มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 14)
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2549 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เดือนพฤษภาคม 2549)
2. ผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีงบประมาณ 2547 และ 2548
4. การเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี 5
5. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ในการใช้ก๊าซเอ็นจีวีในรถยนต์
6. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
7. โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer)
8. โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เดือนพฤษภาคม 2549)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ เดือนพฤษภาคม 2549 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 70.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากผู้นำอิหร่านยังคงยืนยันสิทธิที่จะทดลองพลังงานนิวเคลียร์ต่อไปและโอเปคไม่ลดเพดานการผลิตในการประชุมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549 ที่ประเทศเวเนซูเอล่า
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ เดือนพฤษภาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.80, 86.17 และ 84.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น จากเดือนที่แล้ว 5.32, 5.70 และ 0.94 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งปิดซ่อมบำรุง และตลาดในภูมิภาคยังคงมีความต้องการซื้อเข้ามาจากผู้ซื้อหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจาก บริษัท Pertamina ในไนจีเรียต้องการนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนมิถุนายนเพิ่มอีก 600,000 บาร์เรล เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าที่เกิดปัญหาในระบบท่อส่งก๊าซ ขณะที่อุปทานในภูมิภาคลดลงจากโรงกลั่นหลายแห่งอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุง
3. ราคาขายปลีก เดือนพฤษภาคมผู้ค้าน้ำมันยกเว้น ปตท และเชลล์ ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.50, 0.55 และ 0.50 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร ส่วนเชลล์ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.50, 0.55 และ 0.50 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร และ ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.50 และ 0.55 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 29.89, 29.09 และ 27.24 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เดือนพฤษภาคม 2549 การจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันชนิดต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ฐานะกองทุน น้ำมันฯ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 10,008 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระจำนวน 68,089 ล้านบาท หนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้สถาบันการเงินอายุ 2.5 ปีจำนวน 26,605 ล้านบาท หนี้ เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,422 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 10,367 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างประจำเดือนจำนวน 159 ล้านบาท และหนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ฐานะกองทุน น้ำมันฯ สุทธิติดลบ 58,081 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมิถุนายนประมาณ 2,611 ล้านบาท โดยที่กองทุนฯ จะไม่ต้องชำระหนี้ธนาคารรวม 8,800 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายนจึงส่งผลให้กองทุนฯ จะมีรายรับมากกว่ารายจ่าย จำนวน 1,978 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีงบประมาณ 2547 และ 2548
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ได้กำหนดให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) จัดทำบัญชี และรายงานการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ทุกสิ้นระยะเวลาบัญชีและให้ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบ
2. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบงบการเงินสำหรับสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547 ของกองทุนน้ำมันฯ และได้แจ้งผลพร้อมมีข้อสังเกตของการตรวจสอบให้ สบพ. สรุปได้ดังนี้
2.1 ฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2548 และ 2547 มีรายได้ต่ำกว่า ค่าใช้จ่ายสะสม เป็นจำนวนเงิน -78,359.5 ล้านบาท และ - 28,259.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีรายได้จาก การดำเนินงานต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และหนี้สินรวมเป็นจำนวน 81,080.1 ล้านบาท และ 29,332.6 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ มีผลลัพธ์ของรายได้จากดำเนินการในปี 2548 สูงกว่าปี 2547 ขณะที่งบกระแสเงินสดของกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือเป็นจำนวนเงิน 1,254.0 ล้านบาท และ 805 ล้านบาท ตามลำดับ
2.2 ข้อสังเกตจากการตรวจสอบบัญชี พบว่า ระบบบันทึกบัญชีของกองทุนน้ำมันฯ ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่ยากต่อการปฏิบัติทางบัญชี และการรับรู้รายได้จากเงินส่งเข้ากองทุนฯ ซึ่งจะได้รับข้อมูลนำส่งเข้ากองทุนและเงินชดเชยราคาน้ำมันจากกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร กองทุนฯ ยังไม่มีข้อมูลที่สามารถสอบยืนยันจำนวนเงินที่หน่วยงานทั้งสองนำฝากเข้าบัญชีได้ ทำให้กองทุนฯ ต้องบันทึกบัญชีพักไว้เป็นบัญชีเงินรับรองการตรวจสอบซึ่งทำให้ไม่สามารถรับรู้จำนวนเงินนำส่งในเดือนกันยายนที่เป็นรายได้ของกองทุนฯ ให้ทันต่อการจัดทำงบการเงินประจำปี
2.3 ข้อเสนอแนะของ สตง. เห็นว่ากองทุนฯ ควรจัดหาโปรแกรมสำเร็จรูปเฉพาะงานมาใช้ โดยมีการออกแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานและง่ายต่อความเข้าใจรวมทั้งจัดให้มีระบบสำรองข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อข้อมูลสูญหาย ส่วนประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ฯ เห็นว่า กองทุนฯ ต้องรับ ข้อมูลโดยตรงจากผู้มีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ซึ่งทำให้สามารถรับรู้รายได้ในงบการเงินได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ โดยนำเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามาใช้ระบบการจัดเก็บรายได้ และจัดประชุม/สัมมนาชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ
2.4 ปัจจุบัน สบพ. ได้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาเชื่อมต่อกับระบบโปรแกรมพร้อมทั้งศึกษารูปแบบและวิธีการที่จะปฏิบัติได้โดยต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันแนวโน้มราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น กำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบ "แผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ" ซึ่งประกอบด้วย การจัดหาแหล่งพลังงาน การเร่งใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน เช่น ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล และถ่านหิน รวมทั้งการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2549 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบ "มาตรการแก้ไขปัญหาพลังงานระยะสั้น (มิถุนายน-สิงหาคม 2549) และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นแก่ประชาชน และกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ หรือ NGV เป็นมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐกำหนดให้เป็นมาตรการใช้พลังงานทดแทนน้ำมันอย่างยั่งยืน
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงเห็นควรเร่งให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง เกิดความมั่นใจ ยอมรับ และสนใจปรับเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทน จึงได้จัดทำโครงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคขนส่งขึ้น เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่กลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ รวมถึงนโยบายของรัฐ เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูล หรือทางเลือกสำหรับการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพื่อสร้างกระแสการรับรู้ เกิดทัศนคติที่ดีต่อการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ สนใจที่จะทดลองและเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทน พร้อมทั้งเพื่อสร้างความมั่นใจแก่กลุ่มเป้าหมายในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และความเพียงพอของสถานีบริการ ตลอดจนเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงาน และ ผลสำเร็จของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ จากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
3. สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ประกอบด้วย กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ เจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล เจ้าของธุรกิจรถบริการ/รถสาธารณะ และผู้ลงทุน/ผู้ประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ สถานีบริการก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ สื่อมวลชน ผู้นำความคิด อาทิ คอลัมน์นิสต์ นักวิชาการ เป็นต้น และหน่วยงาน ภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการขนส่งทางบก สมาคมผู้ประกอบการรถแท๊กซี่ เป็นต้น
4. แนวทางการดำเนินงาน โดยประชาสัมพันธ์ด้วยการจัดจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในการวางแผนการผลิต การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และซื้อสื่อเพื่อเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ โดยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ประกอบด้วยการผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นผ่านสื่อโทรทัศน์ และวิทยุ เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบคอลัมน์ประจำผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ การออกแบบ และผลิต Web page NGV และ/หรือพลังงานทดแทน การจัดกิจกรรมและดูงาน กับสื่อมวลชน และการจัดสัมภาษณ์ผู้บริหารทาง โทรทัศน์
5. โครงการจะใช้งบประมาณจำนวนเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ในการดำเนินงาน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 - มกราคม 2550 (8 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา)
6. ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ พลังงานทดแทนอื่นๆ รวมถึง นโยบายของรัฐ และการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อประหยัดพลังงาน และสามารถนำไปใช้เป็นทางเลือกสำหรับการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และทำให้เกิดกระแสการรับรู้ เกิดทัศนคติที่ดีต่อก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์และพลังงานทดแทน รวมทั้งเกิดความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย ความเพียงพอของสถานีบริการเชื้อเพลิง NGV
7. เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2548 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2549 - 2553 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารกองทุนของทุกหน่วยงานจำนวน 376.1534 ล้านบาท และงบประมาณสำรองปีละ 80 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ด้วยภารกิจเร่งด่วนที่ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงานจะต้องดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จึงจำเป็นต้องขอรับเงินสนับสนุนจากงบประมาณสำรองมาใช้เพื่อการดังกล่าว
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมในโครงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานในภาคขนส่งให้กับ สนพ. ในวงเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) (โดย รายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบวาระที่ 4.1)
เรื่องที่ 4 การเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี 5
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติให้กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลจากปาล์ม สำหรับราคาจำหน่ายปลีกให้ควบคุมราคาให้เหมาะสม ตามกลไกตลาดและให้แข่งขันได้กับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปกติ โดยอาจกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อชดเชยราคาจำหน่ายปลีกไบโอดีเซลได้ตามความจำเป็น
2. โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจัดจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 โดยที่ราคาขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 50 สตางค์/ลิตร ซึ่งปัจจุบัน ปตท.และบางจาก มีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 23 แห่ง และ 12 แห่ง ตามลำดับ
3. การผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล ปัจจุบันปริมาณ CPO (Crude Palm Oil) ที่ล้น Stock มีปริมาณ 1,200,000 ลิตร/วัน โดยมีโรงงานที่ผลิต B100 จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงงานสยามน้ำมันพืช ไทยไบโอดีเซลออยล์ ราชาไบโอดีเซล และไบโอเอนเนอยี่พลัส ซึ่งกำลังการผลิตรวมทั้ง 4 โรงงานเท่ากับ 274,000 ลิตร/วัน ดังนั้น CPO คงเหลือในตลาด 926,000 ลิตร/วัน ประกอบกับปริมาณการจำหน่าย B5 ของ ปตท. และ บางจาก เท่ากับ 100,000 ลิตร/วัน
4. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นในด้านราคาจำหน่ายของน้ำมันไบโอดีเซล จึงต้องมีการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือจ่ายชดเชยแตกต่างไปจากอัตราปกติ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ดังนี้
4.1 การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จะประกอบด้วย คุณลักษณะน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่แตกต่างจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ
4.2 ให้มีการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
4.3 ความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงอัตรา เนื่องจากการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ในข้อ 2 มีความไม่แน่นอนจึงไม่อาจกำหนดเป็นอัตราคงที่ได้ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ กบง. เห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ประธานคณะกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการกำหนดรายละเอียด ในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 รวมแล้วจะต้องไม่เกิน 2.50 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ประกอบด้วย คุณลักษณะน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างจากราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วปกติ และในส่วนการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้เรียกเก็บเท่ากับอัตราที่เก็บจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ
ทั้งนี้ให้เรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
2. มอบหมายให้ประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี 5 โดยที่จะไม่มีการนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหารือร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติ และราคาน้ำมันไบโอดีเซล (B 100) ให้เหมาะสมต่อไป
4. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสนับสนุนการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 จากปริมาณปาล์ม (CPO : Crude Palm Oil) ที่มีมากเกินความต้องการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เท่านั้น
สรุปสาระสำคัญ
1. จากปัจจุบันราคาน้ำมันทั้งในตลาดโลกและตลาดภายในประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐได้จัดหาพลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกและสามารถผลิตได้ในประเทศมาใช้แทนน้ำมันคือ ก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ซึ่งสามารถใช้ได้โดยตรงกับรถยนต์เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล และในการจะปรับเปลี่ยนการใช้ เชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นก๊าซ NGV ในรถยนต์ สิ่งจำเป็นต้องดำเนินการ คือ การดัดแปลงเครื่องยนต์ หรือใช้รถยนต์ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อใช้กับก๊าซ NGV รวมทั้ง ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สถานีบริการเติมก๊าซ NGV การจัดหาอุปกรณ์และเตรียมผู้ชำนาญการในการติดตั้งอุปกรณ์ ตรวจสอบความปลอดภัย เป็นต้น เพื่อให้การส่งเสริมการใช้ NGV ประสบความสำเร็จ กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ขึ้น โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 2.0 ล้านบาท (สองล้านบาทถ้วน)
2. สำนักความปลอดภัยธุรกิจธรรมชาติ กรมธุรกิจพลังงานได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ก๊าซ NGV อย่างปลอดภัย เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ NGV อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสถานีบริการก๊าซ NGV ให้แพร่หลาย และให้บริการอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งส่งเสริมการเป็นผู้ตรวจสอบความปลอดภัยในการดัดแปลงเครื่องยนต์ NGV
3. สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการเป็นการจัดสัมมนาและบรรยายในส่วนภูมิภาคของประเทศ จำนวนรวม 8 ครั้ง ครั้งละ 1 วัน พร้อมแจกสื่อและสิ่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้งการสาธิตรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ณ สถานที่ของภาคเอกชนในส่วนภูมิภาคจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ราชบุรี ชลบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งละ 100 คน ประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้ประกอบการกิจการภาคขนส่ง 2) กลุ่มผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดตั้ง ทดสอบ และ ตรวจสอบเครื่องยนต์ดัดแปลง 3) หน่วยงานภาครัฐ ในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และเทศบาล และ 4) ข้าราชการ/พนักงาน/ลูกจ้างและประชาชนทั่วไป ซึ่งระยะเวลาการดำเนินการ 6 เดือน (เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2549)
4. การประเมินผลโครงการฯ โดยวัดจากปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้น และ/หรือปริมาณการจำหน่ายก๊าซ NGV ในภาคขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิงในภาคขนส่งลดลง ช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ให้กับกรมธุรกิจพลังงานในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) ระยะดำเนินการ 6 เดือน (เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2549) (โดยมีรายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบการประชุมวาระที่ 4.3)
เรื่องที่ 6 การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงานซึ่งมีภารกิจหลักเกี่ยวกับการกำกับควบคุมกิจการพลังงานในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคง โดยการกำกับดูแลตามกฎหมายและพัฒนามาตรฐานการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และเพื่อการยกระดับมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันและปลูกจิตสำนึกของประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้น กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จึงจะจัดให้มีการรับรองมาตรฐาน "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ขึ้น เพื่อเป็นมาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการปรับปรุงมาตรฐานและระบบการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการให้บริการของตนเอง รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้รับบริการ และภาพพจน์ที่ดีของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
2. สำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง กรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ขึ้น เพื่อการดังกล่าวโดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ด้วย มีวัตถุประสงค์ของโครงการ คือ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อยกระดับมาตรฐานด้าน คุณภาพ ความปลอดภัย ความสะอาด สะดวก ของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงตระหนักและมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และรับผิดชอบต่อสังคม โดยที่กลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ สถานีบริการ น้ำมันเชื้อเพลิงประเภท ก และประเภท ข ทั่วประเทศ ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543
3. ลักษณะโครงการจะเป็นการจัดการเชิญชวนให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ประสงค์จะขอรับ เครื่องหมายรับรองปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ จะต้องจัดทำคู่มือปฏิบัติการระบบการควบคุมคุณภาพ น้ำมันเชื้อเพลิงและความปลอดภัย และให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ส่งรายชื่อสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้ ธพ. ประเมินเพื่อรับรองมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในด้านคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ปลอดภัย สะอาด สะดวก และ ธพ. จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ถึง โครงการนี้เพื่อให้การรับรองมาตรฐานเป็นที่รับทราบแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยตั้งเป้าหมายจะมีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 1,000 แห่ง ในส่วนคู่มือปฏิบัติการระบบฯ ธพ. จะพิจารณา รายละเอียดของคู่มือให้ครอบคลุมทุกขั้นตอนที่กำหนดและขั้นตอนการดำเนินงานมีความน่าเชื่อถือ และสามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อผู้ค้าน้ำมันได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองแล้ว จะสามารถนำเครื่องหมายรับรองไปแสดง ณ สถานีบริการที่ ธพ. อนุญาตเท่านั้น
4. การดำเนินการของโครงการจะเป็นการกำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการรับรองมาตรฐาน "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้กบริการ" และการจัดแถลงข่าวโครงการ พร้อมด้วยการประชาสัมพันธ์เชิญชวนสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการรับรองมาตรฐาน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงโครงการนี้ นอกจากนี้ มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจประเมินและคัดเลือกลงตรวจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าร่วมโครงการเพื่อตรวจประเมินรับรองระดับมาตรฐาน และการจัดพิธีมอบการรับรอง มาตรฐานให้แก่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผ่านการตรวจประเมิน โดยจะแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 โดยจะจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และคณะทำงานดำเนินโครงการ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการ ร่างหลักเกณฑ์และกระบวนการรับรองมาตรฐานตามโครงการ พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินการ จัดตั้งคณะทำงานตรวจประเมินและคัดเลือกในส่วนภูมิภาคและส่วนกลางเพื่อรับสมัคร คัดเลือก ตรวจประเมิน และรับรองมาตรฐานให้กับสถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งการมอบสัญลักษณ์ระดับมาตรฐาน "ปั๊มปลอดภัย น่าใช้บริการ" ที่ผ่านเกณฑ์การรับรองตามโครงการ แล้วติดตามประเมินผลหลังการ ออกรับรองระดับมาตรฐาน
5. สำหรับส่วนที่ 2 เป็นการการดำเนินงานส่วนประชาสัมพันธ์โดยการจ้างที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการทางวิทยุหรือด้านอื่นๆ เพื่อเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการและเป็นการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการรับรองมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมัน จัดงานแถลงข่าวเปิดโครงการ และส่วนที่ 3 คือ การดำเนินงานส่วนของบริษัทผู้ค้าน้ำมัน/ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน และประชาสัมพันธ์ไปยังสถานีบริการน้ำมันเครื่องหมายการค้าของตนเอง
6. โครงการได้กำหนดระยะเวลา ดำเนินการ 12 เดือน (กรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550) โดยใช้วงเงินงบประมาณ 3 ล้านบาทถ้วน โดยแบ่งเป็นงบประมาณส่วนงานตรวจประเมินและคัดเลือก 600,000 บาท และ งบประมาณส่วนงานประชาสัมพันธ์โดยจ้างที่ปรึกษา 2,400,000 บาท
7. ส่วนผลที่คาดว่าจะได้รับ โดยประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับความปลอดภัย สะอาดและสะดวก จากการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ และสถานีบริการน้ำมันได้ปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการของตนเองให้ดีขึ้น และมีมาตรฐานที่ดี พร้อมทั้งสร้าง Brand Awareness ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการรับรองมาตรฐานสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ให้กับกรมธุรกิจพลังงานในวงเงิน 3,000,000 ล้าน (สามล้านบาทถ้วน) ระยะเวลา ดำเนินการ 12 เดือน (เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550) (โดยมีรายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบวาระที่ 4.4)
เรื่องที่ 7 โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer)
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามเป้าหมายการเพิ่มปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV จำนวน 300,000 คัน ในปี 2551 และเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คัน ในปี 2553 ของแผนยุทธศาสตร์พลังงานประเทศ เพื่อรองรับการดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมผู้ชำนาญการติดตั้งและปรับแต่งเครื่องยนต์ และผู้ตรวจและทดสอบความปลอดภัยของการติดตั้งที่เป็นไปตามกฎหมายให้เพียงพอกับปริมาณงานและความต้องการที่เพิ่มขึ้น กรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการฝึกอบรมผู้ชำนาญการติดตั้ง โดยปัจจุบันได้ขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่จาก ปตท. และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเป็นวิทยากร จึงเห็นควรจัดทำ โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ขึ้น เพื่อกระจายการผลิตวิทยากรดังกล่าวให้ทั่วประเทศ โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ
2. วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสร้างวิทยากรที่จะไปอบรมช่างติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV และเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ตรวจและทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV ตามกฎหมาย โดยการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV และการตรวจและทดสอบรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์แล้ว ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 10 ครั้ง ครั้งละ 5 วัน แบ่งเป็นภาคทฤษฎี 1 วัน และภาคปฏิบัติ 4 วัน ซึ่งจะจัด ฝึกอบรม 10 รุ่นๆ ละ 15 คน รวม 150 คน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ อาจารย์ในวิทยาลัยอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย และวิทยากรของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยใช้สถานที่ขอรัฐหรือเอกชนในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นที่จัดฝึกอบรม สำหรับในส่วนภูมิภาคจะดำเนินการในจังหวัดที่มีศักยภาพในการใช้ NGV เช่น เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ราชบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สงขลา เป็นต้น
3. โครงการจะดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550 โดยใช้งบประมาณ 8.39 ล้านบาท ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับคือการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV เป็นไปตามเป้าหมาย และประชาชนได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย และมีทางเลือกใช้เชื้อเพลิงราคาประหยัด
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงินงบประมาณ 8,390,000 บาท (แปดล้านสามแสน เก้าหมื่นบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี (เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550)
เรื่องที่ 8 โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานมีนโยบายและมาตรการเร่งด่วนให้รถยนต์ติดตั้งอุปกรณ์ NGV เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอื่นทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง และช่วยรักษาดุลการค้าของประเทศ ตามนโยบายประหยัดพลังงานและลดการใช้น้ำมันของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องมีสถานประกอบการติดตั้ง ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้เข้ารับการติดตั้ง และได้รับความคุ้มครองตามความเหมาะสม รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจ โดยใช้หลักวิชาการที่ถูกต้อง มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานในระดับสากล และเป็นที่ยอมรับของผู้เข้ารับการ ติดตั้ง กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ
2. การจัดทำโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานสถานประกอบการฯ ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของประชาชน และช่วยสร้างภาพพจน์และความรับผิดชอบธุรกิจการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ตลอดจนลดความเสี่ยงของผู้มารับการติดตั้งและผู้เกี่ยวข้องให้น้อยลง
3. วิธีการดำเนินงาน โดยประชาสัมพันธ์ได้สถานประกอบการฯ มีความประสงค์จะขอใบรับรองมาตรฐานสถานประกอบการฯ ยื่นคำขอรับใบรับรองจากคณะอนุกรรมการ โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรกมารเฉพาะกิจ ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และหลังจากนั้น คณะอนุกรรมการจะแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบสถานประกอบการฯ ผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับใบรับรองมาตรฐานฯ พร้อมป้ายแสดงมาตรฐานฯ จากคณะกรรมการ และกลุ่มเป้าหมายจะเป็นสถานประกอบการติดตั้งรถยนต์ NGV ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 163 แห่ง โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - กรกฎาคม 2550 และใช้วงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายจำนวน 2 ล้านบาท ซึ่งจะมีคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
4. ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ จะมีสถานประกอบการฯ ที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย และเป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง เป็นที่ยอมรับของประชาชน
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี (ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - กรกฎาคม 2550)