มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 21)
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
1. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
2. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
5. ขออนุมัติโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
8. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
9. รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายเกรียงกร เพชรบุตร) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จึงทำให้พ้นจากการเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับด้วย ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ สามารถดำเนินงานต่อไป คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันพุธที่ 2 สิงหาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติอนุมัติงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์ให้ สพช. ดำเนินการในหัวข้อเรื่อง บ้านประหยัดพลังงาน ในปี 2543 ในวงเงิน 150 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19) ได้อนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสมและการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเงิน 30 ล้านบาท รวมงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติในปีงบประมาณ 2543 ทั้งสิ้น 180 ล้านบาท
สพช. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543 ไปแล้ว 44 กิจกรรม รวมเป็นจำนวนเงิน 179,998,968.63 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ 1,031.37 บาท นอกจากนี้ สพช. ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นแกนหลักในการรณรงค์ "22 กันยา จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน" หรือวัน Car Free Day พร้อมกับประเทศในยุโรป โดยถือเป็นกิจกรรมเร่งด่วนเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันประหยัดน้ำมันในการเดินทางด้วยการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ได้มีมติให้มีการรณรงค์ด้านการประหยัดน้ำมันอย่างต่อเนื่อง และเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง เพื่อกำหนดแผนการรณรงค์ฯ กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนฯ ประสานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอรายงานการประเมินผลโดยละเอียดต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2543 เพื่อพิจารณา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่าโครงการรวมพลังหาร 2 ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการประชาสัมพันธ์ในระดับที่ดี และเห็นควรให้ สพช. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ในปี 2544 ต่อไป
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ซึ่งมีประเด็นหลักคือ การรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง แล้ว มีมติเห็นชอบในหลักการ โดยมีข้อสังเกตให้ดำเนินกิจกรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงตามสภาพของสังคมไทยในพื้นที่ต่างๆ และขอให้สานต่อการประชาสัมพันธ์ในประเด็นที่ได้เคยรณรงค์เอาไว้แล้วเพื่อเป็นการตอกย้ำ และกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
สพช. ได้จัดทำแผนการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปี 2544 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา สรุปได้ดังนี้
สพช. เห็นควรให้ใช้แนวคิด "ปีรณรงค์จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน" ในปีงบประมาณ 2544 เพื่อเป็นการขยายผลสำเร็จของการรณรงค์วัน Car Free Day เมื่อวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2543 โดยมีรายละเอียดของแผนงานภายใต้แนวคิดหลัก คือ ปีรณรงค์จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
1) ทำการรณรงค์และเผยแพร่ความรู้เรื่องการประหยัดน้ำมันด้วยวิธีการต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยจะมีการเน้นวิธีการประหยัดน้ำมันหลักในทุก 2 เดือน ผ่านการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ และกิจกรรมรณรงค์
2) กำหนดทุกวันที่ 22 ของทุกเดือน เป็นวัน Car Free Day
3) กิจกรรมเสริมอื่นๆ ได้แก่ สารคดีโทรทัศน์เรื่องการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง การพัฒนา Web pages อนุรักษ์พลังงาน กิจกรรมพิเศษ การปรับปรุงและพัฒนานิทรรศการเปิดโลกพลังงานและศูนย์นิทัศน์พลังงานเพื่ออนาคต ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 และชมรมขบวนการหาร 2
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
2. อนุมัติงบประมาณในวงเงิน 150 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรม ตามแผนปฏิบัติการ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอมา
3. เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 10 ล้านบาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2540 ได้มีมติอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ระยะที่ 2) ตลอดระยะเวลาโครงการฯ 5 ปี ในวงเงินรวม 101,322,980 บาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอผลการดำเนินการตามโครงการฯ เมื่อดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
สพช. ได้จ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อประเมินผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมาของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ฯ ซึ่งจากร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ มจธ. ได้ประเมินประสิทธิภาพของระบบก๊าซชีวภาพของฟาร์มขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ ฟาร์มไทย-เดนมาร์ค และเอส.พี.เอ็ม ฟาร์ม ซึ่งทั้ง 2 ฟาร์ม มีขนาดระบบ 2,000 ลบ.ม. สรุปได้ดังนี้
1) ก๊าซชีวภาพที่ได้มีปริมาณ 700-900 ลบ.ม./วัน ซึ่งมีค่าน้อยกว่าที่คาดไว้คือ 1,000 ลบ.ม./วัน เนื่องจากการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของฟาร์ม จึงทำให้ปริมาณน้ำเสียที่ไหลเข้าระบบมีน้อยเกินไป สำหรับก๊าซที่ผลิตได้ในฟาร์มไทย-เดนมาร์ค ได้นำไปใช้เป็นพลังงานความร้อนในการกกลูกหมูทั้งหมด ส่วนก๊าซที่ผลิตได้ใน เอส.พี.เอ็ม ฟาร์ม ได้นำไปใช้เพียงครึ่งหนึ่งเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม ส่วนที่เหลือต้องปล่อยทิ้ง เพราะเป็นฟาร์มหมูขุนจึงไม่ต้องการใช้ความร้อนในการกกลูกหมู
2) จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน พบว่า ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบของฟาร์มทั้ง 6 แห่งที่เข้าร่วมโครงการมีราคาเฉลี่ย 3,500-4,500 บาท/ลบ.ม.ของระบบ สูงกว่าราคาค่าก่อสร้าง ที่ มช. ประเมินไว้ ที่ 2,400 บาท/ลบ.ม โดยเป็นผลจากค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีที่ดำเนินการก่อสร้างระบบฯ ดังกล่าว
3) มจธ. ได้ประเมินระบบก๊าซชีวภาพโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 6 ฟาร์ม พบว่า ฟาร์ม ทั้ง 6 แห่ง เห็นว่าโครงการมีประโยชน์ควรทำการส่งเสริมต่อไป โดย มจธ. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะให้ สพช. สนับสนุนให้มีการวิจัย พัฒนารูปแบบ และองค์ประกอบของระบบก๊าซชีวภาพที่ใช้ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนการศึกษาระบบผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมจากของเสียชนิดอื่นด้วย
มช. ได้ดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 มาครบ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ถึง 46,000 ลบ.ม. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 6,000 ลบ.ม. และทำให้เงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ไม่พอเพียง มช. จึงได้มีหนังสือที่ ทม 0619/9586 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2543 เพื่อขอรับเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 6,768,000 บาท ทั้งนี้ มช. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ มช. ขยายเป้าหมายจาก 40,000 ลบ.ม. เป็น 46,000 ลบ.ม. และเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนในส่วนผู้ร่วมโครงการฯ (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 6,768,000 บาท (หกล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ มช. ขยายเป้าหมายการดำเนินโครงการฯ จากเดิม 40,000 ลบ.ม. เป็น 46,000 ลบ.ม. และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ระยะที่ 2) ในส่วนผู้ร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 6,768,000 บาท (หกล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ตลอดระยะเวลาโครงการฯ 4.5 ปี ในวงเงิน 55,480,000 บาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการฯ แต่ละปี และเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ก่อนเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ในปีถัดไป
สพช. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ที่ผ่านมา ซึ่งจากร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ มจธ. ได้ประเมินประสิทธิภาพของระบบฯ โดยการสำรวจภาคสนามในฟาร์ม 12 แห่ง และใช้แบบสอบถามทางไปรษณีย์และถามตรง จำนวน 130 ราย แล้วนำมาสรุปผลได้ดังนี้
1) มจธ. ได้ตรวจวัดปริมาณก๊าซที่เกิดขึ้นในบ่อก๊าซชีวภาพของเกษตรกร 12 ราย พบว่า ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีปริมาณ 30%-250% ของปริมาณก๊าซที่ กสก. กำหนดในระบบฯ แต่ละขนาด โดยค่าที่แตกต่างดังกล่าวเป็นผลจากการดูแลระบบของเกษตรกรในการป้อนมูลสัตว์สู่ระบบและการรักษาสภาพบ่อหมัก
2) ผลจากการสำรวจข้อมูลจากเกษตรกรจำนวน 130 ราย พบว่า เกษตรกรจะใช้ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม 116 ราย ใช้ทดแทนถ่านหุงต้ม 38 ราย และใช้ทดแทนไฟฟ้า 21 ราย
3) การวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุนในฟาร์มที่สำรวจทั้ง 12 แห่ง พบว่า บ่อก๊าซชีวภาพขนาดเล็ก (ขนาด 12 ขนาด 16 และ 30 ลบ.ม.) จะมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก คือ ในกรณีที่ไม่มีเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ระดับ 2-7% และหลังจากที่มีเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วทำให้ FIRR อยู่ที่ระดับ 7-28%
สำหรับบ่อขนาดใหญ่ (ขนาด 50 และ 100 ลบ.ม.) จะไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุนเลยแม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยเป็นผลจากการที่ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้มีปริมาณมาก แต่เกษตรกรเจ้าของบ่อไม่สามารถนำก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และประกอบกับราคาค่าก่อสร้างจริงของบ่อก๊าซชีวภาพ ในระยะที่ 1 มีราคาสูงกว่าที่ กสก. ประเมินมาก ซึ่ง กสก. ได้ปรับราคากลางของระบบขนาดใหญ่ให้ถูกต้องแล้วในโครงการฯ ระยะที่ 2
4) มจธ. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะให้ สพช. สนับสนุนให้มีการวิจัย พัฒนาชนิดรูปแบบ และองค์ประกอบของระบบก๊าซชีวภาพให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และควรสนับสนุนให้มีการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ก๊าซชีวภาพอย่างแพร่หลายด้วย เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถนำก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
กสก. ได้ดำเนินโครงการฯ ครบ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่ามีเกษตรกรที่แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 939 ราย คิดเป็นปริมาตรรวม 38,216 ลบ.ม. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 11,966 ลบ.ม. และทำให้เงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ไม่พอเพียง กสก. จึงได้ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่มเติมอีกใน วงเงิน 8,821,300 บาท โดย กสก. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ กสก. ขยายเป้าหมายตามที่เสนอมา และเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนโครงการฯ ในส่วนผู้ร่วมโครงการ (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 8,821,300 บาท (แปดล้านแปดแสนสองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กสก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนสนับสนุนผู้ร่วมโครงการ เพิ่มเติม ในวงเงิน 8,821,300 บาท (แปดล้านแปดแสนสองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ กสก. ปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ในการโอนเปลี่ยนแปลงรายการค่าใช้จ่ายและการปรับเพิ่ม/ลดกิจกรรมในโครงการฯ บางรายการลง ตามที่ กสก. เสนอ
