Super User
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 23-29 มิถุนายน 2551
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 11 มกราคม 2549
กบง. ครั้งที่ 135 - วันอังคารที่ 8 มกราคม 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2556 (ครั้งที่ 135)
วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
2. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2556
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายณอคุณ สิทธิพงศ์ กรรมการ เป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อราคาน้ำมันตลาดโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาคือเรื่องหน้าผาการคลัง (Fiscal cliff) ของสหรัฐอเมริกา ที่ได้คลี่คลายในระดับหนึ่ง ส่วนในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญคือ สภาพเศรษฐกิจของจีนที่กำลังเติบโต และในเขตเอเชียเหนือ ได้แก่ จีน และเกาหลีมีอุณหภูมิลดต่ำมาก ทำให้ต้องใช้มาตรการพิเศษในการผลิตน้ำมัน ประกอบกับท่อขนส่งน้ำมันทางทะเล (Seaway) ในสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มกำลังขนส่งจากเขต Cushingในรัฐโอกลาโฮมา ไปยังโรงกลั่นทางตอนใต้ในเขต Gulf Coast รัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกาจาก 150,000 บาร์เรล เป็น 400,000 บาร์เรล ส่งผลให้ปริมาณสำรองลดลง จึงทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ในส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป แนวโน้มราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันในไต้หวันปิดปรับปรุง 3 เดือน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลจากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว และปริมาณสำรองในสิงคโปร์ปรับลดลงต่ำสุดในช่วง 2 สัปดาห์ สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2555 ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2556 อยู่ในระดับสูง
เรื่องที่ 2 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3cกำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 7 มกราคม 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 106.60, 121.01 และ125.47 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.48, 4.56 และ 3.76 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2555 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลขึ้น 2 ครั้ง ครั้งละ 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2555 และวันที่ 4 มกราคม 2556 ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 8 มกราคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 8 มกราคม 2556
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 6 มกราคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 6,075 ล้านบาท หนี้สินรวม 22,555 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 16,479 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 23.04 ล้านบาท จากวันละ 117.96 ล้านบาท เป็นวันละ 94.92 ล้านบาท
เห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.50 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2556 เป็นต้นไป
,a name=3>
เรื่องที่ 3 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2556
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ นำระบบการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ซึ่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551
2. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2555 กรมบัญชีกลางได้จัดส่งกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2556 ให้ สนพ. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการประเมินผล ต่อมา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 สนพ. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กรมบัญชีกลาง และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2556 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานกับกรมบัญชีกลางและบริษัท ทริส เพื่อปรับปรุงเกณฑ์การประเมินผลฯ ให้สอดคล้องกับกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลฯ
ของกรมบัญชีกลาง และสถานการณ์ของกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบัน โดยสรุปเกณฑ์การประเมินผลฯ ได้ดังนี้
2.1 ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากความสามารถในการหาเงินกู้ของกองทุนฯ (2) อัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ และ (3) การจัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 170 ให้กรมบัญชีกลาง
2.2 ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) การรักษามาตรฐานระยะเวลาการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยตามประกาศ กบง. (2) การรักษามาตรฐานระยะเวลาในการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยก๊าซแอลพีจีนำเข้าจากต่างประเทศ และ (3) ร้อยละของการเผยแพร่ประมาณการรับ-จ่ายที่เกิดขึ้นตามประกาศ กบง. ทางเว็บไซต์ สบพน. ได้ภายในวันทำการถัดไปของวันที่มีผลปรับอัตราเงินชดเชย/เงินส่งเข้ากองทุน ตามประกาศ กบง.
