โครงการผลิตพลังงานทดแทนของโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา
ความเป็นมาของโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา
ตลอดระยะเวลากว่าห้าสิบสามปีนับตั้งแต่เถลิงถวัลยสิริราชสมบัติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 นั้น พระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในด้านต่างๆ ได้เป็นที่ประจักษ์แกพสกนิกรชาวไทยมาตลอด โดยเฉพาะพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พระองค์ได้ทรงศึกษาค้นคว้าความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางอำนวยประโยชน์ให้ประชาราษฎร์ได้อยู่ดีกินดีในโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริโครงการต่างๆ โดยโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ก็เป็นหนึ่งใน 3,000 กว่าโครงการที่ได้ริเริ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน
โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ
- เป็นโครงการทดลอง โดยเก็บข้อมูลไว้เพื่อศึกษาและเพื่อผู้ที่สนใจขอข้อมูลมาเพื่อศึกษา ถ้าต้องการจะทำตามหรือคิดว่าโครงการนี้ดีเป็นตัวอย่าง ก็ขอข้อมูลไปเพื่อพิจารณา และเริ่มกิจกรรมของหน่วยงานนั้น
- เป็นโครงการตัวอย่าง
- เป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร หมายถึง โครงการใดก็ตามที่จัดทำขึ้นนั้น ถ้าหากว่าขาดทุนก็ยังทำต่อไป แต่จะพิจารณาหาโครงการอื่นซึ่งสามารถที่จะทำกำไร นำมาสนับสนุนโครงการที่ขาดทุน เพราะฉะนั้นต้องไม่ท้อถอยต่อการที่จะทำแล้วขาดทุนต่อไป
โครงการส่วนพระองค์ฯ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
- แบบไม่ใช่ธุรกิจ โครงการแบบไม่ใช่ธุรกิจ หมายถึง โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากราชการหลายๆ หน่วยงาน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีรายรับและรายจ่ายประจำ เช่น การเลี้ยงและขยายพันธุ์ปลาหมอเทศ ทำป่าไม้สาธิต หาข้าวทดลอง เลี้ยงโคนม การเลี้ยงขยายพันธุ์ปลานิล ปลูกข้าวไร่ จัดทำก๊าซชีวภาพ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสวนพืชสมุนไพร อาคารวิจัยและพัฒนา
- แบบกึ่งธุรกิจ ไม่ใช่ธุรกิจเต็มตัว เป็นโครงการที่มีรายรับและรายจ่าย ที่เรียกว่ากึ่งธุรกิจก็เพราะว่าไม่มีการแจกผลกำไร ไม่แบ่ง เพราะนำผลกำไรมาขยายงาน โครงการแบบกึ่งธุรกิจ ได้แก่ โรงโคนม ศูนย์รวมนม โรงสีข้าวทดลอง โรงบดและอัดแกลบ ห้องปฎิบัติการทดลองเพื่อตรวจสอบคุณภาพของผลผลิต โรงผลิตน้ำผลไม้ โรงนมผงสวนดุสิต โรงนมเม็ด โรงเนยแข็ง โรงอบผลไม้ โรงบดและอัดแกลบ โรงกลั่นแอลกฮอล์เพื่อการค้นคว้าน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น นำแอลกอฮอล์มาผสมกับน้ำมันเบนซินเป็นแก๊สโซฮอล์ โรงหล่อเทียนหลวง โรงผลิตกระดาษสา โรงเห็ดและโรงอาหารปลา เป็นต้น และมีโครงการวิจัยและพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของผลผลิต ค้นคว้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ของโครงการฯ ตลอดจนส่งเสริมเพิ่มความรู้ความสามารถให้กับเจ้าหน้าที่เป็นขวัญและกำลังใจเพื่อการวิจัยและพัฒนาของโครงการฯ
โครงการผลิตพลังงานทดแทนของโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา
โครงการผลิตพลังงานทดแทนซึ่งดำเนินการโดยโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ได้แก่ โครงการผลิตเชื้อเพลิงอัดแท่ง (แกลบอัดแท่ง) โครงการผลิตแก๊สโซฮอล์ และโครงการบ้านพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นโครงการที่พระบาทสำเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชดำริให้ริเริ่มขึ้นเพื่อการค้นคว้าพลังงานทดแทนอื่น แทนพลังงานจากน้ำมันและเชื้อเพลิงอื่น และใช่ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ให้ได้ผลคุ้มค่ามากที่สุด
โครงการผลิตเชื้อเพลิงอัดแท่ง (แกลบอัดแท่ง)
ปกติหลังการสีข้าว จะได้แกลบซึ่งอาจนำไปใช้เป็นอาหารสัตว์ ทำเป็นปุ๋ย และเชื้อเพลิงได้ตามความต้องการ โดยเฉพาะการใช้งานแกลบเป็นเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้นและสะดวกต่อการใช้งานนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ว่า ควรมีการนำแกลบมาใช้งานให้เป็นประโยชน์ทั้งทางด้านการทำเป็นปุ๋ยสำหรับปรับปรุงสภาพดินและทำเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะช่วยอนุรักษ์ป่าไม้ได้อีกทางหนึ่งด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2523 จึงได้มีการทดลองนำแกลบมาอัดให้เป็นแท่งและแปรสภาพให้เป็นเชื้อเพลิงแท่ง เริ่มจากการนำแกลบที่ได้จากโรงสีข้าวตัวอย่างในสวนจิตรดามาทดลองใช้งาน โดยได้รับความร่วมมือในการวิจัยและค้นคว้าจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
แกลบที่ได้จากโรงสีข้าวตัวอย่างในสวนจิตรลดาจะถูกเลือกใช้เฉพาะส่วนที่มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 10 ขั้นตอนการผลิตเริ่มจากการขับแกลบให้ไหลผ่านสกรู แล้วจะมีเครื่องทำหน้าที่บดแกลบให้ละเอียดและทำให้แน่นผ่านกระบอก โดยกระบอกจะถูกเผาด้วยเศษแกลบอัดแท่งซึ่งมีความร้อนประมาณ 250-270 องศาเซลเซียสและเนื่องจากวัสดุแกลบประกอบด้วยสารเซลลูโลส ลิกนิน และคาร์โบไฮเดรต ดังนั้นเมื่อสารเซลลูโลสถูกความร้อนจากกระบอก สารเซลลูโลสจะหลอมละลายและเคลือบด้านนอกของแท่งแกลบให้แข็ง ทำให้แกลบเกาะกันเป็นแท่ง
ระหว่างการทำวิจัยและทดลองในเบื้องต้นพบว่ามีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้น เช่น สกรูด้านหน้าของ เครื่องอัดแท่งสึกหรอเร็ว สารที่ทำให้สกรูสึกหรอเร็ว ได้แก่ สารซิลิกา เมื่อเดินเครื่องได้ประมาณ 21 ชั่วโมงจะต้องทำการถอดสกรูมาเชื่อมและพอกใหม่ ในปัจจุบันกำลังมีการศึกษาและวิจัยหาวิธีการที่จะทำให้สกรูใช้งานได้นานกว่าที่ใช้อยู่เดิม ขณะเดียวกันแกลบอัดแท่ง เมื่อนำมาทำให้เป็นเชื้อเพลิงจะมีควันมาก จึงต้องกำจัดควันโดยการนำแกลบอัดแท่งเข้าเตาเผาให้เป็นถ่าน แกลบอัดแท่งจะอยู่ในเตาเผาประมาณ 4 วันเมื่อได้ถ่านแล้วจึงนำถ่านออกจากเตา
เมื่อต้องการนำถ่านแกลบไปใช้งาน จะต้องนำถ่านแกลบมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อสะดวกในการบรรจุใส่ถุงเพื่อจำหน่าย ถ่านแกลบ 1 ถุง มีน้ำหนัก 2 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 5 บาท หรือ 1 ถุง ราคา 10 บาท โดยความร้อนที่ได้จากการใช้ถ่านแกลบมีดังนี้
