มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2549 (ครั้งที่ 15)
วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. ทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสำรองเอทานอล
5. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานคร
7. โครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์น้ำมันเชื้อเพลิง
1. ราคาน้ำมันดิบ
1.1 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยในช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคมได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 69.17 และ 74.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอิหร่านยังไม่ให้คำตอบ ในเรื่อง ข้อเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนการระงับโครงการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มขบวนการติดอาวุธเฮชบอลเลาะห์ ประกอบกับโรงกลั่นของสหรัฐอเมริกา 2 แห่ง ในรัฐหลุยเซียนา และในรัฐอิลลินอยล์ ต้องประกาศปิดฉุกเฉินหน่วยผลิต เป็นเวลา 20 วัน เนื่องจากกระแสไฟฟ้าขัดข้องจากผลกระทบของพายุ ตลอดจนรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะนำน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้ทันทีหากการขนส่งน้ำมันในอ่าวเปอร์เซียหยุดชะงักลง
1.2 ในช่วง 1 - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 69.93 และ 75.70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.76 และ 1.65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลลาห์ยุติการสู้รบตามมติของสหประชาชาติ และแหล่งผลิตน้ำมันดิบ Prudhoe Bay จะสามารถกลับมาผลิตได้ที่ระดับ 200,000 บาร์เรล/วัน ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2549 ดังนั้น ในช่วง 3 เดือน (1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549) ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 68.10 และ 73.03 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 3.10 และ 2.50 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์
2.1 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 เฉลี่ยเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 82.76 และ 82.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 4.05 และ 3.97 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากอินโดนีเซียชะลอการนำเข้าในเดือนกรกฎาคม 2549 ลง และความต้องการใช้เบนซินในญี่ปุ่นจะลดลง เนื่องจากเริ่มเข้าช่วงฤดูฝน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 85.88 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องอุปทานน้ำมันดีเซลจาก ตะวันออกกลางลดลง ประกอบกับอินเดียออกประมูลซื้อน้ำมันดีเซลส่งมอบครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม 2549 ปริมาณ 30,000 ตัน และอินโดนีเซียจะนำเข้าน้ำมันดีเซลส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2549 ปริมาณ 140,000 ตัน ขณะที่ในเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 85.50 , 84.47 และ 86.29 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลตามลำดับ โดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามราคาปิดน้ำมันดิบ WTI และ Brent ประกอบกับเวียดนามจะนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น ร้อยละ 29 ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2549 ส่วนราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาซื้อขายน้ำมันที่ใช้เพื่อความอบอุ่นในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ICE และจากความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่องของเวียดนาม
2.2 ระหว่าง 1 - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 84.41 และ 83.47 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เฉลี่ยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว เนื่องจาก IES รายงานปริมาณสำรองน้ำมันสำเร็จรูปในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 1.17 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นปริมาณสำรองสูงสุดในรอบ 9 เดือน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.83 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว เนื่องจากอินโดนีเซียลดปริมาณนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนกันยายน 2549 ลดลง 0.6 ล้านบาร์เรล จากเดือนสิงหาคม 2549 สรุปในช่วง 1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 84.22 และ 83.38 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2.58 และ 2.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.37 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2.13 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
3. ราคาขายปลีก ในช่วงเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นครั้งละ 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 5 ครั้ง และปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 3 ครั้ง ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 3 ครั้ง และปรับลดลง ครั้งละ 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 30.19, 29.39 และ 27.54 บาท/ลิตร ตามลำดับ ซึ่งต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 18 สิงหาคม ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 29.39, 28.59 และ 27.54 บาท/ลิตร ตามลำดับ ดังนั้นในช่วง 1 มิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร และปรับลดราคาขายปลีกเบนซินลดลง 0.80 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.80 บาท/ลิตร
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ช่วงเดือนมิถุนายน - 18 สิงหาคม 2549 การจัดเก็บเงินส่งเข้า กองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันชนิดต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดิมที่ผ่านมา ส่งผลให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 15,557 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระจำนวน 68,662 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้เงินกู้สถาบันการเงินจำนวน 29,605 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,404 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 10,961 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่ายประจำเดือนจำนวน 133 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 53,105 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนกันยายนประมาณ 2,573 ล้านบาท และมีรายจ่ายมากกว่ารายรับจำนวน 405 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ทบทวนมติการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1.กลไกการตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้อยู่ในระดับต่ำ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 กำหนดรายได้ของผู้ผลิตและผู้นำเข้าให้เท่ากับราคาประกาศเปโตรมินที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทนเป็น 60 ต่อ 40 ลบ 16 USD/TON มีราคาต่ำสุดในระดับ 185 USD/TON และสูงสุด ในระดับ 315 USD/TON ส่วนที่ 2 กำหนดราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและราคาขายก๊าซ ณ คลังก๊าซไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นราคาเดียวกันทุกแห่งทั่วราชอาณาจักร กิโลกรัมละ 12.4569 บาท หากราคาจำหน่ายตามส่วนที่ 1 สูงกว่าให้จ่ายเงินชดเชยในอัตราสูงสุดไม่เกิน 2 บาท/กก. และส่วนที่ 3 กำหนดอัตราชดเชยค่าขนส่งก๊าซ ไปยังคลังก๊าซต่างๆ ตามประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ฉบับที่ 54 พ.ศ. 2546 เรื่อง การกำหนดค่าขนส่งก๊าซไปยังคลังก๊าซต่างๆ ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2546 เพื่อให้สามารถจำหน่ายก๊าซได้ในราคาเดียวกัน
2. นโยบายราคาก๊าซ LPG ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเตรียมการสู่ระบบราคา "ลอยตัวเต็มที่" โดย กบง. ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 ให้จำกัดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงสุด เพื่อยุติการไหลออกของเงินกองทุนน้ำมันฯ โดยทยอยปรับลดอัตราชดเชย LPG ลงอย่างต่อเนื่อง และให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคา LPG เข้าสู่ระบบ "ลอยตัวเต็มที่" ในเดือนกรกฎาคม 2548 ซึ่งต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 ได้มีมติให้กำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าเพดานสูงสุด 3 บาท/กก. ได้เป็นการชั่วคราว โดยให้ รมว. พน. เป็นผู้กำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ ซึ่งจากมติดังกล่าวได้มีการดำเนินการปรับและขยายเวลาการชดเชยราคาก๊าซ LPG รวม 3 ครั้ง และเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 กบง. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากเดือนธันวาคม 2548 เป็นเดือนมิถุนายน 2549 และขยายระยะเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. จากเดือนธันวาคม 2548 เป็นเดือนมิถุนายน 2549
3. ปัจจุบันการขยายระยะเวลาการชดเชยราคาก๊าซ LPG ตามข้อ 2 ได้สิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายน 2549 แล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเห็นควรให้ขยายระยะเวลาการชดเชยฯ ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากการใช้ ก๊าซ LPG ในภาคการขนส่งโดยเฉพาะ ในกลุ่มรถแท็กซี่ยังมีอยู่อย่างแพร่หลาย ขณะที่การเปลี่ยนแปลงเพื่อ หันไปใช้ NGV ตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างจำกัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ LPG ในรถแท็กซี่ไปเป็น NGV ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง โดยเฉพาะการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์ และการขยายและก่อตั้งสถานีบริการ NGV ให้ครอบคลุมเส้นทางหลัก ทั้งนี้หากรัฐดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG ตามมติ กบง. จะส่งผลกระทบโดยตรงและสร้างความเดือดร้อนต่อกลุ่มรถแท็กซี่ ที่ยังใช้ก๊าซ LPG เป็นจำนวนมาก
แผนการดำเนินการตามโครงการ NGV ในเขตกรุงเทพฯ
รายการ | ปัจจุบัน (21 ส.ค. 49) | สิ้นปี 2549 | ||||
NGV | LPG, อื่นๆ | รวม | NGV | LPG, อื่นๆ | รวม | |
จำนวนรถแท็กซี่ (คัน) | 7,000 (11%) |
56,000 (89%) |
63,000 (100%) |
30,000 (48%) |
33,000 (52%) |
63,000 (100%) |
จำนวนสถานี NGV | 52 | - | 52 | 127 | - | 127 |
4. อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากแผนการดำเนินการตามโครงการ NGV ข้างต้น ทั้งการเพิ่มจำนวนรถแท็กซี่ที่ปรับเปลี่ยนการใช้ LPG ไปเป็น NGV และการเพิ่มจำนวนสถานี NGV คาดว่าจะสามารถดำเนินการยกเลิกการตรึงราคาก๊าซ LPG ได้ ภายในสิ้นปี 2549
5 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้คงนโยบายราคาก๊าซ LPG ในปัจจุบันต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549 พร้อมทั้งข้อเสนอให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG และเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ ตามความ เหมาะสมแก่สถานการณ์
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติให้คงนโยบายการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในปัจจุบัน โดยขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549
2. อนุมัติให้ขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก.ต่อไปอีก 6 เดือน โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549
3. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความ เห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการขยายระยะเวลาการยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG และเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจกำหนดอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG เกินกว่าอัตราเงินชดเชยสูงสุดได้ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์ และให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมด้านพลังงานและเศรษฐกิจของไทย สนพ. ในฐานะหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการดูแลให้ประเทศมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ มั่นคง และมีราคาเหมาะสม จึงได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง และได้รับเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายประจำปีจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสร้าง ความรู้ ความเข้าใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน โดยใช้สื่อบูรณาการหลากหลาย ทั้งแนวกว้างและแนวลึก ทั้งการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และสื่อต่างๆ ที่สามารถกำหนดประเด็น และเนื้อหาได้ (Control Media) โดยได้รับอนุมัติงบประมาณประจำปีตั้งแต่ปี 2547 - 2549 เป็นเงิน 19 ล้านบาท 19 ล้านบาท และ 15 ล้านบาท ตามลำดับ
2. ในปี 2549 สนพ. ได้ดำเนินการจัดจ้างและจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ฯ ต่างๆ เพื่อความมั่นคง ด้านพลังงาน อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีสถานการณ์ราคาพลังงานมีแนวโน้มสูงและทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ ผู้รับจ้างได้ดำเนินกิจกรรมบางส่วนแล้วเสร็จเร็วกว่าที่กำหนดไว้ในแผน ซึ่งสื่อที่เผยแพร่ตามสัญญาโดยเฉพาะ Control Media ที่เตรียมไว้ได้หมดลงในช่วงครึ่งปีแรกของสัญญา ทำให้เกิดข้อจำกัดในการประชาสัมพันธ์ในระยะต่อไป เพื่อเร่งผลักดันยุทธศาสตร์ด้านพลังงานอย่างเต็มที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อให้ความรู้และความเชื่อมั่นในการใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน ได้แก่ NGV แก็สโซฮอล์ และไบโอดีเซล และเพื่อให้การดำเนิน กิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานในปี 2549 ดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สนพ. จึงจำเป็นต้องดำเนินการจัดจ้างเพื่อซื้อสื่อประชาสัมพันธ์ (ส่วนเพิ่ม) โดยขอรับเงินสนับสนุน ค่าใช้จ่ายจากเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นจำนวนเงินเพิ่มอีก 4 ล้านบาท
3. สำหรับรายละเอียดของโครงการ (ส่วนเพิ่ม) จะมุ่งเน้นจัดหาสื่อที่เหมาะสมในการประชาสัมพันธ์นโยบายพลังงาน ยุทธศาสตร์พลังงานเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน และสร้างทัศนคติที่ดีต่อนโยบายพลังงาน ตลอดจนเผยแพร่ผลงานของกระทรวงพลังงานโดยเน้นกลุ่มเป้าหมาย 4 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนทั่วไป สื่อมวลชน ผู้นำความคิดเห็นและนักวิชาการ
4. ในส่วนขอบเขตของงาน โดยผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสาร นโยบาย และกิจกรรมด้านพลังงานผ่านสื่อต่างๆ ได้แก่ การจัดบุคคลออกรายการโทรทัศน์ การจัดทำบทความเชิงโฆษณา ทางหนังสือพิมพ์ และจัดทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ อาทิ แถลงข่าว เป็นต้น โดยใช้งบประมาณวงเงิน 4 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 กันยายน 2549 - 31 ธันวาคม 2549 ทั้งนี้ คาดว่าผลที่จะได้รับจะทำให้ประชาชนทั่วไป สื่อมวลชน ผู้นำความคิด นักวิชาการ ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารของกระทรวงพลังงานที่ถูกต้อง และครบถ้วน และมีทัศนคติที่ดีต่อกระทรวงพลังงานมากขึ้น ตลอดจนเพื่อเป็นช่องทางประชาสัมพันธ์ผลงานหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงพลังงาน และตอบโต้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้องได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา
5. คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 ได้พิจารณาเรื่อง ทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงปีงบประมาณ 2550 - 2553 และได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประจำปี 2550 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ตามการขอปรับรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ ของหน่วยงาน และได้เห็นชอบให้ สนพ. นำเสนอ กบง. เพื่อขอใช้จ่ายเงินสำรอง (จำนวน 80 ล้านบาท) ในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นปีละ 4 ล้านบาท โดยให้ขอเป็นครั้งๆ ในแต่ละปีต่อไป
มติของที่ประชุม
1. อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในปีงบประมาณ 2549 ให้กับ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงาน (ส่วนเพิ่ม) ในวงเงิน 4,000,000.00 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ ในหมวดเงินสำรองปีงบประมาณ 2550 ให้กับ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานในวงเงิน 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน)
เรื่องที่ 4 การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการสำรองเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ผสม MTBE ในวันที่ 1 มกราคม 2550 โดยให้ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 หรือน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ผสมเอทานอลทดแทน ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เร่งดำเนินการผลักดันนโยบายให้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติ โดยการเร่งจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ทดแทนน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ซึ่งจากรายงานการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 ของกรมธุรกิจพลังงาน ณ เดือนมิถุนายน 2549 อยู่ที่ระดับ 104 ล้านลิตร/เดือน หรือประมาณ ร้อยละ 45.6 ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ทั้งหมด (224 ล้านลิตร) และมีสถานีบริการจำหน่ายทั่วประเทศ ณ เดือนกรกฎาคม 2549 จำนวน 3,241 แห่ง นอกจากนี้เร่งจัดหาเอทานอลในประเทศ โดยส่งเสริมการสร้างโรงงานผลิตเอทานอล ซึ่งปัจจุบันได้รับอนุมัติก่อสร้างไปแล้ว 24 แห่ง และได้เปิดดำเนินการผลิตแล้ว 5 แห่ง ขณะเดียวกันตามแผนการก่อสร้างโรงงานเอทานอลภายใต้การกำกับดูแลของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) คาดว่าจะเปิดดำเนินการเพิ่มขึ้นได้อีก 4 แห่งในสิ้นปี 2549 และส่วนที่เหลือจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 2550 - 2551
2. เพื่อเตรียมการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ได้ตามมติคณะรัฐมนตรี สนพ. ได้ประสานความร่วมมือกับ ปตท. ประเมินสถานการณ์การจัดหาและความต้องการเอทานอลในประเทศ เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอล ณ วันที่ 1 มกราคม 2550 ประมาณ 0.8 ล้านลิตร/วัน พบว่าในการจัดหาเอทานอลปัจจุบันมีโรงงานผลิตเอทานอล ที่เปิดดำเนินการแล้ว 5 แห่ง ได้แก่ บริษัท พรวิไล, ไทยแอลกอฮอล์, ไทยอะโกร, ขอนแก่นแอลกอฮอล์ และไทยง้วน กำลังการผลิตรวม 655,000 ลิตร/วัน แต่สามารถผลิตจริงได้ 495,000 ลิตร/วัน และหากรวมโรงงานเอทานอลที่จะเปิดดำเนินการได้ภายในเดือนธันวาคม 2549 จำนวน 4 แห่ง จะทำให้มีกำลัง การผลิตรวมเพิ่มขึ้นอีกจำนวน 510,000 ลิตร/วัน โดยคาดว่าจะสามารถผลิตจริงได้ประมาณ 408,000 ลิตร/วัน อย่างไรก็ตาม ปตท. ได้ตรวจสอบข้อมูลการก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลที่คาดว่าจะเปิดอีก 4 แห่ง พบว่า โรงงาน จำนวน 2 แห่ง ไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ทันในสิ้นปี 2549 คือ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เนื่องจาก ติดปัญหาด้านการเงิน และบริษัท เอกรัฐพัฒนา ติดปัญหาการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2/2550 สำหรับการจำหน่าย ปตท. ได้รายงานการจำหน่ายเอทานอล ณ เดือนกรกฎาคม 2549 มีปริมาณ 350,000 ลิตร/วัน และคาดว่าจะทยอยเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ก่อนการยกเลิกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในวันที่ 1 มกราคม 2550
3. จากข้อมูลการจัดหาและความต้องการเอทานอล พบว่าปัจจุบันมีการจัดหาเอทานอล ประมาณ 443,000 ลิตร/วัน ความต้องการเอทานอล ประมาณ 350,000 ลิตร/วัน จึงจะมีการจัดหาคงเหลือ ประมาณ 93,000 ลิตร/วัน หรือประมาณ 2.79 ล้านลิตร/เดือน โดยที่กระทรวงพลังงาน ได้ประมาณการความต้องการเอทานอล ในวันที่ 1 มกราคม 2550 ไว้ที่ 800,000 ลิตร/วัน แต่การจัดหาเอทานอล (ผลิตจริง) ประมาณ 673,000 ลิตร/วัน ไม่รวมบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล และ บริษัท เอกรัฐพัฒนา จะทำให้เอทานอลไม่เพียงพอกับความต้องการ ประมาณ 127,000 ลิตร/วัน
4. เพื่อป้องกันปัญหาขาดแคลนเอทานอล เมื่อถึงกำหนดยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ในเดือนมกราคม 2550 กระทรวงพลังงาน จึงขอเสนอดังนี้
4.1 ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เก็บสำรองเอทานอลคงเหลือในประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2549 เพื่อรองรับความต้องการใช้ในช่วงไตรมาสแรกของการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปี 2550 ซึ่งอาจจะมีความต้องการ มากกว่า การจัดหา
4.2 สนับสนุนค่าใช้จ่ายในส่วนของดอกเบี้ย และค่าเช่าสถานที่เก็บเอทานอลให้กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ทั้งนี้ ให้ สนพ. กรมธุรกิจพลังงาน และบริษัท ปตท. ร่วมกันพิจารณาจัดทำแผนการจัดหา การเก็บสำรอง และการใช้เอทานอล พร้อมเป็นผู้กำหนดอัตราชดเชยค่าดอกเบี้ย และค่าเช่าสถานที่เก็บ ที่เหมาะสมให้กับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา7 และมอบหมายให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ตามหลักเกณฑ์ที่ สนพ. กรมธุรกิจพลังงาน และบริษัท ปตท. นำเสนอ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เก็บสำรองเอทานอลคงเหลือในประเทศ ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2549 เพื่อรองรับความต้องการใช้เอทานอลในช่วงไตรมาสแรกของการยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ปี 2550 ที่อาจจะมีความต้องการใช้มากกว่าการจัดหา
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกันจัดทำรายละเอียดในการเก็บสำรองเอทานอลตามหลักการในข้อ 1 เพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2533 และวันที่ 30 มีนาคม 2547 ได้มีมติให้มีการจำกัดปริมาณการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของคลังน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ประเทศขาดดุลการค้าสูงมาก กระทรวงพลังงานจึงได้กำหนดนโยบายให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพและการลดการใช้พลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในภาคการขนส่ง โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานกำหนดแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพหรือลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในระบบจ่ายน้ำมันสำเร็จรูปของประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนน้ำมัน (Product Exchange) ในระหว่างกลุ่มบริษัท และปรับปรุงระบบการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น
2. กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการและกำหนดมาตรการปรับปรุงระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้พลังงานน้อยที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในด้านความปลอดภัยและสามารถตอบสนองต่อปริมาณความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประชาชนได้อย่างเพียงพอ
3. ขอบเขตการดำเนินการโครงการฯ โดยการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ได้แก่ ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละพื้นที่ จำนวน สถานที่ตั้ง ความสามารถในการผลิตและปริมาณการเก็บของโรงกลั่นและคลังน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในปัจจุบัน การแลกเปลี่ยนน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างบริษัท และข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ ที่จำเป็นในการศึกษาและวิเคราะห์ระบบการขนส่งและการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ ศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการจัดระบบการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงและการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการนำปัจจัยความปลอดภัย ความพึงพอใจและข้อคิดเห็นของประชาชนมาเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาจัดทำแผน ขั้นตอน มาตรการและระยะเวลาในการปรับปรุงระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
4. วิธีการดำเนินโครงการฯ โดยการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อมาดำเนินการตามวัตถุประสงค์ โดยมีระยะเวลาการศึกษา 12 เดือน ใช้งบประมาณ 10.2680 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์กลางการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตกรุงเทพมหานครให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงิน 10,268,000 บาท (สิบล้านสองแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน
สรุปสาระสำคัญ
1. จากการประกอบกิจการเกี่ยวกับก๊าซปิโตรเลียมเหลวมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ขาดมาตรฐานที่ดีในด้านความปลอดภัย และการคุ้มครองผู้บริโภค โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับถังก๊าซหุงต้ม รัฐบาลได้กำหนด แนวทางดำเนินการแก้ไขปัญหา เป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 (ปี 2542 - 2544) การดำเนินการยกเลิกควบคุมราคาและปรับปรุงระบบการค้าให้มีความปลอดภัย ระยะที่ 2 (ปี 2544 - 2546) การดำเนินการแก้ไขปัญหาถังขาวหรือถังก๊าซหุงต้มที่ไม่มีผู้รับผิดชอบซ่อมบำรุงแทนถังขาวตามโครงการ "รัฐช่วยราษฎร์แลกถังขาวฟรี" และระยะที่ 3 (ปี 2546 เป็นต้นมา) ดำเนินการแก้ไขปัญหาถังก๊าซหุงต้มที่ให้เจ้าของถังก๊าซหุงต้ม (มาตรา 7) เป็นผู้รับผิดชอบในการซ่อมบำรุง
2. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้รวบรวมข้อมูลถังก๊าซหุงต้ม จากผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 พบว่าจำนวน ถังก๊าซหุงต้มที่มีใช้หมุนเวียนในปัจจุบัน มี 7 ขนาด มีจำนวนรวมประมาณ 25 ล้านถัง มีถังก๊าซหุงต้มที่จะต้องทดสอบและซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี จำนวน 11.76 ล้านถัง ดำเนินการซ่อมบำรุงไปแล้ว 3.88 ล้านถัง ยังไม่ได้ดำเนินการอีก จำนวน 7.88 ล้านถัง คิดเป็นร้อยละ 32 ของปริมาณถังทั้งหมด โดยถังก๊าซหุงต้มดังกล่าว แบ่งออกเป็นถังที่ต้องซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี จำนวน 2.7 ล้านถัง และครบวาระ 10 ปี จำนวน 5.18 ถัง
3. ธพ. เห็นว่าถังก๊าซหุงต้มที่ใช้งานมาเป็นเวลานาน และไม่มีการบำรุงรักษาซ่อมบำรุงและทดสอบตามระยะเวลา 5 ปี ไม่มีความปลอดภัยต่อประชาชนและอาจก่อให้เกิดอุบัติภัยขึ้นได้ จึงจัดทำโครงการเร่งรัด การซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 ดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ ตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเคร่งครัดภายในเวลาที่กำหนด และประชาชนและร้านจำหน่ายก๊าซได้ใช้ถังก๊าซหุงต้มที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยและถูกต้องตามกฎหมาย ตลอดจนทำให้เกิดการแข่งขันกันในตลาดการค้าก๊าซหุงต้มอย่างเป็นธรรม
4. ลักษณะโครงการ มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โครงการ และการใช้ถังก๊าซหุงต้มอย่างปลอดภัย ทางสื่อสิ่งพิมพ์และทางโทรทัศน์ และให้ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 จัดทำแผนการซ่อมบำรุงถังก๊าซ และดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มตามแผนที่เสนอ และให้แล้วเสร็จภายใน 30 เดือน พร้อมทั้งจัดสัมมนาผู้ประกอบการ โรงบรรจุก๊าซ,ร้านจำหน่ายก๊าซ, ผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 และ หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ 6 ครั้ง โดยมีเป้าหมายการดำเนินงานอยู่ที่ถังก๊าซหุงต้มที่ต้องซ่อมบำรุง ครบวาระ 10 ปี แต่ยังตกค้างจำนวน 5.18 ล้านถัง และถังก๊าซหุงต้มที่ต้องซ่อมบำรุงครบวาระ 5 ปี จำนวน 2.70 ล้านถัง และการจัดสัมมนาผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ
5. วิธีดำเนินการโครงการ ประกอบด้วย เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ให้ทราบถึงวิธีการเลือกใช้ถังก๊าซหุงต้มที่ถูกต้องตามกฎหมายและได้มาตรฐานความปลอดภัย ทางสื่อต่างๆ เป็นเวลา 2 เดือน จัดสัมมนา ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวม 6 ครั้งๆ ละ 1 วัน และดำเนินการซ่อมบำรุง ถังก๊าซหุงต้มที่ยังตกค้าง โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 10 ปี แต่ยังไม่ได้ทำการซ่อมบำรุงให้แล้วเสร็จ ภายใน 18 เดือน และระยะที่ 2 ถังก๊าซหุงต้มที่ครบวาระ 5 ปี แต่ยังไม่ได้ทำการซ่อมบำรุงให้แล้วเสร็จต่อจากระยะที่ 1 ภายใน 12 เดือน นอกจากนี้ กำหนดให้ผู้ค้าฯ ตามมาตรา 7 จัดทำแผนการดำเนินการและรายงานให้สำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซทราบทุกๆ วันที่ 15 ของเดือน ตลอดจนจัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบการดำเนินการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้ม ตามระยะที่ 1 และ 2 และหากตรวจพบว่ามีการบรรจุก๊าซลงถังก๊าซหุงต้มที่ยังมิได้ทำการซ่อมบำรุง จะต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย
6. โครงการมีวงเงินค่าใช้จ่ายเป็นเงินรวม 5,960,000 บาท มีระยะเวลาดำเนินการ 30 เดือน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - ธันวาคม 2551 (สิ้นสุดโครงการระยะที่ 1 เดือนธันวาคม 2550 และระยะที่ 2 เดือนธันวาคม 2551)
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อดำเนินโครงการเร่งรัดให้ผู้ประกอบการซ่อมบำรุงถังก๊าซหุงต้มครบวาระ 5 ปี และ 10 ปี ให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในวงเงินจำนวน 5,960,000 บาท (ห้าล้านเก้าแสนหกหมื่นบาทถ้วน) โดยมีระยะดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - เดือนธันวาคม 2551
