มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 11/2551 (ครั้งที่ 36)
วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) เป็นประธานในที่ประชุม
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานพิจารณาปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เหมาะสมเพื่อเตรียมรองรับการสิ้นสุดการดำเนินงานตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือนของรัฐบาล และกระทรวงพาณิชย์ได้ขอความร่วมมือจากกระทรวงพลังงานให้ช่วยดูแลเรื่องพืชพลังงานซึ่งมีผลผลิตล้นตลาด ทำให้ราคาตกต่ำ เกษตรกรได้รับ ความเดือดร้อน โดยเฉพาะปาล์มน้ำมันและมันสำปะหลัง ประกอบกับเกิดความผันผวนของราคาน้ำมัน ในตลาดโลก ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาน้ำมันในประเทศอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสม และค่าการตลาดของน้ำมันในปัจจุบันอยู่ระดับสูง ซึ่งไม่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล จึงได้ขอนัดประชุม กบง. ในครั้งนี้ เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาดังกล่าว นอกจากนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งขอถอนวาระที่ 4.1 เรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ออก เพื่อให้คณะกรรมการมีเวลาพิจารณาวาระที่ 3.1 อย่างละเอียด
เรื่องที่ 1 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน โดยลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 31 มกราคม 2552 ต่อมาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้แถลงนโยบายพลังงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1.1 นโยบายการกำกับดูแลพลังงานให้มีความเหมาะสม มีเสถียรภาพสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนโดยเฉพาะในประเด็นการกำกับนโยบายราคาและโครงสร้างราคาน้ำมัน ให้เป็นไปตามกลไกตลาดโลก สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและดูแลความเป็นธรรมให้แก่ประชาชน โดยเฉพาะค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันที่สูงมากจนผิดปกติในปัจจุบัน
1.2 นโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทนโดยเฉพาะเอทานอลและไบโอดีเซลเพื่อเป็นพลังงานที่คนไทยพึ่งพาตัวเองได้ ยกระดับราคาสินค้าเกษตร ช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและเป็นทางเลือกพลังงานที่สำคัญในภาวะน้ำมันแพง
2. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ครม. ได้มีมติมอบให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาเพิ่มอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อเสริมสร้างให้กองทุนน้ำมันฯ มีเสถียรภาพพอที่จะรองรับกับกำหนดการสิ้นสุดนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งจะมีการกลับมาใช้อัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันตามเดิม ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 โดยกองทุนน้ำมันฯ จะบริหารจัดการเพื่อทำให้ราคาขายปลีกน้ำมัน ในประเทศไม่ปรับตัวสูงขึ้นทันที
3. กระทรวงพลังงานได้พิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 22 ตุลาคม 51 ซึ่งได้พบปัญหาในการดำเนินการเพื่อสนองนโยบายตามข้อ 1 ดังนี้ คือ 1) ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในปัจจุบันสูงมากกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม และ 2) โครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการส่งเสริมพลังงานทดแทน ทั้ง เอทานอลและไบโอดีเซล ทั้งนี้ หลักการการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนควรเป็น ดังนี้
3.1 การจูงใจผู้จำหน่ายเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนมีหลักการ ดังนี้ 1) ค่าการตลาดของน้ำมัน ที่เป็นพลังงานทดแทนต้องสูงกว่าน้ำมันปกติ และ 2) น้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนมาก ต้องมี ค่าการตลาดสูงกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนน้อย
3.2 การจูงใจผู้ใช้เพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนมีหลักการ ดังนี้ 1) ราคาขายปลีกของน้ำมันที่เป็นพลังงานทดแทนต้องต่ำกว่าน้ำมันปกติ และ 2) น้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนมาก ต้องมีราคา ขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของพลังงานทดแทนน้อย แต่เมื่อพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันกลับไม่เป็นไปตามหลักการข้างต้น
4. เพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณปาล์มน้ำมันที่มีมากกว่าความต้องการ จำเป็นต้องส่งเสริมให้มีผู้ใช้ ไบโอดีเซลมากขึ้น โดยการเพิ่มส่วนต่างราคาราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 กับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ให้มากขึ้นกว่าปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 0.70 บาทต่อลิตร
5. เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันที่ยังไม่เอื้อต่อการส่งเสริมพลังงานทดแทน ปัญหาปริมาณปาล์มน้ำมันที่มีมากกว่าความต้องการ จึงเห็นควรให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการบริหารและจัดการอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามสถานการณ์ เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม กรณีค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมการค้าภายในติดตามและดูแลค่าการตลาดให้มีความเหมาะสมต่อไป
6. เมื่อใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการบริหารและจัดการอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน ฯ เพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันปัจจุบันยังไม่เอื้อต่อการส่งเสริมพลังงานทดแทน และแก้ไขปัญหาปริมาณปาล์มน้ำมันที่มีจำนวนมากกว่าความต้องการ ซึ่งช่วยส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีเสถียรภาพพอที่จะใช้ในการบริหารระดับราคาไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นโดยฉับพลันหลังสิ้นสุดนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือนฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอมีข้อเสนอดังนี้
6.1 ขอความเห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในอัตรา 1.00, 0.90 และ 0.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ลงอีก 0.15 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ จากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้น 24.32 ล้านบาทต่อวัน จากระดับปัจจุบัน 80.60 ล้านบาทต่อวัน เป็น 104.92 ล้านบาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 729.58 ล้านบาทต่อเดือน จากระดับปัจจุบัน 2,417.90 ล้านบาท ต่อเดือน เป็น 3,147.48 ล้านบาทต่อเดือน
6.2 ขอความเห็นชอบในหลักการการใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ตามหลักการการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทนตามข้อ 3 โดยมอบหมายให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินนำส่งกองทุนน้ำมันฯ ครั้งละไม่เกิน 0.50 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ มอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมัน แก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในอัตรา 1.00, 0.90 และ 0.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ลงอีก 0.15 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป