มติกพช.กบง. (475)
กบง. ครั้งที่ 159 - วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 25/2556 (ครั้งที่ 159)
วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การมอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานดำเนินการ แทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการดำเนินคดีทางปกครอง
3. การปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จากเดิมที่อัตรา 1.70 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.30 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 105.44, 116.27 และ 124.69 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง 3.75 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.86 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากการประชุมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 5 กรกฎาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 5 สิงหาคม 2556 อยู่ที่ 31.4535 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.1892 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 31.2643 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ผู้ค้าได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น 3 ครั้ง ในวันที่ 10, 13 และ 17 กรกฎาคม 2556 และปรับลดลง 3 ครั้ง ในวันที่ 25, 26 กรกฎาคม 2556 และวันที่ 1 สิงหาคม 2556 ดังนี้
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 สิงหาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 18,306 ล้านบาท หนี้สินรวม 12,051 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 6,254 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ในระดับสูง และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20, E85 และน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากราคาเอทานอลอ้างอิงเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2.93 บาทต่อลิตร จากเดิม 26.24 บาทต่อลิตร เป็น 29.17 บาทต่อลิตร ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 กับ E85 และน้ำมันดีเซลลง 0.40, 0.60 และ 0.40 บาทต่อลิตรตามลำดับ ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.46 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.84 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.57 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 22.79 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 78.36 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 55.57 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ น้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ กับพวกรวม 4 คน ได้ยื่นฟ้อง กบง. ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ 1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 2 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ 3 ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ที่ 4 คณะกรรมการบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่ 5 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ที่ 6 คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่ 7 คณะกรรมการกลางว่าด้วยสินค้าและบริการ ที่ 8) ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1143/2555 และศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งเรียกให้ทำคำให้การ ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2556 พร้อมด้วยพยานหลักฐาน 1 ชุด และจัดทำคำให้การและสำเนาพยานหลักฐานที่มีการรับรองสำเนาถูกต้อง อีก 1 ชุด รวม 2 ชุด ยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้รับคำสั่งเรียกให้ทำคำให้การวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ครบกำหนดยื่นคำให้การในวันที่ 8 สิงหาคม 2556
2. ข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับ กบง. ในข้อหาที่ 1 กล่าวหาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 7 ร่วมกันกำหนดราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่แพงเกินจริงและเอื้อประโยชน์ต่อเอกชน ทำให้การกำหนดราคาเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้หยุดขึ้นราคาน้ำมัน ราคาก๊าซธรรมชาติทั้งก๊าซ LPG และ NGV อันเนื่องมาจากการจ่ายเงินกองทุนชดเชยเพื่ออุดหนุนกลุ่มปิโตรเคมีและอุตสาหกรรม การผูกขาดการขายก๊าซธรรมชาติของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งการกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับการคำนวณราคา และการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าการตลาด ค่าขนส่ง การกำหนดอัตราราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นและคำนวณราคาขายปลีกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กบง. ดังนั้น การกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจึงเป็นการกระทำทางปกครองอย่างหนึ่ง เมื่อผู้ฟ้องคดีอ้างว่า การกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอให้หยุดการกระทำการดังกล่าว กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
3. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ กบง. ได้รวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงประกอบคำให้การ แต่เนื่องจากเอกสารหลักฐานดังกล่าวมีปริมาณมาก ทำให้ไม่สามารถยื่นคำให้การได้ทันตามกำหนด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2556 สนพ. ได้มีหนังสือถึงตุลาการศาลปกครอง (นายวุฒิชัย แสงสำราญ) เพื่อขอขยายระยะเวลายื่นคำให้การต่อศาลปกครองไปอีก 30 วัน นับแต่วันครบกำหนดเดิม รวมทั้งได้มีความเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินคดีปกครองเกิดประโยชน์ต่อทางราชการ เห็นควรมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองแทน กบง. ทั้งนี้ การแต่งตั้งพนักงานอัยการดำเนินการแก้ต่างคดีกรณีมีการฟ้องร้องในอนาคต ซึ่งเป็นกรณีเร่งด่วนและไม่อาจเรียกประชุม กบง. เพื่อแต่งตั้งพนักงานอัยการให้ดำเนินการแก้ต่างคดีได้ทัน ซึ่งอาจเกิดผลเสียหายในการต่อสู้คดี เห็นควรมอบหมายให้ประธาน กบง. มีอำนาจทำการแทน กบง. ตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2554 เรื่อง “การกำหนดหลักเกณฑ์และปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการดำเนินคดีปกครอง ในศาลปกครองกรณีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกฟ้องในคดีปกครอง” โดยมอบอำนาจในการดำเนินคดีปกครองในนาม กบง. ต่อศาลปกครอง ให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีกรณีที่ กบง. เป็นผู้ฟ้องคดีหรือถูกฟ้องคดีปกครองทุกศาลและทุกชั้นศาลปกครองจนกว่าคดี จะถึงที่สุด และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดได้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิหรือไม่ก็ตาม เช่น การยอมรับตามที่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิหรือ ใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด หรือในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตลอดจนให้มีอำนาจในการมอบอำนาจช่วงให้นิติกรไปดำเนินการใดๆ แทน
