มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2548 (ครั้งที่ 8)
วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2548 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. ขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) ทำหน้าที่ประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการฯ ติดประชุมที่รัฐสภา จึงมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานในการประชุมครั้งนี้ แทน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.54 และ 5.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุด เนื่องจากนักลงทุนกลับเข้าซื้อภายหลังมีข่าวกลุ่มมุสลิมขู่โจมตี สถานทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไนจีเรีย และจากข่าวสหภาพแรงงานของบริษัท Statoil ขู่หยุดงานประท้วง ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังการผลิตของ Statoil ประมาณ 920,000 บาร์เรล/วัน ประกอบกับตลาดกังวลว่าอุปทาน น้ำมันเบนซินในสหรัฐอเมริกา อาจตึงตัวหลังจากมีข่าวโรงกลั่น ExxonMobil ต้องหยุดดำเนินการหน่วย Fluid Catalytic Cracker (208,000 บาร์เรล/วัน) เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 28 มิถุนายน อยู่ที่ระดับ 54.02 และ 58.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.95 และ 4.87 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันเบนซินในตลาด NYMEX หลังจากมีข่าวโรงกลั่น ExxonMobil ในสหรัฐอเมริกา ต้องหยุดดำเนินการ ส่งผลให้ตลาดคาดว่า Arbitrage จากเอเซียไปขายในตะวันตกสามารถทำได้ ประกอบกับความต้องการซื้อน้ำมันเบนซินในภูมิภาคมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่โรงกลั่นในไต้หวันและเกาหลีอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุงประจำปี ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.59 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากที่คาดว่า อุปทานจากตะวันออกกลางจะลดลงเนื่องจากเข้าสู่ช่วง Peak Demand ในหน้าร้อนประกอบกับความต้องการซื้อในภูมิภาคเอเซีย เช่น จีน อินเดีย และเวียดนามยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2548 อยู่ที่ระดับ 63.10, 61.30 และ 69.14 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 5 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร ในเดือนมิถุนายน และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 6 ครั้ง รวมเป็น 2.40 บาท/ลิตร โดยที่ ปตท. ปรับราคาดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 5 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร รวมเป็น 2.00 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2548 อยู่ที่ระดับ 24.54, 23.74 และ 20.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของ ปตท. อยู่ที่ระดับ 20.59 บาท/ลิตร ทั้งนี้นับแต่เริ่มดำเนินการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม - 24 มิถุนายน 2548 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายเงินอุดหนุนตรึงราคาน้ำมันไปแล้วรวมประมาณ 90,657 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในการปรับข้อมูลด้านพลังงานให้ถูกต้องและเป็นชุดเดียวกันก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและสาธารณชนต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. จากวิธีปฏิบัติเดิม ตามความในข้อ 8 ข้อ 9 ข้อ 11 และข้อ 11 แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ให้ผู้ผลิตและนำเข้ามันเชื้อเพลิงส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและขอรับเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยแยกวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และขอรับเงินชดเชยออกจากกัน ให้เป็นไปตามระเบียบของกรมสรรพสามิตและ กรมศุลกากร คือ 1) กรมสรรพสามิต ผู้ผลิตส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับการชำระภาษีสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใน 10 วัน นับจากวันที่นำน้ำมันออกจากโรงกลั่น และ 2) กรมศุลกากร ผู้นำเข้าส่งเงินเข้ากองทุนฯ พร้อมกับการชำระค่าภาษีอากรสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ก่อนวันนำเข้า โดยที่กองทุนฯ จะจ่ายเงินชดเชยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นงวดๆ ในแต่ละเดือน เช่น ผู้ผลิตและผู้นำเข้าเชื้อเพลิงขอรับเงินชดเชยงวดวันที่ 10 - 31 มีนาคม และจะได้รับการจ่ายเงินชดเชยคืนภายในวันที่ 7 พฤษภาคม 2547 ซึ่งทำให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าต้องรับภาระเงินชดเชย
2. ในปัจจุบันวิธีปฏิบัติจะทำตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2547 เรื่อง การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการชดเชยลดราคาน้ำมันผ่านกระบวนการเรียกเก็บเงินกองทุนฯ โดยให้รับการชดเชยด้วยวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ กับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน ทั้งนี้ การขอรับเงิน ชดเชยและการส่งเงินเข้ากองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรที่ได้ปฏิบัติในปัจจุบัน โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547 เป็นต้นไป
3. ในการประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เรื่อง การชี้แจงนโยบายการยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล และแนวทางการดำเนินการหลังการยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันดีเซล ผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) เสนอให้เปลี่ยนวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยจากวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ กับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน เป็นการแยกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยออกจากกัน เพื่อให้มีเงินสดไหลเข้ามาในบัญชีกองทุนฯ ตามรายรับจากเงินส่งเข้ากองทุนที่เกิดขึ้นจริง และ สบพ. สามารถบันทึกบัญชีกองทุนได้ถูกต้องครบถ้วน ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่า สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนด
4. ปัจจุบันรัฐบาลได้ยกเลิกการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว ทำให้ไม่มีการจ่ายเงินชดเชยที่ผันแปรกับราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ยังคงมีอัตราชดเชยคงที่สำหรับน้ำมันดีเซล ซึ่งจะลดลงจนเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2548 และต้องกลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยแบบเดิม จึงขอเสนอให้ยกเลิกระบบการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และการขอรับเงินชดเชยตามข้อ 2 และกลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตามข้อ 1 ให้เหมือนกับวิธีปฏิบัติเดิมซึ่งเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการทั่วไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกระบบการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการขอรับเงินชดเชย โดยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการชดเชยลดราคาน้ำมันผ่านกระบวนการเรียกเก็บเงินกองทุนฯ โดยให้รับการชดเชยด้วยวิธีการหักลบกันระหว่างอัตราเงินส่งเข้ากองทุนกับอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดและจำนวนเดียวกัน และให้กลับไปใช้ระบบการส่งเงินเข้ากองทุนและการขอรับเงินชดเชยตามความในข้อ 8, 9, 10 และ 11 แห่งคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมัน เชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2547 โดยให้ผู้ผลิตและนำเข้ามันเชื้อเพลิงส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและขอรับเงินชดเชยสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง แยกวิธีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ และขอรับเงินชดเชยออกจากกัน ทั้งนี้การขอรับเงินชดเชยและการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ให้เป็นไปตามระเบียบกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2548 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 3 ขอเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเติม
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 ในการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติ เห็นชอบให้ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ให้เป็นไปตามร่างระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.... ตามที่ สบพ. เสนอ ทั้งนี้ ต้องระบุวัตถุประสงค์การแก้ไขระเบียบ ดังกล่าวให้ชัดเจน"
2. โดยการขอแก้ไขร่างระเบียบกระทรวงพลังงานฯ ดังกล่าว สบพ. ได้ขอเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ตามประเภทที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงพลังงานเพิ่มขึ้น 2 บัญชี จึงทำให้บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มเป็น 3 บัญชี ได้แก่ 1) บัญชีเงินฝากชื่อ "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" เพื่อรับโอนเงินจากส่วนราชการที่รับเงินจากผู้ที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามกฎหมาย 2) บัญชี เงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับเก็บรักษาเงินที่ได้รับจากการขายตราสารหนี้ เพื่อนำไปจ่ายชำระหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินชดเชย หรือผู้มีสิทธิได้รับคืน จากกองทุนฯ และค่าใช้จ่ายในการออกตราสารหนี้ ตลอดจนจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยตราสารหนี้ และ 3) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับรับโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" และ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้จ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดจ่ายและไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามข้อกำหนดสิทธิ
3. ตามที่ สบพ. ขอเปิดบัญชีเงินฝากที่ 3 เพื่อให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่ากระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ จะมีการบริหารจัดการเป็นไปอย่างชัดเจน โดยให้มีการจัดสรรรายรับของกองทุนน้ำมันฯ ส่วนหนึ่งสะสมไว้สำหรับจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดแยกออกจากค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันฯ
4. จากการดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อจะออกเสนอขายตราสารหนี้พบว่า นักลงทุนยังคงมีความกังวลประเด็นที่ว่า สบพ. อาจไม่สามารถสะสมเงินไว้ในบัญชีได้ครบถ้วน เมื่อครบกำหนดเวลาจ่ายดอกเบี้ยในแต่ละงวดและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ของ สบพ. อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่อาจจะทำให้อันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของ สบพ. ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ และทำให้ตราสารหนี้ของ สบพ. ไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนมากเท่าที่ควร ซึ่งทำให้ต้นทุนด้านดอกเบี้ยตราสารหนี้ของ สบพ. จะสูงกว่าที่ควรจะเป็น
5. เพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่า สบพ. จะมีเงินครบถ้วนเพื่อจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดเวลา สบพ. จึงเห็นควรให้มีการสะสมเงินจำนวนหนึ่ง (ประมาณร้อยละ 5 ของจำนวนเงินต้นรวมของพันธบัตรที่ออกไปแล้วในแต่ละช่วง) เพื่อสำรองไว้สำหรับจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ ในกรณีที่ครบกำหนดเวลาจ่ายดอกเบี้ยและ/หรือไถ่ถอนตราสารหนี้ แต่เงินในบัญชีเงินไถ่ถอนตราสารหนี้มีไม่เพียงพอ โดยขอแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงาน ว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 เพื่ออนุญาตให้ สบพ. เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เพิ่มเติม 1 บัญชี จากที่ขอเพิ่มเติมที่ได้รับความเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 เป็นบัญชีที่ 4 คือ (4) บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" สำหรับโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กระทรวงพลังงาน)" และ "เงินตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อเก็บรักษาเงินดังกล่าว ไว้จ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดจ่าย และไถ่ถอนตราสารหนี้เมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามข้อกำหนดสิทธิในกรณีที่ครบกำหนดจ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้และ/หรือครบกำหนดเวลาไถ่ถอนตราสารหนี้ตามข้อกำหนดสิทธิแล้ว แต่เงินในบัญชีที่ 3 มีไม่เพียงพอ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ สบพ. ดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 โดยให้ สบพ. เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพิ่มขึ้น 1 บัญชี นอกเหนือจากที่ กบง.ได้อนุมัติให้แก้ไขร่างระเบียบกระทรวงพลังงานดังกล่าวแล้ว เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 เพื่อให้การบริหารตราสารหนี้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ
2. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนตราสารหนี้ของ สบพ. ที่รัฐบาลไม่ได้ค้ำประกัน และให้เป็นไปตามหลักปฏิบัติทั่วไป จึงเห็นชอบให้ผู้จัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทำสัญญาข้อตกลงกับผู้แทนผู้ถือ ตราสารหนี้ในการคุ้มครองสิทธิผู้ถือตราสารหนี้เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ผิดสัญญา เช่น สามารถระงับการจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ชื่อ "เงินสะสมสำรองเพื่อไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" และบัญชีเงินฝากชื่อ "เงินไถ่ถอนตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" เพื่อประโยชน์ของผู้ถือตราสารหนี้ เป็นต้น