มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2551 (ครั้งที่ 33)
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากกรณีที่พนักงานการรถไฟหยุดงาน
2. การยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดราชการ จึงได้มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากกรณีที่พนักงานการรถไฟหยุดงาน
สรุปสาระสำคัญ
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2551 พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยได้หยุดงานและรถไฟได้หยุดการเดินรถทั่วประเทศ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาค
1.1 เนื่องจากการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังคลังภูมิภาค และสถานีบริการต่างๆ ในเขตภาคใต้ ส่วนใหญ่เป็นการขนส่งทางเรือ สำหรับภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางจะเป็นการขนส่งทางท่อไปยังคลังลำลูกกาและคลังสระบุรีของบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย และคลังบางปะอินของบริษัทขนส่งน้ำมัน ทางท่อ โดยที่การขนส่งทางรถไฟจะส่งไปยังคลังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีปริมาณประมาณร้อยละ 15 ของความต้องการใช้ในภาคหรือประมาณ 2 ล้านลิตรต่อวัน โดยปริมาณน้ำมันสำรอง ณ คลังน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการมีเพียงพอใช้ได้ประมาณ 3 - 5 วัน สำหรับการแก้ไขปัญหาการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถใช้การขนส่งทางรถยนต์แทนการขนส่งทางรถไฟได้ ซึ่งคิดเป็นจำนวนรถยนต์ที่ต้องใช้ประมาณ 55 คัน (รถยนต์ขนส่งน้ำมันความจุคันละ 36,000 ลิตร) ดังนั้น การหยุดเดินรถของการรถไฟฯ จะไม่ก่อให้เกิดการขาดแคลนน้ำมัน
1.2 การขนส่งก๊าซ LPG ไปยังคลังภาคกลางซึ่งเป็นการขนส่งทางรถยนต์ ส่วนภาคใต้จะเป็นการขนส่งทางเรือ และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดเดินรถไฟคือภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งปัจจุบันมี ปตท. เพียงรายเดียวที่ดำเนินการขนส่งทางรถไฟไปยังพื้นที่ดังกล่าว แต่เนื่องจากนโยบายของรัฐ ที่ต้องการให้มีราคาขายส่งราคาเดียวกัน จึงกำหนดให้ ปตท. เป็นผู้ได้รับชดเชยการนำเข้าและขนส่งแต่เพียง ผู้เดียว ทำให้ผู้ค้าก๊าซ LPG รายอื่นต้องพึ่งพา ปตท. ในการจัดหาก๊าซ LPG และต้องรับก๊าซ LPG จากคลังภูมิภาคของ ปตท. สำหรับการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นได้ขอความร่วมมือให้ผู้ค้าก๊าซ LPG ที่มีรถบรรทุกช่วยขนส่งก๊าซ LPG ไปยังภูมิภาคแทนรถไฟ โดยจะสามารถเพิ่มศักยภาพการขนส่งได้ 755 ตันต่อวัน แต่ยังมีข้อจำกัดของขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซ LPG ทางรถยนต์จากคลังต้นทาง คือ คลังบ้านโรงโป๊ะของ ปตท. ที่มี bay รับรถบรรทุกเพียง 5 bay ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทดแทนการขนส่งทางรถไฟ ทำให้การจัดส่งก๊าซ LPG ไปยังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้อีกประมาณ 900 ตันต่อวัน แต่ ปตท. จะนำก๊าซ LPG จากแหล่งลานกระบือเข้ามาเสริมอีก 200 ตันต่อวัน จึงทำให้การขาดแคลนลดลงเหลือ 700 ตันต่อวัน
2. การดำเนินการในช่วงแรกสามารถนำก๊าซ LPG สำรอง ณ คลังนครสวรรค์และคลังลำปาง ออกมาจ่ายชดเชยในส่วนที่ขาด ซึ่งจะเพียงพอใช้ได้เพียง 3 วัน แต่หากการหยุดเดินรถของการรถไฟฯ ยืดเยื้อ ซึ่งอาจทำให้ภาคเหนือจะเริ่มเกิดการขาดแคลนได้ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2551 สำหรับคลังขอนแก่นได้เริ่มเกิดปัญหาการขาดแคลนตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2551 เป็นต้นมา เนื่องจากกำลังซ่อมแซมถังก๊าซ LPG จำนวน 1 ถัง ทำให้ปริมาณสำรองอยู่ในระดับต่ำ 800 ตัน ขณะที่มีความต้องการจ่ายจากคลังแห่งนี้วันละ 1,000 ตัน ซึ่งได้แก้ปัญหาโดยประสานผู้ค้ารายอื่นให้ขนก๊าซ LPG ขึ้นไปด้วยตนเองบางส่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น
3. เพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดในการจ่ายก๊าซที่คลังบ้านโรงโป๊ะ จังหวัดชลบุรี โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายก๊าซทางรถยนต์ ซึ่งใช้คลังก๊าซของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เอกชนที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่ง เช่น คลังบางปะกง คลังบางจะเกร็ง และคลังในกรุงเทพฯ เพื่อขนส่งก๊าซ LPG ทางเรือไปที่คลังเอกชนและจ่ายก๊าซทางรถยนต์ไปยังภูมิภาค ซึ่งสามารถทำให้เกิดความเพียงพอที่จะทดแทนการขนส่งทางรถไฟได้ทั้งหมด แต่ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นคือการขนส่งก๊าซ LPG จากคลังต้นทางที่เป็นของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เอกชนรายอื่น จะไม่ได้รับชดเชยค่าขนส่งเช่นเดียวกับการขนส่งจากคลังต้นทางของ ปตท. ที่บ้านโรงโป๊ะไปยังคลังก๊าซ ปตท. ในภูมิภาค
4. ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่ใช้อยู่ปัจจุบันได้กำหนดให้จ่ายชดเชยได้เฉพาะกรณีการขนส่งที่คลังต้นทางของ ปตท. ในจังหวัดชลบุรีไปยังคลังปลายทางของ ปตท. เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถจ่ายชดเชยค่าขนส่งจากคลังชายฝั่งของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 รายอื่นที่รับก๊าซ LPG ทางเรือจากคลังเขาบ่อยาเพื่อขนส่งทางรถยนต์ต่อไปยังคลังภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ คลังบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา คลังบางจะเกร็ง จังหวัดสมุทรสงคราม และคลังในกรุงเทพฯ ได้ จึงจำเป็นต้องขอความเห็นชอบจาก กบง. ดังนี้
1) เห็นชอบให้มีการจ่ายชดเชยค่าขนส่งให้กับ ปตท. จากคลังต้นทางใน จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดสมุทรสงครามและกรุงเทพฯ
2) เห็นชอบร่างประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศต่อไป
3) มอบหมายให้เจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับรองการจ่ายก๊าซ LPG จากคลังต้นทางและกำหนดให้รถขนส่งก๊าซ LPG ต้องไปแสดงตัว ณ คลังปลายทางของ ปตท. ที่จังหวัดขอนแก่น นครสวรรค์ และลำปาง (เช่นเดียวกับกรณีโอนคลัง)
4) เห็นชอบให้ประธาน กบง. เป็นผู้ประกาศกำหนดเวลาสิ้นสุดมาตรการ
5) มอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์การจ่ายชดเชยค่าขนส่ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการจ่ายชดเชยค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ให้กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จากคลังจังหวัดฉะเชิงเทรา คลังจังหวัดสมุทรสงครามและคลังในกรุงเทพมหานครโดยรถยนต์ เนื่องจากพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดงานประท้วงรัฐบาล ทำให้รถไฟทั่วประเทศไม่สามารถให้บริการได้และส่งผลกระทบต่อการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ไปยังคลังภูมิภาค
2. เห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ (เพิ่มเติม) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้ประกาศกำหนดเวลาสิ้นสุดมาตรการเมื่อสถานการณ์การรถไฟแห่งประเทศไทยหยุดเดินรถไฟคลี่คลายลงและบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถดำเนินการขนส่งทางรถไฟได้
เรื่องที่ 2 การยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 กบง. ได้มีมติจัดสรรน้ำมันดีเซลราคาถูกที่ได้รับการช่วยเหลือจาก โรงกลั่นน้ำมัน จำนวน 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) โดยมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร ให้กระทรวงคมนาคม จำนวน 1 ล้านลิตรต่อวัน เพื่อช่วยเหลือรถหมวด 1 (รถโดยสารในเมือง เช่น ขสมก. และรถร่วมบริการ) และหมวด 4 (รถโดยสารในเขตจังหวัด(ชานเมือง)) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน จำหน่ายผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริหารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยให้การช่วยเหลือจนกว่าได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีขอปรับขึ้นค่าโดยสารหรือจำนวนน้ำมันที่ได้รับการจัดสรรหมดลง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน
2. ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณากรณีนายบุญชัย รุ่งเรืองไพศาลสุข ยื่นฟ้องคดีคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบก เป็นจำเลยที่ 1 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นจำเลยที่ 2 และขออำนาจศาลปกครองชั้นต้นเพื่อคุ้มครองชั่วคราว ระงับการขึ้นค่าโดยสารของ ขสมก. ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2551 ตามคดีดำหมายเลข 811/2551 เป็นต้นมา ต่อมาศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งที่ 505/2551 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2551 กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ยกคำขอทุเลาการบังคับเฉพาะที่เกี่ยวกับการกำหนด (ปรับปรุง) อัตราค่าโดยสารประจำทางหมวด 1 ในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงที่มีเส้นทางต่อเนื่อง และหมวด 4 กรุงเทพมหานคร ทำให้ ขสมก. สามารถปรับขึ้นค่าโดยสารได้
3. ต่อมา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือแจ้งว่าหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งข้างต้น ปตท. ได้ดำเนินการยกเลิกการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กับ ขสมก./รถร่วมบริการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2551 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