- แกลบอัดแท่ง ให้ความร้อนประมาณ 3,886 กิโลแคลอรี่ ต่อ 1 กิโลกรัม
- ถ่านแกลบ ให้ความร้อนประมาณ 4,730 กิโลแคลอรี่ ต่อ 1 กิโลกรัม
- ถ่านไม้โดยทั่วไป ให้ความร้อนประมาณ 7,450 กิโลแคลอรี่ ต่อ 1 กิโลกรัม
ประโยชน์ที่ได้จากการนำแกลบมาแปรสภาพเป็นถ่านแกลบจึงมีอยู่หลายด้าน ทั้งในแง่ของการ นำแกลบซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้มาผลิตเป็นเชื้อเพลิงแท่งใช้แทนถ่านไม้ได้คุ้มค่า ช่วยอนุรักษ์ป่าไม้ และไม่ทำลายสภาพสิ่งแวดล้อม
โครงการทดลองผลิตแก๊สโซฮอล์
งานทดลองผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2528 ครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินตรวจเยี่ยมโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา และมีพระราชกระแสรับสั่งให้ศึกษาต้นทุนการผลิตแอลกอฮอล์จากอ้อย เพราะในอนาคตอาจเกินเหตุการณ์น้ำมันขาดแคลนหรืออ้อยราคาต่ำ การนำอ้อยมาแปรรูปเป็นแอลกอฮอล์เพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทน จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเงินทุนวิจัยในการดำเนินงาน 925,500 บาท เพื่อใช้ในการจัดสร้างอาคาร และอุปกรณ์ต่างๆ ในการทดลองนี้
วันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารโครงการค้นคว้าน้ำมันเชื้อเพลิงและเริ่มผลิตแอลกอฮอล์จากอ้อย โดยสามารถผลิตเอทิลแอลกอฮอล์ความบริสุทธิ์ 91% ได้ในอัตรา 2.8 ลิตรต่อชั่วโมง ต้นทุนการผลิต 56.2 บาทต่อลิตร ขณะที่เอทิลแอลกอฮอล์ความบริสุทธิ์ 95% ซึ่งผลิตจากกากน้ำตาลของกรมสรรพสามิตจำหน่ายในราคาประมาณ 24 บาทต่อลิตร
ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 ฝ่ายเทคนิคบริษัทสุราทิพย์ได้ช่วยปรับปรุงหอกลั่นแอลกอฮอล์ ให้สามารถกลั่นได้ความบริสุทธิ์ 95% ในอัตรา 5 ลิตรต่อชั่วโมง ใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบในการหมัก ซึ่งบริษัทสุราทิพย์น้อมเกล้าฯ ถวายเพื่อใช้ในการนี้เดือนละประมาณ 2 ตัน มีต้นทุนในการผลิตเอทิลแอลกอฮอล์ความบริสุทธิ์ 94% จากกากน้ำตาลประมาณ 35 บาทต่อลิตร
เดือนตุลาคม พ.ศ. 2537 โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ร่วมกับบริษัทสุราทิพย์ขยายกำลังการผลิตแอลกอฮอล์เพื่อให้มีพอใช้ผสมกับเบนซินธรรมดาในอัตรา 1 : 4 เป็นแก๊สโซฮอล์ สำหรับรถยนต์ทุกคันของโครงการฯ ที่ใช้เบนซิน โครงการทดลองนี้จัดเป็นโครงการหนึ่งในหกโครงการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในมหามงคลวโรกาสเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ 50 ปี ของสำนักพระราชวัง
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2538 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดโรงงานผลิตแอลกอฮอล์เป็นเชื้อเพลิงที่บริษัทสุราทิพย์น้อมเกล้าฯ ถวายและดำเนินการ กลั่นตลอดมาจนถึงปัจจุบัน กำลังการผลิตหอกลั่นขนาด 25 ลิตรต่อชั่วโมง คิดเป็นต้นทุนการผลิตแบบธุรกิจทั่วไป 32 บาทต่อลิตร ถ้าคิดต้นทุนการผลิตแบบยกเว้นต้นทุนคงที่ราคา 12 บาทต่อลิตร (ทำการผลิต 4 ครั้งต่อเดือน) ได้แอลกอฮอล์ประมาณ 900 ลิตรต่อการกลั่น 1 ครั้ง ใช้กากน้ำตาลความหวาน 49% (โดยน้ำหนัก) ครั้งละ 3,6400 กิโลกรัม น้ำกากส่า (น้ำเสียจากหอกลั่น) จะใช้รดกองปุ๋ยหมักที่โรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2539 การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยและสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ร่วมกับโครงการส่วนพระองค์ฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงคุณภาพของแอลกอฮอล์ที่ใช้เติมรถยนต์ โดยให้โครงการฯ ส่งแอลกอฮอล์ 95% ไปกลั่นซ้ำเป็นแอลกอฮอล์ 99% ที่ สถาบันวิจัยฯ แล้วนำกลับมาผสมกับเบนซินธรรมดาเป็นแก๊สโซฮอล์เติมให้กับรถยนต์ของโครงการฯ ที่ใช้เบนซินเป็นเชื้อเพลิง โดยสามารถเติมแก๊สโซฮอล์ได้จากสถานีบริการของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา
ปัจจุบันโครงการแก๊สโซฮอล์ใช้แอลกอฮอล์ 99% ผสมกับเบนซินธรรมดาในอัตราส่วน 1 : 9 และเติม corrosion inhibitor (เป็นสารเคมีประเภทอะมีนและกรดอินทรีย์) 15 มิลลิกรัม ต่อแก๊สโซฮอล์ 1 ลิตร
ส่วนโครงการดีโซฮอล์ได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2541 โดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ร่วมกับโครงการส่วนพระองค์ ทดลองผสมแอลกอฮอล์ 95% กับน้ำมันดีเซลและสารอีมัลซิไฟเออล์ (สารอิมัลซิไฟเออร์ประกอบด้วย PEOPS และ SB 407) ในอัตราส่วน 13 : 86 : 1 ซึ่งจะนำไปใช้กับรถเครื่องยนต์ดีเซล เช่น รถปิคอัพ รถแทรกเตอร์ ของโครงการฯ จากผลการทดลองพบว่าสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ดีพอสมควรและสามารถลดควันดำได้ประมาณ 50%
โครงการเครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์
เมื่อปี พ.ศ. 2538 ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับสถาบันวิศวกรรมเกษตรสำหรับเมืองร้อนและกึ่งร้อน มหาวิทยาลัยโฮเฮนไฮม์ ภาคเอกชนสถาบันไอเซลเลนและบริษัทเกวุสมิลเลอร์ ประเทศเยอรมันนี ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเครื่องอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบอุโมงค์ลมร้อน (tunnel solar dryer) โดยมีแผงรับความร้อนจากแสงอาทิตย์และมีพัดลมเป็นตัวเป่าลมร้อนที่เกิดขึ้นสามารถนำไปใช้อบผลิตผลทางการเกษตรต่างๆ เช่น เมล็ดธัญพืช เมล็ดถั่ว ผัก ผลไม้ พืชสมุนไพร ตลอดจนผลิตภัณฑ์เนื้อและผลิตภัณฑ์ประมง เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานไฟฟ้าในการอบแห้งผลิตภัณฑ์อบแห้งของโครงการส่วนพระองค์ฯ ได้แก่ การทำกล้วยตาก และผลไม้อบแห้งอื่นๆ
ในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา มีกังหันลมสูบน้ำจำนวน 2 เครื่อง ติดตั้งที่บริเวณด้านหน้าโครงการส่วนพระองค์ฯ และบริเวณโรงเพาะเห็ด ขนาดความสูง 18 เมตร ขนาดความกว้างของใบพัด 20 ฟุต จำนวนใบพัด 45 ใบ ปริมาณน้ำที่สูบได้ 2,000-24,000 ลิตรต่อชั่วโมง (ที่ความเร็วลม 4-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ท่อดูดและส่งน้ำมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้ว ปัจจุบันกังหันลมทั้ง 2 เครื่องใช้สูบน้ำจากคลองรอบพระตำหนักเข้ามาที่บ่อเลี้ยงปลานิลที่ด้านหน้าโครงการฯ และนำน้ำจากคลองมาใช้ในการอุปโภคที่บริเวณโรงเพาะเห็ด
กังหันลมสูบน้ำในโครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา
โครงการบ้านพลังงานแสงอาทิตย์
โครงการบ้านพลังงานแสงอาทิตย์เป็นโครงการที่กระทรวงกลาโหม กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพัฒนาพลังงานทหารได้จัดทำขึ้น เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ พระราชวังสวนจิตรลดา เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์เป็นปีที่ 50 โดยใช้ชื่อโครงการว่า "โครงการพัฒนาระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์เฉลิมพระเกียรติ" สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จแทนพระองค์เป็นประธานในพิธีเปิดการใช้งานบ้านพลังงานแสงอาทิตย์เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2539
วัตถุประสงค์ของโครงการบ้านพลังงานแสงอาทิตย์ คือ
- เพื่อปูพื้นฐานการอนุรักษ์พลังงานและใช้พลังงานทดแทน โดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย
- เพื่อสาธิตการผลิตกระแสไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ สาธิตการประจุกระแสไฟฟ้าตรงลงในแบตเตอรี่และสาธิตเทคโนโลยีการป้อนกระแสไฟฟ้าเข้าสู้ระบบจำหน่ายของการไฟฟ้านครหลวง
- นำความร้อนจากแสงอาทิตย์มาใช้ประโยชน์ในการผลิตน้ำร้อน (solar thermal heater)
ในช่วงเริ่มแรกในปี พ.ศ. 2539 ระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่บ้านพลังงานแสงอาทิตย์นี้ ประกอบด้วยเซลล์แสงอาทิตย์จำนวน 40 แผง กำลังไฟฟ้าที่ผลิตได้ 2.2 กิโลวัตต์ติดตั้งอยู่บนหลังคาบ้าน แบตเตอรี่ขนาด 2 โวลต์ จำนวน 24 ลูก รวมจุกระแสไฟฟ้า 650 แอมแปร์ชั่วโมง เครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าตรงเป็นกระแสสลับ 1 ชุด อุปกรณ์ควบคุม 1 ชุด มิเตอร์ไฟฟ้า 1 ชุด
ไฟฟ้าที่ได้จากเซลล์แสงอาทิตย์ในบ้านพลังงานแสงอาทิตย์นี้ สามารถใช้เพื่อประจุแบตเตอรี่ ใช้กับวิทยุ โทรทัศน์ ระบบแสงสว่าง เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ ได้
ต่อมาในปี พ.ศ. 2542 เมื่อ "คณะกรรมการโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542 โดยการนำพลังงานทดแทนมาใช้เพื่ออนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ" ได้เข้าไปสำรวจบ้านพลังงานแสงอาทิตย์ พบว่าแบตเตอรี่ที่ใช้งานอยู่นั้น ได้เสื่อมประสิทธิภาพลง ดังนั้นคณะกรรมการโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ จึงได้เข้าทำการปรับปรุงแก้ไขระบบเซลล์แสงอาทิตย์ให้สามารถใช้งานได้ดีขึ้นและเชื่อมต่อกับระบบสายส่งของการไฟฟ้านครหลวง หน่วยงานที่เข้าดำเนินการได้แก่
- บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด ได้บริจาคแผงเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 55 วัตต์ จำนวน 2 แผง เพิ่มเติม จึงทำให้ระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่บ้านพลังงานแสงอาทิตย์มีกำลังผลิตเอาต์พุตรวมเป็น 2.31 กิโลวัตต์
- บริษัท ลีโอนิคส์ จำกัด ได้บริจาคเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าเพิ่มจำนวน 1 ชุด ขนาด 3 กิโลวัตต์แอมแปร์ (kVA)
- การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยกองพัฒนาพลังงานทดแทน สำนักงานวิจัยและพัฒนา บริจาคตู้ควบคุมการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ 1 ตู้ ตู้บอร์ดแสดงภาวะการทำงาน 1 ตู้ ตู้บอร์ดสาธิตแสดงระบบการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารชนิดเชื่อมต่อสายส่งของการไฟฟ้านครหลวงจำนวน 1 ตู้
หน่วยงานที่รับหน้าที่เป็นผู้เข้าปรับปรุงระบบดังกล่าว ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยโดยได้ดำเนินดังต่อไปนี้
- ยกเลิกการใช้แบตเตอรี่ซึ่งเสื่อมประสิทธิภาพแล้ว
- นำแผงเซลล์แสงอาทิตย์จำนวน 14 แผงต่อเป็นแถวแบบอนุกรม ทำให้ได้แรงดันไฟฟ้า 230 โวลต์ และนำแถวของเซลล์แสงอาทิตย์ดังกล่าวมาต่อแบบขนานกันอีกจำนวน 3 แถว จึงสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เป็น 9.45 แอมแปร์
- ติดตั้งเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้า ตู้สวิตช์ควบคุมการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ และตู้บอร์ดมิเตอร์ แสดงสภาวะการทำงานของระบบ ประกอบด้วยมิเตอร์วัดแรงดันและกระแสไฟฟ้าตรงของเซลล์แสงอาทิตย์ มิเตอร์วัดแรงดันและกระแสไฟฟ้าสลับ และมิเตอร์วัดพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้จากระบบ
- ต่อเชื่อมระบบดังกล่าวเข้ากับระบบสายส่งของการไฟฟ้านครหลวง
ในเวลากลางวันที่มีแสงอาทิตย์เซลล์แสงอาทิตย์จะทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้ากระแสตรง จากการออกแบบระบบจะให้ไฟฟ้ากระแสตรง จากการออกแบบระบบจะให้ไฟฟ้ากระแสตรงขนาดแรงดัน 230 โวลต์ และกระแสไฟฟ้า 9.45 แอมแปร์ กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จะไหลผ่านเครื่องแปลงกระแสไฟฟ้าและถูกเปลี่ยนเป็นไฟฟ้ากระแสสลับที่มีแรงดัน 220 โวลต์ และมีคุณสมบัติเหมือนกับกระแสไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม
ดังนั้นกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากระบบนี้จึงสามารถใช้ได้กับเครื่องใช้ไฟฟ้ากระแสสลับที่มีอยู่ทุกชนิด โดยในกรณีที่กระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากเซลล์แสงอาทิตย์มีมากกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าในขณะนั้น กระแสไฟฟ้าส่วนเกินจะถูกขายคืนเข้าในระบบสายส่งของการไฟฟ้าฯ ในทางกลับกันหากความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าในขณะนั้นมีมากกว่ากระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ กระแสไฟฟ้าส่วนที่ขาดก็จะถูกซื้อเสริมเข้ามาจากระบบสายส่งของการไฟฟ้าฯ ตามปกติ ซึ่งการทำงานของระบบได้รับการออกแบบให้เป็นการทำงานแบบอัตโนมัติ ดังนั้นจึงไม่ต้องมีการปิด-เปิดระบบแต่อย่างใดในแต่ละวัน
ผลจาการติดตั้งระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่บ้านพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ซื้อจากระบบสายส่งของการไฟฟ้าฯ ลดลงเท่ากับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้จากระบบเซลล์แสงอาทิตย์ซึ่งเท่ากับว่าจะสามารถช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือถ่านหิน ในการผลิตกระแสไฟฟ้าลง อันจะส่งผลให้มลพิษที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงดังกล่าวลดลงได้อีกทางหนึ่ง
ที่มา : พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย