Super User
กบง.ครั้งที่70 -วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 23/2561 (ครั้งที่ 70)
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 เวลา 11.30 น.
1. หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
เรื่องที่ 1 หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2561 เห็นชอบหลักเกณฑ์ การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดย ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (บาทต่อลิตร) เท่ากับ (1-X) ของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงราคากลางของตลาดภูมิภาคเอเชีย บวก (X) ของราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน โดยที่ ค่า X เท่ากับร้อยละโดยปริมาตรไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์อัตราต่ำของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามประกาศกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และราคาไบโอดีเซล (บาทต่อลิตร) คือ ราคาอ้างอิง ไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามหลักเกณฑ์ที่ กบง. เห็นชอบ ที่ผ่านมา ธพ. ได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กําหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล (ฉบับที่ 10) พ.ศ. 2560 โดยให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีสัดส่วนไบโอดีเซลอยู่ที่ร้อยละ 6.5 ถึง 7.0 ซึ่งปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันผสมไบโอดีเซลอยู่ที่ร้อยละ 6.6 โดยปริมาตร ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธพ. ได้จัดทำประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กําหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันดีเซล โดยให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีสัดส่วนไบโอดีเซลอยู่ที่ร้อยละ 6.6 ถึง 7.0 โดยอยู่ในขั้นตอนการประกาศลง ราชกิจจานุเบกษา โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
2. สถานการณ์ผลผลิตปาล์ม ปี 2561 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้ประมาณการว่าจะมีปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมัน 15.389 ล้านตัน ขณะที่ผลการตรวจสอบของคณะทำงานตรวจสอบสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือทั้งระบบระดับจังหวัด ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 ปรากฏว่ามีสต๊อกน้ำมันปาล์มคงเหลือ 375,591 ตัน สูงกว่าระดับสต๊อกปกติของประเทศที่ควรจะมีที่ 250,000 ตัน ซึ่งทำให้ราคาผลปาล์มน้ำมันเคลื่อนไหวอยู่ในเกณฑ์ต่ำอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการดูดซับสต๊อกส่วนเกินจำนวน 125,591 ตัน เพื่อให้ปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบให้กลับอยู่ในภาวะสมดุล
3. เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศ กรมธุรกิจพลังงาน ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยขอปรับปรุงค่า X จากเดิมเท่ากับ “ร้อยละโดยปริมาตรไบโอดีเซลประเภทเมทิล เอสเตอร์อัตราต่ำของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามประกาศกรมธุรกิจพลังงาน” ขอแก้ไขเป็น “ร้อยละโดยปริมาตรไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์อัตราเฉลี่ยการใช้จริงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามประกาศกรมธุรกิจพลังงาน” โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป และมอบหมายให้ ธพ. ติดตามตรวจสอบการใช้ไบโอดีเซลผสมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6.8 ด้วยวิธีการและมาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้มีปริมาณการใช้ ไบโอดีเซลสูงสุด ทั้งนี้ การเพิ่มสัดส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากร้อยละ 6.5 ถึง 7.0 เป็นร้อยละ 6.6 ถึง 7.0 จะส่งผลให้อัตราเฉลี่ยการใช้จริงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศ ธพ. อยู่ที่ร้อยละ 6.8 ซึ่งจะช่วย ดูดซับสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นประมาณ 62,000 ตันต่อปี และทำให้ต้นทุนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้นประมาณ 0.01 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว = (1-X) ของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงราคากลางของตลาดภูมิภาคเอเชีย + (X) ของราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน
โดยที่ X = ร้อยละโดยปริมาตรไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์อัตราเฉลี่ยของน้ำมันดีเซล หมุนเร็วตามประกาศกรมธุรกิจพลังงาน
ไบโอดีเซล = ราคาอ้างอิงไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามหลักเกณฑ์ที่ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเห็นชอบ (บาทต่อลิตร)
น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงราคากลางของตลาดภูมิภาคเอเชีย = (MOPS Gasoil 50 ppm + พรีเมียม) ที่ 600F x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984
โดยที่ พรีเมียม = ค่าขนส่ง World Scale ด้วยเรือขนาด LR1 แบบ Long Term Charter (สิงคโปร์ – ศรีราชา) + ค่าขนส่งทางท่อ (ศรีราชา – กรุงเทพฯ) + ค่าประกันภัยร้อยละ 0.084 ของ C&F +ค่าสูญเสียร้อยละ 0.3 ของ CIF + ค่าสำรองน้ำมัน เพื่อความมั่นคง 0.68 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตามตรวจสอบการใช้ไบโอดีเซลผสมในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 6.8 ด้วยวิธีการและมาตรการที่เหมาะสมเพื่อให้มีปริมาณการใช้ไบโอดีเซลสูงสุด
กบง.ครั้งที่69 -วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 22/2561 (ครั้งที่ 69)
วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 08.00 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันที่ 20 เมษายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบ ค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมที่ 1.85 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลให้มีค่าใกล้ศูนย์สุทธิ ต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในอัตราไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท โดยสามารถชดเชยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยในอัตรา 0.30 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ รายงาน กบง. ทราบทุกเดือน และเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2561 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ดังนี้ (1) กรณีราคาน้ำมันดิบดูไบไม่เกิน 87.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 1.50 บาทต่อลิตร (2) กรณีราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในช่วง 87.5 -92.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยไม่เกิน 1.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 2.00 บาทต่อลิตร และ/หรือปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก 0.50 บาทต่อลิตร และ/หรือปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2561 มีดังนี้ (1) น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 74.95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 81.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (3) น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 93.86 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (4) อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 33.0969 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (5) ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 22 - 26 ตุลาคม 2561 ลิตรละ 22.68 บาท และ (6) ราคาเอทานอล ณ เดือนตุลาคม 2561 ลิตรละ 23.31 บาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมัน ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2561 มีสินทรัพย์รวม 38,534 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,793 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 23,741 ล้านบาท โดยแยกเป็นบัญชีน้ำมัน 28,359 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 4,618 ล้านบาท จากสถานการณ์ราคาดังกล่าวข้างต้น ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2561 เป็นดังนี้ (1) ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 3.3302 2.5797 2.7468 2.8050 4.4961 1.9563 และ 2.1916 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีก อยู่ที่ 37.24 29.85 29.58 26.84 21.14 29.89 และ 26.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ปัจจุบันน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 รัฐยังคงชดเชยราคา โดยกลุ่มของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลมีรายรับประมาณ 41 ล้านบาทต่อเดือน กลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว มีรายจ่ายประมาณ 1,122 ล้านบาทต่อเดือน และภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 1,071 ล้านบาทต่อเดือน
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่มีแนวโน้มราคาลดลงอย่างต่อเนื่องฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้มีเงินสะสมไว้ใช้ในสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีความผันผวน โดยมีหลักการ ดังนี้ (1) กรอบล่าง สำหรับน้ำมันกลุ่มเบนซิน และแก๊สโซฮอลให้ใช้อัตราปัจจุบัน ดังนี้ น้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ที่ 6.68 0.72 0.72 -2.18 และ -7.78 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้ใช้กรอบล่างชดเชยที่อัตราไม่เกิน1.00 บาทต่อลิตร และ (2) กรอบบน สำหรับน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล ในช่วงราคาน้ำมันปรับตัวลดลงสามารถปรับเพิ่มอัตราส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพิ่มขึ้นจากกรอบล่างได้ไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร ดังนี้ น้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 มีกรอบบนอยู่ที่ 7.68 1.72 1.72 -1.18 และ -6.78 ตามลำดับ ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกรอบบนอยู่ที่ไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ในการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้ยึดหลักเกณฑ์ค่าการตลาดเฉลี่ยที่เหมาะสม ตามมติ กบง. วันที่ 20 เมษายน 2561 และมอบหมายให้ สบพน. จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของบัญชีน้ำมัน เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกครั้ง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบกรอบการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
กลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอล* กรอบล่าง = 0.00 บาท/ลิตร กรอบบน = 1.00 บาท/ลิตร
- น้ำมันเบนซิน กรอบล่าง = 6.68 บาท/ลิตร กรอบบน = 7.68 บาท/ลิตร
- น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 กรอบล่าง = 0.72 บาท/ลิตร กรอบบน = 1.72บาท/ลิตร
- น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 กรอบล่าง = 0.72 บาท/ลิตร กรอบบน = 1.72บาท/ลิตร
- น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 กรอบล่าง = -2.18 บาท/ลิตร กรอบบน = -1.18 บาท/ลิตร
- น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 กรอบล่าง = -7.78 บาท/ลิตร กรอบบน = -6.78 บาท/ลิตร
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว กรอบล่าง = -1.50 บาท/ลิตร กรอบบน = 1.00 บาท/ลิตร
หมายเหตุ * อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการใช้แต่ละชนิดน้ำมันในกลุ่มน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอล
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามกรอบข้อ 1 โดยสามารถปรับได้โดยการรักษาระดับค่าการตลาดที่เหมาะสมและส่วนต่างราคาขายปลีก ที่คำนึงถึงค่าความร้อนของชนิดเชื้อเพลิง และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อรายงานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ทราบทุกครั้ง
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 5 - 8 พฤศจิกายน 2561
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 29 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2561
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 19 - 22 พฤศจิกายน 2561
กบง. ครั้งที่68 -วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 พ.ศ. 2561
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 21/2561 (ครั้งที่ 68)
วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2561 เวลา 13.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
2. การขอนำส่งเงินและขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากโรงโอเลฟินส์
3. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. การขอผ่อนผันนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฝากกระทรวงการคลัง
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
สนพ. ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ มีทิศทางปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยหลักมาจากการที่ประเทศสหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรการส่งออกน้ำมันดิบของประเทศอิหร่านในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2561 ทำให้หลายประเทศเริ่มลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน เช่น ประเทศจีนลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบน้ำมันดิบจากจีนลงร้อยละ 50 และประเทศอินเดียหยุดการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านทั้งหมด ประกอบกับปัญหาทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศเวเนซุเอลาส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ประเทศซาอุดิอาราเบียและประเทศรัสเซียได้ประกาศปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบเพื่อทดแทนปริมาณน้ำมันดิบที่หายไปจากมาตรการคว่ำบาตรประเทศอิหร่าน ทำให้มีการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในเดือนตุลาคม 2561 จะยังทรงตัวอยู่ที่ 83 – 88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) ราคาก๊าซ LPG มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรประเทศอิหร่านและสงครามทางการค้าระหว่างประเทศจีนและประเทศสหรัฐฯ โดยราคา CP เดือนตุลาคม 2561 อยู่ที่ 655 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เพิ่มขึ้น 37.5 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน จากเดือนก่อนหน้า (3) ราคา LNG เดือนกันยายน 2561 ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากหลายประเทศเพิ่มปริมาณการสำรองเพื่อรองรับความต้องการใช้ในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับแหล่งผลิตก๊าซ LNG Asgard และ Sakhalin ของประเทศรัสเซียและประเทศบรูไนหยุดผลิตฉุกเฉิน ส่วนราคาก๊าซ LNG เดือนตุลาคม 2561 คาดการณ์ว่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากประเทศจีนปรับเพิ่มภาษีนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐอเมริกา (4) ราคาถ่านหินมีทิศทางปรับตัวลดลง โดยเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ 113.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากค่าเงินของประเทศผู้ผลิตถ่านหิน เช่น อินโดนีเซีย และจีน การอ่อนค่าลง รวมทั้งประเทศสหรัฐฯ ประสบปัญหาพายุเฮอร์ริเคนส่งผลกระทบต่อการส่งออกถ่านหิน รวมถึงนโยบายการควบคุมมลพิษของประเทศจีนทำให้มีส่งออกถ่านหินลดลง ทั้งนี้ ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อราคาถ่านหินในช่วงปลายปี คือ การเจรจาระหว่างผู้ผลิตถ่านหินจากประเทศออสเตรเลีย กับโรงไฟฟ้าประเทศญี่ปุ่น และ (5) โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2561 ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.24 บาทต่อลิตร ต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสมซึ่งอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 1.83 บาทต่อลิตร อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าการตลาดที่เหมาะสม ซึ่งอยู่ที่ 1.85 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 1.53 บาทต่อลิตร อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดเฉลี่ยที่เหมาะสมประมาณ 0.32 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2559 มีมติเห็นชอบ การดำเนินงานเพื่อเปิดเสรีธุรกิจก๊าซ LPG โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรโดยโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น และราคาโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และกำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก จาก CP-20 เป็น CP เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2560 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (บริษัท PTTGC) ได้มีหนังสือสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) แจ้งว่า บริษัท PTTGC นำบิวทาไดอีนเหลว จากโรงโอเลฟินส์มาทำการผลิตเป็นก๊าซ LPG จำนวน 5,000 ตัน ในเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคม 2560 เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าเป็นครั้งแรก และขอสอบถามว่าบริษัท PTTGC เข้าข่ายที่จะต้องนำส่งเงินกองทุนน้ำมันฯ และได้รับเงินชดเชยเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2560 หรือไม่ ทั้งนี้บริษัท PTTGC ได้นำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปก่อนตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2560 ข้อ 3 (2) และขอสงวนสิทธิ์ในการขอคืนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ หากทราบความชัดเจนว่าไม่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ
2. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 กบง. ได้มีมติเห็นชอบการนำส่งเงินและขอรับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ กรณีการผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากโรงโอเลฟินส์ ดังนี้ (1) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงโอเลฟินส์ เท่ากับ CP เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิต ในราชอาณาจักรจากโรงโอเลฟินส์ เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นและโรงโอเลฟินส์ ทั้งนี้มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ฉบับที่ 17/2560 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร จากโรงโอเลฟินส์ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 และ (2) มอบหมายให้ สนพ. หารือประเด็นปัญหาข้อกฎหมายไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เกี่ยวกับการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรจากโรงโอเลฟินส์ โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 อันมีผลทำให้โรงโอเลฟินส์มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมีสิทธิได้รับเงินชดเชยในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้หรือไม่
3. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 สนพ. ได้มีหนังสือถึง สคก. เพื่อหารือประเด็นข้อกฎหมายดังกล่าว ซึ่ง สคก. ได้มีหนังสือแจ้งผลตามบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 ว่าโรงโอเลฟินส์ไม่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนและไม่อาจได้รับเงินชดเชยในช่วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน 2560 ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ตามประกาศ กบง. ฉบับที่ 14 พ.ศ. 2560 และไม่มีเหตุที่ กบง.จะต้องออกประกาศให้โรงโอเลฟินส์นำส่งเงินเข้ากองทุนและมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากกองทุนในช่วงเวลาดังกล่าวแต่อย่างใด
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่3 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) วันที่ 28 กันยายน 2561 ได้มีมติเห็นชอบแนวทาง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในอัตราไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท โดยสามารถชดเชยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยในอัตรา 0.30 บาทต่อลิตร และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของบัญชีน้ำมัน เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกเดือน และต่อมาเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 กบง. ได้มีมติมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำแนวทางบรรเทาผลกระทบของราคาน้ำมันดิบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยให้นำเสนอต่อ กบง. ในการประชุมครั้งถัดไป
2. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2561 มีดังนี้ (1) น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 82.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 93.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (3) น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 99.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (4) อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 33.0500 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (5) ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 8-14 ตุลาคม 2561 ลิตรละ 22.69 บาท และ (6) ราคาเอทานอล ณ เดือนตุลาคม 2561 ลิตรละ 23.31 บาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2561 มีสินทรัพย์รวม 38,852 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,260 ล้านบาท ฐานะกองทุนสุทธิ 24,592 ล้านบาท โดยแยกเป็นบัญชีน้ำมัน 28,919 ล้านบาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 4,327 ล้านบาท จากสถานการณ์ราคาดังกล่าวข้างต้น ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2561 เป็นดังนี้ (1) ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 2.3601 1.8314 1.9988 2.3032 4.7209 1.2389 และ 1.2224 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 38.84 31.45 31.18 28.44 22.04 29.89 และ 26.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 รัฐยังคงชดเชยราคา แต่เข้าใกล้ ศูนย์-สุทธิ ในกลุ่มของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลแล้ว ดังนั้น ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ ประจำเดือนตุลาคม 2561 มีรายรับในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลประมาณ 41 ล้านบาทต่อเดือน ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายจากกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1,869 ล้านบาทต่อเดือน โดยภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบ 1,817 ล้านบาทต่อเดือน
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในวงเงินไม่เกิน 16,200 ล้านบาท ดังนี้ (1) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าไม่เกิน 85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับเพิ่มอัตราการชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 1.50 บาทต่อลิตร (2) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าอยู่ระหว่าง 85 – 87.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ โดยใช้อัตราการชดเชยที่ 1.50 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 29.89 บาทต่อลิตร เป็น 30.39 บาทต่อลิตร (3) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าอยู่ระหว่าง 87.5 - 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ โดยใช้อัตราการชดเชยที่ 1.50 บาทต่อลิตร ปรับเพิ่มราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 29.89 บาทต่อลิตร เป็น 30.39 บาทต่อลิตร และปรับลดภาษีสรรพสามิตลง 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิม 5.98 บาทต่อลิตร เป็น 5.48 บาทต่อลิตร และ (4) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเกิน 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หากดำเนินการตามแนวทางข้อ (1) – (3) แล้ว และวงเงินการช่วยเหลือของกองทุนน้ำมันฯ หมดแล้ว และราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ให้กองทุนน้ำมันฯ ทำการกู้เงินเพิ่ม 20,000 ล้านบาท และใช้กลไกการบรรเทาผลกระทบตามแนวทางข้อ (1) – (3) ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ดังนี้
1.1 กรณีราคาน้ำมันดิบดูไบไม่เกิน 87.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 1.50 บาทต่อลิตร
1.2 กรณีราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในช่วง 87.5 - 92.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยไม่เกิน 1.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 2.00 บาทต่อลิตร และ/หรือปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้นอีก 0.50 บาทต่อลิตร และ/หรือปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับกระทรวงการคลัง กรณีมีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
เรื่องที่4 การขอผ่อนผันนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฝากกระทรวงการคลัง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ได้ออกประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง มาตรฐานการเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารพัสดุ การบัญชี การรายงานทางการเงิน และการตรวจสอบภายในของทุนหมุนเวียน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 กำหนดให้ทุนหมุนเวียนดำเนินการเปิดบัญชีและนำเงินฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งรวมถึงกองทุนน้ำมันฯ ด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) ดำเนินการขอยกเว้นการเปิดบัญชีและนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และขอฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐต่อไป
2. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กบง. ได้มีหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง เพื่อขอยกเว้นการเปิดบัญชีและการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และขอฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ตามมติ กบง. ต่อมา เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือถึง สนพ. แจ้งว่า เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561 คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนได้พิจารณาในเรื่องดังกล่าว และได้มีมติเห็นชอบให้นำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปจัดหาผลประโยชน์ได้ในวงเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อไว้ใช้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ สำหรับเงินส่วนที่เหลือให้นำฝากกระทรวงการคลัง ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนฯ
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้หารือกรมบัญชีกลางโดยแจ้งว่ามติคณะกรรมการนโยบายการบริหาร ทุนหมุนเวียนเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561 นั้น ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ กบง. ที่ให้ขอยกเว้นการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปฝากกระทรวงการคลัง โดยหากนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปจัดหาผลประโยชน์ได้ทั้งหมด จะสามารถนำดอกเบี้ยที่ได้มาช่วยเพิ่มกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับใช้ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยในส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งต้องจัดสรรให้หน่วยงาน ที่ปฏิบัติงานสนับสนุนการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ได้แก่ สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. นอกจากนี้การรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ ของกองทุนน้ำมันฯ จะผันแปรไปตามสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันมีความผันผวนและมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 24,592 ล้านบาท และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 2,986 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงเกิน 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล คาดว่ากองทุนน้ำมันฯ จะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาได้ประมาณ 8 เดือน ดังนั้น กรมบัญชีกลางจึงได้มีข้อเสนอว่าให้ กบง. ทำหนังสือขอผ่อนผันนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ฝากกระทรวงการคลัง ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนฯ เพื่อกรมบัญชีกลางจะได้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนพิจารณาในการประชุมช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2561
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำหนังสือถึงกรมบัญชีกลาง เพื่อขอผ่อนผันการเปิดบัญชีและนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปฝากที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง โดยให้สามารถฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ
กบง. ครั้งที่67 -วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 20/2561 (ครั้งที่ 67)
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.30 น. น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานสถานการณ์ก๊าซ LPG ในรอบเดือนกันยายน - ตุลาคม 2561
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เห็นชอบแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วโดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในอัตราไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท และหากเกินวงเงินที่กำหนดให้นำเสนอ กบง.พิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง รวมทั้งมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของบัญชีน้ำมัน เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกเดือน
2. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561 สนพ. ได้ดำเนินการออกประกาศ ดังนี้ (1) ประกาศ กบง. ฉบับที่ 62 ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลเป็น 0.60 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2561 (2) ประกาศ กบง. ฉบับที่ 63 ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลเป็น 0.90 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2561 และ (3) ประกาศ กบง. ฉบับที่ 64 ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลเป็น 1.00 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2561 แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2561 มีดังนี้ (1) น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 84.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 93.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (3) น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 100.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (4) อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 32.7834 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (5) ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 1-7 ตุลาคม 2561 ลิตรละ 22.97 บาท และ (6) ราคาเอทานอล ณ เดือน ตุลาคม 2561 ลิตรละ 23.31 บาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 มีสินทรัพย์รวม 25,142 ล้านบาท หนี้สินรวม 4,071 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 25,142 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 29,213 บาท และบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 4,071 ล้านบาท
3. ผลของสถานการณ์ราคาดังกล่าวข้างต้น ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2561 เป็นดังนี้ (1) ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 2.9181 2.3812 2.5441 2.8440 5.0239 1.2013 และ 1.1523 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 39.34 31.95 31.68 28.94 22.34 29.89 และ 26.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 รัฐยังคงชดเชยราคา แต่เข้าใกล้ ศูนย์-สุทธิ ในกลุ่มของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลแล้ว ดังนั้น ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ ประจำเดือนตุลาคม 2561 มีรายรับในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลประมาณ 37 ล้านบาทต่อเดือน ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายจากกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1,809 ล้านบาทต่อเดือน โดยภาพรวมกองทุนมีสภาพคล่องติดลบ 1,761 ล้านบาทต่อเดือน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในหลักการ Half – Half Concept โดยปรับเพิ่มอัตราการชดเชยราคาน้ำมันดีเซล จากเดิมชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยไม่เกิน 2.00 บาทต่อลิตร ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้ (1) แบบที่ 1 กองทุนช่วยก่อนในครั้งแรก ต่อไปหากราคายังสูงขึ้นให้ปรับราคาขายปลีกขึ้นสลับกันไป โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชย 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.40 บาทต่อลิตร ราคาขายปลีกคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 จาก 3.10 บาทต่อลิตร เป็น 3.55 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ให้ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 3 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 723 ล้านบาทต่อเดือน จากติดลบ 1,761 ล้านบาทต่อเดือน เป็นติดลบ 2,484 ล้านบาทต่อเดือน (2) แบบที่ 2 กองทุนช่วยครึ่งหนึ่ง และราคาขายปลีกปรับขึ้นครึ่งหนึ่งทุกครั้ง โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชย 0.20 บาทต่อลิตร จากชดเชย 1.00 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.20 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร จาก 29.89 บาทต่อลิตร เป็น 30.09 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 จาก 3.10 บาทต่อลิตร เป็น 3.35 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 361 ล้านบาทต่อเดือน จากติดลบ 1,761 ล้านบาทต่อเดือน เป็นติดลบ 2,123 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำข้อเสนอแนวทางบรรเทาผลกระทบของราคาน้ำมันดิบต่อราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และนำเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 2 รายงานสถานการณ์ก๊าซ LPG ในรอบเดือนกันยายน - ตุลาคม 2561
สรุปสาระสำคัญ
1. จากแนวโน้มสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG Cargo และค่าใช้จ่ายนำเข้า (X) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคานำเข้าก๊าซ LPG ที่ใช้คำนวณราคา ณ โรงกลั่น ช่วงวันที่ 25 กันยายน – 8 ตุลาคม 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 21.8774 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นที่อ้างอิงราคานำเข้า ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (Import Parity) ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6663 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 21.7078 บาทต่อกิโลกรัม (660.0887 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) เป็น 22.3741 บาทต่อกิโลกรัม (681.9661 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) ทั้งนี้ จากสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น กองทุนน้ำมันฯ ได้มีการปรับเพิ่มการชดเชยจาก 6.9153 บาทต่อกิโลกรัม เป็นชดเชย 7.5816 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG (ก๊าซหุงต้ม) ขนาดถัง 15 กิโลกรัม อยู่ที่ 363 บาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายที่ 36.38 ล้านบาทต่อวัน
2. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 30 กันยายน 2561 มีฐานะสุทธิ 25,142 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 29,213 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 4,071 ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมันฯ#1) มีรายรับ 48.36 ล้านบาทต่อวัน และในส่วนการจำหน่ายภาคเชื้อเพลิง (กองทุนน้ำมันฯ #2) มีรายจ่าย 84.74 ล้านบาทต่อวัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย 36.38 ล้านบาทต่อวัน
3. ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ที่ผู้ค้ามาตรา 7 แจ้งต่อ สนพ. โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เปลี่ยนแปลงราคาจำหน่ายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ขนาด 15 กิโลกรัม ดังนี้ (1) เมื่อวันที่ 4 - 10 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 353 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 490.85 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (2) เมื่อวันที่ 11 – 15 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 364 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้น 11 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 507.88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (3) เมื่อวันที่ 16 - 21 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 372 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้น 8 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 519.40 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (4) เมื่อวันที่ 22 - 24 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 395 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับเพิ่มขึ้น 23 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 563.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (5) เมื่อวันที่ 25 -27 พฤษภาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 365 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับลดลง 30 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo อยู่ที่ 563.60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และ (6) ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม - 8 ตุลาคม 2561 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG คงระดับอยู่ที่ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ปรับลดลง 2 บาทต่อถัง ในขณะที่ราคาก๊าซ LPG Cargo ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2561 อยู่ที่ 559.00 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และ ณ วันที่ 8 ตุลาคม 2561 อยู่ที่ 645.15 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กบง. ครั้งที่66 - วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 19/2561 (ครั้งที่ 66)
วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 09.00 น.
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายเพทาย หมุดธรรม)
แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 มีมติรับทราบหลักการ การใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการบริหารจัดการราคาน้ำมัน ดังนี้ (1) กองทุนน้ำมันฯ ช่วยครึ่งหนึ่งและปรับราคาขายปลีกครึ่งหนึ่ง (Half – Half Concept) เมื่อราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นจนกระทั่งแตะราคาเริ่มต้น (Trigger Point) ที่ 60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (2) กองทุนน้ำมันฯ จะช่วยเหลือราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลและน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 สูงสุดที่ไม่เกิน 3 บาทต่อลิตร ขณะที่น้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลชนิดอื่น ให้กองทุนน้ำมันฯ รักษาระดับราคาขายปลีกเพื่อส่งเสริมการใช้เอทานอลต่อไป (3) กำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ไม่เกิน 29.99 บาทต่อลิตร แต่ไม่กำหนดเพดานราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มแก๊สโซฮอล (4) กำหนดกรอบวงเงินการใช้เงินกองทุนในการรักษาเสถียรภาพราคาไว้ไม่เกิน 15,000 บาท แบ่งเป็น กลุ่มน้ำมันดีเซลที่ 10,000 ล้านบาท และกลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ 5,000 ล้านบาท (5) ใช้การลดอัตราภาษีสรรพสามิตก็ต่อเมื่อ กองทุนน้ำมันฯ ช่วยเหลือราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลจนถึง 3 บาทต่อลิตร หรือระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลแตะ 29.99 บาทต่อลิตร หรือช่วยเหลือจนเต็มกรอบวงเงิน และต่อมาเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยมีเงื่อนไขว่า หากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสูงเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.15 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยที่ 0.15 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่ 0.30 บาทต่อลิตร
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 27 กันยายน 2561 มีดังนี้ (1) น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 80.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (2) น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 91.87 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (3) น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 96.81 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (4) อัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 32.6129 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ (5) ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 24-30 กันยายน 2561 ลิตรละ 23.31 บาท (5) ราคาเอทานอล ณ เดือน กันยายน 2561 ลิตรละ 23.40 บาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมัน ณ วันที่ 23 กันยายน 2561 มีสินทรัพย์รวม 36,565 ล้านบาท หนี้สินรวม 12,864 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 25,462 ล้านบาท ซึ่งจากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีก จากมติ กบง. เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 สนพ. ได้ออกประกาศ 2 ฉบับ ดังนี้ (1) ประกาศ กบง. ฉบับที่ 57 ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซล 0.15 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 29.89 บาทต่อลิตร โดยให้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 และ (2) ประกาศ กบง. ฉบับที่ 61 ปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลเป็น 0.30 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลยังคงเดิมที่ 29.89 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2561
3. จากราคาน้ำมันเบนซินและราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลก อัตราแลกเปลี่ยน และราคาพลังงานทดแทน ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 28 กันยายน 2561 เป็นดังนี้ (1) ค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 2.7142 2.1204 2.2808 2.5197 4.7185 1.3311 และ 1.8258 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 อยู่ที่ 38.54 31.15 30.88 28.14 21.94 29.89 และ 26.89 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยสภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบันน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 รัฐยังคงชดเชยราคา แต่เข้าใกล้ ศูนย์-สุทธิ ในกลุ่มของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลแล้ว ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลประมาณ 36 ล้านบาทต่อเดือน น้ำมันเตา 10 ล้านบาทต่อเดือน ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายจากกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 265 ล้านบาทต่อเดือน โดยภาพรวมกองทุนในส่วนของน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบ 219 ล้านบาทต่อเดือน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในหลักการ Half – Half Concept ดังนี้ (1) แบบที่ 1 ถ้าราคาขึ้น 0.40 - 0.60 บาทต่อลิตร กองทุนช่วยก่อนในครั้งแรก ต่อไปหากราคายังสูงขึ้นให้ปรับราคาขายปลีกขึ้นสลับกันไป โดยปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชย 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.30 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.70 บาทต่อลิตร ซึ่งส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 699 ล้านบาทต่อเดือน จากติดลบ 481 ล้านบาทต่อเดือน เป็นติดลบ 1,180 ล้านบาทต่อเดือน หรือแบบที่ 2 ถ้าราคาขึ้น 0.40 - 0.60 บาทต่อลิตร กองทุนช่วยครึ่งหนึ่ง และราคาขายปลีกปรับขึ้นครึ่งหนึ่งทุกครั้ง และขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชย 0.20 บาทต่อลิตร จากชดเชย 0.30 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 350 ล้านบาทต่อเดือน จากติดลบ 481 ล้านบาทต่อเดือน เป็นติดลบ 830 ล้านบาทต่อเดือน (2) ขอความเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ในกรอบไม่เกิน 1.30 บาทต่อลิตร (3) ขอความเห็นชอบใช้กองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ในส่วนของบัญชีน้ำมันได้ไม่เกิน 10,000 ล้านบาท และมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของบัญชีน้ำมัน เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกเดือน (4) ขอความเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้ แบบที่ 1 อัตรา 0.70 บาทต่อลิตร หรือแบบที่ 2 อัตรา 0.50 บาทต่อลิตร และ (5) ขอความเห็นชอบร่างประกาศ กบง. ฉบับที่ 62 พ.ศ. 2561 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนกองทุน และอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับน้ำมันฯ ทั้งนี้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานได้ดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
1. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในกรอบอัตราไม่เกิน 1.00 บาทต่อลิตร ในวงเงินไม่เกิน 6,000 ล้านบาท ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป และหากเกินวงเงินที่คณะกรรมการบริหารนโยบาย (กบง.) กำหนด ให้นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง
2. มอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานจัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของบัญชีน้ำมันเชื้อเพลิง และนำมารายงานให้ กบง. ทราบทุกเดือน
กบง. ครั้งที่65 - วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561
มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 18/2561 (ครั้งที่ 65)
วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2561 เวลา 13.30 น.
1. สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
3. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2562
4. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. การปรับปรุงกลไกราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
6. รายงานผลการดำเนินการช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA-A18
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ และเวสต์เท็กซัสมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยหลักจากการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี มีปัจจัยสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่กดดันให้ราคาน้ำมันไม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ทั้งนี้คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบในเดือนกันยายน 2561 จะยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 78 – 80 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการทยอยปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปค รวมทั้งผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของเวเนซุเอลาและตุรกี (2) ราคาก๊าซ LPG มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเวียดนามนำเข้า LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 และปริมาณโพรเพน (C3) คงคลังของสหรัฐอเมริกาที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 5 ปี รวมทั้งรัฐบาลอินเดียมีนโยบายสนับสนุนการใช้ก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนทำให้ปริมาณความต้องการใช้และนำเข้าก๊าซ LPG เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ราคาก๊าซ LPG เดือนกันยายน 2561 ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการในแต่ละภูมิภาค (3) ราคาก๊าซ LNG เดือนสิงหาคม 2561 ปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน จากการที่หลายประเทศสำรองก๊าซ LNG เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้ช่วงฤดูหนาว ประกอบกับรัสเซียหยุดการผลิตก๊าซ LNG แหล่ง Sakhalin เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในระยะสั้นราคาก๊าซ LNG ยังมีทิศทางปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยมีปัจจัยจากจีนปรับเพิ่มภาษีนำเข้าก๊าซ LNG จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้นำเข้าของจีนไม่สามารถแบกรับต้นทุนได้ (4) ราคาถ่านหิน เดือนสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 118 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับลดลงจากเดือนก่อน 1.4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เนื่องจากรัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนปรับเพิ่มภาษีถ่านหิน และประเทศในทวีปยุโรปปรับเพิ่มราคาคาร์บอนเครดิตเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งนี้คาดการณ์ว่าในระยะสั้นราคาถ่านหินยังมีทิศทางปรับตัวลดลง และ (5) โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 5 กันยายน 2561 ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.26 บาทต่อลิตร ต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม ส่วนค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ 1.83 บาทต่อลิตร อยู่ในระดับใกล้เคียงกับค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยค่าการตลาดเฉลี่ยรายผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดเฉลี่ยที่เหมาะสมประมาณ 0.30 บาทต่อลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. แผนอนุรักษ์พลังงานฯ กำหนดเป้าหมายผลการอนุรักษ์พลังงานจากการดำเนินงานทุกมาตรการในปี 2561 ได้แก่ EE1 มาตรการการจัดการโรงงานและอาคารควบคุม EE2 มาตรการใช้เกณฑ์มาตรฐานอาคาร EE3 มาตรการใช้เกณฑ์มาตรฐานและติดฉลากอุปกรณ์ EE4 มาตรการบังคับใช้เกณฑ์มาตรฐานการประหยัดพลังงานสำหรับผู้ผลิตและจำหน่ายพลังงาน (EERS) EE5 มาตรการสนับสนุนด้านการเงิน EE6 มาตรการส่งเสริมการใช้หลอด LED และ EE7 มาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง รวมทั้งสิ้น 1,619 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ktoe) โดยแบ่งเป็นเป้าหมายที่ไม่รวมมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง (EE1 – EE6) ซึ่งเป็นมาตรการที่ไม่ได้อยู่ในส่วนการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานโดยตรง 823 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และเป้าหมายเฉพาะมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง (EE7) 797 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ
2. ความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ณ ไตรมาสที่ 2 ปี 2561 เฉพาะมาตรการที่ไม่รวมมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่ง มีผลการอนุรักษ์พลังงานรวม 151.45 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ คิดเป็นร้อยละ 18.40 ของเป้าหมายปี พ.ศ. 2561 โดยบางมาตรการอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้ หากรวมมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่งซึ่งมีผลประหยัดอยู่ที่ 16.28 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จะมีผลการอนุรักษ์พลังงานรวม 167.73 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยสาเหตุส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถดำเนินมาตรการอนุรักษ์พลังงานภาคขนส่งได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากมาตรการติดฉลาก ECO-Sticker ยังมีจำนวนรถใหม่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และมาตรการรถไฟทางคู่ ยังมีการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จจึงยังไม่เปิดใช้งาน เป็นต้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2562
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้จัดสรรเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ให้กับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ และจัดสรรงบค่าใช้จ่ายอื่นเป็นจำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง โดยในปีงบประมาณ 2561 กบง. ได้อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ ดังนี้ (1) งบบริหาร ของ 4 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวม 10,063,800 บาท โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2560 เป็นต้นไป และงบประมาณทุกรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ (2) งบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 300,000,000 บาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง และอนุมัติให้ดำเนินโครงการจำนวน 5 โครงการ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 32,163,527 บาท ทั้งนี้ กรอบวงเงินคงเหลือของงบค่าใช้จ่ายอื่น มอบหมายให้คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (อบน.) เป็นผู้พิจารณาอนุมัติต่อไป
2. ผลการเบิกจ่ายเงินงบบริหาร ปีงบประมาณ 2561 ของ 4 หน่วยงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561เป็นจำนวนเงิน 5,525,884.91 บาท คิดเป็นร้อยละ 54.90 ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด และคาดว่า ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561 จะมีผลการเบิกจ่ายรวม 8,367,800 บาท คิดเป็นร้อยละ 83.14 ส่วนเงินงบค่าใช้จ่ายอื่น ได้รับอนุมัติเงินจำนวน 5 โครงการ วงเงินรวม 29,915,157 บาท ได้แก่ (1) โครงการศึกษาสภาวะการแข่งขันในตลาดค้าปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ของ สนพ. ได้ทำการจัดซื้อจัดจ้างแล้ว 2 รอบ แต่ไม่มีผู้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ปัจจุบันอยู่ระหว่างประกาศจัดซื้อจัดจ้างรอบที่ 3 (2) โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสถานที่เก็บและปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงสำรองของประเทศ ของกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงินงวดที่ 1 (3) โครงการจัดตั้งศูนย์สอบและทะเบียนผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง ของ ธพ. มีการยกเลิกการประกวดราคาการจัดซื้อครุภัณฑ์ 2 ครั้ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกวดราคาการจัดซื้อครุภัณฑ์ฯ รอบใหม่ โดยเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2561 อบน. ได้เห็นชอบให้ยกเลิกการดำเนินงานในส่วนที่ 2 และให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 19 มิถุนายน 2561 เป็นวันที่ 31 ธันวาคม 2561 (4) โครงการศึกษาการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงทางยุทธศาสตร์ของประเทศไทย (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ของ ธพ. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเบิกจ่ายเงินงวดที่ 1 และ (5) โครงการศึกษาทบทวนค่าการตลาดก๊าซ LPG ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ของ สนพ. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกาศจัดซื้อจัดจ้าง
3. เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2561 อบน. ได้มีมติเห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2562 โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป ดังนี้ (1) งบบริหาร ของ 4 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวม 16,597,000 บาท โดยงบประมาณทุกหมวดรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ ประกอบด้วย สนพ. จำนวน 4,601,000 บาท กรมสรรพสามิต จำนวน 5,905,100 บาท กรมศุลกากร จำนวน 1,001,900 บาท และ สบพน. จำนวน 5,089,000 บาท และ (2) งบค่าใช้จ่ายอื่น ในวงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2561
2. เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ปีงบประมาณ 2562 ดังนี้
(1) งบบริหาร ของ 4 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 16,597,000 บาท (สิบหกล้านห้าแสนเก้าหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน) โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป และงบประมาณทุกรายจ่ายให้สามารถนำมาถัวจ่ายได้ทุกรายการ ดังนี้
(2) งบค่าใช้จ่ายอื่น ในวงเงิน 300 ล้านบาท (สามร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง
ทั้งนี้ มอบหมายให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกำกับดูแลให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 4 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันดีเซล โดยมีเงื่อนไขว่าหากราคาขายปลีกขยับสูงเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร ให้ดำเนินการดังนี้ (1) กำหนดค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่เกิน 1.75 บาทต่อลิตร (2) ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ บริหารราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร (3) หากอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมากกว่า 1.00 บาทต่อลิตร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กบง. เพื่อพิจารณาอัตราเงินชดเชยที่เหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 กบง. มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล ดังนี้ (1) ระยะสั้น ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ เพื่อรักษาระดับค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม และปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลให้สภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ มีค่าใกล้ศูนย์ (กลยุทธ์ ศูนย์-สุทธิ) (2) ระยะยาว ปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลให้สะท้อนค่าความร้อน โดยการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ (ลดการชดเชย) ทั้งนี้ เมื่อวันที่8 มิถุนายน 2561 และวันที่ 25 กรกฎาคม 2561 กบง. ได้มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 แล้วจำนวน 2 ครั้ง แต่ยังคงชดเชยราคาขายปลีกอยู่ ปัจจุบันสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ในกลุ่มของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเข้าใกล้ ศูนย์-สุทธิแล้ว โดยมีรายรับประมาณ 2 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนกลุ่มน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมีรายรับประมาณ 19 ล้านบาทต่อเดือน ภาพรวมกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 25 ล้านบาทต่อเดือน โดย ณ วันที่ 2 กันยายน 2561 กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิ 26,022 ล้านบาท
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 4 กันยายน 2561 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 76.87 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 89.63 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 94.56 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32.9242 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 3-9 กันยายน 2561 ลิตรละ 24.49 บาท และราคาเอทานอล ณ เดือน กันยายน 2561 ลิตรละ 23.40 บาท โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 5 กันยายน 2561 มีค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 อยู่ที่ 2.4432 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 อยู่ที่ 5.4637 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรปรับลดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ลง 0.25 บาทต่อลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 ลง 1.00 บาทต่อลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันทั้งสองชนิดอยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2561 โดยจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้น 75 ล้านบาทต่อเดือน จาก 25 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 100 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 เดิม -2.43 บาท/ลิตร ใหม่ -2.18 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +0.25 บาท/ลิตร
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E85 เดิม -8.78 บาท/ลิตร ใหม่ -7.78 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง +1.00 บาท/ลิตร
น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เดิม 0.01 บาท/ลิตร ใหม่ -0.15 บาท/ลิตร เปลี่ยนแปลง -0.16 บาท/ลิตร
2. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 57 พ.ศ. 2561 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน อัตราเงินชดเชย อัตราเงินคืนกองทุน และอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบแนวทางบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดยมีเงื่อนไขว่า หากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสูงเกินกว่า 30 บาทต่อลิตร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงอีก 0.15 บาทต่อลิตร จากเดิมชดเชยที่ 0.15 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่ 0.30 บาทต่อลิตร
เรื่องที่ 5 การปรับปรุงกลไกราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักการกำหนดอัตราเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ที่จำหน่ายเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง เพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ 363 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ต่อมาเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับกลไกราคาก๊าซ LPG โดยกำหนดกองทุนน้ำมันฯ บัญชีก๊าซ LPG ให้ติดลบได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ในการรักษาเสถียรภาพราคา และมอบหมายให้ สบพน. จัดทำรายงาน รายรับ/รายจ่าย และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG เพื่อรายงาน กบง. ทราบทุกเดือน และเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 กบง. ได้เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ราคานำเข้า โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (LPG Cargo) อ้างอิงข้อมูลจาก Platts ด้วยค่าเฉลี่ยของ Propane Cargo และ Butane Cargo (FOB Arab Gulf) ของสองสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ใช้ค่าเฉลี่ยเป็นรายสัปดาห์ โดยให้มีผล ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 สบพน. ได้มีหนังสือแจ้งว่าคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 มีข้อสังเกตว่ามติ กบง. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ยังขาดความชัดเจน และอาจก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ จึงขอให้ กบง. พิจารณาทบทวนมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 เป็นดังนี้ “เห็นชอบการใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพราคาก๊าซ LPG โดยให้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ติดลบได้ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้นำเงินในส่วนของบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปไปหมุนเวียนใช้ในบัญชีกลุ่มก๊าซ LPG และให้นำเงินส่งคืนบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปในภายหลัง”
2. สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ในเดือนกันยายน 2561 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 617.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ราคาก๊าซ LPG Cargo ประจำวันที่ 13 – 24 สิงหาคม 2561 อยู่ที่ 583.00 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 5.2778 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ค่าใช้จ่ายนำเข้า (X) อยู่ที่ 57.2436 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.1701 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 33.2265 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากเดือนก่อน 0.1949 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาก๊าซ LPG นำเข้า (LPG Cargo + X) อยู่ที่ 21.2731 บาทต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.0907 บาทต่อกิโลกรัม
3. สถานภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 2 กันยายน 2561 มีฐานะสุทธิ 26,022 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 29,359 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 3,337 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมันฯ#1) มีรายรับ 1,329 ล้านบาทต่อเดือน และในส่วนการจำหน่ายภาคเชื้อเพลิง (กองทุนน้ำมันฯ #2) มีรายจ่าย 2,133 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายสุทธิ 804 ล้านบาทต่อเดือน โดย สบพน. ได้รายงานฐานะกองทุนน้ำมันฯ บัญชีก๊าซ LPG ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จาก 99 ล้านบาท ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นติดลบ 3,337 ล้านบาท ณ วันที่ 2 กันยายน 2561 หรือมีรายจ่ายถึง 3,446 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ในขณะที่ สนพ. ประมาณรายจ่ายในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 1,305 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่ารายงานของ สบพน. ถึง 2,141 ล้านบาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอแนวทางรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีก ก๊าซ LPG ขนาดถัง 15 กิโลกรัม ให้อยู่ที่ 363 บาท ต่อไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2561 ดังนี้ (1) ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โดยลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้า (X) ในส่วนของค่าคลังนำเข้า LPG โดยตัดค่าใช้จ่าย ในส่วนค่าคลังที่ประมาณ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันออก ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการนำเข้า X อยู่ในระดับประมาณ 35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน จากเดือนสิงหาคมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 55 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายสุทธิลดลงประมาณ 100 ล้านบาทต่อเดือน เนื่องจากปัจจุบันไม่มีการนำเข้าผ่านคลัง เขาบ่อยาเพื่อจำหน่ายในประเทศ แต่ใช้เป็นคลังนำเข้าเพื่อส่งออกเท่านั้น โดยผู้นำเข้า LPG เหลือเพียงบริษัท สยามแก๊ส ซึ่งใช้วิธี Ship-to-Ship ในการนำเข้า และมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการนำเข้าผ่านคลังเนื่องจากไม่มีค่าลงทุนคลัง และ (2) ให้กองทุนน้ำมันฯ ในส่วนของบัญชีก๊าซ LPG ติดลบเพิ่มอีก 3,500 ล้านบาท เป็นติดลบได้ไม่เกิน 6,500 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้นำเงินในส่วนของบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปไปหมุนเวียนใช้ในบัญชีกลุ่มก๊าซ LPG และให้นำเงินส่งคืนบัญชีน้ำมันสำเร็จรูปในภายหลัง ซึ่งหากมีการปรับหลักเกณฑ์ลดค่าใช้จ่ายนำเข้าในส่วนค่าคลังลง 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ตามข้อ (1) จะสามารถรักษาเสถียรภาพราคาได้อีกประมาณ 4 เดือน ถึงสิ้นปี 2561
เรื่องที่ 6 รายงานผลการดำเนินการช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA-A18
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2561 เวลา 6.00 น. ถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2561 เวลา 06.00 น. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แจ้งว่าจะหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติจากแหล่ง JDA – A18 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย ให้ภาคการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งดังกล่าวมีการทำงานตรวจสอบ Flare Tips ที่แหล่งผลิตก๊าซ คิดเป็นปริมาณก๊าซธรรมชาติที่หายไปจากระบบ 440 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (MMSCFD)
2. เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2561 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รายงานผล การดำเนินการช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA – A18 ว่าเหตุการณ์ได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว โดย ปตท. ได้แจ้งว่าการทำงานของผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2561 เวลา 14.14 น. ซึ่งเร็วกว่ากำหนด และเริ่มเปิดวาล์วให้โรงไฟฟ้าจะนะใช้ก๊าซธรรมชาติได้ตามปกติเมื่อเวลา 21.00 น. พร้อมรายงานผลการดำเนินงานด้านระบบไฟฟ้า สรุปได้ดังนี้ (1) สภาพระบบไฟฟ้าภาคใต้ รวมถึงระบบสายส่งเชื่อมโยงระหว่างภาคกลาง และภาคใต้ของ กฟผ. อยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถผลิตและส่งจ่ายไฟฟ้าได้ตามมาตรฐานคุณภาพ โดยมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในเขตภาคใต้ที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่หยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติ 2,397.1 เมกะวัตต์ ต่ำกว่าแผนที่คาดการณ์ไว้ที่ 2,550 เมกะวัตต์ และมีกำลังสำรองไฟฟ้าเหลืออยู่ 538.9 เมกะวัตต์ คิดเป็นร้อยละ 18.4 เมื่อเทียบกับกำลังการผลิตไฟฟ้าในเขตพื้นที่ภาคใต้ 2,936 เมกะวัตต์ (2) โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะนะ ไม่หยุดเดินเครื่องในช่วงเวลาที่หยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA - A18 เนื่องจาก กฟผ. ได้ปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะนะชุดที่ 1 และ 2 ให้สามารถใช้น้ำมันดีเซลในการผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซธรรมชาติได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 และเดือนมีนาคม 2561 ตามลำดับ (3) ช่วงหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA - A18 มีการใช้น้ำมันดีเซลที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมจะนะชุดที่ 1 และ 2 รวม 7.9 ล้านลิตร มากกว่าแผนที่กำหนดไว้ที่ 6.1 ล้านลิตร (เฉพาะเครื่องกังหันก๊าซ 22) อยู่ 1.8 ล้านลิตร เนื่องจากมีการเดินเครื่องกังหันก๊าซ 12 เพิ่มเติมจากแผนในช่วงวันที่ 28 – 30 กรกฎาคม 2561 เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่ที่ไม่สามารถเดินเครื่องได้ตามแผน และมีการใช้น้ำมันเตาที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนกระบี่รวม 2.6 ล้านลิตร ต่ำกว่าแผนที่กำหนดไว้ที่6.0 ล้านลิตร อยู่ 3.4 ล้านลิตร เนื่องจากไม่สามารถเดินเครื่องโรงไฟฟ้าได้ตามแผนตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2561 จากปัญหาระบบควบคุมโรงไฟฟ้า (Mark V) ขัดข้อง โดยสามารถแก้ไขปัญหาและขนานเครื่องเข้าระบบได้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2561 เวลา 10.05 น. (4) มีการระบายน้ำเพื่อผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนรัชชประภา และเขื่อนบางลาง ช่วงที่หยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA - A18 เฉลี่ยวันละ 14.2 และ 10.0 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนท้ายน้ำ
3. สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้คำนวณต้นทุนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าแทนก๊าซธรรมชาติจากการหยุดจ่ายก๊าซธรรมชาติแหล่ง JDA - A18 ในการประมาณการค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ประจำเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2561 แล้ว โดยมีต้นทุนเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น 180 ล้านบาท คิดเป็นผลกระทบต่อค่า Ft เพิ่มขึ้น 0.34 สตางค์ต่อหน่วย หรือ 0.0034 บาทต่อหน่วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