มติของที่ประชุม
1. เห็นควรให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีกรณีที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้ฟ้องคดีหรือถูกฟ้องคดีปกครองทุกศาลและทุกชั้นศาลปกครองจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ได้ทุกประการไม่ว่าจะเป็นไปในทางจำหน่ายสิทธิหรือไม่ก็ตาม เช่น การยอมรับตามที่คู่กรณี อีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์ ต่อศาลปกครองสูงสุด หรือในการขอให้พิจารณาคดีใหม่ ตลอดจนให้มีอำนาจในการมอบอำนาจช่วงให้นิติกร ไปดำเนินการใดๆ แทน
2. มอบหมายให้ประธาน กบง. มีอำนาจแทน กบง. ในการลงนามในใบมอบอำนาจและเอกสาร ที่เกี่ยวข้องเพื่อแต่งตั้งให้พนักงานอัยการเป็นผู้ว่าต่างแก้ต่างคดีปกครอง ในนาม กบง. ทุกคดี
เรื่อง การปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมาย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายของภาคเอกชนจากปัจจุบันร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รับไปดำเนินการออกประกาศ ธพ. เพื่อปรับเพิ่มอัตราสำรอง โดยให้มีผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน และกรณีมีผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามกำหนด ให้ขอผ่อนผันเป็นรายไป ต่อมาเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงกลั่นน้ำมันของ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องหยุดการผลิตไม่น้อยกว่า 3 เดือน ทั้งนี้ ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2555 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ในฐานะประธานฯ กบง. ได้มีความเห็นว่า เห็นควรให้เลื่อนการออกประกาศดังกล่าวออกไปก่อน
2. ธพ. ได้หารือกับผู้ค้าน้ำมันฯ เกี่ยวกับการปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงจากร้อยละ 5 เป็น ร้อยละ 6 และแนวทางการจัดตั้งการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) จำนวน 3 ครั้ง โดยมีผลสรุปว่า ผู้ค้าน้ำมันฯ เห็นด้วยกับการปรับอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นและได้เตรียมความพร้อมในระดับหนึ่งแล้ว แต่เสนอให้บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 เพื่อเผื่อเวลาสำหรับการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงมาเก็บเพิ่มขึ้นหลังจากกฎกระทรวงคลังน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556 ของกระทรวงพลังงาน มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2556 ซึ่งกฎกระทรวงดังกล่าวได้ผ่อนคลายข้อบังคับเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขื่อนเก็บกักน้ำมัน ทำให้ผู้ค้าน้ำมันฯ บางรายจะมีพื้นที่ถังสำหรับเก็บน้ำมันเพิ่มขึ้นและเพียงพอจะรับฝากน้ำมันเชื้อเพลิง ของผู้ค้าน้ำมันฯ รายอื่นได้ด้วย รวมทั้งการเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงได้กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันฯ สามารถเก็บน้ำมันอีกชนิดแทนได้ (เลือกเก็บน้ำมันดิบแทนน้ำมันสำเร็จรูปหรือเก็บน้ำมันสำเร็จรูปแทนน้ำมันดิบ) ในอัตรา 1 : 1 เฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 แต่ในส่วนของร้อยละ 5 เดิม สามารถเก็บน้ำมันแทนกันได้ แต่ต้องใช้สูตรการกลั่นเป็นตัวคำนวณปริมาณน้ำมันที่จะต้องเก็บแทนกัน และผู้ค้าน้ำมันฯ ได้เห็นด้วยกับการจัดตั้ง SPR ที่จะเชื่อมโยงกับโครงการจัดตั้งสะพานเศรษฐกิจพลังงาน (Energy Land Bridge) และโครงการขยายท่อขนส่งน้ำมันทั่วประเทศและคลังน้ำมันชายแดน เพื่อเพิ่มความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งมีความเห็นว่าเมื่อจัดตั้ง SPR ได้แล้ว ควรปรับลดอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงของภาคเอกชนลงบางส่วน
3. เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 ธพ. ได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง “กำหนดชนิด และอัตรา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณปริมาณสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2556” สำหรับการปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามกฎหมายของภาคเอกชนจากเดิมร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2556 โดยได้ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2556 ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่กำหนดให้ การประกาศกำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองและประกาศเปลี่ยนแปลงการกำหนดชนิดและอัตราของน้ำมันเชื้อเพลิงที่ต้องสำรองซึ่งได้ประกาศไว้แล้วให้สูงขึ้น ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กำหนดไว้ในประกาศนั้น แต่ต้องไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่ 158 - วันจันทร์ที่ 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 24/2556 (ครั้งที่ 158)
วันจันทร์ที่ 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2556 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จากเดิมที่อัตรา 2.10 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.70 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เปลี่ยนไป ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 101.76, 120.02 และ 122.83 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.74, 3.05 และ 2.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 1 กรกฎาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 อยู่ที่ 31.2643 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.0032 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 31.2675 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกในวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 โดยปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และ E20 ขึ้นชนิดละ 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 กรกฎาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 17,894 ล้านบาท หนี้สินรวม13,916 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 3,978 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.51 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.44 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.49 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 24.36 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 118.38 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 94.02 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.70 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.30 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและ แผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 157 - วันอังคารที่ 2 กรกฏาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 23/2556 (ครั้งที่ 157)
วันอังคารที่ 2 กรกฏาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายณอคุณ สิทธิพงศ์ เป็นกรรมการและประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมที่อัตรา 1.60 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2.10 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เปลี่ยนไป ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 99.02, 116.97 และ 120.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 0.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.13 และ 0.69 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 25 มิถุนายน 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 อยู่ที่ 31.2675 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.1452 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 25 มิถุนายน 2556 ซึ่งอยู่ที่ 31.1223 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกในวันที่ 27 มิถุนายน 2556 โดยปรับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และ E20 ลดลงชนิดละ 0.30 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ลดลง 0.20 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 มีทรัพย์สินรวม 17,725 ล้านบาท หนี้สินรวม14,470 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 3,256 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.49 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.52 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.50 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 24.36 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 142.75 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 118.38 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 2.10 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.70 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและ แผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 156 - วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 22/2556 (ครั้งที่ 156)
วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง แนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2555 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน เพื่อทำหน้าที่กำหนดแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน รวมทั้งพิจารณาการจัดทำฐานข้อมูล การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซ LPG
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 โดยเห็นชอบให้ขยายเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2556 และเห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม ภายในปี 2556 โดยมอบหมายให้ กบง. พิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และการบรรเทาผลกระทบกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ต่อมาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2556 กบง. มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2556
3. กบง. เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมวันที่ 31พฤษภาคม 2556 เป็นวันที่ 30 มิถุนายน 2556 และเห็นชอบแนวทางดำเนินการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน ดังนี้ (1) รวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งด้านผู้ใช้และผู้จำหน่ายก๊าซ LPG (2) จัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำกับดูแลระบบฐานข้อมูลกลาง (Data Center) และหน่วยงานการยืนยันสิทธิ์ (Call Center) (3) จัดทำข้อมูลให้เป็นระบบ ฐานข้อมูลกลาง รวมทั้งกำหนดรหัส (Code) ของผู้ใช้และผู้จำหน่ายก๊าซ LPG (4) ออกแบบรายงานข้อมูลส่งไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์และผู้ที่ต้องลงทะเบียนเพิ่มเติม (5) การไฟฟ้า นครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) แจ้งชื่อผู้มีสิทธิ์ผ่านบิลค่าไฟฟ้า และกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบ แจ้งชื่อผู้มีสิทธิ์ผ่านบัตรรับรองสิทธิ์ (6) ประชาชนสามารถตรวจสอบสิทธิ์ได้ 3 ทาง คือ อปท. บิลค่าไฟฟ้า และร้านค้าก๊าซ LPG (7) กรมการค้าภายใน และ อปท. รับลงทะเบียนเพิ่มเติม เพื่อส่งข้อมูลเข้าสู่ Data Center ต่อไป (8) เชื่อมต่อระบบฐานข้อมูลกลางกับ Call Center และการยืนยันสิทธิ์ระหว่างผู้ใช้และผู้จำหน่ายก๊าซ LPG (9) บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดูแลระบบการยืนยันสิทธิ์ เพื่อให้ผู้มีสิทธิ์สามารถซื้อก๊าซ LPG ได้ในราคาเดิม และ (10) ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 นำปริมาณจำหน่ายก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ผู้มีสิทธิ์แจ้งกับกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รับรองเพื่อลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ มอบหมายให้ ปตท. เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงานการยืนยันสิทธิ์ (ระบบ SMS ยืนยันสิทธิ์) รวมทั้งค่า SMS ยืนยันสิทธิ์ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมทั้งประสานผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อร่วมดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว และมอบหมายให้ ธพ. และพลังงานจังหวัดรับผิดชอบกำกับดูแล ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 จัดทำระบบการช่วยเหลือผู้มีสิทธิ์สามารถซื้อก๊าซ LPG ได้ในราคาเดิม
4. คณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบฯ ได้ประชุมเพื่อกำหนดแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน และติดตามผลการดำเนินงาน รวม 4 ครั้ง สรุปความก้าวหน้าการดำเนินการตามแนวทางบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน ได้ดังนี้
4.1 ฐานข้อมูล ได้รวบรวมฐานข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและจำนวนผู้มีสิทธิ์ได้รับการช่วยเหลือแยกตามประเภทต่างๆ ได้ดังนี้ (1) ครัวเรือนใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน จำนวน 7,430,639 ครัวเรือน (2) ครัวเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ จำนวน 186,822 ครัวเรือน (3) ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร จำนวน 168,529 ร้าน และ (4) ร้านค้าก๊าซ LPG จำนวน 33,800 ร้าน
4.2 ระบบฐานข้อมูลกลาง แบ่งเป็น
1) จัดทำระบบฐานข้อมูลกลางของผู้มีสิทธิ์ได้รับการชดเชย โดยจัดเรียงข้อมูลของผู้ได้รับสิทธิ์ จากการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบ กรมการพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และข้อมูลร้านค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (ร้านค้าปลีก) จากกรมธุรกิจพลังงาน ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถ ใช้งานได้บนฐานข้อมูลเดียวกัน
2) กำหนดรหัสผู้มีสิทธิ์ ได้แก่ (1) ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล กำหนดรหัสโดยใช้รหัสเครื่องวัด 8 หลัก ตามใบแจ้งค่าไฟฟ้าของ กฟน. (2) ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้า ไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน ในส่วนภูมิภาค กำหนดรหัสโดยใช้ หมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้า 11 หลักหลัง ตามใบแจ้ง ค่าไฟฟ้าของ กฟภ. (3) ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน ในกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบ กำหนดรหัส โดยใช้หมายเลขผู้ใช้ไฟฟ้า 9 หลัก ตามใบแจ้งค่าไฟฟ้า (4) ครัวเรือนไม่มีไฟฟ้า Data Center กำหนดรหัสให้ 10 หลัก (5) ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร Data Center กำหนดรหัสให้ 10 หลัก และ (6) ร้านค้าก๊าซ LPG Data Center กำหนดรหัสให้ 6 หลัก
4.3 การแจ้งสิทธิ์ โดย กฟน. กฟภ. และกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบ ได้แจ้งสิทธิ์ครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้า ไม่เกิน 90 หน่วย ผ่านใบแจ้งค่าไฟฟ้าและหนังสือแจ้งสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2556 โดยดำเนินการต่อเนื่อง 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม 2556 และเพื่อให้มีความพร้อมในการชี้แจงข้อสงสัย กระทรวงพลังงานได้ใช้ศูนย์บริการร่วมของกระทรวงพลังงานเพื่อชี้แจงข้อสงสัยต่างๆ ในเบื้องต้น ที่หมายเลข 02-140-7000
4.4 การลงทะเบียนเพิ่มเติม โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ได้จัดให้มีการลงทะเบียนเพิ่มเติมสำหรับร้านค้า หาบเร่ และแผงลอยอาหารที่ตกสำรวจ โดยขอขึ้นทะเบียนใหม่ได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด สำนักงานการค้าภายในจังหวัด สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัด หรือพลังงานจังหวัดในพื้นที่ได้ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2556 สำหรับครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ จะเปิดให้มีการลงทะเบียนเพิ่มเติมที่ อปท. เมื่อได้มีการส่งประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์ไปยัง อปท. แล้ว
4.5 ระบบช่วยเหลือผ่านผู้ค้ามาตรา 7 โดย ธพ. และ ปตท. ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้ค้ามาตรา 7 สมาคมร้านค้าก๊าซ และ Service Provider สรุปผลการหารือได้ดังนี้ (1) ผู้ค้ามาตรา 7 ยินดีให้ความร่วมมือให้มีระบบการค้าก๊าซ LPG เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถซื้อก๊าซ LPG ในราคาเดิมได้ โดยผู้ค้ามาตรา 7 แบ่งความรับผิดชอบการสำรองเงินจ่ายตามส่วนแบ่งการตลาด (2) ปัจจุบันมีร้านค้าก๊าซ LPG ที่จำหน่ายมากกว่า 60 กิโลกรัมต่อวัน ประมาณ 33,000 ร้าน ซึ่งอยู่ในการควบคุมของ ธพ. เข้าร่วมโครงการ และ (3) กำหนดขั้นตอนการเข้าใช้สิทธิผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยแบ่งเป็น
4.6 การจัดทำแนวทางการป้องกันการทุจริต แบ่งเป็น 2 กรณี คือ (1) กรณีร้านจำหน่ายก๊าซ/ประชาชน แอบอ้างใช้สิทธิของผู้อื่น อาจมีความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ (2) กรณีร้านจำหน่ายก๊าซ ไม่นำออกจำหน่าย/ปฏิเสธการจำหน่าย อาจมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มาตรา 30 และมาตร 41 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.7 การประชาสัมพันธ์ แบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้ (1) การทำความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วน (2) การเตรียมความพร้อมและติดตามตรวจสอบทุกระบบ โดยจะเริ่มดำเนินการก่อนการยืนยันสิทธิ์ และ (3) การทำความเข้าใจ ในการรับสิทธิ์ และการได้รับสิทธิ์
4.8 การอบรมชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย (1) การอบรมเตรียมความพร้อมให้กับวิทยากร (2) จัดทำคู่มือ เอกสารประกอบการอบรม และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ (3) การอบรมโรงบรรจุ ร้านค้าก๊าซรายย่อย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
