มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2559 (ครั้งที่ 16)
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
1. รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
3. ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
4. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 กบง. มีมติเห็นชอบ Roadmap การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ให้ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่หากต้นทุนราคาก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคา ขายปลีกก๊าซ NGV ลง และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไป ให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปรับให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ในวันที่ 16 ของทุกเดือน รวมทั้งให้คงราคา ขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับ กลุ่มรถโดยสารสาธารณะจากเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 และ 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 และ 40,000 บาทต่อเดือน จนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ (2) เห็นชอบการปรับ ค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
2. ปัจจุบัน ต้นทุนก๊าซ NGV คำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.92 และ13.66 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบันคิดในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร และคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ก๊าซ NGV โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมาก สนพ. จึงได้มีการประชุมหารือร่วมกับ ปตท. เรื่องแผนการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก สรุปได้ดังนี้ (1) ต้นทุนก๊าซ NGV ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV (ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร) ในปัจจุบันบวกค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร (สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม) และ (2) ควรให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายในสถานีบริการ NGV ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมากกว่า 250 กิโลเมตรไว้ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2559 และตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 ให้มีการทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับในสถานีที่อยู่ในช่วงระยะทางดังกล่าว ทั้งนี้ โดยให้สะท้อนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่สูงสุดที่ 4 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนพฤศจิกายน 2559
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 กบง. ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ประกอบด้วย (1) เน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลักแล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด (2) มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ ในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คัดเลือกพื้นที่ในการดำเนินโครงการนำร่อง (3) ให้ พพ. สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการ หากบรรลุเป้าหมายที่กำหนดก็ให้พิจารณาแนวทางขยายผลการปฏิบัติไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และ (4) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ให้ กบง. ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการนำร่อง สรุปได้ดังนี้ (1) ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ (2) นำระเบียบเดิมของ กฟภ. และ กฟน. มาปรับใช้รองรับโครงการนำร่องฯ (3) ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ 1) การปรับปรุงกฎระเบียบ 2) การประกาศเปิดรับสมัคร 3) การพิจารณาตอบรับ เข้าร่วมโครงการ 4) การติดตั้งระบบ และ 5) ตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ (4) ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง (5) ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ (6) กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ. (7) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยสิ้นปี 2559 จะมีการติดตามและประเมินผลกระทบ เรื่องความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
3. วันที่ 5 มกราคม 2559 กบง. ได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานโครงการนำร่อง ที่ พพ. นำเสนอและ มอบหมายให้พิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้ (1) การซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต ควรมีการพิจารณาราคาให้เหมาะสม (2) ควรมีการศึกษาระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ (3) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายควรมีการศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค จากการเกิดกระแสไฟฟ้าไหลย้อนจากการดำเนินการโครงการนำร่องและ (4) เพื่อให้การดำเนินการเกิดความชัดเจนมากขึ้น ควรมีการจัดตั้งคณะทำงานเข้ามากำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งต่อมา พพ. ได้จัดตั้งคณะทำงานกำหนดแนวทางและประสานงาน กำกับติดตามโครงการ นำร่องฯ และได้มีการจัดประชุมแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 และมีผลสรุปแนวทางการดำเนินงานดังนี้ (1) คณะทำงานฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการโครงการนำร่องฯ เฉพาะเช่นเดียวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากโซล่ารูฟในระบบ FiT ในปี 2556 และเพิ่มเติมในปี 2558 และเมื่อคณะทำงานฯ เห็นชอบแล้ว ให้นำส่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาออกระเบียบว่าด้วยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอย่างเสรี (สำหรับโครงการ นำร่องฯ) และออกประกาศต่อไป (2) คณะทำงานฯ พิจารณาเห็นชอบให้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการศึกษาจัดทำ Solar PV Roadmap ของประเทศไทย ศึกษาวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ของระบบพลังงานแสงอาทิตย์และผลกระทบด้านเทคนิคของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ต่อระบบไฟฟ้า รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ (3) พื้นที่โครงการนำร่องของ กฟน. เป็นพื้นที่ทั้งหมดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนพื้นที่โครงการนำร่องของ กฟภ. ได้เสนอนำร่องใน 2 พื้นที่ คือ พัทยา และเกาะสมุย ต่อมา กฟภ. ได้เสนอคณะทำงานฯ ขอปรับเป็นพื้นที่ทั่วประเทศในเขตบริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (4) คณะทำงานฯ พิจารณาว่า ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ คงต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนานกว่าที่ พพ. เคยนำเสนอ กบง. ไว้เดิม เนื่องจากต้องมีการเพิ่มขั้นตอนการออกระเบียบและประกาศเข้าร่วมโครงการฯ โดยจากเดิมคาดว่าจะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2559 และเริ่มติดตั้งในเดือนเมษายน 2559 นั้น จึงได้ปรับปรุงกำหนดการใหม่ โดยจะทำการประชาสัมพันธ์และเริ่มรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ในเดือนกรกฎาคม 2559 และเริ่มดำเนินการติดตั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2559 – มกราคม 2560 พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลโครงการตั้งแต่เดือนมกราคม 2560
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สนพ. ขอถอนวาระออกก่อน โดยจะนำเสนอในการประชุม กบง. ครั้งต่อไป
เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถูกจัดตั้งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้รักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เกิดจากความผันผวนดังกล่าวให้น้อยที่สุด แต่เนื่องจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน ยังมีปัญหาและยังมีความไม่ชัดเจนในการดำเนินงานบางประการที่ต้องแก้ไข เช่น การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามความเห็นของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันจนทำให้เกิดการบิดเบือน ราคาไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เป็นต้น ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องยกร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... (พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ) ขึ้นมาใหม่ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของกองทุนน้ำมันฯ วัตถุประสงค์ การบริหารงาน และแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อให้ พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีการศึกษาแนวทางในการปฏิรูปบทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์ของกองทุนน้ำมันฯ และการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการเตรียมการเสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านพลังงาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการประชุมเพื่อร่วมพิจารณายกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... แล้ว จำนวน 4 ครั้ง ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... มี 7 หมวด และบทเฉพาะกาล จำนวน 42 มาตรา โดยหมวด 1 การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ หมวด 2 การบริหารกิจการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 3 สำนักงานกองทุนน้ำมันฯ กำหนดฐานะ อำนาจหน้าที่ของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 4 การดำเนินการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 5 พนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดอำนาจหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หมวด 6 การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผล และหมวด 7 บทกำหนดโทษ และบทเฉพาะกาล (2) ให้ กบง. ยังคงมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกองทุนน้ำมันฯ เหมือนเดิม (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ สบพน. และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (อบน.) มารวมไว้ใน พ.ร.บ. นี้ (4) มาตรา 3 เป็นการกำหนดบทนิยามเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสะดวกในการใช้งาน (5) มาตรา 4 เป็นการกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ (6) มาตรา 5 เป็นบทการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ และกำหนดวัตถุประสงค์ (7) มาตรา 6 และ มาตรา 7 เป็นการกำหนดเงินและทรัพย์สิน (8) มาตรา 8 เป็นการกำหนดการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (9) มาตรา 9 ถึง มาตรา 13 เป็นการกำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การประชุมและการได้รับเบี้ยประชุม (10) มาตรา 14 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (11) มาตรา 15 และมาตรา 16 เป็นการจัดตั้งสำนักงาน กองทุนน้ำมันฯ ขึ้นเป็นนิติบุคคล (12) มาตรา 17 ถึงมาตรา 22 เป็นการกำหนดผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารสำนักงาน (13) มาตรา 23 กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ มีสถานะเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารการจัดการกองทุนน้ำมันฯ (14) มาตรา 24 ในกรณีเกิดวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง ให้คณะกรรมการประกาศและดำเนินการตามแผนรองรับกรณีวิกฤติตามแนวทางและนโยบายที่ กพช. ให้ความเห็นชอบ (15) มาตรา 25 ถึงมาตรา 30 เป็นการกำหนดแนวทางปฎิบัติ ให้ชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเงินเข้า และการจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ (16) มาตรา 31 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ ของพนักงานเจ้าหน้าที่ (17) มาตรา 32 เป็นการกำหนดการดำเนินการด้านการบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลของกองทุนน้ำมันฯ (18) มาตรา 33 ถึง มาตรา 36 เป็นการกำหนดบทลงโทษ เพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. และ (19) มาตรา 37 ถึง มาตรา 42 เป็นการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุง และแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป