มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22)
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3. รายงานผลการสัมมนาเพื่อปรับนโยบายและมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน
5. แผนประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544
6. ขอความเห็นชอบร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
7. ขออนุมัติโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน
8. โครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Pilot Project) ในโรงงานควบคุมโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
9. ปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
10. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจัง โดยตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว เนื่องจากขณะนี้ประเทศเรานำเข้าน้ำมันปีละประมาณ 300,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศ ดังนั้นหากเราปล่อยให้มีการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพก็จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 - 31 มีนาคม 2544 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2544 เป็นเงินจำนวน 13,540,137,667.76 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
1. แผนงานภาคบังคับ เป็นแผนงานที่เกี่ยวกับโรงงานและอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานและอาคารควบคุมตามพระราชกฤษฎีกา รับผิดชอบโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) โดยในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,194.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% และ 11 % ของแผนงานแต่ละปีที่กำหนดไว้ ซึ่งปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินการล่าช้าไม่เป็นไปตามเป้าหมายมีหลายประการด้วยกัน ส่วนหนึ่งเกิดจาก กฎกระทรวง ระเบียบ ขั้นตอนการปฏิบัติ และวิธีการสนับสนุนเงินลงทุนจากกองทุนฯ รวมถึงโรงงานและอาคารควบคุมขาดบุคลากรที่จะดูแลรับผิดชอบการอนุรักษ์พลังงานโดยตรง ซึ่ง พพ. ได้ว่าจ้าง สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ศึกษาแนวทางในการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสนับสนุนจากกองทุนฯ คาดว่าการศึกษานี้จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2544 ซึ่งจะได้นำผลการศึกษามากำหนดเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. แผนงานภาคความร่วมมือ ประกอบด้วยโครงการย่อ 5 โครงการ คือ (1) โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน (2) โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ (3) โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน (4) โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา (5) โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน มี สพช. เป็นผู้รับผิดชอบ โดยในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 688.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 81 % และ 12 % ของแผนงานแต่ละปีที่กำหนดไว้ สำหรับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ที่ยังไม่มีการใช้จ่ายเงินนั้น เนื่องจากการออกประกาศเชิญชวนฯ และคัดเลือกล่าช้ากว่ากำหนดไว้เดิม ซึ่งเรื่องดังกล่าว สพช. จะนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในเรื่องที่ 4.2 สำหรับโครงการโรงงานอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งานที่ยังมิได้ดำเนินการเท่าที่ควรนั้นเนื่องจากต้องรอผลการประเมินโครงการนำร่อง 4 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนไปแล้วจากกองทุนฯ หากทราบผลการประเมินชัดเจนแล้ว สพช. จะเร่งดำเนินการในรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการฯ ที่อยู่ในขั้นตอนขอความเห็นชอบในแผนเบื้องต้นและเมื่อจัดทำเป็นแผนโดยละเอียดแล้วก็สามารถให้การสนับสนุนต่อไป จึงคาดว่าการดำเนินงานในส่วนนี้จะบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
3. แผนงานสนับสนุน ประกอบด้วย 3 โครงการย่อ คือ (1) โครงการพัฒนาบุคลากร ในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 265.01 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59 % และ 12 % ของแผนงานที่กำหนดไว้ โดยมีโครงการที่ดำเนินการเสร็จแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการรุ่งอรุณ เป็นต้น สำหรับปัญหาที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้นเกิดจาก เจ้าของอาคาร/โรงงาน ขาดแรงจูงใจในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงาน บุคลากรด้านพลังงานไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน (2) โครงการประชาสัมพันธ์ ในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 266.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 100 % และ 57 % ของแผนงานที่กำหนดไว้ (3) โครงการบริหารตามกฎหมาย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. พพ. และกรมบัญชีกลาง ให้เป็นไปตาม พรบ.ฯ
โดยในส่วนงานโครงการอาคารของรัฐภายใต้แผนงานภาคบังคับและโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในช่วงปี 2543-2544 ที่ได้ใช้จ่ายเงินไป 1,162.93 ล้านบาท คาดว่าจะลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 118.7 ล้านบาท/ปี และชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่า 974.25 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นจำนวนเงินได้ เช่น การสร้างเสริมประสบการณ์และให้ความรู้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมและชำนาญการทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
สพช. ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเพื่อกำหนดเป้าหมายของงานในช่วง 5 ปีข้างหน้าให้ชัดเจน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมดำเนินการ เพื่อให้การนำแผนอนุรักษ์พลังงานไปสู่การปฏิบัติที่เห็นผลได้เร็วขึ้น และลดขั้นตอนในการปฏิบัติ ซึ่ง สพช. เห็นควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสนับสนุนจากกองทุน โดยแบ่งงานออกเป็นกลุ่มๆ ตามสาขาพลังงาน เช่น กลุ่มขนส่ง กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ กลุ่มพลังงานชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีคณะทำงานกำกับดูแลให้การดำเนินงานของกลุ่มนั้นๆ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จัดทำโปรแกรมการดำเนินงานในกลุ่มของตนเอง ทั้งในเรื่องการเผยแพร่เทคโนโลยี การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาบุคลากร และการประชาสัมพันธ์ แล้วเสนอคณะอนุกรรมการเพียงชุดเดียว หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งแนวทางในการดำเนินงานในรูปนี้ สพช. จักได้พิจารณาความเหมาะสมและเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
1. ให้ พพ. เร่งรัดให้ผู้รับผิดชอบอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้ดำเนินการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้แล้วเสร็จ แต่ได้มีการอนุมัติเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปแล้วนั้น ให้มีการดำเนินงานตามแผนอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้นำมาเป็นมาตรการในการพิจารณาจ่ายโบนัสแก่ส่วนราชการต่อไป
2. ให้ พพ. เร่งดำเนินการติดตามประเมินผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานไปแล้วประมาณ 733 อาคาร ว่าผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่อย่างไร และควรที่จะต้องกำหนดมาตรการอนุรักษ์พลังงานเสริมหรือมีคำสั่งบังคับหรือไม่ เพื่อให้การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อจะได้นำมากำหนดเป็นมาตรการในการพิจารณาจ่ายโบนัสแก่ส่วนราชการต่อไป
3. การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ส่วนอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตาม พรบ.ฯ นั้น พพ. ควรที่จะต้องเร่งรัดให้ดำเนินการเป็นตัวอย่างแก่เอกชน โดย พพ. ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานของแต่ละส่วนราชการที่เป็นอาคารควบคุมให้ชัดเจนว่าจะต้องดำเนินการจัดทำมาตรการอนุรักษ์พลังงานในกิจกรรมใดบ้าง จะดำเนินการให้แล้วเสร็จเมื่อใด แล้วนำเสนอต่อรัฐมนตรีที่รับผิดชอบส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้นๆ เพื่อที่จะกำหนดเป็นนโยบายแล้วสั่งการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ดำเนินการต่อไป
4. ให้ พพ. เร่งประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อกำหนดแนวทางในการจัดสรรเงินงบประมาณให้เพียงพอกับค่าก่อสร้างอาคารใหม่ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ออกแบบตามมาตรฐานที่กฏกระทรวงกำหนด สำหรับอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่จะต้องออกแบบก่อสร้างใหม่นั้น จะต้องออกแบบให้ได้ตามมาตรฐานที่กฎกระทรวงกำหนด
5. ให้พิจารณานำอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้ามาบังคับใช้กับอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยไม่อนุญาตให้โอนงบประมาณค่าใช้จ่ายหมวดอื่นๆ มาใช้เป็นค่าไฟฟ้า
6. ให้ พพ. เร่งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งานให้ชัดเจน โดยให้มีแนวทาง ขั้นตอนและวิธีการแก้ไขดำเนินการในแต่ละประเด็นปัญหา แล้วให้ พพ. รายงานต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
เรื่องที่ 3 รายงานผลการสัมมนาเพื่อปรับนโยบายและมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ได้เห็นชอบกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) จึงได้มีคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 5/2543 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2543 แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการจัดทำแผนพัฒนาพลังงานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9" เพื่อจัดทำแผนพัฒนาพลังงานให้สอดคล้องกับกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 โดยคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์ประเด็นปัญหาการพัฒนาพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ประเมินสถานการณ์พลังงาน ประมาณการความต้องการใช้พลังงานของประเทศในอนาคต และปรับปรุงแผนพัฒนาพลังงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นประธานอนุกรรมการ
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2544 สพช. ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงาน ทดแทน ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม 15 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและนโยบายการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนของประเทศไทยในช่วง ปี 2545-2549 โดยสรุปได้ว่าจะมุ่งดำเนินการใน 4 ภาคเศรษฐกิจของประเทศ คือ (1) ภาคอุตสาหกรรม (2) ภาคคมนาคมขนส่ง (3) ภาคพาณิชยกรรม และ (4) ภาคที่อยู่อาศัย โดยที่ประชุมได้พิจารณากำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ไว้ ดังนี้
(1) การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
เป้าหมายที่จะลดปริมาณการใช้พลังงาน ในช่วงแผนฯ 9 | ||
ภาคคมนาคมขนส่ง | 5.7% | 1,563 ktoe |
ภาคอุตสาหกรรม | 4% | 940 ktoe |
ภาคธุรกิจและการพาณิชย์ | 1.9% | 50 ktoe |
ภาคบ้านอยู่อาศัย | 0.8% | 110 ktoe |
(2) การพัฒนาและกระจายแหล่งพลังงานภายในประเทศ
เป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ในช่วงแผนฯ 9 | |
ผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์หรือน้ำเสียโรงงาน แทน LPG 24.8 Mkg/yr | 29.5 ktoe/Yr |
นำชีวมวลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตความร้อน/ไฟฟ้า | 395 ktoe/Yr |
ให้มีการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ 17 MW | 7.4 ktoe/Yr |
ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบเทคโนโลยีความร้อน แทน LPG 4.92 Mkg/yr | 3.3 ktoe/Yr |
ให้มีการนำพลังงานลมมาผลิตกระแสไฟฟ้า 4.7 MW | 0.56 ktoe/Yr |
เป้าหมายที่กำหนดไว้ดังกล่าว จะสามารถประหยัดพลังงานในช่วงปี 2545-2549 ได้ประมาณ 3,500 MW หรือ 2,200 ktoe/Yr หรือ โดยเฉลี่ย 3.44% ของการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ และเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียน ประมาณ 330 MW หรือ 435 ktoe/Yr
นอกจากนั้นคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 ที่ผ่านมา ได้พิจารณา มาตรการอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2544 ตามที่ สพช. เสนอ แล้ว และที่ประชุมเห็นว่า สพช. ควรเสนอมาตรการใหม่ๆ หรือมาตรการที่เข้มข้นให้ กพช. พิจารณาใหม่ ซึ่งควรเป็นมาตรการที่ได้รับการการยอมรับและความร่วมมือจากประชาชนทั้งประเทศ โดยได้เสนอแนะให้ สพช. จัดการประชุมเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นให้กว้างขวาง ทั้งจากทางด้านหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เมื่อมีการพิจารณาเห็นชอบให้ประกาศใช้มาตรการต่างๆ ที่นำเสนอแล้วนั้นๆ จะได้รับการสนับสนุนร่วมมือที่ดีจากประชาชน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้มอบหมายให้ สพช. จัดสัมมนารวบรวมความคิดเพื่อจะแก้ไขปัญหาอุปสรรค ซึ่งจะนำไปสู่การปรับนโยบายและมาตรการในการประหยัดพลังงาน ตลอดจนเสริมบทบาทให้ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีส่วนร่วมกันผลักดันเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
สพช. จึงได้นำเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานในช่วง ปี 2545-2549 ที่คณะทำงานฯ ได้มีผลสรุปไว้มาร่วมใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดประชุมกลุ่มพลังงานในสาขาต่างๆ 10 กลุ่มย่อย ประกอบด้วย (1) กลุ่มประชาสัมพันธ์ (2) กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม (3) กลุ่มพลังงานจากก๊าซชีวภาพ (4) กลุ่มพลังงานจากชีวมวล (5) กลุ่มการส่งเสริมเทคโนโลยีการนำกลับมาใช้ใหม่ (6) กลุ่มการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานใน SME (7) กลุ่มส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในบ้าน (8) กลุ่มส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง (9) กลุ่มการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร (10) กลุ่มการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารควบคุม โดยได้ระดมความคิดจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขาต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อนำไปปรับทิศทางเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และ สพช. ได้นำประเด็นที่มีสาระสำคัญจากการสัมมนาจาก 10 กลุ่มย่อย ไปจัดการประชุมสัมมนาเรื่อง "พลังงานกับการกอบกู้เศรษฐกิจ" เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2544 โดยได้มีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายองค์กร ประมาณ 520 ท่าน มาร่วมสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อทบทวนยุทธศาสตร์ จัดลำดับความสำคัญในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในสาขาต่างๆ ทั้ง 10 สาขา และจัดทำแผนรวมที่จะผลักดันให้การทำงานในเรื่องอนุรักษ์พลังงานซึ่งมีการดำเนินการโดยหลายหน่วยงานสามารถที่จะดำเนินต่อไปอย่างสอดคล้องกัน และให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่มากพอที่จะมีส่วนช่วยลดการพึ่งพาและนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ โดยมีผลสรุปตามที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระการประชุม 3.3.1
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการสัมมนา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0905 /2148 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2543 เพื่อเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการทุนฯ ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 4) ในการพิจารณาอนุมัติโครงการเร่งด่วน 2 โครงการ คือ (1) โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ในวงเงิน 753,068,006 บาท และ (2) โครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน ที่สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ในวงเงิน 72,664,500 บาท
กรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2543 รวม 15 ท่าน และมีกรรมการกองทุนฯ 4 ท่าน ที่ไม่ได้แจ้งผลการพิจารณา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ สรุปผลการพิจารณาได้ว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ให้การสนับสนุนทั้ง 2 โครงการดังกล่าว และฝ่ายเลขนุการฯ ได้แจ้งมติผลการพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ทราบแล้ว
มติที่ประชุม
รับรองมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการเวียนขอความเห็นชอบ ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 4) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปภาพรวมโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 แผนประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการและอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 150,000,000 บาท โดยมีประเด็นหลักการรณรงค์ในหัวข้อเรื่องการประหยัดพลังงานในการคมนาคมขนส่ง ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา สพช. ได้ดำเนินการจัดจ้างกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544 ไปแล้ว 1 กิจกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมสร้างภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนฯ เป็นจำนวนเงิน 7,648,670.30 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ 142,351,329.70 บาท
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ได้เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินมาตรการด้านการอนุรักษ์พลังงานให้เกิดเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง ซึ่ง สพช. ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2544 และมีความเห็นว่าควรปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และให้ได้ผลด้านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการประหยัดพลังงานที่สามารถวัดผลได้
สพช. ได้ปรับปรุงแผนประชาสัมพันธ์ปีงบประมาณ 2544 แล้ว และได้นำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนในการประชุมครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 ที่เห็นชอบในแผนปฏิบัติการดังกล่าว และ ให้ สพช. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งสามารถสรุปประเด็นหลักของแผนฯ ได้ดังนี้
สพช. ได้ปรับเปลี่ยนแผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ด้วยการเสนอแนะแนวทางในการใช้พลังงานอย่างประหยัดแก่ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในการประหยัดพลังงาน ในชีวิตประจำวันได้อย่างกว้างขวาง โดยเน้นให้เกิดผลหลัก 3 ประการ ได้แก่
1. สร้างกระแสเพื่อรวมพลังคนไทยทั้งชาติ ลดการใช้พลังงานที่เกินความจำเป็นอย่างเร่งด่วน และวัดผลได้
2. เพิ่มจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมให้ครอบคุมครัวเรือนทั่วประเทศ
3. ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันจนติดเป็นนิสัย โดยการแข่งขันการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเป็นส่วนในการสร้างความภาคภูมิใจ และกระตุ้นให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืน
โดยมีชุดกิจกรรมที่จะดำเนินการสื่อสาร หลัก 2 ชุดกิจกรรมคือ (1) ชุดกิจกรรมด้านการรณรงค์แข่งขันประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นกิจกรรม เลิก 3 แช่ คือ เลิกเสียบปลั้กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดแช่เมื่อไม่ใช้งาน เลิกเปิดไฟฟ้าแสงสว่างแช่เมื่อไม่ใช้งาน และเลิกติดเครื่องยนต์แช่ระหว่างรอ (2) ชุดกิจกรรมด้านการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยมุ่งเน้นกิจกรรม จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน และ Car Free Day เป็นต้น
สพช. จะใช้ยุทธวิธีสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในเชิงรุก โดยการจัดกิจกรรมแข่งขันประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า ให้ครอบคุมประชาชนทั่วประเทศ ด้วยการสร้างความภาคภูมิใจและรางวัลแก่ชุมชนที่เข้าร่วมแข่งขันเป็นแรงจูงใจ โดยให้คนที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ส่ง จดหมายถึง สพช. เพื่อบอกว่าเขาได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานด้วยวิธีการใดบ้าง จากนั้น สพช. ก็จะส่งหนังสือเกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์พลังงานกลับไปให้พร้อมกับสัญญาลักษณ์ที่แสดงถึงการเข้าร่วมโครงการประหัยดพลังงาน เช่น โบ หรือธง เพื่อที่จะได้นำไปประดับที่หน้าบ้านหรือที่รถ เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาหรือเพื่อนบ้านได้สังเกตุเห็น จะทำให้เขาสนใจสอบถามถึงที่มาของสัญญาลักษณ์ เพื่อที่จะได้ร่วมกันอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มต่อไป ขณะเดียวกันก็จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกระแส และถ่ายทอดข้อมูลผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของกลุ่มต่างๆ ว่าใคร่ทำอะไรและประหยัดพลังงานได้เท่าไร เพื่อเป็นการกระตุ้นประชาชนให้ร่วมดำเนินการ
มติที่ประชุม
ให้ สพช. ดำเนินการปรับปรุงแผนการประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544 ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 ขอความเห็นชอบร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers: SPP) เมื่อเดือนมีนาคม 2535 นั้นปัจจุบันได้มี SPP ที่ได้ทำสัญญาและได้ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. แล้วประมาณ 20 ราย ซึ่งคิดเป็นกำลังผลิตทั้งหมดประมาณ 200 MW ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินสูง แต่ก็ยังมี SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินต่ำ แต่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อจูงใจให้ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าที่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สนใจเข้ามาร่วมผลิตและขายไฟฟ้าให้มากขึ้น ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 สพช. จึงได้เสนอให้มี "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยจะใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ด้วยการเชิญชวนให้ SPP เสนอราคาค่าไฟฟ้าในส่วนที่เพิ่มจากราคารับซื้อของ กฟผ. โดย สพช. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาถึงอัตราที่เหมาะสมที่จะให้การสนับนุนแก่ SPP ปรากฏว่าอัตราสูงสุดต่อหน่วยการผลิตอยู่ที่ 36 สตางค์ต่อหน่วย โดยกองทุนฯ จะเปิดโอกาสให้ SPP ที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เสนอข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงินต่อ สพช. จากนั้นก็จะประเมินข้อเสนอทั้งทางด้านเทคนิคและการเงิน แล้วนำผลของทั้งสองส่วนมารวมกัน จัดลำดับตามระดับคะแนนที่ได้รับ เพื่อคัดเลือกจัดสรรการสนับสนุน ข้อเสนอที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาจะถูกนำมาจัดเรียงลำดับตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จากอัตราต่ำสุดไปหาสูงสุด แต่ไม่เกิน 35 สตางค์ และพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้การสนับสนุนแก่ผู้ที่เสนอในอัตราต่ำสุดลำดับแรกก่อน แล้วจึงพิจารณาสนับสนุนรายถัดไปจนครบเป้าหมายของโครงการฯ ภายในวงเงิน 2,060 ล้านบาท
โดยในการให้การสนับสนุนแก่ SPP กองทุนจะจ่ายเงินผ่าน กฟผ. เพื่อให้ กฟผ. นำไปจ่ายให้แก่ SPP ตามปริมาณของไฟฟ้าที่ผลิตได้ตามอัตราที่ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนเพียงระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ SPP จ่ายไฟฟ้าให้กับระบบของ กฟผ. หาก SPP รายใดไม่สามารถสร้างหรือปรับปรุงโรงไฟฟ้าตามที่เสนอไว้ได้ กองทุนฯ มีสิทธิที่จะยกเลิกสัญญาได้ โดยจะไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาในประเด็น ดังนี้
1. เห็นชอบในร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และกฎเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาสำหรับประเมินข้อเสนอโครงการตามที่ สพช. เสนอ
2. เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ดำเนินการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการคัดเลือกดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และกฎเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาสำหรับประเมินข้อเสนอโครงการตามที่ สพช. เสนอ
2. เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ดำเนินการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการคัดเลือกดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ได้เสนอโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 48) เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 และมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
ปัจจุบัน ห้องทดสอบของสถาบันฯ ที่ให้บริการทดสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทตู้เย็น สามารถทดสอบได้ครั้งละ 2 ตู้ แต่จากการรณรงค์ให้มีการใช้ตู้เย็นประสิทธิภาพสูง (ตู้เย็นเบอร์ 5) ตลาดจึงมีความต้องการสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นของสถาบันฯ มีผู้มาใช้บริการจำนวนมากขึ้น แต่ห้องทดสอบฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับได้ทันต่อความต้องการใช้ของตลาด และไม่สามารถทดสอบตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และตู้เย็นแบบ 2 ประตูได้ด้วย
เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดของตู้เย็น สถาบันฯ จึงได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นที่สามารถรองรับการทดสอบตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และตู้เย็น 2 ประตูได้ และสามารถทดสอบตู้เย็นได้เพิ่มขึ้น 2-4 ตู้ต่อครั้ง รวมถึงสามารถทดสอบเพื่อตรวจวัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการทดสอบในด้านความปลอดภัยได้ตามมาตรฐาน ISO 7371-1985 และสามารถรับรองเป็นห้องปฎิบัติการทดสอบได้ตามมาตรฐาน ISO/IEC Guide 25 ซึ่งจะเป็นห้องทดสอบกลางให้กับภาครัฐและเอกชน โดยจะใช้อาคารของสถาบันฯ ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เป็นที่ให้บริการ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน ในวงเงิน 16,050,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้ สถาบันฯ จะต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) กำหนดแผนการดำเนินการและแนวทางในการปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO Guide 25 เพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล
2) ระบุแนวทางที่จะร่วมมือกับห้องปฎิบัติการและนักวิชาการอื่นทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ
3) เพิ่มเติมแผนการประเมินผลโครงการฯ โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน
4) เพิ่มเติมรายละเอียดของการคำนวณผลตอบแทนทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน
5) ระบุแนวทางในการคิดอัตราค่าบริการทดสอบตู้เย็นที่จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการในแต่ละครั้งให้ชัดเจน โดยไม่ต้องนำเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ มารวมคิดเป็นต้นทุนค่าบริการ
6) แสดงรายละเอียดของการประชาสัมพันธ์ สัมมนา และแผนการตลาดของโครงการฯ ให้ชัดเจน
7) กำหนดมาตรฐานที่ห้องปฎิบัติการทดสอบตู้เย็นที่จะสร้างขึ้นว่าจะสามารถทดสอบในมาตรฐานสากลใดได้บ้าง เช่น มาตรฐาน JIS ของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
8) เพิ่มเติมรายละเอียดของวิธีการจัดซื้ออุปกรณ์ในโครงการว่าทำโดยวิธีการใดและมีกำหนดเวลาในการดำเนินงานอย่างไร
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2541 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Pilot Project) โดยในระยะแรกได้รับความช่วยเหลือจาก Global Environmental Facility (GEF) จำนวน 600,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อคัดเลือกบริษัทจัดการพลังงาน 4 ราย ให้เป็นผู้ทำรายงานการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น (Preliminary Energy Audit) และรายงานการตรวจสอบวิเคราะห์ความเหมาะสมในการลงทุน (Investment Grade Audit) ให้แก่โรงงานที่มีความพร้อมดำเนินการ 4 โรงงานฯ โดย กฟผ. จะจัดหาเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยจากแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาดำเนินการลงทุนอนุรักษ์พลังงานให้แก่บริษัทและโรงงานฯ ที่เข้าร่วมโครงการฯ
กฟผ. คัดเลือกบริษัทจัดฯ และโรงงานฯ ทั้ง 4 ราย โดยเลือกบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และมีผลงานด้านการจัดการพลังงานเป็นที่ยอมรับ และคัดเลือกโรงงานฯ ที่มีความพร้อมทางด้านการเงินและต้องการจะปรับปรุงการใช้พลังงานในโรงงานของตนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพียงรายเดียวที่พร้อมจะลงทุน คือ บริษัทจัดการพลังงาน เอ็กซ์เซลเล้นท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (EEI) และมีโรงงานที่พร้อมจะลงทุนเพียงรายเดียว คือ บจม. กรุงเทพโปรดิวซ์ เมอร์เชนไดซิ่ง จำกัด มหาชน (BKP) ส่วนรายอื่นๆ ยังไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ เพราะไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ได้
กฟผ. ได้เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการนำร่องบริษัทจัดการด้านพลังงานในโรงงานควบคุม ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาในข้อรายละเอียดในความเป็นไปได้ของการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และ พพ. ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการฯ ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบครั้งหนึ่งแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย และการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว จึงเห็นชอบในรายละเอียดและเงื่อนไขในโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน ที่ กฟผ. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แต่เนื่องจาก พพ. มิได้ตั้งงบประมาณสำหรับโครงการนี้ไว้ ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ปีงบประมาณ 2544 หมวดกิจกรรมการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 70,467,533 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม โดยจะเป็นเงินสนับสนุนภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 61,850,533 บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับตัวแทนดำเนินการ 8,617,000 บาท
ในการพิจารณาดังกล่าว ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมโดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า ในการลงทุนดังกล่าวกองทุนฯ ควรได้รับผลตอบแทนคืนบ้างบางส่วนเพื่อจะได้นำไปสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการรายอื่นต่อไป และเห็นว่า กฟผ. ควรเป็นผู้รับประกันความสำเร็จของโครงการนี้ หากผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กฟผ. ก็ควรคืนเงินค่าจ้างเป็นตัวแทนดำเนินการ จำนวน 8.617 ล้านบาท คืนให้กองทุนฯ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นดังกล่าวแล้ว เห็นว่าโครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องที่ต้องการศึกษาและเรียนรู้ผลที่ได้รับจากการดำเนินโครงการบริษัทจัดการพลังงานในระยะต่อไป และ กฟผ. ก็เป็นตัวแทนดำเนินงานแทน พพ. จึงไม่สมควรให้ กฟผ. เป็นผู้รับประกันความสำเร็จของโครงการและชดใช้ค่าใช้จ่ายค่าจ้างเป็นตัวแทนดำเนินการคืนให้กองทุนฯหากผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม โดยมีบริษัทเอ็กซ์เซลเลนท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทจัดการพลังงาน และ บริษัทกรุงเทพโปรดิวซ์ เมอร์เชนไดซิ่ง จำกัด มหาชน เป็นโรงงานที่ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยมี กฟผ. เป็นตัวแทนดำเนินการ แทน พพ.
2. อนุมัติให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ปีงบประมาณ 2544 หมวดกิจกรรมการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 70,467,533 บาท (เจ็ดสิบล้านสี่แสนหกหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม ดังต่อไปนี้
(1) เป็นเงินสนับสนุนภาระดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งหมด สำหรับ 5 มาตรการ ในวงเงินไม่เกิน 61,850,533 บาท (หกสิบเอ็ดล้านแปดแสนห้าหมื่นห้าร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขว่า กองทุนฯ จะหยุดให้การสนับสนุนเมื่อตรวจสอบว่า ผลการประหยัดที่เกิดขึ้นจริงทุกๆ 6 เดือน ของช่วงระยะเวลาผ่อนชำระหนี้เงินกู้ (72 เดือน) ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของผลประหยัดที่ประมาณการไว้
(2) เป็นเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารจัดการให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแผนงาน ตลอดจนติดตามและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ในวงเงิน 8,617,000 บาท (แปดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน)
3. เห็นชอบให้ พพ. ไม่ต้องนำเงื่อนไขการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ที่ใช้เกณฑ์ EIRR และ FIRR ตามแผนงานภาคบังคับ มาใช้ในการพิจารณาเพื่ออนุมัติเงินสนับสนุนในโครงการนี้ เนื่องจากเป็นโครงการนำร่องที่ภาครัฐต้องการศึกษาถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการฯ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมบริษัทจัดการพลังงานในประเทศไทยต่อไป
เรื่องที่ 9 ปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นค่าใช้จ่ายโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ในวงเงิน 90,000,000 บาท
สวทช. ได้ดำเนินงานตามแผนงานฯ โดยได้ออกแบบและจัดซื้อเครื่องครุภัณฑ์หลักของโครงการฯ แล้วบางส่วน เช่น เครื่อง PECVD/Sputtering เพื่อพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่อง I-V Tester สำหรับวัดคุณสมบัติของฟิล์มและเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่อง Laminator สำหรับเคลือบเซลล์ฯ เป็นต้น และได้ติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือ เสร็จเรียบร้อยเมื่อเดือนธันวาคม 2543 ที่โรงงานต้นแบบของอุทยานวิทยาศาสตร์ รังสิต จ.ปทุมธานี โดยเจ้าหน้าที่ของ สวทช. ได้รับการฝึกอบรมการประกอบ ติดตั้ง และใช้งานเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ แล้ว โดยในการจัดซื้อเครื่อง PECVD/PVD นั้น สวทช. ได้ประมาณอัตราแลกเปลี่ยนในการจัดซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศไว้ที่อัตรา 45 บาท ต่อ 1 US$ ซึ่งเมื่อ สวทช. ได้จัดซื้อและนำเครื่องจักรเข้ามาจริง อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในช่วง 36-38 บาทต่อ 1 US$ ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่ สวทช. ได้ประมาณการไว้ จึงทำให้สถานะการเงินของโครงการฯ มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 9,999,518.31 บาท
ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ มีผลให้การจัดสรรงบประมาณจากรัฐไม่เป็นไปตามที่ได้คาดหมายไว้ ส่งผลกระทบถึงงบประมาณการจัดซื้อครุภัณฑ์/อุปกรณ์ของโครงการฯ ที่ สวทช. วางแผนฯ ไว้ว่าจะนำเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาสมทบค่าใช้จ่ายนั้น ไม่เป็นไปตามแผนฯ สวทช. จึงยังขาดงบประมาณอยู่รวม 10,723,185 บาท ด้วยเหตุดังกล่าว สวทช. จึงมีความจำเป็นต้องขอเปลี่ยนแปลงแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนฯ โดยจะขอนำเงินที่คงเหลืออยู่ 9,999,518.31 บาท เพื่อนำไปใช้ถัวจ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์สำคัญของโครงการฯ สำหรับงบประมาณส่วนที่ขาดอยู่นั้น สวทช. จะได้พยายามสรรหามาสมทบต่อไป ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ได้เห็นชอบในเรื่องดังกล่าวแล้วและให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สวทช. ปรับแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น โดยนำเงินที่คงเหลืออยู่จากการจัดซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศของโครงการฯ จำนวน 9,999,518.31 บาท (เก้าล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันห้าร้อยสิบแปดบาทสามสิบเอ็ดสตางค์) ไปใช้ถัวจ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์สำคัญของโครงการฯ ได้ ตามที่ สวทช. ขอมา
เรื่องที่ 10 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 3/2541 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2541 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว
พพ. ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ วว 0406/6216 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 แจ้งต่อ สพช. ว่า เนื่องจาก นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ 2535 พพ. จึงขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม | ประธานอนุกรรมการ |
2. | ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม | รองประธานอนุกรรมการ |
3. | รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (ที่มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ.) |
อนุกรรมการ |
4. | เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | อนุกรรมการ |
5. | ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
6. | ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
7. | ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด | อนุกรรมการ |
8. | ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
9. | ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม | อนุกรรมการ |
10. | นายพรายพล คุ้มทรัพย์ | อนุกรรมการ |
11. | นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ | อนุกรรมการ |
12. | นายอัครวิทย์ ขันแก้ว | อนุกรรมการ |
13. | นายสวาท เย็นสมุทร | อนุกรรมการ |
14. | อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
15. | ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบในการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ตามที่ พพ. เสนอมาและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 16 และ ข้อ 19 ได้กำหนดให้เจ้าของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ต้องทำหนังสือยืนยันกับกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ส่วนเจ้าของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมที่เป็นเอกชน จะต้องทำสัญญาขอรับการสนับสนุนกับ พพ.
ในปีงบประมาณ 2543 คณะอนุกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นชอบเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่โรงงานควบคุมและอาคารควบคุม จำนวนทั้งสิ้น 673 ราย แต่มีผู้ที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว แต่ไม่สามารถแจ้งตอบยืนยันการขอรับการสนับสนุนต่อ พพ. ได้ทันภายในปีงบประมาณ 2543 จำนวน 56 ราย เป็นเงิน 9,378,153 บาท จึงทำให้ พพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้แก่ผู้ที่ได้รับการสนับสนุน 56 ราย นั้นได้ พพ. จึงได้เสนอเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาแนวทางในการแก้ปัญหา
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2543 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม 56 ราย ที่ไม่สามารถแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุนต่อ พพ. ได้ทันในปีงบประมาณ 2543 และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้นำแนวทางเดิมที่ พพ. ได้เคยใช้ในการแก้ไขปัญหาลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นในช่วงปีงบประมาณ 2540-2541 นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ด้วย โดยให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ คือ พพ. จะขอจ่ายเงินสนับสนุนการตรวจเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น สำหรับอาคารควบคุมที่ยังค้างจ่าย โดยเบิกจ่ายเงินจากวงเงินของปีงบประมาณปัจจุบัน และใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมที่ทำไว้ในปีงบประมาณที่ผ่านมาเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย และ พพ. จะนำเงิน ซึ่งเบิกจากกรมบัญชีกลางในปีงบประมาณที่ผ่านมาแล้วส่งคืนกองทุนฯ ต่อไป และหากมีการตรวจสอบแล้วพบในภายหลังว่ามีเจ้าของอาคารควบคุมบางรายทำหนังสือยืนยันขอรับการสนับสนุนการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นกับ พพ. ไม่ทันในปีที่ได้รับอนุมัติ พพ. จะขอนำมาเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในปีงบประมาณปัจจุบัน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2544 ให้ พพ. ในวงเงิน 9,378,153 บาท (เก้าล้านสามแสนเจ็ดหมื่นแปดพันหนึ่งร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) เพื่อนำไปจ่ายสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แล้ว ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 แต่ทำหนังสือแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนฯ กับ พพ. ไม่ทันภายในปีงบประมาณ 2543 จำนวน 56 ราย โดยให้ใช้เอกสารการขอรับการสนับสนุนที่เจ้าของโรงงานและอาคารได้ทำกับ พพ. ไว้แล้วเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
2. ให้ พพ. นำเงินที่ได้เบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2543 เพื่อนำมารอจ่ายให้กับเจ้าของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ส่งคืนกองทุนฯ
3. หากในภายหลัง พพ. ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนฯ ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 แต่ไม่สามารถทำหนังสือแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนฯ กับ พพ. ได้ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ก็ให้ พพ. เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2544 ให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม โดยใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
4. โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ หลังวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 จะต้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19 ได้กำหนดไว้ดังนี้ "ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา โครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ และโครงการบริหารงานตามกฎหมาย ให้ติดต่อกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อทำสัญญาภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ หากผู้ยื่นคำขอไม่มาติดต่อเพื่อทำสัญญาภายในกำหนดเวลา ดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล"
การอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ในการสนับสนุนโครงการต่างๆ คณะอนุกรรมการฯ และ คณะกรรมการกองทุนฯ จะมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการในประเด็นที่สำคัญหลายประการ ซึ่งปกติแล้วก่อนที่จะลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาให้การสนับสนุน สพช. จะเป็นผู้ประสานงานกับเจ้าของโครงการในการปรับปรุงข้อเสนอให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก แต่ในบางกรณีโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้วไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน แม้ว่าจะมีการมอบอำนาจให้ สพช. ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
สพช. ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีบางโครงการที่ใช้เวลามากกว่า 1 ปี ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาล่าช้าได้ ซึ่งกรมบัญชีกลาง (บก.) ได้ให้ความเห็นว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้ เนื่องจากผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2544 ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ผู้แทนจาก บก. จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขข้อความในระเบียบฯ หมวด 5 การทำสัญญา ให้มีความคล่องตัว และในการมีมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ต้องมีความชัดเจนทุกครั้งด้วยว่าเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดให้เจ้าของโครงการฯ รับไปแก้ไขนั้นต้องหรือไม่จำเป็นต้องนำกลับมาให้ที่ประชุมพิจารณาอีก
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แก้ไขข้อความที่ปรากฏในระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา ดังต่อไปนี้
"ข้อ 19 ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ สำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ ให้ติดต่อกับกรม เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ หากผู้ยื่นคำขอไม่มาติดต่อเพื่อทำสัญญาภายในกำหนดเวลา ดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
การลงนามในสัญญาให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานหรือผู้ที่อธิบดีฯ มอบหมาย"
"ข้อ 20 ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนสำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือหรือแผนงานสนับสนุน ให้ติดต่อกับสำนักงาน ภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุน เพื่อดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการกองทุนก่อนทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา แล้วให้ สพช. ทำหนังสือแจ้งให้ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนทราบ เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบ หากผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
การลงนามในสัญญาให้เป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ"
2. การอนุมัติให้เงินสนับสนุนโครงการ หากมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นให้เรียบร้อยก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ควรมีมติให้ชัดเจน ดังต่อไปนี้
(1) โครงการที่มีการปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญเล็กน้อย คณะกรรมการฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ จะมอบให้ ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดำเนินการ
(2) โครงการที่มีปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ เมื่อเจ้าของโครงการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะกรรมการฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง