Super User
ประกาศ ขึ้นบัญชีและยกเลิกบัญชี ตำแหน่งนักทรัพยากรบุคคลปฏิบัติการ วันที่ 23 กันยายน 2558
กพช. ครั้งที่ 73 - วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 73)
วันจันทร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2543 เวลา 14.00น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
3.การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และมาตรการบรรเทา
4.ขอผ่อนผันระยะเวลาในการติดตั้งระบบควบคุมไอระเหยน้ำมันเบนซิน
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การลดปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2541 ถึงต้นปี 2543 รวม 4.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบไม่เพียงพอกับความต้องการ โรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันต้องนำน้ำมันสำรองทางการค้ามาใช้ โดยราคาน้ำมันดิบในเดือนมกราคม 2543 เฉลี่ยทรงตัวอยู่ในระดับ $23.3 - $25.7 ต่อบาร์เรล และเดือนกุมภาพันธ์ราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น $1.3 - $2.1 ต่อบาร์เรล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคามีความผันผวนมากปรับตัวทั้งขึ้นและลงตามกระแสข่าว ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาขยายเวลาการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มประเทศโอเปค ที่จะมีการประชุมเป็นทางการในปลายเดือนมีนาคมนี้ ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคมราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลของปริมาณสำรองที่ลดลงไปสู่ระดับที่ต่ำมาก แม้ว่าจะมีแนวโน้มของการที่โอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน ณ วันที่ 7 มีนาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงปลายเดือนก่อนถึง $3 ต่อบาร์เรล ขึ้นมาสู่ระดับ $ 28.4 - 33.9 ต่อ บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี แต่ในวันถัดมาราคาได้ตกลงประมาณ $3 ต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ $25.3 - $31.2 ต่อบาร์เรล หลังจากมีข่าวประเทศในกลุ่มโอเปคทั้งหมด ได้เห็นด้วยกับการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบแล้ว
2. กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาได้วิเคราะห์ผลของการเพิ่มปริมาณการผลิตต่อ ราคาน้ำมันดิบโลกว่า ถ้าปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทันทีในตลาด จะทำให้ราคาน้ำมันดิบลดลงสู่ระดับ $25.5 ต่อบาร์เรล ในเดือนสิงหาคม และถ้าเพิ่มขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาจะลดลงสู่ระดับ $23 ต่อบาร์เรล ในเดือนกรกฎาคม แต่ถ้าการเพิ่มปริมาณการผลิตเลื่อนออกไปจนกระทั่งไตรมาสที่ 4 ราคาจะขึ้นไปสู่ระดับ $35 ต่อบาร์เรล ในฤดูร้อนนี้
3. นับแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้น $8 - $9 ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบส่วนหนึ่ง และเนื่องจากปริมาณน้ำมันที่ถูกจำกัดจากการลดกำลังกลั่นและการปิดซ่อมแซมของ โรงกลั่นหลายแห่ง ทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปแข็งตัวขึ้นมากกว่าราคาน้ำมันดิบ ในเดือนมีนาคม ราคาน้ำมันเบนซิน เซลและเตา ได้ปรับตัวสูงขึ้น $3.6, $5 และ $5.2 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดย ณ วันที่ 7 มีนาคม 2543 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 97 เบนซินออกเทน 92 ดีเซลและเตา อยู่ในระดับ $37.31, $36.3, $36.9 และ $30.2 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
4. ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินในเดือนกุมภาพันธ์ มีการปรับขึ้น 2 ครั้ง รวม 60 สตางค์/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ปรับราคารวม 3 ครั้ง ปรับลง 1 ครั้ง จำนวน 20 สตางค์/ลิตร และปรับขึ้น 2 ครั้ง รวม 50 สตางค์/ลิตร และในช่วงต้นเดือนมีนาคม ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซล ปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 1.0 บาท/ลิตร โดย ณ วันที่ 9 มีนาคม 2543 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็วเท่ากับ 15.99, 15.19, 14.77 และ 12.82 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ระดับค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำมากกว่าปกติ จากการปรับราคาขึ้นในระดับที่ต่ำและช้ากว่าการปรับขึ้นของราคาน้ำมันในตลาด โลก ซึ่งเป็นผลจากการแข่งขันที่สูงในตลาดน้ำมันและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมอยู่ที่ 0.85 และ 0.76 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดย ณ วันที่ 7 มีนาคม อยู่ในระดับเพียง 0.43 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่แข็งตัวมากกว่าราคาน้ำมันดิบ ซึ่งเดิมอยู่ในระดับเพียง 0.49 บาท/ลิตร ขึ้นมาเคลื่อนไหวในระดับ 0.80 บาท/ลิตร นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
สรุปสาระสำคัญความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการสรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
ในช่วงเดือนตุลาคม 2542 - กุมภาพันธ์ 2543 ได้มีการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543 - 2547) แล้ว โดยมีโครงการที่ได้รับอนุมัติจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็น จำนวน 4,004 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานประมาณ 353 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นเงิน 7,729 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2543 ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สรุปได้ดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรงงานและ อาคารควบคุม ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้อนุมัติเงินเพื่อดำเนินโครงการ นำร่องจำนวน 30 ล้านบาท ให้แก่ 3 หน่วยงาน คือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เพื่อร่วมกันดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรม ขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) เพื่อ ช่วยลดต้นทุนการผลิต โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้แก่โรงงานและอาคารจำนวน 150 แห่ง ทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะประหยัดพลังงานได้ 16 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันดิบ และเมื่อเสร็จสิ้นตามแผนฯ ระยะที่ 1 แล้ว จะขยายผลให้แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กส่วนที่เหลือทั่วประเทศต่อไป
1.2 การส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูง กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนการใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถประหยัดพลังงานได้ถึงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับเตาทั่วไป โดยในช่วงที่ผ่านมาได้มีการมอบหมายให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรีเป็นแกนนำ ในการนำเตาฯ จำนวน 2,400 ลูก ไปสาธิตใช้งานและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่กลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม โรงเรียนและสถานที่ราชการ กลุ่มวัดและประชาชนทั่วไป และกลุ่มผู้ประกอบอาชีพการทำอาหารและร้านอาหาร เพื่อเป็นตัวกระตุ้นตลาดและสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ผลิตเตาฯ รายใหม่ รวมทั้ง เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันสร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริมให้เกิดผลอย่างจริงจังต่อไป
1.3 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำและการติดฉลากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า สพช. ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภท แล้วเสร็จ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพคฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษาพบว่าการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานจะสามารถลดความต้องการใช้ ไฟฟ้า ได้ถึง 700 เมกะวัตต์ หรือ 3,500 ล้านหน่วย ซึ่ง สพช. จะได้นำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายต่อไป
1.4 การส่งเสริมการใช้เตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จัดทำแผนโดยละเอียดโครงการสาธิตเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้เตาเผาศพของประเทศไทย ซึ่ง ต่อมาได้มีการปรับปรุงโครงการฯ ดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยภายในระยะเวลา 6 เดือน มช. จะนำเสนอผลการศึกษาและแบบเตาเผาศพที่ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะแบบจำนวนศพ น้อยเบื้องต้น เพื่อเป็นต้นแบบในการสร้างเพื่อใช้งานจริงในประเทศ และเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 2 ปี มช. จะต้องสร้างแบบเตาเผาศพ แบบสมบูรณ์ ทั้งกรณีจำนวนศพน้อยและจำนวนศพมากในเกณฑ์เดียวกับแบบเตาเผาศพเบื้องต้น และให้มีการรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงานและการปล่อยมลภาวะจากเตาเผาศพที่จะนำ มาใช้ในโครงการเพื่อหาปัจจัยและคุณลักษณะที่เหมาะสมของเตาเผาศพเพื่อการออก แบบเตาเผาศพประหยัดพลังงานต่อไป
1.5 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มีโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วดังนี้
(1) โครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car pool) สพช. ได้เร่งรณรงค์โครงการฯ ไปทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวม 37 องค์กร มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 1,575 คน หลังจากนี้ จะจัดให้มีการสัมมนากลุ่มย่อยกับนักวิชาการ ผู้นำความคิด และผู้เกี่ยวข้องด้านการจราจร เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน รวมถึงอภิปรายความเป็นไปได้ในการขยายผลหรือแนวทางการทำวิจัยเพิ่มเติม
(2) การปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย ได้จัดฝึกอบรมอาจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลจากทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์และเน้นให้ตระหนักถึงความสำคัญในการ ซ่อมบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้ถูกต้อง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลภาวะ รวมทั้ง เพื่อให้กลุ่มอาจารย์ดังกล่าวได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักศึกษาของสถาบันไม่ น้อยกว่าปีละ 3,000 คน นอกจากนี้ กรมควบคุมมลพิษจะมอบใบประกาศให้กับอู่ที่ผ่านการอบรมในเรื่องการปรับแต่ง เครื่องยนต์แล้ว และ ปตท. จะขยายปริมาณงานปรับแต่งเครื่องยนต์ตามสถานที่บริการจากเดิม ประมาณ 2,000 คัน เพิ่มเป็น 4,500 คัน รวมทั้ง กรมการขนส่งทางบก จะจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมการใช้รถอย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดพลังงานให้แก่ พนักงานขับรถทั่วราชอาณาจักร และผู้ประกอบการขนส่งรถโดยสารไม่ประจำทางและรถบรรทุก ที่สำนักงานขนส่งใน 75 จังหวัดทั่วประเทศ และจัดหน่วยเคลื่อนที่ออกไปจัดฝึกอบรมให้แก่นักศึกษาในสถาบันการศึกษาต่างๆ ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
1.6 การส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด สพช.ได้ประสานงานกับกรมควบคุมมลพิษและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในการจัดให้มีการใช้รถโดยสารไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid buses) โดย ขสมก. จะนำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเอาเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ออก แล้วปรับปรุงให้ใช้พลังงานไฟฟ้าจากระบบแบตเตอรี่แทน ซึ่งจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงได้ร้อยละ 49
1.7 โครงการเร่งด่วนเพื่อประชาสัมพันธ์วิธีการประหยัดน้ำมัน สพช. ได้มุ่งเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำมัน และการเลือกใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ โดยเฉพาะการรณรงค์โดยใช้สื่อต่างๆ เพื่อผลักดันให้ผู้ที่สามารถเติมน้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทน 91 ได้ แต่มาเติมออกเทน 95 ให้กลับมาเลือกใช้น้ำมันเบนซินที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ คือ ออกเทน 91
1.8 การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน สพช. ได้คัดเลือกผู้ที่มีประสบการณ์ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมการเชิญชวนและ คัดเลือกข้อเสนอของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อ เพลิงที่จะขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เพื่อชดเชยส่วนต่างจากราคารับซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเปิดรับข้อเสนอโครงการฯ ได้ประมาณเดือนกันยายน 2543 และจะทราบผลการคัดเลือกภายในเดือนมกราคม 2544
(2) สนับสนุนการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า กฟผ. ได้ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ วงเงินประมาณ 800 ล้านบาท เพื่อดำเนินการติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์ แสงอาทิตย์ ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 2 แห่ง รวมขนาด 2.25 เมกะวัตต์ เพื่อผลิตกระแส ไฟฟ้าเสริมเข้าระบบผลิตไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าลงได้ 900,000 ลิตร/ปี
(3) สนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียน กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ร่วมกับ กปร และมูลนิธิชัยพัฒนา ในการออกแบบและติดตั้งเพื่อสาธิตกังหันลมสูบน้ำเพื่อสาธิตและเผยแพร่การใช้ ประโยชน์เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในกิจกรรมด้านเกษตรกรรม ตามรูปแบบการสาธิตการเกษตรแบบผสมผสานแนว "ทฤษฎีใหม่" อันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในพื้นที่โครงการแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน สถานีทดลองข้าวจังหวัดราชบุรี และที่สถานีพืชสวนจังหวัดเพชรบุรี โดยกังหันลมสูบน้ำแต่ละระบบ สามารถสูบน้ำได้เฉลี่ยวันละ 15-20 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
1.9 การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สพช. ยังคงดำเนินการประชาสัมพันธ์และรณรงค์อย่างต่อเนื่องภายใต้ "โครงการรวมพลังหาร 2" โดยเฉพาะประเด็นที่มีความสำคัญ เพื่อตอกย้ำแนวคิดและให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้พลังงานของ ประชาชนในที่สุด
1.10 การพัฒนาหลักสูตรและผลิตสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับพลังงานและผลกระทบของ การใช้พลังงานที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้ "โครงการรุ่งอรุณ" ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการร่วมมือกับสถาบัน สิ่งแวดล้อมไทย และ สพช. โดยการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในการมองปรากฏการณ์ของสิ่ง ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในลักษณะขององค์รวม และเพื่อให้มีทัศนะและพฤติกรรมที่เข้าไปใช้ธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและไม่สร้าง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการสอดแทรกลงไปในทุกวิชาที่มีการเรียนการสอนให้ นักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยม โครงการนี้จะสิ้นสุดในปี 2543 โดยจะสามารถสร้าง โรงเรียนต้นแบบได้ 600 แห่ง เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับการเรียนการสอนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมให้กับ โรงเรียนทั่วประเทศ 40,000 แห่ง ต่อไป
2. การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม มีความก้าวหน้าในแต่ละมาตรการดังนี้
2.1 การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด ปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันได้มีการปรับเปลี่ยนป้ายแสดงค่า ออกเทนของน้ำมันเบนซินที่ตู้จ่ายโดยแสดงค่าออกเทนขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด คือ ออกเทน 91 และออกเทน 95 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นต้นมา และโรงกลั่นน้ำมันได้ปรับลดค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินจาก 97 RON มาเป็น 95 RON โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา ซึ่งรถยนต์ทั่วไปจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ 80 สตางค์/ลิตร นอกจากนี้ สพช. ได้วางแผนประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถที่เครื่องยนต์เหมาะสมกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 แต่ยังคงใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยจะประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ศกนี้ ซึ่งคาดว่าผลจากการประชาสัมพันธ์จะช่วยให้ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อย่างเป็นรูปธรรม
2.2 ให้ กฟผ. ลดการใช้น้ำมันเตาและใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า โดยตั้งแต่เดือนกันยายน 2542 เป็นต้นมา ปริมาณการใช้น้ำมันเตาในโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลงจากระดับ 503 ล้านลิตร มาอยู่ที่ระดับ 198 ล้านลิตร ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 นอกจากนี้ กฟผ. ได้ดำเนินการติดตั้งหน่วยกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ ไดออกไซด์ (FGD) ที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 6 - 7 แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2542 และเครื่องที่ 4-5 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งจะช่วยให้มีการผลิตไฟฟ้าจากลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิงได้เพิ่มขึ้น
3. การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้ใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งจะสามารถตรึงราคาต่อไปได้อีกประมาณ 5 เดือน และหากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะใช้มาตรการการปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ก่อนดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ได้มีการผ่อนผันให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติที่สามารถนำเข้าจากตลาดสิงคโปร์มาใช้ในโรงไฟฟ้าพระ นครเหนือได้ และ ปตท. ได้มีการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันและ กฟผ. แล้ว เพื่อหาทางเลือกต่างๆ ให้น้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. มีราคาต่ำสุด ซึ่งปรากฏว่าทุกโรงกลั่นไม่สามารถปรับลดราคาน้ำมันเตาลงได้อีก เนื่องจากอุตสาหกรรมโรงกลั่น น้ำมันในปัจจุบันประสบปัญหาจาก Margin ตกต่ำ อย่างไรก็ตาม ในการคำนวณสูตรการปรับอัตราค่า ไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) ในขณะนี้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติได้มีมติให้ กฟผ. ใช้ราคาน้ำมันเตาที่คำนวณจากค่าพรีเมี่ยมที่เกิดขึ้นจริง หรือ ใช้อิงราคาตลาดจรสิงคโปร์ของน้ำมันเตากำมะถัน ไม่เกิน 2% มาใช้ในการคำนวณค่า Ft ตั้งแต่ค่าน้ำมันเตาเดือนมีนาคม 2542 เป็นต้นมา จึงทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเตาที่ กฟผ. ซื้อจาก ปตท. มีราคาสอดคล้องกับราคาในตลาดที่เกิดขึ้นจริงมากกว่าราคาที่กำหนดตามสัญญา ซึ่งกำหนดค่าพรีเมี่ยมไว้สูง
5. การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะนี้ได้มีการดำเนินการ แก้ไขกฎหมายศุลกากรเพื่อแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นพนักงานศุลกากรให้มี อำนาจปฏิบัติงานตรวจสอบจับกุมในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักรไทย การกำหนดให้มีมาตรการควบคุมสารโซลเว้นท์ที่ต้นทาง การเร่งออกระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพื่อรองรับการดำเนินโครงการเติมสาร Marker และการนำเสนอผลการศึกษาพฤติกรรมการส่งออกน้ำมัน ข้ามแดนและการเดินเรือสินค้าไปต่างประเทศโดยมีการขอคืนภาษีสรรพสามิตโดยมิ ชอบให้แก่เจ้าหน้าที่หน่วยงานต่างๆ นอกจากนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้เดินทางไปดูสถานการณ์ การลักลอบนำเข้าน้ำมันในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ เมื่อวันที่ 2-3 มีนาคม ที่ผ่านมา และได้มอบนโยบายพร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมศุลกากร เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบเรือประมงดัดแปลงและเรือลักลอบขนส่ง น้ำมันให้เข้มงวดมากขึ้นในช่วงที่ราคาน้ำมันยังคงสูงขึ้นในขณะนี้
6. การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น ขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการดำเนินการดัดแปลงเครื่องยนต์ดีเซลเป็นระบบเชื้อเพลิงร่วม (Diesel Dual Fuel System) รวม 18 คัน และดัดแปลงเครื่องยนต์เบนซินเป็นระบบเชื้อเพลิงสองชนิด (Bi-fuel System) รวม 12 คัน ซึ่งการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์จะแล้วเสร็จกลางเดือนมีนาคม 2543 และ ปตท. จะทำการทดสอบเครื่องยนต์บนถนน ซึ่งคาดว่าจะ แล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2543 นอกจากนี้ ปตท. และ สพช. ได้มีการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการ ขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ขสมก. เพื่อร่วมกันจัดทำข้อเสนอโครงการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ต่อไป
7. การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ปตท. ได้มีการเจรจากับบริษัทผู้ค้าน้ำมันแล้วปรากฏว่าทุกโรงกลั่นไม่สามารถปรับลด ราคาผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นให้เทียบเท่าราคาส่งออกได้ เนื่องจากสภาพปัญหา Margin ตกต่ำ และปริมาณความต้องการภายในประเทศที่ลดลง อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโรงกลั่นน้ำมันจะไม่ปรับลดราคา ณ โรงกลั่นลงมา แต่การที่ประเทศต้องส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งราคาถูกกว่าราคาที่จำหน่ายใน ประเทศก็จะส่งผลดีทางอ้อมต่อประเทศ กล่าวคือ โรงกลั่นน้ำมันและผู้ค้าน้ำมันซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันในประเทศ สามารถนำส่วนต่างของราคา ณ โรงกลั่นกับราคาส่งออกมาใช้เป็นส่วนลดหรือตัดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงใน หลายพื้นที่ นอกจากนี้ มาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกประเภท ซึ่งรัฐได้ขอให้โรงกลั่นผลิตน้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ โดยโรงกลั่นได้ปรับลดค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินจาก 97 RON เป็น 95 RON แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา มีผลทำให้ราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปรับลดลงประมาณ 0.20 - 0.25 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และมาตรการบรรเทาผลกระทบ
หน่วยงานต่างๆ ได้รายงานการประเมินผลกระทบและเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ เพิ่มสูงขึ้นให้ที่ประชุมทราบ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
1.1 จากรายงานการศึกษาผลกระทบของราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจส่วนรวมปี 2543 ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 ได้ศึกษาผลกระทบแบ่งเป็น 3 กรณีด้วยกัน คือ ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 22, 24 และ 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยเปรียบเทียบกับกรณีฐาน ซึ่งมีสมมุติฐานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยที่ 19 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในกรณี เลวร้ายที่สุด (worst case) ซึ่งราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 26 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะมีผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากกรณีฐานประมาณร้อยละ 0.52 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐเท่ากับ 38 บาท)
1.2 ต่อมาราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น สศช. จึงได้ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวม โดยเพิ่มกรณีราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบอยู่ที่ 29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งสรุปได้ว่า ถ้าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 29 เหรียญสหรัฐ (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐ = 38 บาท) จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.74 และอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานร้อยละ 0.6 โดยเพิ่มเป็น ร้อยละ 2.6 ส่วนการส่งออกจะได้รับผลกระทบเล็กน้อยโดยลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.09 มาอยู่ที่ร้อยละ 4.91 อย่างไร ก็ตาม กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ยังคงเป็นกรณีที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุด
1.3 นักวิเคราะห์จากหลายสถาบันคาดว่าหลังเดือนมีนาคม 2543 ราคาน้ำมันจะมีแนวโน้ม อ่อนตัวลงและจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับราคา 21-22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบ ตลอดปีเป็น 22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่กลุ่มโอเปคจะพิจารณาเพิ่มปริมาณการผลิต 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป เนื่องจากผู้ผลิตน้ำมันได้ตระหนักถึงผลกระทบ ต่อเศรษฐกิจโลกและราคาน้ำมันที่สูงจะจูงใจให้ผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปค เม็กซิโก รัสเซีย ผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นทำให้กลุ่มโอเปคมีส่วนแบ่งตลาดลดลง นอกจากนี้การเข้าสู่ฤดูร้อนในซีกโลกตอนเหนือทำให้ความต้องการใช้น้ำมัน ลดลงส่วนหนึ่ง
1.4 สศช. มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2543 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับร้อยละ 0.7 ซึ่งแสดงว่าแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วง โดยการส่งออกซึ่งเป็นเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจที่สำคัญยังคงฟื้นตัวอย่างต่อ เนื่อง แนวโน้มราคาน้ำมันขณะนี้ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยส่วน รวม อย่างไรก็ตาม ผลของราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะมีผลกระทบต่อต้นทุนเฉพาะบางด้าน เช่น การประมง และการขนส่ง จึงควรพิจารณาถึงมาตรการที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงงบประมาณของภาครัฐในอนาคตและ การประหยัดพลังงานซึ่งยังคงมีความสำคัญต่อไป
2. การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการ พร้อมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบ
กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
2.1 กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำการศึกษาผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าเมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าเมื่อค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น และผลกระทบต่อต้นทุนเมื่อราคาค่าขนส่งปรับสูงขึ้น ซึ่งจากการวิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนของสินค้าในการกำกับดูแลของกระทรวง พาณิชย์จำนวน 73 รายการ เมื่อเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลิตรละ 12.82 บาท ในปัจจุบันกับราคาในเดือนมิถุนายน 2542 เฉลี่ยลิตรละ 8.30 บาท ทำให้สินค้าที่มีน้ำมันเป็นปัจจัยในการผลิตจำนวน 53 รายการได้รับผลกระทบจำนวน 12 รายการ ในอัตราร้อยละ 1-7 โดยเมื่อเทียบกับที่รายงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติครั้งที่แล้วมี สินค้าที่ได้รับผลกระทบเพียง 7 รายการ สินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดได้แก่ ปูนซิเมนต์ (ปอร์ตแลนด์) ร้อยละ 7 รองลงมาคือ ตะปู ได้รับผลกระทบร้อยละ 4 กระเบื้องคอนกรีตร้อยละ 3 ส่วนที่เหลืออีก 9 รายการ ได้รับผลกระทบเพียงร้อยละ 1
2.2 ในส่วนของค่ากระแสไฟฟ้าได้มีการติดตามประสานงานกับการไฟฟ้าคาดว่าจะมีการ ปรับอยู่ที่ร้อยละ 6 และถ้ามีการปรับในเดือนเมษายนนี้ สินค้าที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ แคลเซียมคาร์ไบต์ รองลงมาคือ น้ำมันหล่อลื่น และกระดาษ ซึ่งก็มีผลกระทบไม่มากนัก ส่วนผลกระทบที่เกิดจากค่าขนส่งจะมี ผลกระทบแตกต่างกันไปในระดับของราคาขายปลีก รายการสินค้าที่กระทบมากที่สุด คือสินค้าวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เป็นต้น
2.3 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการให้ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการครองชีพประมาณ 570 ราย แจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้า ให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วันทำการก่อนการปรับราคาสินค้า เพื่อศึกษาวิเคราะห์ต้นทุนสินค้าและพิจารณาราคาจำหน่ายที่เหมาะสมตามภาระต้น ทุนที่แท้จริง นอกจากนี้ ได้มีการติดตามดูแลความเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณสินค้า รวมทั้งพฤติกรรมผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ จัดเจ้าหน้าที่สายตรวจออกตรวจสอบภาวะสินค้าเป็นประจำทุกวันทำการ รวมทั้ง การตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค และการจัดจำหน่ายสินค้าราคายุติธรรมให้แก่ผู้บริโภค
3. การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการในสาขาเกษตร พร้อมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 ภาคเกษตรกรรมสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 สาขาหลัก คือ การเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ ป่าไม้ และประมง ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสาขาการเพาะปลูก คือ เรื่องน้ำ การขนส่ง และราคาสินค้า และเนื่องจาก สินค้าเกษตรมีราคาต่อหน่วยต่ำมาก เพราะฉะนั้นจะได้รับผลกระทบจากราคาค่าขนส่งเป็นหลัก ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรที่ต้องอาศัยการขนส่ง เช่น ปุ๋ยเคมี ซึ่งมีปริมาณการใช้ปีละประมาณ 3 ล้านตัน โดยปกติราคา ค่าขนส่งเฉลี่ยที่ 575 บาทต่อตัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะทาง เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 12.50 บาทต่อลิตร จากราคาเดิม 12.00 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้นอีก 28.75 บาทต่อตัน สำหรับราคาสินค้าตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงว่าได้รับผลกระทบก็จะส่งผล กระทบต่อราคาสินค้าเกษตรยิ่งขึ้น ส่วนในเรื่องการใช้ น้ำเพื่อการเกษตรจะมีต้นทุนเกี่ยวกับค่าไฟฟ้าและน้ำมันดีเซล ซึ่งจะมีผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตร
3.2 ด้านการเลี้ยงสัตว์จะเกี่ยวข้องกับราคาอาหารสัตว์ หากราคาอาหารสัตว์เพิ่มสูงขึ้นจากภาระค่าขนส่ง ซึ่งผู้ประกอบการมักจะผลักภาระให้แก่เกษตรกรก็จะส่งผลให้ต้นทุนการเลี้ยง สัตว์เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ ผลกระทบจากค่าไฟฟ้าที่ปรับตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จะทำให้ต้นทุนการผลิตปศุสัตว์ปรับสูงขึ้นบางส่วน เช่น ราคาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสุกรร้อยละ 0.007 ไก่เนื้อร้อยละ 0.09 และไข่ไก่ร้อยละ 0.01 ส่วนด้านการทำป่าไม้ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นน้อยมาก
3.3 ด้านการประมงจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้มี โครงการช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ชาวประมง มาตั้งแต่ปี 2539 โดยใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ซึ่งได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ แบบจ่ายขาดเป็นจำนวน 420 ล้านบาท ปัจจุบันมีเงินคงเหลืออยู่ไม่ต่ำกว่า 160 ล้านบาท แต่เนื่องจากโครงการ ระยะที่ 3 ในปี 2541 คชก. ได้มีมติกำหนดเพดานราคาน้ำมันดีเซลไว้ที่ราคาเกินกว่า 7.95 บาทต่อลิตร แต่ชดเชยให้ชาวประมงไม่เกิน 0.97 บาทต่อลิตร และเมื่อบวกค่าการตลาดแล้วจะเป็นเงินช่วยเหลือชาวประมงไม่เกิน 1.75 บาทต่อลิตร ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 มีเงื่อนไขเพิ่มเติมจำกัดขนาดของเรือประมงที่ได้รับความช่วยเหลือคือเรื่อง ประมงที่มีความยาวน้อยกว่า 18 เมตร ลงมา ดังนั้น เรือประมงขนาดใหญ่จะไม่อยู่ในข่ายที่ได้รับความช่วยเหลือ แต่ก็สามารถเติมน้ำมันจากนอกน่านน้ำได้ ขณะนี้ชาวประมงได้มีข้อเรียกร้องให้กำหนดเพดานการชดเชยเพิ่มขึ้นจาก 0.97 บาทต่อลิตร เป็นไม่น้อยกว่า 3 บาทต่อลิตร ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ จะนำเสนอ คชก. เพื่อพิจารณาต่อไป
3.4 กระทรวงเกษตรฯ มีความเห็นเพิ่มเติมว่าในขณะนี้เรือประมงยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเครื่อง ยนต์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยยังใช้เครื่องยนต์ของรถบรรทุกซึ่งไม่ประหยัดพลังงาน ในระยะยาวกระทรวงเกษตรฯ จะพิจารณากำหนดมาตรการช่วยเหลือชาวประมงในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ เหมาะสม และจะนำหารือกับคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
4. การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการในสาขาอุตสาหกรรม พร้อมทั้ง มาตรการบรรเทาผลกระทบ
กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
4.1 กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เพื่อรับทราบผลกระทบที่เกิดขึ้น รวมทั้งการพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเอกชน จากผลการประชุมสรุปได้ว่า ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายน 2542 ปรากฏว่า ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นประมาณร้อยละ 40-50 และค่า Ft ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนมิถุนายน 2542 ซึ่งเท่ากับ 32.60 สตางค์ต่อหน่วย เพิ่มขึ้นเป็น 56.32 สตางค์ต่อหน่วย ปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลต่อต้นทุนราคาสินค้าประเภทต่างๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมแก้ว และสิ่งทอ ซึ่งได้รับผลกระทบมาก รองลงมา คือ อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ เหล็ก และแปรรูปอาหาร ซึ่งมีต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 5
4.2 มาตรการบรรเทาผลกระทบ แบ่งเป็น 4 มาตรการด้วยกัน คือ มาตรการช่วยเหลือ มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน มาตรการประหยัด และมาตรการอื่นๆ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
4.2.1 มาตรการช่วยเหลือ ประกอบด้วย
(1) โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลราคาถูกให้ชาวประมง โดย ปตท. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการช่วยเหลือชาวประมงในการจำหน่าย น้ำมันดีเซลราคาต่ำกว่าราคา ขายปลีกประมาณ 1.75 บาทต่อลิตร โดยเป็นส่วนลดที่กระทรวงเกษตรฯ ให้แก่ชาวประมง 0.97 บาทต่อลิตร และ ปตท. ให้ ส่วนลดอีก 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งโครงการนี้จะสิ้นสุดลงในวันที่ 15 สิงหาคม 2543 เมื่อโครงการสิ้นสุดลง ปตท. ก็จะดำเนินการให้ส่วนลดในส่วนของ ปตท. ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2543 ไม่ว่า คชก. จะมีโครงการร่วมหรือไม่ก็ตาม
(2) โครงการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้เกษตรกร โดย ปตท. ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ได้ดำเนินการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและดีเซลราคาถูกให้แก่กลุ่มเกษตรกรที่เป็น สมาชิกของ ธกส. ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2542 โดยขายต่ำกว่าราคาขายปลีก 0.15 บาทต่อลิตร ในพื้นที่ 47 จังหวัด ผ่านสถานีบริการทั้งหมด 274 แห่ง และ ปตท. จะขยายโครงการให้ครอบคลุมทุกจังหวัด โดยผ่านสถานีบริการ ของ ปตท. รวม 1,500 แห่ง ภายในปี 2544 คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการจากเดิม 9,000 ราย เพิ่มเป็น 30,000 ราย ซึ่งเกษตรกรจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 22 ล้านบาทต่อปี
(3) การจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โดย ปตท. จะจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่ขึ้น ทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้ซื้อน้ำมันจาก ปตท. โดยตรง ซึ่งจะมีส่วนลดของน้ำมันดีเซลลดลงจากราคาปกติ 0.15 บาทต่อลิตร และน้ำมันเตาลดลงจากราคาปกติ 0.07 บาทต่อลิตร ซึ่งจะเป็นมาตรการชั่วคราวไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2543
4.2.2 มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน
กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาในภาค ผลิตกระแสไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ปัจจุบันปริมาณการใช้ก๊าซธรรมชาติของประเทศประมาณ 1,900 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในขณะที่กำลังการผลิตและส่งก๊าซธรรมชาติมีประมาณ 2,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งเพียงพอสนองตอบความต้องการใช้ในภาคการผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม และขนส่ง ขณะเดียวกัน ปตท. ก็สามารถขยายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มขึ้นเป็น 3,000-4,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ต่อวัน เพื่อรองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยในระยะยาว ปตท. วางแผนที่จะวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติเชื่อมโยงจากราชบุรีไปยังวังน้อยเพื่อ ให้ระบบท่อฯ เชื่อมโยงไปได้ทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็จะมี โครงการวางท่อก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อสนองตอบความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการผลิตต่างๆ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีข้อเสนอเพื่อให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาอนุมัติเพื่อให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันในภาคการผลิตต่างๆ ดังนี้
(1) ภาคการผลิตไฟฟ้า ให้มีการเร่งรัดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรี ซึ่งล่าช้ามากกว่า 18 เดือน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้สามารถใช้ก๊าซธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และในระยะยาวสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระ นครใต้ ซึ่งสามารถดัดแปลงอุปกรณ์จากการใช้น้ำมันเตามาใช้ก๊าซธรรมชาติได้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดต้นทุนการผลิตและลดมลภาวะทางอากาศด้วย
(2) ภาคอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจนในการให้ภาคอุตสาหกรรมเพิ่ม การใช้ก๊าซธรรมชาติ จากเดิมร้อยละ 19 เพิ่มเป็นร้อยละ 27 ของปริมาณการใช้ เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมโดยรวมในระยะ 5 ปีข้างหน้า โดย ปตท. มีแผนที่จะวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร เพื่อส่งก๊าซธรรมชาติให้โรงงานอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้ง โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระนครใต้ แต่ทั้งนี้โรงงานอุตสาหกรรมจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ หัวจ่าย เตาเผา เพื่อให้สามารถใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้ ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูง ดังนั้น เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้ก๊าซธรรมชาติเร็วยิ่งขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงขอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบใน หลักการในการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นเงินลงทุนปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้แก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นหรือลดหย่อนอากรการนำเข้าของอุปกรณ์ที่ เกี่ยวกับการใช้ก๊าซธรรมชาติ
(3) ภาคคมนาคมขนส่ง ปตท. อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ได้มีการประสานงานกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) แล้ว โดยในระยะแรกจะดำเนินการดัดแปลงเครื่องยนต์รถของ ขสมก. จำนวน 291 คัน และรถเก็บขยะของ กทม. จำนวน 400 คน รวมจำนวนทั้งสิ้น 691 คัน ซึ่งจะสามารถลดต้นทุนให้ ขสมก. และ กทม. ได้ประมาณปีละ 32 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ทั้งสองหน่วยงานมีปัญหาในเรื่องเงินลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรมจึงขอให้ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุนแก่ ขสมก. ในการดัดแปลงเครื่องยนต์ในวงเงิน 270 ล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำให้แก่ กทม. ในการดัดแปลงรถเก็บขยะวงเงิน 180 ล้านบาท รวมทั้ง เงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำให้แก่ ปตท. ในการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติรวม 6 สถานี ในวงเงิน 180 ล้านบาท เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ซึ่งในปัจจุบันมีสถานีบริการอยู่ที่รังสิตเท่านั้น โดยสถานีบริการที่จะก่อสร้างเพิ่มอีก 6 สถานี จะอยู่ที่จังหวัดชลบุรีและตามจุดต่างๆ ที่เป็นจุดจอดรถของ ขสมก.