เรื่องที่ 7 โครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัญหาด้านพลังงานเป็นปัญหาที่สำคัญ และถูกบรรจุไว้เป็นวาระแห่งชาติเมื่อปี 2547 กระทรวง พลังงานได้เสนอแผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ และได้รับความเห็นชอบจากคณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ต่อมาได้ดำเนินการจัดทำเป็นแผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งได้เสนอต่อนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร) เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2549 โดยที่แผนยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงานเป็นแผนแบบบูรณาการที่จำเป็นต้องนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ต้องมีการปรับแผนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา และต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานนอกกระทรวงพลังงานที่เกี่ยวข้องและภาคส่วนต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติราชการแผ่นดินและแผนงบประมาณของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง
2. การผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติจำเป็นต้องมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีทีมงานด้านวิชาการสนับสนุน มีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และมีงบประมาณ ในการดำเนินกิจกรรมสร้างความเข้าใจ และสร้างแนวร่วม เพื่อให้สามารถนำแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุดและสามารถแก้ไขปัญหาด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืน สนพ. จึงได้ จัดทำโครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานและแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติอย่างมีลำดับขั้นตอน และมีการทำงานเป็นทีม และเชื่อมโยงงานกลุ่มนโยบายกับกลุ่มการเงิน
3. สำหรับกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับแผนบริหารราชการแผ่นดิน และแผนงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ ก.พ.ร. และหน่วยราชการที่ต้องมีความร่วมมือการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และองค์กรต่างๆ ผู้นำความคิด นักวิชาการ กรรมาธิการ สส. สว. สื่อมวลชน ประชาชนทั่วไป
4. แนวทางการดำเนินงานโครงการฯ โดยจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นหัวหน้าทีมงาน และมี สนพ. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ มีการบริหารเชิงกลยุทธ์ในการผลักดันแผนยุทธศาสตร์พลังงานให้เกิดเป็นรูปธรรม ประสานและสนับสนุนงานกับหน่วยงานต่างๆ และกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง ติดตามและประเมินผลของการผลักดันแผน ยุทธศาสตร์พลังงาน เพื่อ ปรับเปลี่ยนและแก้ไขได้ตามสถานการณ์ปัจจุบัน และสร้างตัวชี้วัด (KPI) ในการปฏิบัติงานรวมถึงประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ และประชาชนทั่วไป อาทิ การจัดประชุมเชิงวิชาการ การสัมมนา รายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินงาน ฯลฯ
5. โครงการฯ จะใช้งบประมาณเพื่อดำเนินการจำนวนเงิน 24,000,000 บาท โดยมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 - กันยายน 2550 (12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา) โดยผลที่คาดว่าจะได้รับ กล่าวคือ สามารถผลักดันแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล เชื่อมโยงกับแผนปฏิบัติราชการแผ่นดิน และมีแผนงบประมาณแผ่นดินเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ตลอดจนสาธารณชนมีทัศนคติที่ดีและมีส่วนร่วมต่อ "แผนปฏิบัติการด้านพลังงานของประเทศ" เกิดความร่วมมือ กันอย่างจริงจังในเชิงบูรณาการในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงาน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานจัดทำรายละเอียดโครงการ (TOR) ให้เป็นรูปธรรมและชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อประมาณค่าใช้จ่ายการดำเนินงานให้ถูกต้อง และนำกลับมาเสนอต่อคณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป