ กรมศุลกากร คือ 1) กรมสรรพสามิต ผู้ผลิตส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใน 10 วัน นับจากวันที่นำน้ำมันออกจากโรงกลั่น และ 2) กรมศุลกากร ผู้นำเข้าส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ก่อนวันนำเข้า โดยที่กองทุนฯ จะจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นงวดๆ ในแต่ละเดือน เช่น ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเชื้อเพลิงขอรับเงินชดเชยงวดวันที่ 10 - 31 มีนาคม และจะได้รับการจ่ายเงินชดเชยคืนภายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2547 ซึ่งทำให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องรับภาระเงินชดเชย
2. ในปัจจุบันวิธีปฏิบัติจะทำตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 เรื่อง การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการชดเชยลดราคาน้ำมันผ่านกระบวนการเรียกเก็บเงินกองทุนฯ โดยให้รับการชดเชยด้วยวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ กับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน ทั้งนี้ การขอรับเงิน ชดเชยและการส่งเงินเข้ากองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรที่ได้ปฏิบัติในปัจจุบัน โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นไป
3. ในการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่อง การชี้แจงนโยบายการยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล และแนวทางการดำเนินการหลังการยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) เสนอให้เปลี่ยนวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยจากวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ กับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน เป็นการแยกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยออกจากกัน เพื่อให้มีเงินสดไหลเข้ามาในบัญชีกองทุนฯ ตามรายรับจากเงินส่งเข้ากองทุนที่เกิดขึ้นจริง และ สบพ. สามารถบันทึกบัญชีกองทุนได้ถูกต้องครบถ้วน ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่า สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนด
4. ปัจจุบันรัฐบาลได้ยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ทำให้ไม่มีการจ่ายเงินชดเชยที่ผันแปรกับราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ยังคงมีอัตราชดเชยคงที่สำหรับน้ำมันดีเซล ซึ่งจะลดลงจนเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2548 และต้องกลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยแบบเดิม จึงขอเสนอให้ยกเลิกระบบการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยตามข้อ 2 และกลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตามข้อ 1 ให้เหมือนกับวิธีปฏิบัติเดิมซึ่งเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการทั่วไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกระบบการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการขอรับเงินชดเชย โดยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการชดเชยลดราคาน้ำมันผ่านกระบวนการเรียกเก็บเงินกองทุนฯ โดยให้รับการชดเชยด้วยวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนกับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน และให้กลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตามความในข้อ 8, 9, 10 และ 11 แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมัน เชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 โดยให้ผู้ผลิตและนำเข้ามันเชื้อเพลิงส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและขอรับเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง แยกวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และขอรับเงินชดเชยออกจากกัน ทั้งนี้การขอรับเงินชดเชยและการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ให้เป็นไปตามระเบียบกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 ขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติ เห็นชอบให้ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ให้เป็นไปตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.... ตามที่ สบพ. เสนอ ทั้งนี้ ต้องระบุวัตถุประสงค์การแก้ไขระเบียบ ดังกล่าวให้ชัดเจน"
2. โดยการขอแก้ไขร่างระเบียบกระทรวงพลังงานฯ ดังกล่าว สบพ. ได้ขอเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ตามประเภทที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงานเพิ่มขึ้น 2 บัญชี จึงทำให้บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเป็น 3 บัญชี ได้แก่ 1) บัญชีเงินฝากชื่อ "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" เพื่อรับโอนเงินจากส่วนราชการที่รับเงินจากผู้ที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามกฎหมาย 2) บัญชี เงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับเก็บรักษาเงินที่ได้รับจากการขายตราสารหนี้ เพื่อนำไปจ่ายชำระหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย หรือผู้มีสิทธิได้รับคืน จากกองทุนฯ และค่าใช้จ่ายในการออกตราสารหนี้ ตลอดจนจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยตราสารหนี้ และ 3) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับรับโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" และ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้จ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดจ่ายและไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามข้อกำหนดสิทธิ
3. ตามที่ สบพ. ขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ 3 เพื่อให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่ากระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ จะมีการบริหารจัดการเป็นไปอย่างชัดเจน โดยให้มีการจัดสรรรายรับของกองทุนน้ำมันฯ ส่วนหนึ่งสะสมไว้สำหรับจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดแยกออกจากค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันฯ
4. จากการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อจะออกเสนอขายตราสารหนี้พบว่า นักลงทุนยังคงมีความกังวลประเด็นที่ว่า สบพ. อาจไม่สามารถสะสมเงินไว้ในบัญชีได้ครบถ้วน เมื่อครบกำหนดเวลาจ่ายดอกเบี้ยในแต่ละงวดและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของ สบพ. อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจจะทำให้อันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของ สบพ. ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ และทำให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนมากเท่าที่ควร ซึ่งทำให้ต้นทุนด้านดอกเบี้ยตราสารหนี้ของ สบพ. จะสูงกว่าที่ควรจะเป็น
5. เพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า สบพ. จะมีเงินครบถ้วนเพื่อจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดเวลา สบพ. จึงเห็นควรให้มีการสะสมเงินจำนวนหนึ่ง (ประมาณร้อยละ 5 ของจำนวนเงินต้นรวมของพันธบัตรที่ออกไปแล้วในแต่ละช่วง) เพื่อสำรองไว้สำหรับจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ ในกรณีที่ครบกำหนดเวลาจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ แต่เงินในบัญชีเงินไถ่ถอนตราสารหนี้มีไม่เพียงพอ โดยขอแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 เพื่ออนุญาตให้ สบพ. เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เพิ่มเติม 1 บัญชี จากที่ขอเพิ่มเติมที่ได้รับความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 เป็นบัญชีที่ 4 คือ (4) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" และ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อเก็บรักษาเงินดังกล่าว ไว้จ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดจ่าย และไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามข้อกำหนดสิทธิในกรณีที่ครบกำหนดจ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้และ/หรือครบกำหนดเวลาไถ่ถอนตราสารหนี้ตามข้อกำหนดสิทธิแล้ว แต่เงินในบัญชีที่ 3 มีไม่เพียงพอ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ สบพ. ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 โดยให้ สบพ. เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพิ่มขึ้น 1 บัญชี นอกเหนือจากที่ กบง.ได้อนุมัติให้แก้ไขร่างระเบียบกระทรวงพลังงานดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 เพื่อให้การบริหารตราสารหนี้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
2. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนตราสารหนี้ของ สบพ. ที่รัฐบาลไม่ได้ค้ำประกัน และให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติทั่วไป จึงเห็นชอบให้ผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทำสัญญาข้อตกลงกับผู้แทนผู้ถือ ตราสารหนี้ในการคุ้มครองสิทธิผู้ถือตราสารหนี้เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ผิดสัญญา เช่น สามารถระงับการจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" และบัญชีเงินฝากชื่อ "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อประโยชน์ของผู้ถือตราสารหนี้ เป็นต้น
กพช. ครั้งที่ 78 - วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 8/2543 (ครั้งที่ 78)
วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3.แนวทางการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
4.มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในภาคขนส่ง
5.การศึกษาการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่น
6.การจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.ข้อเสนอการลดระดับราคาน้ำมันโดยการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
8.ข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากผลกระทบราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนสิงหาคมได้ปรับตัวสูงขึ้น 3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณ สำรองของสหรัฐอเมริกาลดลงต่ำสุดในรอบ 24 ปี ประกอบกับได้เริ่มมีการสำรองน้ำมันเพื่อใช้ในฤดูหนาว และกลุ่ม โอเปคมิได้เพิ่ม ปริมาณการผลิตขึ้นอีกโดยจะรอผลการหารือในการประชุมเดือนกันยายนที่กรุง เวียนนา นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่ซาอุดิอาระเบียจะลดการ ส่งออกลงในเดือนกันยายนนี้ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันเริ่ม ทรงตัว โดยราคาน้ำมันดิบในวันที่ 24 สิงหาคม 2543 อยู่ในระดับ 27.5-33.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปตลาดจรสิงคโปร์ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ดิบ และจากภาวะตลาดน้ำมันในเอเซียแปซิฟิคเกิดการตึงตัวจากการหยุดกลั่นของโรง กลั่นในคูเวต อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ทำให้มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศอื่นที่มีปริมาณสำรองต่ำ ต้องเข้ามาซื้อน้ำมันในตลาดจร ส่งผลให้การจัดหาน้ำมันสำเร็จรูปค่อนข้างตึงตัว ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงได้เพิ่มสูงกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันเบนซินช่วงครึ่งแรกของเดือนปรับตัวสูงขึ้น 3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่อมาเมื่อน้ำมันเบนซินเริ่มออกสู่ตลาด ทำให้ราคาลดลง 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนการจัดหาน้ำมันก๊าดและดีเซลถูกจำกัด ในขณะที่ความต้องการเริ่มสูงขึ้นเนื่องจากการเตรียมสำรองเพื่อใช้ในฤดูหนาว โดยราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปลายเดือนก่อน 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และ 9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันเตาราคาปรับตัวสูงขึ้น 2.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2543 อยู่ในระดับ 37.7 , 36.4 , 42.0, 41.0 และ 25.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในเดือนสิงหาคมปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 90 สตางค์/ลิตร แต่เป็นการปรับขึ้นต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากผู้ค้าน้ำมันได้ชะลอการปรับราคาขายปลีกไว้ โดยราคาน้ำมัน ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2543 น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 17.09, 16.09 และ 14.19 บาท /ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ต่ำกว่าผู้ค้ารายอื่นอยู่ 0.30 บาท/ลิตร โดยมีราคาอยู่ที่ 13.89 บาท/ลิตร ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคมลดต่ำลงจนติดลบ โดยค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ 0.1867 บาท/ลิตร และเนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูป ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนสิงหาคมเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3-1.6 บาท/ลิตร)
4. ราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงไตรมาส 4 คาดว่ายังคงมีความผันผวนต่อไปอีก เนื่องจากปริมาณ สำรองค่อนข้างตึงตัว ประกอบกับการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวทำให้ประเทศต่างๆ เริ่มสำรองน้ำมันเพื่อไว้ใช้ในฤดูหนาว ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น หากกลุ่มโอเปคเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีก ตลาดก็จะผ่อนคลาย ความตึงตัวลง โดยภาพรวมแล้วราคาน้ำมันในตลาดโลกจะยังคงอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันเบนซินจะเริ่มอ่อนตัวลงแต่ดีเซลจะปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาล ส่วนราคาน้ำมันในประเทศไทยนั้น เมื่อโรงกลั่นต่างๆ กลับมากลั่นตามปกติราคาก็จะอ่อนตัวลง
5. ในเดือนสิงหาคมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกทรงตัวอยู่ที่ระดับ 297 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนในประเทศอยู่ที่ระดับ 12.16 บาท/กก. ซึ่งอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ระดับ 7.5 บาท/กก. หรือ 1,026 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มของราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกจะอยู่ที่ระดับ 290-295 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยในไตรมาส 4 ของปีที่แล้วราคาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 300-330 เหรียญสหรัฐฯ/ ตัน
6. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนสิงหาคม มีเงินคงเหลือ 1,860 ล้านบาท จากรายรับ 583 ล้านบาท/ เดือน และรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 1,026 ล้านบาท/เดือน ทำให้มียอดค้างชำระรอการ เบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2543 เท่ากับ 2,005 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนฯ จึงมีฐานะติดลบ 145 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 7/2543 ( ครั้งที่ 77) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และมีความเห็นว่าเพื่อให้กองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงสามารถตรึงราคาก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือนออกไปจนถึงสิ้น ปี ประกอบกับนโยบายที่จะส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมและรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงเปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติแทน จึงมีมติให้ ยกเลิกการจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและ รถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการกำหนดระเบียบปฏิบัติต่อไป
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการเกี่ยวกับแนวทาง ปฏิบัติ และผลกระทบของการดำเนินการ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2543 สรุปผลการหารือ ได้ดังนี้
2.1 ผลกระทบที่เกิดจากราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่แตกต่างกัน 7.5 บาท/กก.หรือ 4.05 บาท/ลิตร จะทำให้มีการ ลักลอบการถ่ายเทก๊าซฯ จนอาจจะก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ หรืออาจมีการใช้ถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในครัวเรือนไปใช้ในรถยนต์โดยตรง
2.2 ต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหลายประเภทจะเพิ่มสูงขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก การยกเลิกชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะทำให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นทันทีร้อย ละ 70 หรือ เกือบเท่าตัว
2.3 ในขณะที่ก๊าซปิโตรเลียมเหลวยังได้รับการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะทำ ให้ โรงงานอุตสาหกรรมเปลี่ยนไปใช้ก๊าซบรรจุถังสำหรับใช้ในครัวเรือนแทน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการขาดแคลนถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในครัวเรือนและทำ ให้ภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงไม่มากนัก
2.4 ระดับราคาที่แตกต่างกันมากจะจูงใจให้ผู้ค้าก๊าซฯ กระทำผิดในการลักลอบถ่ายเทหรือ ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และการตรวจสอบของหน่วยงานราชการอาจไม่ทั่วถึง
3. การยกเลิกจ่ายเงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและรถยนต์ จะต้องมีการกำหนดราคาขายส่งเป็นสองราคา ทำให้การซื้อขายในระดับขายส่งมีความยุ่งยาก เพราะผู้ขายส่งไม่สามารถทราบได้ว่าผู้ซื้อจะนำไปใช้เป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่ใช้ในครัวเรือนหรือใช้ในอุตสาหกรรม ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว ผู้ค้าก๊าซฯ จึงได้เสนอให้เลื่อนการยกเลิกชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและ รถยนต์ออกไปก่อน และหากจำเป็นต้องปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวก็ให้ดำเนินการ เปลี่ยนแปลงในอัตราเดียวกันทั้งระบบ เพื่อป้องกันการใช้ผิดวัตถุประสงค์
4. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมโยธาธิการ กรมทะเบียนการค้า การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และ สพช. เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมของการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ ใช้ในอุตสาหกรรมและรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป สรุปความเห็นและ ข้อเสนอได้ดังนี้
4.1 การยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและรถยนต์สามารถ แบ่งเบาภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงเล็กน้อย แต่จะทำให้เกิดการลักลอบถ่ายเทก๊าซฯ และใช้ก๊าซฯผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
4.2 ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นทันทีจะส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม่สามารถ ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และผู้ประกอบการรถรับจ้างก็ไม่สามารถปรับอัตราค่าโดยสารขึ้นได้
4.3 รัฐได้ให้การชดเชยหรือลดราคาน้ำมันให้กับหลายภาคการผลิต ได้แก่ กลุ่มประมง เกษตรกร อุตสาหกรรมขนาดเล็ก รถบรรทุก เป็นต้น ดังนั้น ในภาคการผลิตที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงก็ควรที่จะได้รับการ ช่วยเหลือเช่นกัน
4.4 ปตท. ซึ่งได้รับการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวรายใหญ่ได้ยินยอมให้กองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงชะลอการจ่ายเงินชดเชยให้ ปตท. ล่าช้าออกไป จนกว่ากองทุนฯ จะมีสถานะคล่องตัวจนสามารถจ่ายชำระหนี้ได้
4.5 การดำเนินนโยบายอุดหนุนราคาหรือยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ควรดำเนินการในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและทำพร้อมกันทั้งระบบหรือทุกภาคการใช้ ก๊าซฯ โดยอาจทยอยปรับลดอัตราชดเชยหรือปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในอัตราร้อย ละ 10 ทุกไตรมาส หรือร้อยละ 10-15 ทุกครึ่งปี เป็นต้น
4.6 ควรส่งเสริมให้รถแท็กซี่หรือรถตุ๊กตุ๊กเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ไปใช้ก๊าซธรรมชาติแทน เนื่องจากหลังการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวแล้ว ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะสูงขึ้นมาก ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติจะมีราคาต่ำกว่า
มติของที่ประชุม
1.ให้ยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ที่ให้ยกเลิกการจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและรถ ยนต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 โดยให้คงการจ่ายชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้เช่นเดิม เพื่อเป็นการตรึงราคาจำหน่ายออกไประยะหนึ่งเช่นเดียวกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่ใช้ในครัวเรือน
2.ให้ ปตท. เร่งโครงการสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ให้เร็วขึ้น โดยอาจเริ่มทดลองใช้ในรถแท๊กซี่ก่อน
3.มอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปพิจารณา ความเหมาะสมของการปรับลดการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวทั้งระบบ โดยให้ใช้หลักการของการทยอยปรับ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถปรับตัวตามต้นทุนที่เปลี่ยนไปได้ โดยอาจใช้แนวทางของการปรับร้อยละ 10 ทุกไตรมาสหรือ ร้อยละ 10-15 ทุกครึ่งปี เป็นต้น
เรื่องที่ 3 แนวทางการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 ในการเร่งรัดการดำเนินมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันมาเป็นก๊าซ ธรรมชาติให้มากขึ้นทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคการขนส่ง โดยมอบหมายให้ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ( ปตท.) เร่งดำเนินการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในลักษณะของ Compressed Natural Gas : CNG เพื่อใช้ในรถยนต์ (Natural Gas for Vehicle : NGV) และดำเนินโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล
2. เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติในเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยให้มีการจ่ายเงินชด เชยเฉพาะก๊าซที่ใช้ในการหุงต้ม โดยให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรมตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน 2543 ซึ่งจากการประเมินความเป็นไปได้ และผลกระทบจากการจ่ายเงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์และ อุตสาหกรรมดังกล่าว พบว่าระดับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่เพิ่มสูงจะส่งผลกระทบต่อทั้งภาค อุตสาหกรรมและภาคการขนส่ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรถแท๊กซี่ นอกจากนั้นผลต่างของราคาจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะส่งผลให้เกิดการลักลอบ ถ่ายเทนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับภาคหุงต้มไปใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีปัญหาด้านความปลอดภัยตามมา
3. เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2543 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) กรมโยธาธิการ กรมทะเบียนการค้า และ ปตท. ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการลด ผลกระทบจากการจ่ายเงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวต่อผู้ใช้ก๊าซฯ ในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรมแล้ว เห็นควรให้มีการเร่งรัดการดำเนินมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมัน และก๊าซปิโตรเลียมเหลว มาเป็นก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้น โดยมีโครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม สรุปได้ ดังนี้
3.1 ปตท. ได้มีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 ในการเร่งรัดการดำเนินการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติ มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
(1) การขยายสถานีบริการก๊าซฯ 6 สถานี ในปี 2543 -2544 โดยจะจัดตั้งสถานีบริการก๊าซฯ ที่สำนักงานใหญ่ ปตท., ศูนย์ปฏิบัติการก๊าซฯ ชลบุรี, โรงแยกก๊าซฯ ที่ระยอง และสถานีบริการก๊าซฯ อีก 3 สถานี เพื่อให้บริการรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. จำนวน 250-300 คัน รถจัดเก็บขยะของ กทม. จำนวน 350-400 คัน และรถยนต์ที่ใช้งานของ ปตท. จำนวน 200 คัน โดยรถยนต์ดังกล่าวจะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติและเปลี่ยน เครื่องยนต์เป็นระบบเชื้อเพลิงร่วม คาดว่าจะสามารถลดการใช้น้ำมันดีเซลได้ 30,000 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 11 ล้านลิตรต่อปี ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(2) การเร่งดำเนินโครงการท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Gas Ring Project) พร้อมการขยายสถานีบริการก๊าซฯ ตามแนวท่อดังกล่าว ซึ่งเป็นการขยายโครงการท่อส่ง ก๊าซฯ จากท่อราชบุรี-วังน้อย ไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ให้ครอบคลุมโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและกลุ่มอุตสาหกรรมรอบกรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าจะนำเสนอขออนุมัติต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนตุลาคม 2543
3.2 โครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งเพื่อให้สอดคล้องกับ แนวทาง การทยอยปรับเพิ่มราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยเร่งดำเนินการปรับเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้เป็น ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นโดยมีแผนการดำเนินการดังนี้
(1) แผนงานระยะสั้น ปตท. จะเร่งดำเนินการ ดังนี้
- ขยายการให้บริการของสถานีก๊าซฯ ที่รังสิตให้แก่รถแท๊กซี่ พร้อมทั้งจัดทำ โครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท๊กซี่อาสาสมัครจำนวน 100 คัน ใช้เงินลงทุน 4 ล้านบาทซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในเดือนพฤศจิกายน 2543 นอกจากนี้ได้มีการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน ในการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของรถโดยสารประจำทาง NGV ของ ขสมก. จำนวน 82 คัน ที่มีอายุการใช้งาน 7 ปี ให้เหมาะสมกับคุณภาพก๊าซฯ ในประเทศ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 65 ล้านบาท และเพิ่มจำนวนรถโดยสารประจำทาง NGV ที่สถานีรังสิต จำนวน 70 คัน ค่าใช้จ่ายประมาณ 400-420 ล้านบาท
- ในการขยายสถานีบริการก๊าซฯ จำนวน 6 สถานี ที่ดำเนินการอยู่จะเพิ่มการให้ บริการแก่กลุ่มแท๊กซี่และจัดหาสถานีบริการก๊าซฯ เคลื่อนที่ (Mobile Station) จำนวน 1 คัน รวมทั้งการจัดโครงการ ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท๊กซี่โดยติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติแบบ ให้เปล่ากับรถแท๊กซี่ จำนวน 1,000 คัน ซึ่ง ปตท. จะขอรับการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 20 ล้านบาท ( คิดเป็นร้อยละ 50 ของเงินลงทุน)
(2) แผนงานระยะยาว ปตท.จะขยายสถานีบริการก๊าซฯ จำนวน 30 สถานี ภายในปี 2548/2549 ตามแนวท่อส่งก๊าซฯ ในเส้นทางสายเหนือ (กรุงเทพฯ - สระบุรี), สายตะวันออก ( กรุงเทพฯ - ระยอง), สายตะวันตก (กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี) และรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการดำเนินการส่งเสริมการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติในรถโดยสารประจำ ทาง รถโดยสารระหว่างจังหวัด รถบรรทุกต่างๆ รถแท๊กซี่ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งต้องขอให้มีการสนับสนุนด้านการลงทุนโดยการจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการ
4. ปตท. ได้พิจารณากลยุทธการกำหนดราคาให้ดึงดูดความนิยมในการใช้รถยนต์ที่ใช้ก๊าซ ธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิง เพื่อเป็นการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขน ส่งอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงของการส่งเสริมและในภาวะที่น้ำมันเชื้อเพลิงยังมีราคาสูง พร้อมกับการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยจะกำหนดราคาขาย NGV อยู่ที่ระดับร้อยละ 50 ของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ซึ่งจะไม่สูงกว่าราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
5. ในการจัดทำโครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งจำเป็นต้อง ขอรับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการสนับสนุนด้านการเงิน กระทรวงการคลังในการสนับสนุนด้านการยกเว้นอากรนำเข้าและการจัดหาแหล่งเงิน กู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ กรมโยธาธิการในการเร่งจัดทำและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมสถานี บริการก๊าซธรรมชาติ กรมการขนส่งทางบกในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมยานพาหนะที่ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการสนับสนุนการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนกับผู้ ประกอบธุรกิจ และการกำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิงในรถยนต์ของหน่วยงาน โดย เฉพาะในกลุ่มรถบริการสาธารณะ เช่น รถโดยสารประจำทาง และรถจัดเก็บขยะ เป็นต้น
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543
2.เห็นชอบโครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งตาม ระเบียบวาระข้อ 2.2 - 2.4 โดยมอบหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่องที่ 4 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในภาคขนส่ง
กระทรวงคมนาคม ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. กระทรวงคมนาคม ได้มีการประชุมหารือกับผู้ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่ง สัตว์หรือสิ่งของเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2543, วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2543 และวันพุธที่ 30 สิงหาคม 2543 เพื่อหามาตรการช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น
2. ผลการประชุมหารือได้มีการกำหนดมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนส่ง สรุปได้ดังนี้
2.1 ผู้ที่อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือได้แก่ ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ หรือสิ่งของซึ่งมีจำนวน 2,258 ราย มีจำนวนรถรวมทั้งสิ้น 72,609 คัน
2.2 คุณสมบัติของผู้ขอรับการชดเชยต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ ประจำทาง ด้วยรถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ โดยเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวรถนั้นเอง และบรรจุในบัญชี ขส.บ.11 พร้อมทั้งจดทะเบียนและชำระภาษีประจำปีอย่างถูกต้องครบถ้วน
2.3 การจ่ายชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้ชดเชยเฉลี่ย 40 ลิตรต่อวันต่อคัน ในอัตราลิตรละ 1.20 บาท ระยะเวลาในการชดเชยประมาณ 3 เดือน ทั้งนี้หากราคาน้ำมันลดลงต่ำกว่าลิตรละ 12 บาท ให้ยุติการชดเชยดังกล่าวทันที
2.4 วงเงินงบประมาณที่ต้องใช้ในการชดเชยประมาณวันละ 3.5 ล้านบาท หรือเท่ากับ 104.6 ล้านบาทต่อเดือน รวมระยะเวลา 3 เดือน เป็นเงิน 313.7 ล้านบาท
2.5 วิธีการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
(1) ผู้ประกอบการจะต้องแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือที่กรมการขนส่งทางบก หรือที่สำนักงานขนส่งจังหวัดที่ออกใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ตามแบบแสดงความจำนงที่กำหนดไว้
(2) กรมการขนส่งทางบกตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการชดเชย แล้วจึงจ่ายบัตรน้ำมันส่วนที่ 3 เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปใช้เติมน้ำมันจากสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. ในราคาที่ต่ำกว่าราคาปกติตามมูลค่าที่ระบุในบัตรน้ำมัน
(3) กรมการขนส่งทางบกจัดทำรายงานการจ่ายบัตรน้ำมัน โดยบัตรน้ำมันส่วนที่ 2 ส่งให้ ปตท. เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการขอคืนเงินส่วนลดของสถานีบริการน้ำมัน และส่วนที่ 1 ส่งให้หน่วยงานเจ้าของงบประมาณเพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบการขอคืนเงิน ส่วนลดของ ปตท. โดย ปตท. ต้องรวบรวมบัตรน้ำมันส่วนที่ 3 และส่วนที่ 2 เพื่อขอรับเงินส่วนลดคืนจากหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้ชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้ รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง ด้วยรถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงคมนาคมกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขอรับการชดเชย อัตราการชดเชย ระยะเวลาการชดเชย และขั้นตอนการดำเนินงาน ดังมีรายละเอียดตามข้อ 2 โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแหล่งเงินเพื่อชดเชยค่าน้ำมันเชื้อ เพลิง ให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
เรื่องที่ 5 การศึกษาการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่น
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 7/2543 ( ครั้งที่ 77) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการกำหนดราคาน้ำมัน ของประเทศ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เป็นประธานกรรมการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( สพช.) เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งต่อมาได้มีการออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 2/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นไทย ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2543 เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมติดังกล่าว
2. คณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นน้ำมันไทย ได้รายงานผลการศึกษาการกำหนดราคาน้ำมันของโรงกลั่น โดยมีความเห็นสรุป ดังนี้
2.1 การกำหนดราคาน้ำมันในประเทศ โดยอิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดจรสิงคโปร์เป็นหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาด น้ำมันในประเทศไทยในปัจจุบัน เนื่องจากสิงคโปร์เป็นตลาดหรือศูนย์กลาง ซื้อขายน้ำมันของภูมิภาคเอเซีย ราคาน้ำมันที่ซื้อขายในสิงคโปร์จะเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับตลาดอื่นๆ และสะท้อนความสามารถในการจัดหา และความต้องการน้ำมันของภูมิภาคนี้ สิงคโปร์เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งสะท้อนต้นทุนการนำเข้าระดับต่ำสุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขัน โดยโรงกลั่นสิงคโปร์จะมีต้นทุนการกลั่นในระดับต่ำ เนื่องจากประสิทธิภาพในการกลั่น ความได้เปรียบเรื่องขนาดของโรงกลั่น การขนส่ง และระบบภาษีต่ำ การแข่งขันกับสิงคโปร์จะทำให้โรงกลั่นไทยต้องปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดต้น ทุนการผลิต
2.2 การกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้หลักการของการกำหนดราคาตามต้นทุน (Cost plus basis) เป็นการประกันค่าการกลั่นให้โรงกลั่น การกำหนดราคาลักษณะนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ การที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ มีความผันผวนสูงกว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงระยะสั้น ๆ หลักการนี้เสมือนประเทศจะได้ประโยชน์ แต่ในภาวะราคาน้ำมันตลาดจรสิงคโปร์เป็นปกติ ค่าการกลั่นซึ่งอิงราคาสิงคโปร์จะอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการกลั่นตามต้นทุน ดังนั้น หากให้โรงกลั่นใช้หลักการค่าการกลั่นตามต้นทุน ราคาน้ำมันในประเทศไทยจะสูงขึ้น และทำให้โรงกลั่นไม่ต้องแข่งขันในการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ เนื่องจากค่าการกลั่นตามต้นทุนของโรงกลั่นแต่ละแห่งจะแตกต่างกัน หากใช้ค่าการกลั่นเฉลี่ยจะทำให้โรงกลั่นที่มีต้นทุนสูงต้องขาดทุน ทำให้ในที่สุดรัฐต้องกำหนดค่าการกลั่นตามต้นทุนสูงสุด เพื่อให้โรงกลั่นทุกโรงไม่ขาดทุน
2.3 ภาวะปัจจุบันราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์มีความผันผวน ความแตกต่างของ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ อันมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านการผลิตของโรงกลั่นหลายโรงในภูมิภาคนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าต้นทุนจริงของการผลิตของ โรงกลั่นทำให้ค่าการกลั่นของโรงกลั่นเพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้ แต่โดยปกติแล้วค่าการกลั่นจะมีการปรับตัวตามภาวะตลาด ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำมันออกสู่ตลาดมากขึ้นและกดค่าการกลั่นให้ ต่ำลง เมื่อค่าการกลั่นต่ำลงจะมีผลให้ปริมาณน้ำมันที่ออกสู่ตลาดลดลง ทำให้ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นภาวะที่ค่าการกลั่นสูงผู้ค้าน้ำมัน ก็จะมีการต่อรองส่วนลดจากโรงกลั่น ทำให้ตลาดสามารถปรับตัวสู่ภาวะที่เหมาะสม ดังนั้น รัฐจึงไม่ควรเข้าไปแทรกแซงในภาวะปกติ
2.4 ในภาวะที่ราคาในประเทศสูงผิดปกติและค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูง (5-7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) ควรมีการนำค่าการกลั่นส่วนหนึ่งมาช่วยในการตรึงหรือลดราคาน้ำมันภายในประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค แต่จะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินของโรงกลั่นด้วย เพราะในช่วงที่ผ่านมาโรงกลั่นประสบภาวะขาดทุน โดยหากพิจารณาค่าการกลั่นของโรงกลั่นไทยออยล์ ระดับค่าการกลั่นที่คุ้มทุน คือ 3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และหากคำนึงถึงการจ่ายดอกเบี้ยและการชำระหนี้แล้ว โรงกลั่นจะต้องได้รับค่าการกลั่นในระดับ 4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
2.5 ภาวะค่าการกลั่นที่สูงในปัจจุบัน จะปรับตัวลดลงตามกลไกตลาดสู่ระดับปกติในเวลา ต่อมา ดังนั้น การให้ส่วนลดราคาน้ำมันสำเร็จรูปดังกล่าว ควรจะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ โดยเป็นการบริหารเพื่อ ลดความผันผวนของตลาดเพียงชั่วคราว แต่หากความผันผวนของราคาน้ำมันสำเร็จรูป ยังคงดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานาน จนกลายเป็นแนวโน้มที่แน่นอนของราคา หรือเป็นภาวะปกติของตลาด การให้ส่วนลดดังกล่าว ก็ควรที่จะยกเลิกเช่นกัน เพราะมิฉะนั้นจะส่งผลต่อการจัดหาของประเทศ โดยโรงกลั่นจะส่งออกน้ำมันแทนการจำหน่ายในประเทศ ซึ่งอาจเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันภายในประเทศขึ้นได้ ทำให้รัฐจะต้องเข้าไปแทรกแซงตลาดโดยการควบคุมการส่งออก
2.6 รัฐไม่มีนโยบายที่จะแทรกแซงตลาด โดยยังยึดหลักการของตลาดเสรี ดังนั้น การนำส่วนลดค่าการกลั่นเพื่อให้ส่วนลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศเป็น การชั่วคราว ในช่วงที่ราคาน้ำมันของประเทศอยู่ในระดับสูงนี้ รัฐไม่สามารถบังคับบริษัทเอกชนได้ คณะกรรมการฯ จึงเห็นสมควรให้ใช้การปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) และโรงกลั่นไทยออยล์ เป็นกลไกในการบริหารค่าการกลั่นและค่าการตลาดโดยให้นำส่วนลดค่าการกลั่นมา ช่วยตรึงหรือลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้สูงขึ้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชน ในช่วงที่ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูงเป็นการชั่วคราว
2.7 ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันรายย่อยที่ไม่มีหุ้นในโรงกลั่น ซึ่งไม่ได้รับส่วนลดค่าการกลั่นในส่วนนี้ทำให้เกิดความเสียเปรียบ แต่ในช่วงที่ผ่านมา ภาวะราคาน้ำมันอยู่ในระดับปกติ ผู้ค้าน้ำมันกลุ่มนี้เคยได้เปรียบจากการที่สามารถเจรจาต่อรองกับโรงกลั่น เพื่อให้ได้ราคาต่ำสุด แทนการที่โรงกลั่นต้องส่งออก แต่คาดว่าสภาวะปัญหาค่าการกลั่นสูงจะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว ระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
2.8 คณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาแนวทางอื่น ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนราคาน้ำมันในช่วงที่ประเทศประสบปัญหาเรื่องราคาน้ำมันแพง เช่น การตกลงราคาล่วงหน้า การปรับลดมาตรฐาน คุณภาพเป็นการชั่วคราว (การลดปริมาณ MTBE ในน้ำมันเบนซิน, การลดอุณหภูมิการกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว)
3. คณะกรรมการศึกษาฯ ได้เสนอว่าในช่วงที่ภาวะตลาดน้ำมันผิดปกติ ทำให้ค่าการกลั่นมีความผันผวนมาก ให้ ปตท. และโรงกลั่นไทยออยล์ ใช้หลักการบริหารค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยนำส่วนลดค่าการกลั่นมาช่วยตรึงหรือลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้ สูงขึ้น ซึ่งเป็นการบริหารความผันผวนของตลาด และเป็นการดำเนินการเพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนโรงกลั่นอื่นให้เป็นไปตามความสมัครใจ เมื่อค่าการกลั่นลดลงสู่ภาวะปกติ หรือหากความแตกต่างของราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงที่อยู่ในระดับสูง จนเป็นภาวะปกติของตลาดแล้ว มาตรการดังกล่าวก็ให้ยกเลิกไป
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความเห็นคณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นน้ำมันไทย ตามข้อ 2
2.เห็นชอบการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่าย น้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นไทย ซึ่งมีข้อเสนอว่าในช่วงที่ภาวะตลาดน้ำมันผิดปกติ ทำให้ค่าการกลั่นมีความผันผวนสูงขึ้นมากนี้ ให้ ปตท. และโรงกลั่นไทยออยล์ ใช้หลักการบริหารค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยนำส่วนลดค่าการกลั่นมาช่วยตรึงหรือลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้ สูงขึ้น ซึ่งเป็นการบริหารความผันผวนของตลาด และเป็นการ ดำเนินการเพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนโรงกลั่นอื่นให้เป็นไปตามความสมัครใจ เมื่อค่าการกลั่นลดลงสู่ภาวะปกติ หรือหากความแตกต่างของราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงที่อยู่ในระดับสูง จนเป็นภาวะปกติของตลาดแล้ว มาตรการดังกล่าวก็ให้ยกเลิกไป
3.มอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปดำเนินการประชาสัมพันธ์เรื่องระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน
เรื่องที่ 6 การจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้พิจารณาข้อเสนอของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ในการให้มีการจัดตั้งระบบการค้าน้ำมันกลางทะเลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยการจัดตั้งสถานี (Tanker) จำหน่ายน้ำมันกลางทะเลโดยบริษัท ผู้ค้าน้ำมัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมง ในเรื่องต้นทุนการทำประมง และการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันทาง ทะเล และเห็นว่าจะเกิดผลดีต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม จึงได้ขอความเห็นชอบในหลั กการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งระบบการค้าน้ำมันกลางทะเลอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ สพช. ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินงานและประสานงานกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง
2. ผลการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้คือ
2.1 การดำเนินการดังกล่าวเป็นการช่วยให้ชาวประมงซื้อน้ำมันในราคาต่ำที่สุด โดยไม่มีการเก็บภาษีและกองทุนต่างๆ รวมทั้งยกเว้นข้อกำหนดคุณภาพของน้ำมันบางประการ ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับการใช้ ในทะเล
2.2 เป็นการช่วยให้เรือจำหน่ายน้ำมันเข้ามาใกล้ชายฝั่งมากขึ้น คือ สามารถจำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่อง แต่น้ำมันที่จำหน่ายแก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องต้องเป็นน้ำมันที่ผลิตใน ประเทศไทยเท่านั้น
2.3 เพื่อเป็นการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาวประมง ควรจัดให้มีการควบคุมการจำหน่าย น้ำมันที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องยนต์เรือ ควบคุมมิเตอร์ให้ปริมาณจำหน่าย และเรือจำหน่ายน้ำมันต้องมีอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อความปลอดภัยแก่เรือประมง และไม่เกิดมลภาวะในทะเล
2.4 ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนเข้าสู่ฝั่งให้มีการเติม สีน้ำมัน ให้แตกต่างจากน้ำมันที่ใช้บนบก และเติมสาร Marker
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบให้ศึกษาการจัดตั้งระบบการจำหน่ายน้ำมัน สำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง เมื่อการศึกษาแล้วเสร็จให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อ ไป
เรื่องที่ 7 ข้อเสนอการลดระดับราคาน้ำมันโดยการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การดำเนินการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทาง อากาศที่เกิดขึ้นจากการใช้รถยนต์ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2535 โดยมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล ได้มีการลดอุณหภูมิการกลั่น จาก 370 องศาเซลเซียล เป็น 357 องศาเซลเซียล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 เพื่อลดปัญหาควันดำของรถบรรทุก รถโดยสาร และรถขนส่งทั่วไป นอกจากนี้ได้มีการลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันดีเซลจากร้อยละ 1 จนปัจจุบันเหลือเพียงร้อยละ 0.05 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะฝุ่นที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ไมครอน ซึ่งมีผลเสียต่อ สุขภาพอนามัยของประชาชน
1.2 น้ำมันเบนซิน ได้มีการลดสารเบนซีนจากเดิมไม่สูงกว่าร้อยละ 5 โดยปริมาตรเหลือไม่เกินร้อยละ 3.5 โดยปริมาตรตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 และลดปริมาณสารอะโรมาติกจากเดิมที่กำหนดไว้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2537 มีปริมาณไม่สูงกว่าร้อยละ 50 โดยปริมาตร ให้ลดลงเป็นไม่สูงกว่าร้อยละ 35 โดยปริมาตร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ทั้งนี้ เนื่องจากสารอะโรมาติกโดยเฉพาะสารเบนซีนซึ่งจัดว่าเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ที่ทางองค์การอนามัยโลกกำหนดเป็นสารมลพิษในบรรยากาศให้มีปริมาณน้อยที่สุด หรือไม่มีเลย
2. ข้อเสนอการลดระดับราคาน้ำมัน โดยการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
-น้ำมันดีเซลเพิ่มอุณหภูมิการกลั่นจาก 357 องศาเซลเซียส เป็น 370 องศาเซลเซียส จะทำให้ราคาปรับตัวลดลงประมาณ 0.20 บาท/ ลิตร
-น้ำมันดีเซลเพิ่มปริมาณกำมะถันจาก 0.05% เป็น 0.5% จะทำให้ราคาปรับตัวลดลง ประมาณ 0.30 บาท/ลิตร
-น้ำมันเบนซินเพิ่มปริมาณสารอะโรมาติกจากร้อยละ 35 เป็นร้อยละ 50 โดยปริมาตร จะทำให้ราคาปรับตัวลดลงประมาณ 0.20 บาท/ ลิตร
3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมทะเบียนการค้า และกรมควบคุมมลพิษ มีความเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นสรุปความเห็นได้ดังนี้
3.1 น้ำมันดีเซล มีผลการศึกษาวิจัยที่ประกอบความเห็นดังนี้
(1) จากการศึกษาในต่างประเทศโครงการ The European Programme on Emissions, Fuels, and Engine Technologies ปี ค. ศ. 1995 พบว่าการลดความหนาแน่น Polyaromatic อุณหภูมิการกลั่น และปริมาณกำมะถันในน้ำมันดีเซล มีส่วนช่วยในการลดปริมาณฝุ่นละออง (PM) ในไอเสียของเครื่องยนต์ โดยการลดอุณหภูมิการกลั่น (T95 จาก 370 องศาเซลเซียส เป็น 325 องศาเซลเซียส) พบว่ามีส่วนช่วยในการลดปริมาณฝุ่นละอองในไอเสียโดยเฉพาะรถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ประมาณ 6.9% นอกจากนี้ จากผลการทดสอบของ Japan Clean Air Program ปี ค.ศ. 1996-1998 พบว่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดที่มีอุณหภูมิการกลั่นเพิ่มขึ้นจาก 330 องศาเซลเซียลเป็น 350 องศาเซลเซียส มีผลทำให้ปริมาณฝุ่นละอองในไอเสียของรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กและขนาดใหญ่เพิ่ม ขึ้นเฉลี่ย 14.6% และ 8.7% ตามลำดับ
(2) ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2535 -2542 พบว่าปัญหาฝุ่นละอองยังคงเป็นปัญหาหลักของกรุงเทพมหานคร โดยมีการตรวจพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM-10) ซึ่งมีแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่มาจากยานพาหนะอยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานมา ตั้งแต่ปี 2536 และเพิ่มระดับความรุนแรงเรื่อยมาจนถึงปี 2539 ซึ่งมีความรุนแรงมากที่สุด การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลจึงเป็นมาตรการที่สำคัญประการหนึ่งในการลด ปริมาณการระบายฝุ่นละอองในไอเสียของเครื่องยนต์
(3) จากการวิจัยเรื่องผลกระทบของฝุ่นละอองต่อสุขภาพอนามันในเขตกรุงเทพมหานคร โดยวิทยาลัยการสาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับบริษัท Hagler Bailly พบว่าการลดระดับค่าเฉลี่ยรายปีของฝุ่นละอองขนาดเล็กลงทุก 10 ug/m3 จะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย ซึ่งคิดเป็นเงินจะมีค่าประมาณ 35,000 - 88,000 ล้านบาทต่อปี การเพิ่มอุณหภูมิการกลั่นน้ำมันดีเซล (T90) จาก 357 องศาเซลเซียส เป็น 370 องศาเซลเซียส ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงได้ประมาณ 0.25 บาท/ ลิตร เมื่อคิดจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลทั่วประเทศในปี 2542 ประมาณ 42 ล้านลิตรต่อวัน จะประหยัดเงินได้เพียง 10.5 ล้านบาทต่อวัน คิดเป็นเงินประมาณ 3,832.5 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น เมื่อคิดเปรียบเทียบกันแล้วไม่คุ้มกับสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งคำนวณเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้นที่จะต้องเสียไปถึง 35,000-88,000 ล้านบาทต่อปี
3.2 น้ำมันเบนซิน มีผลการศึกษาวิจัยประกอบความเห็นดังนี้
(1) จากผลการศึกษาวิจัยเรื่อง "Toxic Air Pollution Exhaust Emission with Reformulated Gasoline" ในปี 2543 พบว่าการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเบนซินโดยการลดปริมาณสารอะโรมาติกจากร้อยละ 45 ลงเหลือร้อยละ 20 จะมีผลทำให้ปริมารสารมลพิษในไอเสียของรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ สารเบนซีน ลดลงร้อยละ 30.9+/-6.2
(2) ผลการวิจัยที่ดำเนินการโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ( ปตท.) ในปี 2542 พบว่าการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงโดยการลดปริมาณสารอะโรมาติกมีผลทำ ให้ปริมาณสารมลพิษใน ไอเสียของรถยนต์เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ กรณีสารอโรมาติกลดลงจากร้อยละ 45 ลงเหลือร้อยละ 35 มีผลให้ปริมาณสารเบนซีนลดลงร้อยละ 16 และกรณีสารอะโรมาติกลดลงจากร้อยละ 45 ลงเหลือร้อยละ 20 มีผลให้สารเบนซีนลดลงร้อยละ 36.3 ปริมาณก๊าซไฮโดรคาร์บอนรวม (THC) ลดลงร้อยละ 7.5 และปริมาณก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนลดลงร้อยละ 14.2
มติของที่ประชุม
1.รับทราบข้อเสนอการลดระดับราคาน้ำมันโดยการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมัน เชื้อเพลิงว่ามีความเป็นไปได้ในทางเทคนิค แต่การดำเนินการต้องมีความระมัดระวังรอบคอบ โดยมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รับไปพิจารณาถึงผลกระทบที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน
2.เห็นชอบให้มีการปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลจาก 25 สตางค์ /ลิตร เหลือ 0 สตางค์/ ลิตร เป็นการชั่วคราว โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป และเมื่อราคาน้ำมันลดลงและเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมให้พิจารณาปรับเพิ่มอัตรา การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลใหม่
เรื่องที่ 8 ข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากผลกระทบราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอนุรักษ์ จุรีมาศ) ได้หารือต่อที่ประชุม เกี่ยวกับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาดและมีราคาตกต่ำ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเห็นว่าควรจะมีมาตรการ ให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเกษตรทุกสาขาโดยรวมด้วย และเนื่องจากการ พิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายสินค้าอาจไม่มีข้อมูลรายละเอียดเพียงพอ จึงพิจารณาว่าควรให้ความช่วยเหลือเป็นภาคครัวเรือนเกษตรซึ่งมีประมาณ 5.6 ล้านครัวเรือน ส่วนจะพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างไรอยากขอให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี ( นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รับไปพิจารณาหาแนวทางให้ด้วย และขอให้ที่ประชุมให้ความเห็นชอบในหลักการว่าควรให้ความช่วยเหลือแก่ภาค เกษตรในระดับครัวเรือน
การพิจารณาของที่ประชุม
1.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) มีความเห็นว่าในหลักการแล้วคณะกรรมการฯ นี้เห็นชอบที่จะให้ความช่วยเหลือเป็นรายภาคอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสาขาขนส่ง ประมง และเกษตร ส่วนแต่ละภาคการผลิตต้องการให้พิจารณาช่วยเหลืออย่างไร ควรเป็นหน้าที่ของแต่ละกระทรวงซึ่งดูแลเรื่องนี้โดยตรงเป็นผู้จัดทำข้อเสนอ เข้ามา เช่นเดียวกับที่กระทรวงคมนาคมทำข้อเสนอเข้ามาให้ที่ประชุมนี้พิจารณา อย่างไรก็ตาม การยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลใน วันนี้ก็เป็นการช่วยเหลือทุกภาคการผลิต รวมทั้งภาคเกษตรด้วย แต่ถ้าจะให้พิจารณาช่วยเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่เห็นว่ายังคงมีความจำเป็นอยู่ก็ขอให้ทำข้อเสนอเข้ามา
2.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอนุรักษ์ จุรีมาศ) เสนอให้ที่ประชุม เห็นชอบในหลักการก่อนว่าควรให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเกษตรโดยรวม และให้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาวิธีปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรต่อไป เนื่องจากครัวเรือนเกษตรที่มีอยู่ 5.6 ล้านครัวเรือน ใช้น้ำมันในภาคเกษตรเฉลี่ยครัวเรือนละ 15 ลิตร/เดือน หรือประมาณ 180 ลิตร/ปี/ครัวเรือน โดยอาจพิจารณาให้ความช่วยเหลือระยะหนึ่งประมาณ 4 เดือน
3.ประธานฯ ได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบในหลักการในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร ในระดับครัวเรือน โดยให้กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับกระทรวงการคลัง และ สพช. รับไปพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือต่อไป ซึ่งในหลักการกระทรวงการคลังก็ไม่ขัดข้องที่จะจัดหาแหล่งเงินสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ขอให้มีการชี้แจงด้วยว่าคณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาช่วยเหลือเกษตรกรอยู่แล้วโดยผ่านทาง ธกส. โดยการลดราคาน้ำมันให้ 25 สตางค์/ลิตร แต่ขอให้มีการเร่งรัดการขยายสถานีบริการจาก 300 สถานี ให้ ครอบคลุม 1,500 สถานี โดยเร็ว และจากการปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวันนี้ 25 สตางค์/ลิตร ก็เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเกษตรรวมทั้งหมด 50 สตางค์/ลิตร
มติของที่ประชุม
1.ให้เร่งขยายโครงการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกของ ปตท. ให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ให้ครอบคลุม 1,500 สถานีโดยเร็ว
2.เห็นชอบในหลักการให้พิจารณาหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในระดับครัวเรือน ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการคลัง และ สพช. รับไปพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
กพช. ครั้งที่ 77 - วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 77)
วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบ
2.ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
3.การแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4.การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 24 - 27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามกระแสข่าวการประกาศเพิ่มปริมาณการผลิตของประเทศซาอุดิอาระเบีย 500,000 บาร์เรล/วัน แต่ในเดือนสิงหาคมราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น 1-2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยมีสาเหตุจากปริมาณการผลิตของประเทศซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้นเพียง 250,000 บาร์เรล/วัน และปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐอเมริกาที่ลดลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 11 สิงหาคม อยู่ในระดับ 26.4 - 30.8 เหรียญสหรัฐฯต่อ บาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนกรกฎาคม ไม่ได้อ่อนตัวตามราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากปัญหาปริมาณน้ำมันในตลาดค่อนข้างตึงตัว จากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นในภูมิภาคนี้และอุบัติเหตุของโรงกลั่นคูเวต ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าดและดีเซล ปรับตัวสูงขึ้น 3, 2 และ 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเตาปรับตัวลดลง 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ หยุดซื้อ และในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ยังคงปรับตัวสูงขึ้นและอยู่ในระดับสูง เป็นผลจากสภาพตลาดที่ตึงตัว โดยราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซลและเตา ณ วันที่ 11 สิงหาคม อยู่ในระดับ 39.4, 35.9, 35.3 และ 22.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในเดือนกรกฎาคม ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและการอ่อนตัวของค่าเงินบาท โดยต้นทุนราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลสูงขึ้น 1.05 และ 0.55 บาท/ลิตร แต่ผู้ค้า น้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกเพียง 1 ครั้ง ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ออกเทน 91และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 13 สิงหาคม อยู่ที่ 16.49, 15.49 และ 13.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากการที่ราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินบาทอ่อนตัวลง แต่การปรับราคาขายปลีกไม่ได้ ชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด จึงส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในเดือนกรกฎาคม อยู่ในระดับ 0.81 บาทต่อลิตร และในเดือนสิงหาคมอยู่ในระดับ 0.49 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการกลั่น จากการที่ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ค่าการกลั่นปรับสูงขึ้นมาเคลื่อนไหวในระดับ 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.0 - 1.3 บาทต่อลิตร)
5. สถาบัน EIA (Energy Information Administration) ได้คาดการณ์แนวโน้มของราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปี 2543 ว่า ราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เมื่อเทียบกับระดับปลายเดือนมิถุนายน ราคาจะอ่อนตัวลงในระดับ 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบ WTI จะอยู่ในระดับ 27 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (เทียบเท่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ 26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) ส่วนการคาดการณ์จากแหล่งอื่น นักวิเคราะห์โดยรวมคาดว่าครึ่งปีหลังราคามันดิบจะอ่อนตัวลงจากระดับกลางปี 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยภาพรวมราคาน้ำมันดิบจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปคาดว่า น้ำมันเบนซินจะ ลดลงหลังฤดูร้อน และหากการเพิ่มปริมาณสำรองสำหรับฤดูหนาวของน้ำมันดีเซลไม่ทันการณ์ ราคาน้ำมันดีเซลอาจปรับตัวสูงขึ้นมากเหมือนราคาน้ำมันเบนซินในฤดูร้อนที่ ผ่านมา ส่วนราคาขายปลีกของไทยในช่วงระยะสั้น มีปัจจัยที่น่าจะมีผลต่อราคามากที่สุดคือ การเพิ่มปริมาณการผลิตของโรงกลั่นที่ต่ำกว่ากำลังการกลั่นจริง และการกลับมาผลิตตามปกติของโรงกลั่นที่ปิดซ่อมแซม ซึ่งหากผลิตได้จะทำให้ราคาลดลงในระดับหนึ่ง
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และรายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
6.1 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานว่าการประเมินผลกระทบในครั้งนี้ไม่แตกต่างจากที่ได้รายงานต่อที่ ประชุมในครั้งที่แล้ว เนื่องจากได้มีการวิเคราะห์กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ที่ระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ไว้แล้ว และขณะนี้ราคาน้ำมันดิบยังไม่สูงถึงราคาที่คำนวณไว้ สศช. จึงยังคงใช้การประเมินผลกระทบเดิม คือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2543 จะอยู่ในระดับร้อยละ 5 เนื่องจากปริมาณการส่งออกใน รูปดอลล่าร์สหรัฐฯ ของปี 2543 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 12.1 สูงกว่าที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 6.5 อย่างไรก็ดี หากราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ในระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนทั้งปีอยู่ในระดับ 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 0.31 คือ ลดจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 4.69"
6.2 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากราคาน้ำมันดีเซล ที่ปรับสูงขึ้น ณ วันนี้ที่ลิตรละ 13.59 บาท เปรียบเทียบกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเมื่อเดือนมิถุนายน 2542 คือที่ระดับราคา 8.30 บาท/ลิตร ปรากฏว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า 53 รายการ สินค้ามีต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ 67.35 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบสูงสุดถึงร้อยละ 9.21 คือ ปูนซีเมนต์ รองลงมาคือ ตะปู และกระเบื้อง ได้รับผลกระทบประมาณร้อยละ 4 ส่วนการปรับค่าไฟฟ้ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าร้อยละ 5.23 ได้แก่ สินค้าแคลเซี่ยมคาร์ไบด์ เยื่อกระดาษ และปูนซีเมนต์ สินค้าที่ได้มีการปรับราคาไปแล้ว คือ ปูนซีเมนต์ สำหรับน้ำมันหล่อลื่นยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
6.3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะขอส่งรายงานการประเมินผลกระทบและการดำเนินการชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาว ประมง จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบ ภายในสัปดาห์นี้
6.4 กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2543 เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2542 ปรากฏว่า ปูนซีเมนต์ ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีสัดส่วนต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.37 รองลงมาคือ อุตสาหกรรมสิ่งทอและฟอกย้อม ส่วนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตเพื่อส่งออกมีกำลังผลิตมากขึ้น ดังนั้นชิ้นส่วนยานยนต์หล่อโลหะจะได้รับผลกระทบมากขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์และจักรยานยนต์ได้รับผลกระทบน้อย
6.5 กระทรวงคมนาคม ได้ให้คณะกรรมการควบคุมขนส่งกลางพิจารณาผลกระทบจากราคา น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เนื่องจากการขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำมีความหลากหลาย จึงอยู่ระหว่างการเร่งรัดจัดทำรายละเอียดให้มากขึ้น
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจและต้นทุนสินค้าและบริการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการกำหนดราคาน้ำมัน สำเร็จรูปของประเทศ ประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เป็นประธาน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายและแผนพลังงาน เป็นฝ่ายเลขานุการ เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์ การกำหนดราคาและโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่เหมาะสมของประเทศ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวดำเนินการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ และให้แจ้งผลการศึกษาให้คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติทราบต่อไป
3.มอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยรับไปเจรจากับโรงกลั่นไทยออยล์ ขอปรับลดราคา ณ โรงกลั่นลง เพื่อเป็นโครงการนำร่องสำหรับโรงกลั่นอื่น ๆ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ผ่านมา สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ซึ่งอยู่ ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2542 - 7 สิงหาคม 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานและว่าจ้าง ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐไปแล้วจำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงและว่าจ้าง ควบคุมงานติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐจำนวน 160 แห่ง รวมเป็นเงิน 45.31 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมรวม 148 แห่ง และโรงงานควบคุม 256 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์ การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมรวม 121 แห่ง รวมเป็นเงิน 204.32 ล้านบาท ในส่วนของ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี สถาบันราชภัฏสวนดุสิต และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา รวม 5 แห่ง ในวงเงิน 6.45 ล้านบาท
1.2 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวม 3 โครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2543-2547) รวมวงเงิน 258,447,440 บาท ประกอบด้วย โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อม โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหาร จัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และโครงการต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม นอกจากนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ในการนำพลังงานที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1,000 กิโลวัตต์ จำนวน 50 แห่ง เป็นเงิน 160 ล้านบาท และการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู สมุทรปราการ เป็นเงิน 300 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ โครงการดังกล่าวได้ผ่านการกลั่นกรองของคณะผู้เชี่ยวชาญกลั่นกรองโครงการแผน งานภาคความร่วมมือใน เบื้องต้นเพื่อให้มีการปรับข้อเสนอให้ชัดเจนแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 และจะมีการพิจารณากันอีกครั้งในวันที่ 24 สิงหาคม นี้
1.3 การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้ พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภทแล้วเสร็จ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพค ฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษานี้ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการของอุปกรณ์แต่ละประเภทด้วยแล้ว สพช. จึงได้จัดทำร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ ไฟฟ้า 6 ประเภทดังกล่าว เพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมวันนี้ เพื่อให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนำไปดำเนินการให้อุปกรณ์ไฟฟ้า ทั้ง 6 ประเภท เป็นอุปกรณ์ควบคุมมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำต่อไป
1.4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up)
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเป็นค่าใช้ จ่ายในการดำเนินโครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงาน คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะตั้งศูนย์บริการตามสถานที่ราชการเพื่อให้บริการแก่รถยนต์ของส่วนราชการ รวมทั้ง ตั้งศูนย์บริการให้แก่ประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก คาดว่าจะสามารถให้บริการแก่รถยนต์ได้ประมาณ 17,000 คัน ในระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ ปตท. ได้ยื่นข้อเสนอ โครงการระยะที่ 2 ซึ่งจะสามารถขยายการให้บริการ Tune-up ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด คาดว่าจะสามารถให้บริการแก่รถยนต์ได้ประมาณ 49,000 คัน ในระยะเวลา 3 ปี
1.5 โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด
กรมควบคุมมลพิษ ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทางไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วย ไฟฟ้า ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยกรมควบคุมมลพิษ จะร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเป็นระบบรถไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Buses) ซึ่ง สพช. จะเร่งพิจารณาแผนเบื้องต้นของโครงการ และนำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือตามขั้นตอนต่อไป
2. การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ สพช. ได้ดำเนินมาตรการจูงใจเพื่อให้ประชาชนที่สามารถใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น โดยปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร และลดค่าการตลาดของเบนซินออกเทน 91 ลง 20 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2543 เป็นต้นมา ผลของการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏว่า สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เพิ่มขึ้นตามลำดับจากร้อยละ 33 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 37, 38, และ 51 ในเดือนมกราคม มีนาคม และมิถุนายน 2543 ตามลำดับ
3. การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในเดือนสิงหาคมทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดือน กรกฎาคม ที่ระดับ 297 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระต้อง ชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 7.57 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 1,036 ล้านบาทต่อเดือน โดยคาดว่ากองทุนฯ จะสามารถชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้จนถึงสิ้นปี 2543
4. มาตรการลดราคาน้ำมัน
4.1 กลุ่มเกษตรกร ปตท. ได้ลดราคาเบนซินและดีเซลจากเดิมลดลง 0.15 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 0.25 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 1 เมษายน 2543 - 30 กันยายน 2543 ให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยการจำหน่ายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ครอบคลุม 64 จังหวัด และพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการน้ำมันทั่วทุกจังหวัด
4.2 กลุ่มประมง ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลด 0.60 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) อนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุน ช่วยเหลือเกษตรกรในวงเงิน 321 ล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดทุนให้แก่ชาวประมงที่ร่วมโครงการเป็นระยะเวลา 4 เดือน
4.3 กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่จดทะเบียนขอรับส่วนลดจากกรมส่งเสริม อุตสาหกรรมรวมทั้งหมด 305 ราย จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดเพิ่มเติมจากส่วนลดการค้าปกติสำหรับน้ำมันดีเซล 15 สตางค์ต่อลิตรและน้ำมันเตา 7 สตางค์ต่อลิตร โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2543 มีผู้ประกอบการได้รับการลดราคาน้ำมันแล้ว 21 ราย แยกเป็นความต้องการใช้น้ำมันดีเซล 61,500 ลิตรต่อเดือน และน้ำมันเตา 1,367,000 ลิตรต่อเดือน นอกจากนี้ เป็นการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่ง 247 ราย โดยผู้ประกอบการสามารถเติมน้ำมันจากสถานีบริการที่ใช้บริการ Synergy Card เพื่อรับส่วนลดผ่านบริการดังกล่าวทุกสิ้นเดือน
5. มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
5.1 ภาคคมนาคมขนส่ง ปตท. ได้ดำเนินโครงการก่อนการขยายตลาดยานยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติv(NGV Pre-marketing Project) ซึ่งจะทำการประเมินผลโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะนำผลการทดสอบโครงการดังกล่าวv และข้อคิดเห็นของ ขสมก. และ กทม. มาประกอบการจัดทำ ข้อเสนอแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงานvเพื่อปรับปรุงรถของ ขสมก. และ กทม. ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้ ตลอดจนสร้างสถานีบริการก๊าซฯ ของ ปตท. นอกจากนี้vกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีคำสั่งที่ 237/2543 ลงวันที่ 31vกรกฎาคม 2543 แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาความเป็นไปได้โครงการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อ เพลิงแทนน้ำมันในรถยนต์โดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรถจักรดีเซลของการรถไฟแห่งประเทศไทย
5.2 การเร่งรัดสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การยื่นคำขอสัมปทานปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจบนบก ในทะเลอ่าวไทย และในทะเลอันดามัน ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2543 เพื่อเปิดให้ผู้ที่ประสงค์จะขอสัมปทานปิโตรเลียม ยื่นคำขอสัมปทานพร้อมเอกสารการขอสัมปทานต่อกรมทรัพยากรธรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันออกประกาศ เชิญชวนให้ยื่นขอสัมปทานฉบับนี้ หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง และจะปิดรับใบคำของวดแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 2543 นี้
6. โครงการเสริม
สพช. ได้ดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ วิธีการประหยัดพลังงานในบ้านอยู่อาศัยและการใช้ยานพาหนะผ่านทางสื่อต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ประชาชนรู้จักใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ มากขึ้น ดังนี้
6.1 โครงการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ให้การสนับสนุนแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการดำเนินโครงการบ้านประหยัดพลังงาน เพื่อศึกษาหลักการและแนวทางการประหยัดพลังงานในที่อยู่อาศัย และพัฒนาแนวทางเลือกต้นแบบบ้านประหยัดพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใน ภูมิภาค ตลอดจนเสนอแบบบ้านและจัดทำคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องการประหยัดพลังงานในที่พักอาศัยสู่สาธารณะ ซึ่งในขณะนี้การจัดทำแบบบ้านรวมทั้งหมด 4 แบบ และคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงานได้แล้วเสร็จ และได้โฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และ Website ของ สพช. เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจในราคาถูก และในระยะต่อไป สพช. จะจัดทำเฉพาะคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงานเป็นเอกสารเผยแพร่โดยไม่คิด ค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย
6.2 โครงการรณรงค์วิธีประหยัดน้ำมัน สพช. อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำแผ่นพับเสนอวิธีประหยัดน้ำมัน จำนวน 300,000 ชุด เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆ ด้วยตัวเองสำหรับ ผู้ใช้รถทุกประเภท คาดว่าจะผลิตเสร็จและพร้อมแจกประมาณปลายเดือนสิงหาคม ศกนี้ โดยมีจุดแจกจ่ายตามด่านเก็บเงินทางด่วน สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 สื่อมวลชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้ง การเผยแพร่ผ่านทาง Website ของ สพช.
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.มอบหมายให้ สพช. ติดตามเร่งรัดการพิจารณาสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานในโครงการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ของกระทรวงอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว
3.มอบหมายให้ส่วนราชการต่างๆ พิจารณากำหนดมาตรการประหยัดการใช้ไฟฟ้าในสถานที่ราชการ และมอบหมายให้กรมทางหลวงพิจารณาดับไฟถนนบางสายและบางจุดที่จะไม่ก่อให้เกิด อันตรายแก่ผู้ใช้เส้นทาง ดังกล่าว รวมทั้งให้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาคเอกชนในการร่วมมือกันประหยัดพลังงาน ในช่วงเวลาที่ ไม่จำเป็น เพื่อลดการใช้พลังงานลง
เรื่องที่ 3 การแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนสิงหาคม ทรงตัวอยู่ในระดับ 297 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 12.23 บาท/กก. โดยมีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 7.57 บาท/กก. หรือ 1,036 ล้านบาท/เดือน และคาดว่าในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2543 ราคาก๊าซฯ ในตลาดโลกจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 315-330 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน อัตราเงินชดเชยจะอยู่ในระดับ 7.9 - 8.5 บาท/กก. หรือ 1,050 - 1,150 ล้านบาท/เดือน
2. ฐานะการเงินตามบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2543 อยู่ในระดับ 1,860 ล้านบาท รายรับจากน้ำมันชนิดอื่นในระดับ 583 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว 1,036 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 453 ล้านบาท/เดือน และมีหนี้เงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวค้างชำระในระดับ 2,005 ล้านบาท ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 145 ล้านบาท แต่หากไม่คำนึงถึงหนี้เงินชดเชยค้างชำระ กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเลวได้อีกประมาณ 3 เดือน หรือจนถึงเดือนกันยายน 2543
3. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน โดยได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ให้นโยบายและแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
3.1 ให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวจนถึงสิ้นปี 2543 เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของประชาชน ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นมาก ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าอื่นๆ ปรับสูงขึ้นตาม การปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในช่วงนี้ จึงยังไม่ควรดำเนินการ
3.2 ให้ใช้นโยบายบริหารฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ให้อยู่ในระดับ 1,500 ล้านบาท โดยอาจจะมีการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวล่าช้าบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับการไหลเข้าของกองทุนฯ จากน้ำมันชนิดอื่น
3.3 ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและ ดีเซล 0.05 และ 0.25 บาท/ลิตร ตามลำดับ เพื่อเพิ่มรายรับของกองทุนฯ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพดานสูงสุดของอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร
3.4 ให้จ่ายเงินชดเชยเฉพาะก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในการหุงต้ม โดยลดหรือยกเลิกการจ่ายเงิน ชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาก๊าซที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรมปรับสูงขึ้น โดยให้ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบ การกำหนดระเบียบและขั้นตอนปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยลดภาระการจ่ายชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ได้ประมาณ 25% หรือ 260 ล้านบาท/เดือน
3.5 ในปี 2544 เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชน ให้ทยอยปรับเพิ่มราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 10% ของราคาขายปลีก
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2.เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ตามข้อ 3 โดยให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์และ อุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปกำหนดระเบียบปฏิบัติต่อไป
เรื่องที่ 4 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค (Asia Pacific Economic Cooperation: APEC) ในการประชุมระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม 2539 ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ได้มีข้อตกลงความร่วมมือด้านพลังงาน ซึ่งมีเรื่องการจัดทำกรอบมาตรฐานด้านพลังงานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้าน พลังงานและลดต้นทุนของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 เห็นชอบแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยแนวทางหนึ่งได้เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้น ต่ำ การติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะส่งผลต่อการลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมใน เชิงเศรษฐศาสตร์
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้าง ERM-Siam, Co Ltd. ดำเนินการศึกษาแนวนโยบายในการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2540 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ (Minimum Efficiency Performance Standards: MEPs) ของอุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อเสนอแนะมาตรฐานในการทดสอบและรับรองอุปกรณ์ให้มีความสอดคล้องในระบบ สากล รวมทั้งการพิจารณาผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งการศึกษาได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และ สพช. ได้นำเสนอผลการศึกษา โดยการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการแต่ละอุปกรณ์ แล้ว ซึ่งที่ประชุมได้ให้การยอมรับและจะร่วมมือสนับสนุนการดำเนินการตามผลการ ศึกษานี้
3. แนวทางการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท สรุปได้ ดังนี้
3.1 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำเป็นการกำหนดบังคับให้ อุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ ที่ผลิตและนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ (ไม่รวมถึงสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออก) จะต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างน้อยที่สุดให้ได้ตาม มาตรฐานกำหนด ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยจัดการให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำ ออกไปจากตลาด และผลักดันให้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเข้าสู่ระบบการตลาดมากขึ้น ซึ่งจะ ส่งผลให้เกิดการประหยัดพลังงานในภาพรวมของประเทศ
3.2 มาตรการในการดำเนินการเพื่อให้มีผลบังคับใช้มาตรฐานขั้นต่ำได้มีการกำหนดไว้ เป็นขั้นตอน โดยอุปกรณ์ประเภทแสงสว่าง ประกอบด้วย บัลลาสต์ หลอดฟลูออเรสเซนต์ และหลอดคอมแพคฟูลออเรสเซนต์ สามารถดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ได้ในปี 2546 ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และมอเตอร์ จะเริ่มให้มีผลบังคับใช้ได้ในปี 2547 และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรฐานทุกๆ 3 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีช่วงเวลาในการเตรียมความ พร้อมก่อนมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำจะมีผลบังคับใช้ และ สพช. จะมีการประเมินผลเป็นระยะๆ เพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินการ
3.3 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้ง 6 ประเภทดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีการควบคุมมาตรฐานการใช้ประสิทธิภาพขั้น ต่ำ โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
3.4 รัฐควรส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมีการใช้อุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การสนับสนุนด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้อุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยผลักดันให้ผู้ผลิตหันมาผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และรัฐควรสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถของศูนย์ทดสอบต่างๆ ในการทดสอบและการรับรองประสิทธิภาพได้ตามมาตรฐานสากล
4. ผลวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์พบว่าประโยชน์โดยรวมที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการ ประหยัดไฟฟ้าหากมีการดำเนินการตามกรอบแผนงานการกำหนดบังคับใช้มาตรฐาน ประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ 6 ประเภทดังกล่าว ระหว่างปี 2547-2554 คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน ณ ปี 2547 ในช่วงเวลา 8 ปี จะมีศักยภาพในการลดความต้องการพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 3,200 กิกกะวัตต์-ชั่วโมง หรือ 660 เมกะวัตต์ และประหยัดค่าไฟฟ้าของผู้บริโภคได้ทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านบาท
5. นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตตู้เย็นของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้มีการลงนามร่วมกันเพื่อสนับสนุน สพช. ในการดำเนินงานตามแผนการกำหนดมาตรฐานดังกล่าว และขอให้ สพช. ทำการศึกษาวิจัยโดยละเอียดในเรื่องผลกระทบด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับตู้เย็นประสิทธิภาพสูง เช่น ด้านการตลาดภายในประเทศ การส่งออก ด้านต้นทุนการผลิต ด้านสิ่งแวดล้อม และให้ สพช. จัดทำตู้เย็นต้นแบบตามที่ได้เสนอแนะไว้ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2544 เพื่อกลุ่มผู้ผลิต ตู้เย็นจะได้นำผลการศึกษาไปปรับปรุงระบบการผลิต และเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการประกาศใช้มาตรฐานขั้นต่ำจริง ซึ่ง สพช. ได้ดำเนินการให้ตามที่กลุ่มผู้ผลิตตู้เย็นได้ร้องขอมาดังกล่าว ซึ่งจะทราบผลภายในเดือนตุลาคม 2543
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 6 ประเภท ประกอบด้วย เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลู ออเรสเซนต์ ตามผลการศึกษาในเอกสารประกอบวาระการประชุมที่ 4.1.1 ตามที่ สพช. เสนอ
2.มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รับผลการศึกษาไปเร่งดำเนินการกำหนดให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทั้ง 6 ประเภทดังกล่าว เป็นอุปกรณ์ควบคุมมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าขั้นต่ำ
ครั้งที่ 7 - วันพฤหัสบดี ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 7)
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2548 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การชดเชยส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์สองเดือนแรกในไตรมาส 2 ปี 2548 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 4.94 และ 3.19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 จากการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันโลก โดย Energy Information Administration (EIA), International Energy Agency (IEA) และโอเปคได้ปรับเพิ่ม World Oil Demand ปี 2548 อยู่ที่ระดับ 84.8 , 84.3 , และ 84.0 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ และ Goldman Sachs ได้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นถึง 105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้กองทุน Hedge Funds เข้าซื้อสะสมระยะสั้น ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์อยู่ที่ระดับ 46.35 และ 50.98 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์สองเดือนแรกในไตรมาส 2 ได้ปรับตัวสูงขึ้นทุกผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 4.06 และ 4.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ด้วยอุปทานที่ยังคงตึงตัวเนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันปิดซ่อมบำรุง และความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในภูมิภาคที่มีอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 6.32 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ตามราคาน้ำมันเพื่อความอบอุ่น (Heating Oil) ในขณะที่เกาหลีใต้และไต้หวันได้ลดการส่งออกลง เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันปิดซ่อมบำรุงและต้องเก็บสำรองไว้ใช้ในประเทศ สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูป ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด, ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา อยู่ที่ระดับ 55.23 53.90, 62.92, 61.44 และ 39.99 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงสองเดือนแรกในไตรมาส 2 ปี 2548 ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยได้ปรับตัวสูงขึ้น 2.18 และ 3.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ จากการที่ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาเบนซินเพิ่มขึ้น 5 ครั้ง ลดลง 1 ครั้ง และรัฐบาลได้ปรับการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นไว้ที่ระดับ 18.19 บาท/ลิตร ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และ ดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 22.14 , 21.34 และ 18.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สำหรับไตรมาส 2 ค่าการตลาดและค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 0.1197 บาท/ลิตร และ 0.4514 บาท/ลิตร ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 มาอยู่ที่ระดับ 0.9909 บาท/ลิตร และ 1.7924 บาท/ลิตร
5. สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในระยะสั้นคาดว่าราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรท์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 43 - 45 และ 48 - 50 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ และราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์จะเคลื่อนไหวที่ระดับ 53 - 57 และ 56 - 59 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปัจจัยอุปสงค์น้ำมันโลกอยู่ในระดับสูง ขณะที่อุปทานค่อนข้างตึงตัวและจำกัด ตลอดจนการปรับเปลี่ยนคุณภาพน้ำมันของประเทศในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป
6. รัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยที่น้ำมันดีเซลได้ปล่อยลอยตัวราคาแบบมีการจัดการ (Manage float) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2548 เป็นต้นไป ดังนั้น ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 กองทุนน้ำมันฯ จึงมีภาระการจ่ายชดเชยสะสมทั้งสิ้น 80,065 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินและดีเซล หมุนเร็วจำนวน 6,975 ล้านบาท และ 73,090 ล้านบาท ตามลำดับ
7. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนพฤษภาคม 2548 ปรับตัวสูงขึ้น 5.0 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 421.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 12.4816 บาท/กก. (เป็นระดับเพดานของก๊าซ LPG สูงสุด 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 1.8364 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 99.66 ล้านบาท/เดือน และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2548 มีเงินสดสุทธิ 1,275 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระ 80,065 ล้านบาท แยกเป็นภาระผูกพัน 53 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 7,655 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 140 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงวันที่ 1 เมษายน 2548 ถึง วันที่ 31 พฤษภาคม 2548 ประมาณ 9,097 ล้านบาท หนี้เงินกู้และดอกเบี้ย 63,000 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 78,790 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การชดเชยส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อเดือนพฤษภาคม 2545 ได้อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยเห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพสามิต ในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งต่อมาเดือนพฤษภาคม 2547 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมเพื่อให้การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งมาตรการหนึ่งคือ มาตรการด้านราคา โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณายกเว้นการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ได้มีมติเรื่องการยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้ยกเว้นการส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว โดยไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายเงินชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมัน และมอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) กรมการค้าภายใน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปหารือร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์
3. ต่อมากระทรวงพลังงานได้มีนโยบายที่จะกำหนดให้ส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ถูกกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ลิตรละ 1.50 บาท และเมื่อเดือนเมษายน 2548 กบง. ได้มีมติให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราลดส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีที่เพิ่มหรือลดอัตราส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้น ตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้ อัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร
4. ในการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ปัจจุบันยังไม่มีมติของคณะกรรมการใดกำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ จ่ายเงินชดเชยส่วนต่างดังกล่าว เพื่อให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ที่ระดับ 1.50 บาท/ลิตร จึงเห็นควรขอความเห็นชอบดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานประกาศชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่อไป
4.2 มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานร่วมกันจัดทำระบบการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเรื่อง ชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
2. มอบหมายให้กรมสรรพสามิต และสถาบันบริหารกองทุนพลังงานร่วมกันจัดทำระบบการจ่ายงินชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล์
กพช. ครั้งที่ 76 - วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 76)
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และการประเมินผลกระทบ
2.การนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาทำเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียว
3.การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโครงการห้วยเฮาะจากกรณี Change in Law Claim
4.ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ
5.การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
6.แผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
7.ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
8.การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
10.ปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
11.แนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้องการ
12.รายงานการศึกษาโครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และการประเมินผลกระทบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ผลการประชุมของกลุ่มโอเปค เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา กลุ่มโอเปคได้มีการประชุม ณ กรุงเวียนนา โดยผลการประชุมได้ตกลงที่จะเพิ่มเพดานการผลิตอีก 708,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 25.4 ล้าน บาร์เรลต่อวัน และประเทศนอกกลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิตอีก 200,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 28-32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบอ้างอิงของกลุ่มโอเปคเคลื่อนไหวในระดับ 29 - 30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามซาอุดิอาระเบียได้ออกมาประกาศว่าหากราคาน้ำมันดิบไม่ลดลงซา อุดิอาระเบียจะหารือกลุ่มโอเปค เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน โดยซาอุดิอาระเบียมีเป้าหมายราคาน้ำมันดิบอ้างอิงอยู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากประกาศดังกล่าวทำให้ตลาดน้ำมันมีภาวะผ่อนคลาย ราคาน้ำมันดิบในช่วง ต้นเดือนกรกฎาคม จึงได้ปรับตัวลดลง 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 27 - 31 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในเดือนมิถุนายนมีการปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากโรงกลั่นประสบปัญหาค่าการกลั่นตกต่ำจึงได้ลดกำลังการกลั่นลง แต่ในช่วงปลายเดือนโรงกลั่นน้ำมันในคูเวตได้เกิดอุบัติเหตุต้องปิดเพื่อซ่อม แซมเป็นเวลา 6 เดือน ทำให้ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปหายไป 450,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในสิงคโปร์ราคาสูงขึ้นในเดือนนี้ ราคาน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนนี้สูงขึ้น 2.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเตาราคาสูงขึ้น 1.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามน้ำมันสำเร็จรูปที่หายไปส่วนหนึ่งสามารถทดแทนจากการ ส่งออกของเกาหลีใต้ และไต้หวัน และแนวโน้มการเพิ่มปริมาณการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซล ลดลง ณ ต้นเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 92 และดีเซลอยู่ในระดับ 34.5, 33.0 และ 31.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยในเดือนมิถุนายน น้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวม 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง รวม 1.17 บาทต่อลิตร ลดลง 1 ครั้ง 0.20 บาทต่อลิตร โดยในวันที่ 6 กรกฎาคม 2543 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ในระดับ 15.89, 14.89, 14.47 และ 12.99 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. จากภาวะต้นทุนราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกในสัดส่วนที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลก ทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของผู้ค้าน้ำมัน เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 0.90 - 1.00 บาทต่อลิตร ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ในขณะที่ค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 0.36 - 0.44 บาทต่อลิตร แต่หลังจากโรงกลั่นน้ำมันในคูเวตหยุดเพื่อซ่อมแซม ตลาดน้ำมันมีภาวะตึงตัว ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงสูงขึ้น ทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 0.62 บาทต่อลิตร
5. มาตรการบรรเทาผลกระทบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 และเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ โดยมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมจากเดิมสรุปได้ ดังนี้
5.1 มาตรการอนุรักษ์พลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
1) การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2542 - พฤษภาคม 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานและว่าจ้าง ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐไปแล้วจำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงและว่าจ้างควบคุมงานติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์ พลังงานในอาคารของรัฐจำนวน 160 แห่ง รวมเป็นเงิน 43.31 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมรวม 121 แห่ง และโรงงานควบคุม 227 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมรวม 99 แห่ง รวมเป็นเงิน 178.78 ล้านบาท ในส่วนของโครงการ โรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี สถาบันราชภัฏสวนดุสิต และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา รวม 5 แห่ง ในวงเงิน 6.45 ล้านบาท
2) การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้ พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภทแล้วเสร็จ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพค ฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษานี้ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการของอุปกรณ์แต่ละประเภทด้วยแล้ว สพช. จึงได้จัดทำร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ ไฟฟ้า 6 ประเภทดังกล่าว เพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป
3) โครงการขยายการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้จัดทำข้อเสนอโครงการขยายการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในวงเงิน ประมาณ 24 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการกอง ทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาต่อไป โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายดำเนินการให้กับผู้ใช้ยานยนต์ทั้งในขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในเขตภูมิภาคให้ครบ 60 แห่ง ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยจะดำเนินการปรับแต่งเครื่องยนต์ที่ใช้ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล ซึ่งคาดว่าจะมีรถเข้าร่วมโครงการอย่างน้อย 49,000 คัน ผลจากการดำเนิน โครงการคาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลังการปรับแต่ง เครื่องยนต์ได้ประมาณร้อยละ 5-10 ต่อคัน
4) การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวม 3 โครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2543-2547) รวมวงเงิน 258,447,440 บาท ประกอบด้วย โครงการกระตุ้น ให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โครงการปรึกษาแนะนำและสร้าง ผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และโครงการลดต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
5) โครงการประหยัดพลังงานโดยการใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ในการนำพลังงานที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1,000 กิโลวัตต์ จำนวน 50 แห่ง เป็นเงิน 160 ล้านบาท และการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู สมุทรปราการ เป็นเงิน 300 ล้านบาท
6) โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่าง การประสานงานและจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่ง เสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานประมาณ 10 ปี จำนวน 440 เครื่อง
5.2 การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ สพช. ได้ดำเนินมาตรการจูงใจเพื่อให้ประชาชนที่มีรถยนต์ซึ่งสามารถใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น โดยปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร และลดค่าการตลาดของเบนซินออกเทน 91 ลง 20 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2543 เป็นต้นมา ผลของการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏว่า สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เพิ่มขึ้นตามลำดับจากร้อยละ 33 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 37, 38, 45, และ 47 ในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ เมษายน และพฤษภาคม 2543 ตามลำดับ
5.3 การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวใน เดือนกรกฎาคม 2543 เพิ่มสูงขึ้นอีก 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันมาอยู่ในระดับ 296 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้องมีการชดเชยราคาที่สูงขึ้นอีก 135 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 955 ล้านบาทต่อเดือน การปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายรับเพิ่มขึ้น 78 ล้านบาท ซึ่งสามารถชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้ถึงดือนสิงหาคม 2543
5.4 มาตรการลดราคาน้ำมัน ปตท. ได้ลดราคาเบนซินและดีเซลจาก 0.15 บาทต่อลิตร เป็น 0.25 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 1 เมษายน 2543 - 30 มิถุนายน 2543 ให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยการจำหน่ายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ครอบคลุม 55 จังหวัด และพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการน้ำมันทั่วทุกจังหวัด นอกจากนี้ ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลด 0.60 บาทต่อลิตร และได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่จดทะเบียนขอรับส่วนลดจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมรวมทั้งหมด 305 ราย โดยให้ ส่วนลดเพิ่มเติมจากส่วนลดการค้าปกติสำหรับน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา โดยแยกเป็นความต้องการใช้น้ำมันดีเซล 5,956,971 ลิตรต่อเดือน และน้ำมันเตา 13,073,683 ลิตรต่อเดือน
5.5 มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
1) ภาคการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีจนถึงปัจจุบัน ว่า โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 1 ได้จ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ส่วนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 2 อยู่ระหว่างการทดสอบเครื่องทางด้านเทคนิค คาดว่าจะจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ประมาณเดือนกันยายน 2543 สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรีชุดที่ 1-3 ที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซคาดว่าจะจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ ประมาณปลายปี 2543 และส่วนที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิง พาณิชย์ได้ครบทุกชุดประมาณไตรมาสที่สองของปี 2545 นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาหาข้อยุติการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง กฟผ. และ ปตท. เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าราชบุรี ซึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กฟผ. ปตท. และ สพช. ในบางประเด็น คือ วันบังคับใช้สัญญา ปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ และข้อกำหนดเรื่องคุณภาพของก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าผลการพิจารณาร่วมกันจะมีข้อยุติและสามารถจัดทำสัญญาดังกล่าวได้ ภายในเดือนกรกฎาคม 2543
2) ภาคคมนาคมขนส่ง ปตท. อยู่ระหว่างการทดสอบสมรรถนะและตรวจวัดมวลไอเสียของเครื่องยนต์ที่ได้ปรับ ปรุงเป็นรถใช้ก๊าซธรรมชาติตามโครงการก่อนการขยายตลาดยานยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV Pre-marketing Project)คาดว่าจะประเมินผลโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะนำผลการทดสอบโครงการดังกล่าวและข้อคิดเห็นของ ขสมก. และ กทม. มาประกอบการจัดทำ ข้อเสนอแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงาน เพื่อปรับปรุงรถของ ขสมก. และกทม. ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้ ตลอดจนสร้างสถานีบริการก๊าซฯ ของ ปตท. นอกจากนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แจ้งผลการพิจารณารายการอากรนำเข้าเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ไม่มีการผลิตในประเทศว่าได้มีการปรับลดลงเหลือร้อย ละ 3 แล้วตามประกาศกระทรวงการคลังที่ ศก. 13/2542 อย่างไรก็ตามยังมีอุปกรณ์บางรายการในประเภทพิกัดย่อยไม่อยู่ในระบบฮาร์โมไน ซ์ 1996 ซึ่ง ปตท. จะประสานงานกับกรมศุลกากรในการกำหนดพิกัดภาษีให้ถูกต้อง เพื่อส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าต่อไป
3) ภาคอุตสาหกรรม ปตท. ได้จัดจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Ring Gas Pipeline Project) รวมทั้งจัดทำการออกแบบเบื้องต้นทางด้านวิศวกรรมและการประเมินผลสิ่งแวดล้อม เบื้องต้น (Initial Environment Evaluation) แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2543 และจะเสนอขออนุมัติการดำเนินโครงการต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ภายในเดือนตุลาคม 2543
4) การเร่งรัดสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการเตรียมการออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนยื่นขอ สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศสำหรับแปลงสำรวจจำนวน 87 แปลง ประกอบด้วย แปลงบนบก 75 แปลง ในอ่าวไทย 8 แปลง และทะเลอันดามัน 4 แปลง รวมพื้นที่ 460,000 ตารางกิโลเมตร คาดว่าจะประกาศได้ในเดือนกรกฎาคม 2543 นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเปิดให้มีการยื่นขออาชญาบัตรพิเศษในการสำรวจและพัฒนาถ่านหินในพื้นที่ ประกาศตามมาตรา 6 ทวิ ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 คาดว่าจะดำเนินการประกาศให้ยื่นขออาชญาบัตรพิเศษได้ภายในปี 2543 นี้
5.6 การทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลัก ปตท. ได้ทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลักของ ปตท. แล้วเสร็จ และได้บรรจุไว้ในแผนวิสาหกิจ ปตท. ประจำปี 2544-2548 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ เพื่ออนุมัติงบลงทุนประจำปี 2544 ต่อไป
5.7 การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐ ปตท. ได้ดำเนินการจัดหาน้ำมันดิบเพิ่มจากอิรักอีกประเทศหนึ่งเป็นจำนวน 5.5 พันบาร์เรลต่อวัน ทำให้การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มขึ้นจาก 124.3 พันบาร์เรลต่อวัน เป็น 129.8 พันบาร์เรลต่อวัน ซึ่งการจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้น 24 พันบาร์เรลต่อวัน จากปี 2542 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และรายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
6.1 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวม โดยเปรียบเทียบกรณีสูงซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ที่ระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ กับกรณีฐานซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ระดับ 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ พบว่า กรณีสูงจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการ ขยายตัวร้อยละ 5 ลดลงเหลือร้อยละ 4.69 หรือลดลงร้อยละ 0.31 อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 2 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.25 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 และการบริโภคของภาคเอกชนจะลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการบริโภคร้อยละ 5 ลดลงเหลือร้อยละ 4.79 หรือลดลง ร้อยละ 0.21 ส่วนปริมาณการส่งออกลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการส่งออกร้อยละ 11 ลดลงเหลือร้อยละ 10.96 หรือลดลง 0.04 โดยสรุปแล้วราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังไม่ทำให้ระดับราคาสินค้าปรับตัวสูง ขึ้นมากจนทำให้ความต้องการสินค้าและภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาการนำ เข้าน้ำมัน รวมทั้งการส่งออกอ่อนไหวต่อการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเท่าใดนัก นอกจากนี้แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม ควรเร่งรัดให้มีการปรับโครงสร้างการใช้น้ำมันใน เชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องและสนับสนุนการประหยัดพลังงานให้เห็นผลในทางปฏิบัติ
