Super User
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 28 ธันวาคม 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 27 ธันวาคม 2554
ประกาศกบง.ฉบับที่ 114 พ.ศ. 2555
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 26 ธันวาคม 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 23 ธันวาคม 2554
ครั้งที่ 26 - วันพฤหัสบดี ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2551 (ครั้งที่ 26)
วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2551 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
2. แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน
4. การดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า ได้มีหนังสือจากผู้ตรวจการแผ่นดินเกี่ยวกับการร้องเรียนเรื่องการอนุญาตให้เปิดปั๊ม LPG ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นการไม่ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่ว่า ไม่อนุญาตให้เปิดปั๊มจำหน่ายก๊าซ LPG และได้ขอให้กระทรวงพลังงานและกรุงเทพมหานคร ร่วมกันแก้ไขกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
เรื่องที่ 1 การปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยให้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรม ไบโอดีเซล ซึ่งขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันปาล์มดิบเป็นหลัก คิดเป็นร้อยละ 76 ของต้นทุนการผลิตไบโอดีเซล โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้ B100 = 0.97CPO + 0.15 MtOH + 3.32
โดยที่ B100 คือ ราคาขายไบโอดีเซล (B100) ในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/ลิตร
CPO คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม ซึ่งใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตร น้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 1 บาท/กิโลกรัม
MtOH คือ ราคาขายเมทานอลในกรุงเทพมหานคร หน่วย บาท/กิโลกรัม ซึ่งใช้ราคาขายเมทานอลเฉลี่ยจากผู้ค้าเมทานอลในประเทศจำนวน 3 ราย เช่น Thai M.C., I.C.P. Chemicals และ Itochu (Thailand) โดยราคาขายเมทานอลเฉลี่ยในสัปดาห์ที่แล้วจะนำมาใช้กำหนดราคาในสัปดาห์หน้า
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาไบโอดีเซล (B100) ที่นำมาผสมเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ผสมไบโอดีเซลไม่เกินร้อยละ 2 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้พร้อมกับประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของกรมธุรกิจพลังงาน
3. สถานการณ์ไบโอดีเซล ในปี 2551 กระทรวงเกษตรฯ คาดว่าจะมีปริมาณผลปาล์ม 7.873 ล้านตัน สกัดเป็นน้ำมันปาล์มดิบได้ประมาณ 1.344 ล้านตันและคาดว่าความต้องการใช้ในการบริโภคและอุตสาหกรรม เพื่อการส่งออกน้ำมันบริสุทธิ์รวม 990,000 ตัน/ปี หรือ 82,500 ตัน/เดือน คงเหลือน้ำมันปาล์มดิบ 354,000 ตัน ซึ่งส่วนหนึ่งนำไปผลิตไบโอดีเซล และตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. มีมติให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วต้องผสมไบโอดีเซล (B100) ร้อยละ 2 ส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นและจากสภาวะการผลิตปาล์มน้ำมันในช่วงปลายปี-ต้นปีจะมีปริมาณผลปาล์มออกสู่ตลาดน้อย คาดว่าช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2551 จะมีสต๊อคน้ำมันปาล์มดิบ 98,000 ตัน/เดือน และตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไปจะมีน้ำมันปาล์มดิบมากขึ้น สู่ระดับปกติ 110,000-118,000 ตัน/เดือน ทั้งนี้ สต๊อคน้ำมันปาล์มดิบปกติที่ควรจะมีในระดับเท่ากับ 123,750 ตัน/เดือน (1.5 เท่าของความต้องการใช้ 82,500 ตัน/เดือน)
4. ในเดือนธันวาคม มีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานจำนวน 9 ราย โดยมีกำลังการผลิตรวม 2,185,800 ลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลเฉลี่ยในประเทศ เดือนธันวาคม 2550 และเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ 36.32 และ 38.36 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ในเดือนธันวาคม 2550 จำนวน 3.83 ล้านลิตร/วัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 191,500 ลิตร/วัน และในเดือนมกราคม 2551 จำนวน 4.22 ล้านลิตร/วัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 211,000 ลิตร/วัน มีสถานีบริการรวม 975 แห่ง แบ่งเป็น ปตท. 264 แห่ง บางจาก 710 แห่ง และ ปตท.รีเทล (คอนอโค) 1 แห่ง และปัจจุบันอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เป็นศูนย์ และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ 27.94 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.00 บาท/ลิตร
5. ในปี 2550 ราคาน้ำมันปาล์มดิบสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเฉลี่ย 18.63 บาท/กิโลกรัมในเดือนมกราคม เป็น 31.47 บาท/กิโลกรัมในเดือนธันวาคม และตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมเป็นต้นมาระดับราคา สูงกว่าราคาในตลาดมาเลเซีย และ ณ วันที่ 1-21 มกราคม 2551 ราคาสูงกว่าประมาณ 3.54 บาท/กิโลกรัม โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย ด้านผลผลิตซึ่งเป็นช่วงที่ปริมาณผลปาล์ม ออกสู่ตลาดน้อย ขณะที่ความต้องการใช้ทั้งผู้บริโภค อุตสาหกรรมและพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นและภาวะราคาน้ำมันปาล์มตลาดมาเลเซียมีแนวโน้มสูงขึ้นในทิศทางเดียวกัน ตลอดจนภาวะราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งสามารถใช้น้ำมันปาล์มดิบทดแทนได้มีราคาสูงขึ้นด้วย ซึ่งกระทรวงพาณิชย์คาดว่า สถานการณ์การผลิตและระดับราคาน้ำมันปาล์มดิบจะเข้าสู่ระดับปกติในเดือนมีนาคม 2551
6. จากหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ได้กำหนดระดับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบไว้ที่ระดับราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก(ตลาดมาเลเซีย) บวก 1 บาท/กิโลกรัม ดังนั้นราคาอ้างอิงในการจำหน่ายไบโอดีเซล (B100) ระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้าตามมาตรา 7 อยู่ที่ระดับ 39.01 บาท/ลิตร แต่ปัจจุบันราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่าระดับเพดาน จึงทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไบโอดีเซล (B100) อยู่ที่ระดับ 42.22 บาท/ลิตร ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตไบโอดีเซล (B100) จำหน่ายให้ผู้ค้าตามมาตรา 7 เพื่อนำมาผสมกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวและเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรม ไบโอดีเซล จึงควรปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยผลกระทบจากการปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบดังกล่าว จะทำให้ราคาไบโอดีเซล (B100) เพิ่มขึ้น 1.94 บาท/ลิตร และทำให้ต้นทุนราคาดีเซลหมุนเร็วบี 2 และบี 5 เพิ่มขึ้นประมาณ 0.038 และ 0.103 บาท/ลิตร ตามลำดับ และเมื่อยกเลิกการชดเชยราคาไบโอดีเซล ( B100) ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 จะทำให้ต้นทุนราคาดีเซลหมุนเร็วบี 2 และ บี 5 เพิ่มขึ้นประมาณ 0.38 และ 1.14 บาท/ลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) โดยให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบเพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2551 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 แนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน
สรุปสาระสำคัญ
1. ในปี 2548 มีปริมาณขยะมูลฝอยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ 14.3 ล้านตัน หรือ 39,221 ตันต่อวัน (ยังไม่รวมข้อมูลปริมาณขยะมูลฝอยก่อนนำมาทิ้งในถัง) เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มีปริมาณขยะมูลฝอยที่เก็บขนได้วันละ 8,291 ตัน ซึ่งแนวคิดหลักในการจัดการขยะโดยทั่วไป ได้แก่ ทำการฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาล (Sanitary Landfill) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะอินทรีเป็นปุ๋ยหมัก (Organic Fertilizer) การคัดแยกเพื่อแปรสภาพขยะเป็นเชื้อเพลิง (Turn Waste into Energy) การคัดแยกเพื่อนำวัสดุไปแปรรูปในกระบวนการ รีไซเคิล (Recycle) และการใช้เตาเผา (Incineration) ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมด้านต่างๆ อาทิ ประเภทของขยะ สถานที่ที่ใช้ในการจัดการขยะ ผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และความพร้อมด้านการลงทุน แต่ปรากฏว่ามีขยะประเภทพลาสติกตกค้างอยู่เป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบ
2. กระทรวงพลังงานได้มีนโยบายให้การสนับสนุนการแปรรูปขยะเป็นพลังงานในรูปแบบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิง ในอัตรา 2.50 บาท/หน่วย โดยที่ประเทศไทยยังไม่ได้มีการพิสูจน์ความสามารถในการใช้งานจริงและผลตอบแทนการลงทุนยังมีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งด้านเทคโนโลยีและราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้ยังใช้ระยะเวลาคืนทุนนาน 5-10 ปี และเพื่อเร่งให้มีการตัดสินใจลงทุนนำเทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันมาใช้ จึงเห็นควรเพิ่มแรงจูงใจให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้ในการช่วยเหลืออุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ
3. จากการประเมินเงินลงทุนการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วย 1) ค่าลงทุนระบบจัดการ คัดแยก และการผลิตเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel, RDF) จากขยะพลาสติก และ 2) ค่าลงทุนเครื่องจักรในกระบวนการ Pyrolysis Depolymerization ที่สามารถรองรับขยะพลาสติกได้ 6 ตัน/วัน พบว่ามีค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท หากสามารถจำหน่ายน้ำมันที่ผลิตได้ในราคา 22 บาท/ลิตร จะทำให้ระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี
4. หลักการคำนวณอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันจากการแปรรูปขยะ ได้ใช้ราคาน้ำมันดิบดูไบที่มีคุณภาพต่ำที่สุดเป็นเกณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีราคา 86.92 เหรียญสหรัฐฯ/บาเรล หรือ 18.18 บาท/ลิตร (ณ วันที่ 14 มกราคม 2551 ที่อัตราแลกเปลี่ยน 33.2618 บาท/เหรียญสหรัฐฯ) เมื่อเทียบกับการวิเคราะห์ต้นทุนราคาน้ำมันที่ได้จากแปรรูปขยะตามข้อ 3 ใช้ระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี อัตราเงินอุดหนุนหรือเงินส่วนเพิ่มควรเริ่มตั้งแต่ 4 บาท/ลิตร ขึ้นไป แต่เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการตัดสินใจลงทุนในช่วงแรกและช่วยบรรเทาภาระความเสี่ยงของหน่วยงานหรือองค์กรที่จะลงทุนในด้านของเทคโนโลยีและคุณภาพของน้ำมันที่จะได้รับ สนพ. จึงเห็นควรกำหนดราคาส่วนเพิ่มที่อัตรา 7 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาคืนทุนลดลงเหลือเพียง 4 ปี
5. คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2551 ได้มีมติเรื่องการสนับสนุนการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน ดังนี้
5.1 เห็นชอบแนวทางส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันด้วยการสนับสนุนงานวิจัยและสาธิตเป็นโครงการนำร่อง โดยให้ สนพ. จัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนพลังงานทดแทน โครงการสนับสนุนการศึกษาวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2551 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2551 ได้จัดสรรให้ สนพ. ไว้แล้ว มาใช้สำหรับ "โครงการส่งเสริมการแปรรูป จากขยะเป็นน้ำมัน" ในวงเงิน 105 ล้านบาท โดยสนับสนุนเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในสัดส่วนร้อยละ 32 แต่ไม่เกิน 35 ล้านบาทต่อราย ประกอบด้วย
กระบวนการ | เงินลงทุน ล้านบาท) |
เงินสนับสนุน สูงสุด |
สัดส่วน |
(1) เงินลงทุนในส่วนระบบจัดการและคัดแยกขยะ * | 35 | 10 | 28% |
(2) เงินลงทุนสำหรับระบบแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน ** | 65 | 15 | 23% |
(3) ค่าที่ปรึกษาออกแบบระบบและบริหารจัดการ | 10 | 10 | 100% |
รวม | 110 | 35 | 33% |
* เงินลงทุนระบบจัดการคัดแยะเทศบาลระยองซึ่งรองรับขยะขนาด 60 ตัน/วัน มีสัดส่วนขยะพลาสติกไม่เกิน 10 ตัน/วัน (คิดจากสัดส่วนขยะพลาสติกเฉลี่ยของประเทศไทยที่ 16.83%) และเครื่องผลิต RDF อ้างอิงจากเครื่องผลิต RDF ชีวมวลจากการประเมินของ ม.สุรนารี 3 ล้านบาท
** ข้อเสนอโครงการนำร่องการแปรรูปขยะเป็นพลังงานน้ำมันซึ่งรองรับขยะได้ 6 ตัน/วัน
5.2 เห็นชอบแนวทางส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันด้วยการจูงใจด้านราคา โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ มาช่วยอุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะในอัตรา 7 บาท ต่อลิตร และให้ สนพ. เสนอ กบง. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้สามารถจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป
2. เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะในอัตราไม่เกิน 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยให้บังคับใช้หลังจากมีการแก้ไขคำสั่งนายกฯ ตามข้อ 1 เรียบร้อยแล้ว โดยมอบหมายให้ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการ ออกประกาศกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะต่อไป ทั้งนี้ มอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปศึกษาในรายละเอียดการกำหนดอัตราชดเชยที่เหมาะสม โดยให้นำเสนอประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ต่อไป
3. มอบหมายให้ สนพ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นผู้กำหนดรายละเอียดและวิธีการปฏิบัติในการจ่ายเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะต่อไป
4. มอบหมายให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการปรับปรุงอัตราเงินชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่โรงกลั่นน้ำมันที่รับซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะได้ตามความเหมาะสม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการเกี่ยวกับประชาสัมพันธ์ของ สนพ. จำนวน 5 โครงการ เป็นจำนวนเงินรวม 153 ล้านบาท ดังนี้ 1) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ระยะที่ 3 ในวงเงิน 50 ล้านบาท 2) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG ในวงเงิน 40 ล้านบาท 3) โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในวงเงิน 30 ล้านบาท 4) โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30 ล้านบาท และ 5)การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 ในวงเงิน 3 ล้านบาท
2. ในช่วงปี 2550 ประเทศไทยต้องเผชิญวิกฤติราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระทรวงพลังงานต้องเร่งดำเนินงานประชาสัมพันธ์โครงการและกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนผลักดันการใช้พลังงานทางเลือกแทนการใช้น้ำมัน และบรรเทาผลกระทบจากวิกฤติราคาน้ำมันให้เห็นผลเป็นรูปธรรม สนพ. จึงมีความจำเป็นต้องปรับแผนประชาสัมพันธ์อย่างเร่งด่วน ด้วยการแบ่งแยกเป็นระยะหรือแบ่งเงินจากโครงการมาทำกิจกรรมเสริม ทั้งนี้การขอสนับสนุนที่ได้รับอนุมัติตามมติ กบง. สำหรับโครงการดังกล่าวไม่สามารถแยกรายการและทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันได้หลายรายการตามความเหมาะสมได้ อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานจัดจ้างต้องเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ 22 วรรค 2 ที่กำหนดไว้ว่า "การแบ่งซื้อหรือแบ่งจ้างโดยลดวงเงินที่จะซื้อหรือจ้างในครั้งเดียวกันเพื่อให้วงเงินต่ำกว่าที่กำหนดโดยวิธีหนึ่งวิธีใด หรือเพื่อให้อำนาจสั่งซื้อสั่งจ้างเปลี่ยนไป จะกระทำมิได้"
3. ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้ว เห็นว่าการดำเนินโครงการเกี่ยวกับกิจกรรมประชาสัมพันธ์จำเป็นต้องปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยแบ่งการดำเนินโครงการออกเป็นระยะ พร้อมกับการแบ่งจ่ายเงินเพื่อทำกิจกรรมเสริม ซึ่งในทางปฏิบัติการจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนั้น เพื่อให้โครงการประชาสัมพันธ์ของ สนพ. ทั้ง 5 โครงการ (จำนวน 153 ล้านบาท) สามารถดำเนินการได้ โดยไม่ขัดกับระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้นำเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบให้ สนพ. สามารถเบิกถัวจ่ายและแยกดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยอยู่ภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุนตามที่ใช้จ่ายจริงในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ โดยให้มีผลย้อนหลังนับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ สนพ. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ดังนี้
1. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ระยะที่ 3 ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน)
2. โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG ในวงเงิน 40 ล้านบาท (สี่สิบล้านบาทถ้วน)
3. โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน)
4. โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน)
การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 ในวงเงิน 3 ล้านบาท (สามล้านบาทถ้วน)
5. โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการ และแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่โครงการได้รับอนุมัติ