2.3 การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ (2) ระดับความสำเร็จของการนำข้อคิดเห็นจากการสำรวจความพึงพอใจไปปรับปรุง
2.4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียนการบริหารความเสี่ยง (3) การควบคุมภายใน (4) การตรวจสอบภายใน (5) การบริหารจัดการสารสนเทศ และ (6) การบริหารทรัพยากรบุคคล
3. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 กรมบัญชีกลางได้แจ้งว่า คณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน กระทรวงการคลัง ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดเกณฑ์ชี้วัดของการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ตามที่ได้หารือเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 แล้ว และกรมบัญชีกลางจึงได้จัดส่ง "บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2556 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ให้ สนพ. เพื่อนำเสนอผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และส่งคืนกรมบัญชีกลางภายใน 30 วันนับจากวันที่กรมบัญชีกลางส่งบันทึกข้อตกลงฯ
4. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2555 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2556 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ เสนอให้ประธาน กบง. ลงนามเรียบร้อยแล้ว และได้จัดส่งบันทึกข้อตกลงดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางเพื่อดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ตาม ระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 หมวด 6 การตรวจสอบภายใน ข้อ 18 ให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุน อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 วรรคสาม- ให้แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. เป็นผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอให้ กบง. ทราบต่อไป
2. ในปีงบประมาณ 2555 ผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. ได้ดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ พร้อมทั้งได้สรุปผลการตรวจสอบกับผู้รับผิดชอบและผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงานแล้ว จำนวน 3 กิจกรรม ดังนี้
2.1 ตรวจสอบการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2554 ทั้งหมด 512 รายการ จำนวนเงินทั้งสิ้น 715,773,250.33 บาท นำเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. เพื่อพิจารณาความถูกต้องของการบันทึกบัญชี และสอบทานระยะเวลาดำเนินการให้เป็นไปตามที่ระเบียบฯ กำหนด ดังนี้ (1) ระยะเวลาการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ระเบียบฯ กำหนดให้ส่งเงินเข้าบัญชีฯ อย่างช้าภายใน 2 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน จากการสอบทานเอกสารพบว่าทั้ง 512 รายการ มีการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ภายในระยะเวลาที่ระเบียบกำหนดไว้ และ (2) ระยะเวลาการจัดทำรายละเอียดพร้อมแนบสำเนาใบนำฝากเงิน (Pay-in-Slip) และสำเนาใบส่งเงินส่งให้ สบพน. ระเบียบฯ กำหนดภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ได้นำเงินฝากเข้าบัญชี จากการสอบทาน พบว่า ไม่เป็นไปตามที่ระเบียบฯ กำหนด จำนวน 162 รายการ สาเหตุเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสรรพสามิตพื้นที่ต่างจังหวัด ต้องส่งเอกสารทางไปรษณีย์ จึงทำให้เอกสารมาถึง สบพน. ล่าช้า
2.2 ตรวจสอบการจ่ายเงินชดเชยก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนเมษายน 2555 จำนวนเงิน 24,935,251,017.83 บาท เสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. เพื่อพิจารณาให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่ระเบียบฯและมติของ กบง.
2.3 ตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเบิก - จ่ายเงิน ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2555 และโครงการต่อเนื่อง ระหว่างเดือนเมษายน 2554 - เดือนกรกฎาคม 2555 นำเสนอคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. ดังนี้ (1) โครงการที่ได้รับอนุมัติให้เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ และยังไม่ปิดโครงการ 19- โครงการ วงเงินอนุมัติ 1,137,470,229 บาท เบิกใช้จ่ายแล้ว 522,590,313.25 บาท คงเหลือ 614,879,913.75 บาท (2) โครงการที่ได้รับอนุมัติให้เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ที่ปิดโครงการแล้ว 15 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 526,668,315 บาท เบิกจ่ายแล้ว 308,878,381.47 บาท คงเหลือ 217,789,933.53 บาท ใช้จ่ายจริง 305,376,446.69 บาท คืนเงินต้นคงเหลือและดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ ภายใน 15 วัน ตามที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ และ (3) โครงการที่เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้วและมิได้จัดทำรายงานสรุปการรับ-จ่ายเงินกองทุนประจำเดือนส่งให้ สบพน. ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV (ธพ.) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ด้านนโยบายพลังงาน ระยะที่ 2 (สป.พน.) โครงการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน (สป.พน.) และโครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ (สป.พน.)
3. คณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. มีความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ (1) ให้ สบพน. แจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 กำหนดไว้ (2) หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ ควรขอเบิกเงินให้เป็นไปตามแผนการใช้เงิน ที่ได้รับอนุมัติจาก กบง. และหากเบิกเงินตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป ควรสรุปผลการใช้จ่ายเงินในงวดที่ผ่านมาให้กองทุนน้ำมันฯ รับทราบ (3) โครงการที่ไม่มีการดำเนินการ หรือผ่านมาหลายปีแล้ว ควรทำเรื่องเสนอให้ กบง. พิจารณาเพื่อยกเลิกโครงการดังกล่าว และ (4) การจัดทำร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิก-จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ควรเพิ่มเติมรายละเอียดให้ครอบคลุมเกี่ยวกับระยะเวลาการเบิกเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินจากกองทุน น้ำมันฯ และควรระบุให้มีการสรุปผลการดำเนินโครงการว่าผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่อย่างไร พร้อมกับการส่งคืนเงินคงเหลือและดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 16-22 มิถุนายน 2551
รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 24 สิงหาคม 53
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 4-10 ธันวาคม 2549
รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 16 สิงหาคม 53
กบง. ครั้งที่ 134 - วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 37/2555 (ครั้งที่ 134) 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
ประธานฯ ได้แจ้งที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายจะปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ซึ่งกระทรวงพลังงานจะต้องมีแนวทางการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเชิญประชุม กบง. เพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว
เรื่องที่ 1 แนวทางการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
1. คำแถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง ส่วนการชดเชยราคาเชื้อเพลิงจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 เห็นชอบให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน (18.13 บาทต่อกิโลกรัม) ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายในการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ให้สะท้อนต้นทุนที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซในปี 2556 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า หาบเร่ แผงลอย
3. จากการสำรวจของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พบว่า โดยทั่วไปครัวเรือนจะใช้ก๊าซ ในการประกอบอาหารประมาณ 6 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ไปสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซจะทำให้ประชาชนจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพียงเดือนละประมาณ 60 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่น้อยมาก แต่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบร้านอาหารอาจฉวยโอกาสขึ้นราคาอาหาร ดังนั้น จึงได้กำหนดกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบที่ควรได้รับการช่วยเหลือ 2 กลุ่ม ดังนี้
3.1 กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย: สามารถใช้ข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ส่วนผู้ที่ไม่มีไฟฟ้าจะใช้วิธีเปิดลงทะเบียนโดยใช้ท้องถิ่นเป็นจุดลงทะเบียน โดยการช่วยเหลือจะชดเชยในปริมาณ 6 กิโลกรัมต่อเดือน ในอัตราชดเชยระหว่างส่วนต่างราคา 18.13 บาทต่อกิโลกรัม กับราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น
จำนวนครัวเรือนผู้ใช้ไฟฟ้าแยกตามปริมาณการใช้ไฟฟ้า
หน่วย : ราย
ปริมาณการใช้ไฟฟ้า | กฟน. | กฟภ. | ไม่มีไฟฟ้าใช้ | รวม |
ไม่เกิน 50 หน่วย | 140,961 | 3,337,742 | 194,907 | 3,673,610 |
ไม่เกิน 65 หน่วย | 482,39 | 5,191,835 | 194 ,907 | 5,869,139 |
ไม่เกิน 90 หน่วย | 671,766 | 7,470,472 | 194 ,907 | 8,337,145 |
เกิน 90 หน่วย | 1,947,215 | 9,699,640 | 194 ,907 | 11,841,762 |
จำนวนครัวเรือน | 2,618,981 | 17,170,112 | 194 ,907 | 19,984,000 |
3.2 กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร :ในเบื้องต้นคาดว่ามีผู้ประกอบการร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ประมาณ 500,000 ราย มีการใช้ก๊าซ LPG ในการประกอบอาหารเฉลี่ยร้านค้าละประมาณ 150 กิโลกรัมต่อเดือน ดังนั้น เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมและชัดเจนควรจัดให้มีการลงทะเบียนและจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวในการประกอบอาหาร ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 77 จังหวัด
4. ประมาณการภาระการช่วยเหลือกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย และร้านค้า หาบเร่ แผงลอย
หน่วย : ล้านบาท/ปี | ภาระการช่วยเหลือ | รวม | |
ครัวเรือน | ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร | ||
ไม่เกิน 50 หน่วย | 1,252 | 3,011 | 4,263 |
ไม่เกิน 65 หน่วย | 2,043 | 3 ,011 | 5,054 |
ไม่เกิน 90 หน่วย | 2,931 | 3 011 | 5,942 |
5. ฝ่ายเลขานุการได้เสนอการจัดทำฐานข้อมูล โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มดังนี้
5.1 กลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย : การกำหนดครัวเรือนรายได้น้อยจะอ้างอิงจากฐานข้อมูลครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หรือ 90 หน่วยต่อเดือน ซี่งจะใช้ฐานข้อมูลของ กฟน. และ กฟภ. ตามโครงการของรัฐบาลในการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยโดยจะให้ใช้ไฟฟ้าฟรี รวมถึงครัวเรือนรายได้น้อยที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ประมาณ 0.19 ล้านครัวเรือน ในส่วนนอกเขตเมืองจะใช้ฐานข้อมูลจากกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย และเขตเมืองจะว่าจ้างผู้มีความเชี่ยวชาญในการจัดทำฐานข้อมูลและลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิในการช่วยเหลือ
5.2 ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร :เพื่อให้การจัดทำฐานข้อมูลกลุ่มนี้มีความครอบคลุม ถูกต้อง ชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการจัดจุดลงทะเบียน โดยว่าจ้างผู้มีความเชี่ยวชาญจัดทำฐานข้อมูลและลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิในการช่วยเหลือ
6. ในการจัดทำฐานข้อมูลจะต้องมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อดำเนินการในการจัดทำฐานข้อมูลและลงทะเบียนสำหรับกลุ่มครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าในเขตเมืองและกลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ทั่วประเทศจำนวน 77 จังหวัด ทั้งนี้ในการเตรียมการเพื่อให้มีการลงทะเบียนดังกล่าวจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ให้กับผู้เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้าถึงรายละเอียด หลักเกณฑ์ วัน เวลา สถานที่ลงทะเบียน และอื่นๆ ซึ่งได้มีการประมาณการค่าใช้จ่ายไว้เบื้องต้นในวงเงินประมาณ 50 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย โดยอิงจากฐานข้อมูลครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
2. อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานในการดำเนินงาน โครงการจัดทำฐานข้อมูลร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพื่อรองรับการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในวงเงิน 50 ล้านบาท (ห้าสิบล้านบาทถ้วน) โดยสามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 2 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน
สรุปสาระสำคัญ
คำแถลงนโยบายรัฐบาล เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคาเชื้อเพลิง ส่วนการชดเชยราคาเชื้อเพลิงจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
2. ตามคำสั่ง กพช. ครั้งที่ 4/2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในข้อ 3 (8) ได้กำหนดให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีอำนาจและหน้าที่ในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการช่วยปฏิบัติงาน ในหน้าที่ตามความจำเป็น
3. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายในการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนให้สะท้อนต้นทุนที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซในปี 2556 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มผู้ประกอบการร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงมีนโยบายบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ ภาคครัวเรือน
4.เพื่อให้การขับเคลื่อนการดำเนินการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานอนุกรรมการ (2) หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงพลังงาน (3) ผู้แทนกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (4) ผู้แทนกรมการพัฒนาชุมชน (5) ผู้แทนกรมการค้าภายใน (6) ผู้แทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (7) ผู้แทนการไฟฟ้านครหลวง (8) ผู้แทนกรมธุรกิจพลังงาน (9) ผู้แทนธนาคารกรุงไทย (10) ผู้แทนสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ลำดับที่ (2) ถึง (10) เป็นอนุกรรมการ (11) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ (12) รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (13) ผู้อำนวยการสำนักนโยบายปิโตรเลียมและปิโตรเคมี เป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
โดยมีอำนาจและหน้าที่ ดังนี้ (1) กำหนดแนวทางการบรรเทาผลกระทบ หลักเกณฑ์และคุณสมบัติผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน (2) พิจารณาการจัดทำฐานข้อมูล การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน 3) มีอำนาจเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมพิจารณา รวมทั้งจัดหา รวบรวม จัดส่งหรือชี้แจงเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง (4)ดำเนินการอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว> (LPG) ภาคครัวเรือน