6.2 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนของสินค้าในการกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 73 รายการ เมื่อเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเมื่อเดือนมิถุนายน 2542 เฉลี่ยลิตรละ 8.30 บาท กับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในปัจจุบันเฉลี่ยลิตรละ 12.99 บาท พบว่าสินค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงร้อยละ 56.51 มีจำนวน 53 รายการ โดยมีผลกระทบอยู่ระหว่างร้อยละ 0.03 - 7.72 โดยแบ่งผลกระทบออกเป็น 3 กลุ่มสินค้า คือ สินค้าที่ได้รับผลกระทบในอัตราต่ำกว่าร้อยละ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่วนใหญ่มีจำนวน 40 รายการ สินค้าที่ได้รับผลกระทบในอัตราร้อยละ 1 - 3 มีจำนวน 10 รายการ และสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากกว่าร้อยละ 3 มีจำนวน 3 รายการ คือ กระเบื้องคอนกรีตมุงหลังคา ตะปู และปูนซีเมนต์ สำหรับสินค้าที่ได้รับอนุมัติให้ปรับราคาเนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันมี เพียงชนิดเดียวคือ ปูนซีเมนต์ โดยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายทางการเงินด้วย
6.3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาวประมง โดยใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จำนวน 420 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันนี้ได้ใช้จ่ายเงินจำนวนนี้หมดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือโดยจะให้องค์การสะพาน ปลาเรียกประชุมสมาคมประมงก่อนนำไปหารือใน คชก. ต่อไป สำหรับภาคเกษตรได้รับผลกระทบในเรื่องราคาค่าขนส่งและปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ตาม ต้องมีการประมวลผลกระทบอีกครั้ง แต่ผลกระทบที่ชัดเจนในปัจจุบันก็คือผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม โดยเฉพาะในภาคอีสาน สำหรับพื้นที่เพาะปลูกคาดว่าเกษตรกรก็จะต้องช่วยเหลือ ตัวเองและต้องใช้น้ำมันมากขึ้น
6.4 กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากการที่ราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น พบว่ามีผลเช่นเดียวกับที่กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานไปแล้ว โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ปูนซีเมนต์ นอกจากนั้นได้รับผลกระทบไม่มากนัก
6.5 กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการศึกษาอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสม และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากกระทรวงคมนาคมเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะต้องปรับอัตราค่าขนส่งก็ สามารถออกประกาศได้เอง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาทำเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2539 อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้กลุ่มพัฒนาพลังงานจาก ไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวงเงิน 1,853,540 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยการนำวัสดุ เหลือใช้จากการเกษตร หรืออุตสาหกรรมการเกษตรต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในรูปของพลังงานทดแทนฟืนและถ่าน โดยเฉพาะสำหรับประชาชนในชนบท เนื่องจากประเทศไทยมีสิ่งสูญเสียและสิ่งเหลือใช้จากโรงงาน อุตสาหกรรมเกษตร เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด กะลามะพร้าวสับ เปลือกมะพร้าว ใบไม้ ชานอ้อย เน่าเปื่อย ซึ่งถูกปล่อยทิ้งให้เป็นปุ๋ยหรือรอการเผาทำลายอยู่เป็นปริมาณมาก และประชาชนในชนบทยังนิยมใช้ฟืนและถ่านในการหุงต้ม โดยมิได้มีการปลูกทดแทนให้เพียงพอ
2. กรมป่าไม้ได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรืออุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ชานอ้อยเน่าเปื่อย วัชพืช หรือใบไม้ มาอัดเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียวด้วยเทคโนโลยีแบบง่ายๆ คือกระบวนการ อัดเย็นจากเครื่องอัดแท่งแบบสกรูที่ทำจากสแตนเลสและขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 2 แรงม้า เมื่อนำไป ตากแดดให้แห้งจะได้แท่งเชื้อเพลิงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร ที่สามารถใช้แทนฟืนและถ่านได้เป็นอย่างดี ซึ่งกรมป่าไม้ได้ทดลองเผยแพร่ความรู้และสาธิตการใช้แท่งเชื้อเพลิงเขียว รวมทั้ง อบรมวิธีการผลิตโดยการสนับสนุนเครื่องมือการผลิตแท่งเชื้อเพลิงเขียวให้ ประชาชนในหมู่บ้านสามารถผลิตเองได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ราษฎรมีงานทำและมีรายได้ร่วมกันในหมู่บ้าน รวมถึงเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้เป็นพลังงาน ทดแทนการใช้ฟืนและถ่าน ซึ่งจะช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่ามาทำเป็นฟืนและเผาถ่าน และช่วยสร้างจิตสำนึกและปลูกฝังให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ใน บริเวณรอบๆ ไว้ให้ชนรุ่นหลัง
3. โครงการนี้ได้ให้การสนับสนุนราษฎรในชนบทไม่ต่ำกว่า 1,000 ครัวเรือน ได้รู้จักและนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ด้วยการแปรรูปอัดเป็น แท่งเชื้อเพลิงเขียวที่เป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกแทนการใช้ฟืนและถ่านในการ หุงต้ม ซึ่งจะสามารถลดการใช้ฟืนได้ปีละไม่น้อยกว่า 300.6 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6.4 ล้านบาท และลดถ่านไม้ปีละไม่น้อยกว่า 151.56 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.7 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และกรมป่าไม้กำลังประเมินผลการใช้งานของเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว ที่ได้นำไปสาธิตใช้งานในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้ง ได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลความต้องการใช้ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการขยายผล ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโครงการห้วยเฮาะจากกรณี Change in Law Claim
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ร่วมกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการห้วยเฮาะ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2540 โดยมีเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าไฟฟ้าเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ จำนวน 50% และเงินบาทจำนวน 50% ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ณ ราคา 25.82 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ตลอดอายุสัญญาของโครงการ 30 ปี ต่อมารัฐบาลไทยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 จึงเป็นสาเหตุให้กลุ่มผู้ลงทุนฯ อ้างว่า การประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตรา แลกเปลี่ยนเป็น Thai Change in Law ตามเงื่อนไขในสัญญาฯ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการชดเชยรายได้โดยการปรับสูตรค่าไฟฟ้าในส่วนที่ กฟผ. จ่ายเป็นเงินบาท
2. คณะทำงาน กฟผ. ได้นำประเด็นข้อเรียกร้องของโครงการห้วยเฮาะเข้าเรียนปรึกษาเลขาธิการคณะ กรรมการกฤษฎีกา (นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์) และได้รับคำแนะนำว่า ตามข้อกำหนดเรื่อง Change in Law Claim ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กลุ่มผู้ลงทุนฯ มีสิทธิได้รับการชดเชยรายได้ส่วนที่สูญเสียไป กฟผ. จึงควรใช้ การเจรจาประนีประนอมมากกว่าการเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ (Arbitration)
3. คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) และคณะทำงาน กฟผ. ได้เจรจากับกลุ่มผู้ลงทุนฯ จนได้ข้อยุติในเรื่องหลักการและเงื่อนไขการปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะต้องจ่าย ให้แก่กลุ่มผู้ลงทุนฯ เฉพาะในส่วนของเงินบาทที่อิงกับเงินเหรียญสหรัฐ (Baht Indexation) จากระดับ 89% ลงมาเหลือ 62.5% ซึ่งทั้งสองฝ่ายพอใจและเห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสม
4. ในการประชุมคณะกรรมการ กฟผ. เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้ กฟผ. ดำเนินการปรับอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการห้วยเฮาะตามหลักการและเงื่อนไขที่ คปฟ-ล. และ กฟผ. ได้เจรจา ตกลงไว้กับกลุ่มผู้ลงทุนฯ และอนุมัติให้ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลงนามในเอกสารเรื่อง การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้ลงทุนฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า (ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2536 ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับสำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อมาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้จัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า และตั้งคณะทำงานย่อยอีกหลายคณะ เพื่อดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับดังกล่าว
2. ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ได้กำหนดเป้าหมายจำนวนไฟฟ้าดับและ ระยะเวลาไฟฟ้าดับในเขต กฟน. และ กฟภ. โดยกำหนดจำนวนไฟฟ้าดับต่อผู้ใช้ไฟฟ้าหนึ่งรายในรอบปี ในเขต กฟน. เป็น 5.42 ครั้ง และ 3.72 ครั้ง ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ ส่วนในเขต กฟภ. เป็น 19.10 ครั้ง และ 17.50 ครั้ง ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ และกำหนดระยะเวลาไฟฟ้าดับต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งรายในรอบปี ในเขต กฟน. เป็น 132.93 นาที และ 99.65 นาที ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ ส่วนในเขต กฟภ. เป็น 1,719.00 นาที และ 1,050.00 นาที ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ประสานงานกับคณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า เพื่อรายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2542 สามารถสรุป ผลการดำเนินงานได้ดังนี้
3.1 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับในเขต กฟน. ในปีงบประมาณ 2542 ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขต กฟน. ประสบปัญหาจำนวนไฟฟ้าดับถาวรเฉลี่ย 3 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 6.4 คิดเป็นระยะเวลาไฟฟ้าดับประมาณ 72 นาทีต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 27.0 ส่วนเขตอุตสาหกรรมจำนวนไฟฟ้าดับลดลงในอัตราที่สูงมากถึงร้อยละ 41.0 แต่หากพิจารณาเป็นรายเขตพบว่า เขตบางใหญ่ มีนบุรี และบางพลี จำนวนไฟฟ้าดับยังมีมาก ปัญหาไฟฟ้าดับส่วนใหญ่มีสาเหตุจากอุปกรณ์ชำรุด คน/สัตว์/รถยนต์และต้นไม้ ส่วนสาเหตุอื่นๆ ส่วนใหญ่ได้แก่ ไฟไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ การดับไฟฉุกเฉิน การใช้ไฟเกิน และการรับไฟจากสายป้อน สายส่ง และสถานีอื่น เขตที่มีปัญหาไฟฟ้าดับมาก ได้แก่ เขตบางใหญ่ มีนบุรี บางพลี บางกะปิ และบางเขน เขตดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเขตของบ้านอยู่อาศัย ส่วนเขตคลองเตยที่มีปัญหาไฟฟ้าดับเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากสายส่งของตัวสถานีในเขตคลองเตยขัดข้อง
3.2 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับในเขต กฟภ. ในช่วงปีงบประมาณ 2542 ผู้ใช้ไฟฟ้าเขต กฟภ. ประสบปัญหาจำนวนไฟฟ้าดับถาวรเฉลี่ย 17 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย คิดเป็นระยะเวลาไฟฟ้าดับประมาณ 1,298 นาทีต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 8.6 และ 16.3 ตามลำดับ ปัญหาไฟฟ้าดับ ในเขตเมืองและธุรกิจ และเขตชานเมืองดีขึ้นตามลำดับ ส่วนเขตอุตสาหกรรมมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจาก กฟภ. กำลังเร่งปรับปรุงระบบจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นสามารถแข่งขันคุณภาพ ไฟฟ้ากับผู้ผลิตไฟฟ้า รายเล็ก (SPP) ได้ จึงมีการขอดับไฟเพื่อปฏิบัติงานมากขึ้น สาเหตุใหญ่ของปัญหาไฟฟ้าดับถาวรในเขต กฟภ. เป็นเพราะระบบของ กฟภ. ขัดข้อง คิดเป็นร้อยละ 70 ของสาเหตุไฟฟ้าดับถาวรทั้งหมด ซึ่งมีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ชำรุด คน/สัตว์/รถยนต์ และต้นไม้ เขตที่มีปัญหาไฟฟ้าดับมากยังคงเป็นเขตทางภาคใต้ โดยเฉพาะ กฟต.2 (นครศรีธรรมราช) อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความรุนแรงของปัญหาไฟฟ้าดับโดยเฉลี่ยพบว่าปัญหา ไฟฟ้าดับลดน้อยลงจากปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 15.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะภาคเหนือ
3.3 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับจากระบบ กฟผ. ในช่วงปีงบประมาณ 2542 กฟผ. มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ 201 ครั้ง และมีระยะเวลาที่พลังไฟฟ้าสูงสุดหยุดจ่าย (System-Minutes) ประมาณ 18.69 นาที ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 3.31 สาเหตุของไฟฟ้าดับส่วนใหญ่เกิดจากสายส่งและสถานีไฟฟ้าแรงสูง โดยกว่าครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเกิดจากคน/สัตว์/อุปกรณ์ขัดข้อง และการซ่อมบำรุง-ปรับปรุงระบบ
4. จากสถิติไฟฟ้าดับของการไฟฟ้า สพช. มีความเห็นว่า ปัญหาไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นในปัจจุบันสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ตามแผนฯ 8 แสดงว่าปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับ ได้ แต่ในความรู้สึกของผู้ใช้ไฟฟ้าหลายรายเห็นว่าปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับยังมีอยู่ โดยมีข้อ ร้องเรียนมา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับจะต้องเชื่อถือได้และสามารถตรวจสอบได้ สพช. จึงได้ ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิธีการเก็บข้อมูล วิธีการคำนวณ และการวิเคราะห์ที่มาของข้อมูลไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับตามรายงานของการไฟฟ้าข้างต้น คาดว่าจะสามารถสรุปการศึกษานี้ได้ภายในปีงบประมาณ 2544 และเพื่อให้การจัดทำดัชนีความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้ามีความน่าเชื่อถือยิ่ง ขึ้น จึงควรเสนอให้มีผู้แทน สพช. และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมในคณะทำงานประเมินระดับความเชื่อถือได้ของระบบ ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันมีเฉพาะผู้แทนของ 3 การไฟฟ้าเป็นคณะทำงานฯ เท่านั้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบให้มีผู้แทน สพช. และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมในคณะทำงานประเมินความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ภายใต้คณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า
เรื่องที่ 5 การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 4 สาขา รวมทั้ง สาขาพลังงาน โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการศึกษาในรายละเอียด เพื่อเป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว สพช. ได้ดำเนินการว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" โดยบริษัทที่ปรึกษาได้จัดทำรายงานการศึกษาฉบับสุดท้าย (Final Report) เสร็จสมบูรณ์ ต่อมาคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าได้พิจารณาแนวทาง การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า และได้มีมติเห็นชอบในหลักการของผลการศึกษาดังกล่าวแล้ว
2. สพช. ได้นำผลการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" ของกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา และข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เสนอรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้คณะกรรมการการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาให้ความเห็นก่อนนำเสนอ กพช. ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 และ 22 มิถุนายน 2543 มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาด กลางซื้อขายไฟฟ้า โดยมีข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติม
3. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า สามารถสรุปได้ดังนี้
3.1 โครงสร้างกิจการไฟฟ้าและหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ในกิจการไฟฟ้า (Market Structure) ประกอบด้วย
(1) ภายใต้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคต การแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า โดยผู้ผลิตไฟฟ้าหรือบริษัทผลิตไฟฟ้า (Generation Companies : GenCos) จะแข่งขันเสนอราคาขายและปริมาณ ไฟฟ้าที่ตนจะผลิตเข้าสู่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) โดยมีศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (Independent System Operator : ISO) เป็นหน่วยงานในตลาดกลางที่คัดเลือกโรงไฟฟ้าที่เสนอราคาต่ำที่สุดให้เดิน เครื่องก่อนตามลำดับ จนกระทั่งได้ปริมาณไฟฟ้าตามความต้องการในแต่ละช่วงเวลา
(2) จะมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) ประกอบด้วย 3 หน่วยงานหลัก คือ ศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) เป็นผู้สั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าและควบคุมระบบไฟฟ้าโดยรวม ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (Market Operator : MO) ดำเนินการร่วมกับ ISO ทำหน้าที่ในส่วนของการตลาดที่จะกำหนดราคาค่าไฟฟ้าในตลาดกลาง (Spot Price) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (Settlement Administrator : SA) ดูแลทางด้านการเงินและบัญชี และการชำระเงินค่าซื้อขายไฟฟ้า
(3) ในส่วนของการจัดหาไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟส่วนใหญ่จะซื้อไฟฟ้าจากบริษัทระบบสายจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้า (Regulated Electricity Delivery Company : REDCo) ซึ่งเป็นกิจการที่ถูกกำกับดูแลโดยรัฐ (ในปัจจุบัน REDCos ก็คือ การไฟฟ้านครหลวง. และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
(4) ผู้ใช้ไฟยังมีทางเลือกที่จะใช้บริการไฟฟ้าจากบริษัทค้าปลีกไฟฟ้า (Retail Company: RetailCo) ที่ต้องการเข้ามาแข่งขัน โดยอาจจะให้บริการเสริมต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการจำหน่ายไฟฟ้าหรือทำสัญญากับผู้ใช้ไฟฟ้าในการประกันค่าไฟฟ้า (Hedging)
(5) ผู้ค้าไฟฟ้า หรือ Trader เป็นหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ กฟผ. ทำไว้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้แก่ IPP, SPP และโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะดำเนินการขาย ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าเสมือนว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเหล่านั้นเป็น โรงไฟฟ้าโรงหนึ่ง
3.2 การจัดการกับข้อผูกพันในระบบไฟฟ้าในปัจจุบัน มีดังนี้
(1) ต้นทุนติดค้าง (Stranded Cost) : ได้กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบการแข่งขัน (Competition Transition Charge : CTC) จากผู้ใช้ไฟฟ้าทุกราย
(2) สัญญาควบคุม (Vesting Contract) และสัญญาการจ่ายส่วนต่าง (Contract for Differences : CfD) : สัญญาควบคุม (Vesting Contract) เป็นสัญญาที่จะช่วยควบคุมความเสี่ยงในด้านราคาระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้ากับคู่ สัญญา ซึ่งสัญญาควบคุมจะอยู่ในรูปแบบของสัญญาการจ่ายส่วนต่าง (Contract for Differences : CfD) เมื่อใดก็ตามที่ราคาไฟฟ้าในตลาดกลางสูงกว่าราคาตามสัญญา บริษัทผลิตไฟฟ้าจะต้องจ่ายเงินนี้คืนแก่คู่สัญญา ในขณะเดียวกันถ้าราคาตลาดกลางต่ำกว่าราคาตามสัญญา บริษัทผลิตไฟฟ้าจะได้รับเงินส่วนต่างนั้นคืนจากคู่สัญญา
(3) หน่วยงานจัดการหนี้สิน (DebtCo) : เป็นองค์กรที่จะจัดการหนี้สินที่ติดค้างมาจาก กิจการไฟฟ้าเดิม โดยคณะที่ปรึกษาเสนอให้หน่วยงานจัดการหนี้สินนี้เป็นส่วนหนึ่งของ กฟผ. เนื่องจากผู้ที่รับภาระหนี้สินติดค้างในขณะนี้อยู่แล้วก็คือ กฟผ.
3.3 โครงสร้างค่าไฟฟ้าที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายจะประกอบด้วย 1) ค่าไฟฟ้าในตลาดกลาง (Spot Price) 2) ค่าสายส่งและสายจำหน่าย (Wire Charges) 3) ค่าบริการในการจัดหาไฟฟ้า (Gray Area Services) และ 4) ค่าการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบที่มีการแข่งขัน (CTC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแล
3.4 การจัดกลุ่มโรงไฟฟ้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กฟผ. คณะที่ปรึกษามีข้อเสนอว่า โรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมของ กฟผ. ควรแยกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี (กำลังผลิต 3,645 เมกะวัตต์) บริษัทผลิตไฟฟ้า 1 (Power Gen 1) (กำลังผลิต 5,999 เมกะวัตต์) บริษัทผลิตไฟฟ้า 2 (Power Gen 2) (กำลังผลิต 4,600 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (กำลังผลิต 3,384 เมกะวัตต์)
3.5 การปรับโครงสร้าง กฟผ. เพื่อเตรียมการเข้าสู่โครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่มีการแข่งขัน โดย กฟผ. จะต้องมีการปรับโครงสร้างภายในเพื่อดำเนินการเข้าสู่โครงสร้างกิจการไฟฟ้า ที่มีการแข่งขัน มีการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี แปรสภาพบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และบริษัทผลิตไฟฟ้า 2 ให้เป็นบริษัทในเครือ มีการแยกกิจกรรมต่าง ๆ ออกเป็นหน่วยธุรกิจ ได้แก่ กิจการระบบสายส่งไฟฟ้า (GridCo) กิจการไฟฟ้าพลังน้ำ หน่วยงานด้านบริหาร พลังงาน (Energy Management Agency) หน่วยงานในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (MO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA)
3.6 การปรับโครงสร้างองค์กรของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะมี การปรับโครงสร้างองค์กรโดยจะมีการแบ่งแยกบัญชีระหว่างหน่วยงานด้านสาย จำหน่าย (Distribution) และหน่วยงานด้านการจัดหาไฟฟ้า (Supply) รวมทั้งแยกหน่วยงานที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกเป็นหน่วยธุรกิจ ส่วนการ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรโดยหน่วยงานด้านสายจำหน่าย ณ ระดับแรงดัน 22 กิโลโวลต์ขึ้นไป จะปรับโครงสร้างออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจสายจำหน่ายแรงดันต่ำกว่า 22 กิโลโวลต์ และธุรกิจด้านการจัดหาไฟฟ้าจะปรับโครงสร้างออกเป็นบริษัทระบบสายจำหน่ายและ จัดหาไฟฟ้า 12 แห่ง
3.7 การอนุรักษ์พลังงาน (Energy Conservation) ให้จัดตั้งหน่วยงานด้านบริหารพลังงาน (Energy Management Company) โดยรวมสำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSMO) ของ กฟผ. กับสำนักงานวิจัยและพัฒนาของ กฟผ. เพื่อเป็นหน่วยงานปฏิบัติการหลักในการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยในช่วงแรกเป็นหน่วยงานภายใน กฟผ. แต่ต่อไปให้หน่วยงานนี้แยกออกเป็นอิสระจาก กฟผ. และให้จัดสรร งบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงาน
4. แผนการดำเนินงาน (Implementation Action Plan) และการกำกับดูแล มีดังนี้
4.1 คณะที่ปรึกษาได้นำเสนอแผนการดำเนินงานในส่วนของ สพช. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. ในช่วงปี 2543 - 2546 เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระบบ โดยมีการแบ่งแยกบทบาทและหน้าที่การดำเนินงานอย่างชัดเจน
4.2 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าโดยรวม สพช. จะเป็นผู้ออก ค่าใช้จ่าย กิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าใดเป็นหลัก การไฟฟ้านั้นควรเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จากการประมาณการค่าใช้จ่ายเบื้องต้น กิจกรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สพช. มีค่าใช้จ่ายประมาณ 400 ล้านบาท โดย สพช. จะทำการขออนุมัติงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4.3 การกำกับดูแลการดำเนินงานปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคตนั้น เห็นควรให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า คงบทบาทและหน้าที่ในการพิจารณาให้ความ เห็นชอบ พร้อมทั้งกำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ทั้งนี้ หากมีประเด็นที่หาข้อยุติไม่ได้ ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
5. คณะกรรมการ กฟผ. มีข้อสังเกตเพิ่มเติม ให้ กฟผ. ปรับโครงสร้างธุรกิจระบบส่งไฟฟ้าโดยการจัดตั้งเป็นบริษัทควบคุมระบบและสาย ส่งไฟฟ้า (TransCo) ซึ่งมีศูนย์ควบคุมระบบ (SO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA) รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ กฟผ. พร้อมที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างของธุรกิจผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ให้เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า และลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ลงให้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2547
6. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ผู้เชี่ยวชาญอิสระจากธนาคารโลก ชมรมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และ สพช. เห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมการ กฟผ. แต่ทั้งนี้ในส่วนของการจัดตั้ง TransCo มีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
6.1 ในระยะยาว ควรแยกศูนย์ควบคุมระบบออกมาจัดตั้งเป็นศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) และแยกการผลิตไฟฟ้าออกจากการส่งไฟฟ้าโดยสิ้นเชิง
6.2 ในระยะปานกลาง อาจยอมให้กิจการผลิตไฟฟ้า ส่งไฟฟ้า และศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า มีความสัมพันธ์ทางด้านการถือหุ้นได้บ้าง โดย
(1) หาก กฟผ. ยังคงถือหุ้นในบริษัทผลิตไฟฟ้า ศูนย์ควบคุมระบบควรแยกออกมาเป็นอิสระ (ISO)
(2) หาก กฟผ. สามารถแยกกิจการผลิตไฟฟ้าออกจากระบบสายส่งไฟฟ้า (GridCo) ได้อย่างสิ้นเชิงก่อนการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าปี 2546 ศูนย์ควบคุมระบบอาจรวมอยู่กับระบบสายส่งไฟฟ้า เป็นบริษัทควบคุมระบบและสายส่งไฟฟ้า (TransCo) ได้
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อ ขายไฟฟ้า โดยให้นำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า คณะผู้เชี่ยวชาญอิสระจากธนาคารโลก คณะกรรมการ กฟผ. ชมรมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และความเห็นของ สพช. ไปใช้ประกอบการพิจารณาในการดำเนินการตามแผนต่อไป ทั้งนี้ ให้ สพช. เร่งรัดการยกร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยนำผลการพิจารณาของที่ประชุมประกอบในการยกร่างกฎหมายให้มีความชัดเจนใน ประเด็นของการกำหนดให้ศูนย์ควบคุมระบบต้องเป็นศูนย์ควบคุมระบบอิสระในที่สุด และการลงทุนในระบบสายส่งต้องไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน
2.มอบหมายให้ สพช. กฟผ. กฟน. กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า บังเกิดผลเป็นรูปธรรม
3.มอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าเป็นผู้ กำกับดูแล การดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์การปรับโครงสร้าง กิจการไฟฟ้าและสอดคล้องกับแผนการดำเนินงาน หากมีประเด็นที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
เรื่องที่ 6 แผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนระดมทุนจาก ภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องการจัดสรรหุ้นพนักงาน และเรื่องการจัดสรรกำไรที่ได้จากการขายหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีไป พิจารณาดำเนินการ นอกจากนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี (คณะกรรมการดำเนินการฯ) ซึ่งมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และมีผู้แทนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประเมินราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด และกำกับดูแลการ จัดทำสัญญาทุกฉบับที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนระดมทุนฯ
2. คณะกรรมการดำเนินการฯ ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย และได้นำมติ คณะกรรมการดำเนินการฯ เสนอต่อคณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2543 ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดำเนินการฯ ให้ กฟผ. นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอนุมัติในประเด็นต่างๆ ดังนี้
2.1 การกำหนดราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าราชบุรี
2.2 การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากโรงไฟฟ้าราชบุรี
2.3 ร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี และร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.4 การให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.5 การให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.6 การให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีความเห็นเพิ่มเติมว่าการดำเนินการขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปภายใต้ สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน การตอบสนองของประชาชนทั่วไปและนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อาจมีค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงควรเร่งรัดให้มีการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้าราชบุรีให้ ประชาชนทั่วไปทราบ เพราะการดำเนินการประชา สัมพันธ์ที่ดีจะทำให้การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ประสบความสำเร็จได้ โดยเห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรง ไฟฟ้าราชบุรีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบราคาทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ กฟผ. จะขายและโอนให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 56,772.950 ล้านบาท ตามที่กำหนดในสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี โดยแบ่งเป็น
- (1) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อน หน่วยที่ 1-2 ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกัน ที่ดินทั้งหมด (รวมที่ดินสาธารณะที่เพิกถอนสภาพแล้ว) ครุภัณฑ์ ฯลฯ เป็นเงินจำนวน 30,472.492 ล้านบาท
- (2) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ชุดที่ 1-2 ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันระหว่างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ครุภัณฑ์ ฯลฯ เป็นเงินจำนวน 18,715.965 ล้านบาท
- (3) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ชุดที่ 3 เป็นเงินจำนวน 7,584.494 ล้านบาท
2.เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ดังนี้
- (1) อัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี ซึ่งคำนวณแบบ Levelized Price ตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 1.832 บาทต่อหน่วย
- (2) อัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ซึ่งคำนวณแบบ Levelized Price ตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 1.459 บาทต่อหน่วย
- ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ดังกล่าวข้างต้นกำหนดตามสมมติฐานในแบบจำลองทางการเงิน (Financial Model) ที่จัดทำขึ้น เพื่อใช้ในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้า โดยมีอัตราผลตอบแทนผู้ลงทุนเท่ากับ 19% ภายหลังหากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้บรรลุข้อตกลงกับ สถาบันการเงินซึ่งให้ผลประโยชน์สูงสุด และได้มีการทดสอบสมรรถนะโรงไฟฟ้า (Performance Test) แล้ว ก็ให้ กฟผ. กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าใหม่เพื่อให้อัตราผล ตอบแทนผู้ลงทุนเท่าเดิม (19%) โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดใหม่จะต้องไม่สูงกว่าอัตราที่คณะรัฐมนตรีได้ อนุมัติ ในหลักการไว้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ซึ่งกำหนดให้อัตราค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าราชบุรี จะต้องไม่สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
3.เห็นชอบร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ราชบุรี และโรงไฟฟ้า พลังความร้อนร่วมราชบุรี จำนวน 2 ฉบับ ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี จำนวน 2 ฉบับ และร่างสัญญาปฏิบัติการและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าราชบุรี จำนวน 1 ฉบับ ทั้งนี้ให้ กฟผ. สามารถลงนามสัญญาดังกล่าวได้เมื่อผ่านการตรวจของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
4.ให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
5.ให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจาก โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
6.ให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528 ทั้งนี้การเบิกถอนเงินกู้ให้ดำเนินการได้เมื่อบริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ไม่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
7.มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรีรับไปดำเนินการเร่งรัดให้มีการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้า ราชบุรีให้ประชาชนทราบ และกำกับดูแลการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้าราชบุรีให้กับประชาชนทั่วไป รวมทั้ง ดำเนินการขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็น ไปตามกำหนดในเดือนตุลาคม 2543
เรื่องที่ 7 ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
สรุปสาระสำคัญ
1. ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว ซึ่งได้ลงนามแล้วระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ในปัจจุบันมีโครงการใน สปป. ลาว ที่ได้จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ สำหรับโครงการลำดับต่อไปที่ สปป. ลาว ได้มีการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับฝ่ายไทยแล้ว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งมีวันกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date : COD) เข้าระบบ กฟผ. ในเดือนธันวาคม 2549
2. คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) และ กฟผ. ได้ดำเนินการเจรจาอัตราค่าไฟฟ้าและรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจการรับ ซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ในด้านกฎหมาย พาณิชย์ และเทคนิค กับ คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติลาว (Lao National Committee for Energy : LNCE) และกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 จนสามารถได้ข้อยุติและในการเดินทางเยือน สปป. ลาว อย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และคณะในระหว่างวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2543 กฟผ. และกลุ่มผู้ลงทุนฯ จึงได้ มีการร่วมลงนามใน Covering Letter ของบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ฉบับที่ได้ มีการลงนามชื่อย่อเพื่อผูกพันเบื้องต้น (Initial) ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป. ลาว
3. ต่อมา คปฟ-ล. และคณะกรรมการ กฟผ. ได้ให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 และวันที่ 29 มิถุนายน 2543 ตามลำดับ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว มีอายุ 18 เดือนนับจากวันลงนาม และได้กำหนดเป้าหมายการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 ทั้งนี้ โครงการน้ำเทิน 2 มีอายุสัญญา 25 ปี แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วง 13 ปีแรก กฟผ. จะรับประกันราคาค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขการรับซื้อ และช่วง 12 ปีหลัง กฟผ. จะเป็นผู้เลือกว่าจะยังคงใช้เงื่อนไขการซื้อขายไฟฟ้าเดิมในช่วงที่สองของ อายุสัญญาหรือเลือกที่จะให้กลุ่มผู้ลงทุนขายไฟฟ้าจากโครงการผ่านระบบ Power Pool โครงการนี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้า ณ จุดส่งมอบ เท่ากับ 920.4 เมกะวัตต์ มีจำนวนพลังงานไฟฟ้าส่วนที่ประกันการรับซื้อเฉลี่ยเท่ากับ 5,354 ล้านหน่วยต่อปี และมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยคงที่ตลอดอายุสัญญา (Levelized Price) เท่ากับ 4.219 เซนต์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบกับร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ฉบับที่ได้มีการลงนาม ชื่อย่อเพื่อผูกพันเบื้องต้น (Initial)
2.อนุมัติให้ กฟผ. นำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่ได้รับความเห็นชอบแล้วในข้อ 1 ไปลงนามร่วมกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ต่อไป
เรื่องที่ 8 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
ประธานฯ ขอให้นำระเบียบวาระดังกล่าวไปพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นชอบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 มอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิง (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง และการหลีกเลี่ยงภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงทางบกและทางทะเล รวมทั้งให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิง (ศปนม). จัดทำโครงข่ายการประสานการปฏิบัติงานของ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ร่วมกับหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิงเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ต่อไป
2. ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาการจัดทำโครงข่ายการประสานงานการปฏิบัติงานในการ ป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรวม 2 ครั้ง ซึ่งผลประชุมสัมมนาดังกล่าวได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการประสานงาน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (คปปป.) ประกอบ ด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำหน้าที่พิจารณาเสนอความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานใน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม รวมทั้งติดตาม กำกับดูแล และประสานงานให้หน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติภารกิจตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย รวมทั้งประเมินผลงานของหน่วยงานต่างๆ ด้วย และให้มีศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (ศปปป.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ดังกล่าว
3. ดังนั้น ศปนม. จึงได้จัดทำโครงข่ายการประสานการปฏิบัติงานของ ศปนม. ร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง โดยได้จัดทำร่างคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ .../2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม เพื่อนำเสนอขอความเห็นชอบ ให้มีการตั้งคณะกรรมการฯ ตามร่างคำสั่งดังกล่าว
มติของที่ประชุม
ให้มีการตั้งคณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม (คปปป.) โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็น กรรมการ และให้มีศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (ศปปป.) เพื่อทำหน้าที่ฝ่าย เลขานุการฯ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน
เรื่องที่ 10 ปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
ประธานฯ ขอให้นำระเบียบวาระดังกล่าว ไปพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นชอบ
เรื่องที่ 11 แนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้องการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรี และโครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ล่าช้าไปกว่ากำหนดการแล้วเสร็จ ทำให้ไม่สามารถรับก๊าซฯ จากสหภาพพม่าในปี 2541-2543 ได้ครบจำนวนตามสัญญาฯ และมีภาระผูกพันต้องจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้าไปก่อน (Take or Pay) โดยสามารถเรียกรับก๊าซฯ ตามปริมาณที่ชำระไปแล้วคืนได้ในอนาคต (Make up) โดยไม่ต้องจ่ายเงินอีก
2. ภาระ Take or Pay ที่เกิดขึ้นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหา Take or Pay ต่อสัญญา ทั้งหมดด้วยโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะต้องจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้าตามสัญญาไปก่อน เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 25,067 ล้านบาท โดยมีภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ณ มูลค่าปัจจุบันที่ร้อยละ 8 จำนวน 6,475 ล้านบาท หรือที่ร้อยละ 6 จำนวน 4,391 ล้านบาท
3. ในช่วงระหว่างวันที่ 24 เมษายน 2543 ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2543 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ปตท. ได้ประชุมร่วมกัน เพื่อพิจารณาแนวทางการลดขนาดของปัญหา โดยมีมาตรการต่างๆ ดังนี้
3.1 มาตรการเร่งรัดแผนการใช้ก๊าซฯ ทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง รวมทั้งการปรับแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
3.2 มาตรการการลดข้อผูกพันปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ
4. สพช. กฟผ. และ ปตท. ได้พิจารณาประเด็นแนวทางการจัดสรรภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากปัญหาภาระ Take or Pay และกลไกการจัดการกับภาระดอกเบี้ยสรุปได้ ดังนี้
ช่วงที่ 1: ระหว่างปี 2541-2543 ภาระ Take or Pay เป็นผลอันเนื่องมาจาก
ก) โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีล่าช้าไปกว่ากำหนดแล้วเสร็จ
ข) โครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อยช้าไปกว่ากำหนดการแล้วเสร็จ
ค) ภาวะทางเศรษฐกิจที่มีความต้องการใช้ก๊าซฯ และการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ ลดลงต่ำกว่าประมาณการที่ได้พยากรณ์ไว้ ซึ่งเป็นประมาณการที่ ปตท. ใช้เป็ ข้อสมมติฐาน ในการจัดทำสัญญากับผู้ผลิต
ช่วงที่ 2: ระหว่างปี 2544 เป็นต้นไป ภาระ Take or Pay เป็นผลอันเนื่องมาจากภาวะทางเศรษฐกิจที่มีความต้องการใช้ก๊าซฯ โดยรวมของประเทศลดลงต่ำกว่าประมาณการจัดหาที่ ปตท. ได้ทำสัญญากับผู้ผลิตไว้แล้ว
5. ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay สามารถแบ่งภาระความรับผิดชอบตามสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ดังนี้
5.1 ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในส่วนของ ปตท. ในสัดส่วนร้อยละ 11.4 และ กฟผ. ในสัดส่วนร้อยละ 12.8 จะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของ ปตท. และ กฟผ. ตามลำดับ โดยจะต้องไม่ถูกจัดสรรด้วยการส่งผ่าน เข้าไปในราคาค่าก๊าซฯ หรือราคาค่าไฟฟ้าซึ่งจะเป็นภาระกับผู้บริโภค
5.2 ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในส่วนของรัฐบาลในสัดส่วนร้อยละ 27.8 และเศรษฐกิจในสัดส่วน ร้อยละ 48 รวมทั้งสิ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.8 สามารถถูกจัดสรรด้วยการส่งผ่านเข้าไปในราคาก๊าซฯ จะมีผล ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 0.35 สตางค์ต่อหน่วย (กรณีฐาน) หรือลดลงในกรณีที่มีมาตรการเร่งรัดการใช้ก๊าซฯ และในกรณีที่มีมาตรการเร่งรัดการใช้ก๊าซฯ พร้อมกับมาตรการลดข้อผูกพันด้วยปริมาณก๊าซฯ ในช่วงระหว่างปี 2544-2554
6. ภาระ Take or Pay ที่เกิดขึ้นแล้วระหว่าง ปตท. กับผู้ผลิต เป็นการจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้า ตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน โดย ปตท. สามารถเรียกรับก๊าซฯ ตามปริมาณที่ชำระไปแล้วคืนได้ ในอนาคต (Make up) ซึ่งภาระ Take or Pay ในปี 2541 และปี 2542 มีดังนี้
6.1 ปี 2541 (ปีปฏิทิน) ค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้ามีมูลค่าเทียบเท่า 50.47 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,898 ล้านบาท) ปตท. ได้ชำระให้ทางผู้ผลิตไปแล้ว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2542
6.2 ปี 2542 (ปีปฏิทิน) ค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้ามีมูลค่าเทียบเท่า 282.71 ล้านเหรียญสหรัฐ (10,744 ล้านบาท) ปัจจุบัน ปตท. ยังไม่ได้ชำระให้ทางผู้ผลิต
7. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2543 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้เข้าพบ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อหาข้อสรุปการอ้างเหตุสุดวิสัยซึ่งสามารถสรุปแยกออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ 1) การพิจารณาตามสัญญายังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ปตท. จะอ้างเหตุสุดวิสัยตามสัญญาได้หรือไม่ และ 2) การพิจารณาตามผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับมีความชัดเจนว่าถ้า ไม่อ้างเหตุสุดวิสัย และยอมจ่ายเงินตามสัญญาโดยมีการเจรจาประนีประนอม เพื่อลดภาระ Take or Pay ลง ปตท. รวมทั้งประเทศจะได้รับประโยชน์มากกว่า ทั้งประโยชน์โดยตรงจากการลดภาระ Take or Pay และ ผลประโยชน์ทางอ้อมในด้านต่างๆ ที่ยังไม่สามารถประเมินได้ เช่น ความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะการประมงระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่า ชื่อเสียงและภาพพจน์ของประเทศ รวมทั้งชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของ ปตท. ในการดำเนินธุรกิจในอนาคต
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการลดขนาดของปัญหาภาระ Take or Pay และแนวทางการจัดสรรภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากปัญหาภาระ Take or Pay โดยมอบหมายให้ สพช. ปตท. และ กฟผ. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2.เห็นชอบให้ ปตท. ใช้วิธีไม่อ้างเหตุสุดวิสัย แต่ให้มีการเจรจาประนีประนอมเพื่อบรรเทาปัญหาภาระ Take or Pay และมอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการชำระค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้าสำหรับปี 2542 ให้กับ ผู้ผลิตต่อไป
3.รับทราบผลการดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. และ กฟผ. (โรงไฟฟ้าราชบุรี) โดยเร่งรัดให้ ปตท. และ กฟผ. ลงนามในสัญญาดังกล่าวโดยด่วนต่อไป
เรื่องที่ 12 รายงานการศึกษาโครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิง
นายอลงกรณ์ พลบุตร ในฐานะประธานกรรมการโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังและพืชอื่นๆ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
1. โครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิงเป็นการดำเนินงานของกระทรวงวิทยา ศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังและพืชอื่นๆ (โครงการเอธานอล) เมื่อเดือนมกราคม 2543 โครงการนี้เป็นโครงการที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2533 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำเอธานอล หรือแอลกอฮอล์มาทดแทนการใช้น้ำมันของประเทศ ซึ่งมีการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศถึงร้อยละ 90
2. การรายงานต่อที่ประชุมในครั้งนี้เป็นการรายงานในเบื้องต้น ซึ่งผลการศึกษาอย่างสมบูรณ์คาดว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ศกนี้ สำหรับการศึกษาจะครอบคลุม 3 ประเด็น คือ
2.1 การใช้แอลกอฮอล์ผสมกับเบนซินและดีเซลในอัตราที่เหมาะสมจะสามารถใช้ได้ดีหรือ ไม่ ซึ่งผลการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศพบว่าสามารถใช้ได้ดี
2.2 การผลิตแอลกอฮอล์ในเกรดเอธานอลโดยใช้เทคโนโลยีภายในประเทศสามารถทำได้หรือ ไม่ ซึ่งผลการศึกษาพบว่าสามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
2.3 ต้นทุนและวัตถุดิบของไทยขณะนี้มีการส่งออกเอธานอลไปยังญี่ปุ่นในราคาเฉลี่ย 10 ปี ลิตรละ 9 บาท ซึ่งตรงกับราคา F.O.B ของบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก วัตถุดิบของไทยมีอยู่มากจนล้นตลาด ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าว จึงทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรของไทยตกต่ำ โครงการนี้จึงเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนการนำเข้า และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรด้วย
3. หากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการนี้ก็จะสามารถดำเนินการได้ทันทีจากจำนวน โรงงานที่มี อยู่แล้วอย่างน้อย 22 โรง ซึ่งภายใน 6 เดือนจะสามารถเพิ่มหอกลั่นเพื่อปรับแอลกอฮอล์จากเกรด 95 เป็น 99 ขึ้นไป ขณะเดียวกันโรงงานน้ำตาลก็พร้อมที่จะขยายหอกลั่นแอลกอฮอล์ส่วนนี้ด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และหากมีการดำเนินการในอนาคตขอให้มีการประสานกับคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติด้วย
รายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการประเมินความเหมาะสมกับตำแหน่ง นักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ วันที่ 4 กันยายน 2558
กพช. ครั้งที่ 75 - วันพุธที่ 26 เมษายน 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 75)
วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
3.ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
4.ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชน ในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
5.ราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในช่วง 10 วันแรกของเดือนเมษายนลดลง 3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากผลการประชุมตกลงเพิ่มเป้าหมายการผลิตในกลุ่มประเทศโอเปคเป็น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากนั้นราคาน้ำมันดิบได้เพิ่มขึ้น 1.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามที่องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ได้คาดการณ์ไว้ และหากปริมาณน้ำมันในตลาดโลกไม่เพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อให้พอเพียงกับความต้องการในระดับ 77 ล้านบาร์เรล/วันแล้ว ในช่วงปลายปีราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้นประกอบกับปริมาณสำรองทางการค้า ของน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาซึ่งอยู่ในระดับต่ำได้ลดลงไปอีกจึงมีผลให้ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบในปลายสัปดาห์ที่สามของเดือนอยู่ในระดับ 22.3 - 27.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนเมษายน ปรับตัวอยู่ในทิศทางเดียวกับน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันเบนซินในช่วง 10 วันแรก ปรับตัวลดลง 2.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่จากปริมาณสำรอง ทางการค้าของน้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกาได้ลดลง ทำให้ความต้องการนำเข้าของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น และความต้องการใช้เชื้อเพลิงที่เริ่มสูงขึ้นตามสภาพอากาศที่อุ่นขึ้น ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น 3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 ขึ้นไปอยู่ในระดับ 29.5 และ 28.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ส่วนน้ำมันดีเซล ก๊าด และเตา ราคาได้ลดลงตามปริมาณความต้องการที่ลดลง 3.4, 0.6 และ 3.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 26.1, 28.8 และ 24.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยในเดือนเมษายนปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินทุกชนิดปรับลง 3 ครั้ง รวม 0.70 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.05 บาท/ลิตร มีผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็ว ในวันที่ 20 เมษายน 2543 อยู่ในระดับ 13.99, 12.99, 12.57 และ 11.12 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ทำให้ผู้ค้ามีความยืดหยุ่นในการปรับราคาขายปลีก ส่งผลให้ค่าการตลาดในเดือนเมษายนปรับขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับปี 2541 คือ 1.29 บาท/ลิตร ในขณะที่ความ เคลื่อนไหวของราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์อยู่ในเกณฑ์ปกติ ค่าการกลั่นจึงได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 0.9068 บาท/ ลิตร
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนเมษายน 2543 ลดลง 23 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ในระดับ 302 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศอยู่ในระดับ 11.52 บาท/กิโลกรัม โดยมีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 6.87 บาท/กิโลกรัม และราคามีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงในเดือนพฤษภาคมมาอยู่ในระดับ 265 - 270 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ซึ่งจะทำให้อัตราเงินชดเชยจากกองทุน น้ำมันฯ ลดลงประมาณ 1.30 บาท/กิโลกรัม
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นเดือนเมษายนอยู่ในระดับ 1,525 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ให้สามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้นานยิ่งขึ้น จึงได้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 0.10 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2543 และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล 0.15 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2543 ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นเป็น 378 ล้านบาท/เดือน ซึ่งเมื่อคำนึงถึงแนวโน้มราคาก๊าซที่จะลดลงในเดือนพฤษภาคมแล้ว คาดว่าจะสามารถตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้นานประมาณ 4 เดือน
7. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้เตรียมมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้สามารถตรึง ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้นานขึ้น ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2543 โดยมีแนวทางในการดำเนินการ ดังนี้
(1) การปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งปัจจุบันอัตราเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตา เท่ากับ 0.25, 0.10, 0.15 และ 0.06 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับรวม 378 ล้านบาท/เดือน และหากปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตาในระดับ 0.10 บาท/ลิตร จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 61, 125 และ 61 ล้านบาท/เดือน
(2) การปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยใช้ฐานที่ต่ำกว่าราคาเปโตรมิน (CP) ในระดับต่างๆ กันคือ CP-10, CP-15, CP-20 และ CP-30 เหรียญสหรัฐฯ จะทำให้อัตราเงินชดเชยของก๊าซฯ ลดลง 0.38, 0.57, 0.76 และ 1.14 บาท/กิโลกรัม หรือลดลง 48, 73, 97 และ 145 ล้านบาท/เดือน ตามลำดับ
(3) การปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 มอบอำนาจให้ สพช. เป็นผู้ดำเนินการปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้รักษาระดับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับ 1,800 - 4,000 ล้านบาท หรือ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องอยู่ในระดับพอเพียงกับการสนับสนุนรายจ่ายไม่ต่ำกว่า 4 เดือน และกำหนดขอบเขตการเปลี่ยนแปลงราคา ขายส่งที่สามารถปรับได้ทันทีครั้งละไม่เกิน 1 บาท/ลิตร หากนอกขอบเขตที่กำหนดให้ขออนุมัติจากรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก่อน การขึ้นราคาขายส่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่มในระดับ 0.10 -1.00 บาท/กิโลกรัม จะส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับขึ้นในระดับเดียวกัน และอัตราชดเชยก๊าซฯ จะลดลงในระดับ 0.09-0.93 บาท/กิโลกรัม หรือ ลดลงในระดับ 12-119 ล้านบาท/เดือน
8. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้จัดทำแถลงการณ์แสดงความชื่นชมต่อการตัดสินใจเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันของ โอเปคส่งผ่านไปยังสื่อต่างๆ และได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีพลังงานสหรัฐอเมริกา (Mr. Bill Richardson) ซึ่งจะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีพลังงานเอเปคในเดือนพฤษภาคม 2543 นี้ โดยเสนอให้มีการหยิบยกประเด็นในเรื่องความมั่นคงทางด้านพลังงานและความแตก ต่างของราคา น้ำมันดิบที่กลุ่มโอเปคส่งออกมายังประเทศแถบเอเชียและตะวันออกไกลซึ่งมีราคา สูงกว่าที่ส่งออกไปยังประเทศแถบยุโรปขึ้นหารือในที่ประชุมด้วย นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือถึงประเทศสหรัฐ อเมริกา เม็กซิโก บาห์เรน และอินโดนีเชีย ในการส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดดุลยภาพในการผลิตและการ บริโภคน้ำมัน รวมทั้ง การสร้างเสถียรภาพราคาน้ำมันให้เกิดขึ้นในโลก
9. คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2543 ได้มีการพิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมีมติเห็นชอบให้ปรับค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนเมษายน - กรกฎาคม 2543 เท่ากับ 61.52 สตางค์/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นจากเดิม 5.20 สตางค์/หน่วย ซึ่งการปรับค่า Ft ดังกล่าว จะมีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าน้อยมากโดยค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชน จะเพิ่มขึ้นจาก 2.23 บาท/หน่วย เป็น 2.28 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.33
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
2.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปพิจารณาความเหมาะสมของการใช้แต่ละแนวทางในการแก้ไขปัญหากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงติดลบ โดยเห็นว่าการให้ประชาชนรับทราบต้นทุนที่แท้จริง และใช้แนวทางในการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นแนวทางที่ควรดำเนินการ
3.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปจัดทำรายงานความคืบหน้าในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนจากวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตรให้ที่ประชุมทราบในการประชุมคราวต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการดำเนินการ ยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว" และการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งตามแนวทางและขั้นตอนดังกล่าวต้องมีการดำเนินการส่งเสริมการแข่งขันใน ระบบการค้าเสรี การปรับปรุงระบบความปลอดภัย การแก้ไขปัญหาการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค การเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจสอบจับกุมผู้กระทำผิด และการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ โรงบรรจุ ร้านค้าปลีก รวมถึงประชาชน ผู้บริโภคทั่วไปมีความรู้ความเข้าใจในการปรับปรุงระบบการค้าและเข้าใจใน มาตรฐานความปลอดภัยของก๊าซปิโตรเลียมเหลวมากขึ้น
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามแนวทางและขั้นตอนดังกล่าวข้าง ต้น ซึ่งมีความคืบหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
2.1 การยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้จัดประชุมสัมมนาสื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายและซักซ้อมวิธีปฏิบัติ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2542 จำนวน 5 ครั้ง ในเขตกรุงเทพฯ และทุกภูมิภาค รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ เป็นระยะๆ นอกจากนี้ ได้มีการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่น ราคานำเข้า การปรับราคาขายส่งและค่าการตลาดเป็นระยะๆ เพื่อให้สอดคล้องกับราคาในตลาดโลก
(2) กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ฉบับที่ 258 พ.ศ. 2542 กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซและร้านค้าก๊าซปิดป้ายแสดงราคา ณ สถานที่จำหน่าย เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2542 เป็นต้นมา และต่อมาได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ฉบับที่ 259 พ.ศ. 2542 กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซและร้านค้าก๊าซในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต้องแจ้งราคาขายส่ง ณ โรงบรรจุ และราคาขายปลีก ณ ร้านค้าก๊าซต่อกรมการค้าภายใน ส่วนต่างจังหวัดให้แจ้งต่อสำนักงานการค้าภายในจังหวัด และจากการส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจร้านค้าก๊าซพบว่าส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือใน การปรับลดราคาขายปลีกตามนโยบายราคาก๊าซลอยตัวของรัฐเป็นอย่างดี
2.2 การส่งเสริมการแข่งขัน ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า ได้ศึกษาแนวทางการแยกเงื่อนไขของผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ออกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รวมถึงศึกษาเงื่อนไขของการเป็นผู้ค้าก๊าซฯ ที่เหมาะสม ทั้งปริมาณการค้าและมาตรการดูแลการเข้าสู่ธุรกิจและการจะออกจากธุรกิจที่ เข้มงวด เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องรับภาระจากการเลิกกิจการ โดยในขั้นนี้ได้มีการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ให้กำหนดปริมาณการค้าขั้นต่ำของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพียงปีละ 50,000 เมตริกตัน จากเดิม 100,000 เมตริกตัน ซึ่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
(2) กรมโยธาธิการได้ออกประกาศกรมโยธาธิการ เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทที่ 1 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2542 เพื่อกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง สามารถจำหน่ายก๊าซหุงต้มได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมการแข่งขันการจำหน่ายก๊าซหุงต้มในระดับค้าปลีก
2.3 การแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมในระบบการค้า ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรี ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2542 ลงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2542 แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 1/2540 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 12 กันยายน 2540 เพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ในระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้มีความเป็นธรรม โดยกำหนดให้ผู้ค้าก๊าซต้องรับผิดชอบการบรรจุก๊าซลงถังก๊าซหุงต้มภายใต้ เครื่องหมายการค้าของตน และการบรรจุก๊าซเต็มตามน้ำหนัก
(2) กรมทะเบียนการค้าได้ออกประกาศ เรื่อง ระเบียบการอนุญาตให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 มอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รายอื่น หรือ ผู้บรรจุก๊าซรายใด เป็นผู้ดำเนินการบรรจุก๊าซแทน การขอรับและการแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุก๊าซ และการปิดผนึกลิ้นถังก๊าซหุงต้ม ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 เพื่อให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มจัดให้มีการบรรจุก๊าซหุงต้ม สามารถมอบหมายให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 รายอื่นหรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้ และเพื่อให้การบรรจุก๊าซต้องทำการปิดผนึกวาล์วถังก๊าซหุงต้มทุกครั้งที่ บรรจุก๊าซ และต้องมีเครื่องหมายประจำตัวผู้บรรจุก๊าซแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม
(3) สพช. ร่วมกับหน่วยปฏิบัติได้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมกันดำเนินการตรวจสอบ จับกุมผู้กระทำผิดที่ไม่ปฏิบัติตามประกาศกรมทะเบียนการค้า ประกอบด้วย คณะที่ 1 ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนกันในส่วนกลาง คณะที่ 2 ทำหน้าที่ตรวจสอบแทนกันในส่วนภูมิภาค และคณะที่ 3 ทำหน้าที่ปราบปรามและป้องกันการผลิตถังขาวเพื่อจำหน่ายในประเทศของโรงงาน ผลิตถังก๊าซหุงต้มทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับแลกเปลี่ยนถังก๊าซหุงต้มขึ้นทั้งในระดับ จังหวัดและระดับประเทศ เพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย และเร่งรัดการแลกเปลี่ยนถังก๊าซหุงต้มระหว่างโรงบรรจุในจังหวัด เพื่อลดปัญหาในจังหวัดให้เหลือน้อยที่สุดแล้วแจ้งปัญหาของจังหวัดที่เหลือ อยู่มายังคณะกรรมการระดับประเทศ เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้คณะกรรมการระดับประเทศจะทำหน้าที่กำกับดูแลการใช้เงินค่าการตลาดใน การแก้ไขปัญหาการแลกเปลี่ยนถัง การซ่อมบำรุงถัง และการแก้ปัญหาถังขาวในระยะยาว
(4) กรมโยธาธิการมีแผนงานที่จะดำเนินการตรวจสอบจับกุมผุ้กระทำผิดตามคำสั่งนายก รัฐมนตรีที่ 2/2542 อย่างเข้มงวด ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2543 เป็นต้นไป ใน 7 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม เนื่องจากได้มีการสำรวจพบว่าทั้ง 7 จังหวัดมีความพร้อมที่จะดำเนินการบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังที่ได้รับอนุญาตได้ ทันที โดยไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนถังก๊าซหุงต้มไม่เพียงพอ
2.4 การคุ้มครองผู้บริโภค ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ออกประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง "ให้ธุรกิจก๊าซหุงต้มที่เรียกเงินประกันถังก๊าซหุงต้มเป็นธุรกิจที่ควบคุม รายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. 2542" โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องจัดให้มีหลักฐานการรับเงิน และมอบให้แก่ผู้บริโภคในทันทีที่รับเงินประกันจาก-ผู้บริโภคที่ซื้อก๊าซหุง ต้ม และหลักฐานที่ออกให้แก่ผู้บริโภคต้องมีข้อความเป็นภาษาไทยที่สามารถเห็นและ อ่านได้ชัดเจน รวมทั้ง ข้อความที่ระบุให้ผู้บริโภคมีสิทธิได้รับคืนเงินประกันเมื่อผู้บริโภคนำถัง ก๊าซหุงต้มคืนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ
(2) คณะกรรมการวิชาการที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำมาตรฐานถังก๊าซปิโตรเลียม เหลว สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ได้จัดทำร่างแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวเสร็จ เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการนำเสนอคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อนุมัติใช้เป็นกฎหมายบังคับต่อไป เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถทำความเข้าใจข้อความต่างๆ บนถังก๊าซหุงต้มได้ซึ่งเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในทางหนึ่ง
2.5 การปรับปรุงระบบความปลอดภัย ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) สพช. ได้ประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้มีการออกระเบียบกำหนดให้โรงงานผลิตถังก๊าซหุงต้มที่ผลิตเพื่อจำหน่ายใน ประเทศ ต้องผลิตถังก๊าซหุงต้มตามคำสั่งซื้อของผู้ค้าก๊าซฯ (ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6) เท่านั้น รวมทั้ง ให้มีการแก้ไขมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมถังก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยการกำหนดให้ถังก๊าซหุงต้มต้องมีชื่อหรือเครื่องหมายของผู้ค้าน้ำมันตาม มาตรา 6 ไว้ที่โกร่งกำบัง เพื่อเป็นการกำกับให้ทราบถึงการผลิตถังก๊าซจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการที่ไม่ ใช่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 จะมีความผิดตามกฎหมาย
(2) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางซึ่งเป็นแกนนำในการดำเนินการปราบปราม และป้องกันการผลิตถังขาวเพื่อจำหน่ายในประเทศ ได้มีการเฝ้าตรวจสอบโรงงานผลิตถังก๊าซหุงต้ม จำนวน 6 โรงทั่วประเทศ
(3) สพช. ได้ประสานงานกับกรมโยธาธิการ ผ่อนผันให้โรงบรรจุสามารถบรรจุก๊าซหุงต้ม ลงถังขาวได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2543 เพื่อให้ผู้ค้าก๊าซ ผู้ประกอบการ โรงบรรจุ และผู้บริโภคที่ถือถังขาว มีระยะเวลาของการปรับตัว และให้ระยะเวลาสำหรับผู้ค้าก๊าซที่จะรับแลกถังขาวจากผู้บริโภค แต่เนื่องจากการขจัด ถังขาวจะกระทำได้เมื่อผ่านขั้นตอนการจัดระบบการค้าให้โรงบรรจุไม่มีการบรรจุ ก๊าซหุงต้มลงถังก๊าซหุงต้มที่ ตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้บรรจุได้ตามกฎหมายเสียก่อน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้ผู้บริโภคใช้ถังขาวต่อไปได้อีกระยะหนึ่งเพื่อเป็นการบรรเทา ผลกระทบต่อผู้บริโภคที่ใช้ถังขาวอยู่ในขณะนี้ โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2543 พิจารณาผ่อนผันให้ผู้ประกอบการโรงบรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลว สามารถบรรจุก๊าซฯ ลงถังขาวต่อไปได้อีก 1 ปี อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในชั้นต้น กรมโยธาธิการยินยอมผ่อนผันให้โรงบรรจุก๊าซฯ สามารถบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังขาวที่มีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ม.อ.ก.) เท่านั้น และจะดำเนินการตรวจจับการบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังขาวที่ไม่มี ม.อ.ก. อย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2543 เป็นต้นไป
(4) สพช. จะเริ่มดำเนินการจัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามโครงการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการใช้ก๊าซหุงต้มประมาณกลางปี 2543 นี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนผู้บริโภคที่ถือครองถังขาวอยู่ในปัจจุบัน ให้มีความกังวลและคำนึงถึงความปลอดภัยจากการใช้ก๊าซหุงต้ม
-2.6 มาตรฐานความปลอดภัย ได้มีการออกคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 3/2542 เรื่อง" แต่งตั้งคณะอนุกรรมการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยในธุรกิจก๊าซปิโตรเลียม เหลว" ลงวันที่" 22 พฤศจิกายน 2542 เพื่อทำการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยของการขนส่ง การบรรจุ การใช้ การจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการปรับปรุงมาตรฐานความ ปลอดภัย ในตัวของถังก๊าซเองที่เกิดจากระบบการค้าที่ไม่มีความเป็นธรรมในอดีต
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยเห็นชอบมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตลอดจนแนวทางกำกับดูแล โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นมา การกำหนดมาตรฐานคุณภาพบริการดังกล่าวแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ มาตรฐานด้านเทคนิค (Technical Standards) และมาตรฐานการให้บริการ (Customer Service Standards) โดยในส่วนของมาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า (Guaranteed Standards) จะมีการกำหนดค่าปรับที่การไฟฟ้าจะต้องจ่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในกรณีที่ไม่สามารถ ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดได้ ซึ่งค่าปรับจะอยู่ระหว่าง 50 - 2,000 บาท
2. การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้มีการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพบริการ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว โดยมีความคืบหน้าดังนี้
2.1 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้มีการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
(1) จัดทำระเบียบการไฟฟ้านครหลวงว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการจ่ายค่าปรับตาม มาตรฐานคุณภาพบริการ และแบบคำขออนุมัติจ่ายค่าปรับตามมาตรฐานคุณภาพบริการที่ กฟน. รับประกัน รวมทั้ง ออกประกาศการไฟฟ้านครหลวงเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2543 เรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้า นครหลวง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ได้มีการประชาสัมพันธ์และจัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่แก่ประชาชน รวมทั้ง การเผยแพร่ข้อมูลผ่านทางอินเตอร์เนท หนังสือพิมพ์ และการให้สัมภาษณ์ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์
(2) กำหนดแนวทางการชำระค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟออกเป็น 2 กรณี คือ การชำระค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟโดยอัตโนมัติ เช่น ในกรณีที่ กฟน. ไม่สามารถควบคุมระยะเวลาการดับไฟให้เป็นไปตามที่แจ้งประกาศไฟฟ้าดับได้ก็จะ ดำเนินการชำระค่าปรับให้กับผู้ใช้ไฟโดยอัตโนมัติเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือน ถัดไป และการชำระค่าปรับให้ผู้ใช้ไฟหลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้และ กฟน. ได้ตรวจสอบแล้วว่าการปฏิบัติงานของ กฟน. ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดจริง โดย กฟน. จะชำระค่าปรับเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือนถัดไป หรือในบางกรณีอาจจ่ายค่าปรับเป็นเงินสดหรือเช็คธนาคารตามความเหมาะสม
2.2 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้มีการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
(1) จัดทำระเบียบการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคว่าด้วยมาตรฐานคุณภาพบริการ พ.ศ. 2543 แบบคำร้องขอค่าปรับตามมาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกัน รวมทั้งออกประกาศการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2543 เรื่องมาตรฐานการให้บริการที่ กฟภ. รับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 เป็นต้นมา พร้อมทั้งได้จัดส่งคู่มือขั้นตอนและวิธีปฏิบัติงาน "มาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟภ." ให้หน่วยงาน กฟภ. ทุกเขตทั่วประเทศ นอกจากนี้ ได้ดำเนินการด้านประชาสัมพันธ์ให้พนักงานภายในองค์กรและผู้ใช้ไฟฟ้าได้รับ ทราบผ่านทางสถานีวิทยุต่างๆ การจัดทำใบประกาศเพื่อแจกจ่าย การลงบทความเผยแพร่ในวารสารของ กฟภ. และการจัดประชุมชี้แจงแก่ผู้บริหารของ กฟภ. ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
(2) กำหนดแนวทางการชำระค่าปรับโดย กฟภ. จะชำระเงินค่าปรับให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าหลังจากที่ได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้ ไฟ และได้ตรวจสอบแล้วพบว่าการปฏิบัติงานของ กฟภ. ไม่ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด การชำระค่าปรับจะชำระเป็นเงินสดหรือเช็คธนาคารเท่านั้น โดย กฟภ. ไม่สามารถจ่ายคืนเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าของเดือนถัดไปได้ เนื่องจากพื้นที่ในการให้บริการของ กฟภ. กว้างขวางมาก
3. แนวทางในการกำกับดูแลเรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้า ซึ่งตามมติคณะรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่กำกับดูแลเรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้เป็น ไปตามที่กำหนด รวมทั้งทำการประเมินผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่ กำหนด ซึ่งขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ดำเนินการจัดทำแบบฟอร์มสำหรับบันทึกข้อมูล ผลการดำเนินงาน ประกอบด้วยข้อมูลการดำเนินงานด้านเทคนิค การดำเนินงานด้านการให้บริการทั่วไป และการดำเนินงานด้านการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้าแยกตาม เขตจำหน่ายไฟ ทั้งนี้ สพช. จะประสานงานกับ กฟน. และ กฟภ. ในการจัดส่งข้อมูลให้ สพช. ใช้ประกอบการประเมินผลการดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ระเบียบวาระที่ 3.4 ความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชน ในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการระดมทุนจากพันธมิตรร่วมทุน มาเป็นการระดมทุนจากประชาชนทั่วไป ซึ่งพนักงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะได้รับการจัดสรรหุ้นในบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ในสัดส่วนร้อยละ 15 ตามราคามูลค่าที่ตราไว้ (ราคา par) โดยโครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด หลังจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะประกอบด้วย ประชาชนทั่วไป ร้อยละ 40 พนักงาน กฟผ. และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพร้อยละ 15 และ กฟผ. ร้อยละ 45
2. กฟผ. ได้มีการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรี ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว โดยมีความคืบหน้าดังนี้
2.1 กฟผ. ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2543 โดยมีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท และ กฟผ. ถือหุ้นร้อยละ 100 และต่อมาบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ได้ดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (บริษัทในเครือ) เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2543 โดยมีทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท และบริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 100
2.2 กฟผ. ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เทคนิค กฎหมาย และประเมินราคาทรัพย์สิน เพื่อ ดำเนินการตามแผนระดมทุนฯ ได้แก่ 1) ที่ปรึกษาการเงิน ประกอบด้วยกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด บริษัท Dresdner Kleinwort Benson Advisory Services (Thailand) Ltd. และบริษัท Lehman Brothers (Thailand) Ltd. 2) ที่ปรึกษากฎหมาย ได้แก่ บริษัท Hunton & Williams (Thailand) Ltd. 3) ที่ปรึกษาด้านเทคนิค ได้แก่ บริษัท Sargent & Lundy Engineers Ltd. 4) ที่ปรึกษาประเมินราคาทรัพย์สิน ประกอบด้วย 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท American Appraisal (Thailand) Ltd. บริษัท Jones Lang LaSalle (Thailand) Ltd. บริษัท Arthur Andersen Business Advisory Ltd. และ บริษัท Brooke International (Thailand) Ltd.
2.3 กฟผ. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนระดมทุนฯ ให้เป็นไปโดยเรียบร้อย โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธาน และประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด และ กฟผ.ร่วมเป็นกรรมการ คณะกรรมการดำเนินการฯ ได้มีการประชุมไปแล้วรวม 3 ครั้ง โดยมีการพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ ร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และร่างสัญญา ซื้อขายก๊าซธรรมชาติ ซึ่งคณะกรรมการดำเนินการฯ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สิน และมีมติรับทราบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยให้ กฟผ. นำข้อสังเกตของคณะกรรมการดำเนินการฯ ไปพิจารณาหาข้อสรุปในประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ส่วนร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติได้มีมติเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ กฟผ. รับไปเจรจากับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ในประเด็นที่ยังไม่ได้ข้อยุติ และให้นำผลการเจรจารายงานให้คณะกรรมการดำเนินการฯ พิจารณาต่อไป ซึ่งสัญญาหลักทั้ง 3 สัญญาดังกล่าวข้างต้นคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 1 เดือน และจะนำเสนอเพื่อขออนุมัติจากรัฐบาลต่อไป
2.4 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างบริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี จำกัด และ ปตท. ว่าจะมีลักษณะคล้ายกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับบริษัทผู้ผลิต ไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer: IPP) สำหรับปัญหาเรื่องภาระ Take or Pay ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. อันเกิดจากความล่าช้าในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรี จะต้องมีการเจรจาหาข้อสรุประหว่าง กฟผ. และ ปตท. ต่อไป โดย สพช. จะเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อยุติโดยเร็ว ซึ่งผลการเจรจาครั้งล่าสุดได้มีการพิจารณาว่าภาระที่เกิดขึ้นจริงคือ ภาระด้านดอกเบี้ยซึ่งขณะนี้ ปตท. มีอยู่กว่า 7,400 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ภาระดังกล่าวอาจลดลงได้หากมีปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น หรือ ปตท. สามารถหาแหล่งเงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น ดังนั้น มาตรการที่สำคัญในการแก้ปัญหา Take or Pay ก็คือ การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 1 และ 2 จะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน และพฤศจิกายน 2543 ตามลำดับ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซ (Gas Turbine) ขณะนี้มีการเดินเครื่องแล้วแบบ Open Cycle ถึงแม้ประสิทธิภาพจะไม่สูงเต็มที่ แต่หากสนับสนุนให้ใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นก็ยังคุ้มค่ากว่าการเดินเครื่องโรง ไฟฟ้าอื่นของ กฟผ. ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง นอกจากนี้ ต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี - วังน้อย ให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา สหภาพพม่า โดยการจัดส่งก๊าซให้กับโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ อาทิ IPT และ TECO ที่จังหวัดราชบุรี
3. สำหรับการดำเนินการในระยะต่อไป มีเรื่องที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการดำเนินการฯ เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการ กฟผ. และคณะรัฐมนตรีตามลำดับ ได้แก่ การขออนุมัติราคาทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ กฟผ. จะขายและโอนให้บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด (บริษัทฯ) การขออนุมัติอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การขออนุมัติให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทฯ และการขออนุมัติให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีตามร่างสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้า
การพิจารณาของที่ประชุม
1.รองนายกรัฐมนตรี (นายบัญญัติ บรรทัดฐาน) ได้ให้ข้อสังเกตว่าควรเร่งดำเนินการหาข้อสรุปการ แก้ไขปัญหา Take or Pay ระหว่าง กฟผ. และ ปตท. ให้แล้วเสร็จโดยเร็วซึ่งทั้ง 2 หน่วยงานต่างเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ทั้งสิ้น และหากสามารถหาข้อยุติได้เร็วก็จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการระดมทุนใน โครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้สามารถดำเนินการได้ตามแนวทางที่กำหนดไว้ ซึ่งจะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดีต่อนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของประเทศใน ภาพรวมต่อไป
2.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายพิสิฐ ลี้อาธรรม) ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาได้ มีการดำเนินการแปรรูป กฟผ. บางส่วนโดยการจัดตั้ง บริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด และกระจายหุ้นในส่วนของ กฟผ. ออกไป ซึ่งในขณะนี้ กฟผ. ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทดังกล่าว และมีบทบาทในการบริหารงานของบริษัท พอสมควร และในการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยการจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด ขึ้น กฟผ. ก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ระหว่าง 2 บริษัทด้วย (Conflict of Interest) เนื่องจากทั้ง 2 บริษัทดำเนินธุรกิจในลักษณะเดียวกันและต่างก็จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ กฟผ. จึงควรเร่งดำเนินการลดสัดส่วนการถือหุ้นและบทบาทการบริหารงานในทั้ง 2 บริษัทนี้โดยเร็วเพื่อให้เกิดความอิสระในการดำเนินงานและบริหารงานอย่างแท้ จริง
3.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ได้มีการกำหนดขั้นตอนการลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ในกิจการผลิตไฟฟ้าไว้แล้วในการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" โดย สพช. ได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษานำโดย บริษัท Arthur Andersen จัดทำการศึกษา ซึ่งการศึกษาได้เสร็จสมบูรณ์แล้วและคาดว่าจะนำเสนอที่ประชุมในครั้งนี้ แต่เนื่องจากผลการศึกษาดังกล่าวต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ กฟผ. ก่อน ดังนั้นฝ่ายเลขานุการฯ จะนำเสนอผลการศึกษาต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุม ครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 ราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตพลังงานไฟฟ้าใน สปป. ลาว เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ โดยในปัจจุบันโครงการ ที่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วมีจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ ซึ่งทั้งสองโครงการได้จ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว ในส่วนของโครงการที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า สปป. ลาว ได้จัดลำดับความสำคัญของโครงการ-ที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2549 ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 น้ำงึม 2 และน้ำงึม 3 และโครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2551 ได้แก่ โครงการลิกไนต์หงสา โครงการเซเปียน-เซน้ำน้อย และโครงการเซคามาน 1 ทั้งนี้ โครงการลิกไนต์หงสา ฝ่ายไทยจะพิจารณาเป็นกรณีพิเศษ โดยเจรจาควบคู่ไปกับ 3 โครงการแรก ซึ่งจะส่งมอบในเดือนธันวาคม 2549 หากโครงการใดสามารถเจรจาและตกลงจนได้ข้อยุติก่อนก็ให้ส่งมอบไฟฟ้าก่อน โครงการอื่น
2. โครงการน้ำเทิน 2 มีขนาดกำลังการผลิต ณ จุดส่งมอบ 920 เมกะวัตต์ โดยมีพลังงานไฟฟ้า-ส่วนที่ประกันการรับซื้อที่จะส่งมอบให้แก่ กฟผ. รวมทั้งสิ้น 5,354 ล้านหน่วยต่อปี เป็นระยะเวลา 25 ปี โครงการนี้จะก่อสร้างสายส่งขนาด 500 kV เชื่อมโยงจากโรงไฟฟ้าในแขวงคำม่วน สปป. ลาว ผ่านสะหวันนะเขต ข้ามแม่น้ำโขงมาฝั่งไทยที่สถานีไฟฟ้าร้อยเอ็ด 2 ทั้งนี้ กลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ประกอบด้วย รัฐบาล สปป.ลาว ถือหุ้นร้อยละ 25 อีกร้อยละ 75 ถือหุ้นโดย Nam Theun 2 Electricity Consortium ซึ่งประกอบด้วย Electricite de France ร้อยละ 30 Italian-Thai Development ร้อยละ 15 Transfield ร้อยละ 10 Jasmine International ร้อยละ 10 และ Merrill Lynch Phatra Securities ร้อยละ 10 ประเมินว่าโครงการนี้จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,227 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือ 46,600 ล้านบาท
3. คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้เริ่มดำเนินการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2536 อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่กำลังเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าอยู่นั้น ธนาคารโลก ได้ขอให้กลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 และรัฐบาล สปป.ลาว ดำเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเหตุให้ MOU หมดอายุลง ต่อมาคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติลาว (Lao National Committee for Energy : LNCE) แจ้งให้ กฟผ. ทราบว่าธนาคารโลกได้ให้ความเห็นชอบกระบวนการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และมีมติสนับสนุนด้านการค้ำประกันเงินกู้ให้แก่โครงการน้ำเทิน 2 แล้ว ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2541 LNCE ได้เสนอขอเริ่มเจรจาราคาค่าไฟฟ้าโครงการนี้อีกครั้งหนึ่ง
4. หลังจากนั้นทั้ง 2 ฝ่าย ได้มีการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าหลายครั้งและได้คืบหน้ามาโดยลำดับ โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบในหลักการคำนวณค่าไฟฟ้าโดยใช้ต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ และหลักการซื้อขายไฟฟ้าแบบ Power Pool ซึ่งใน ที่สุดคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้เห็นชอบราคาค่าไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 โดย กฟผ. ตกลงที่จะประกันการรับซื้อ Primary Energy (PE) 4,406 ล้านหน่วยต่อปี Secondary Energy ในส่วนแรก (SE1) 615 ล้านหน่วยต่อปี และ Secondary Energy ส่วนที่สอง (SE2) อีก 333 ล้านหน่วยต่อปี โดยมีเงื่อนไขว่าปริมาณการประกันรับซื้อทั้งหมดของทั้งสามส่วนรวมกันจะต้อง ไม่เกินร้อยละ 95 ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมของทั้ง PE SE1 และ SE2 จะอยู่ที่ระดับ 4.219 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งจะทำให้โครงการนี้มีรายได้ประมาณปีละ 8,600 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 25 ปี ดังมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
อัตราค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2
ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ประกันการรับซื้อเฉลี่ยต่อปี ตลอดอายุสัญญา (ล้านหน่วย/ปี) |
อัตราค่าไฟฟ้า (เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง) |
|
1. อัตราค่าไฟฟ้าของ PE1 + SE1 + SE2 ที่ประกันการรับซื้อ | ||
|
4,406 | 4.664 |
|
615 | 2.332 |
|
333 | 1.809 |
|
5,354 | 4.219 |
2. อัตราค่าไฟฟ้าของ SE2 ส่วนเกินจากที่ประกันการรับซื้อ (กฟผ. จะซื้อหรือไม่ก็ได้) | SE2 ส่วนเกิน | |
3. ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ 38 บาท/1 ดอลล่าร์สหรัฐ ในการคำนวณค่าไฟฟ้าส่วนที่ต้องจ่ายเป็นเงินบาท |
ข้อสังเกตของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นควร ให้ กฟผ. พิจารณารับซื้อพลังงานไฟฟ้า SE2 ส่วนเกินจากที่ประกันการรับซื้อในช่วง Off-Peak ให้มากที่สุด เพื่อทดแทนพลังงานไฟฟ้าในส่วนที่ กฟผ. มีการเดินเครื่องในระบบซึ่งมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้า สูงกว่าราคาค่าไฟฟ้าที่จะรับซื้อในส่วนของ SE2 ส่วนเกินซึ่งเท่ากับ 1.5 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือประมาณ 57 สตางค์ต่อหน่วย เท่านั้น
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบราคาค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2 ที่ระดับ 4.219 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง ตลอดอายุโครงการ (เฉลี่ยรวมราคาที่ประกันการรับซื้อ Primary Energy, Secondary Energy ในส่วนแรก และ Secondary Energy ในส่วนที่สอง) และเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าที่คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้งสองประเทศ คือ ไทย และ สปป. ลาว ได้เจรจากันจนได้ข้อยุติแล้ว โดยมีรายละเอียดตามข้อ 4
2.มอบหมายให้คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) นำราคา ค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำเทิน 2 ที่ได้รับความเห็นชอบตามข้อ 1 ไปเจรจาเพื่อจัดทำและสามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ของโครงการระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้โครงการน้ำเทิน 2 สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของ กฟผ. ได้ทันตามกำหนดในเดือนธันวาคม 2549
เรื่องที่ 6 เรื่องอื่นๆ
รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจโท วิโรจน์ เปาอินทร์) ได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมต่อที่ประชุมและมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดูแลในเรื่องต่อไปนี้
1. การรณรงค์ประหยัดพลังงานทั้งในภาครัฐและเอกชน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้ฟังเสียงจากประชาชนว่าการรณรงค์เพื่อลดการใช้ พลังงานยังไม่มากพอ และหน่วยงานราชการก็ยังไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการใช้ไฟตามท้องถนน ซึ่งจะทำให้ประชาชนมองว่าภาครัฐไม่มีความจริงใจที่จะประหยัดการใช้พลังงาน อย่างจริงจัง
2. การเร่งรัดหาพลังงานมาทดแทนการใช้น้ำมัน ขณะนี้มีโครงการวิจัยหลายโครงการทั้งที่เป็นโครงการของ สพช. และหน่วยงานอื่นที่กำลังดำเนินการศึกษาการนำพืชเศรษฐกิจมาใช้เป็นพลังงานทด แทนน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาวิจัย และประชาชนก็ให้ความสนใจอยู่ ในอนาคตหากจะพัฒนาขึ้นมาใช้อย่างจริงจังจะมีความคุ้มทุนหรือไม่ จึงขอให้ สพช. รายงานความคืบหน้าการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ที่ประชุมทราบ ในครั้งต่อไปด้วย
3. หลักเกณฑ์การอนุญาตตั้งสถานีบรรจุก๊าซและรถขนส่งก๊าซ ในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่ามีอุบัติเหตุรถก๊าซระเบิด หรือถังก๊าซระเบิดเกิดขึ้น และทำให้ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จึงขอให้คณะอนุกรรมการ ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลความปลอดภัยในเรื่องนี้ได้พิจารณาวางหลักเกณฑ์ให้ มีความรัดกุมด้วย
ครั้งที่ 6 - วันศุกร์ ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 6)
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2548 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ข้อเสนอการออกและการจำหน่ายตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
4. การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาะสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้น และอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 41.41 และ 47.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากสภาพภูมิอากาศแปรปรวนส่งผลให้การผลิตและการขนส่งน้ำมันต้องหยุดชัก ประกอบกับ จากเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำมัน ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2548 ที่ประชุมกลุ่มโอเปคได้มีมติให้เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบขึ้นจากระดับ 27 ล้านบาร์เรล/วัน เป็นที่ระดับ 27.50 ล้านบาร์เรล/วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นต้นไป ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 45.84 และ 53.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์เฉลี่ยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวสูงขึ้น 3.31 และ 3.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก ความต้องการซื้อของอินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 1.33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของอินเดียเพิ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลประกาศใช้น้ำมันดีเซล 0.035% ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 ขณะที่ไต้หวัน เกาหลีใต้และจีนลดการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันปิดซ่อมบำรุงประจำปี ราคาเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2548 ของน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 59.47, 58.73 และ 62.58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวลดลงจากการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 โดยรัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซินเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2547 แต่ยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไว้ที่ระดับ 18.19 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 1 เมษายน 2548 อยู่ที่ระดับ 22.09 , 21.29 และ 18.19 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในไตรมาส 1 ปี 2548 ปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 0.8856 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยในเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 0.9034 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นในช่วงไตรมาส 1 ปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 1.3293 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นเฉลี่ยโดยรวมเดือนมีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 1.5574 บาท/ลิตร
5. รัฐบาลได้ปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันเบนซิน แต่ยังคงตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนั้นอัตราชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 มีนาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 3.56 บาท/ลิตร และตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2548 กองทุนน้ำมันฯ มีภาระการจ่ายชดเชยสะสมทั้งสิ้น 78,370 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วจำนวน 6,975 ล้านบาท และ 71,395 ล้านบาท ตามลำดับ
6. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนเมษายน 2548 ปรับตัวสูงขึ้น 37.20 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 416.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 12.2242 บาท/กก. (เป็นระดับเพดานของก๊าซ LPG สูงสุด 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 2.1543 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 408 ล้านบาท/เดือน และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 1 เมษายน 2548 2548 มีเงินสดสุทธิ 258 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 63,572 ล้านบาท แยกเป็นภาระผูกพัน 197 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 5,606 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 152 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2548 ประมาณ 7,745 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 49,780 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ประมาณ 92 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ ติดลบ 63,314 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้รายงานผลการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2547 - เดือนมีนาคม 2548 โดยได้อนุมัติเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้นจำนวน 481,036,288.86 บาท ให้กับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กรมสรรพสามิต สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอการออกและการจำหน่ายตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แยกเป็นอนุมัติเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 จำนวน 8,000 ล้านบาท วันที่ 24 สิงหาคม 2547 จำนวน 30,000 ล้านบาท และวันที่ 21 ธันวาคม 2547 จำนวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งการอนุมัติการกู้เงินครั้งสุดท้ายนี้มีมติประกอบให้ สบพ. ดำเนินการออกพันธบัตรและเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป เพื่อให้กองทุนฯ มีสภาพคล่องเพียงพอในการจ่าย ชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สบพ. ได้กู้เงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศโดยกระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่และระยะเวลาครบกำหนดชำระ 12 เดือน แบ่งเป็น 3 ครั้ง โดยครั้งละ 8,000, 30,000 และ 25,000 ล้านบาท ตามลำดับ และ สบพ. ได้จ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันให้กับผู้ประกอบการแล้ว จำนวน 58,762 ล้านบาท และเหลือวงเงินกู้จำนวน 8,590 ล้านบาท สำหรับจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงงวดเดือนมีนาคม 2548 ซึ่งจะต้องจ่ายในเดือนพฤษภาคม 2548
3. เงินกู้จำนวน 63,000 ล้านบาท จะทยอยครบกำหนดชำระคืนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป ซึ่งในเดือนมิถุนายน 2548 มีเงินกู้ครบกำหนดชำระคืนจำนวน 3,000 ล้านบาท แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมากองทุนฯ มีภาระการจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถสะสมรายรับของกองทุนฯ เพื่อใช้ชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระคืนได้ เนื่องจากปัจจุบันกองทุนฯ มีรายรับจากน้ำมันเบนซิน ก๊าด และเตา ประมาณ 252 ล้านบาท/เดือน แต่มีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาน้ำมันดีเซลจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ จ่ายชดเชยราคา LPG และรายจ่ายภาวะผูกพันเป็นจำนวนมาก ทำให้กองทุนฯ มีรายจ่ายมากกว่ารายรับประมาณ 190 ล้านบาท/เดือน
4. นอกจากนี้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2548 กองทุนฯ มีหนี้สะสมชดเชยราคา LPG ประมาณ 7,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจาก สบพ. จ่ายชำระหนี้ในส่วนนี้ประมาณ 260 ล้านบาท/เดือน ขณะที่การชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ที่ประมาณ 450 ล้านบาท/เดือน ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตเกิดความไม่มั่นใจ ในนโยบายของรัฐ และอาจทำให้เกิดการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวภายในประเทศได้ และเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2548 พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 มีผลบังคับใช้ ซึ่งตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวห้ามมิให้กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานของรัฐค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้นหรือตั้งงบประมาณรายจ่าย ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงไม่สามารถค้ำประกันเงินกู้ให้ สบพ. ได้อีกต่อไป และ สบพ. ไม่มีทรัพย์สินใดที่สามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ได้ จึงทำให้ สบพ. ไม่สามารถกู้เงินจากสถาบันการเงินได้
5. เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้นที่ครบกำหนดและสามารถจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และเพื่อให้ สบพ. สามารถบริหารภาระหนี้และบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนฯ ได้ สบพ. จึงเสนอให้ สบพ. ควรจัดหาเงินกู้ระยะยาวให้กับกองทุนฯ โดยการออกตราสารหนี้และเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป และเมื่อภาระชดเชยราคาน้ำมันดีเซลยุติจึงจะสะสมรายรับจากเงินส่งเข้ากองทุนฯ ชำระคืนหนี้ตราสารหนี้ดังกล่าว
6. ในการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของ สบพ. จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์การดำเนินการออกและเสนอขายตราสารหนี้ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ส่วนการเสนอขายตราสารหนี้ของ สบพ. ได้คำนึงถึงความต้องการของนักลงทุนประกอบกับจำนวนเงินที่กองทุนฯ จำเป็นต้องใช้ในการชำระหนี้และจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และความสามารถในการชำระหนี้ของกองทุนฯ รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ตลอดจนการจัดทำโครงสร้างตราสารหนี้ที่ดีและบริหารจัดการกระแสเงินของกองทุนฯ อย่างชัดเจน และหากมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซหุงต้มให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อลดภาระการชดเชยจากกองทุนฯ และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ เพื่อเพิ่มเติมรายได้ให้กองทุนฯ จะสามารถลดความกังวลของนักลงทุนและเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ของ สบพ. ได้
7. เพื่อให้ตราสารหนี้ของ สบพ. มีโครงสร้างที่ดี ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ในระดับ "AA" และลดความกังวลของนักลงทุน ซึ่งจะทำให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ได้รับความสนใจจากนักลงทุนขอได้จึงเห็นควรขอเห็นชอบในประเด็นดังนี้
7.1 เห็นควรให้ สบพ. ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุนทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาทถ้วน) โดยเสนอขายเป็นชุดๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนฯ หรือไม่
7.2 เห็นควรให้ สบพ. ไปเจรจาผ่อนเวลาการชำระหนี้ในส่วนที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป ซึ่งหากสามารถเจรจาได้สำเร็จ ให้หนี้ในส่วนที่ผ่อนเวลาการชำระหนี้และหนี้ ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาทถ้วน) หรือไม่
7.3 เห็นควรให้ทยอยลดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงเรื่อยๆ โดยกำหนดให้ ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมไม่เกิน 1.50 บาท/กก. และตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมไม่เกิน 0.50 บาท/กก. หรือไม่
7.4 เห็นควรให้ทยอยลดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นศูนย์ในที่สุด โดยกำหนดให้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.00 บาท/ลิตร และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 เป็นต้นไป อัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นศูนย์หรือไม่
7.5 เห็นควรให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารราปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีที่การเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร หรือไม่
7.6 เห็นควรให้แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2548 ตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง พ.ศ. 2547 ที่ สบพ. เสนอ หรือไม่
7.7 เห็นควรให้ สบพ. ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" ทุกๆ 3 เดือน เพื่อพิจารณาถึงความสามามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระเงินคืนต้นที่ครบกำหนด และหากพบว่าไม่เพียงพอให้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบ เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป หรือไม่
7.8 เห็นควรให้โอนสิทธิการบริหารบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" ให้ตัวแทนชำระเงินเป็นผู้บริหารบัญชีดังกล่าวภายใต้สัญญาที่มีการตกลงร่วมกันกับ สบพ. หรือไม่
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุน ทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (ไม่เกินแปดหมื่นห้าพันล้านบาท) โดยเสนอขายเป็นชุดๆ ตามจำนวนเงินที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลาและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำเงินไปชำระหนี้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ สบพ. ไปเจรจาผ่อนเวลาการชำระหนี้ในส่วนที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ซึ่งหากสามารถเจรจาได้สำเร็จ ให้หนี้ในส่วนที่ผ่อนเวลาการชำระหนี้และหนี้ที่เกิดจากการออกตราสารหนี้รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 85,000 ล้านบาท (แปดหมื่นห้าพันล้านบาท)
3. เห็นชอบให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร
4. เห็นชอบให้ สบพ. แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ให้เป็นไปตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่ สบพ. เสนอ ทั้งนี้ ต้องระบุวัตถุประสงค์การแก้ไขระเบียบดังกล่าวให้ชัดเจน
5. เห็นชอบให้ สบพ. ทำหน้าที่ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" อย่างต่อเนื่อง เพื่อพิจารณาถึงความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้นที่ครบกำหนด และหากพบว่าไม่เพียงพอให้แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบ เพื่อพิจารณาปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต่อไป
6. เห็นชอบให้โอนสิทธิการบริหารบัญชี "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ให้ตัวแทนชำระเงินเป็นผู้บริหารบัญชีดังกล่าวภายใต้สัญญาที่มีการตกลงร่วมกันกับ สบพ."
เรื่องที่ 4 การชดเชยราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว)
สรุปสาระสำคัญ
1. จากรัฐบาลได้มีมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (น้ำมันเขียว) สูงกว่าราคาน้ำมันบนบก ชาวประมงจึงหันมาใช้น้ำมันบนบกแทน ดังนั้น เพื่อลดภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นการผลักดันให้ชาวประมงหันกลับไปใช้น้ำมันเขียว คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุม เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2547 ได้มีมติเรื่อง ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเห็นชอบในหลักการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง ไม่ให้สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก โดยให้จ่ายชดเชยในส่วนต่างของราคาน้ำมันเขียวที่สูงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก และให้เรียกคืนเมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้หมด และมอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการจัดระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ รวมทั้งการเพื่อป้องกันการนำน้ำมันที่ได้รับการ ชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
2. ผลการดำเนินโครงการฯ ในการจำหน่ายน้ำมันเขียว และการจ่ายเงินชดเชยตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 พบว่าการจำหน่ายน้ำมันเขียวและจำนวนเงินชดเชยมีปริมาณ 29,146,302 ลิตร เป็นเงิน 58,775,024.93 บาท และการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียว (ขาดแคลน) และจำนวนเงินชดเชยมีปริมาณ 12,658,547 ลิตร เป็นเงิน 35,479,035.62 บาท รวมเป็นเงินที่จ่ายชดเชยทั้งสิ้น 94,254,060.54 บาท
3. เพื่อให้การแก้ไขปัญหาโครงการน้ำมันเขียวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงขอความเห็นชอบ ดังนี้
3.1 ขอความเห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยหรือประกาศส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) สำหรับกรณีน้ำมันเขียวแพงกว่าบนบกและกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2548 ถึงวันที่ 22 มีนาคม 2548 และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันบนบกหรือกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลน ให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถสั่งการให้ออกประกาศชดเชยได้ทันที โดยไม่ต้องนำเข้า กบง. เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
3.2 ขอความเห็นชอบวงเงินในการจ่ายเงินชดเชยโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ตามข้อ 2 เป็นจำนวนเงินชดเชยทั้งสิ้น 94,254,060.54 บาท (เก้าสิบสี่ล้าน สองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) ทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ชาวประมงก่อน และจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำลงกว่าราคาน้ำมันดีเซล บนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป
3.3 มอบหมายให้กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงานร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นผู้อนุมัติออกประกาศชดเชยราคาน้ำมัน หรือประกาศการส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ในกรณีราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก และกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนได้ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานต่อไป แต่ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันเขียวแพงกว่าน้ำมันดีเซลบนบก หรือกรณีน้ำมันเขียวขาดแคลนในระยะต่อไป เห็นควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานสามารถสั่งการให้ออกประกาศชดเชยราคาน้ำมันหรือส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณา/อนุมัติจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. เห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อจ่ายเป็นเงินชดเชยในโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ในวงเงิน 94,254,060.54 บาท (เก้าสิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นสี่พันหกสิบบาทห้าสิบสี่สตางค์) โดยจ่ายให้แก่บริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นจำนวนเงิน 58,775,024.94 บาท (ห้าสิบแปดล้าน เจ็ดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันยี่สิบสี่บาทเก้าสิบสี่สตางค์) สำหรับการชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเขียว ตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 และจ่ายให้แก่บริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด เป็นจำนวนเงินรวม 35,479,035.62 บาท (สามสิบห้าล้านสี่แสนเจ็ดหมื่นเก้าพันสามสิบห้าบาทหกสิบสองสตางค์) เพื่อจ่ายชดเชยการจำหน่ายน้ำมันเหลืองเป็นน้ำมันเขียวตั้งแต่วันที่ 4 - 22 มีนาคม 2548 โดยทั้งนี้ จำนวนเงินดังกล่าวเป็นการจ่ายจากกองทุนฯ ให้กับชาวประมงก่อนและจะเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไปจนกว่าจะเรียกเก็บคืนได้หมดตามจำนวนเงินที่จ่ายชดเชยไป
3. มอบหมายให้กรมสรรพสามิต และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) ร่วมกันจัดทำระบบการจ่ายชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ และให้ สบพ. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนฯ
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยการดำเนินการรับซื้อ ไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 144 ราย มี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 91 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 81 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจา 10 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ ปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นจะ เท่ากับ 2,519.3 เมกะวัตต์
2. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 มี SPP 69 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว และปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 2,228.8 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงจำนวน 19, 4 และ 1 โครงการ ปริมาณ 1,413, 196 และ 9 เมกะวัตต์ ตามลำดับ นอกจากนี้ เป็นโครงการที่ใช้พลังงานนอก รูปแบบเป็นเชื้อเพลิง 41 โครงการ จำนวน 375.8 เมกะวัตต์ และที่ใช้เชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า 1 โครงการ จำนวน 45 เมกะวัตต์
3. สนพ. ได้มี "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยใช้เงินจาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ปัจจุบัน มีผู้ผลิตรายเล็ก ได้รับอนุมัติการจัดสรรเงินจากคณะกรรมการกองทุนฯ จำนวน 20 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้ารวม 243.3 MW คิดเป็นวงเงินสนับสนุนรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,400 ล้านบาท สำหรับโครงการของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติให้รอผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) แล้วให้ สนพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนภายในวันที่ 30 กันยายน 2547
4. เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2547 กฟผ. ได้ลงนามในหนังสือยืนยันการรับเงินกองทุนฯ กับ สนพ. โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,400 ล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายให้กับ SPP จำนวน 20 ราย ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. กฟผ. กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ได้ดำเนินการลงนามในหนังสือสัญญาขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่ม เรียบร้อยแล้ว 6 ราย และกำลังตรวจสัญญา 6 ราย โดยที่มีการยกเลิกสัญญา 1 ราย และยังไม่ดำเนินการใดๆ 4 ราย ในการนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อทำหน้าที่ติดตามและตรวจสอบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการไตรภาครีรวม 18 คณะ
5. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm จะต้องยื่นหลักค้ำประกันให้กับ กฟผ. จำนวน 3 ฉบับ ได้แก่
5.1 หลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ SPP ต้องยื่นหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ พร้อมคำร้องการขายไฟฟ้าในวงเงินเท่ากับ 500 บาทต่อกิโลวัตต์ ตามปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขายให้กับ กฟผ. ทั้งนี้ กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอให้แก่ SPP ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกภายใน 30 วัน หลังจากแจ้งผลการ คัดเลือกข้อเสนอ
5.2 หลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ SPP จะต้องยื่นหลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ ในวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในวงเงินเป็นจำนวนเท่ากับร้อยละ 5 ของมูลค่าปัจจุบันของค่าพลังไฟฟ้าที่จะได้รับทั้งหมดตามสัญญา โดยใช้อัตราส่วนลด (Discount Rate) เท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้าจะคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ ให้แก่ SPP เมื่อ SPP ได้เริ่มต้นปฏิบัติตามสัญญาฯ ถูกต้องครบถ้วนแล้ว
5.3 หลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ SPP จะต้องยื่นหลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ ก่อนวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาฯ ในวงเงินเท่ากับร้อยละ 10 ของค่าพลังไฟฟ้าที่ SPP จะได้รับในระยะเวลา 5 ปีแรกของสัญญาฯ โดย กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันดังกล่าวเมื่ออายุสัญญาสิ้นสุด หรือเมื่อการไฟฟ้าได้เรียกเก็บเงินค่าพลังไฟฟ้าครบถ้วนในกรณีที่สัญญาฯ ถูกยกเลิกก่อนครบอายุสัญญา
6 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2545 บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) ได้ยื่นคำร้องการขายไฟฟ้าประเภท Firm อายุสัญญา 25 ปี ให้ กฟผ. โดยเสนอขายพลังไฟฟ้าเข้าระบบ 20.2 เมกะวัตต์ ที่ใช้เศษไม้ยางพารา และกะลาปาล์มเป็นเชื้อเพลิง และได้วางหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าเป็นหนังสือค้ำประกัน จำนวนเงิน 10,100,000 บาท โดย กฟผ. ได้ตอบรับซื้อไฟฟ้าจากบริษัทฯ เมื่อ วันที่ 25 ตุลาคม 2545 ทั้งนี้ บริษัท ได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และได้ผ่านการคัดเลือกเบื้องต้น โดยอัตราเงินที่ได้รับสนับสนุนเท่ากับ 0.18 บาท/kWh และกำหนดวันสิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวันที่ 30 กันยายน 2547 เมื่อถึงวันที่กำหนด โครงการยังไม่ได้รับการพิจารณา รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าของบริษัท และไม่คุ้มค่าการลงทุน บริษัทฯ จึงแจ้งยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้า พร้อมทั้งขอรับคืนหลักค้ำประกันการยื่นเข้อเสนอขายไฟฟ้าจาก กฟผ.
7. ต่อมาเดือนตุลาคม 2547 สนพ. ได้แจ้งสงวนสิทธิ์สิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนโครงการให้บริษัท กัลฟ์ฯ เพื่อให้บริษัททำเรื่องขอคืนหลักค้ำประกันจาก สนพ. เนื่องจากการพิจารณารายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของ สผ. ยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งบริษัทได้ขอรับคืนหลักประกันซองข้อเสนอโครงการจาก สนพ. เรียบร้อยแล้ว และต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2547 บริษัทได้ขอยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้าและขอรับคืนหลักประกันการยืนข้อเสนอขายไฟฟ้าจาก กฟผ. ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ฯ (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) ไม่ได้ ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กับ กฟผ. เนื่องจากผลการพิจารณา EIA จาก สผ. ได้เลยระยะเวลาที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด กฟผ. จึงเห็นว่าควรยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้าของบริษัทฯ และเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าของบริษัทฯ ต่อไป ซึ่งในการประชุม กพช. เมื่อเดือนกรกฎาคม 2547 ได้มีมติให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้วินิจฉัยปัญหาจากการปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ในประเด็นที่ไม่ใช่ด้านนโยบายและเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป
8. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า จากการที่บริษัทฯ ต้องรอผลการพิจารณารายงานผลกระทบด้าน สิ่งแวดล้อมจาก สผ. ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด จึงเป็นผลให้ ข้อเสนอโครงการของบริษัท กัลฟ์ฯ (โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด จังหวัดตรัง) เป็นอันสิ้นสุดการพิจารณาเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งทำให้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเกี่ยวกับรายได้ การลงทุน และการจัดหาเงินกู้ให้กับโครงการ บริษัทฯ จึงได้ขอยกเลิกข้อเสนอขายไฟฟ้า และขอรับคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้าดังกล่าว ทั้งนี้ โดยบริษัทฯ มิได้มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP นอกจากนี้ การยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าของบริษัท ไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดหาไฟฟ้าของ กฟผ. เนื่องจากมีปริมาณพลังไฟฟ้าเพียง 20.2 เมกะวัตต์ และหากบริษัทฯ มีความพร้อมในการผลิตไฟฟ้าสามารถยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ได้ใหม่ จึงควรให้บริษัทฯ สามารถยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าได้ โดยให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้ากับบริษัท
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ สนพ. และ กฟผ. รับไปพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อกำหนดของระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าและสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
กพช. ครั้งที่ 74 - วันพุธที่ 5 เมษายน 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 74)
วันพุธที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
1.ความก้าวหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
3.สถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4.การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
5.การแก้ไขปัญหาภาคการขนส่งทางถนนเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมัน
6.การคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
รายงานความก้าวหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว (สปป.ลาว) และสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การเจรจาค่าไฟฟ้าของโครงการน้ำงึม 1 และน้ำลึกระหว่างคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ ได้ข้อยุติแล้ว โดย กฟผ.จะรับซื้อไฟฟ้าในช่วง Off-Peak ที่ราคา 1.14 บาทต่อหน่วย ส่วนในช่วง Peak จะรับซื้อไฟฟ้าที่ราคา 1.22 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้อัตราค่าไฟฟ้าตามที่ตกลงดังกล่าวจะใช้ซื้อขายเป็นระยะเวลา 4 ปี โดยจะเริ่มใช้ย้อนหลังตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2542 เป็นต้นมาจนถึง 30 กันยายน 2546 และจะชำระเงินค่าไฟฟ้าด้วยสกุลดอลล่าร์สหรัฐทั้งหมด นอกจากนี้ฝ่ายไทยยินดีรับในหลักการว่า หากฝ่ายลาวสามารถดำเนินการผลิตไฟฟ้า โครงการน้ำงึม 1 และน้ำลึก แบบ Firm Basis ได้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะร่วมกันพิจารณาทบทวนอัตราค่าไฟฟ้าใหม่อีก ครั้งหนึ่ง
1.2 โครงการที่คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) พิจารณารับซื้อภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทย และ สปป. ลาว จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ มีโครงการที่ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน- หินบุน ขนาด 187 เมกะวัตต์ และโครงการห้วยเฮาะ ขนาด 126 เมกะวัตต์ ทั้ง 2 โครงการได้จ่ายกระแสไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย ( กฟผ.) แล้ว ส่วนโครงการที่ยังไม่มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า จำนวน 6 โครงการ ซึ่งรัฐบาล สปป. ลาว ได้จัดลำดับความสำคัญที่จะส่งมอบไฟฟ้าแล้ว แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย
(1) โครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนธันวาคม 2549 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ น้ำเทิน 2 โครงการน้ำงึม 2 และโครงการน้ำงึม 3 ในส่วนของโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งมีกำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 920 เมกะวัตต์ ปัจจุบันการเจรจาราคาค่าไฟฟ้าได้คืบหน้ามาโดยลำดับจนได้ข้อยุติแล้ว โดยราคาที่ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นพ้องและตกลงที่จะมีการซื้อขายกันอยู่ที่ระดับ 4.219 เซ็นต์/กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยฝ่ายไทยตกลงที่จะประกันการรับซื้อ ไฟฟ้าไม่เกินร้อยละ 95 ของปริมาณการรับซื้อทั้งหมด ซึ่งข้อยุติของการเจรจาราคาไฟฟ้าดังกล่าว จะนำไปสู่การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ของโครงการน้ำเทิน 2 ต่อไป
(2) โครงการที่จะส่งมอบไฟฟ้าในเดือนมีนาคม 2551 จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการลิกไนต์หงสา โครงการเซเปียน -เซน้ำน้อย และโครงการเซคามาน 1 ในส่วนของโครงการลิกไนต์หงสา ซึ่งมี กำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 608 เมกะวัตต์ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว ( พลเอกสีสะหวาด แก้วบูนพัน) ได้ร้องขอมายัง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (นายชวน หลีกภัย) ขอให้ไทยพิจารณารับซื้อไฟฟ้าโครงการนี้เร็วขึ้นจากเดิม ที่กำหนดจะส่งมอบในเดือนมีนาคม 2551 เป็นในเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งฝ่ายไทยยินดีรับโครงการนี้ไว้พิจารณาเป็นกรณีพิเศษ โดยคณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศ จะดำเนินการเจรจาโครงการนี้ควบคู่ไปกับโครงการน้ำเทิน 2 น้ำงึม 3 และน้ำงึม 2 ทั้งนี้ หากโครงการใดสามารถเจรจาและตกลงจนได้ข้อยุติก่อน ก็ให้ ส่งมอบไฟฟ้าก่อนโครงการอื่น แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงเดิม ซึ่งได้รับความเห็นชอบแล้วจากรัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศแล้ว กล่าวคือ ในเดือนธันวาคม 2549 ฝ่ายไทยจะรับซื้อไฟฟ้ารวมกันจาก สปป.ลาวได้เพียง 1,600 เมะวัตต์ เท่านั้น
2. การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
2.1 นับตั้งแต่มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจรับซื้อไฟฟ้า เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 จนถึงปัจจุบัน ทั้งฝ่ายไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการและคณะทำ งานเพื่อดำเนินการเจรจาในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชน จีนเรียบร้อยแล้ว
2.2 คณะผู้แทนบริษัทไฟฟ้าแห่งรัฐ และการไฟฟ้ายูนนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาเยือนไทย เพื่อหารือในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้ากับ กฟผ. และ สพช. เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2543 ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ได้ ข้อสรุปของผลการหารือที่สำคัญคือ โครงการผลิตไฟฟ้าจิงหงจะเป็นโครงการแรก ขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 ในส่วนโครงการอื่นๆ อีก 1,500 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 โดย กฟผ. จะบรรจุโครงการผลิตไฟฟ้าจิงหงและโครงการอื่นๆ ไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าในระยะยาวฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะจัดทำแล้วเสร็จภายในปี 2543
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
รายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ สรุปได้ดังนี้
1. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
1.1 ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ได้จัดชุดปฏิบัติการทางทะเล 3 ชุด เพื่อดำเนินการตามแผนป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทาง ทะเล คือ ชุดสืบสวนและปราบปรามฝั่งอ่าวไทย ชุดสืบสวนและปราบปรามฝั่งอันดามัน และชุดสืบสวนพิเศษทางทะเล ตรวจเฝ้ามิให้มีการลักลอบกระทำผิดในทะเลทั้งสองฝั่ง ทำการตรวจสอบปริมาณน้ำมันในเรือประมง ตรวจสอบการขนถ่ายน้ำมันนำเข้าจากเรือบรรทุกน้ำมัน และจัดทำประวัติกลุ่มเรือประมงที่มีพฤติการณ์ลักลอบนำเข้าน้ำมันโดยหลีก เลี่ยงภาษี
1.2 ศปนม. ได้จัดชุดปฏิบัติการทางบกเพื่อดำเนินการตามแผนการปฏิบัติการป้องกันและปราบ ปรามการส่งออกทางบกอันเป็นเท็จโดยเน้นพื้นที่ที่มีด่านศุลกากร และมียอดการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงสูงกว่า 1 ล้านลิตรต่อเดือน โดยดำเนินการเฝ้าด่านเป้าหมายสำคัญ เพื่อควบคุมให้มีการส่งออกจริง
1.3 ศปนม. ได้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ไป ปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง โดยตรวจสอบติดตามโรงงาน ตัวแทนหน่าย ผู้ขนส่งและการขนส่ง ผู้ใช้ปลายทาง สถานีบริการน้ำมัน และเฝ้าคลังโรงกลั่นเป้าหมาย รวมทั้ง ยังมีมาตรการทางด้านการข่าว สืบหาเบาะแสข้อมูลในทางลับ
1.4 ในช่วงที่ผ่านมา ศปนม. สามารถจับกุมผู้กระทำผิดคดีลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้จำนวนทั้งสิ้น 53 ราย มีผู้ต้องหาจำนวน 91 คน มีปริมาณน้ำมันที่จับกุมได้ทั้งสิ้น จำนวน 635,591 ลิตร แยกเป็นน้ำมันเบนซิน 142,369 ลิตร น้ำมันดีเซล 399,222 ลิตร สารโซลเว้นท์ 71,000 ลิตร และน้ำมันเตา 23,000 ลิตร ตามลำดับ รวมมูลค่าของกลางทุกชนิดที่จับกุมได้เป็นเงินประมาณ 113 ล้านบาท
2. กรมศุลกากรได้ดำเนินการออกคำสั่งกรมศุลกากรที่ 44/2542 เพื่อรองรับกับความตกลงว่าด้วยการขนส่งทางถนนระหว่างไทยและลาว เป็นผลให้สินค้าผ่านแดนทุกชนิด รวมถึงน้ำมันผ่านแดนของลาวที่ ตกค้างอยู่ในไทยครบ 90 วัน นับแต่วันนำเข้าเป็นของตกค้าง เพื่อให้ฝ่ายไทยสามารถดำเนินการกับสินค้า ดังกล่าวได้ และในช่วงที่ผ่านมากรมศุลกากรสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ จำนวน 8 ราย ผู้ต้องหา 24 คน ปริมาณน้ำมันดีเซลที่จับกุมได้ จำนวนทั้งสิ้น 370,142 ลิตร คิดเป็นมูลค่าน้ำมันและเรือของกลางที่จับกุมได้ ประมาณ 24 ล้านบาท
3. กรมสรรพสามิต ได้มีการดำเนินงานสรุปได้ดังนี้
3.1 โครงการการติดตั้งมิเตอร์เพิ่มเติมพร้อมเชื่อมโยงเครือข่ายระบบข้อมูล จะดำเนินการติดตั้งและทดสอบระบบทั้งหมดภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2543 โดยคลังเป้าหมาย 4 คลังแรก เดิมจะติดตั้งเสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคม 2542 แต่บริษัทฯ ได้ขอขยายเวลาติดตั้งงวดแรกออกไปอีก 90 วัน
3.2 โครงการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ขณะนี้กรมสรรพสามิตได้รับมอบสาร Marker และเครื่องมือตรวจสอบแล้วจำนวนหนึ่ง สำหรับอุปกรณ์เติมสาร ได้มอบให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมเป็นผู้ออกแบบ เครื่องฉีดสาร โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขในการเติมสารนั้น กรมสรรพสามิตได้ส่งร่างระเบียบดังกล่าวให้สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจร่าง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2543
3.3 โครงการควบคุมการใช้สารละลายประเภทไฮโดรคาร์บอน (Solvent) มิให้นำไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง กรมสรรพสามิตได้ดำเนินการตรวจสอบโรงงานผู้ใช้สาร และได้มีการเพิกถอนใบอนุญาตไปแล้ว 50 ราย อยู่ระหว่างการส่งดำเนินคดี เตรียมส่งฟ้องศาล และรวบรวมหลักฐานอีก 46 ราย สำหรับการตรวจสอบการสั่งซื้อสารละลายจากโรงงานอุตสาหกรรมพบว่ามีบางรายกระทำ ผิดจริงจึงระงับการอนุญาตผลิตและจากการตรวจสอบบัญชีเอกสารโรงงานผู้ผลิต ตัวแทน ผู้ใช้ กรณีไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ค่าปรับเป็นจำนวน 1.9 ล้านบาท นอกจากนี้ได้มีการจัดการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่สรรพ สามิตที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง จัดชุดปฏิบัติการตรวจของจังหวัด สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้ 10 คดี มีปริมาณสารละลายที่จับกุมได้จำนวน 200,400 ลิตร คิดเป็นเงินค่าปรับ 1.8 ล้านบาท นอกจากนั้นได้ปรับปรุงแก้ประกาศราคาที่ใช้เป็นฐานในการเก็บภาษีโซลเว้นท์จาก 7.50 บาท/ลิตร เป็น 12 บาท/ลิตร เพื่อลดแรงจูงใจในการปลอมปนน้ำมัน ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2542
4. กรมทะเบียนการค้า ได้ส่งหน่วยตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเคลื่อนที่ตามแผนปฏิบัติการประจำปี ตรวจสอบใน 12 จังหวัด จำนวน 668 ราย พบผิด 26 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 3.9 และจากจำนวนตัวอย่าง 1,834 ตัวอย่าง พบผิด 35 ตัวอย่าง หรือคิดเป็นร้อยละ 1.9 นอกจากนี้ ได้ออกตรวจสอบคุณภาพน้ำมันภายใต้โครงการธงเชียว ร่วมกับ ศปนม. เพื่อกระตุ้นและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันเชื้อ เพลิงที่มี คุณภาพ รวมทั้ง ได้ทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำร้องเรียนของผู้บริโภค ตรวจสอบแหล่งต้องสงสัย ร่วมกับ ศปนม.สืบหาเบาะแสแหล่งปลอมปนน้ำมันเชื้อเพลิง และดำเนินคดีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 สถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ผลการประชุมรัฐมนตรีน้ำมันโอเปค ณ กรุงเวียนนา ได้ข้อตกลงที่ไม่เป็นเอกฉันท์ โดยกลุ่มโอเปคไม่รวมอิหร่านจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน 1.45 ล้านบาร์เรล/วัน หรือร้อยละ 7 ของเพดานการผลิตเดิม ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นไป แต่ต่อมาอิหร่านได้ออกมาแสดงท่าทีว่าจะเพิ่มการผลิตในระดับ 264,000 บาร์เรล/วัน ตามโควต้าที่ได้รับ ทำให้เพดานการผลิตของโอเปครวมเพิ่มขึ้น 1.716 ล้านบาร์เรล/วัน นอกจากนี้ เม็กซิโกและนอร์เวย์ ได้ประกาศเพิ่มปริมาณการผลิต 150,000 และ 100,000 บาร์เรล/วัน ตามลำดับ เป็นผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง 0.5-1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แล้วทรงตัวอยู่ในระดับ 23.7 - 26.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันสำรองยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งการเพิ่มปริมาณการผลิตที่จะทำให้ตลาดอยู่ในภาวะสมดุลจะต้องเพิ่มในระดับ 2.0 - 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น การเพิ่มปริมาณการผลิตดังกล่าวจึงไม่มีผลให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว จนกว่าปริมาณน้ำมันสำรองจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับปกติ แต่อย่างไรก็ตาม ในการประชุมของโอเปคที่ผ่านมา ที่ประชุมได้เห็นชอบสูตรการปรับลดปริมาณการผลิตอัตโนมัติ เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันดิบ ( เบรนท์) ให้อยู่ในช่วง 22-28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ของเดือนมีนาคม 2543 ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบส่วนหนึ่ง และจากการลดกำลังกลั่นและปัญหาการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นหลายแห่ง ส่งผลให้ตลาดตึงตัวมากขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตา ปรับตัวสูงขึ้น 1.9, 3.8 และ 4.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ และ ณ วันที่ 30 มีนาคม 2543 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ดีเซล และเตา อยู่ในระดับ 28.3, 27.2, 29.1 และ 26.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกในเดือนมีนาคม น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90 บาท/ ลิตร ปรับลง 6 ครั้ง รวม 1.5 บาท/ ลิตร เบนซินออกเทน 87 และ 91 ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 0.90 บาท/ลิตร ปรับลง 6 ครั้ง รวม 1.8 บาท/ลิตร ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 1.0 บาท/ลิตร และปรับลง 4 ครั้ง รวม 1.00 บาท/ลิตร โดยในวันที่ 1 เมษายน 2543 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95,91,87 และดีเซลหมุนเร็วมีราคาอยู่ที่ระดับ 14.39, 13.39 , 12.97 และ 11.87 บาท/ ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดเฉลี่ยในช่วงเดือนมกราคม - มีนาคม อยู่ในระดับต่ำที่ 0.84-0.98 บาท/ ลิตร จากการปรับราคาขึ้นในระดับที่ต่ำและช้ากว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก เป็นผลจากตลาดน้ำมันมีการแข่งขันสูงและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศ อยู่ในระดับ 1.2- 1.3 บาท/ ลิตร แต่ในต้นเดือนเมษายน ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ 0.90 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นในเดือนมีนาคม ได้เพิ่มขึ้นมากเนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มมากกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยอยู่ในระดับ 1.37 บาท/ลิตร ในขณะที่ค่าการกลั่นของปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับเพียง 0.49 บาท/ลิตร
5. เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ค่าการกลั่นได้ปรับตัวสูงขึ้นผิดปกติ ทำให้มีการวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อ มวลชน และมีการเรียกร้องให้รัฐหาทางลดราคา ณ โรงกลั่น เพื่อมิให้โรงกลั่นน้ำมันมีกำไรสูงเกินไป เช่น การให้ไปอิงตลาดอื่นแทนสิงคโปร์ หรือ การกำหนดราคาตามต้นทุนน้ำมันดิบ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานสรุปความเป็นมา ข้อเท็จจริง และความเห็นดังนี้
5.1 โรงกลั่นน้ำมันประกาศราคาโดยกำหนดให้ราคาน้ำมันที่ผลิตในประเทศเท่ากับราคา นำเข้า (Import Parity Basis) โดยใช้ราคาสิงคโปร์เป็นเกณฑ์ เนื่องจากต้องแข่งขันกับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจาก สิงคโปร์ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่และอยู่ใกล้ที่สุด แต่เมื่อกำลังการกลั่นในประเทศเกินความต้องการและต้องมีการส่งออก ราคาส่งออกมักจะถูกกว่าราคานำเข้า โรงกลั่นจึงพยายามจำหน่ายน้ำมันภายในประเทศก่อนส่งออกโดยให้ส่วนลดราคา ณ โรงกลั่นในบางช่วง
5.2 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ มีการเคลื่อนไหวในทิศทางและระดับที่ใกล้เคียงกับตลาดอื่นๆ มีบางช่วงที่ราคาเปลี่ยนแปลงในทิศทางหรือระดับที่แตกต่างกับตลาดอื่น เป็นเพราะปริมาณน้ำมัน ในตลาดไม่มีความสมดุล แต่จะมีน้ำมันไหลเข้า/หรือออกจากตลาดอื่น จนทำให้ระดับราคาปรับตัวสมดุลกับตลาดอื่น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์มีความผันผวนน้อยกว่าตลาดอื่นๆ และจากข้อเท็จจริงที่โรงกลั่นไทยยังต้องแข่งขันกับการนำเข้าจากสิงคโปร์ ดังนั้น การกำหนดราคาของโรงกลั่นโดยอ้างอิงราคาในตลาดจรสิงคโปร์ จึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบัน
5.3 การกำหนดราคา ณ โรงกลั่น โดยใช้หลักการ Cost-plus Basis ซึ่งกำหนดจากต้นทุนราคา น้ำมันดิบบวกด้วยค่าใช้จ่ายของโรงกลั่นคงที่ไม่มีความเหมาะสม เพราะราคาน้ำมันดิบมีความผันผวนเช่นเดียวกับราคาน้ำมันสำเร็จรูป และต้นทุนการกลั่นของไทยแพงกว่าสิงคโปร์ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันภายในประเทศแพงขึ้น และทำให้สภาพการแข่งขันในตลาดน้ำมันถูกบิดเบือน เนื่องจากต้นทุนไม่สะท้อนถึงสภาพการแข่งขันที่แท้จริง
5.4 ในช่วงวันที่ 14-21 มีนาคมที่ผ่านมา โรงกลั่นน้ำมันได้ลดราคาลง 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (0.25 บาท/ ลิตร) เป็นเวลา 7 วัน ซึ่งเป็นช่วงที่ค่าการกลั่นของโรงกลั่นสูงผิดปกติ ส่วนแนวทางในการลดราคา ณ โรงกลั่นอย่างถาวรนั้น เนื่องจากประเทศไทยมีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปบางส่วนในราคาต่ำกว่าราคาที่ จำหน่ายในประเทศ ดังนั้น ประชาชนในประเทศควรได้รับประโยชน์จากราคาส่งออกที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายใน ประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 มอบหมายให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นให้ลงมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคาส่งออก
6. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลก เดือนเมษายน 2543 ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 302 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ อยู่ในระดับ 11.45 บาท/ กก. มีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 6.79 บาท/กก. ฐานะกองทุนฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 อยู่ในระดับ 3,361 ล้านบาท มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่นในระดับ 129 ล้านบาท/เดือน และรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 884 ล้านบาท/เดือน โดยมีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 756 ล้านบาท/เดือน คาดว่า กองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้ประมาณ 4 เดือน
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์ราคาและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการจัดเตรียมมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ต่อไป
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ( นายสาวิตต์ โพธิวิหค ) ออกแถลงการณ์สนับสนุนการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปค
เรื่องที่ 4 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
สรุปสาระสำคัญความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 และเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 เกี่ยวกับมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม รวมทั้งอาคารของรัฐ
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้าง ตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 160 แห่ง รวมทั้ง การว่าจ้างตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 170 แห่ง รวมเป็นเงินประมาณ 32.896 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมที่กำลัง ใช้งานรวม 97 แห่ง และโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน 169 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมที่กำลังใช้ งานรวม 84 แห่ง รวมเป็นเงินประมาณ 158.643 ล้านบาท ตลอดจนอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฏร์ธานี เพื่อดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง รวมวงเงินประมาณ 2.87 ล้านบาท
1.2 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง สพช. ได้จัดให้มีการสัมมนาโครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car Pool) เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 เพื่อรับทราบแง่คิด มุมมอง และข้อเสนอแนะจากนักวิชาการ ผู้นำความคิด และผู้เกี่ยวข้องด้านการจราจร เพื่อนำไปใช้ในการกำหนดแนวทางการบริหารและจัดกิจกรรม Car Pool ในอนาคต ซึ่งผลจากการสัมมนาสรุปได้ว่า กิจกรรม Car Pool จะประสบความสำเร็จได้เมื่อเป็น ส่วนหนึ่งในกิจกรรมที่เป็นภาพรวมของกิจกรรมเพื่อลดมลพิษ การประหยัดพลังงาน และการแก้ไขปัญหาการจราจร ซึ่งจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและต้องดำเนิน การติดต่อกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอจึงจะเห็นผล
2. การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม มีความก้าวหน้าในเรื่องของการส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซิน ให้ถูกชนิด โดย สพช. ได้นำเสนอ "โครงการประชาสัมพันธ์รณรงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ออกเทนของเบนซิน ที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์" ต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้มีการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ จะเริ่มออกสู่สายตาประชาชน ในวันที่ 1 เมษายน 2543 นี้ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการเผยแพร่ภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ การซื้อเนื้อที่ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ การเผยแพร่สปอตประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ และกิจกรรมรณรงค์พิเศษ ได้แก่ การจัดสัมมนาสื่อมวลชน กิจกรรมรณรงค์กับสถานีบริการน้ำมันและศูนย์บริการอิสระ กิจกรรมรณรงค์กับรถจักรยานยนต์ รับจ้าง และกิจกรรมรณรงค์สอบถามข้อมูลทางโทรศัพท์อัตโนมัติ "สายด่วนออกเทน" เป็นต้น
3. การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้ใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะสามารถตรึงราคาต่อไปได้จนถึงเดือนกรกฎาคม 2543 และหากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะใช้มาตรการการปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ก่อนดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้เจรจาให้โรงกลั่นปรับลดราคาหน้าโรงกลั่นลง 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2543 ทำให้ ปตท. สามารถลดราคาขายปลีกให้กับผู้บริโภคได้ ดังนี้ เบนซิน 95 อัตรา 25 สตางค์/ลิตร , เบนซิน 91 อัตรา 45 สตางค์/ลิตร และดีเซลหมุนเร็ว อัตรา 25 สตางค์/ลิตร
5. มาตรการลดราคาน้ำมัน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
5.1 กลุ่มเกษตรกร
ปตท. จะลดราคาเบนซินและดีเซลจาก 0.15 บาท/ลิตร ในปัจจุบัน เป็น 0.25 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2543 - 30 มิถุนายน 2543 เนื่องจากเป็นช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวและเพาะปลูกใหม่ อีกทั้งต้องการจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น และในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ปตท. ได้มีการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่เกษตรกรผ่านสถานีบริการรวม 274 แห่ง คิดเป็นปริมาณ 3.6 ล้านลิตร นอกจากนี้ ปตท. พร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการทั่วประเทศ 1,500 แห่ง
5.2 กลุ่มประมง
คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ( คชก.) ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2543 และได้มีมติอนุมัติให้ปรับอัตราชดเชยการขาดทุนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตาม โครงการช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ชาวประมง เฉพาะเรือขนาดเล็กที่มีความยาวต่ำกว่า 18 เมตร โดยให้คำนวณจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 1 ของทุกเดือน เทียบกับราคา ณ วันที่ 7 กันยายน 2541 (ราคาลิตรละ 7.95 บาท) แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินลิตรละ 3.00 บาท โดยใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในวงเงินจ่ายขาดคงเหลือจากที่ ได้รับอนุมัติ และภายในระยะเวลาโครงการฯ ที่อนุมัติไว้เดิม นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ชาวประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง ให้แก่กลุ่มประมง 80 ราย โดยมีปริมาณการจำหน่ายจำนวน 9 ล้านลิตร
5.3 กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม
ขณะนี้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกำลังเร่งสำรวจจำนวนผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ขนาดกลางและย่อมที่อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือจาก ปตท. คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2543 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 100,000 ราย อย่างไรก็ตาม ปตท. จะเริ่มจำหน่ายน้ำมันให้ผู้ประกอบการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2543 จนถึง 15 มิถุนายน 2543 โดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซล 0.15 บาท/ลิตร และน้ำมันเตา 0.07 บาท/ ลิตร
6. มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
6.1 ภาคการผลิตไฟฟ้า
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) ได้รายงานว่าการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2543 นี้ และในระหว่างที่การจัดทำสัญญาฯ ยังไม่แล้วเสร็จ กฟผ. และ ปตท. มีบันทึกข้อตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2541 เพื่อใช้ประกอบการซื้อขายก๊าซธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ปตท. ได้รายงานว่าการลงนามในสัญญาซื้อขายฯ ดังกล่าว ต้องล่าช้าออกไป เนื่องจากการเจรจายกร่างยังไม่สามารถหาข้อยุติที่เป็นเงื่อนไขสำคัญหลักๆ ได้ ในส่วนความก้าวหน้า ของการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีนั้นคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังความร้อนเครื่องที่ 1 และ 2 จะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้า เชิงพาณิชย์ได้ในเดือนมิถุนายน 2543 และพฤศจิกายน 2543 ตามลำดับ สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซที่อยู่ระหว่างก่อสร้างยังคงประสบปัญหา ที่สำคัญ คือ บริษัทผู้ผลิตจะจัดส่งอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าล่าช้ากว่ากำหนด 1 - 3 เดือน ซึ่งจะส่งผลต่อกำหนดการก่อสร้างโรงไฟฟ้า แต่ กฟผ. ก็ได้ เร่งรัดบริษัทผู้ผลิตอย่างต่อเนื่อง
6.2 ภาคอุตสาหกรรม
ปตท. อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Ring Gas Pipeline Project) รวมทั้ง จัดทำการออกแบบเบื้องต้นทางด้านวิศวกรรม และการประเมินผลสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (Initial Environment Evaluation) โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2543 เพื่อขอความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ภายในเดือนมิถุนายน 2543 ส่วนการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environment Impact Assessment) คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2543 และการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2545 และสามารถดำเนินการได้ราวต้นปี 2546
6.3 ภาคคมนาคมขนส่ง
ปตท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ขสมก. และ กทม. ในการจัดทำข้อเสนอแผนงาน โครงการเพื่อรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และจะพิจารณาให้มีการสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ 6 สถานีแรกในปี 2543 โดย 3 สถานีจะสร้างรองรับรถโดยสารของ ขสมก. และรถ เก็บขยะ กทม. ขณะนี้อยู่ระหว่างหาสถานที่ และอีก 3 สถานีจะสร้างที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ , ศูนย์ปฏิบัติการชลบุรี และโรงแยกก๊าซฯ จังหวัดระยอง ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลเพื่อประกอบการจัดจ้าง พร้อมกันนี้ ปตท. ได้จัดทำแผนงานเบื้องต้นในการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ จำนวน 30 สถานี ( รวม 6 สถานีแรก ) ภายในปี 2543 - 2547 เพื่อให้บริการรถโดยสาร ขสมก. รถเก็บขยะ กทม. และรถเอกชนที่จะดัดแปลงเพิ่มในอนาคต
6.4 การทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลักของ ปตท.
ขณะนี้ ปตท. กำลังจัดทำแผนวิสาหกิจ ปตท. ประจำปี 2544 - 2548 โดยจะขออนุมัติต่อ ที่ประชุมคณะกรรมการ ปตท. ในวันที่ 26 เมษายน 2543 และจะนำเสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโดยเร็ว ที่สุดต่อไป นอกจากนี้ ได้มีการทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้ก๊าซฯ ในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง
6.5 การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐ
ปตท. ได้ดำเนินการจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 ซึ่งมีปริมาณ 106.3 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มเป็น 124.3 พันบาร์เรลต่อวัน ในปี 2543 หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 17 โดยมีแหล่งจากประเทศในกลุ่มยูเออี คูเวต โอมาน อิหร่าน กาตาร์ และมาเลเซีย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การแก้ไขปัญหาภาคการขนส่งทางถนนเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงคมนาคมช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ ผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาในคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติก่อน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. เนื่องจากสภาวะของราคาน้ำมันยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน หากแก้ไขปัญหาโดยการปรับเพิ่มอัตราค่าขนส่งแล้ว เมื่อราคาน้ำมันปรับลดลง การลดอัตราค่าขนส่งอาจดำเนินการได้ยากในทางปฏิบัติ กระทรวงคมนาคม จึงได้เสนอมาตรการชั่วคราวตามแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง โดยรัฐจะรับภาระกึ่งหนึ่งของส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดีเซลในท้องตลาดกับ ประมาณการราคาน้ำมันดีเซลที่กรมการขนส่งทางบกใช้ในการวิเคราะห์ต้นทุนอัตรา ค่าโดยสาร ซึ่งเท่ากับ 10.82 บาท โดยใช้เงินจากงบกลางจำนวน 500 ล้านบาท
3. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นว่าโครงการดังกล่าว จะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการขนส่งและลดผลกระทบที่จะมีต่อประชาชนผู้ใช้ บริการ แต่ควรเป็นมาตรการชั่วคราว โดยควรกำหนดเวลาช่วยเหลือให้ชัดเจนและกำหนดเพดานสูงสุดของราคาน้ำมันดีเซล ที่รัฐจะให้ความช่วยเหลือ เพื่อให้อัตราค่าขนส่งสามารถปรับขึ้นได้ตามภาวะของราคาน้ำมัน ซึ่งจะทำให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งเป็นไปอย่างประหยัดและมี ประสิทธิภาพ
4. สำนักงบประมาณ มีความเห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและเฉพาะกลุ่มเป็น การชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งอาจสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบแก่ผู้ประกอบการขนส่งด้านอื่นๆ และส่งผลให้เกิดการสร้างกระแสเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงควรให้ค่าขนส่งขึ้นลงตามกลไกตลาด โดยเสนอให้มีการปรับค่าขนส่งและค่าโดยสารเพิ่มขึ้นในอัตราที่ทำให้ผู้ประกอบ การขนส่งมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนที่จะได้รับการชดเชยค่าน้ำมันเชื้อ เพลิงจากรัฐบาล แต่หากคณะรัฐมนตรีเห็นว่าจำเป็นต้องดำเนินโครงการฯ ก็ให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ฝ่ายเลขานุการฯได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซล การเปรียบเทียบกำไรขาดทุนของผู้ประกอบการขนส่ง และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
5.1 ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในเดือนมีนาคม ได้ขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดที่ 12.82 บาท/ลิตร และได้อ่อนตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกมาอยู่ในระดับ 11.87 บาท/ลิตร ณ วันที่ 1 เมษายน 2543 และในเดือนเมษายน ราคาน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงอีกตามการอ่อนตัวของราคาน้ำมันดิบและ จากความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาล
5.2 ในปี 2541-2542 กระทรวงคมนาคมใช้ฐานราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในการกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ ลิตรละ 10.61 บาท และ 10.72 บาท ตามลำดับ แต่ราคาขายปลีกจริงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ทำให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,566 ล้านบาท/ปี และ 3,178 ล้านบาท/ปี ตามลำดับ ส่วน ในช่วงต้นปี 2543 ราคาขายปลีกสูงกว่าราคาฐานซึ่งเท่ากับ 10.82 บาท/ลิตร ทำให้ผู้ประกอบการประสบปัญหาขาดทุนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 409 ล้านบาท แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าการได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา
5.3 ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2543 อยู่ในระดับ 3,361 ล้านบาท โดยมีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 129 ล้านบาท/เดือน และรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 884 ล้านบาท/เดือน ทำให้มีเงินไหลออกจากกองทุนฯ สุทธิ 756 ล้านบาท/เดือน จึงคาดว่ากองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้ประมาณ 4 เดือน
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งควรคำนึงถึงผล ประโยชน์ที่ผู้ประกอบการได้รับในอดีตจากราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าราคาฐานในการ คำนวณอัตราค่าโดยสาร โดยควรพิจารณาให้ความช่วยเหลือเมื่อผู้ประกอบการมีปัญหาการขาดทุนนานพอสมควร จนใกล้เคียงกับผลประโยชน์ ที่เคยได้รับ ประกอบกับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในเดือนเมษายน มีแนวโน้มที่จะลดลงไปอีก ดังนั้น น่าจะรอดูแนวโน้มของราคาน้ำมันต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อน หากในอนาคตจำเป็นต้องมีมาตรการเพื่อช่วยเหลือการขาดทุนจากราคาน้ำมัน ก็ควรใช้เป็นมาตรการชั่วคราวระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น โดยรัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้เนื่องจากฐานะของกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบัน ไม่สามารถสนับสนุนได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากการขาดทุนจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเกิดขึ้นเป็นระยะยาว ก็ควรปรับอัตราค่าโดยสารและค่าขนส่งให้ตามความเหมาะสม เพื่อให้สะท้อนถึงต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่แท้จริง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการชะลอการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชดเชย ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอออกไปก่อน โดยให้มีการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง 1-2 เดือนนี้ หากราคาน้ำมันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นให้นำแผนปฏิบัติการโครงการช่วยเหลือชด เชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่ง กลับมาพิจารณาทบทวนอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 การคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP)
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ( กฟผ.) ได้ประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers: SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้า
2. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอย ตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลได้เห็นชอบแนวทางการลดผลกระทบจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องมาตรการการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ซึ่งประกอบด้วย การแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ SPP ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง SPP กับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ( ปตท.) การปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อบรรเทาผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว และการเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ (Commercial Operation Date : COD) โดย กฟผ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จะพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบเป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม
3. อย่างไรก็ตาม ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้ดำเนินโครงการ SPP ประสบกับปัญหาการจัดหาเงินกู้ล่าช้า และลูกค้าตรงของ SPP ไม่สามารถดำเนินโครงการได้ตามกำหนด ทำให้ SPP หลายรายขอเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซายังมีผล ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศลดลงอย่างมาก และระดับกำลังการผลิตสำรอง (Reserve Margin) ในปี 2543-2547 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวและเพื่อให้เป็นไปตามมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น สพช. และ กฟผ. จึงได้ร่วมกันหารือกับ SPP โดยขอให้โครงการต่างๆ ชี้แจงความคืบหน้าของโครงการ ปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนความจำเป็นที่ต้องเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายกระแสไฟฟ้า เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของ SPP ให้สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ และในขณะเดียวกัน กฟผ. ก็สามารถลดภาระการชำระค่าไฟฟ้าให้โครงการ SPP ได้ด้วย
4. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 มอบหมายให้ กฟผ. และ สพช. ติดตามความคืบหน้าของโครงการ IPP และ SPP อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกำหนดการจ่ายไฟฟ้าตามสัญญา และให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ที่ประชุมมีข้อสังเกตว่าการผ่อนผันการเลื่อนกำหนดการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ไม่ได้ทำให้รัฐหรือการไฟฟ้าเสียประโยชน์ ดังนั้น กฟผ. จึงไม่ควรคิดค่าปรับจากการที่ IPP และ SPP ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ได้ตามกำหนด
5. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 93 ราย แต่มีบางรายที่ถูกปฏิเสธและบางรายที่ขอถอนข้อเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากค่า เงินบาทลอยตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 51 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 50 ราย และกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา 1 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นสูงถึง 2,133 เมกะวัตต์ และ ณ เดือนมีนาคม 2543 มี SPP 41 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว ปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 1,581 เมกะวัตต์
6. ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ SPP ตั้งแต่ปี 2539 คิดเป็นปริมาณรวม 14,891 ล้านหน่วย มูลค่าการรับซื้อไฟฟ้า 24,567 ล้านบาท ราคารับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ย 1.27-1.78 บาท/หน่วย ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบต้นทุนการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของ กฟผ. โดยใช้น้ำมันดีเซลเป็นเชื้อเพลิงกับการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มจากผู้ผลิตไฟฟ้า เอกชน พบว่าการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนจะมีต้นทุนต่ำกว่า นอกจากนี้ ในสถานการณ์ ที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จึงควรมีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน เป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น เพื่อลดการใช้น้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้า
7. ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 มี SPP หลายโครงการที่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วแต่ยังไม่ได้จำหน่ายไฟฟ้าเข้า ระบบ ขอเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบออกไปจากเดิม โดย สพช. และ กฟผ. ได้พิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ และเงื่อนไข ในการเริ่มต้นจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบใหม่ จำนวน 4 ราย ได้แก่ บริษัท ธัญญพล จำกัด , บริษัท อัลฟา เพาเวอร์ จำกัด, บริษัท สยามเพาเวอร์ เจนเนเรชั่น จำกัด และ บริษัท ทีแอลพี โคเจนเนอเรชั่น จำกัด นอกจากนี้ มีโครงการ SPP ที่ขอยกเลิกโครงการและขอคืนหลักค้ำประกัน จำนวน 3 ราย คือ บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด , บริษัท ปัญจพลไฟเบอร์ คอนเทนเนอร์ จำกัด และบริษัท ปัญจพล พัลพ์ อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน )
8. กฟผ. ได้เสนอว่าในการพิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้นั้น ควรให้ครอบคลุมถึงการยกเลิกโครงการของ SPP ด้วย ซึ่งการให้ SPP เลื่อนหรือยกเลิกโครงการในช่วงนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศลดลงอย่างมากและปริมาณพลังไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) อยู่ในระดับสูง และเพื่อให้การยกเลิกโครงการของ SPP ดังกล่าวมี ความเป็นไปได้ จึงเห็นควรคืนหนังสือค้ำประกันฯ ให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการด้วย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นมา
มติของที่ประชุม
1.มอบหมายให้ สพช. และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้เป็นรายๆ ไปตามความเหมาะสม โดยครอบคลุมถึงการเลื่อนกำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และการยกเลิกโครงการของ SPP ด้วย
2.ให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 อนุมัติแผนปฏิบัติการโครงการอาคารของรัฐ ( ปีงบประมาณ 2539-2542) ตามที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เสนอ โดยในช่วงปีงบประมาณ 2539-2541 พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในอาคารของรัฐแล้วเสร็จ จำนวน 413 แห่ง การดำเนินการส่วนใหญ่ประกอบด้วย 5 มาตรการหลัก คือ การใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง การใช้เทอร์โมสตัทชนิดอิเลคทรอนิคส์ การใช้หลอดชนิดประหยัดพลังงาน การใช้โคม ไฟฟ้าชนิดสะท้อนแสง และการใช้บัลลาสต์อิเลคทรอนิคส์
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( สพช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับมอบหมายให้ติดตามประเมินผลการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ระยะที่ 1 ของปีงบประมาณ 2539-2540 ซึ่งจากการประเมินผลพบว่าอาคารของรัฐที่ได้รับการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศ ให้ใหม่เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอาคารไปแล้วนั้น มีหลายแห่งที่ได้นำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วนำกลับมาใช้งานอีก ซึ่งจะทำให้การลงทุนในการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศทั้งหมดไม่ได้ผลในการ ประหยัดพลังงานตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการในการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศที่ ถูกถอดทิ้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ และหากจะมีการทำลายเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดออกนั้น ก็ควรคำนึงถึงวิธีการป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมด้วย โดย พพ. อาจให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาเป็นผู้รับไปดำเนินการให้ถูกต้องตาม หลักวิชาการ
3. ต่อมา คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2543-2547 โดยในส่วนของโครงการอาคารของรัฐได้กำหนดให้ พพ. ปรับแผนของโครงการฯ ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในเรื่องการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วนำกลับมาใช้ ใหม่ในอาคารของรัฐด้วย ซึ่ง พพ. ได้จัดทำมาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้ อีก นำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แล้ว เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543
4. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 เห็นชอบให้ พพ. เร่งดำเนินการศึกษาวิธีการทำลายเครื่องปรับอากาศโดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อม และระหว่างที่ รอผลการศึกษานั้น ให้ สพช. เสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการห้ามมิให้หน่วยงานที่เข้าร่วม โครงการอาคารของรัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับ ปรุงเครื่องปรับอากาศนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้ พพ. เพิ่มข้อความในบันทึกข้อตกลงเพื่อให้ส่วนราชการเจ้าของอาคารยินยอมให้แยกตัว คอมเพรสเซอร์ออกจากชุดระบายความร้อน และเก็บไว้เพื่อรอการทำลายหรือจัดการตามแนวทางที่ได้รับจากผลการศึกษาต่อไป
5. นอกจากนี้ ในเรื่องการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้ เครื่องปรับอากาศเป็นอย่างมาก แต่ในปัจจุบันงบประมาณสำหรับค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของหน่วย งานราชการมักจะถูกตัดงบประมาณรายจ่ายอยู่เสมอ คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 เห็นชอบในแนวทางการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของส่วนราชการและงบประมาณค่า ใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐได้ เสนอ โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เครื่องปรับอากาศที่แต่ละหน่วยงานของรัฐเสนอมา และให้หน่วยงานของรัฐแต่ละแห่งแยกรายการค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่อง ปรับอากาศออกเป็นรายการหนึ่งต่างหากจากหมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ พร้อมทั้งระบุด้วยว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเป็นรายการห้ามโอนย้าย และให้ สพช. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ สพช. ได้มีการประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาในเรื่องดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2542 และขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการพิจารณาจากสำนักงบประมาณ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เร่งดำเนินการศึกษาวิธีการทำลายเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อม และให้ทราบผลภายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543
2.เห็นชอบให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับ อากาศ ห้ามนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้แยกตัวคอมเพรสเซอร์ออกจากชุดระบายความร้อนและเก็บไว้เพื่อรอการทำลาย หรือจัดการตามแนวทางที่ได้รับจากผลการศึกษาของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ต่อไป
3.มอบหมายให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ประสานงานกับสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ในเรื่องการไม่ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการอาคารของ รัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับ อากาศ โอนเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกไปให้ส่วนราชการอื่นที่ยังขาดแคลนและมี ความจำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ
4.มอบหมายให้สำนักงบประมาณรับไปติดตามการพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้ จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศที่แต่ละหน่วยงานของรัฐเสนอมา โดยให้หน่วยงานแต่ละแห่งแยกรายการค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเครื่องปรับ อากาศออกเป็นรายการหนึ่งต่างหากจากหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ พร้อมทั้งให้ระบุว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายการห้ามโอนย้าย