เรื่องที่ 4 การดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 เห็นชอบให้ กฟผ. เปิดการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ทุกประเภทเชื้อเพลิงตามที่กำหนดในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า โดยให้ขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากเดิม 3,200 เมกะวัตต์ เป็น 4,000 เมกะวัตต์ และต่อมาการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ออกประกาศระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฉบับ พ.ศ. 2550 และ กฟผ. ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP โดยกำหนดปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration จำนวน 500 เมกะวัตต์ และ SPP ประเภทสัญญา Firm สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และ SPP ประเภทสัญญา Non-Firm รวม 530 เมกะวัตต์ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าที่ประกาศรับซื้อในรอบนี้รวม 1,030 เมกะวัตต์
2. เนื่องจากมี SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ยื่นคำร้องขอขายปริมาณไฟฟ้าสูงกว่าปริมาณพลังไฟฟ้าที่ประกาศรับซื้อไว้เป็นจำนวนมาก กพช. จึงมีมติเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2550 เห็นชอบให้ กฟผ. ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2550 เป็นต้นไป และให้พิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากสัดส่วนการใช้ไอน้ำ กำหนดวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) ตลอดจนความสามารถและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าที่จะรับได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ทั้งนี้ มี SPP ที่ยื่นข้อเสนอจำนวน 28 โครงการ รวมปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญาทั้งสิ้น 2,191 เมกะวัตต์ ซึ่งเกินกว่าที่ประกาศไว้ 1,691 เมกะวัตต์
3. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้พิจารณาข้อจำกัดการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของโครงการ SPP ระบบ Cogeneration ดังกล่าว พบว่าจะมีโครงการที่สามารถรับซื้อไฟฟ้าได้ 9 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้า เสนอขาย 760 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ กพช. ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 รับทราบผลการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. โดยพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ในรอบแรกตามข้อจำกัดของระบบไฟฟ้าและเห็นชอบให้ขยายปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อจากโครงการใหม่ที่เป็น SPP ระบบ Cogeneration ได้เกินกว่า 500 เมกะวัตต์ แต่ทั้งนี้ ปริมาณการรับซื้อรวมจากโครงการ SPP ทั้งหมดจะไม่เกิน 4,000 เมกะวัตต์ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 กระทรวงพลังงานได้ประชุมหารือร่วมกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และได้มีมติเห็นชอบผลการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าตามข้อจำกัดระบบไฟฟ้าเพิ่มเติมอีก 5 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย 390 เมกะวัตต์ รวมเป็นจำนวน 14 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 1,150 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ให้ กฟผ. แจ้งผลการพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้า SPP ดังกล่าว โดยกำหนดเงื่อนไขว่า กฟผ. จะพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้าจากรายที่มีความพร้อมมากกว่า และให้พิจารณากำหนดวัน COD ของ SPP แต่ละรายที่ได้รับการคัดเลือกต่อไปด้วย
4. กฟผ. ได้แจ้งผลการพิจารณาตอบรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่สามารถรับซื้อไฟฟ้าได้แล้ว รวมปริมาณพลังไฟฟ้าที่ระบบรับได้ 1,150 เมกะวัตต์ โดยในสถานีไฟฟ้าที่ไม่สามารถรับซื้อได้ทุกราย กฟผ. จะลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ SPP ที่มีความพร้อมในการลงนามสัญญาได้ก่อน ได้แก่ (1) ผลการพิจารณาเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) (2) เอกสารสิทธิ/ใบรับรองการใช้ที่ดินในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า (3) หนังสือแจ้งวันกำหนดเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้า (SCOD) ซึ่งสอดคล้องกับกำหนดการส่งมอบก๊าชธรรมชาติจาก ปตท.
5. เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 กพช. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับปรุงการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP สำหรับโครงการพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ โดยกำหนดให้เท่ากับ 3.50 บาทต่อหน่วย และ 8.00 บาท ต่อหน่วย ตามลำดับ และขยายระยะเวลาจาก 7 ปี เป็น 10 ปี นับจากวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ (โครงการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงได้รับส่วนเพิ่มพิเศษตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550) และเห็นชอบการกำหนดเงื่อนไขการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP ให้มีความชัดเจน ดังนี้ 1) ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ให้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP 2) ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายเกินกว่า 10 เมกะวัตต์ ให้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ทั้งนี้ ยกเว้นในกรณี SPP รายเดิมที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. แล้ว 3) SPP รายเดิมที่มีสัญญาประเภท Firm หากจะยกเลิกสัญญากับ กฟผ. เพื่อเสนอขายไฟฟ้าตามระเบียบ VSPP ให้ กฟผ. พิจารณายกเว้นการยึดหลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า หลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดอายุสัญญา การเรียกเก็บเงินค่าพลังไฟฟ้าคืน และการเรียกค่าปรับ ทั้งนี้ SPP Firm ที่ได้รับการยกเว้นนี้จะไม่รวมถึง SPP ประเภท Firm ที่ใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ และ 4) เห็นควรแก้ไขการกำหนดอายุสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับ SPP ประเภท Non Firm และ VSPP เป็นอายุสัญญา 5 ปี และต่อเนื่องโดยอัตโนมัติ
6. ณ เดือนธันวาคม 2550 มี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้า 102 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้า เสนอขายรวม 3,802.32 เมกะวัตต์ โดยขายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 75 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 2,355.32 เมกะวัตต์ จำแนกตามชนิดเชื้อเพลิงที่ผลิตไฟฟ้า มีโครงการที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบ 52 ราย พลังงานเชิงพาณิชย์ 26 ราย และพลังงานผสม (พลังงานนอกรูปแบบ/พลังงานเชิงพาณิชย์) 4 ราย ปริมาณ พลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 479.9, 1670.20 และ 233.00 เมกะวัตต์ ตามลำดับ ทั้งนี้ ราคารับซื้อไฟฟ้า จาก SPP ประเภท Non-Firm เฉลี่ย 2.21 บาทต่อหน่วย และราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภท Firm เฉลี่ย ทุกประเภทเชื้อเพลิง 2.53 บาทต่อหน่วย
7. ณ เดือนธันวาคม 2550 มีโครงการขอยื่นแบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย 264 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 837.8 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟภ. 214 ราย และเป็นที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟน. 50 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 829.8 และ 8 เมกะวัตต์ ตามลำดับ ซึ่งมีโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายแล้ว 67 ราย ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายรวม 74.6 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟภ. 36 ราย (73.5 เมกะวัตต์) และที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟน. 31 ราย (1.1 เมกะวัตต์)
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