อย่างไรก็ตาม ในการก่อสร้างท่อก๊าซธรรมชาติวงแหวนรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในขณะนี้ เนื่องจากคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้กำหนดให้มีการจัดทำ รายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพื่อขอความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมก่อน จึงจะพิจารณาอนุมัติโครงการได้ แต่โครงการนี้ยังไม่ได้อยู่ในขั้นตอนการออกแบบ ทางวิศวกรรมจึงยังไม่สามารถจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้น ถ้าจะให้โครงการแล้วเสร็จในปี 2545 ก็ต้องเริ่มดำเนินงานให้ได้ภายในปีนี้ จึงเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ ปตท. สามารถดำเนินการไปได้ก่อน เช่น การศึกษาด้านการวางท่อก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ปตท. จะมีการทบทวนแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซ ธรรมชาติอีกครั้ง เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม และขนส่งได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
(4) การเร่งรัดดำเนินการสำรวจและให้สัมปทาน กระทรวงอตุสาหกรรมมีนโยบาย จะเร่งรัดให้ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมสำรวจและพัฒนาการผลิตน้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติจากแหล่งภายในประเทศ และ/หรือ ประเทศเพื่อนบ้านให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะเร่งรัดให้มีการเปิดให้เอกชนรายใหม่เข้ามาขอสัมปทานตามกฎหมาย ปิโตรเลียม เพื่อเป็นการเพิ่มปริมาณสำรองพลังงานของประเทศและลดการพึ่งพาพลังงานจากต่าง ประเทศ และได้มีการส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากแหล่งพลังงานทดแทนอื่นๆ ภายในประเทศ เช่น ถ่านหิน
(5) การพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการจัดหาน้ำมันดิบที่นำเข้าแบบรัฐต่อรัฐ ปตท. ได้พยายามจัดหาน้ำมันดิบในลักษณะรัฐต่อรัฐ โดยในปีนี้ ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบจากโอมาน ซึ่งสามารถจัดซื้อได้ราคาถูกกว่าตลาดจร ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 86 ล้านบาทต่อปี และหลังจากบริษัทไทยออยล์ จำกัด ได้ปรับโครงสร้างหนี้เรียบร้อยแล้ว ปตท. ต้องจัดหาน้ำมันดิบให้บริษัทไทยออยล์เพิ่มขึ้นจาก 100,000 บาร์เรล ต่อวัน เพิ่มเป็น 200,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้สามารถวางแผนจัดหาน้ำมันในลักษณะรัฐต่อรัฐ จากประเทศต่างๆ ได้ เช่น บรูไน หรือ โอมาน เพิ่มขึ้น ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมันดิบได้ อย่างน้อยประมาณ 130 ล้านบาทต่อปี
4.2.3 มาตรการประหยัดพลังงาน ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ
(1) การรณรงค์การใช้น้ำมันให้ถูกประเภท โดยให้ผู้ที่ใช้รถยนต์ซึ่งเครื่องยนต์เหมาะกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 แต่ยังคงใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 แทน โดย ปตท. ได้ร่วมกับ สพช. ในการรณรงค์ผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ เพื่อผลักดันให้มีการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น
(2) การรณรงค์ให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tune-up) โดย ปตท. ได้ดำเนินการอยู่แล้ว 5 แห่งในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งผลปรากฏว่ารถยนต์ที่เข้ามาปรับแต่งเครื่องยนต์สามารถลดการใช้เชื้อเพลิง ได้เฉลี่ยร้อยละ 5 และในปี 2543 นี้ จะขยายโครงการไปยังต่างจังหวัด โดยจะดำเนินการร่วมกับจังหวัด และขนส่งจังหวัด เข้าไปดำเนินการรวม 60 แห่ง โดยจะขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการ ดำเนินการวงเงินประมาณ 15 ล้านบาท
(3) โครงการประหยัดพลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นโครงการระยะกลางและระยะยาว ประกอบด้วย 5 กิจกรรมหลัก คือ
1.การประชาสัมพันธ์และจัดสัมมนาเพื่อกระตุ้นให้โรงงานอุตสาหกรรมเห็นความ สำคัญของการประหยัดพลังงาน และวิธีการจัดการในการประหยัดพลังงาน โดยมีเป้าหมายการประชาสัมพันธ์ให้โรงงานทราบจำนวน 50,000 แห่ง และการจัดสัมมนาให้แก่โรงงานจำนวน 25,000 แห่ง ในระยะเวลา 5 ปี โดยขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงิน 100 ล้านบาท
2.การให้คำปรึกษาแนะนำแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ให้สามารถดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ใดๆ ทั้งสิ้น โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน วงเงิน 150 ล้านบาท คาดว่าโรงงานจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ 1,500 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 5 ปี
3.การปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ประหยัดพลังงานให้แก่โรงงานอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมกับ กฟผ. และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ได้ดำเนินโครงการนำร่องอยู่แล้วเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่โรงงาน โดยจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับการดำเนินการในระยะเวลา 5 ปี วงเงิน 360 ล้านบาท
4.การประหยัดพลังงานโดยใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม มีเป้าหมายที่จะดำเนินการในอุตสาหกรรม 5 ประเภท คือ อุตสาหกรรมหลอมเหล็ก แก้วและกระจก ปูนซีเมนต์ หลอมอลูมิเนียม และเซรามิค ในการนำพลังงานความร้อนที่เหลือจากการผลิตมาใช้ประโยชน์ โดยจะขอความเห็นชอบในหลักการในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน
5.โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่เพื่อประหยัดพลังงาน โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งได้มีการดำเนินการไปบ้างแล้วโดยได้รับความช่วยเหลือจาก ต่างประเทศ และเห็นว่าโครงการนี้ได้ผลดีในการประหยัดพลังงาน ขณะนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ซึ่งมีอายุใช้งานเกินกว่า 10 ปี อีกมาก จึงขอความเห็นชอบในหลักการในการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อ ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการดำเนินการ โดยคาดว่าจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้กว่าร้อยละ 20
4.2.4 มาตรการอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นมาตรการเชิงนโยบาย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้มีมาตรการในการรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีก น้ำมันในประเทศ โดยอาจมีการพิจารณาปรับปรุง โครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศ เนื่องจากมีการใช้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว จึงควรพิจารณาปรับปรุงให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เช่น ราคาน้ำมันควรจะยังอิงราคาตลาดสิงคโปร์ต่อไปหรือไม่
5. การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการในสาขาขนส่ง พร้อมทั้งมาตรการบรรเทาผลกระทบ
กระทรวงคมนาคมได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
5.1 สัดส่วนของต้นทุนที่มาจากน้ำมันในภาคขนส่งมีต้นทุนอยู่ระหว่างร้อยละ 17-31 ของต้นทุนทั้งหมด โดยขึ้นอยู่กับว่าเป็นพาหนะชนิดใด และประเภทใด ในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน กระทรวงคมนาคม ได้ขอให้ผู้ประกอบการช่วยรับภาระไปก่อน โดยใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ในการกำหนดราคาค่าโดยสารและค่าขนส่ง ซึ่งก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะๆ
5.2 ในการวิเคราะห์ต้นทุนค่าขนส่งมีสมมุติฐานของราคาน้ำมันเฉลี่ยในปี 2543 ลิตรละ 10.82 บาท หากราคาขึ้นลงใกล้เคียงตามสมมุติฐานก็ได้ให้ผู้ประกอบการขนส่งรับภาระไป แต่ปัจจุบันราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้นเกินกว่าที่ผู้ประกอบการขนส่งจะแบกรับภาระแต่เพียงฝ่าย เดียว กระทรวงคมนาคมจึงเห็นควรให้ความช่วยเหลือรถโดยสาร โดยการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่ผู้ที่มีใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ซึ่งมีอยู่ 3 ประเภท คือ รถโดยสารประจำทาง รถขนาดเล็ก รถบรรทุก รวมทั้ง เรือโดยสารด้วย
5.3 ส่วนที่จะชดเชยให้ คือ ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันดีเซลตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ คือ เฉลี่ยลิตรละ 10.82 บาท ถ้าราคาน้ำมันดีเซลในปัจจุบันที่ 12.82 บาท/ลิตร ก็จะชดเชยให้ในอัตราลิตรละ 2 บาท โดยอาจจัดทำเป็นคูปองน้ำมัน ซึ่งกระทรวงคมนาคมสามารถกำหนดราคาได้แน่นอนจากประเภทของรถและระยะทางที่วิ่ง ส่วนรถแท๊กซี่จะไม่ได้รับการชดเชยเนื่องจากควบคุมได้ยากและเป็นบริการทาง เลือกของผู้โดยสาร โดยมิได้เป็นบริการพื้นฐานที่จำเป็นต่อประชาชนโดยส่วนรวม อย่างไรก็ตาม รถแท๊กซี่อาจใช้วิธีต่อรองราคากับ ผู้โดยสารในการขอเพิ่มค่าโดยสารได้
5.4 กระทรวงคมนาคม จึงขออนุมัติในหลักการในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ ขนส่ง โดยกระทรวงคมนาคมรับจะไปหารือกับกระทรวงการคลังสำหรับหลักเกณฑ์ในการชดเชย แหล่งเงินชดเชย และวงเงินที่จะชดเชยต่อไป ในส่วนของผู้ประกอบการขนส่งที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ รถ ขสมก. รถของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) รถขององค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รสพ.) และรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย เห็นควรให้มีการตรึงราคาค่าโดยสารและค่าขนส่งต่อไป โดยในส่วนที่ขาดทุนกำไรของรัฐวิสาหกิจเหล่านี้ ขอให้ รัฐบาลพิจารณาช่วยเหลือจากงบประมาณ
การพิจารณาและข้อสังเกตของที่ประชุม
1.การวิเคราะห์ผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ พบว่าในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยทั้งปี 2543 ในระดับ 29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากแนวโน้มเดิม ร้อยละ 0.78 และมีผลกระทบทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.63 ซึ่งอยู่ในระดับที่ไม่มากนัก ส่วนผลกระทบต่อต้นทุนสินค้ามีไม่มากนัก เนื่องจากน้ำมันคิดเป็นต้นทุนในการผลิตสินค้าค่อนข้างต่ำ
2.มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่เกษตรกรซึ่ง เป็นสมาชิก ธกส. ทั่วประเทศ โดย ปตท. จะขยายการดำเนินการไปยังสถานีบริการเพิ่มเป็น 1,500 แห่งนั้น เป็นโครงการที่จะช่วยเหลือเกษตรกรได้เป็นอย่างมาก แต่เห็นควรเร่งรัดจากกำหนดเดิมซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2544 เป็นให้แล้วเสร็จเร็ว ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีของเกษตรกรรายย่อยซึ่งกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ อาจมีต้นทุน ในการเดินทางมาใช้บริการเพื่อรับส่วนลดจากสถานีบริการของ ปตท. จึงขอให้ ปตท. รับไปพิจารณาว่าจะเพิ่มส่วนลดจาก 15 สตางค์ต่อลิตร เป็น 30 สตางค์ต่อลิตร ได้หรือไม่ นอกจากนี้ การใช้น้ำมันกับเครื่องยนต์ที่ใช้งานของเกษตรกรในปัจจุบันมีคุณภาพดีเกินไป ดังนั้น หากเกษตรกรสามารถใช้น้ำมันให้เหมาะกับเครื่องยนต์แล้ว ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้ ซึ่งในเรื่องของคุณภาพน้ำมันนั้น ปตท. ได้ชี้แจงว่าเกษตรกรสามารถใช้น้ำมัน คุณภาพต่ำกว่าออกเทน 87 โดยใช้ NGL มาผสมได้ แต่เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมามีบางสถานีบริการนำ NGL ไปปลอมปม ทำให้คุณภาพน้ำมันไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด จึงได้ยกเลิกไปเนื่องจากควบคุมได้ยาก
3.ปตท. รับที่จะไปดำเนินการเร่งรัดการขยายสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ เกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และรับที่จะไปพิจารณาความเป็นไปได้ในการเพิ่มส่วนลดเป็น 30 สตางค์ต่อลิตร นอกจากนี้ ปตท. ได้รายงานเพิ่มเติมว่าได้มีการเจรจาเพื่อซื้อน้ำมันเพิ่มขึ้นจากโอมาน และได้มีการเจรจาในเรื่อง Strategic Partner เพื่อทำธุรกิจร่วมกับโอมานในการให้โอมานใช้คลังเก็บน้ำมันของ ปตท. 3 คลัง คือ คลังศรีราชา สีชังทอง และเพชรบุรี เพื่อขายน้ำมันให้กับไทยหรือประเทศใกล้เคียง ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย น้ำมันดิบแทนที่จะเป็นสิงคโปร์เพียงแห่งเดียว ซึ่งขณะนี้กำลังมีการเจรจากับโอมานอย่างต่อเนื่อง สำหรับแหล่งน้ำมันที่ ปตท. กำลังพิจารณาให้มีการเจรจาซื้อน้ำมันเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไน ซูดาน และอาหรับเอมิเรสต์ อย่างไรก็ตาม ปตท. อยากให้มีการเร่งรัดให้โรงไฟฟ้าราชบุรีแล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติได้ตามสัญญา และให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นทั้งในการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรม เพื่อช่วยลดภาระของ ปตท. ที่ ต้องจ่าย Take or Pay ให้แก่สหภาพพม่าอยู่ในขณะนี้
4.กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการในเวทีระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อเป็นการกดดันให้กลุ่มผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออกหรือโอเปคมีมติให้เพิ่ม ปริมาณการผลิต ในการประชุมในวันที่ 27 มีนาคม 2543 รวมทั้งจะได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยประเทศไทยในฐานะประธานคณะกรรมการการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและ การพัฒนา (UNCTAD) จะได้มีหนังสือไปถึงกลุ่มโอเปคเพื่อขอความร่วมมือในการรักษา เสถียรภาพราคาน้ำมัน อันจะก่อประโยชน์แก่ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่อไปด้วย
5.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่านโยบายการใช้ก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้น และใช้น้ำมันให้น้อยลง เป็นนโยบายที่ได้ดำเนินการมาก่อนแล้ว และได้ดำเนินการมา อย่างต่อเนื่อง จึงได้มีการพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านขึ้นมาใช้ประโยชน์ อยู่ในขณะนี้ ซึ่งเดิมการผลิตไฟฟ้าจะใช้น้ำมันถึงร้อยละ 80 แต่ปัจจุบันใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 60 และใช้น้ำมันเพียงร้อยละ 10-15 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ต้องมีการพัฒนาระบบท่อ ให้แล้วเสร็จ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติไปแล้ว ก็ขอให้รีบดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ยังเห็นว่านโยบายการกระจายชนิดของเชื้อเพลิงยังคงมีสำคัญต่อความมั่นคงของ ชาติ การพึ่งพาก๊าซธรรมชาติเกินกว่าร้อยละ 75 จะมีความเสี่ยงเกินไป และแหล่งสำรองที่มีอยู่ก็จะต้องหมดไป ในประเด็นของโครงการวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องมีการจัดทำประชาพิจารณ์ และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นเงื่อนไขใหม่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ การอนุมัติโครงการไปก่อนการจัดทำประชาพิจารณ์ก็จะมีปัญหาให้ประชาชนกล่าวหา รัฐบาลได้ว่าอนุมัติโครงการไปแล้วจึงมาทำประชาพิจารณ์ ในส่วนของโครงสร้างราคาน้ำมันซึ่งอิงราคาตามตลาดสิงคโปร์ ก็เนื่องจากเป็นตลาดน้ำมันในภูมิภาคเอเซียที่ใหญ่ที่สุด และมีโรงกลั่นขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ จึงทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุด หากจะใช้ราคาอื่นแทนราคาที่สิงคโปร์ก็ควรให้ ปตท. เจรจากับโรงกลั่นในการใช้ราคาอ้างอิงอื่น แต่ไม่ควรควบคุมการกลั่นหรือค่าการตลาด
6.กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีความเห็นว่าการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมในการวางระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ สามารถผ่อนปรนได้บ้าง โดยให้ ปตท. จัดทำเป็น Pre-interim Report ก่อนได้ และเป็นการตัดสินใจของหน่วยงานต้นสังกัดว่าจะลงลึกแค่ไหน เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายรองรับที่ชัดเจน ในส่วนของกระทรวงการคลังยินดีที่จะจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้ได้ เมื่อ ปตท. สามารถผลักดันโครงการให้ผ่านเรื่องสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รับที่จะไปหารือกับคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ หากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะมีหนังสือยืนยันมาตามความเห็นข้างต้น เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการไปได้โดยเร็ว
7.การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนส่งในส่วนของกระทรวงคมนาคมนั้น ที่ประชุมเห็นว่าควรพิจารณาให้การชดเชย แต่ควรรอผลการประชุมของกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันในวันที่ 27 มีนาคม 2543 นี้ก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันอาจจะลดลงมาได้ใกล้เคียงกับ 10.82 บาทต่อลิตร เพราะการพิจารณาให้เงินชดเชยแก่ผู้ประกอบการขนส่งจะต้องมีการวางหลักเกณฑ์ ที่เหมาะสมและพิจารณาแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน
8.มาตรการในการบรรเทาผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการทางด้านการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงและมาตรการอนุรักษ์พลังงาน นั้น ส่วนใหญ่เป็นมาตรการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้เคยมีมติให้ดำเนินการในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 แล้ว ดังนั้น จึงเห็นควรให้หน่วยงานต่างๆ เร่งดำเนินการตามมาตรการที่ได้เคยเห็นชอบไปแล้ว รวมทั้งในรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ขออนุมัติเพิ่มเติมในครั้งนี้ด้วย เพื่อให้มีผลปรากฏอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากมีมาตรการใดที่ให้ไปดำเนินการแล้ว และเห็นว่าไม่สามารถดำเนินการได้ก็ให้หยุดดำเนินการ และหากเห็นว่ามีมาตรการ อะไรใหม่ที่จะสามารถดำเนินการได้ ก็ให้นำเสนอคณะกรรมการฯ ต่อไป
9.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) ได้เสนอว่า เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันมีความผันผวนมากและควรให้มีการติดตามมาตรการ ต่างๆ จึงเห็นควรกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเดือนละครั้ง และให้ที่ประชุมกำหนดวันประชุมในครั้งต่อไป ซึ่งประธานฯ เห็นชอบในหลักการให้มีการประชุมเดือนละครั้ง ส่วนในครั้งต่อไปให้มีการประชุมหลังจากทราบผลการประชุมของกลุ่มโอเปคในวัน ที่ 27 มีนาคม 2543 แล้วประมาณ วัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการในการช่วยเหลือเพื่อลดผลกระทบต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้นดังนี้
1.มาตรการการลดราคาน้ำมัน
เห็นชอบให้ความช่วยเหลือเป็นการเฉพาะกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนโดยตรง ดังนี้
1.1 กลุ่มเกษตรกร ให้ ปตท. เร่งดำเนินการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและดีเซลแก่กลุ่มเกษตรกร ที่เป็นลูกค้าของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ซึ่ง ปตท. ได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2542 ในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายปลีก 0.15 บาทต่อลิตร ให้ครอบคลุมทุกจังหวัดผ่านสถานีบริการ 1,500 แห่ง ภายในปี 2543 รวมทั้ง ให้ ปตท. ลดราคาลงมากกว่า 0.15 บาทต่อลิตร ด้วย
1.2 กลุ่มประมง เดิมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้มี มติให้ขยายระยะเวลาช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ชาวประมงออกไปอีก 1 ปี จากเดิม สิ้นสุด 15 สิงหาคม 2542 เป็นสิ้นสุด 31 สิงหาคม 2543 ในวงเงิน 420 ล้านบาท ที่ประชุม เห็นว่าควรมีการขยายระยะเวลาออกไปอีก และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณา เสนอวงเงินเพิ่มเติมไปที่ คชก. เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ปตท. ได้ยืนยันที่จะขยาย ระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มประมงไปอีกจนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดลิตรละ 60 สตางค์ แม้ว่า คชก. จะมีโครงการร่วมกันต่อไปหรือไม่ก็ตาม
1.3 กลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารและรถบรรทุก เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงคมนาคม ช่วยเหลือชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับอนุญาต จากกรม การขนส่งทางบก โดยมอบหมายให้ไปหารือกับกระทรวงการคลังถึงรูปแบบการชดเชย อัตราการชดเชยพร้อมทั้งแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ให้คำนึงถึงผลของการประชุมของกลุ่มโอเปค ในวันที่ 27 มีนาคม 2543 นี้ด้วย ว่าราคาน้ำมันจะเป็นอย่างไร เพราะว่าจะมีผลต่ออัตรา การชดเชย เนื่องจากการคำนวณอัตราค่าขนส่งในปี 2543 ใช้ราคาน้ำมันดีเซลที่ 10.82 บาทต่อลิตร เป็นพื้นฐาน
1.4 กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม ให้ ปตท. จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบ อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมในอัตราส่วนลด ของน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2543
2.มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน
เห็นชอบให้มีการเร่งดำเนินการมาตรการปรับเปลี่ยนการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติมากขึ้น ทั้งในการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และการขนส่ง ซึ่งเป็นมาตรการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้เคยมีมติไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ดังนี้
2.1 ภาคการผลิตไฟฟ้า
1) เร่งรัดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ล่าช้ามากกว่า 18 เดือน ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งให้ กฟผ. และ ปตท. เร่งลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้ ในโรงไฟฟ้าให้แล้วเสร็จ
2) ในระยะยาวเห็นควรสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในส่วนขยายปรับปรุง ทั้งที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือและพระนครใต้เพิ่มขึ้น โดยมีระบบการจ่ายก๊าซธรรมชาติ ผ่านท่อราชบุรี - วังน้อย ไปยังวงแหวนรอบกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
2.2 ภาคอุตสาหกรรม
1) ให้ ปตท. ดำเนินการให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น จากระดับร้อยละ 19 เป็นร้อยละ 27 ของปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรมทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติ ในโรงงานอุตสาหกรรม และให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นหรือลดหย่อนอากรการนำเข้าของอุปกรณ์ที่ เกี่ยวกับการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นการจูงใจผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมตัดสินใจเลือกใช้ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มมากขึ้น
2.3 ภาคคมนาคมขนส่ง
1) ให้ ปตท. เร่งดำเนินการการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดในยานพาหนะ (CNG) ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 โดยเห็นชอบในหลักการให้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานสำหรับค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงและเปลี่ยนเครื่องยนต์ ในวงเงิน 270 ล้านบาท และให้เงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำแก่ กทม. ในการดัดแปลงรถขยะ 160 ล้านบาท และ ปตท. ในการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติอัด จำนวน 6 สถานี ในวงเงิน 180 ล้านบาท
2) เห็นชอบให้ ปตท. ดำเนินการโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล เพื่อต่อเชื่อมกับท่อก๊าซราชบุรี - วังน้อย ในวงเงิน 95 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยให้กระทรวงการคลังสนับสนุนในการหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
3) ให้ ปตท. ทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลักของ ปตท. ทั้งหมด เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ของภาคผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคคมนาคมขนส่ง
4) เพื่อให้โครงการท่อก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑลสามารถเริ่มโครงการได้ ประมาณกลางปี 2543 และแล้วเสร็จภายในปี 2545 และสามารถส่งก๊าซธรรมชาติ ตอบสนองความต้องการก๊าซธรรมชาติที่จะสูงขึ้นได้ จึงให้สำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งพิจารณาอนุมัติโครงการ โดยให้ประสาน กับกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมในการกำหนดวิธีการนำเสนอ ผลการศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม และสามารถปฏิบัติตามได้ตาม วิธีการที่ใช้อยู่ ในปัจจุบัน
5) ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งรัดให้ผู้รับสัมปทานปิโตรเลียม สำรวจและพัฒนาผลิต น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านให้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งเร่งรัดให้มีการเปิดให้เอกชนรายใหม่เข้ามาขอสัมปทานตามกฎหมาย ปิโตรเลียมเพิ่มมากขึ้น และเร่งรัดให้นำแหล่งถ่านหินที่ได้มีการสำรวจและประเมิน ไว้แล้ว มาเปิดประมูลเพื่อดำเนินการพัฒนาต่อไป
6) เห็นชอบให้ ปตท. ดำเนินการจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มมากขึ้น
3.มาตรการประหยัดพลังงาน
- เห็นชอบในหลักการให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาให้การสนับสนุนในการดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
3.1 โครงการขยายการปรับแต่งเครื่องยนต์ (Tune-up) เพิ่มขึ้นเป็น 60 แห่ง ในระยะเวลา 3 ปี ในวงเงิน 15 ล้านบาท โดยมี ปตท. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.2 โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาด ย่อม ในวงเงิน 100 ล้านบาท โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กฟผ. และสถาบันอิสระในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.3 โครงการศึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการด้านพลังงานแก่โรงงาน อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (5 ปี) ในวงเงิน 150 ล้านบาท โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และสถาบันอิสระในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.4 โครงการลดต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (5 ปี) ในวงเงิน 360 ล้านบาท โดยมีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และ กฟผ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.5 โครงการประหยัดพลังงานโดยการใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
3.6 โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ (CFC-Chiller) เพื่อประหยัดพลังงาน โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
- ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวข้างต้นจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับแผนงานภาคบังคับที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานกำลังดำเนินการอยู่
4.มาตรการด้านอื่นๆ
4.1 เนื่องจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าการกลั่น (Refining Margin) ซึ่งก็คือส่วนต่างระหว่าง ราคาเฉลี่ยของน้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบมีค่าสูงมาก จึงให้ ปตท. ในฐานะผู้ถือหุ้นในหลายโรงกลั่นไปเจรจากับโรงกลั่นให้ลดราคาหน้าโรงกลั่นลง มาในระดับที่ เหมาะสม เพื่อเป็นการลดภาระความเดือดร้อนของประชาชน
4.2 ให้ สพช. ทบทวนมาตรการด้านอนุรักษ์พลังงานที่ได้มีมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ไปแล้ว โดยพิจารณาว่ามีมาตรการอะไรที่ไม่สามารถ ดำเนินการได้ก็ให้ยกเลิกไปและที่สามารถดำเนินการได้ก็ให้เร่งดำเนินการ มาตรการ/ โครงการต่างๆ ที่ได้เห็นชอบไปแล้วให้เสร็จและเห็นผลเป็นรูปธรรมให้เร็วยิ่งขึ้น รวมทั้ง เสนอมาตรการต่างๆ เพิ่มเติม (ถ้ามี) เพื่อให้ครอบคลุมทุกๆด้าน และให้รายงานให้ที่ ประชุมทราบครั้งต่อไป
เรื่องที่ 4 ขอผ่อนผันระยะเวลาในการติดตั้งระบบควบคุมไอระเหยน้ำมันเบนซิน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบให้มีการติดตั้งอุปกรณ์เก็บไอระเหยน้ำมันเบนซิน ระดับที่ 1 (Stage 1) ในคลังน้ำมัน รถบรรทุกน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมัน ในเขตกรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศจากน้ำมันเบนซิน โดยให้ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม 2543
2. กลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันได้ทำหนังสือขอผ่อนผันการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดัง กล่าวต่อ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เนื่องจากเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2540 เป็นต้นมา ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยถดถอยลงอย่างมากและส่งผลกระทบต่อธุรกิจน้ำมันโดย รวม และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันลดลงทำให้ปัญหามลพิษจากไอระเหยของน้ำมันไม่รุนแรง เท่าที่ได้คาดการณ์ไว้ ทางกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันปิโตรเลียมจึงขอให้รัฐบาลผ่อนปรนเรื่องระยะเวลาติด ตั้ง โดยขอขยายกำหนดเวลาการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินตามมติคณะ รัฐมนตรีดังกล่าวออกไปอีก 2 ปี จากเดิมต้องติดตั้งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม 2543 ขอเปลี่ยนเป็นภายในวันที่ 1 มกราคม 2545
3. สพช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมทะเบียนการค้า กรมโยธาธิการ กรมควบคุมมลพิษ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย บริษัทเอสโซ่ฯ และบริษัทเชลล์ฯ ได้ร่วมกันพิจารณาในเรื่องดังกล่าวและนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทาง การควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน อันประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในภาครัฐบาลและเอกชน ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวได้พิจารณาแล้วสรุปได้ดังนี้
3.1 แม้ว่าปัจจุบันจะพ้นกำหนดวันที่ 1 มกราคม 2543 ไปแล้วแต่การปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีก็ยังมิได้เกิดขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากมีการแก้ไขกฎหมายของกรมโยธาธิการ (พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543) และการร้องเรียนของกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ค้าน้ำมันในเรื่องระยะเวลาการติดตั้ง อุปกรณ์ดังกล่าว กรมโยธาธิการจึงรอฟังผลการทบทวนมติคณะรัฐมนตรี ในส่วนของกำหนดเวลาบังคับใช้ที่เหมาะสม
3.2 คณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซิน ในการประชุม ครั้งที่ 2/2542 พิจารณาแล้วเห็นว่าควรเลื่อนการติดตั้งระบบควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินตาม มติคณะรัฐมนตรี ไปอีก 18 เดือน โดยนับจากวันที่ 1 มกราคม 2543 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 1 กรกฎาคม 2544 ทั้งนี้ เนื่องจากเหตุผลต่างๆ ดังนี้คือ
(1) สาเหตุที่ทำให้บริษัทผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถปฏิบัติตามกำหนดเวลาเดิมได้ เนื่องจากวิกฤติทางเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินอย่างรุนแรงในช่วงปี 2541-2542 และอุปกรณ์ดังกล่าวต้อง มีการสั่งซื้อและจัดหาจากต่างประเทศ จึงต้องใช้ระยะเวลาในการติดตั้งอุปกรณ์ในแต่ละคลังน้ำมัน สถานีบริการ และรถบรรทุกน้ำมัน
(2) การติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวในคลังน้ำมัน สถานีบริการ และรถบรรทุกน้ำมัน จำเป็นต้องทยอยการติดตั้งไปทีละส่วน เพื่อมิให้ต้องหยุดการใช้งานของคลังน้ำมัน สถานีบริการ และรถบรรทุกน้ำมัน ซึ่งจะกระทบต่อการประกอบธุรกิจ
(3) การติดตั้งที่ใช้เวลานานที่สุด คือการติดตั้งในรถบรรทุกน้ำมัน ซึ่งต้องทยอยนำรถที่อยู่ระหว่างการใช้งานออกมาติดตั้งไปจนกว่ารถบรรทุก น้ำมันที่ติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้วจะมีจำนวนเพียงพอใช้ ในการขนส่งน้ำมันภายในกรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 18 เดือน
4. สพช. พิจารณาแล้วเห็นควรให้ความเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว เนื่องจากได้มีการศึกษาข้อเท็จจริงและปรึกษาหารือร่วมกันทั้งภาครัฐและผู้ ประกอบการจนได้ข้อยุติเป็นที่พอใจของทุกฝ่ายแล้ว
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้เสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 จากเดิมซึ่งให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไอระเหยของน้ำมันเบนซินให้แล้ว เสร็จภายในวันที่ 1 มกราคม 2543 เลื่อนมาเป็นภายในวันที่ 1 กรกฎาคม 2544
รายชื่อผู้ผ่านการเลือกสรร เพื่อจัดจ้างเป็นพนักงานราชการทั่วไป ตำแหน่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559
ครั้งที่ 5 - วันจันทร์ ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2547
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 5)
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2547 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าของปี 2547
4. การยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
5. การขอยุติเงินทดรองจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
7. ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้กล่าวเกี่ยวกับปัญหาราคาน้ำมันแพงที่เกิดขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เดินทางไปพบปะหารือกับหน่วยงาน IEA ของทวีปยุโรปและได้รับทราบว่าแนวโน้มปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการใช้ ซึ่งคาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันน่าจะอ่อนตัวลงในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง และในการประชุมของกลุ่มประเทศ G7 ที่ผ่านมา ไม่ได้มีการหารือประเด็นราคาน้ำมันแต่อย่างไร
สำหรับยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแบ่งเป็น 2 ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์เชิงตั้งรับ และยุทธศาสตร์เชิงรุก โดยที่ยุทธศาสตร์เชิงตั้งรับจะเป็นนโยบายเกี่ยวกับการใช้พลังงานที่มีอยู่ในประเทศให้เกิดประสิทธิภาพและประหยัดที่สุด รวมทั้งการใช้มาตรการตรึงราคาน้ำมันที่ดำเนินการอยู่ ทั้งนี้ระดับราคาน้ำมันของไทยอยู่ระดับที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก ดังนั้น ระยะต่อไปรัฐบาลจะเริ่มคลายตัวด้านราคาน้ำมันให้เป็นไปตามกลไกตลาดโดยคาดว่าเมื่อสิ้นฤดูหนาว ส่วนยุทธศาสตร์เชิงรุกจะเป็นนโยบาย เกี่ยวกับการจัดหาแหล่งพลังงานให้เพิ่มมากขึ้น โดยขณะนี้ไทยได้เริ่มเข้าร่วมสัมปทานปิโตรเลียมในต่างประเทศมากขึ้น เช่น ปตท. สผ. ได้รับสัมปทานแหล่งขุดเจาะก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นในประเทศพม่า หรือการเข้าร่วมลงทุนในประเทศโอมาน ซึ่งถือว่ารัฐบาลไทยได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตน้ำมันโลก นอกจากนี้รัฐบาลได้ดำเนินการเชิงรุก โดยการเพิ่มการผลิตพลังงานภายในประเทศให้มากขึ้น และลดการนำเข้าพลังงานลง ด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนมีทางเลือกการใช้เชื้อเพลิงให้มากขึ้น เช่น Bio Fuel รวมทั้งการเพิ่มมูลค่าจากเชื้อเพลิงโดยเฉพาะ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ใช้ผลผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซ เพื่อสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาสเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบายหนึ่งที่รัฐบาลได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนแล้ว
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สาระสำคัญ
1. ความต้องการใช้และการผลิตน้ำมันดิบโดยรวม เดือนสิงหาคมได้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 82.6 และ 83.4 ล้านบาร์เรล/วัน ตามลำดับ จากกลุ่มโอเปคได้มีมติจะปรับเพิ่มโควต้าการผลิตขึ้นอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน เป็น 27.0 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 เป็นต้นไป และปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศนอกกลุ่มโอเปคเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 47.6 ล้านบาร์เรล/วัน
2. ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ประมาณ 2.90 - 7.23 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยในเดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38.56 และ 42.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากบริษัทน้ำมัน Yukos ของ รัสเซียเกิดปัญหาด้านการเงินจะต้องจ่ายภาษีคืนให้แก่รัฐเป็นเงิน 3.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจากการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไรของ Hedge Funds รวมทั้งข่าวผู้ก่อการร้าย AI Queda ขู่จะโจมตีสถาบันการเงิน 5 แห่ง ของ สหรัฐอเมริกา แต่ในเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 34.92 และ 41.45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากมติที่ประชุมกลุ่มโอเปค เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2547 ให้ปรับเพิ่มโควต้าการผลิตอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับซาอุดิอารเบียได้ปรับลดราคาน้ำมันดิบชนิดหนัก (กำมะถันสูง) ลง 2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามในช่วงกลางเดือนกันยายนราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นจากพายุ Herricane Ivan เข้าสู่อ่าวเม็กซิโกได้ส่งผลให้การผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกต้องหยุดชะงัก
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปี 2547 ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงไตรมาส 2 โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และเตาปรับตัวสูงขึ้น 2.40, 2.57, 7.58, 7.69 และ 0.91 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เดือนกรกฎาคมและเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 46.52 และ 45.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามราคาแนฟทา ซึ่งมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องจากปิโตรเคมี และความต้องการซื้อของอินโดนีเซียที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 45.40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ด้วยอุปทานลดลงจากโรงกลั่นน้ำมันญี่ปุ่นปิดฉุกเฉิน และน้ำมันจากตะวันออกกลางที่เข้าในภูมิภาคเอเซียลดลง ส่วนน้ำมันก๊าดและเตาปรับตัวสูงอยู่ที่ระดับ 48.08 และ 29.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ดังนั้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซลหมุนเร็วและเตา ปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 51.50, 50.62, 52.29, 50.36 และ 30.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และเดือนกันยายนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ให้ปรับตัวลดลง จากตลาดคาดว่าความต้องการซื้อของเอเซียและตะวันตกจะลดลงหลังสิ้นสุดฤดูท่องเที่ยวในช่วงเดือนกันยายน ในขณะที่จีนมีแผนจะส่งออกเพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยอุปสงค์จากเวียดนามและจีน เพิ่มขึ้น และน้ำมันดีเซลจากตะวันออกกลางเข้ามายังภูมิภาคเอเซียลดลง สำหรับน้ำมันก๊าดได้ปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการซื้อในภูมิภาคยังคงสูง ขณะที่น้ำมันเตาปรับตัวลดลงจากความต้องการซื้อในภูมิภาคต่ำกว่าอุปทาน ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92, ก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และเตา เฉลี่ยอยู่ระดับ 47.99, 47.16, 53.21, 51.46 และ 29.63 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
4. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในช่วงไตรมาส 3 ปี 2547 ปรับตัวสูงขึ้น โดยกระทรวงพลังงานได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินไตรมาส 3 จำนวน 5 ครั้ง รวม 3 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 20 กันยายน อยู่ที่ระดับ 21.79, 20.99 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ค่าการตลาดเฉลี่ยในไตรมาส 3 ปี 2547 เท่ากับไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 1.2060 บาท/ลิตร จากรัฐบาลตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา โดยค่าการตลาดเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน คงที่อยู่ใน 1.2060 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 1.1202, 0.8981 และ 1.4438 บาท/ลิตร ตามลำดับ
6. แนวโน้มราคาน้ำมันดิบคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 35 - 40 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จากการคาดการณ์ของ IEA อยู่ที่ระดับ 82.2 ล้านบาร์เรล/วัน และปี 2548 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 84.0 ล้านบาร์เรล/วัน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่อาจจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงได้จากการเพิ่มกำลังการผลิตของประเทศกลุ่มโอเปค/ประเทศนอกกลุ่มโอเปค และการควบคุมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและจีนได้จะทำให้อุปสงค์น้ำมันจะชะลอตัวลง
7. แนวโน้มราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ คาดว่าราคาน้ำมันเบนซินจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 46 - 58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มีอุปสงค์เข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งจากในภูมิภาคและนอกภูมิภาค ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วคาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 48 - 54 ต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อในภูมิภาคที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อุปทานจากตะวันออกกลางเข้ามาในภูมิภาคเอเซียลดลง
8. ผลการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นมา รัฐบาลได้มีการปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซิน 8 ครั้งๆ ละ 0.60 บาท/ลิตร รวม 4.80 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 22 กันยายน 2547 อยู่ที่ระดับ 21.79, 20.99 และ 14.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ระดับ 0.975 และ 0.8902 บาท/ลิตร ตามลำดับ และอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 5.0212 บาท/ลิตร หรือประมาณ 269 ล้านบาท/วัน และมีจำนวนเงินชดเชยสะสมทั้งสิ้น 33,425 ล้านบาท แยกเป็นเงินชดเชยน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วประมาณ 2,619, 4,195 และ 26,611 ล้านบาท ตามลำดับ
9. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก เดือนกันยายนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 383 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 13.06 บาท/กก. (สูตรกำหนดราคาก๊าซ LPG ในประเทศกำหนดเพดานสูงสุดไว้ที่ 315 เหรียญสหรัฐ/ตัน) อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 2.99 บาท/กก. หรือ 544 ล้านบาท/เดือน ทั้งนี้คาดการณ์ได้ว่าราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนตุลาคมยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 400 - 430 เหรียญสหรัฐ/ตัน และอัตราเงินชดเชยจะยังคงอยู่ในระดับ 2.99 บาท/กก. หรือ 554 ล้านบาท/เดือน
10. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 20 กันยายน 2547 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชีจำนวน 361 ล้านบาท ยอดหนี้ค้างชำระ 26,637 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 4,916 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 106 ล้านบาท หนี้การตรึงราคาน้ำมันช่วงวันที่ 1 สิงหาคม 2547 - 20 กันยายน 2547 ประมาณ 10,130 ล้านบาท หนี้เงินกู้ 11,830 ล้านบาท และหนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ประจำเดือนกันยายน 2547 16 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 26,637 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินการของคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สาระสำคัญ
1. จากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2546 ที่ประชุมได้เห็นชอบให้แยกงานพิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงออก และให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีก 1 ชุด โดยให้ กบง. ทำหน้าที่พิจารณาเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายด้านพลังงานเพื่อกลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
2. เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2547 กบง. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (ที่ปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมาย) เป็นประธานอนุกรรมการ และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการ ซึ่งต่อมาคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการจัดประชุมไปแล้วรวม 5 ครั้ง โดยมีการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2547 และได้พิจารณาและอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ให้แก่โครงการต่างๆ ของหน่วยงานกระทรวงพลังงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 93,278,906 บาท (เก้าสิบสามล้าน สองแสนเจ็ดหมื่นแปดพันเก้าร้อยหกบาทถ้วน)
3. ผลการอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย
3.1 สำนักงานคณะกรรมการประสานการพัฒนายุทธศาสตร์ศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (สนพภ.) สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทพัฒนาธุรกิจ และอุตสาหกรรมต่อเนื่องระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่ง และชุมชนในอนาคตบริเวณพื้นที่โครงการ (จำนวนเงิน 23 ล้านบาท) โครงการปรับปรุงแผนการดำเนินการและแผนปฏิบัติการขจัดคราบน้ำมันในทะเลในบริเวณพื้นที่โครงการ Sriracha Hub และ Strategic Energy Landbridge (จำนวนเงิน 14 ล้านบาท) และงบบริหารงานโครงการพัฒนาศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค ประจำปีงบประมาณ 2547 และ 2548 (จำนวน 4.99 ล้านบาท และ 3.83 ล้าน ตามลำดับ)
3.2 กรมธุรกิจพลังงาน ในโครงการศึกษาข้อกำหนดและมาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมในการควบคุมระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ (จำนวน 2 ล้านบาท) โครงการศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการธุรกิจน้ำมัน (จำนวน 6,061,550 บาท) และโครงการศึกษาและพัฒนากฎหมาย LPG (จำนวน 818,100 บาท)
3.3 สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ได้อนุมัติงบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของสถาบัน สำหรับปี 2547 และปี 2548 เป็นจำนวนเงิน 9,964,600 บาท และจำนวนเงิน 12,899,800 บาท ตามลำดับ
3.4 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และหน่วยงานอื่นๆ ได้อนุมัติเงินงบประมาณปี 2547 ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อโครงการปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดด้านธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว จำนวนเงิน10,784,000 บาท และอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2548 ให้แก่กรมศุลกากร (663,600 บาท) กรมสรรพสามิต (1,184,724 บาท) และ สนพ. (3,068,856 บาท) ในวงเงินรวม 4,917,180 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าของปี 2547
สาระสำคัญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปความเป็นมา ประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้า แนวทางการชดเชย รายได้ระหว่างการไฟฟ้า และข้อเสนอการชดเชยรายได้ของการไฟฟ้าในปี 2547 ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้เห็นชอบการชดเชยรายได้จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump Sum Financial Transfer) ในปีงบประมาณ 2544 - 2546 เท่ากับ 8,153 8,589 และ 9,041 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ ต่อมา คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2546 ได้เห็นชอบการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท โดย กฟน. รับภาระการชดเชยรายได้จำนวน 7,000 ล้านบาท และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระการชดเชยรายได้จำนวน 2,041 ล้านบาท โดยกำหนดเป็นส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. ขายให้ กฟน. เท่ากับ 17.54 สตางค์/หน่วย และส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้ กฟภ. เท่ากับ 12.29 สตางค์/หน่วย ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546 ซึ่ง กฟภ. ขอให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับเงินชดเชยรายได้ค่าไฟฟ้าปี 2547 เป็นการเร่งด่วน โดยพิจารณาให้แต่ละการไฟฟ้ามีอัตราผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
2. สนพ. ได้ขอให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำประมาณการฐานะการเงินปีปฏิทิน 2547 (มกราคม - ธันวาคม 2547) เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547 โดยใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริง 6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน 2547) และข้อมูลประมาณการ 6 เดือน (กรกฎาคม - ธันวาคม 2547) ซึ่งสามารถสรุปงบการเงินที่สำคัญได้ ดังนี้
ประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปีปฏิทิน 2547
3. แนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547 จากการประชุมหารือร่วมกันระหว่างผู้บริหารของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และ สนพ. โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) เป็นประธานในการประชุม เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 ได้เห็นชอบให้มีการปรับเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า เป็นการชั่วคราว ตามแนวทางการพิจารณา ดังนี้
3.1 เนื่องจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ยังไม่มีการแปลงสภาพเป็นบริษัทและจดทะเบียนกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547 ประกอบกับ ในปี 2547 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีนโยบายบัญชีที่แตกต่างกัน โดยการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายปิดบัญชีเป็นปีปฏิทิน ในขณะที่ กฟผ. ยังปิดบัญชีเป็นปีงบประมาณ ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2547 อยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน จึงควรพิจารณาการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าจากงบการเงินในปีปฏิทิน 2547 ภายใต้หลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
3.2 การวิเคราะห์และปรับปรุงประมาณการฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปีปฏิทิน 2547
3.2.1 ฐานะการเงินของ กฟผ. : กฟผ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ 28,643 ล้านบาท ในขณะที่ SFR ในปี 2547 เท่ากับร้อยละ -8.37 ซึ่งเป็นผลมาจาก (1) การประมาณการเงิน นำส่งรัฐจากการดำเนินงานในช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2546 จำนวน 1,000 ล้านบาท มารวมในการคำนวณค่า SFR ของปีปฏิทิน 2547 และ (2) กฟผ. อ้างอิงการปิดบัญชีปฏิทินปี 2546 (วันที่ 31 ธันวาคม 2546 เป็น วันหยุดราชการ) ส่งผลให้จำนวนวันเจ้าหนี้ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลงจาก 60 วัน เหลือ 30 วัน ซึ่ง กฟผ. ต้องหักเงินสดสำหรับจ่ายค่าซื้อไฟฟ้าเดือนพฤศจิกายน 2547 ในการคำนวณ Increase/(Decrease) in Working Capital เป็นจำนวน 12,291 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่งผลให้รายได้ในการคำนวณ SFR ของ กฟผ. ติดลบ 1,403 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงการคำนวณ SFR ใน2 รายการดังกล่าวแล้ว กฟผ. จะมีฐานะการเงิน ที่ดีขึ้นมาก โดยมีค่าSFR ในปี 2547 สูงถึงประมาณร้อยละ 70 ซึ่งสามารถปรับเกลี่ยฐานะการเงินให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้
3.2.2 ฐานะการเงินของ กฟน. : กฟน. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ2,668 ล้านบาท แบ่งเป็นกำไรสุทธิในเดือนมกราคม- มิถุนายน 2547 เท่ากับ 3,189 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 521 ล้านบาท และมีค่าSFR ในปี 2547 เท่ากับร้อยละ 11 ซึ่งเป็นผลมาจาก(1) กฟน.ประมาณการค่าความสูญเสียในระบบ (Loss Rate) ในเดือนกรกฏาคม- ธันวาคม 2547 สูงถึงร้อยละ 5.2 เมื่อกำหนดให้ กฟน. มีค่า Loss ตามมาตรฐานที่กำหนดคือร้อยละ 4.1 จะส่งผลให้ กฟน. สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นเป็นเงินประมาณ 644 ล้านบาท และ (2) กฟน. ได้ออกพันธบัตรในปี 2547 เพื่อ Refinance หนี้เงินกู้เดิมเป็นจำนวนเงิน 5,700 ล้านบาท และได้จัดสรรเงินทุนสะสมเพื่อการชำระหนี้(Sinking Fund) ในวงเงินดังกล่าวในปี2547 เป็นเงินจำนวน 495 ล้านบาท ซึ่ง กฟน. ควรเริ่มกันเงินSinking Fund ในปีถัดไป ทั้งนี้ เมื่อปรับปรุงการคำนวณใน 2 รายการ ดังกล่าวแล้ว กฟน. จะมีฐานะการเงินผ่านเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีค่าSFR ในปี 2547 ประมาณร้อยละ 26.88 นอกจากนี้ ฐานะการเงินของ กฟน. ยังมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ได้อีก ในกรณีโครงการประหยัดไฟกำไรสองต่อมีผู้เข้าร่วมโครงการน้อยกว่า 300 ล้านหน่วย ในเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 ตามที่ กฟน. ได้ประมาณการไว้
3.2.3 ฐานะการเงินของ กฟภ. : กฟภ. มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในปี 2547 ประมาณ3,918 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก กฟภ. ประมาณการการรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ในระดับแรงดันสูง ซึ่งค่าไฟฟ้ามีราคาถูกลดลง และประมาณการรับซื้อไฟฟ้าในระดับแรงดันต่ำซึ่งค่าไฟฟ้ามีราคาแพงเพิ่มขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อปรับสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าของ กฟภ. ให้ใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมา จะทำให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของ กฟภ. ในปี 2547 อยู่ในระดับประมาณ 4,438 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 520 ล้านบาท ส่งผลให้ค่า SFR ในปี 2547 ดีขึ้นเล็กน้อยเป็นประมาณร้อยละ 13.3
หากพิจารณาให้ กฟภ. มีค่าSFR เท่ากับร้อยละ 25 ตามเกณฑ์ทางการเงินที่กำหนด กฟภ. จะมีความต้องการรายได้เพิ่มอีกประมาณ 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก กฟภ. มีการประมาณการการปรับเพิ่มเงินเดือนพนักงานในช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2547 ประมาณ 500 ล้านบาท ประกอบกับหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากที่ประมาณการไว้ จึงอาจส่งผลให้ฐานะการเงินของ กฟภ. ดีขึ้นจากที่ประมาณการไว้ได้อีก ดังนั้น จึงเสนอให้มีการปรับเพิ่มเงินชดเชยรายได้ในปีปฏิทิน 2547 จากที่ได้รับในการประมาณการครั้งนี้ (9,601 ล้านบาท) อีกจำนวน 1,500 ล้านบาท โดยให้ กฟผ. เป็นผู้รับภาระการชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ซึ่งจะมีผลทำให้ค่า SFR ของ กฟภ. อยู่ในระดับร้อยละ22
ฐานะการเงินของการไฟฟ้าในปี 2547 ภายหลังการปรับจำนวนเงินชดเชยรายได้
4. ข้อเสนอแนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปี 2547
4.1 เห็นควรกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในเดือนมกราคม - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 11,101 ล้านบาท เป็นการชั่วคราว โดย กฟน. และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. เท่ากับ 7,165 และ 3,936 ล้านบาท สำหรับเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2546 เห็นควรให้ปรับปรุงตามจำนวนเงินชดเชยรายได้ในปีปฏิทิน 2547 เป็นการชั่วคราวเท่ากับ 2,557 ล้านบาท โดย กฟน. และ กฟผ. รับภาระการ ชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เท่ากับ 1,677 และ 880 ล้านบาท ตามลำดับ
จำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า
ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
เดือน | กฟน. | กฟผ. | รวม |
ตุลาคม - ธันวาคม 2546 | 1,677 | 880 | 2,557 |
มกราคม - ธันวาคม 2547 | 7,165 | 3,936 | 11,101 |
รวม | 8,842 | 4,816 | 13,658 |
ทั้งนี้ เมื่อได้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือนมกราคม - ธันวาคม2547 แล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าที่เหมาะสมในเดือนตุลาคม2546 -ธันวาคม 2547 อีกครั้งหนึ่ง
4.2 เห็นควรกำหนดหลักการในการจ่ายเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547 โดยนำส่วนต่างระหว่างเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 (13,658 ล้านบาท) กับเงินชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม2546 - กันยายน 2547 มาเฉลี่ยจ่ายให้กับ กฟภ. ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547
4.3 เห็นควรมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารับไปดำเนินการปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ที่เหมาะสมระหว่างการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 ภายใต้ หลักเกณฑ์ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
4.4 เห็นควรกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เป็นการชั่วคราว ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้า ในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548
หน่วยซื้อไฟฟ้า ประมาณการปีปฏิทิน 2547 (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาท/หน่วย) |
|
กฟผ. ขาย กฟน. | 40,849 | 0.1754 |
กฟผ. ขาย กฟภ. | 78,119 | (0.1421) |
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 เท่ากับ 13,658 ล้านบาท เป็นการชั่วคราว โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระการชดเชยรายได้ให้กับ กฟภ. เท่ากับ 8,842 และ 4,816 ล้านบาท ตามลำดับ
จำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า
ตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547
หน่วย : ล้านบาท
เดือน | กฟน. | กฟผ. | รวม |
ตุลาคม - ธันวาคม 2546 | 1,677 | 880 | 2,557 |
มกราคม - ธันวาคม 2547 | 7,165 | 3,936 | 11,101 |
รวม | 8,842 | 4,816 | 13,658 |
ทั้งนี้ เมื่อได้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 แล้วให้ นำมาปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าที่เหมาะสมในเดือนตุลาคม 2546 -ธันวาคม 2547 อีกครั้งหนึ่ง
2. เห็นชอบการกำหนดหลักการในการจ่ายเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547 โดย นำส่วนต่างระหว่างเงินชดเชยรายได้ในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 (13,658 ล้านบาท) กับเงินชดเชยรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในเดือนตุลาคม2546 - กันยายน 2547 มาเฉลี่ยจ่ายให้กับ กฟภ. โดยตรงในเดือนตุลาคม - ธันวาคม 2547
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารับไปดำเนินการปรับปรุงจำนวนเงินชดเชยรายได้ที่เหมาะสมระหว่างการไฟฟ้าในเดือนตุลาคม 2546 - ธันวาคม 2547 โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริงในเดือนมกราคม- ธันวาคม 2547 ภายใต้หลักเกณฑ์ ทางการเงินที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน กล่าวคือ SFR ไม่ต่ำกว่าร้อยละ25 และ DSCR ไม่ต่ำกว่า 1.3 เท่า สำหรับ กฟผ. และ 1.5 เท่า สำหรับ กฟน. และ กฟภ.
4. เห็นชอบกำหนดเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. เป็นการชั่วคราว ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าในระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศใช้โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ ดังนี้
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
ตั้งแต่เดือนมกราคม 2548
หน่วยซื้อไฟฟ้า ประมาณการปีปฏิทิน 2548 (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาท/หน่วย) |
|
กฟผ. ขาย กฟน. | 43,850 | 0.1754 |
กฟผ. ขาย กฟภ. | 83,402 | (0.1421) |
เรื่องที่ 4 การยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2545 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้หลักการเดียวกับภาษีสรรพสามิต คือ ให้ยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนในส่วนเอทานอล 10% โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่ากับ 0.27 และ 0.0360 บาท/ลิตร ตามลำดับ
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมให้ดำเนินการตามยุทธศาสตร์ส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งมาตรการหนึ่ง คือ มาตรการด้านราคา โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณายกเว้นการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 มาก ยิ่งขึ้น เป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
3. ต่อมากระทรวงพลังงานได้รับแจ้งจาก ปตท. และบางจากว่า ราคาเอทานอลและราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้นประมาณ 0.38 บาท/ลิตร เนื่องจากผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรูพ เทรดดิ้ง จำกัด และ บริษัท ไทยแอลกอฮอล์ จำกัด (มหาชน) ได้แจ้งปรับราคาจำหน่ายเอทานอลบริสุทธิ์ 99.5% เพิ่มขึ้น 0.75 บาท/ลิตร เป็น 12.75 บาท/ลิตร ซึ่ง มีผลทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ในส่วน 9% ที่เป็นเอทานอลเพิ่มขึ้น 0.065 บาท/ลิตร และกลุ่มโรงกลั่น ได้แจ้งปรับขึ้นราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้น $1.31 ต่อบาร์เรล หรือประมาณ 0.34 บาท/ลิตร ทำให้ต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ในส่วน 91% ที่เป็นน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้น 0.31 บาท/ลิตร จาก 2 ปัจจัยคือ ราคาเดิมต่ำกว่าต้นทุนจริง และต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นจากการปรับคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์
4. กระทรวงพลังงาน ได้ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2547 เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้ปรับต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์สูงขึ้น 0.27 บาท/ลิตร (แยกเป็นต้นทุนเอทานอลและน้ำมันเบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้น 0.0675 และ 0.2025 บาท/ลิตร ตามลำดับ) และให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ขอความเห็นชอบยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ระดับ 0.50 บาท/ลิตร ทั้งนี้ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยการปรับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ลดลง 0.11 บาท/ลิตร
5. เพื่อแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาแก๊สโซฮอล์ที่ปรับตัวสูงขึ้น และให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีในการส่งเสริมการใช้และจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ สนพ.ได้เสนอขอความเห็นชอบ คือ
5.1 ขอความเห็นชอบยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไม่เปลี่ยนแปลง และความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 กับน้ำมันแก๊สโซฮอล์อยู่ที่ระดับเดิม 0.50 บาท/ลิตร
5.2 อย่างไรก็ตาม การยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามข้อ 5.1 ไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง รัฐบาลจะต้องเก็บเงินคืนเพื่อจ่ายคืนเงินกู้ต่อไป
6. การยกเว้นเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มี รายได้ลดลงประมาณ 1.35 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนกันยายน 2547 มีรายรับ 1,101 ล้านบาท และมีรายจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 553 และ 7,058 ล้านบาท/เดือน ตามลำดับ และหากการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นไปเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์ส่งเสริมแก๊สโซฮอล์ของกระทรวงพลังงาน คือ จำนวน 30 ล้านลิตร/เดือน ในปี 2547 - 2549 และจำนวน 90 ล้านลิตร/เดือน ในปี 2554 จะทำให้รายรับของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง 8.1 ล้านบาท/เดือน ในปี 2547 - 2549 และ 24.3 ล้านบาท/เดือน ในปี 2554
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นการชั่วคราว ทดแทนต้นทุนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่เพิ่มขึ้นในส่วนของราคาเอทานอล เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล์ไว้ที่ระดับเดิม
2. การยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตามข้อ 1 ไม่รวมถึงการเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่ได้มีการจ่ายเงินชดเชยตามนโยบายตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงราคาน้ำมันขาลง รัฐบาลจะต้องเก็บเงินคืนเพื่อจ่ายเงินกู้ต่อไป
3. มอบหมายให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน กรมการค้าภายใน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปหารือร่วมกับกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันในเรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91 ที่จะนำมาผสมเอทานอลเพื่อผลิตเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดต้องเกิดขึ้นกับประชาชน แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 การขอยุติเงินทดรองจ่ายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2546 กบง. เห็นชอบให้มีการแก้ไขกฎระเบียบ รวมทั้งขั้นตอนการปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ โดยให้กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรเร่งรัดการจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่ผู้ผลิตและผู้นำเข้าภายใน 15 วัน นับจากวันที่ยื่นคำร้องขอรับเงินชดเชย และให้ปรับเพิ่มวงเงินทดรองจ่ายให้แก่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรซึ่งมีไว้สำหรับจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท และ 100 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการจ่ายชดเชยราคาน้ำมันของกองทุนน้ำมันฯ
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 ได้มีมติอนุมัติให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) กระทรวงพลังงาน กู้ยืมเงินในวงเงิน 8,000 ล้านบาท ด้วยวิธีเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2547 สถาบันฯ ได้ดำเนินการจัดหาเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ โดยการกู้เงินเบิกเกินบัญชี จำนวน 8,000 ล้านบาท
3. ปัจจุบันฐานะเงินกองทุนน้ำมันฯ มีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเป็นจำนวนสูง และสถาบันฯ ได้กู้เงินมาให้กองทุนเพื่อจ่ายชดเชยเพิ่มเติมอีกจำนวน 30,000 ล้านบาท ดังนั้น เพื่อให้การบริหารเงินกองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และประหยัดต้นทุนในการกู้ยืมเงิน สถาบันฯ จึงขออนุมัติหลักการให้มีการยกเลิกวงเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิต จำนวน 3,000 ล้านบาท และกรมศุลกากร จำนวน 100 ล้านบาท โดยสถาบันฯ จะเป็นผู้ดำเนินการเบิกจ่ายเงินกองทุนให้กรมสรรพสามิต/ กรมศุลกากร เพื่อนำไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการที่ได้ยื่นขอรับเงินชดเชย ดังนี้
3.1 การจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร แจ้งยอดเงินที่ได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้อง ในแต่ละงวดเดือนภายในวันที่ 25 ของเดือน เพื่อสถาบันฯ จะได้แจ้งยอดเงินที่ต้องเบิกเงินกู้ให้กับสถาบันการเงินภายใน 5 วันทำการก่อนเบิกเงินกู้ ตามเงื่อนไขการกู้ยืมเงิน
3.2 การจ่ายเงินชดเชยก๊าซ LPG ให้กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ทำหนังสือขอเบิกเงิน กองทุนตามจำนวนเงินที่ผู้ประกอบการได้ยื่นขอรับเงินชดเชยและได้ตรวจสอบและรับรองความถูกต้องครบถ้วนแล้ว ภายในวันที่ 10 ของเดือน
4. จากฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่มีรายรับไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย และสถาบันฯ ซึ่งเป็นกลไกที่จัดตั้งขึ้นทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งมีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้เบิกเกินบัญชีทุกเดือนและต้องชำระคืนเงินกู้เบิกเกินบัญชี และประกอบกับสถาบันฯ มีความพร้อมสามารถในการจ่ายเงินชดเชยโดยตรงให้กับผู้ประกอบการได้อย่างรวดเร็วแทนกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นว่าความจำเป็นในการมีเงินทดรองจ่ายไว้ที่กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรย่อมหมดความจำเป็น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกเงินทดรองจ่ายที่กรมสรรพสามิต จำนวน 3,000 ล้านบาท และกรมศุลกากร จำนวน 100 ล้านบาท โดยมอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้ดำเนินการจ่ายเงินชดเชยตรงให้กับผู้ประกอบการตามหลักฐานการขอรับเงินชดเชยที่กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากรได้ตรวจสอบและรับรองถูกต้องแล้ว
2. เห็นชอบให้แก้ไขระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546
สรุปข้อเสนอการขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ดังนี้
ส่วนที่ 1 ขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
1. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ซึ่งได้ทำหน้าที่จัดหาเงินมาให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้สูงเกินกว่าระดับที่คณะรัฐมนตรีกำหนด พร้อมทั้งรับโอนงานบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ จากกรมบัญชีกลางมาดำเนินงานตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 และเพื่อให้สถาบันฯ สามารถดำเนินการในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และเกิดประโยชน์สูงสุด สถาบันฯ จึงมีหนังสือขอให้มีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงดังนี้ คือ
(1) ข้อ 2 เพิ่มเติมข้อความ "สถาบัน หมายความว่า สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546" และ "ผู้อำนวยการ หมายความว่า ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน"
(2) ข้อ 3 ขอแก้ไขเป็น "ให้ตั้งกองทุน เรียกว่า "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ไว้ที่สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและเพื่อตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้คงที่อยู่ในระยะเวลาหนึ่ง ตามที่นโยบายรัฐบาลกำหนด"
(3) ข้อ 6 ขอแก้ไข จาก "ให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดการกองทุน" เป็น "ให้ผู้อำนวยการเป็นผู้จัดการกองทุน"
(4) ข้อ 7 ขอแก้ไขเป็น "(2) เป็นเงินค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของสถาบันตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ" และ "(5) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เพื่อให้การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงเป็นไปอย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ"
(5) ข้อ 10 ข้อ 11 และข้อ 27 แก้ไขคำที่ใช้ว่า "ปลัดกระทรวงพลังงาน" เป็น "ผู้อำนวยการ"
2. แต่ทั้งนี้เพื่อเป็นการเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการดำเนินงานบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ของสถาบันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้มีปรับปรุงแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ในประเด็นเกี่ยวกับข้อความข้อ 2, 10, 11 และ 27 ในคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2546 ตามที่สถาบันฯ ขอให้แก้ไข ทั้งนี้ เป็นการแก้ไขนิยามที่เกี่ยวข้องกับสถาบันซึ่งยังไม่ได้ถูกกำหนดไว้ และในส่วนข้อความข้อ 3, 6 และ 7 ในคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ขอให้คงเดิม เนื่องจากนโยบายการมีกองทุนน้ำมันฯ ขึ้น เป็นนโยบายรัฐบาลที่มอบให้ปลัดกระทรวงเป็นผู้รับผิดชอบในฐานะผู้จัดการกองทุน และมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 3 ของพระราชกำหนด พ.ศ. 2516 ขณะเดียวกัน สถาบันฯ อาจของบประมาณจากงบประมาณประจำปีจากรัฐบาลและสามารถยื่นของบประมาณรายจ่ายประจำปีจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามข้อ 7 (2) ได้อยู่แล้ว
ส่วนที่ 2 ขอแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ในส่วนของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
3. กระทรวงพลังงาน ได้ดำเนินการปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปแล้ว 2 ขั้นตอน ซึ่งมีผลให้โรงบรรจุต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนี้ ห้ามบรรจุข้ามยี่ห้อ ห้ามบรรจุไม่เต็มน้ำหนัก และห้ามบรรจุถังผิดกฎหมาย และก่อนที่จะเริ่มดำเนินการปรับปรุงระบบการค้าฯ ใน ขั้นตอนสุดท้าย (ขั้นตอนที่ 3) ปรากฏว่าได้มีปัญหาการลักลอบกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการลักลอบบรรจุข้ามยี่ห้อ ซึ่ง สนพ. ได้ประสานความร่วมมือกับกรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยจัดชุดตำรวจเฉพาะกิจด้านก๊าซปิโตรเลียมเหลวขึ้น เสริมกำลังเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน ออกตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายทั่วประเทศ เพื่อควบคุมไม่ให้โรงบรรจุกลับไปบรรจุข้ามยี่ห้อเช่นเดิม
4. ผลการดำเนินโครงการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเดือนตุลาคม 2546 - มิถุนายน 2547 มีผู้กระทำความผิด จำนวน 219 ราย แยกเป็นการกระทำผิดที่โรงบรรจุ 118 แห่ง สถานีบริการแก๊ส (ปั๊มแก๊ส) 94 แห่ง และร้านค้าปลีก 7 แห่ง โดยมี ข้อหาในการจับกุม จำนวน 251 ข้อหา จากผลการจับกุมดังกล่าว พบว่าปั๊มแก๊สซึ่งขออนุญาตจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงสำหรับเติมรถยนต์เป็นสถานที่กระทำความผิดและหลีกเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบธุรกิจก๊าซ หุงต้มมากที่สุด จำนวน 104 ข้อหา โดยที่รายชื่อปั๊มแก๊สที่ถูกจับกุมจะเป็น รายชื่อซ้ำที่จะถูกจับกุมมากกว่าหนึ่งครั้ง
5. สำหรับสาเหตุการลักลอบบรรจุถังก๊าซหุงต้มโดยผิดกฎหมายเกิดจาก 1) บทลงโทษตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 28 (ปว. 28) ค่อนข้างต่ำ ปรับไม่เกิน 5,000 บาท ทำให้ปั๊มก๊าซไม่เกรงกลัว 2) เนื่องจากปัจจุบันร้านค้าก๊าซไม่ได้สังกัดผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 จึงสามารถนำถังก๊าซไปลักลอบบรรจุตามปั๊มก๊าซได้ และจะขาดการดูแลซ่อมบำรุงถังก๊าซตามที่กฎหมายกำหนด ก่อให้เกิดอันตรายกับสังคมได้
6. ดังนั้นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจึงควรเป็น
(1) แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ในข้อ 21 ให้สถานีบริการก๊าซมีความผิดหากบรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มขายหรือจำหน่ายก๊าซให้กับผู้อื่น บทลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(2) จัดระเบียบร้านค้าก๊าซ ให้สังกัดผู้ค้าก๊าซมาตรา 7 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อควบคุมให้ร้านค้าก๊าซนำถังก๊าซไปบรรจุตามยี่ห้อที่ตนสังกัด และหากร้านค้าก๊าซนำ ถังก๊าซไปบรรจุนอกยี่ห้อที่ตนสังกัด จะถูกยกเลิกการเป็นตัวแทนและห้ามขายก๊าซยี่ห้อดังกล่าว
(3) ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เรื่อง การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ความว่า "ให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง ประสานสำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเป็นค่าใช้จ่ายให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง" เนื่องจากความมุ่งหมายของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มุ่งหมายให้โอนงานน้ำมันเถื่อนไปให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบจัดหางบประมาณแผ่นดินมาใช้แทนการใช้เงินกองทุนน้ำมัน ซึ่งในปัจจุบันได้มีการดำเนินการเรียบร้อยแล้ว โดยการดำเนินการดังกล่าวไม่รวมถึงการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับก๊าซหุงต้ม เนื่องจากไม่ใช่เรื่องหนีภาษี แต่เป็นเรื่องปัญหาความปลอดภัย และมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว มีความหมายกว้าง ทำให้ไม่สามารถใช้เงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาสนับสนุนการดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับธุรกิจปิโตรเลียมเหลว ซึ่งปัจจุบันยังต้องดำเนินการปรับปรุงพัฒนามาตรฐานความปลอดภัยต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการจัดทำร่างแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 2/2546 ตามการขอ แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ในข้อ 2, ข้อ 10 - 11, ข้อ 21 และข้อ 27 เพื่อดำเนินการต่อไป
2. เห็นชอบให้นำเสนอขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เรื่อง การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ต่อคณะรัฐมนตรี
เรื่องที่ 7 ข้อเสนอการลดภาระกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือประชาชนโดยทั่วไป ด้วยการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลยังคงถูกตรึงราคาไว้ที่ระดับต่ำเช่นเดิมมาจนถึงปัจจุบัน
2. ชาวประมงที่ซื้อน้ำมันในโครงการจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ได้รับความเดือดร้อนเพราะการตรึงราคาไม่ได้ครอบคลุมถึงโครงการฯจึงไม่ได้รับการชดเชย ดังนั้นราคาน้ำมัน ในโครงการฯจึงเพิ่มขึ้นตามราคาตลาดโลก จนใกล้เคียงกับราคาขายส่งของน้ำมันดีเซลบนบกที่ถูกตรึงราคาไว้ ทำให้ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเขียวลดลง เนื่องจากชาวประมงบางส่วนต้องจอดเรือพักการทำประมง และบางส่วนหันมาซื้อน้ำมันบนฝั่งแทน ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ผลสืบเนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ทำให้กลุ่มประมงในบางจังหวัดเสนอขอให้มีการชดเชยราคาน้ำมันเขียว นอกจากนี้ชาวประมงที่ได้รับสัมปทานทำประมงในประเทศพม่าได้ซื้อน้ำมันบนบก เพื่อนำไปใช้ในการทำประมงแทนน้ำมันเขียว แต่เนื่องจากประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน กำหนดให้เรือที่มีความประสงค์จะเติมน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อใช้สำหรับเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ต้องส่งเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้ชาวประมงมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณลิตรละ 4 บาท และการซื้อน้ำมันบนบกราคาถูก อาจทำให้เกิดการลักลอบนำน้ำมันไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาน้ำมันสูงกว่า ทำให้เกิดการรั่วไหลของเงินชดเชยได้ และยังมีผลกระทบต่อการวางแผนการผลิตน้ำมันสำหรับโครงการน้ำมันเขียวของโรงกลั่นด้วย
4. ดังนั้นเพื่อลดภาระชดเชยของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต และเป็นการผลักดันให้ชาวประมงหันกลับไปใช้น้ำมันเขียว และเพื่อป้องกันมิให้มีการน้ำมันบนบกที่ได้รับการชดเชยจากภาครัฐมีการลักลอบนำไปจำหน่ายยังต่างประเทศ สนพ. จึงได้ข้อเสนอแนวทางการแก้ไข ดังนี้
1) ขอความเห็นชอบ การตรึงราคาน้ำมันเขียวโดยการชดเชยในลักษณะของการให้ยืมและให้ส่งคืนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อในภายหลังตามหลักเกณฑ์เดียวกับการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงบนบก
2) ขอให้มอบหมาย สนพ.,กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและ ส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3) เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำน้ำมันที่ได้รับชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการกำกับดูแลการจ่ายเงินชดเชยตามปริมาณน้ำมันเขียวที่ใช้จริงไม่ให้เกิดการรั่วไหล โดยขอให้มอบหมายหน่วยงานต่างๆ เช่น สนพ., กรมประมง, กรมศุลกากร, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการ
4) ขอให้ช่วยเหลือชาวประมงขนาดเล็กได้ซื้อน้ำมันในราคาต่ำลงอีก โดยให้เรือประมงชายฝั่งขนาดเล็ก(ความยาวไม่เกิน 14 เมตร) รวมตัวเพื่อซื้อน้ำมันบนบกในราคาขายส่ง ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันถูกลงประมาณ ลิตรละ 50 - 75 สตางค์ และให้มีการจัดตั้งเรือสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทะเลอาณาเขต โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี, กรมธุรกิจพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง (โครงการน้ำมันเขียว) ไม่ให้สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก โดยให้จ่ายเงินชดเชยในส่วนต่างของราคาน้ำมันเขียวที่สูงกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก และให้เรียกเก็บเงินคืนเมื่อราคาน้ำมันเขียวลดต่ำลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก ไปจนเมื่อเรียกเก็บเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้หมด
2. มอบหมายให้ สนพ. กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิตร่วมกันจัดทำระบบการชดเชยและส่งคืนเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อตรึงราคาน้ำมันเขียว โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจ่ายเงินชดเชยหรือรับเงินคืนเข้ากองทุนน้ำมันฯ
3. มอบหมายให้ สนพ. กรมประมง กรมศุลกากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ รับไปดำเนินการเพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำน้ำมันที่ได้รับชดเชยไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
กพช. ครั้งที่ 72 - วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 72)
วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 215-216 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 2 รัฐสภา
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
3.การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและมาตรการบรรเทาผลกระทบ
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนมกราคมได้ปรับตัวสูงขึ้น มีสาเหตุมาจากแนวโน้มการขยายเวลาการจำกัดการผลิตของกลุ่มโอเปค ประกอบกับสภาพอากาศที่หนาวเย็นมากในอเมริกาตอนเหนือและแคนาดา ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น พร้อมทั้งข่าวการส่งออกน้ำมันของอิรัคที่จะลดลง มีผลให้น้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น 4.5 เหรียญ สหรัฐฯต่อบาร์เรล ณ วันที่ 21 มกราคม 2543 มาอยู่ในระดับ 29.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้น 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 24.7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล แต่ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลง 1.0-2.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 24.0-27.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์มีการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากการลดกำลังการกลั่นในสิงคโปร์และอินเดีย และการปิดของโรงกลั่นไทยออยล์ ทำให้ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปเข้าสู่ตลาดน้อยลง ในขณะที่แรงซื้อน้ำมันมีมาก โดยในสัปดาห์ที่สามราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลสูงขึ้น 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 31.4-31.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันก๊าดสูงขึ้น 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 34.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ในสัปดาห์สุดท้ายราคาได้อ่อนตัวลง โดย ณ วันที่ 28 มกราคม 2543 ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด และดีเซลอ่อนตัวลง 1.0 3.7 และ 3.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในะดับ 30.5, 30.7 และ 28.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันเตาราคาเฉลี่ยลดลง 0.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 21.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. ราคาน้ำมันในประเทศในเดือนมกราคม ช่วงต้นเดือนมีการปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 23 สตางค์/ลิตร จากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ซึ่งถูกชดเชยด้วยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง และได้มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นอีก 2 ครั้ง รวม 60 และ 50 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และ 87 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 26 มกราคม 2543 มีราคา 14.39, 13.59, 13.17 และ 11.52 บาท/ลิตร ตามลำดับ ค่าการตลาดและค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 0.92 และ 0.70 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สพช. ได้คาดการณ์แนวโน้มของราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะอยู่ในระดับ สูงสุดในเดือนมกราคม หลังจากนั้นสภาพอากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มลดลง และค่าการกลั่นดีขึ้น จะทำให้โรงกลั่นเพิ่มการผลิต รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง จะทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของไตรมาสแรกอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสก่อน โดยน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ในระดับ 22-23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูปจะอ่อนตัวลง ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาขายปลีกของไทย มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงเช่นกัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาสูง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 เห็นชอบมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้น รวมทั้ง เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2543-2547 โดยให้มีการปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้น โดยเน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อให้การดำเนินงานตามแผน อนุรักษ์พลังงานมีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ติดตามความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีของหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง ซึ่งมีความก้าวหน้าในแต่ละมาตรการสรุปได้ดังนี้
2.1 การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน แผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2537-2542 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2542 โดยใช้จ่ายเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,237 ล้านบาท ผลการดำเนินงานคาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและลดค่าใช้จ่ายด้าน พลังงานสิ้นเปลืองได้ประมาณ 525 ล้านบาท/ปี และสามารถชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้คิดเป็นมูลค่า 2,115 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินเป็นจำนวนเงินได้ ต่อมา สพช. ได้จัดทำแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 ปีงบประมาณ 2543-2547 โดยได้มีการปรับปรุงมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สอดคล้องตามมติ คณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้น เพื่อเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีผลที่ชัดเจนมากขึ้น โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 29,110.61 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถทดแทนพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงได้ประมาณ 12,870 ล้านบาท/ปี และสามารถลดเงินลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ประมาณ 38,085 ล้านบาท
การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 ในช่วงที่ผ่านมา (ต.ค. 42 - ม.ค. 43) ได้มีการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ โครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car pool) การปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง การส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้า และการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้มีการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง
2..2 การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม ประกอบด้วย การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด การลดการใช้น้ำมันเตาและใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ตลอดจนการกระจายแหล่งและชนิดของพลังงาน
2.3 การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้ใช้ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยกองทุนฯ จะสามารถตรึงราคาได้เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 11 เดือน และหากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้น จะใช้มาตรการการปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้า ก่อนดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.4 การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ได้มีการผ่อนผันให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติมาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้ โดยขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันและ กฟผ. เพื่อหาทางเลือกต่างๆ ที่จะทำให้น้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. มีราคาต่ำที่สุด
2.5 การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง มาตรการเฉพาะเพื่อเร่งรัดการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาสูงที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ประกอบด้วย การปรับบทบาทขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสานการปราบปรามการลักลอบ นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง การเพิ่มความเข้มในการตรวจการณ์ทางทะเล การตรวจสอบแพปลาและสถานีบริการริมชายฝั่ง การตรวจสอบอู่ต่อเรือ และการเฝ้าติดตามผู้ผลิต ตัวแทน และผู้ใช้สารโซลเว้นท์มิให้มีการลักลอบ นำไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบการนำเข้าและส่งออกน้ำมันทาง ทะเล และเร่งรัดให้มีการดำเนินการแก้ไขระเบียบของรัฐที่เป็นอุปสรรคในการปฏิบัติ งาน
2.6 การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น ในขณะนี้ ปตท. ได้มีการดำเนินโครงการทดลองก่อนการขยายตลาดของยานยนต์โดยการดัดแปลงเครื่อง ยนต์มาใช้ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้ง ได้มีการหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย กรมทรัพยากรธรณี สพช. กรมการขนส่งทางบก กรมศุลกากร สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อหาแนวทางในการสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาค ขนส่งมากขึ้น โดยได้มีการหารือในเรื่อง การจัดหาแหล่งเงินทุน การยกเว้นภาษี การส่งเสริมสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยการลงทุน และการพิจารณาแก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการติดตั้งถังก๊าซฯ ไว้บนหลังคารถ เป็นต้น
2.7 การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ปตท. ได้รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเชื้อเพลิง โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทผู้ค้าน้ำมัน
2.8 กระทรวงคมนาคมได้ดำเนินการตรึงราคาค่าโดยสารสำหรับรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถไฟ และรถโดยสารของบริษัทขนส่ง
2.9 กระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกประกาศปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 0.42 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราว ระยะเวลา 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2542 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2543 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 0.50 บาท/ลิตร และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2542 ให้ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของยาสูบ เพื่อเป็นการทดแทนรายได้ของภาษีน้ำมันดีเซลที่ขาดหายไป อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกำหนดที่จะต้องปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในวันที่ 5 มกราคม 2543 ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาน้ำมันดีเซลต้องปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร ตามภาษีที่เพิ่มขึ้นนั้น ได้มีการดำเนินการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของราคาขายปลีกที่จะสูงขึ้นในระดับ หนึ่ง โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนช้าลดลงจาก 0.25 บาท/ลิตร และ 0.23 บาท/ลิตร ตามลำดับ เป็น 0 บาท/ลิตร ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นเพียง 0.23 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและมาตรการบรรเทาผลกระทบ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น สรุปได้ดังนี้
1.1 การประเมินผลกระทบมีข้อสมมติฐานแบ่งออกเป็น 4 กรณี คือ กรณีฐานและกรณีที่ 1-3 โดยกรณีฐานราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 19 เหรียญสรอ./บาร์เรล ส่วนกรณีที่ 1 , 2 และ 3 มีสมมุติฐานว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 22 เหรียญสรอ./บาร์เรล 24 เหรียญสรอ./บาร์เรล และ 26 เหรียญสรอ./บาร์เรล ตามลำดับ
1.2 จากข้อสมมติฐานกรณีที่ 1 เมื่อราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 22 เหรียญสรอ./บาร์เรล จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 4.18 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.22 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 38 บาท) หรือ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 4.13 ลดลงจากกรณีฐาน ร้อยละ 0.27 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 39 บาท) และในกรณีเลวร้ายที่สุด คือ กรณีที่ 3 เมื่อราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 26 เหรียญสรอ./บาร์เรล จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 3.88 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.52 (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 38 บาท) หรือ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับร้อยละ 3.83 ลดลงจากกรณีฐานร้อยละ 0.57 (ณ อัตรา แลกเปลี่ยน 1 เหรียญสรอ. เท่ากับ 39 บาท)
1.3 ผลการวิเคราะห์โดยรวมแล้ว แนวโน้มราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้ยังไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยาย ตัวทางเศรษฐกิจโดยรวม แต่อาจมีผลต่อต้นทุนเฉพาะบางสาขา เช่น สาขาประมง และสาขาขนส่ง แต่มีข้อสังเกตว่าจากสถานการณ์ในปี 2542 ซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นจากปี 2541 ถึงร้อยละ 39.95 แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาเงินเฟ้อ หรือเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวโดยรวมของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาหามาตรการที่เหมาะสมมาช่วยเหลือเฉพาะบางสาขาที่ได้รับผลกระทบก็ ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดทางด้านงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งมีภาระในอนาคตมากอยู่แล้ว และมาตรการประหยัดพลังงานยังเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการต่อไป
2. กระทรวงคมนาคม ได้เชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่เกี่ยวข้องมาร่วมประชุมหารือ เพื่อประเมินผลกระทบต่อค่าขนส่งจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2543 สรุปได้ดังนี้
2.1 ด้านการขนส่งทางบก มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กรมการขนส่งทางบก และองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (รสพ.) ในส่วนของ ขสมก. และ รฟท. ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐยังให้เงินอุดหนุนอยู่ จึงยังไม่มีการปรับราคาค่าโดยสารในขณะนี้ สำหรับ บขส. ได้มีการปรับค่าโดยสารครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2541 โดยคิดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 10.61-11.03 บาท/ลิตร ซึ่งปัจจุบัน บขส. มีต้นทุนเฉพาะน้ำมันเฉลี่ยที่ 11.03 บาท/ลิตร พอดี จึงสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องปรับค่าโดยสาร ส่วนอัตราค่าโดยสารรถบรรทุก ซึ่งคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางกำหนดราคาไว้ตั้งแต่ปี 2527 ให้รถบรรทุกสิบล้อเหมาคันมีอัตรา 8.3996 บาท/กิโลเมตร และรถบรรทุกหกล้อเหมาคันมีอัตรา 6.5353 บาท/กิโลเมตร ปัจจุบันต้นทุนการขนส่งอยู่ที่อัตรา 12.25 บาท/กิโลเมตร ส่วน รสพ. มีต้นทุนการขนส่งอยู่ที่ 11.87 บาท/กิโลเมตร ซึ่งหากผู้ประกอบการขนส่งและ รสพ. สามารถบริการเที่ยววิ่งขากลับให้มีสินค้าบรรทุก ก็จะช่วยให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยไม่ต้องปรับค่าขนส่ง
2.2 ด้านการขนส่งทางน้ำ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมเจ้าท่า (จท.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี (สพง.) โดยในส่วนของค่าโดยสารเรือประจำทางและเรือข้ามฟากได้มีการปรับอัตราค่า โดยสารครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2542 และได้มีข้อตกลงร่วมกับผู้ประกอบการว่า จะไม่มีการปรับค่าโดยสารอีกเป็นเวลา 5 ปี สำหรับการเดินเรือระหว่างประเทศของไทยมีจำนวนเรือวิ่งน้อย จึงทำให้ไม่มีอำนาจต่อรองมากนัก และทางกลุ่มเดินเรืออาจจะขอปรับราคาขึ้นอีก
2.3 ด้านการขนส่งทางอากาศ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้รับอนุมัติให้ปรับค่าโดยสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.5 ตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2542 แต่เนื่องจากมีการแข่งขันสูงและสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นยังไม่เอื้ออำนวย บริษัท การบินไทยฯ จึงยังไม่ปรับค่าโดยสารขึ้น และคาดว่าจะยังไม่มีการปรับค่าโดยสารสำหรับเส้นทางการบินภายในประเทศ ในระยะ 3-4 เดือนนี้
3. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอกรมประมงเสนอเรื่องขึ้นมา
4. กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้มีการประเมินผลกระทบต่อต้นทุนผลิตสินค้าอุตสาหกรรมจากราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น สรุปได้ดังนี้
4.1 การวิเคราะห์และประเมินผลกระทบใช้เปรียบเทียบราคาน้ำมันของเดือนมิถุนายน 2542 กับราคาน้ำมันวันที่ 26 มกราคม 2543 โดยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากเดิมลิตรละ 8.30 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 11.52 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.80 น้ำมันเตาจากเดิมลิตรละ 5.99 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 7.90 บาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.89 และน้ำมันเบนซิน 95 จากเดิมลิตรละ 11.21 บาท เพิ่มขึ้นเป็นลิตรละ 14.39 บาท หรือเพิ่มร้อยละ 28.37 ส่วนค่าไฟฟ้าได้มีการปรับค่า Ft จากเดือนมิถุนายน 2542 ที่อัตรา 32.60 สตางค์/หน่วย มาอยู่ในอัตรา 56.32 สตางค์/หน่วย ในเดือนมกราคม 2543
4.2 ผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นต่อต้นทุนการผลิตพบว่า มีสินค้า 2 รายการที่ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นสูงกว่าร้อยละ 5.00 ขึ้นไป ได้แก่ ปูนซีเมนต์ แป้งแปรรูป เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 3.01-5.00 มี 4 รายการ ได้แก่ กระจกแผ่น ฟอกย้อม กุ้งกุลาดำแช่เยือกแข็ง และเหล็กทรงยาว เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 1.01-3.00 มี 6 รายการ ได้แก่ เส้นใย สายไฟฟ้า ฟอกหนัง เครื่องเรือนไม้ เป็นต้น สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตราร้อยละ 0.50-1.00 มี 5 รายการ ได้แก่ กระเบื้องเซรามิกส์ หลอดภาพโทรทัศน์ แป้งมันสำปะหลัง เป็นต้น และสินค้าที่มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นน้อยกว่าร้อยละ 0.50 มี 8 รายการ ได้แก่ รถยนต์ จักรยานยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบน้อยมากมี 4 รายการ คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ โซเดียมทรีโพลีฟอสเฟต โพลีคาร์บอเนต และ POM
4.3 มาตรการในการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ควรเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์ ในเชิงรุกเพื่อสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นคุณค่าของพลังงานเพื่อให้มีการ ใช้อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ สำหรับมาตรการระยะปานกลางควรใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานขนาดกลางและขนาดย่อมให้มากขึ้น รวมทั้ง การพิจารณาให้สิทธิประโยชน์แก่โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้อุปกรณ์และเครื่องจักร การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง และหรือใช้พลังงานที่ผลิตได้ในประเทศ ส่วนมาตรการระยะยาวควรหาพลังงานทดแทนชนิดอื่นที่ราคามีเสถียรภาพและไม่ต้อง พึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศมากนัก เช่น ก๊าซธรรมชาติ โดยรัฐบาลต้องให้การสนับสนุนในด้านการวางระบบท่อส่งก๊าซและเงินทุนในการปรับ เปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อรองรับการใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้
5. กระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในได้ประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรม และมาตรการบรรเทาผลกระทบสรุปได้ดังนี้
5.1 กรมการค้าภายในได้วิเคราะห์ผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อต้นทุนสินค้า โดยใช้การเปรียบเทียบราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยในเดือนมิถุนายน 2542 ซึ่งอยู่ในระดับ 8.30 บาท/ลิตร กับราคาดีเซล ในขณะนี้ซึ่งเท่ากับ 11.52 บาท/ลิตร ผลการวิเคราะห์ปรากฏว่ามีสินค้าจำนวน 53 รายการ ได้รับ ผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นประมาณร้อยละ 0.01-5.30 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในอัตราร้อยละ 1.00-5.30 มีจำนวน 7 รายการ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ ตะปูตอกไม้ กระเบื้องคอนกรีตมุงหลังคา ผงชูรส อาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก น้ำมันหล่อลื่น ยารักษาโรค ส่วนสินค้าที่ได้รับผลกระทบทำให้ต้นทุนสูงขึ้นในอัตราร้อยละ 0.01-0.99 มีจำนวน 46 รายการ สำหรับปูนซีเมนต์ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดนั้นคงจะไม่มีการ ปรับราคาขึ้นไปอีก เนื่องจากได้มีการปรับราคาไปแล้วเมื่อต้นเดือนมกราคม 2543
5.2 มาตรการในการป้องกันมิให้ผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้าอย่างไม่เป็น ธรรมแก่ ผู้บริโภค ทางกรมการค้าภายในได้มีหนังสือถึงผู้ประกอบการสินค้าที่มีความจำเป็นแก่การ ครองชีพประมาณ 570 ราย ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าให้ทราบล่วงหน้าก่อนการปรับราคาสินค้า 15 วันทำการ เพื่อให้มีเวลาในการศึกษาวิเคราะห์ราคาจำหน่ายที่เหมาะสม หากพบว่ามีการปรับราคาสูงเกินสมควรก็จะขอความ ร่วมมือให้ลดราคาลงให้สอดคล้องกับผลกระทบ นอกจานี้ ยังมีมาตรการติดตามดูแลความเคลื่อนไหวราคา และปริมาณสินค้า โดยมีการจัดเจ้าหน้าที่สายตรวจออกตรวจสอบภาวะราคาสินค้าเป็นประจำทุกวันทำ การ มีการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนทั้งในส่วนกลางและทุกจังหวัด มีการประชาสัมพันธ์ปรามผู้ค้ามิให้ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า และมีการจัดจำหน่ายสินค้าราคายุติธรรมตามโครงการธงฟ้าราคาประหยัดให้แก่ผู้ บริโภค
5.3 สำหรับสินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่ติดตามตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากมีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า และส่วนใหญ่ราคาได้ถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภคแล้ว สาขาประมงเป็นสาขาที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นต้นทุนหลักของสาขานี้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ได้ให้ความช่วยเหลือในสาขาประมงแล้ว โดยใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรจ่ายชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาว ประมง
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้ง การประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าและบริการจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
2.ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิด
3.มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รับไปจัดทำมาตรการเพื่อช่วยเหลือชาวประมงจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยใช้เงินกองทุนช่วยเหลือเกษตรกร และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
4.มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม ติดตามดูแลราคาค่าขนส่งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างใกล้ชิด
5.มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ ติดตามดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการมีการปรับราคาสินค้าอย่างไม่เป็นธรรมต่อผู้ บริโภค
6.ให้มีการเร่งรัดการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอย่าง ต่อเนื่อง เพื่อสร้างจิตสำนึกของประชาชนให้เห็นคุณค่าของการใช้พลังงานอย่างประหยัดและ มีประสิทธิภาพ
7.ให้มีการเร่งรัดการขยายผลการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานขนาดกลางและขนาด เล็กที่ไม่ใช่โรงงานและอาคารควบคุมและมีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1 เมกะวัตต์ ให้เข้ามาร่วมดำเนินการมากขึ้น
รายชื่อผู้ผ่านการเลือกสรรเพื่อจัดจ้างเป็นพนักงานราชการทั่วไปตำแหน่งนักวิชาการเงินและบัญชี วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2559
กพช. ครั้งที่ 71 - วันพุธที่ 26 มกราคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 71)
วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 3201 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา 3 รัฐสภา
1.การประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การขอทบทวนบทบาทและหน้าที่ขององค์กรในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม2542 เห็นชอบแนวทางในการแก้ปัญหาน้ำมันราคาแพง ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การเลือกใช้พลังงาน การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง การส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่ง การเจรจาปรับลดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น การตรึงราคาค่าโดยสารรถไฟและรถประจำทาง และการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือน
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้มีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาแพง สรุปได้ดังนี้
2.1 การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน สพช. ได้เร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีประสิทธิภาพและมีผลเป็น รูปธรรมมากยิ่งขึ้น ได้แก่ การเร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพในการใช้ พลังงานสูง เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ใช้ไฟฟ้า และกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ รวมทั้งการติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน ตลอดจนเร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง
2.2 การเลือกใช้พลังงานให้เหมาะสม ประกอบด้วย การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด การลดการใช้น้ำมันเตาและดีเซลในการผลิตไฟฟ้า การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น การกระจายแหล่งและชนิดของเชื้อเพลิงในระยะยาว เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาเชื้อเพลิงของประเทศ
2.3 การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายเงินชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซ ปิโตรเลียมเหลว ซึ่งกองทุนน้ำมันฯ จะสามารถตรึงราคาได้เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 11 เดือน
2.4 การลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า โดยได้มีการผ่อนผันให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติ มาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้ และ ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันและ กฟผ. เพื่อหาทางเลือกต่างๆ ที่จะทำให้น้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. มีราคาต่ำที่สุด
2.5 การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบ ด้วยกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปนม.) ได้เพิ่มความเข้มงวดมากขึ้นในการติดตาม ตรวจสอบ เพื่อป้องกันปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
2.6 การส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น โดยสนับสนุนการขยายจำนวนรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาเพื่อให้โครงการสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็น รูปธรรม
2.7 การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจากับโรงกลั่นน้ำมัน เพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเชื้อเพลิง
2.8 กระทรวงคมนาคม รับไปดำเนินการตรึงราคาค่าโดยสารสำหรับรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถไฟ และรถโดยสารของบริษัท ขนส่ง จำกัด รวมทั้ง ให้พิจารณาลดค่าธรรมเนียมที่เก็บจากรถร่วมบริการเพื่อเป็นการลดต้นทุนของผู้ ประกอบการ โดยให้พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังในการพิจารณาหารายได้ส่วนอื่นมาชดเชย
2.9 กระทรวงการคลัง ได้ปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเป็นการชั่วคราว ระยะเวลา 3 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2542 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2543 ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 0.50 บาท/ลิตร และได้ปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตของยาสูบ มีผลตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2542 เป็นต้นมา และคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลเป็น 0 บาท/ลิตร เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของราคาขายปลีกที่จะสูงขึ้นเมื่อครบกำหนดขึ้นภาษี สรรพสามิต ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2543 เป็นต้นมา ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นเพียง 0.23 บาท/ลิตร
3. ราคาน้ำมันดิบในเดือนมกราคมได้ปรับตัวสูงขึ้น มีสาเหตุมาจากแนวโน้มการขยายเวลาการจำกัดการผลิต สภาพอากาศที่หนาวเย็นมากในอเมริกาและแคนาดา ทำให้ความต้องการน้ำมันดิบสูงขึ้น และข่าวการส่งออกน้ำมันของอิรัคที่จะลดลง โดยน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวสูงขึ้น$4.5 ต่อบาร์เรล อยู่ในระดับ $ 29.9 ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบดูไบปรับตัวขึ้น $1.5 ต่อบาร์เรล อยู่ในระดับ$ 24.7 ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูป ในตลาดจรสิงคโปร์ปรับสูงขึ้นเช่นกัน จากการลดกำลังกลั่นในสิงคโปร์และอินเดีย และการปิดของโรงกลั่น ไทยออยล์ ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปเข้าสู่ตลาดน้อยลง ในขณะที่แรงซื้อน้ำมันมีมาก โดยน้ำมันเบนซินและดีเซล สูงขึ้น $3 - 4 -ต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ $31 -ต่อบาร์เรล- -น้ำมันก๊าดสูงขึ้น $2.7 ต่อบาร์เรล เป็น $33.9 ต่อบาร์เรล น้ำมันเตาราคาเฉลี่ยลดลง $ 1 ต่อบาร์เรล แต่หลังจากกลางเดือนราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ $23.2 ต่อบาร์เรล
4. ราคาน้ำมันในประเทศในเดือนมกราคม ช่วงต้นเดือนมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลขึ้น 23 สตางค์/ลิตร จากการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิต ซึ่งถูกชดเชยด้วยการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนหนึ่ง และได้มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้นอีก 2 ครั้ง รวม 60 และ 50 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และ 87 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 26 มกราคม 2543 อยู่ในระดับ 14.39, 13.59, 13.17 และ11.52 บาท/ลิตร- ตามลำดับ ค่าการตลาดและค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 1.02 และ 0.69 บาท/ลิตร
5. สพช. คาดการณ์แนวโน้มของราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะอยู่ในระดับสูงสุดในเดือนมกราคม หลังจากนั้นสภาพอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้น ความต้องการใช้น้ำมันจะเริ่มลดลง และค่าการกลั่นดีขึ้น จะทำให้โรงกลั่นเพิ่มการผลิต รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง จะทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของไตรมาสแรกอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาสก่อน โดยน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ในระดับ $22-23 ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูปจะอ่อนตัวลง ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาขายปลีกของไทยมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวเช่นกัน
มติของที่ประชุม
1.ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ติดตามประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างใกล้ชิด
2.ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพาณิชย์ ประเมินผลกระทบต้นทุนสินค้าและบริการในสาขาที่เกี่ยวข้องจากราคาน้ำมันที่ สูงขึ้น พร้อมทั้งเสนอแนะมาตรการบรรเทาผลกระทบที่ชัดเจน
3.ให้กระทรวงการคลัง พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำกองทุนต่างๆ ที่มีการจัดตั้งอยู่ทั้งหมดในขณะนี้ว่าสามารถนำมาใช้ในการบรรเทาผลกระทบใน สาขาต่าง ๆ ได้มากน้อยเพียงใด
4.ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
5.ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม จัดทำรายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมและโรง งานควบคุมภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน
ทั้งนี้ ให้นำเสนอรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมวันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543
เรื่องที่ 2 การขอทบทวนบทบาทและหน้าที่ขององค์กรในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 มอบหมายให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางในการจัดทำแผนงานปราบปราม ควบคุมและประสานการปฏิบัติงานกับกรมศุลกากรและกรมตำรวจในการปราบปรามทางทะเล ให้เป็นเอกภาพ รวมทั้งเป็นศูนย์รวบรวมข้อมูลข่าวสารในการปราบปรามทางทะเล ประเมินผลการปฏิบัติงาน ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะการปฏิบัติงานในพื้นที่ทางทะเลจนถึงชายฝั่ง เพื่อแก้ไขปัญหาและจุดอ่อนด้านความพร้อมของการปราบปรามทางทะเล โดยให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวก เพื่อประสานการปฏิบัติงานแก่กองทัพเรือโดยตรง
2. กองทัพเรือได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล (ศอปล.) ขึ้น เพื่อดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมาย แต่จากการประเมินผลการดำเนินการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา(ปี 2539 - 2542) พบว่าศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเลมิได้มีการใช้ประโยชน์อย่างจริง จัง โดยการดำเนินการจับกุมของแต่ละหน่วยงานต่างเป็นเอกเทศ มิได้มีการประสานงานข้อมูลข่าวสารการปราบปรามทางทะเลตามวัตถุประสงค์ที่วาง ไว้ และไม่สามารถตอบสนองนโยบายของรัฐตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายให้เป็นศูนย์อำนวย การเฉพาะกิจปราบปรามทางทะเล โดย 4 ปีที่ผ่านมา กองทัพเรือสามารถจับกุมน้ำมันเถื่อนได้เฉลี่ยเพียงปีละ 2.6 แสนลิตร หรือคิดเป็นร้อยละ 4 ของการจับกุมทั้งหมด ในขณะที่กรมศุลกากรสามารถจับกุมได้ร้อยละ 18.4 และกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางสามารถจับกุมได้ถึงร้อยละ 77.6
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) เป็นศูนย์กลางการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งทาง บกและทางทะเล ด้วยเหตุผลดังนี้
3.1 การประกาศเขตต่อเนื่องไปอีก 12 ไมล์ทะเล ทำให้ตำรวจน้ำและเจ้าหน้าที่ศุลกากรสามารถปฏิบัติงานได้ครอบคลุมกว้างขวาง ยิ่งขึ้น อีกทั้ง 2 หน่วยงานยังได้พัฒนาขีดความสามารถในการหาข้อมูลข่าวสารได้เอง จนกระทั่งสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้บ่อยครั้งโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้อมูล ข่าวสารของกองทัพเรือในการปฏิบัติงาน ดังนั้นความจำเป็นในการพึ่งพาการลาดตระเวนของกองทัพเรือที่จะช่วยสนับสนุน ด้านการข่าวให้แก่ตำรวจน้ำและเจ้าหน้าที่ศุลกากรจึงหมดไป
3.2 การลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบออกไป เป็นการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิง และการขอคืนภาษีน้ำมันส่งออกโดยมิได้ถูกส่งออกไปจริง ทำให้ภารกิจในการตรวจเฝ้าการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเลลดลง
3.3 ปัจจุบัน ศปนม. ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการป้องกันและปราบปรามฯ ทางบกอยู่แล้ว ดังนั้นการกำหนดให้ ศปนม. -เป็นศูนย์กลางประสานงานทั้งทางบกและทางทะเล จึงทำให้การทำงานมีความเป็นเอกภาพและประสิทธิภาพสูงสุด
3.4 สามารถประหยัดงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ โดยในส่วนของกองทัพเรือให้ขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดินเป็นหลัก
4. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ในการประชุม ครั้งที่ 1/ 2542 (ครั้งที่ 31) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 จึงได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบให้ทบทวนบทบาทและหน้าที่องค์กรในการป้องกันและ ปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการทบทวนบทบาทและหน้าที่องค์กรในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
1.1 ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มีนาคม2539 ในการมอบหมายให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางในการประสานงานปราบปรามทางทะเล และมอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิง (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่แทนกองทัพเรือในการเป็นศูนย์กลางในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบ นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งทางบกและทางทะเล
1.2 ให้กองทัพเรือ กรมสรรพสามิต กรมทะเบียนการค้า กรมศุลกากร กรมประมง กรมเจ้าท่า และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยให้ความร่วมมือทั้งด้านการประสานงาน การให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการตรวจสอบ จับกุมผู้กระทำผิดและร่วมตรวจสอบจับกุมผู้กระทำผิด เมื่อได้รับการร้องขอจาก ศปนม.
1.3 มอบหมายให้ ศปนม. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จัดทำข้อเสนอการจัดทำโครงข่ายการประสานการปฏิบัติงานของ ศปนม. ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งทาง บกและทางทะเล เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
2.ให้กรมทะเบียนการค้า กรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ร่วมกันตรวจสอบปรับปรุงข้อมูลการส่งออกน้ำมันให้มีความสอดคล้องกัน เพื่อใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงานต่อไป
ครั้งที่ 4 - วันจันทร์ ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2546
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4)
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7
กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547
3. การขยายระยะเวลาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์ต่อหน่วย
4. การรับภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจากการตรึงค่า Ft
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาน้ำมันดิบโอมานและดูไบเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 0.10 - 0.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่สงบในอิรัก และเหตุการณ์การก่อการร้ายอย่าง ต่อเนื่องในตะวันออกกลางและประเทศตุรกี ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์และ WTI ได้ปรับตัว ลดลง 0.27 - 0.56 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการคาดว่ากลุ่มโอเปคจะผลิตเกินโควต้าอยู่ประมาณ 1 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วง ต้นเดือนธันวาคมราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 0.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ทรงตัว จากผลการประชุมของโอเปค เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2546 ให้คงการผลิต ไว้ที่ระดับ 24.5 ล้านบาร์เรล/วัน ประกอบกับอิรักสามารถส่งออกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 0.35 ล้านบาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ระดับ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน โดยราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 27.52 และ 28.82 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ในเดือนพฤศจิกายน 2546 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 0.23 และ 1.27 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากจีนลดการส่งออกและโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง และอุปทานน้ำมันเข้ามาในภูมิภาคลดลง ประกอบกับความต้องการใช้ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น แต่ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 92 ปรับตัวลดลง 0.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการส่งออกของไต้หวัน อินเดีย และประเทศในตะวันออกกลาง ประกอบกับออสเตรเลียชะลอการนำเข้า ในช่วงต้นเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้น 0.89 - 1.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของเวียดนามและบังคลาเทศ ประกอบกับญี่ปุ่นลดการส่งออก เนื่องจากโรงกลั่นปิดซ่อมบำรุง ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลดลง 0.24 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล โดยอุปทานในภูมิภาคเพิ่มขึ้นจากมีน้ำมันจากตะวันออกกลางเข้ามาขายในภูมิภาคเอเซีย ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 , น้ำมันก๊าด ดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันเตา ณ วันที่ 5 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 37.48, 35.98, 37.78, 33.48 และ 25.84 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ในเดือนพฤศจิกายน ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ทรงตัว น้ำมันเบนซินออกเทน 91 สุทธิปรับขึ้น 0.10 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วสุทธิปรับขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกในช่วงต้นเดือนธันวาคม ไม่เปลี่ยนแปลง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2546 อยู่ที่ระดับ 16.69 , 15.89 และ 14.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนพฤศจิกายน และช่วงต้นเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 1.2323 และ1.4320 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการกลั่นเฉลี่ยของเดือนพฤศจิกายนและช่วงต้นเดือนธันวาคม อยู่ที่ระดับ 0.7306 และ 0.9841 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนธันวาคม 2546 ปรับตัวสูงขึ้น 32 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ ในระดับ 312 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 11.84 บาท/กก. อัตราเงิน ชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 3.64 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 662 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มี รายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 982 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลออกกองทุนฯ สุทธิ 80 ล้านบาท/เดือน ยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 อยู่ในระดับ 2,449 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2546 รวม 5,292 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 2,843 ล้านบาท
6. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ให้จำกัดอัตราชดเชยราคาก๊าซ LPG ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2546 - มิถุนายน 2547 ไม่เกิน 3 บาท/กก. สนพ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 70 พ.ศ. 2546 ปรับขึ้นราคาขายส่งก๊าซ LPG ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 0.9345 บาท/กก. ซึ่งจะทำให้ราคาขายส่ง/ราคาขายปลีกรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.00 บาท/กก. หรือ 15 บาท/ถัง 15 กก. เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2546 เป็นต้นไป
7. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะยังทรงตัวในระดับสูง ในช่วงปลายปี 2546 จึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์มีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 27 - 29 และ 29 - 32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อราคาน้ำมัน คือ สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การส่งออกของอิรัก และการผลิตของประเทศนอกกลุ่มโอเปคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรัสเซียและนอร์เวย์ ส่วนแนวโน้มของราคา น้ำมันเบนซินออกเทน 95 จะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 35 - 38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์ของออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ประกอบกับอุปทานในภูมิภาคลดลงจากจีนลดการส่งออก ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 32 - 36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปสงค์น้ำมันเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศต่างๆ ได้เริ่มเก็บสะสม น้ำมันเพื่อความอบอุ่น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 เรื่องการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยเห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยได้กำหนดให้มีการชดเชยรายได้จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544-2546 ในลักษณะเหมาจ่าย (Lump Sum Financial Transfer) เท่ากับ 8,153 8,589 และ 9,041 ล้านบาทต่อปี ตามลำดับ ทั้งนี้ ให้นำจำนวนเงินชดเชยรายได้ดังกล่าวมาเฉลี่ยเป็นรายเดือน และให้ กฟน. นำส่งเงินชดเชยรายได้ให้แก่ กฟภ. เป็นรายเดือน ในปีงบประมาณนั้น ซึ่งอัตราการชดเชยรายได้ดังกล่าวสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ 2546
2. ในการประชุมหารือเพื่อพิจารณาฐานะการเงินของการไฟฟ้า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้ว่าการการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้พิจารณาเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้มีการชดเชยรายได้ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยให้ กฟน. และ กฟภ. ซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. โดยมีส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าซื้อไฟฟ้าตั้งแต่ค่าซื้อไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2546 และ กฟภ. ได้มีหนังสือถึง สนพ. ขอให้พิจารณาดำเนินการเร่งนำเรื่องเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อขอความเห็นชอบวิธีปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชย รายได้เป็นการชั่วคราวตามแนวทางการหารือเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2546 เนื่องจาก กฟภ. ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินและการดำเนินงานของ กฟภ.
3. การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าก่อนเดือนตุลาคม 2543 จะเป็นการชดเชยรายได้ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง โดยการกำหนดเป็นส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง กล่าวคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะขายไฟฟ้าให้กับ กฟน. ในราคาค่าไฟฟ้าขายส่ง บวกส่วนเพิ่มค่าไฟฟ้า และขายให้ กฟภ. ในอัตรา ค่าไฟฟ้าขายส่ง และหักด้วยส่วนลดค่าไฟฟ้า
4. แนวทางการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในปีงบประมาณ 2547 ให้มีการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่าไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท เท่ากับจำนวน เงินชดเชยรายได้ในปีงบประมาณ 2546 โดย กฟน. จะรับภาระการชดเชย 7,000 ล้านบาท และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ด้วย จำนวน 2,041 ล้านบาท ดังนี้
ส่วนเพิ่มส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวม VAT)
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546
หน่วยซื้อไฟฟ้า (ประมาณการปีงบประมาณ 2547) (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาทต่อหน่วย) |
|
กฟน. | 39,909 | 0.1754 |
กฟภ. | 73,563 | (0.1229) |
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวน เงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการจ่ายเงินชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในปีงบประมาณ 2547 เป็นการชั่วคราว ผ่านค่า ไฟฟ้าขายส่ง จำนวน 9,041 ล้านบาท โดย กฟน. รับภาระการชดเชยรายได้ จำนวน 7,000 ล้านบาท และ กฟผ. รับภาระการชดเชยรายได้ จำนวน 2,041 ล้านบาท ดังนี้
ส่วนเพิ่มส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่ง (ไม่รวม VAT)
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546
หน่วยซื้อไฟฟ้า (ประมาณการปีงบประมาณ 2547) (ล้านหน่วย) |
ส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่ง (บาทต่อหน่วย) |
|
กฟน. | 39,909 | 0.1754 |
กฟภ. | 73,563 | (0.1229) |
ทั้งนี้ เมื่อได้ข้อยุติการกำหนดเงินชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าแล้ว ให้นำมาปรับปรุงจำนวน เงินชดเชยรายได้ดังกล่าวย้อนหลังถึงเดือนตุลาคม 2546
2. มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง ขายปลีก และการชดเชยรายได้ให้แล้วเสร็จก่อนการกระจายหุ้น กฟผ. เข้าตลาดหลักทรัพย์ และเตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำกับศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าต่อไป
3. มอบหมายให้คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า เร่งรัดการปรับปรุงข้อมูลการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าของประเทศให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2546 เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดทำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
เรื่องที่ 3 การขยายระยะเวลาปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์ต่อหน่วย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุน จำนวน 7 สตางค์/หน่วย เนื่องจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งปรับลดแผนการลงทุนในปีงบประมาณ 2544-2546 ลงจากแผนเดิม 55,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้สมทบการลงทุนลดลง 14,000 ล้านบาท สามารถลดค่าไฟฟ้าให้ ประชาชนได้ 7 สตางค์/หน่วย เป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2544 - กันยายน 2546 โดยมอบหมายให้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการ
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 86) เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 และในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ได้มีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามมติ กพง. ดังกล่าว
3. การปรับลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย ตามมติ กพง. และ กพช. ข้างต้น ได้สิ้นสุดลงเมื่อเดือนกันยายน 2546 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้มีหนังสือถึงสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ขอให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ขอความชัดเจนในการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย เพื่อเป็นหลักปฏิบัติสำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ที่ยืดระยะเวลาไปจากมติ กพง. อีก 4 เดือน คือ เดือนตุลาคม 2546-มกราคม 2547 ทั้งนี้ กฟภ. เห็นว่า หากยังคงให้ กฟภ. รับภาระส่วนลดดังกล่าวต่อไปอีก สมควรให้มีการพิจารณาปรับโครงสร้างราคาขายส่งให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมโดยเร็วต่อไป
4. การดำเนินการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์ต่อหน่วย ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
4.1 คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในการประชุม ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 100) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการแบ่งรับภาระการปรับลดค่าไฟฟ้าจากการ ปรับลดแผนการลงทุนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย โดยพิจารณาจากฐานะการเงินของการไฟฟ้า ในปี 2545 - 2546 ได้แก่ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. รับภาระ 4.2 0.6 และ 22 สตางค์/หน่วย ตามลำดับ
4.2 จากการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ผ่านการปรับค่า Ft เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ตุลาคม 2544 - กันยายน 2546 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ลดค่าไฟฟ้าให้แก่ประชาชนรวม 14,170 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 8,502 1,215 และ 4,453 ล้านบาท ตามลำดับ
5. ข้อเสนอแนวทางการขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย
5.1 เนื่องจากกระทรวงพลังงานมีนโยบายบรรเทาการเพิ่มขึ้นของค่าไฟฟ้า โดยการตรึงค่า Ft ณ ระดับ 26.12 สตางค์/หน่วย สำหรับการเรียกเก็บจากประชาชนในเดือนมิถุนายน 2546 ถึงมกราคม 2547 ดังนั้น จึงควรให้มีการขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน ในช่วงเดือนตุลาคม 2546 - มกราคม 2547 ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการตรึงค่า Ft ดังกล่าว โดยให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง แบ่งรับภาระในลักษณะเดิม คือ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 4.2 6.6 และ 2.2 ล้านบาท ตามลำดับ โดย มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการต่อไป
5.2 การขยายระยะเวลาการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย ออกไปอีก 4 เดือน จะมีผลกระทบต่อรายได้ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง รวม 2,550 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับ 1,530 219 และ 801 ล้านบาท ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้มีการปรับลดค่าไฟฟ้า 7 สตางค์/หน่วย อันเนื่องมาจากการปรับลดการลงทุน ในการคำนวณค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ต่อไปจนกว่าจะมีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่
เรื่องที่ 4 การรับภาระของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจากการตรึงค่า Ft
ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณาให้ความเห็นชอบการรับภาระจากการตรึงค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในช่วงเดือนมิถุนายน 2546 - มกราคม 2547 ประมาณ 3,743 ล้านบาท ตามมติของที่ประชุมเรื่องการปรับลดแผนการลงทุนและการเกลี่ยฐานะการเงินของการไฟฟ้า เมื่อวันพุธที่ 24 กันยายน 2546
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ กฟผ. รับภาระการตรึงค่า Ft ในช่วงเดือนมิถุนายน 2546-มกราคม 2547 จำนวนประมาณ 3,743 ล้านบาท (เป็นค่าประมาณการเบื้องต้น ซึ่งค่าจริงจะปรากฏเมื่อครบกำหนดการตรึงค่า Ft ในเดือนมกราคม 2547) ไปก่อน โดยให้ถือเป็นรายได้ค้างรับ และจะเกลี่ยไปในอนาคตในช่วงที่ค่าไฟฟ้าลดลง ทั้งนี้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี (ภายในปี 2549)
2. มอบหมายให้ กฟผ. ดำเนินการปรับปรุงใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าที่สอดคล้องกับมติข้อ 1 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2546 และจัดส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายโดยเร็ว
กพช. ครั้งที่ 70 - วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70)
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2542 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
2.ผลการศึกษาแนวทางการจัดเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว
3.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบและทางเลือก
3.1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแนวโน้มราคาในอนาคต
3.2 การจัดหา โครงสร้างการใช้ และการแข่งขันในตลาดน้ำมัน
3.3 โครงสร้างภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและรายได้
3.4 สถานการณ์การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
3.5 ผลกระทบราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจส่วนรวม (สศช.)