การดำเนินการทั้งหมดคาดว่าจะแล้วเสร็จในต้นเดือนสิงหาคม 2556 จากนั้นจะต้องมีการทดสอบระบบและปรับปรุงระบบต่างๆ ให้สมบูรณ์ มีความพร้อมในการดำเนินการเพื่อรองรับการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ดังนั้น คาดว่าจะสามารถปรับราคาขายปลีกราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนได้ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2556 เป็นต้นไป
5. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2556 เห็นชอบให้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาท ต่อกิโลกรัม ภายในปี 2556 โดยมอบให้ กบง. รับไปพิจารณาแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน เมื่อคำนึงถึงผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน โดยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ การปรับราคาเดือนละ 0.50 บาท ต่อกิโลกรัม จะมีผลทำให้ราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนตุลาคม 2557
6. เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2556 คณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบฯ ได้พิจารณาเกณฑ์การช่วยเหลือ ผู้ได้รับผลกระทบทั้งในส่วนของครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร สรุปได้ดังนี้
6.1 ครัวเรือนรายได้น้อย (1) ผู้ใช้ถังขนาด 4 กิโลกรัม ได้รับการช่วยเหลือ 1 ถังต่อเดือน (2) ผู้ใช้ถังขนาด 7 กิโลกรัม ได้รับการช่วยเหลือ 2 ถังต่อ 3 เดือน และ (3) ผู้ใช้ถังขนาด 11.5, 13.5 และ 15 กิโลกรัม ได้รับการช่วยเหลือ 1 ถังต่อ 3 เดือน
6.2 ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร (1) ผู้ใช้ถังขนาด 4 กิโลกรัม ได้รับการช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 37 ถังต่อเดือน (2) ผู้ใช้ถังขนาด 7 กิโลกรัม ได้รับการช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 21 ถังต่อเดือน (3) ผู้ใช้ถังขนาด 11.5 กิโลกรัม ได้รับการช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 13 ถังต่อเดือน (4) ผู้ใช้ถังขนาด 13.5 กิโลกรัม ได้รับการช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 11 ถังต่อเดือน และ (5) ผู้ใช้ถังขนาด 15 กิโลกรัม ได้รับการช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 10 ถังต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. รับทราบความก้าวหน้าของแผนการดำเนินการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน
2. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2556 เป็นถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2556
3. เห็นชอบปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม
4. เห็นชอบเกณฑ์การช่วยเหลือ ดังนี้
4.1 ครัวเรือนรายได้น้อย ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 6 กิโลกรัมต่อเดือน หรือไม่เกิน 18 กิโลกรัมต่อ 3 เดือน
4.2 ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ช่วยเหลือตามการใช้จริงแต่ไม่เกิน 150 กิโลกรัมต่อเดือน
ทั้งนี้ ผู้ได้รับการช่วยเหลือสามารถใช้ถังได้ทุกขนาด แต่ไม่เกิน 15 กิโลกรัม
กบง. ครั้งที่ 155 - วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 21/2556 (ครั้งที่ 155)
วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายนที ทับมณี เป็นกรรมการและเลขานุการ แทนผู้อำนวยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมที่อัตรา 2.10 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 1.60 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เปลี่ยนไป รวมทั้งการปรับขึ้นราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลดังกล่าว ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 21 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 25 มิถุนายน 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 99.20, 116.84 และ 119.51 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 4.10, 2.84 และ 2.93 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 19 มิถุนายน 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 25 มิถุนายน 2556 อยู่ที่ 31.1223 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.0382 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 19 มิถุนายน 2556 ซึ่งอยู่ที่ 31.0841 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และผู้ค้าน้ำมันไม่มีการปรับราคาขายปลีกตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2556
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2556 มีทรัพย์สินรวม 17,146 ล้านบาท หนี้สินรวม14,735 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 2,411 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 26 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.50 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 2.1651 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.68 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 30.46 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 100.69 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 131.14 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จาก 1.60 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและ แผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 154 - วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 20/2556 (ครั้งที่ 154)
พฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รองปลัดกระทรวงพลังงาน นายคุรุจิต นาครทรรพ เป็นกรรมการและประธานที่ประชุม แทนปลัดกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จากเดิมที่อัตรา 2.40 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2.10 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง ต่อมาเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2556 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 E20 ขึ้นชนิดละ 0.30 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ปรับขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เปลี่ยนไป รวมทั้งการปรับขึ้นราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลดังกล่าว ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 17 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 19 มิถุนายน 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 103.30, 119.68 และ 122.44 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.18, 2.73 และ 3.24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 19 มิถุนายน 2556 ที่ 31.0841 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.0612 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 13 มิถุนายน 2556 ซึ่งอยู่ที่ 31.1453 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีก 2 ครั้ง คือในวันที่ 15 มิถุนายน 2556 และวันที่ 19 มิถุนายน 2556 โดยปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 91E10 และ E20 เพิ่มขึ้นรวมชนิดละ 0.60 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 เพิ่มขึ้นรวม 0.40 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 16 มิถุนายน 2556 มีทรัพย์สินรวม 16,746 ล้านบาท หนี้สินรวม 15,120 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 1,625 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการปรับเพิ่มราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศ ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.45 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.79 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.54 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 30.46 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 131.14 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 100.69 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร จาก 2.10 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.60 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและ แผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 153 - วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 19/2556 (ครั้งที่ 153)
วันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายนที ทับมณี เป็นกรรมการและเลขานุการ แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2556 กบง. ได้มีการพิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร จากเดิมที่อัตรา 3.00 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 2.40 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ รวมทั้งราคาปิดตลาด ของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เปลี่ยนไป ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 13 มิถุนายน 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และ น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 100.12, 116.92 และ 119.20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ และน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวลดลง 0.49 และ 2.18 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยเปรียบเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2556 ซึ่งได้นำเสนอในการประชุมเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2556 ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2556 อยู่ที่ 31.1453 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.3896 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 7 มิถุนายน 2556 ซึ่งอยู่ที่ 30.7557 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2556 ผู้ค้าน้ำมันไม่มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2556 มีทรัพย์สินรวม 15,788 ล้านบาท หนี้สินรวม 15,079 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 708 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 14 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เพื่อให้ ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.45 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.53 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.47 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 16.96 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 140.13 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 123.17 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จาก 2.40 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 152 - วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 18/2556 (ครั้งที่ 152)
วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 กบง. ได้มีการพิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันไม่เปลี่ยนแปลง ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ รวมทั้งราคาปิดตลาด ของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่เปลี่ยนไป ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 7 มิถุนายน 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และ น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 100.61, 119.13 และ 118.57 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.12, 4.58 และ 1.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยเปรียบเทียบกับราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 ซึ่งได้นำเสนอในการประชุมเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2556 อยู่ที่ 30.7557 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.4236 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 30.3321 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2556 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2556 มีทรัพย์สินรวม 15,788 ล้านบาท หนี้สินรวม 15,079 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 708 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง และการปรับเพิ่มราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศ ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 10 มิถุนายน 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เพื่อให้ ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.53 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.52 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.53 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 33.92 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 174.05 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 140.13 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร จาก 3.00 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและ แผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 149 - วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 15/2556 (ครั้งที่ 149)
วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1.รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 กบง. ได้มีการพิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.1505 บาทต่อลิตร และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เปลี่ยนแปลง และโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 20 พฤษภาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 101.50, 114.86 และ 118.89 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวลดลง 0.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.36 และ 2.08 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากผลการประชุมเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 8 พฤษภาคม 2556) ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 อยู่ที่ 30.0107 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.3015 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 29.7092 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันฯ ได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ขึ้นชนิดละ 0.40 บาทต่อลิตร ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลคงเดิมที่ 29.99 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 19 พฤษภาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 10,399 ล้านบาท หนี้สินรวม 13,564 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 3,165 ล้านบาท
6. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง และการปรับเพิ่มราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศ ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2556
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากเดิมที่อัตรา 0.9442 บาทต่อลิตร อยู่ที่อัตรา 1.5442 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.53 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.52 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 33.92 ล้านบาท จากวันละ 214.77 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 180.85 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร จาก 3.60 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 3.00 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2556 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 อนุมัติให้ดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 กำหนดเป้าหมายการรับจำนำหัวมันสด 10 ล้านตัน ทั้งนี้กระทรวงพลังงาน ได้สนับสนุนให้นำมันสำปะหลังผลิตเอทานอล โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้กากน้ำตาลต่อมันสำปะหลังในการผลิตเอทานอลเป็น 62 : 38 และให้ใช้วัตถุดิบจากมันสำปะหลังในการผลิตเอทานอลคิดเป็นปริมาณหัวมันสด 1.6 ล้านตันต่อปี ผลิตเอทานอลได้ 0.76 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 255.60 ล้านลิตรต่อปี
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 กบง. ได้เห็นชอบการปรับสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลจากมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น โดยกำหนดสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลัง เท่ากับ 62 : 38 พร้อมทั้งให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ดำเนินการตรวจสอบสัดส่วนปริมาณการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลและมันสำปะหลังที่ใช้ผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลรายเดือนของผู้ค้าน้ำมันแต่ละราย ให้เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนด และให้ พพ. ประสานกรมการค้าภายใน เพื่อตรวจสอบว่าผู้ผลิตเอทานอลใช้มันสำปะหลังในโครงการรับจำนำ โดยผู้ผลิตเอทานอลจากมันเส้นให้ใช้มันเส้นจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ส่วนผู้ผลิตจากมันสดให้เปิดจุดรับซื้อ มันสดที่หน้าโรงงาน และผู้ผลิตจากน้ำอ้อยให้ถือว่าอยู่ในกลุ่มกากน้ำตาล โดยให้รวบรวมรายงานการซื้อมันสำปะหลังเป็นรายเดือน และแจ้งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเป็นรายไตรมาส
3. เป้าหมายการรับซื้อเอทานอลเพื่อใช้ในการผลิตแก๊สโซฮอลตามโครงการ คือ มีเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลร้อยละ 62 และผลิตจากมันสำปะหลังร้อยละ 38 หรือ 0.76 ล้านลิตร/วัน โดยมีบริษัทผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง เข้าร่วมโครงการ 6 ราย ได้แก่ บจ. ทรัพย์ทิพย์, บมจ. พี.เอส.ซี สตาร์ช โปรดักส์, บมจ.ไทยเอทานอล พาวเวอร์, บจ.ไท่ผิงเอทานอล, บจ. ดั๊บเบิ้ล เอ เอทานอล และ บจ.อุบล ไบโอเอทานอล และมีผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่มีการจัดซื้อเอทานอลเพื่อใช้ในการผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล จำนวน 11 ราย คือ บจ.เชลล์แห่งประเทศไทย, บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย), บมจ.บางจากปิโตรเลียม, บมจ.ปตท., บมจ.สยามเฆมี, บมจ. ไทยออยล์,บจ.ซัสโก้ ดีลเลอร์ส, บจ.เชฟรอน(ไทย), บมจ. ไออาร์พีซี, บมจ. สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง และ บจ.ทรานส์เทคเอ็นเนอยี่
4. จากการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 1/2556 มีการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลัง ในสัดส่วนร้อยละ 77.5 : 22.5 หรือเท่ากับ 157,721,430 ลิตร และ 45,732,235 ลิตร ตามลำดับ คิดเป็นปริมาณการใช้หัวมันสดจำนวน 286,227.45 ตัน แต่มีการใช้หัวมันสดในโครงการฯ เพียง 53,145.32 ตัน เนื่องจากมีเกษตรกรมาจำนำหัวมันสดในปริมาณน้อย ทำให้ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ผลิตเอทานอลที่เข้าร่วมโครงการฯ อีกทั้ง อคส. ยังไม่ส่งมอบมันเส้นในโครงการฯ ทำให้ผู้ผลิตเอทานอลจำเป็นต้องใช้มันสดและมันเส้นในประเทศซึ่งอยู่นอกโครงการฯ ซึ่งมันสำปะหลังนอกโครงการฯ ดังกล่าวไม่นับรวมเป็นปริมาณมันสำปะหลังที่ต้องใช้ตามโครงการฯ โดยปริมาณมันสำปะหลังที่ผู้ผลิตเอทานอลจะต้องซื้อชดเชยเพิ่มเติมจากมันสำปะหลังในโครงการสำหรับไตรมาสที่ 1/2556 คิดเป็นหัวมันสด 233,082.12 ตัน หรือคิดเป็นมันเส้น 97,924.28 ตัน สรุปได้ตามตารางดังนี้
5. ปัญหา/อุปสรรค ในการดำเนินโครงการฯ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของผู้ผลิตเอทานอล ได้แก่ (1) เกษตรกรนำหัวมันสดมาจำนำที่โรงงานผู้ผลิตเอทานอลซึ่งเปิดเป็นจุดรับจำนำน้อยกว่าเป้าหมาย (2) ผู้ผลิตเอทานอลไม่ทราบราคามันเส้นที่แน่นอนจากโครงการฯ (3) บริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ เอทานอล จำกัด (กำลังการผลิต 250,000 ลิตรต่อวัน) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลในเดือนกุมภาพันธ์ และมีนาคม 2556 เพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัด ซึ่งคาดว่าจะเดินเครื่องผลิตเอทานอลได้ในเดือนพฤษภาคม 2556 และ (4) ผู้ผลิตเอทานอลบางรายเป็นผู้ผลิตรายใหม่เพิ่งเริ่มผลิตเอทานอลเชิงพาณิชย์ ในเดือน มกราคม 2556 ทำให้เดินเครื่องได้ไม่เต็มกำลังการผลิต และ ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ได้แก่ (1) ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 บางราย ได้ทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้ากับผู้ผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาลไปแล้ว ก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ทำให้ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน และ (2) มีผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังเข้าประมูลน้อยรายและเสนอราคาประมูลสูงเกินไป
6. แนวทางการแก้ไขปัญหาของโครงการฯ แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของผู้ผลิตเอทานอล โดยกระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา เพื่อเร่งส่งมอบมันเส้นในโครงการฯ สำหรับไตรมาสที่ 1/2556 ให้กับผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังตามปริมาณเอทานอลที่ได้จำหน่ายให้แก่ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ไปแล้ว และส่งมอบมันเส้นสำหรับไตรมาสที่ 2/2556 เพื่อให้ผู้ผลิตเอทานอลที่ใช้มันเส้นในโครงการฯ ผลิตเอทานอล และในส่วนของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 กระทรวงพลังงานโดยกรมธุรกิจพลังงานประชุมร่วมกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อขอความร่วมมือให้รับซื้อเอทานอลตามสัดส่วนเอทานอลจากกากน้ำตาล : มันสำปะหลังเป็น 62 : 38
มติของที่ประชุม
1. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จัดทำรายงานผลการดำเนินการ ปัญหา และอุปสรรค ในไตรมาสที่ 1/2556 เสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบ
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหารือกับกรมธุรกิจพลังงานและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อปรับสูตรโครงสร้างราคาเอทานอลใหม่ให้เหมาะสม
กบง. ครั้งที่ 148 - วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 14/2556 (ครั้งที่ 148)
วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556 กบง. ได้มีการพิจารณาโครงสร้างราคาและค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และดีเซลอยู่ที่ 0.9528, 0.9705, 1.0761 และ 0.6081 ตามลำดับ และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 ลงชนิดละ 0.70 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลลดลง 0.90 บาทต่อลิตร ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง และโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 30 เมษายน 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ 101.7, 113.50 และ 116.81 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.65 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 0.31 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากการประชุมเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 26 เมษายน 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2556 อยู่ที่ 29.7092 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.2837 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 26 เมษายน 2556 ซึ่งอยู่ที่ 29.4255 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันฯ ได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ขึ้นชนิดละ 0.40 บาทต่อลิตร ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลคงเดิมที่ 29.99 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 8,083 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,515 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 6,432 ล้านบาท
6. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง และการปรับเพิ่มราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศ ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 พฤษภาคม 2556
จากโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว พบว่าค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซลอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซล ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นจากเดิมที่อัตรา 1.1505 บาทต่อลิตร อยู่ที่อัตรา 1.5505 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 1.53 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.54 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 22.61 ล้านบาท จากวันละ 237.38 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 214.77 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 4.00 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 3.60 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 เป็นต้นไป