3.6 ผลกระทบต่อราคาสินค้า (กรมการค้าภายใน)
3.7 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ
6.มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เห็นชอบแนวทางและขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว การปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีความคืบหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
1.1 ขั้นตอนการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้มีการดำเนินการดังนี้
1.1.1 การเตรียมการ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดประชุมสัมมนา สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับ จังหวัดในเขตกรุงเทพฯ และทุกภาค เพื่อทำความเข้าใจในนโยบายและซักซ้อมวิธีปฏิบัติ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2542 รวมทั้งได้มีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ เป็นระยะๆ นอกจากนี้ กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซ และร้านค้าก๊าซปิดป้ายแสดงราคา ณ สถานที่จำหน่าย โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2542 เป็นต้นมา
1.1.2 การยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีก
(1) สพช. ได้ออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ปรับลดราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เหลือ 7.3434 บาท/กิโลกรัม เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2542 เป็นต้นมา ซึ่งมีผลให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มปรับลดตามราคาขายส่งเหลือ 10.70 บาท/กิโลกรัม โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 เป็นต้นมา หลังจากนั้น ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกสำรวจการปรับลดราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มทั่วประเทศ พบว่าร้านค้าก๊าซส่วนใหญ่ในทุกจังหวัดให้ความร่วมมือในการปรับลดราคาขายปลีก ตามนโยบายราคาก๊าซลอยตัวของรัฐเป็นอย่างดี
(2) กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้า และป้องกันการผูกขาด กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซและร้านค้าก๊าซในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ต้องแจ้งราคาขายส่ง ณ โรงบรรจุ และราคาขายปลีก ณ ร้านค้าก๊าซ ณ วันที่ 5 เมษายน 2542 ต่อกรมการค้าภายใน สำหรับ ต่างจังหวัดให้แจ้งต่อสำนักงานการค้าภายในจังหวัด
(3) คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2542 เห็นชอบให้ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียม จากเดิมที่กำหนดให้ใช้ราคาประกาศเปโตรมิน ประเทศซาอุดิอาระเบีย บวกค่าขนส่ง 15 $/ตัน เป็นเท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2542 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ยังเห็นชอบสูตรการปรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดย อัตโนมัติ โดยหลักเกณฑ์การเปลี่ยนแปลงราคาจะพิจารณาจากการรักษาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อ เพลิง หรือ ความสามารถในการรับภาระการไหลออกของกองทุนน้ำมันฯ โดย สพช. สามารถดำเนินการเปลี่ยนแปลงราคาขายส่งตามสูตรอัตโนมัติได้ทันทีหากอยู่ในขอบ เขตครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กก. และให้มีการปรับเพิ่มค่าการตลาดก๊าซหุงต้ม 0.30 บาท/กก. และให้ปรับราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นลงมาในระดับเดียวกัน เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีก โดยให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือนกันยายน 2542
(4) สพช. อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำคู่มือการกำกับดูแลการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวที่ชัดเจน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2542 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้เป็นแนวทางในการกำกับดูแลหลังจากการยกเลิกควบ คุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งจะมีการถอดรายชื่อออกจากสินค้าควบคุมของกระทรวงพาณิชย์ หลังจากนั้น จะดำเนินการยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีกต่อไป
1.2 การปรับปรุงระบบการค้าและมาตรฐานความปลอดภัยก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้มีการดำเนินการ ดังนี้
1.2.1 การส่งเสริมการแข่งขัน
สพช. และ กรมทะเบียนการค้า อยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ ระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการยื่นขอเป็นผู้ประกอบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว แยกออกจากการเป็นผู้ค้าน้ำมัน ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 รวมทั้ง กำหนดเงื่อนไขของการเป็นผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่เหมาะสม เพื่อผ่อนคลายกฎเกณฑ์สำหรับผู้ค้าก๊าซรายใหม่ นอกจากนี้ กรมโยธาธิการได้ออกประกาศกรมโยธาธิการ เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทที่ 1 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 เพื่อกำหนดให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถจำหน่ายก๊าซหุงต้มได้
1.2.2 การแก้ไขความไม่เป็นธรรมในระบบการค้า
(1) กรมการค้าภายใน ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาด ลงวันที่ 11 มีนาคม 2542 เพื่อให้ร้านจำหน่ายก๊าซหุงต้มต้องปิดป้ายราคาจำหน่ายให้เห็นได้อย่างชัดเจน
(2) สพช. ได้ดำเนินการออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 2/2542 ลงวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2542 เพื่อกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ต้องดูแล รับผิดชอบการบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้มที่แสดงเครื่องหมายการค้าของตนอย่าง ทั่วถึงทุกท้องที่ และรับผิดชอบในการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้ม นอกจากนี้ เพื่อกำหนดให้การบรรจุก๊าซใส่ถังก๊าซหุงต้มต้องมีการปิดผนึกลิ้นหรือวาล์ว ของถังก๊าซ และแสดงเครื่องหมายประจำตัวของผู้บรรจุถังก๊าซไว้ที่ฝาปิดผนึกลิ้นด้วย เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนได้รับก๊าซอย่างครบถ้วน และถ้าไม่ครบ จะมีหลักฐานเอาผิดแก่ผู้บรรจุก๊าซได้
(3) สพช. ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า กรมโยธาธิการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการประชุมกำหนดแนวทางให้มีการตรวจสอบแทนกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการ ตรวจสอบระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว และได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานขึ้น รวม 4 คณะ เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบแทนกันในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทำหน้าที่ปราบปรามและป้องกันการผลิตถังขาว และทำหน้าที่ประสานสนับสนุนการดำเนินการตรวจสอบแทนกัน โดย ได้จัดให้มีการฝึกอบรมแนววิธีการตรวจสอบร่วมกันให้กับหัวหน้าสำนักงานใน สังกัดทั่วประเทศแล้วเมื่อกลางเดือนกันยายน 2542
(4) กรมทะเบียนการค้า ได้ออกประกาศ ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 เพื่อให้ ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ซึ่งขายหรือจำหน่ายก๊าซที่บรรจุในถังก๊าซหุงต้มสามารถมอบหมายให้ผู้ค้า น้ำมันตามมาตรา 6 รายอื่น หรือผู้บรรจุก๊าซเป็นผู้ดำเนินการแทนได้ และจำหน่ายให้ทั่วถึงทุกท้องที่ที่มีการใช้ถังก๊าซหุงต้มซึ่งแสดงเครื่อง หมายการค้าของตน และเพื่อให้การบรรจุก๊าซต้องทำการปิดผนึกลิ้น (Valve) ถังก๊าซหุงต้ม ทุกครั้งที่บรรจุก๊าซ รวมทั้งต้องมีเครื่องหมายประจำตัวผู้บรรจุก๊าซแสดงไว้ที่อุปกรณ์ปิดผนึกลิ้น (Seal) ถังก๊าซหุงต้ม ส่วนการออกกฎหมายเพื่อให้มีการคืนค่ามัดจำถังก๊าซหุงต้ม ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภค อยู่ระหว่างการจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าว
1.2.3 ด้านความปลอดภัย
สพช. ได้ประสานงานกับกรมโยธาธิการ ขอผ่อนผันให้ผู้ค้าก๊าซฯ สามารถทำการบรรจุก๊าซลงถังขาวได้ในระยะเริ่มต้น และจะห้ามบรรจุก๊าซหุงต้มลงถังขาวอย่างเด็ดขาดตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 ทั้งนี้ เพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดต่อผู้บริโภคที่มีถังขาวอยู่ในครอบครอง นอกจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง จะช่วยสนับสนุนการปราบปรามการลักลอบการผลิตถังขาวด้วย
1.3 การประชาสัมพันธ์
สพช. ได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2542 ทั้งในเรื่องนโยบายการยกเลิกควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว การเปลี่ยนแปลงราคาขายส่งและขายปลีก มาตรฐานความปลอดภัยของถังก๊าซหุงต้ม และค่ามัดจำถังก๊าซฯ เป็นต้น และในขณะนี้ได้มีการขยายโครงการประชาสัมพันธ์ออกไปอีก 7 เดือน ในช่วงเดือนกันยายน 2542- มีนาคม 2543
2. สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
2.1 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกได้เริ่มปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา โดยปรับสูงขึ้น 157 $/ตัน มาอยู่ในระดับ 290 $/ตัน ในเดือนกันยายน ราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ในระดับ 11.7861 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการรับภาระภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าที่เพิ่มขึ้น 1,032 ล้านบาท/เดือน ในขณะที่มีเงินไหลเข้ากองทุนจากน้ำมันชนิดอื่น 130 ล้านบาท/เดือน ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 902 ล้านบาท/เดือน ฐานะ กองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2542 อยู่ในระดับ 3,580 ล้านบาท
2.2 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2542 เห็นชอบให้ปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และก๊าซปิโตรเลียมเหลว เหลือร้อยละศูนย์ โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2542 เป็นต้นไป ทำให้ภาระการจ่ายเงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง 1.60 บาท/กก. หรือ 184 ล้านบาท/เดือน
2.3 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกของเดือนตุลาคม 2542 ได้อ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 266 $/ตัน ทำให้ต้นทุนราคาก๊าซและอัตราเงินชดเชยลดลงอีกประมาณ 0.98 บาท/กก. หรือ 121 ล้านบาท/เดือน โดยมีเงินไหลออกจากกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 569 ล้านบาท/เดือน และคาดว่ากองทุนน้ำมันฯ จะสามารถรับภาระในการรักษาระดับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้ประมาณ 6 เดือน หรือจนถึงเดือนมีนาคม 2543
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการศึกษาแนวทางการจัดเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปศึกษา เกี่ยวกับการกำจัดหรือนำน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วมาใช้ประโยชน์ และต่อมา สพช. ได้ดำเนินการจัดทำข้อเสนอ การแก้ไขปัญหาน้ำมันหล่อลื่นคุณภาพต่ำอย่างเป็นระบบและครบวงจร ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2537 และมอบหมายให้ สพช. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป
2. สพช. ได้จ้างบริษัท เบอร์รา จำกัด ดำเนินการศึกษาธุรกิจการค้าน้ำมันหล่อลื่นของประเทศ และ ต่อมาได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและเทคโนโลยี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ทำการศึกษาเพิ่มเติม ในประเด็นแนวทางการจัดระบบการจัดเก็บ รวบรวม ขนส่งน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว และสร้างแรงจูงใจให้มีการ จัดเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว เพื่อนำไปกำจัดหรือใช้ประโยชน์อย่างถูกต้อง
3. ผลการศึกษาการหาแนวทางจัดเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วทั่วประเทศ ในกลุ่มผู้ประกอบการในกิจการน้ำมันหล่อลื่นและกลุ่มผู้ใช้ โดยกลุ่มผู้ใช้แบ่งออกเป็น การใช้ในยานยนต์ (ผู้บริโภคและสถานีบริการ) อุตสาหกรรม เกษตร ประมง หน่วยราชการ/รัฐวิสาหกิจ และรวมไปถึงผู้จัดเก็บรวบรวมจำหน่าย/แปรสภาพน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ผลการวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมทางเศรษฐกิจเบื้องต้นและภาระของการสนับสนุนจาก ภาครัฐ สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
3.1 ปริมาณน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ในปี 2540 มีประมาณ 329 ล้านลิตร (ปีฐานของการศึกษา) และเพิ่มขึ้นเป็น 330 และ 348 ล้านลิตร ในปี 2542 และ 2544 ตามลำดับ โดยกลุ่มยานยนต์ มีปริมาณน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วประมาณ 223 ล้านลิตร/ปี กลุ่มอุตสาหกรรมมีปริมาณการใช้ประมาณ 73 ล้านลิตร/ปี กลุ่มเกษตรกรรมมีปริมาณการใช้ประมาณ 17 ล้านลิตร/ปี กลุ่มประมงมีปริมาณการใช้ประมาณ 11 ล้านลิตร/ปี กลุ่มราชการและรัฐวิสาหกิจมีปริมาณการใช้ประมาณ 5 ล้านลิตร/ปี
3.2 การตรวจสอบคุณสมบัติน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วก่อนบำบัดและหลังบำบัดสรุปได้ว่า ขบวนการบำบัดในประเทศขณะนี้ไม่เหมาะแก่การนำไปใช้เป็นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน ใช้ใหม่ (Re-Used) แต่น่าจะ เหมาะแก่การนำไปทดแทนเชื้อเพลิงในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น ปูนซีเมนต์ หรือ อาจจะนำไปผสมกับน้ำมันดิบในขบวนการกลั่นของโรงกลั่น จะให้คุณค่าทางเศรษฐกิจในการจัดการดีกว่าวิธีอื่นๆ
3.3 กิจกรรมในการจัดการน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วมี 4 ส่วนหลัก คือ ส่วนผลิต/แหล่งกำเนิด ส่วน ผู้รับขนส่ง/จัดเก็บ ส่วนกิจกรรมคลังและผู้รวบรวม และส่วนกำจัด/บำบัด หรือ ผู้ใช้ประโยชน์น้ำมันหล่อลื่น ใช้แล้ว ซึ่งแนวทางการตั้งราคาเพื่อดำเนินงานในแต่ละกิจกรรมมีข้อเสนอ 2 แนวทางหลัก คือ การกำหนดให้มูลค่าน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วในกิจกรรมส่วนผลิต/แหล่งกำเนิด มีค่าต้นทางเป็นศูนย์ และการกำหนดให้มีมูลค่าการซื้อและขายน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วในทุกกิจกรรมมี ราคาตามตลาด ซึ่งแนวทางหลังนี้อาจมีค่าเสมือนเป็นศูนย์ในระยะเริ่มแรกเมื่อภาครัฐให้การ ชดเชย (Subsidies) เพื่อให้ระบบสามารถดำเนินการและปรับตัวได้ และเมื่อธุรกิจมีการพัฒนาจนได้กำไรจากการดำเนินงานที่คุ้มค่าการลงทุนแล้ว รัฐจะสามารถลดการสนับสนุนลงจนไม่มีการชดเชยในที่สุด
3.4 ในกิจกรรมหรือธุรกิจหลักที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว มีอยู่ 2 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจการจัดเก็บ/ขนส่งน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว (Collection Concession) ซึ่งเป็นธุรกิจที่บุคคล หน่วยงาน หรือนิติบุคคล ดำเนินการในการซื้อขายน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ณ จุดรวบรวมเบื้องต้น และธุรกิจคลังเก็บน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว (Depot Concession) เป็นธุรกิจที่รับผิดชอบต่อการเก็บรักษารวบรวมน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้ว ซึ่งมีกิจกรรมในการซื้อและขาย ณ จุดคลัง
3.5 ปัจจุบัน (ปลายปี 2541) น้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วมีราคาขายที่จุดเริ่มต้นอยู่ในช่วงประมาณ 1.50-2.00 บาทต่อลิตร ราคาขายให้แก่อุตสาหกรรมบางประเภท 3.00-3.50 บาทต่อลิตร สำหรับปูนซีเมนต์รับซื้อภายใต้เงื่อนไขคุณภาพที่กำหนดในราคา 1.50 บาทต่อลิตร และเมื่อวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ของกิจกรรมโดยรวมแล้ว รัฐต้องเข้าแทรกแซงราคาเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นและมีความเป็นไปได้ในการ ลงทุน
4. สพช. จะนำเสนอผลการศึกษาข้างต้นให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโรงงาน กรม ควบคุมมลพิษ และกรมโยธาธิการ ต่อไป เพื่อให้การดำเนินการจัดการน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วเป็นไปอย่างต่อเนื่องและ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง สรุปสาระสำคัญ สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบและทางเลือก
เรื่องที่ 3-1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแนวโน้มราคาในอนาคต
สรุปสาระสำคัญ
1. การประชุมของกลุ่มโอเปค ณ กรุงเวียนนา ผลปรากฏว่ากลุ่มประเทศโอเปคและประเทศนอกกลุ่มยังคงยืนระดับเพดานการผลิตเดิม ออกไปจนกระทั่งเดือนมีนาคมปีหน้า เนื่องจากเห็นว่าปริมาณน้ำมันดิบสำรองในตลาดยังอยู่ในระดับสูง จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $ 0.7 ต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ $ 22.7-24.9 ต่อบาร์เรล โดยน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับ $ 22.7 ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันสำเร็จรูปใน ตลาดจรสิงคโปร์ ราคาน้ำมันก๊าด ดีเซล และเตา อยู่ในระดับ $27, $ 24 และ $ 21 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเบนซินได้เริ่มปรับตัวลดลงช่วงปลายเดือน โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 97 อยู่ในระดับ $ 27 ต่อบาร์เรล เมื่อปลายเดือนกันยายน
2. ผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงจากระดับ 25.50 บาท/เหรียญสหรัฐ มาอยู่ในระดับ 40-41 บาท/เหรียญสหรัฐ ทำให้ต้นทุนน้ำมันสูงขึ้น 2.40 บาท/ลิตร และการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินเมื่อ ต้นปี 2541 ทำให้ราคาเบนซินและดีเซลปรับตัวสูงขึ้น 3.60 และ 2.40 บาท/ลิตร ตามลำดับ รวมทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกของปีนี้ได้แข็งตัวขึ้น ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยได้แข็งตัวขึ้นตาม โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ สิ้นเดือนกันยายนอยู่ ในระดับ 13.89, 13.09 และ 10.74 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3. ระดับค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ เป็นผลจากการแข่งขันที่สูงในตลาดน้ำมัน ซึ่งค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ของประเทศโดยปกติอยู่ในระดับ 1.20-1.30 บาท/ลิตร แต่ปัจจุบันเคลื่อนไหวในระดับเพียง 0.50-0.90 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 0.40-0.60 บาท/ลิตร
4. แนวโน้มของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในไตรมาสที่ 4 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะอยู่ในระดับ $ 25-26 ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน $ 1.0-1.5 ต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบดูไบจะขึ้นไปเคลื่อนไหวในระดับ $ 23.5-24.5 ต่อบาร์เรล และหากน้ำมันดิบมีแนวโน้มจะพุ่งสูงเกินระดับ $ 30 ต่อบาร์เรล กลุ่มประเทศ โอเปคจะต้องมีการพิจารณาทบทวนเพดานการผลิตใหม่ เพราะราคาจะกระตุ้นผู้ใช้ให้มองหาพลังงานรูปแบบอื่น และจูงใจให้มีการผลิตเกินโควต้าของประเทศในกลุ่มโอเปค
5. การเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศ โดยการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันสำเร็จรูป $ 1 ต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศเปลี่ยนแปลงตาม 0.24 บาท/ลิตร และการอ่อนตัวของค่าเงินบาทจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาน้ำมันของประเทศ โดยการสูงขึ้นของอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท/เหรียญสหรัฐ จะมีผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลสูงขึ้น 0.17 และ 0.15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-2 การจัดหา โครงสร้างการใช้ และการแข่งขันในตลาดน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2542 มีการผลิตน้ำมันดิบ 805 ล้านลิตร น้ำมันเบนซิน ดีเซลและเตา 5,374; 9,878 และ 4,713 ล้านลิตร ตามลำดับ มีปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบ 23,287 ล้านลิตร น้ำมันเบนซิน ดีเซลและเตา 16; 561 และ 500 ล้านลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซิน ดีเซลและเตามีปริมาณ 1,114; 1,292 และ 298 ล้านลิตร ตามลำดับ
2. มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในปี 2541 และในครึ่งแรกของปี 2542 อยู่ในระดับ 141,662 และ 66,916 ล้านบาท ตามลำดับ การที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นในช่วงปี 2542 ได้ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปสูงขึ้นตาม และเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการนำเข้าในช่วงครึ่งแรกปี 2542 และ ครึ่งหลังปี 2542 ตามสมมติฐานการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ 3 กรณี คือ กรณีราคาต่ำ กรณีราคาสูง กรณีราคาสูงมาก โดยราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกเท่ากับ 7.54, 8.84 และ 10.84 $/บาร์เรล ตามลำดับ พบว่า มูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปสูงขึ้น 42,525; 49,489 และ 59,934 ล้านบาท ในแต่ละกรณีตามลำดับ
3. การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแยกตามผลิตภัณฑ์ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2542 อยู่ในระดับ 21,582 ล้านลิตร โดยน้ำมันดีเซลมีการใช้สูงสุดร้อยละ 42 รองลงมา คือ น้ำมันเตาและเบนซินร้อยละ 22 และ 19 ตามลำดับ ภาคคมนาคมขนส่งจะมีการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลมากที่สุดร้อยละ 98 และ 81 ตามลำดับ รองลงมา คือ ภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ส่วนน้ำมันเตาร้อยละ 54 ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า รองลงมาเป็นการใช้ในภาคอุตสาหกรรม สำหรับภาคการขนส่งแยกตามการใช้ของประเภทรถยนต์ น้ำมันเบนซินใช้ในรถยนต์ส่วนบุคคลร้อยละ 43.6 จักรยานยนต์ร้อยละ 32.2 และใช้ในรถแท็กซี่และรถปิคอัพร้อยละ 16.6 และ 7.6 ตามลำดับ ในขณะที่น้ำมันดีเซลหมุนเร็วใช้ในรถบรรทุกร้อยละ 51.4 รถปิคอัพร้อยละ 24.6 รถโดยสารร้อยละ 18.2 โดยเป็นรถยนต์และรถแท็กซี่ร้อยละ 1.5
4. การใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2542 อยู่ในระดับ 820 ล้านกิโลกรัม ใช้เพื่อการหุงต้มร้อยละ 65 อุตสาหกรรมร้อยละ 15 รถยนต์ร้อยละ 5 และใช้เป็นวัตถุดิบร้อยละ 14 และจากการสำรวจรถแท็กซี่จากสหกรณ์แท็กซี่ จำนวน 8 แห่ง มีประชากรแท็กซี่รวมทั้งสิ้น 7,523 คัน พบว่า ใช้น้ำมันเบนซิน 5,569 คัน หรือร้อยละ 74 ของจำนวนทั้งหมด และใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นจำนวน 1,954 คัน หรือร้อยละ 26 ของทั้งหมด
5. ตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา การแข่งขันในตลาดน้ำมันได้เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ จากเดิมโรงกลั่นน้ำมัน 3 โรง ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 6 โรง กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 27,000 ล้านลิตร/ปี เป็น 50,000 ล้านลิตร/ปี ในขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศมีเพียง 37,000 ล้านลิตร/ปี ทำให้ปัจจุบันประเทศมีน้ำมันเหลือต้องส่งออกประมาณ 7,000-12,000 ล้านลิตร/ปี การแข่งขันในตลาดน้ำมันมีความรุนแรงมากขึ้นในปี 2541 ซึ่งเป็นผลมาจากกำลังการผลิตที่เกินความต้องการที่ลดลงจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจ และผลมาจาก การขยายตัวของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จากปี 2538 มีจำนวน 8,014 แห่ง เพิ่มขึ้นเป็น 14,044 แห่ง ในปี 2541 และจากการที่ราคาส่งออกน้ำมันมีแนวโน้มอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าราคา ในประเทศ ทำให้ผู้ค้าน้ำมันได้นำนโยบายด้านราคามาเป็นกลยุทธในธุรกิจค้าปลีก ในปี 2542 ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ 0.50-0.90 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-3 โครงสร้างภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงและรายได้
สรุปสาระสำคัญ
1. โครงสร้างภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ประกอบด้วย ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยภาษีสรรพสามิตจะมีการจัดเก็บในอัตราตามปริมาณและอัตราตามมูลค่า ภาษีเทศบาลจะเป็นร้อยละ 10 ของภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นร้อยละ 7 ของราคาจำหน่าย ภาระภาษีทั้งหมดของน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็น 4.96 และ 3.24 บาท/ลิตร ตามลำดับ คิดเป็นร้อยละ 35 และ 30 ของราคาขายปลีก
2. การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเชื้อเพลิง กำหนดเป็น 2 ลักษณะ คือ อัตราตามปริมาณ และอัตราตามมูลค่า โดยตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา ได้มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 3 ครั้ง คือ (1) เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2541 ได้มีการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซินขึ้น 1 บาท/ลิตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ (2) เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2542 ได้มีการปรับลดอัตราภาษี สรรพสามิตของน้ำมันเตาเหลือร้อยละ 5 ของมูลค่า ตามมาตรการการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันเบนซินและดีเซลขึ้น 0.10 และ 0.09 บาท/ลิตร เพื่อชดเชยรายได้ภาษีน้ำมันเตาที่ลดลง (3) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2542 ได้ยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซลและก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยกำหนดอัตราภาษีเท่ากับร้อยละศูนย์
3. ในปีงบประมาณ 2542 กระทรวงการคลังได้ประมาณการรายได้จากภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เชื้อเพลิงที่ 65,300 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเก็บภาษีได้ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ ส่วนในปีงบประมาณ 2543 คาดว่าจะสามารถจัดเก็บได้ 67,100 ล้านบาท
4. การปรับภาษีสรรพสามิตลดลง 1 บาท/ลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ดีเซล และก๊าด และลดลง 1 บาท/กก. สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะมีผลกระทบต่อรายได้ของรัฐบาล โดยรายได้ภาษีของน้ำมันแต่ละชนิดจะลดลงปีละ 9,179; 18,416; 64 และ 1,709 ล้านบาท ตามลำดับ และราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงจะ ลดลง 1.18 บาท/ลิตร ส่วนราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะลดลง 1.18 บาท/กิโลกรัม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-4 สถานการณ์การลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น
สรุปสาระสำคัญ
1.ภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้น ได้ส่งผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสูงขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง และทำให้เกิดแรงจูงใจในการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาจำหน่ายใน ประเทศทางชายแดนจังหวัดภาคใต้มากขึ้น โดยการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทางบก มีการขนน้ำมันจากประเทศมาเลเซีย ผ่านด่านปาร์ดังเบซา ด่านสุไหงโกลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงการเติมใส่ถังน้ำมันรถตามปกติ สำหรับพื้นที่นอกเขตด่านศุลกากรมีการลักลอบในลักษณะกองทัพมดเที่ยวละประมาณ 20-200 ลิตร ส่วนใหญ่นำไปใช้ในกิจการของตนเองหรือนำไปขายสถานีบริการรายย่อยและแพปลา ส่วนการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงทางทะเล ด้านอันดามันมีการใช้เรือประมงขนาดเล็กหรือขนาดกลางไปรับซื้อน้ำมันจากเมือง ปะลิส เกาะลังกาวี และเกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย หรือซื้อจากเรือบรรทุกน้ำมัน (Tanker) ที่ลอยลำจำหน่ายบริเวณเกาะแป๊ะเสือ (เกาะ หัวโล้น) บริเวณเขตรอยต่อของประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยทางด้านอ่าวไทย จะมีเรือ Tanker ขนาด 2-5 ล้านลิตร จอดลอยลำจำหน่ายน้ำมันบริเวณนอกเขตต่อเนื่องคือประมาณ 25 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งขนถ่ายน้ำมันให้แก่เรือประมงดัดแปลงลักลอบนำมาขายแก่ สถานีบริการชายฝั่งและแพปลา นอกจากนี้ยังพบว่ามีการนำสารโซลเว้นท์ไปปลอมปนในน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งในระบบ และนอกระบบ จำหน่ายให้กับเรือประมงและแพปลาอีกด้วย
2. ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) ได้เพิ่มมาตรการเฉพาะในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว คือ การเพิ่มความเข้มในการตรวจการณ์ทางทะเล โดยให้กองกำกับ 1-5 กองตำรวจน้ำ ออกตรวจสอบและพิสูจน์ทราบเรือประมงที่แล่นอยู่ในทะเลอาณาเขตและเขต ต่อเนื่อง ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย โดยให้ชุดปฏิบัติการทางบกเน้นการตรวจสอบแพปลาและสถานีบริการ ชายฝั่ง การตรวจสอบอู่ต่อเรือเพื่อป้องกันมิให้ทำการต่อเรือประมงดัดแปลงเป็นเรือ บรรทุกน้ำมัน และการเฝ้าติดตามโรงกลั่น ผู้ผลิตสารละลายไฮโดรคาร์บอน (โซลเว้นท์) ตัวแทนนายหน้า (Jobber) และผู้ใช้สารละลาย โซลเว้นท์ปลายทาง เพื่อมิให้นำสารโซลเว้นท์ออกนอกระบบไปปลอมปนกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่าย ในสถานีบริการ ตลอดจนการตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงริมน้ำ และท่าเทียบเรือบริเวณปากอ่าวไทย ลำน้ำ เจ้าพระยา และลำน้ำท่าจีนเพื่อป้องกันปราบปรามมิให้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยกเว้นภาษี ออกมาขายในสถานีบริการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-5 ผลกระทบราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจส่วนรวม (สศช.)
เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
1. เนื่องจากผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันในกลุ่ม OPEC ได้มีข้อตกลงจำกัดปริมาณการผลิต ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกและราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไทยเพิ่มสูง ขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวในปี 2542 คณะกรรมการรัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2542 มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประมาณการผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวมในกรณีที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงในไตรมาส ที่ 4 ของปี 2542 ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1.1 นักวิเคราะห์ตลาดน้ำมันคาดว่าราคาเฉลี่ยของน้ำมันดิบจากกลุ่ม OPEC จะมีราคาเฉลี่ย 22.5 ดอลลาร์ สรอ./บาร์เรล ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2542 ทั้งนี้โดยมีข้อสมมติฐานของภาวะอากาศในฤดูหนาวในขั้นปกติ และไม่มีอุปสรรคของการผลิตน้ำมันเนื่องจากสถานการณ์การเมืองหรือ Y2K เกิดขึ้น
1.2 ราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลต่อเศรษฐกิจส่วนรวม 3 ด้าน ได้แก่
(1) ราคาขายปลีกของน้ำมันประเภทต่างๆ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย (หากรัฐบาลไม่ใช้มาตรการ ภาษีเพื่อลดผลกระทบต่อราคาขายปลีก) ซึ่งจะทำให้ระดับราคาสินค้าเพิ่มขึ้น
(2) รายได้ที่จับจ่ายใช้สอยได้ ณ ราคาแท้จริง (Real Disposable Income) ลดลงและส่งผล ให้การบริโภคภาคเอกชนลดลง
(3) การเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าในประเทศมีผลให้ความสามารถในการส่งออกลดลง (เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง หรืออัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อ Real Effective Exchange Rate สูงขึ้น) หากประเทศคู่แข่งไม่ถูกผลกระทบจากราคาน้ำมัน นอกจากนั้นผลต่อเศรษฐกิจโลกจะส่งผลให้อุปสงค์ต่อสินค้าส่งออกของไทยลดลง
1.3 การประเมินผลกระทบกรณีราคาน้ำมันดิบ 22.60 เหรียญ สรอ./บาร์เรล เทียบกับกรณีฐานสรุปได้ดังนี้
(1) ราคาขายปลีกน้ำมันที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27
(2) ระดับราคาผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 จะทำให้รายได้ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ ณ ราคาแท้จริงลดลงร้อยละ 0.27
(3) ถ้ารายได้ที่สามารถจับจ่ายใช้สอยได้ลดลงร้อยละ 1 จะทำให้การบริโภคภาคเอกชน ลดลงร้อยละ 0.867
(4) สศช. คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ในปี 2542 หรือมีมูลค่าประมาณ 1,547,162.5 ล้านบาท ณ ราคาปีฐาน 2531 ดังนั้นหากราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะ ทำให้การบริโภคภาคเอกชนลดลงเหลือ 1,543,526.7 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 3,636 ล้านบาท หรือ การขยายตัวของการบริโภคน้อยกว่ากรณีที่ไม่มีผลจากราคาน้ำมันในไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 0.28
(5) สศช. คาดว่าปริมาณการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 ในปี 2542 ดังนั้น หากราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จะทำให้อัตราการขยายตัวของปริมาณการส่งออกลดลง โดยขยายตัวร้อยละ 4.36
(6) จากปัจจัยการขยายตัวด้านการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกที่ลดลง ส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำกว่ากรณีที่ไม่มีผลจากราคาน้ำมันไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 0.39
(7) จากการคำนวณโดยตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตปี 2533 หากราคาน้ำมันขายส่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 สาขาที่มีแรงกดดันต่อต้นทุนการผลิตเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ได้แก่ สาขาประมงทะเล เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22 สาขาการขนส่งทางบกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.22-0.25 สาขาการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางน้ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.29 และการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.15
2. ในปัจจุบันรัฐบาลได้มีมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน เช่น การชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม LPG จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 7.66 บาทต่อกิโลกรัม (หรือ 938 ล้านบาทต่อเดือน) เพื่อให้มี ราคาต่ำ และการบรรเทาภาระของผู้ประกอบการประมงโดยชดเชยราคาน้ำมันดีเซลในอัตรา 0.97 บาท/ลิตร โดย คชก. จัดสรรวงเงินไว้ประมาณ 190 ล้านบาท เป็นต้น การบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันควรพิจารณาข้อดีข้อเสียของทางเลือกที่สำคัญๆ ได้แก่
2.1 การประหยัดพลังงาน ประเทศไทยยังคงพึ่งการนำเข้าน้ำมัน โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2542 มีการนำเข้าน้ำมัน 55,328 ล้านบาท มากกว่ารายได้จากการส่งออกของสินค้าเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว ยางพารา และผลไม้ซึ่งสร้างรายได้จากการส่งออกรวมกันเท่ากับ 53,031 ล้านบาท ดังนั้นการประหยัดการใช้พลังงานจึงเป็นมาตรการสำคัญ
2.2 การลดภาษีสรรพสามิต หากรัฐบาลพิจารณาลดภาษีน้ำมันเบนซินและ น้ำมันดีเซลลงเพื่อมิให้ราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อไปอีก ปริมาณการใช้น้ำมันจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากประมาณการเดิมของสำนักงานคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจดังกล่าวข้างต้นจะลดลง แต่จะเกิดผลกระทบต่อรายได้จากภาษีดังนี้
(1) ราคาหน้าโรงกลั่นที่เพิ่มขึ้น 1 บาท/ลิตร และรัฐบาลจะต้องลดภาษีสรรพสามิตลง 0.90 บาท/ลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกคงอยู่ที่ระดับปัจจุบัน จะส่งผลกระทบต่อรายได้ภาษีสรรพสามิตของรัฐบาล โดยหากรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตเฉพาะน้ำมันดีเซลลงจะทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิต ของรัฐบาล ลดลง 13,687 ล้านบาท และหากรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตทั้งน้ำมันดีเซลและเบนซินลงจะทำให้รายได้ภาษี สรรพสามิตของรัฐบาลลดลง 20,405.7 ล้านบาท
(2) การลดภาษีสรรพสามิตจะส่งผลให้ภาษีเกี่ยวเนื่องกับน้ำมันลดลงด้วย เช่น การลดภาษี สรรพสามิตน้ำมันเบนซินธรรมดาลง 0.90 บาท/ลิตร จะทำให้ภาษีท้องที่ลดลง 0.09 บาท/ลิตร สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มของราคาขายส่งจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือ 0.0007 บาท/ลิตร ทั้งนี้เนื่องจากราคา ณ โรงกลั่นเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตเฉพาะน้ำมันดีเซลจะทำให้ภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาขายส่งเพิ่มขึ้น 5.23 ล้านบาท
(3) ดังนั้นการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและดีเซลลงลิตรละ 0.90 บาทจะทำให้ รายได้จากภาษีน้ำมันโดยรวมลดลงประมาณ 22,430.4 ล้านบาท และในกรณีที่รัฐบาลไม่พิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้นจะทำให้การบริโภคภาคเอกชนลดลงประมาณ 3,636 ล้านบาท หรือคิดเป็นการลดลงของภาษีมูลค่าเพิ่มประมาณ 210 ล้านบาท
(4) การลดราคาขายปลีกน้ำมันลง 1 บาท โดยการลดภาษีจะทำให้ขาดดุลงบประมาณ เพิ่มขึ้นประมาณ 20,400 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นภาระเพิ่มขึ้นจากการขาดดุลงบประมาณปี 2543 ซึ่งเดิมคาดว่า จะขาดดุลประมาณ 110,000 ล้านบาท จึงต้องพิจารณาถึงการชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้น เช่น การเพิ่มภาษีประเภทอื่นๆ การหารายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตามมาตรการชดเชยการขาดดุลอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเช่นกัน นอกจากนั้นการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลง หากนักลงทุนเห็นว่าจะเป็นผลเสียต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในอนาคต
3. ทางเลือกที่น่าจะพิจารณาโดยมีหลักการที่จะช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจที่มีผลกระทบ ต่อประชาชน ส่วนใหญ่นอกเหนือจากการช่วยเหลือโดยการชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม และน้ำมันดีเซลในสาขาประมง เช่น อาจมีการพิจารณาชะลอราคาค่าบริการขนส่งมวลชน และค่าไฟฟ้า เป็นต้น โดยรัฐให้การชดเชยส่วนต่างราคาน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้นเป็นเพียงบางส่วน รวมทั้ง ควรส่งเสริมแหล่งพลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อช่วยลด การพึ่งพิงน้ำมันในระยะยาว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-6 ผลกระทบต่อราคาสินค้า (กรมการค้าภายใน)
อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ราคาน้ำมันดีเซลได้เพิ่มสูงขึ้น จากเฉลี่ยลิตรละ 8.30 บาท ในเดือนมิถุนายน 2542 เป็นลิตรละ 11.04 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าร้อยละ 0.03 - 4.51 โดย รถยนต์นั่งจะกระทบน้อยที่สุด คือร้อยละ 0.03 หรือ 89.13 บาทต่อคัน ในขณะที่ปูนซีเมนต์ (ปอร์ตแลนต์) จะกระทบมากที่สุดคือร้อยละ 4.51 หรือ 100.08 บาทต่อตัน
2. การที่ผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ เนื่องจากสัดส่วนของน้ำมันเชื้อเพลิงในโครงสร้างต้นทุนรวมของการผลิตสินค้า ดังกล่าวไม่สูงนัก แต่โดยรวมแล้วผู้ประกอบการจะมีค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น
3. ปัจจุบันมีสินค้าอุตสาหกรรมที่แจ้งขอปรับราคา จำนวน 2 รายการ โดยเป็นการปรับราคาเนื่องจากต้นทุนนำเข้าหรือวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้น สืบเนื่องมาจากค่าเงินบาทอ่อนตัว มิใช่เป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันเพิ่ม สูงขึ้น คือ ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน จำนวน 1 รายการ โดยเป็นยานำเข้าที่รักษาเฉพาะโรค และสายไฟฟ้า จำนวน 1 รายการ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ คือทองแดงมีราคาสูงขึ้นตามภาวะตลาดโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการวิเคราะห์ต้นทุนยังมิได้อนุมัติให้ปรับราคา แต่อย่างใด และจากการตรวจสอบสภาวะตลาดในเขต กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัด ราคาสินค้าส่วนใหญ่ยังไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-7 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ
ฝ่ายเลขานุการ ฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 69) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 มีความเห็นว่า การที่รัฐจะเข้าไปแทรกแซงการกำหนดราคาน้ำมัน ควรจะพิจารณาจากระดับราคาน้ำมันที่จะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยให้ใช้ระดับราคาน้ำมันที่ส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงร้อยละ 0.5 จากแนวโน้มเดิม เป็นระดับราคาเบื้องต้นที่รัฐเข้าไปแทรกแซง ซึ่งประกอบด้วยราคาน้ำมันดิบดูไบในระดับ 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นเกณฑ์ และให้คำนึงถึงราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนร่วมด้วย
2. ปัจจัยที่มีผลต่อราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทย ได้แก่ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยน โดยราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกที่เป็นราคาอ้างอิงของไทยใช้ราคาในตลาดจร สิงคโปร์ เนื่องจากเป็นตลาดซื้อ/ขายน้ำมันแหล่งใหญ่ที่ใกล้ไทยมากที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันดิบแต่ในระดับที่แตก ต่างกัน โดยช่วงฤดูหนาวความต้องการใช้น้ำมันดีเซลจะสูง แต่น้ำมันเบนซินจะต่ำ การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลในฤดูหนาวจึงมากกว่าราคาน้ำมันดิบ
3. การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันสำเร็จรูป $ 1 ต่อบาร์เรล จะมีผลให้ราคาขายปลีกของไทยเปลี่ยนแปลงประมาณ 25 สตางค์/ลิตร และค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง 1 บาท/เหรียญสหรัฐ จะทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลของไทยสูงขึ้น 17 และ 15 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ปัจจุบันราคาน้ำมันดูไบอยู่ในระดับ $ 22.6 ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 97 เบนซินออกเทน 92 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ในระดับ $ 27.5, $ 25.4 และ $ 23.8 ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-8 ทางเลือกในการแก้ไขปัญหา
ฝ่ายเลขานุการ ฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงทางเลือกต่างๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบรรเทา ผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาตัดสินใจของรัฐบาล สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1. การใช้กองทุนเพื่อแทรกแซงการกำหนดราคาน้ำมัน มีแนวทางดังนี้
1.1 กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
(1) ตั้งขึ้นตามเจตนารมย์ของพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อ เพลิง พ.ศ. 2516 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกลไกของรัฐในการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมัน เชื้อเพลิง และ ในกรณีที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นจะใช้ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมัน เชื้อเพลิงของประเทศ หลังจากปี 2534 รัฐบาลได้ยกเลิกการควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเหลือเพียงก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ยังคงมีการควบคุมราคาอยู่ ปัจจุบันกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจึงใช้ในการรักษาระดับราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวเป็นหลัก และส่วนหนึ่งใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการปราบปรามน้ำมันเถื่อน และการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
(2) ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2542 อยู่ในระดับ 3,580 ล้านบาท และจะต้องใช้ในการจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวประมาณเดือนละ 600 ล้านบาท ซึ่งจะต้องจ่ายชดเชยจนกระทั่งสิ้นฤดูหนาวเป็นเวลาอย่างน้อย 5 เดือน เพื่อไม่ให้มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งการชดเชยจะต้องใช้เงินในระดับที่ใกล้เคียงกับฐานะกองทุนฯ ในปัจจุบัน ดังนั้น ฐานะกองทุนน้ำมันฯ จึงไม่เพียงพอที่จะใช้ในการแก้ปัญหาน้ำมันราคาแพงในขณะนี้ได้
1.2 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(1) ตั้งขึ้นด้วยวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลืออุด หนุนการดำเนินการเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน ตามมาตรา 25 ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ปัจจุบันมีการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตาในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร
(2) ฐานะกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2542 มีเงิน กองทุนฯ คงเหลือ 14,812 ล้านบาท โดยมีรายจ่ายสำหรับปีงบประมาณ 2543 ในระดับ 6,000 ล้านบาท/ปี การใช้เงินกองทุนฯ เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันไม่สามารถกระทำได้ในปัจจุบัน เนื่องจากไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย และหากจะนำมาใช้ก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว
1.3 การใช้เงินจากกองทุนชดเชยราคาน้ำมันเป็นเพียงการชะลอการปรับขึ้นราคาขาย ปลีกออกไป ทำให้ราคาน้ำมันไม่สะท้อนต้นทุนจริง และในที่สุดก็ต้องชะลอการปรับลดราคาลงเพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่กองทุนก่อน ซึ่งในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงแล้ว แต่ราคาในประเทศยังคงเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจะไม่ยอมรับการขึ้นราคา นอกจากนั้น จะทำให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างราคา ส่งผลให้มีการบริโภคน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับ ต้นทุนการนำเข้าของประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวมและดุลบัญชีเดินสะพัด
2. การแทรกแซงราคาน้ำมันโดยการลดภาษีสรรพสามิต มีแนวทางดังนี้
2.1 การลดภาษีสรรพสามิตสามารถกระทำได้ทันที โดยกระทรวงการคลังออกประกาศกระทรวงการคลังเพื่อลดอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะมีผลให้ราคาขายปลีกปรับลดลงตาม และสามารถแบ่งเบาภาระของประชาชนจากต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้ส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม การลดภาษีสรรพสามิตจะทำให้รัฐมีรายได้ลดลง ดังนั้น จะต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบ นอกจากนี้ อัตราของการลดอัตราภาษีสรรพสามิตต้องไม่เป็นระดับที่สูงเกินไป จนทำให้เกิดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุน และไม่เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2.2 การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซิน ก๊าด และดีเซล 1 บาท/ลิตร จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแต่ละชนิดลดลง 1.18 บาท/ลิตร และจะมีผลกระทบต่อปริมาณการใช้น้ำมันและรายได้ภาษีของรัฐ โดยปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน และดีเซลหมุนเร็วจะเพิ่มขึ้นเป็น 215 และ 476 ล้านลิตร/ปี ตามลำดับ และ รายได้ภาษีของรัฐโดยรวมจะลดลงปริมาณ 26,000 ล้านบาท/ปี
2.3 การลดภาษีสรรพสามิตเป็นการชะลอการปรับขึ้นราคาขายปลีก โดยใช้ภาษีสรรพสามิตเป็นตัวรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ได้ส่วนหนึ่ง แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกขึ้นหากต้นทุนราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น มาก โดยรัฐต้องสูญเสียรายได้ ซึ่งในสภาพปัจจุบันรัฐขาดดุลงบประมาณอยู่แล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องขึ้นภาษีสินค้าอื่น หรือกู้เงินเพิ่มเพื่อให้พอเพียงงบประมาณรายจ่ายหรือลดงบประมาณ รายจ่ายลง นอกจากนี้ การลดภาษีสรรพสามิตทำให้ราคาไม่สะท้อนต้นทุน ทำให้การใช้พลังงานไม่มีประสิทธิภาพ
3. การใช้เพดานและฐานภาษีสรรพสามิตเพื่อแทรกแซงราคาน้ำมันในระยะยาว โดยใช้อัตราภาษีสรรพสามิตเพื่อเป็นตัวรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นของราคาน้ำมัน ในตลาดโลกในระดับหนึ่ง โดยเป็นการชะลอการปรับราคาขายปลีกออกไป ในทางกลับกันเมื่อต้นทุนราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลง จะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสู่ระดับหนึ่ง เพื่อเพิ่มรายได้ของรัฐที่หายไปในช่วงปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต โดยกำหนดเป็นเพดานและฐานของอัตราภาษีสรรพสามิต และกำหนดเพดานและฐานของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะเข้าไป แทรกแซง ซึ่งแนวทางนี้ก็จะเป็นเพียงการชะลอการปรับราคาขายปลีกออกไป ทำให้ราคาน้ำมันไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง โดยเฉพาะเมื่อราคาตลาดโลกเริ่มลง แต่ราคาในประเทศไม่ลดลง ทำให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างราคา เกิดการบริโภคน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนการนำเข้าของประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ส่วนรวมและดุลบัญชีเดินสะพัด
4. การเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น : เนื่องจากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศมีมากเกินปริมาณความต้องการ ทำให้มีน้ำมันเหลือต้องส่งออก โดยในปี 2541 มีปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปส่งออก 5,255 ล้านลิตร ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเบนซิน ส่วนน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตามีการส่งออกเป็นบางช่วง ซึ่งราคาส่งออกส่วนใหญ่จะมีราคาต่ำยกเว้นช่วงที่น้ำมันส่งออกเป็นที่ต้องการ ของตลาด ผู้บริโภคจึงควรจะได้รับประโยชน์จากส่วนนี้ โดยมอบหมายให้ ปตท. ไปเจรจากับโรงกลั่นเพื่อปรับลดราคาน้ำมันที่โรงกลั่นจำหน่ายในประเทศลงมา อยู่ในระดับใกล้เคียงกับราคาส่งออก (Export Parity) ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกลดลงในระดับ 0.10-0.20 บาท/ลิตร
นอกจากนี้ การกำหนดราคาน้ำมันเตาของโรงกลั่น ซึ่งอิงกับราคาน้ำมันเตาปริมาณกำมะถัน 3.5% โดยน้ำหนักบวกพรีเมี่ยม ซึ่งการกำหนดพรีเมี่ยมจะคำนวณจากความแตกต่างระหว่างราคาน้ำมันเตากำมะถัน 2% และกำมะถัน 3.5% ในตลาดจรสิงคโปร์ในช่วงเวลาหนึ่ง ปัจจุบันความแตกต่างของราคาน้ำมันเตาทั้งสองชนิดในตลาดจรสิงคโปร์ได้แคบลง ดังนั้น จึงควรให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นเพื่อลดพรีเมี่ยมในสูตรการคำนวณราคาน้ำมันเตาหน้าโรงก ลั่น ซึ่งจะมีผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าถูกลง
5. การควบคุมราคาน้ำมันเชื้อเพลิง : ซึ่งในอดีตก่อนปี 2534 รัฐมีการควบคุมราคาขายส่ง ค่าการตลาด และราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงให้อยู่ในระดับคงที่ แต่มีการเปลี่ยนแปลงนาน ๆ ครั้ง การกลับไปควบคุมราคาขายปลีกดังกล่าวจะมีแต่ข้อเสีย กล่าวคือ ระบบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นเพียงการชะลอปรับราคาขายปลีกออกไป แต่ในที่สุดก็จำเป็นต้องมีการปรับเมื่อกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับภาระไม่ได้ ทำให้ไม่มีเสถียรภาพทางด้านราคาในระยะยาว และการปรับราคาขายปลีกไม่สอดคล้องกับต้นทุนจริง การควบคุมค่าการตลาดในระดับที่ต่ำกว่าการลงทุนทำให้ไม่เกิดการแข่งขันและ พัฒนาในตลาดน้ำมัน และการบิดเบือนโครงสร้างราคา ทำให้เกิดการบริโภคน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนการนำเข้าของประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวมและดุลบัญชีเดินสะพัด
6. การไม่แทรกแซงการกำหนดราคา โดยปล่อยให้การกำหนดราคาน้ำมันเป็นไปตามกลไกตลาด จะมีข้อเสียเพียงประการเดียว คือ ประชาชนต้องรับภาระตามต้นทุนราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นมาทันที แต่ราคาดังกล่าวจะเป็นการส่งสัญญาณที่แท้จริงให้ผู้บริโภคและตลาดน้ำมันปรับ ตัว สิ่งที่ตามมาจึงเป็นผลดี คือ กลไกตลาดสามารถทำงานได้เต็มที่ ราคาน้ำมันจะปรับตัวตามต้นทุน และผู้บริโภคจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคให้สอดคล้องกับต้นทุนราคา โดยบริโภคน้อยลงเมื่อราคาสูงขึ้น ไม่เกิดการบิดเบือนของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและลักษณะการบริโภคน้ำมันของ ประเทศทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนที่รัฐไม่แทรกแซงระบบการค้าเสรี
7. โครงการส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ : เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ที่ราคาน้ำมันของประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นตาม ราคาน้ำมันในตลาดโลกและการเปลี่ยนแปลงเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนตัวลง และเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทราบถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและ ประหยัดจะช่วยลดทั้งการลงทุนในการจัดหาพลังงานและค่าใช้จ่ายทางด้านเชื้อ เพลิงของประเทศ รวมทั้งยังช่วยประหยัดเงินตราต่างประเทศในภาวะที่ประเทศประสบปัญหาวิกฤตทาง เศรษฐกิจอีกด้วย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานในสาขา ที่มีการใช้พลังงานสูงให้เป็นไปอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้มีการลดการนำเข้าพลังงาน และลดการขาดดุลการค้าของประเทศ เป็นการดำเนินนโยบายพลังงานของประเทศเพื่อมีส่วนในการช่วยแก้ไขปัญหา เศรษฐกิจของประเทศ
8. มาตรการระยะยาวสำหรับการส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมันในภาคขน ส่งมากขึ้น โดยการสนับสนุนการขยายจำนวนยานยนต์ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งในขณะนี้ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้มีการจัดทำแผนการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ต่างๆ ซึ่ง นอกจากจะเป็นการช่วยทดแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังช่วยลดปัญหามลพิษในอากาศได้อีกด้วย เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด ดังนั้น รัฐจึงควรให้การส่งเสริมโดยการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการลงทุน ยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์การดัดแปลงเครื่องยนต์ ถังก๊าซฯ และอุปกรณ์ที่ใช้ในสถานีบริการก๊าซฯ และใช้เงิน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุน เช่น การให้เงินสนับสนุนแก่เจ้าของรถที่มีความประสงค์จะดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น และหากเอกชนสนใจลงทุนในอุตสาหกรรม ดัดแปลงรถยนต์ หรือจัดตั้งสถานีบริการก๊าซฯ ควรให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนด้วย
การพิจารณาและข้อสังเกตของที่ประชุม
1.สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้วิเคราะห์ผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ว่า จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่ากรณีที่ไม่มีผลจากราคาน้ำมัน ที่สูงขึ้นในไตรมาสที่ 4 ร้อยละ 0.39 และผลกระทบทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.27 ส่วนกรมการค้าภายในได้วิเคราะห์ว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าไม่มากนัก เนื่องจากน้ำมันคิดเป็นต้นทุนในการผลิตสินค้าค่อนข้างต่ำ
2.การสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลกในขณะนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงตามภาวะ ปกติ ไม่ได้เกิดจากวิกฤตการณ์น้ำมันในตลาดโลกแต่อย่างใด แต่การสูงขึ้นของราคาขายปลีกของไทยเป็นผลจากภาวะภายในประเทศ คือ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงมาก จาก 25.50 บาท/เหรียญสหรัฐ มาอยู่ในระดับ 39-41 บาท/เหรียญสหรัฐ ซึ่งประชาชนจะต้องเผชิญกับค่าเงินบาทในระดับนี้ต่อไปในอนาคต การแก้ปัญหาที่ถูกต้องควรเป็นการ ทำให้ประชาชนยอมรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะนี้ว่าเป็นสถานการณ์ปกติ และจะต้องปรับตัวตามสภาวะแวดล้อมใหม่ มาตรการที่จะเป็นประโยชน์และควรกระทำมากที่สุด ได้แก่ การเร่งรัดและส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และปลูกฝังจิตสำนึกของประชาชนให้ตระหนักถึงการใช้พลังงานอย่างมีประโยชน์และ คุ้มค่า
3.การกำหนดอัตราภาษีน้ำมันที่ต่ำเกินไป จะทำให้การใช้พลังงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ในปัจจุบันภาษีน้ำมันในประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ ดังนั้น ในระยะยาวควรมีการพิจารณาปรับภาษีสรรพสามิตน้ำมันให้สูงขึ้น
4.การพิจารณาแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันนั้นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อวินัยทางการคลังของประเทศ เพราะในขณะนี้รัฐบาลก็ขาดดุลการคลังในระดับที่สูงมากอยู่แล้ว การลดภาษีสรรพสามิตจะต้องไม่เป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้อง อันจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และอัตราแลกเปลี่ยน และหากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงก็จะมีผลทำให้ราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นอีก ดังนั้น หากมีการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน รัฐบาลจะต้องหารายได้จากแหล่งอื่นมาชดเชยเพื่อมิให้การขาดดุลการคลังเพิ่ม ขึ้น
5.เนื่องจากน้ำมันดีเซลมีการใช้กันมากในภาคการขนส่ง การเกษตรและประมง จึงควรมีการพิจารณาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง โดยการลดภาษีสรรพสามิตลง 0.42 บาท/ลิตร เป็นเวลา 3 เดือน จะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 0.50 บาท/ลิตร และรายได้ภาษีรวมลดลง 1,918 ล้านบาท แยกเป็นภาษี สรรพสามิต 1,629 ล้านบาท ภาษีเทศบาล 163 ล้านบาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 126 ล้านบาท
6.การลดภาษีน้ำมันดีเซลอาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง กล่าวคือ ผู้ใช้น้ำมันเบนซินบางส่วนอาจเปลี่ยนมาใช้ดีเซลมากขึ้น จึงควรให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ติดตามสถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศอย่างใกล้ชิด
7.ผู้ว่าการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้เรียนต่อที่ประชุมว่า การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิต จะทำให้เกิดภาระส่วนต่างของภาษีที่ได้ชำระไว้เดิม ชั้นวัตถุดิบสูงกว่าภาษีใหม่เมื่อมีการเติมสารเติมแต่ง (Additive) ซึ่งไม่สามารถขอคืนหรือขอลดหย่อนภาษีได้ แต่ในกรณีที่มีการปรับเพิ่มอัตราภาษี ผู้ค้าน้ำมันจะต้องเสียภาษีส่วนเพิ่ม ทำให้ไม่เป็นธรรมต่อผู้ค้าน้ำมัน ซึ่งรองอธิบดีกรมสรรพสามิต (นางเรณู รื่นกลิ่น) ได้ชี้แจงว่า กรมสรรพสามิตได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความและได้มีการ วินิจฉัยว่า วัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าที่จะใช้ในการขอลดหย่อนภาษีสรรพสามิต ตามมาตรา 101 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 จะต้องเป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบเฉพาะที่นำมาใช้ต้องเป็นส่วนหนึ่งของ สินค้าที่ผลิตขึ้นโดยตรงเท่านั้น แต่น้ำมันเชื้อเพลิงที่นำมาเติมสารเติมแต่งมิใช่วัตถุดิบหรือส่วนประกอบที่ ใช้ในครั้งแรก จึงไม่สามารถนำภาษีที่เสียไว้ในชั้นวัตถุดิบเดิมมาหักลดหย่อนภาษีใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปดูรายละเอียดในเรื่อง นี้อีกครั้ง
มติของที่ประชุม
ให้เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน โดยเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีประสิทธิภาพ และมีผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1.1 เร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ
1.2 ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรงงาน ควบคุมและอาคารควบคุม ซึ่งเป็นโรงงานและอาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก
1.3 ส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอุปกรณ์และเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพในการใช้ พลังงานสูง ตลอดจนส่งเสริมระบบตลาดให้สามารถเข้ามารองรับการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์ พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.4 เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่ใช้ไฟฟ้า และกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ รวมทั้ง การติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน
1.5 เร่งดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง โดยมีมาตรการดังนี้
1.5.1 มาตรการระยะสั้น
(1) สร้างตัวอย่างที่ดีแก่สังคมในการประหยัดพลังงาน ให้ข้าราชการและผู้นำทางสังคมทำตัวเป็นตัวอย่าง และประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ส่งเสริม ยกย่องชุมชนหรือองค์กรที่ประสบความสำเร็จ ในการลดการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง
(2) ลดจำนวนรถยนต์บนถนน กระตุ้นให้ประชาชนทราบถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดจะช่วย ลดทั้งการลงทุนในการจัดหาพลังงานและค่าใช้จ่ายทางด้านเชื้อเพลิงของประเทศ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ภายใต้โครงการรวมพลังหารสอง ทำการรณรงค์ผ่านสื่อและกิจกรรมต่างๆ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร (กทม.) สำนักงานคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (สจร.) และจังหวัดที่มีการจราจรหนาแน่น เพื่อจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการเดินทางโดยใช้พาหนะร่วมกันไปที่ หมายเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน (Car Pool) เดินทางโดยใช้จักรยาน หรือบริการขนส่งมวลชนในการเดินทาง ลดการเดินทางด้วยการติดต่อสื่อสารลักษณะอื่นแทน เช่น โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ หรือการใช้บริการส่งเอกสารและวัสดุแทนการส่งด้วยตนเอง
(3) จัดการจราจร ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน เช่น สจร. และ กทม. ในการให้สิทธิรถสาธารณะและรถยนต์ส่วนบุคคลที่มีผู้โดยสารตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ได้สิทธิใช้เส้นทางด่วนกำหนดพื้นที่ชั้นในของ กทม. ที่ผู้ใช้รถจะต้องเสียค่าผ่านทาง เพื่อให้มีการเปลี่ยนมาใช้บริการรถสาธารณะมากขึ้นในการ เข้าเมือง จัดทำทางวิ่งจักรยานยนต์ทางด่วน และบนทางเท้าที่สามารถทำได้
(4) วางแผนก่อนเดินทาง ให้ สพช. สจร. และ กทม. เผยแพร่การให้ความรู้ความเข้าใจกับผู้ใช้รถพิจารณาและตรวจสอบความจำเป็นใน การเดินทาง วางแผนการเดินทางเพื่อกำหนดเส้นทางและช่วงเวลาการเดินทางถึงที่หมายอย่าง เหมาะสม หลีกเลี่ยงและลดการเดินทางในช่วงเวลาเร่งด่วน
(5) บำรุงรักษารถยนต์ สนับสนุนให้มีการตรวจวัดสภาพและปรับแต่งระบบควบคุมเครื่องยนต์ให้ถูกต้องตาม คุณลักษณะของรถ เพื่อให้การทำงานของเครื่องยนต์ดีขึ้น ส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานน้อยลง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงได้ประมาณ 10% โดยพิจารณาให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเสริมให้เกิดธุรกิจ บริการตรวจวัดสภาพเครื่องยนต์ โดยร่วมมือกับหน่วยงานหรือองค์กรหลัก เช่น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กรมการขนส่งทางบก หรือสถานีบริการน้ำมันที่สามารถให้บริการตรวจวัดสภาพและปรับแต่งระบบควบคุม เครื่องยนต์ให้ถูกต้อง นอกจากนั้น ให้ สพช. และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องทำการประชาสัมพันธ์กระตุ้นเจ้าของรถยนต์ให้ตระหนักถึงประโยชน์ที่ ได้รับหากรู้จักดูแลบำรุงรักษา ตรวจซ่อมเครื่องยนต์และรถอย่างสม่ำเสมอ เช่น การตรวจดูลมยางรถยนต์ให้มีความดันพอเหมาะกับการใช้งาน การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง และไส้กรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลให้มีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพ และไม่สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
(6) ใช้รถยนต์ถูกวิธี สนับสนุนกรมการขนส่งทางบก หรือองค์กรที่เกี่ยวข้องในการฝึกอบรมสร้างความรู้ความเข้าใจกับผู้ขับรถ เพื่อให้ทราบถึงวิธีการใช้รถยนต์อย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถปฏิบัติได้โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม แต่ยังได้รับประโยชน์เป็นเงินที่ประหยัดค่าน้ำมันได้ เช่น ไม่เร่งเครื่องยนต์ เมื่อเริ่มออกเดินทาง ขับเคลื่อนด้วยความเร็วสม่ำเสมอ เลือกขับที่ความเร็ว 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อ ลดการสึกหรอ และเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกใช้เกียร์ความเร็วและความเร็วรอบที่ สอดคล้องกัน หลีกเลี่ยงการติดตั้งอุปกรณ์เสริมหรือตกแต่งที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนัก ขึ้น หรือทำให้เกิดการต้านลมขณะเดินทาง หลีกเลี่ยงและลดการบรรทุกสัมภาระสิ่งของที่ไม่จำเป็นในการเดินทางเพื่อลด น้ำหนักของรถ เลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาด และสอดคล้องกับชนิดของเครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพลดการสูญเสียพลังงาน เช่น ไม่ใช้น้ำมันที่มีออกเทนสูงเกินความจำเป็นของเครื่องยนต์
1.5.2 มาตรการระยะปานกลาง
(1) ร่วมมือและสนับสนุนองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพในการปรับปรุงคุณภาพการให้ บริการของรถเมล์ และเร่งรัดให้การก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ให้เสร็จตามเวลาที่กำหนด
(2) ปรับเปลี่ยนแนวทางในการให้การสนับสนุนและการเก็บภาษี เพื่อให้เกิดการใช้รถสาธารณะให้มากที่สุด ผู้ที่ต้องการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น รถส่วนบุคคลจะต้องเสียภาษีในการจดทะเบียนและภาษีป้ายวงกลมสูงขึ้นตามขนาดและ ประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องยนต์ นอกจากนั้นเจ้าของรถส่วนตัวจะต้องเสียภาษีน้ำมันสูงขึ้นด้วย
(3) ส่งเสริมการขายรถยนต์ประสิทธิภาพสูง โดยอาจใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนการประชา สัมพันธ์เพื่อจูงใจให้มีการติดฉลากหรือโฆษณาประชาสัมพันธ์รถยนต์ประสิทธิภาพ สูง
(4) ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนสถาบันการศึกษาค้นคว้า วิจัย และพัฒนาต้นแบบของยานพาหนะหรืออุปกรณ์ประกอบยานพาหนะที่มีการใช้เชื้อเพลิง ที่มีประสิทธิภาพ
(5) ส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด เช่น ก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas : CNG) ในรถประจำทางและรถขนส่งมวลชนหรือการใช้ยานพาหนะที่สามารถเปลี่ยนชนิดเชื้อ เพลิงได้ เช่น Hybrid Vehicles หรือยานพาหนะอื่นที่ประหยัดพลังงานหรือก่อให้เกิดมลพิษน้อยในเขตเมืองเพื่อ ช่วยลดมลภาวะทางอากาศ
1.5.3 มาตรการระยะยาว
(1) สนับสนุนกรมการผังเมืองให้มีการนำผังเมืองที่มีผลต่อการลดความต้องการในการ เดินทางมาใช้อย่างจริงจัง ผังเมืองดังกล่าวเป็นผังที่ทำให้บ้าน โรงเรียน และที่ทำงานอยู่ใกล้กัน
(2) ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการในการปรับปรุงคุณภาพของโรงเรียนให้ ใกล้เคียงกันจะเป็นผลให้ผู้ปกครองส่งนักเรียนเรียนในโรงเรียนใกล้บ้าน ลดความต้องการในการเดินทาง และเพิ่มคุณภาพชีวิต
1.6 ส่งเสริมมาตรการอนุรักษ์พลังงานในสาขาเกษตร โดย
(1) สนับสนุนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ศึกษาโครงสร้างการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ และพลังงานแบบดั้งเดิมในสาขาการเพาะปลูก สาขาการประมง และการเกษตรอื่นๆ และแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
(2) ร่วมมือและสนับสนุนสถาบันการศึกษาปรับปรุงพัฒนาการของเครื่องจักรเครื่อง ยนต์ในการเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น รถแทรกเตอร์ รถไถนา 2 ล้อ ระหัดวิดน้ำ เครื่องสูบน้ำ และ เครื่องพ่นยาปราบศัตรูพืช เป็นต้น
(3) ส่งเสริมให้องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นมีการใช้ระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ และเครื่องสกัดสารกำจัดศัตรูพืชพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อลดปริมาณการใช้เครื่องยนต์ดีเซล
1.7 ส่งเสริมและรณรงค์ให้เกิดการตื่นตัวต่อการประหยัดพลังงานในระดับชาติ โดยดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทุกระดับทั่วประเทศเกิด กระแสความร่วมมือในการอนุรักษ์พลังงานและสร้างจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ พลังงานให้กับกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ให้ใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ซึ่งไม่ได้รับการจัดสรรค่าใช้จ่ายส่วนนี้จากงบประมาณปกติ หรือได้รับแต่ไม่เพียงพอที่จะใช้พัฒนางานให้สำเร็จได้อย่างจริงจัง หรืออาจให้เป็นค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทั่วไปในการจัดซื้อจัดหา อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ รวมทั้งจัดหาบุคลากร หรือที่ปรึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถดำเนินงานและประสานกับหน่วยงานอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ให้มีการเลือกใช้พลังงาน ดังนี้
2.1 ส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้ถูกประเภทสอดคล้องกับความต้องการของเครื่อง ยนต์ และมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทะเบียนการค้า) สพช. และ ปตท. รับไปดำเนินการเจรจากับผู้ค้าน้ำมันในการลดค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินพิเศษ จากออกเทน 97 เหลือ 95 และเบนซินธรรมดาจากออกเทน 92 เหลือ 91 ตามมาตรฐานของทางราชการ เพื่อลดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
2.2 ลดการใช้น้ำมันเตาและดีเซลในการผลิตไฟฟ้า โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการดังนี้
(1) ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นในโรงไฟฟ้าบางปะกง และพระนครใต้
(2) เร่งรัดการติดตั้งหน่วยกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4-7 ให้แล้วเสร็จ และสามารถใช้งานได้ในเดือนมกราคม 2543
(3) ให้จัดหาถ่านลิกไนต์คุณภาพสูง (กำมะถันต่ำ) จากภาคเอกชนมาใช้ในโรงไฟฟ้า แม่เมาะอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ ในการผลิตไฟฟ้า
(4) ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาว เพิ่มขึ้น ได้แก่ โครงการ น้ำเทิน-หินบุน ห้วยเฮาะ น้ำงึม และเซเสด
(5) ให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) และรายเล็ก (SPP) ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน หรือพลังงานนอกรูปแบบเป็นเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
2.3 ส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานชีวมวล และการแปรรูปจากมูลฝอยโดยเฉพาะเพื่อการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยใช้กองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว เพื่อช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
2.4 ในระยะยาวให้มีการกระจายแหล่งและชนิดของเชื้อเพลิง เพื่อความมั่นคงในการจัดหา เชื้อเพลิงของประเทศ การพึ่งพาเชื้อเพลิงชนิดใดชนิดหนึ่งมากเกินไปจะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการ จัดหาเชื้อเพลิงให้แก่ประเทศ และเนื่องจากถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงที่มีแหล่งสำรองอยู่มาก และกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้ง ราคาค่อนข้างมีเสถียรภาพ ถ่านหินจึงน่าจะเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของประเทศในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าลงได้
กำหนดแนวทางในการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคน้อยที่สุด โดย
3.1 ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยเพื่อตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3.2 ปรับหลักเกณฑ์ในการกำหนดราคา ณ โรงกลั่น/ราคานำเข้าลดลงจากระดับปัจจุบัน (ซึ่ง เท่ากับราคาปิโตรมิน+0$) หากราคาก๊าซฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกจนถึงระดับที่กองทุนฯ ไม่สามารถ รับการชดเชยต่อไปได้
3.3 หลังจากดำเนินการตามข้อ 3.1-3.2 แล้ว หากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังไม่สามารถรับภาระการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวได้ ให้ดำเนินการปรับเพิ่มราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
เพื่อเป็นการลดต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ให้ กฟผ. สามารถใช้น้ำมันเตากำมะถันไม่เกิน 1.0% และค่าแอสฟัลทีนระดับปกติมาใช้ในโรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้ ทั้งนี้โดยความเห็นชอบของกรมควบคุมมลพิษ
เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
5.1 เพิ่มความเข้มในการตรวจการณ์ทางทะเล โดยให้กองกำกับ 1-5 กองตำรวจน้ำออกตรวจสอบและพิสูจน์ทราบเรือประมงที่แล่นอยู่ในทะเลอาณาเขตและ เขตต่อเนื่อง (ช่วง 0-24 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง) ทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทย เพื่อตัดโอกาสมิให้ลักลอบนำน้ำมันจากเรือประมงดัดแปลงจำหน่ายให้กับเรือ ประมงหรือนำขึ้นฝั่ง
5.2 ตรวจสอบแพปลา และสถานีบริการชายฝั่งโดยให้ชุดปฏิบัติการทางบกศูนย์ป้องกันและปราบปรามการ ลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (ศปนม.) เน้นตรวจสอบบริเวณแพปลา และสถานีบริการชายฝั่งเป้าหมายมิให้มีการขนถ่ายหรือลักลอบนำขึ้นฝั่งทุก รูปแบบ
5.3 ตรวจสอบอู่ต่อเรือ เพื่อป้องกันปราบปรามมิให้ทำการต่อเรือประมงดัดแปลงเป็นเรือบรรทุกน้ำมัน เพื่อใช้ในการลักลอบนำน้ำมันเชื้อเพลิงหลีกเลี่ยงภาษีเข้ามาในราชอาณาจักร
5.4 เฝ้าติดตามโรงกลั่น ผู้ผลิตสารละสายไฮโดรคาร์บอน (โซลเว้นท์) ตัวแทนนายหน้า (Jobber) และผู้ใช้สารละลายโซลเว้นท์ปลายทาง มิให้นำสารโซลเว้นท์ออกนอกระบบไปปลอมปนกับน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำหน่ายใน สถานีบริการ
5.5 ตรวจสอบสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงริมน้ำ และท่าเทียบเรือบริเวณปากอ่าวไทย ลำน้ำ เจ้าพระยา และลำน้ำท่าจีนเพื่อป้องกันปราบปรามมิให้นำน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยกเว้นภาษี เช่น น้ำมันเชื้อเพลิงที่เติมให้กับเรือสินค้าต่างประเทศออกมาขายในสถานีบริการ
6.ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น โดยสนับสนุนการขยายจำนวน รถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ได้แก่ รถโดยสารประจำทางของ ขสมก. รถบรรทุก รถแท๊กซี่ และ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยทดแทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ยังช่วยลดปัญหามลพิษในอากาศได้อีกด้วย เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด โดยรัฐควรให้การส่งเสริมโดยการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการลงทุน ยกเว้นภาษีนำเข้าอุปกรณ์การดัดแปลงเครื่องยนต์ ถังก๊าซฯ และอุปกรณ์ที่ใช้ในสถานีบริการก๊าซฯ และใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้การสนับสนุน เช่น การให้เงิน สนับสนุนแก่เจ้าของรถที่มีความประสงค์จะดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซ ธรรมชาติ เป็นต้น และหากเอกชนสนใจลงทุนในอุตสาหกรรมดัดแปลงรถยนต์ หรือจัดตั้งสถานีบริการก๊าซฯ ควรให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนด้วย โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
6.1 มอบหมายให้ ปตท. เร่งรัดการดำเนินการตามแผนการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งตามที่ได้กำหนดไว้แล้ว
6.2 มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้การสนับสนุนในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการส่งเสริมการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในภาค ขนส่งบรรลุผลสำเร็จ
7.ให้มีการเจรจาปรับลดราคา ณ โรงกลั่น ดังนี้
7.1 มอบหมายให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อปรับลดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมัน เชื้อเพลิงเพื่อให้ราคาน้ำมันที่โรงกลั่นจำหน่ายในประเทศลดลงมาอยู่ในระดับ ที่ใกล้เคียงกับราคาส่งออก (Export Parity) ทั้งนี้เนื่องจาก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศมีมากเกินปริมาณความต้องการทำให้มี น้ำมันเหลือต้องส่งออก ซึ่งราคาส่งออกส่วนใหญ่จะต่ำกว่าราคาที่ขายภายในประเทศ
7.2 มอบหมายให้ ปตท. รับไปเจรจากับโรงกลั่นน้ำมันเพื่อลดราคาน้ำมันเตาที่จำหน่ายให้ กฟผ. เพื่อให้ราคาน้ำมันเตาอยู่ในระดับไม่สูงกว่าราคาที่สามารถนำเข้าได้จาก สิงคโปร์
8.มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการตรึงราคาค่าโดยสารสำหรับรถโดยสาร ประจำทางของ ขสมก. รถไฟ และรถโดยสารของบริษัท ขนส่ง จำกัด รวมทั้ง ให้พิจารณาลดค่าธรรมเนียมที่เก็บจาก รถร่วมบริการเพื่อเป็นการลดต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยให้พิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลังในการพิจารณาหารายได้ส่วนอื่นมาชดเชย
9.มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 0.42 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราว มีระยะเวลา 3 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2542 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2543 และให้กระทรวงการคลังรับไปจัดทำข้อเสนอในการจัดเก็บภาษีอื่นมาชดเชยรายได้ ที่ขาดหายไปจากการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เช่น การเพิ่มภาษีป้ายทะเบียนรถยนต์ เป็นต้น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานในการจัดทำแนวทางการพัฒนา พลังงานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน/โครงการด้านพลังงานของหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องซึ่งแนวทางการพัฒนาพลังงานดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติแล้ว เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2540
2. จากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ทางด้านพลังงานของประเทศ สพช. ได้ทำการประเมินผลการพัฒนาพลังงานในช่วง 2 ปีแรก (พ.ศ. 2540-2541) พบว่าความต้องการใช้พลังงานของประเทศชะลอตัวลงอย่างมาก โดยการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วงปี 2540-2541 ลดลงเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ในขณะที่การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7.8 ในช่วงเวลาเดียวกัน การพึ่งพาพลังงานเชิงพาณิชย์จากต่างประเทศลดลงจากระดับร้อยละ 65.6 ในปี 2539 เหลือเพียงร้อยละ 57.1 ในปี 2541 การนำเข้าโดยส่วนใหญ่ยังเป็นน้ำมันดิบและถ่านหิน แต่ปริมาณการนำเข้าได้ลดลง การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงปี 2540-2541 ลดลงร้อยละ 0.4 และ 9.6 ตามลำดับ ดังนั้น ในปี 2541 จึงมีการส่งออกสุทธิของน้ำมันเกือบทุกชนิด ยกเว้น น้ำมันเตา โดยน้ำมันเบนซินยังคงเป็นเชื้อเพลิงหลัก
3. จากสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายและ แนวทางการพัฒนาพลังงานของประเทศในระยะต่อไป ดังนั้น สพช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้มีการพิจารณาปรับเป้าหมายและแนวทางการพัฒนาพลังงานในช่วงที่เหลือของ แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 สรุปได้ดังนี้
3.1 ได้มีการปรับเป้าหมายการพัฒนาพลังงานจากที่กำหนดไว้เดิมเพื่อให้สอดคล้องกับ สถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป โดยลดการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์จากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตราร้อยละ 5.0 ต่อปี เหลือร้อยละ 3.0 ต่อปี ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 และรักษาสัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจาก ต่างประเทศ จากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 75 เป็นไม่เกินร้อยละ 64 ในปี 2544 นอกจากนี้ ยังลดเป้าหมายการผลิตก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ คอนเดนเสท และถ่านหิน/ลิกไนต์ในประเทศ และการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการที่ลดลง นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้ มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับไม่ต่ำกว่า 4 เมกะวัตต์ ในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8
3.2 แนวทางการพัฒนาพลังงานส่วนใหญ่มีแนวทางที่ต่อเนื่องจากแนวทางที่ได้ดำเนิน การมาแล้ว แต่ได้ปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนไปมากขึ้น สรุปได้ดังนี้
(1) ด้านการจัดหาพลังงาน เน้นการสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการพัฒนาและสำรวจแหล่งพลังงานจากภายใน ประเทศขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น ทั้งปิโตรเลียมและถ่านหิน รวมทั้ง การสำรวจและพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียขึ้นมาใช้ ประโยชน์ และในขณะเดียวกันก็ให้มีการเจรจาเลื่อนการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการใน สปป.ลาว และพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่าให้เป็นไปตามกรอบของบันทึกความเข้าใจที่ ได้มีการลงนามแล้ว
(2) ด้านการส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด ให้มีการกำกับดูแลราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซปิโตรเลียมเหลว และการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและค่าผ่านท่อ รวมทั้ง ให้มีการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง โปร่งใส และเป็นธรรม นอกจากนี้ ให้มีการเร่งดำเนินการทางด้านการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้าและการอนุรักษ์ พลังงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้มีการนำแผนงานอนุรักษ์พลังงานสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมมากขึ้น
(3) ด้านการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงานและเพิ่มบทบาทของภาคเอกชน ดำเนินการปรับโครงสร้างและแปรรูปกิจการพลังงานสาขาไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ และแปรรูป ปตท. ให้เป็นไปตามกรอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ และส่งเสริมให้มีการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ ธุรกิจอุตสาหกรรมก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมทั้ง ให้มีการปรับปรุงระบบการขนส่งน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลวของประเทศให้มี ประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนการขนส่งในระยะยาว นอกจากนี้ ให้มีการติดตามการดำเนินงานของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่และรายเล็กตามที่ได้ มีการคัดเลือกแล้วให้สามารถดำเนินการได้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และให้มีการพิจารณาเลื่อนวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามความเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการไฟฟ้าของประเทศ
(4) ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ให้มีการปรับปรุงข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพื่อลดมลภาวะ เพิ่มเติมจากที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และพิจารณาความเหมาะสม ในการลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตาลงจากเดิมตามสภาพความรุนแรงของปัญหาใน เขตกรุงเทพฯ และในเขตที่มีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่หนาแน่น รวมทั้ง ให้มีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้มีการควบคุมและกำกับดูแลการจัดเก็บและ กำจัดกากน้ำมันหล่อลื่นและส่งเสริมการลงทุนในการนำน้ำมันหล่อลื่นใช้ แล้วกลับมาใช้ใหม่ให้ถูกหลักวิชาการ กำหนดให้คลังน้ำมัน รถบรรทุกน้ำมัน สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ต้องติดตั้งอุปกรณ์กักเก็บไอน้ำมัน ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดในภาคอุตสาหกรรมและ ภาคคมนาคมขนส่งมากขึ้น
(5) ด้านพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและกลไกการบริหารงานด้านพลังงาน เร่งดำเนินการออกพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... และดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2521 ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในทางปฏิบัติโดยเร็ว รวมทั้งแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับก๊าซปิโตรเลียมเหลวเพื่อให้ ธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลวมีความปลอดภัยและเป็นไปอย่างมีระบบและมีความเสมอ ภาคระหว่างผู้ประกอบการ ตลอดจนดำเนินการยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระในสาขาพลังงาน เพื่อให้สามารถจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลกิจการพลังงานภายหลังการ แปรรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการพัฒนาพลังงานปี 2542-2544 ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) ตามที่ สพช. เสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานของหน่วยราชการ และรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องด้านพลังงานต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม ครั้งที่ 4/2537 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2537 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2537-2542 ซึ่งมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 19,286 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นเก้าพันสองร้อยแปดสิบหกล้านบาทถ้วน)
2. การดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ เป็นเงินทั้งสิ้น 6,237 ล้านบาท โดยโครงการที่ดำเนินการแล้วและสามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานได้ อย่างชัดเจน คือ โครงการอาคารของรัฐ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว 573 อาคาร และการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ 91 โครงการ คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและสามารถทดแทนพลังงานสิ้นเปลืองได้ คิดเป็นเงินประมาณ 525 ล้านบาท/ปี และสามารถชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่า 2,115 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพ การอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนเงินได้
3. เนื่องจากแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2537-2542 กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2542 คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้เสนอแผนอนุรักษ์พลังงาน แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับ ความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณา โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 29,110.61 ล้านบาท ซึ่งหลักเกณฑ์ แนวทาง เงื่อนไข และการจัดลำดับความสำคัญของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นไปตามแผนฯ เดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงในประเด็นใหญ่ 5 หัวข้อ ดังนี้
3.1 ปรับเปลี่ยนงบประมาณโครงการอาคารและโรงงานทั่วไปจากแผนงานภาคบังคับไปไว้ภาย ใต้แผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางในการปฏิบัติงานในช่วงที่ผ่านมา
3.2 ปรับเปลี่ยนงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน รับผิดชอบจากแผนงานสนับสนุนไปไว้ภายใต้แผนงานภาคบังคับ เพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของ แผนงานภาคบังคับ
3.3 การเพิ่ม "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เป็นอีกโครงการหนึ่งภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ เข้ามาร่วมผลิตและขายไฟฟ้า โดยใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน
3.4 ดำเนินโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง จนถึงเดือนมีนาคม 2543 เท่านั้น และให้การสนับสนุนเฉพาะอาคารของรัฐที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเท่านั้น แล้วให้มีการประเมินผลโครงการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาการดำเนินโครงการฯ ในช่วงต่อไป
3.5 ไม่จำกัดขอบเขตงานโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบทไว้ที่ กิจการขนาดเล็กที่ใช้พลังไฟฟ้าต่ำกว่า 300 กิโลวัตต์ และมีสถานที่ตั้งนอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล
นอกจากนี้ ยังได้มีการปรับแนวทางการใช้เงินจากกองทุนฯ เพื่อนำไปดำเนินการในโครงการต่างๆ ที่จะก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
4. แผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ประกอบด้วย 3 แผนงานรอง และ 12 โครงการหลัก คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน โดยสามารถทดแทนพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 12,870 ล้านบาท/ปี และสามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าได้ คิดเป็นเงินประมาณ 38,085 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2538-2542 ปัญหา อุปสรรค และการประเมินผลการดำเนินงาน การศึกษาเชิงนโยบายเพื่อใช้ในการกำหนดแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วง ปีงบประมาณ 2543-2547 และแนวทางการดำเนินงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ตามที่ปรากฏในส่วนที่ 4 - ส่วนที่ 7 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1
2.เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ปรากฏในส่วนที่ 8 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1 โดยให้มีการปรับปรุงแผนอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เรื่อง สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ผลกระทบ และทางเลือก ซึ่งมีมติเห็นชอบให้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และเร่งรัดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้มีผลเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542 เป็นต้นไป
3.มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดสรรเงิน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 ตามวงเงินในข้อ 2.4 (รายละเอียดตามที่ปรากฏในส่วนที่ 9 ของเอกสารประกอบวาระ 4.3.1) ซึ่งมีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้ โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย
เรื่องที่ 6 มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบแนวทางในการปรับโครงสร้างและ การแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศ และได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จัดทำมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าและระบบการประเมินผล เพื่อให้การปฏิบัติงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คำนึงถึงคุณภาพการให้บริการแก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งมาตรฐานคุณภาพบริการดังกล่าว จะใช้ประกอบการพิจารณาฐานะการเงินของการไฟฟ้า และจะกำหนดให้เป็นตัวแปรหนึ่งในการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจการ ไฟฟ้าต่อไป
2. สพช. ได้ดำเนินการหารือร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และผู้ใช้ไฟฟ้า โดยได้ข้อสรุปมาตรฐานด้านเทคนิคและมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟน. และ กฟภ. เพื่อใช้ในการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า ดังนี้
2.1 มาตรฐานทางด้านเทคนิค (Technical Standards) ประกอบด้วย มาตรฐานแรงดันไฟฟ้า มาตรฐานการจ่ายไฟฟ้า และมาตรฐานความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า
2.2 มาตรฐานการให้บริการ (Customer Service Standards) ประกอบด้วย
(1) มาตรฐานการให้บริการทั่วไป (Overall Standards) ประกอบด้วย การจ่ายไฟฟ้า คืนหลังจากระบบจำหน่ายขัดข้อง การร้องเรียนในเรื่องแรงดันไฟฟ้า การอ่านหน่วยไฟฟ้าที่ใช้จริง ใบแจ้งหนี้ ค่าไฟฟ้า และการตอบข้อร้องเรียนจากผู้ใช้ไฟฟ้า
(2) มาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า (Guaranteed Standards) ประกอบด้วย คุณภาพไฟฟ้า ระยะเวลาที่ลูกค้ารายใหม่ขอใช้ไฟฟ้า ระยะเวลาตอบสนองที่ลูกค้าร้องขอและปฏิบัติตามเงื่อนไข และระยะเวลาต่อกลับการใช้ไฟฟ้ากรณีถูกงดจ่ายไฟ โดยมาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันนี้มีบทลงโทษโดยคิดเป็นค่าปรับ ที่การไฟฟ้าจะต้องจ่ายให้ผู้ใช้ไฟ ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด โดยค่าปรับจะอยู่ระหว่าง 50-2,000 บาท
3. การกำหนดแนวทางการกำกับดูแล และแนวทางการประเมินผลการดำเนินงาน เพื่อให้มีการกำหนดมาตรฐานทางด้านเทคนิคและมาตรฐานการให้บริการผู้ใช้ไฟฟ้า รวมทั้งเพื่อให้มีการประเมินผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าให้เป็นไปตามเป้าหมาย มีดังนี้
3.1 แนวทางการกำกับดูแลตามมาตรฐานคุณภาพบริการ ประกอบด้วย
(1) คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)/สพช. ทำหน้าที่พิจารณาอนุมัติ ข้อเสนอของการไฟฟ้าเกี่ยวกับมาตรฐานทางด้านเทคนิคและมาตรฐานการให้บริการ
(2) กพช./สพช. ติดตามการดำเนินงานโดยพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างรายงานการดำเนินงานที่ กฟน. และ กฟภ. จะต้องจัดทำขึ้นเป็นรายปี กับมาตรฐานที่กำหนด
(3) กพช./สพช. กำหนดบทลงโทษสำหรับการไฟฟ้าที่มีการดำเนินงานไม่เป็นไปตาม มาตรฐานที่กำหนด
3.2 การประเมินผลการดำเนินงาน สามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอน ดังนี้
(1) กฟน. และ กฟภ. จัดทำรายงานประจำปี แสดงผลการดำเนินงานในรอบปีเปรียบเทียบกับมาตรฐานคุณภาพบริการที่กำหนด พร้อมทั้งชี้แจงผลการดำเนินงานโดยละเอียด
(2) สพช. พิจารณาผลการดำเนินงานในข้อ (1)
(3) สพช. เป็นผู้กำกับบริษัทที่ปรึกษาที่ตรวจสอบการลงทุนของการไฟฟ้า ว่าเป็นไปตามแผนการลงทุนที่อนุมัติหรือไม่ โดยอาจจัดทำทุก 3-5 ปี
(4) สพช. เป็นผู้กำกับบริษัทที่ปรึกษาทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับ การให้บริการ เป็นประจำทุกปี โดย กฟน. และ กฟภ. จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟน. และ กฟภ. รายละเอียดตามเอกสารแนบ 2 และ 3 ของเอกสารแนบวาระ 4.4.1
2.เห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพบริการ รายละเอียดตามข้อ 3
3.ให้นำมาตรฐานคุณภาพบริการของ กฟน. และ กฟภ. มาบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นไป เนื่องจากในช่วงต้นปี พ.ศ. 2543 ระบบคอมพิวเตอร์อาจเกิดการขัดข้องจากปัญหา Y2K