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วท.) ได้เสนอโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในประชุม ครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้มอเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในขบวนการผลิตไม่ว่าจะในภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีการใช้พลังงานจากมอเตอร์ถึงมากกว่า 70% ภาคเกษตรกรรม แม้กระทั่งในภาคที่อยู่อาศัยก็มีการใช้มอเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ วิทยุเทป เป็นต้น
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)ได้เสนอร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำของเครื่องใช้ไฟฟ้าและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 77) แล้ว โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่จะต้องมีการกำหนดบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าวด้วย ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะเป็นหน่วยงานที่รับไปดำเนินการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อบังคับใช้ต่อไป
เพื่อตอบสนองความต้องการห้องปฏิบัติการทดสอบมอเตอร์ที่สามารถตรวจวัดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน ได้เทียบเท่ากับห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศ และเพื่อรองรับโครงการที่จะส่งเสริมให้มีการใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูงในประเทศไทยของหน่วยงานต่างๆ วท. จึงได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขึ้นในประเทศไทย โดยจะเลือกใช้มาตรฐานวิธีการทดสอบของ IEEE 112-Method B ของสถาบัน IEEE (The Institute of Electrical and Electronic Engineering, Inc) ซึ่งเป็นวิธีที่มีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ซึ่งห้องปฏิบัติการฯ ที่จัดตั้งขึ้นนี้จะมีมาตรฐานการตรวจวัดการควบคุมที่ระดับมาตรฐานสากล ในเบื้องต้นสามารถทดสอบหาค่าประสิทธิภาพของมอเตอร์ตั้งแต่ขนาด 1 แรงม้า ถึง 10 แรงม้า โดยมีความสามารถในทดสอบมอเตอร์ได้ไม่น้อยกว่า 630 เครื่องต่อปี ต่อจากนั้นจะขยายขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการฯ ให้สามารถทดสอบมอเตอร์ได้ถึงขนาด 30 แรงม้า ในระยะต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้ วท. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 99,500,000 บาท (เก้าสิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน)
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ วท. จะต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) กำหนดแผนการปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ได้รับการรับรองตาม ISO Guide 25 เพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งจะสามารถรองรับการเทียบเคียงกับต่างประเทศได้ในอนาคต
2) เพิ่มเติมแนวทางการร่วมมือกับห้องปฏิบัติการและนักวิชาการอื่นทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ
3) เพิ่มเติมแผนการประเมินผลโครงการฯ โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ชัดเจน
4) ปรับลดค่าใช้จ่ายบางรายการในหมวดค่าใช้สอยและสาธารณูปโภคลง เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าอุปกรณ์และวัสดุสำนักงาน
5) ปรับลดค่าฝึกอบรมลง เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญที่ทางโครงการจ้างไว้ให้การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว
6) ระบุแนวทางในการคิดอัตราค่าบริการทดสอบมอเตอร์ ที่จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการ แต่ละครั้งให้ชัดเจน
3. หาก วท. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว วท. จะต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44 ) ด้วย
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ในปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 145 ล้านบาท ทั้งนี้ โดยให้ พพ. ดำเนินการรับข้อเสนอการขอรับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2543 นั้น
การดำเนินงานที่ผ่านมา มีอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2543 จำนวน 23 ราย โดยมีผู้เสนอรายละเอียดข้อเสนอโครงการทางด้านเทคนิคและด้านการเงิน ให้ พพ. พิจารณา จำนวน 8 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติวงเงินสนับสนุนไปแล้ว จำนวน 5 ราย ในวงเงิน 6,446,277 บาท ส่วนที่เหลืออีก 3 ราย พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้การสนับสนุนฯ ในวงเงิน 4,164,718 บาท แต่ พพ. ไม่สามารถนำเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติวงเงินได้ทันในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งมีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้
1) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้มีหนังสือที่ มท 5311.1/061 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนปรับปรุงระบบแสงสว่างตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 370,965.90 บาท สำหรับอาคารสำนักงานกลางหลังใหม่ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ เพื่อใช้เป็นอาคารเอนกประสงค์ 24 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารควบคุม พพ. ได้พิจารณาและวิเคราะห์รายละเอียดเอกสารประกอบการขอรับการสนับสนุนฯ โดยใช้ราคากลางและคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ใช้ในการดำเนินงานของโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2543 เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาให้วงเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีผลการวิเคราะห์ฯ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดจึงเห็นควรให้การสนับสนุนเงินลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 296,420 บาท
2) โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้มีหนังสือที่ กห 0447/03087 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้าง ในวงเงิน 966,000 บาท ค่าควบคุมการติดตั้ง ในวงเงิน 200,000 บาท และลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ในวงเงิน 23,336,272 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 24,502,272 บาท สำหรับอาคารตรวจและรักษาโรคเอนกประสงค์ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุม พพ. ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ แล้วเห็นว่ามีเพียงมาตรการการใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ที่ควรได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เนื่องจากมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้นกว่าแบบเดิม และมีผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์เกินกว่าร้อยละ 9 จึงเห็นควรให้การสนับสนุนเงินในการปรับปรุง แบบก่อสร้างฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ของมาตรการดังกล่าว ในวงเงิน 984,454 บาท
3) โรงพยาบาลอุดรธานี ได้มีหนังสือที่ อด 0033.1/11126 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้าง ในวงเงิน 973,700 บาท และลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 8,709,900.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,683,600.50 บาท สำหรับอาคารผู้ป่วยนอกหลังใหม่ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งอยู่ในข่ายอาคารควบคุม พพ. ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ ตามหลักเกณฑ์ฯ แล้ว และเห็นสมควรให้การสนับสนุนแก่โรงพยาบาลอุดรธานีในการปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ และลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เพียง 3 มาตรการ ในวงเงิน 2,883,844 บาท
พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติโอนเงินค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการนี้ ในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งยังคงเหลืออยู่ 138,553,723 บาท ให้ พพ. นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนฯ ให้อาคารควบคุมทั้ง 3 แห่ง ดังกล่าว คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลอุดรธานี รวมเป็นเงิน 4,164,718 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า หากอาคารควบคุมใดได้ลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานในมาตรการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ก่อนได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วให้ยกเลิกการสนับสนุนการลงทุนสำหรับมาตรการนั้นให้แก่อาคารดังกล่าว
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 จำนวน 4,164,718 บาท (สี่ล้านหนึ่งแสนหกหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยสิบแปดบาทถ้วน) เพื่อใช้เป็นเงินสนับสนุนในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในปีงบประมาณ 2544
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการ ในปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
2.1 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในวงเงิน 296,420 บาท (สองแสนเก้าหมื่นหกพันสี่ร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2.2 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในวงเงินทั้งสิ้น 984,454 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นสี่พันสี่ร้อยห้าสิบสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังนี้
(1) การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ ในวงเงิน 62,114 บาท ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและดำเนินการอื่นๆ เป็นเงิน 45,425 บาท
การปรับปรุงแบบก่อสร้าง เป็นเงิน 16,689 บาท
(2) การลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ โดยการเปลี่ยนใช้มอเตอร์ ประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 922,340 บาท
2.3 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับโรงพยาบาลอุดรธานี ในวงเงินทั้งสิ้น 2,883,844 บาท (สองล้านแปดแสนแปดหมื่นสามพันแปดร้อยสี่สิบสี่บาทถ้วน) สำหรับเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้
(1) การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ ในวงเงิน 146,645 บาท ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและดำเนินการอื่นๆ เป็นเงิน 114,600 บาท
การปรับปรุงแบบก่อสร้าง เป็นเงิน 32,045 บาท
(2) การลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 2,737,199 บาท โดยจำแนกเป็นรายมาตรการ ดังนี้
การเปลี่ยนใช้โคมสะท้อนแสง ในวงเงิน 1,072,289 บาท
การเปลี่ยนใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ ในวงเงิน 1,058,292 บาท
การเปลี่ยนใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 606,618 บาท
3. หากหน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุนฯ ตามข้อ 2 ได้ดำเนินการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในมาตรการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติวงเงิน หน่วยงานนั้นๆ จะไม่ได้รับเงินสนับสนุนฯ ในมาตรการที่ได้ลงทุนไปก่อนแล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2541และรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,491,790,196.69 บาท
มติที่ประชุม
รับทราบงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2541 และรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543
เรื่องที่ 8 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2543 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,238.96 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้ดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำการประเมินผลการดำเนินงานโครงการฯ ทั้งทางด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงให้เสนอทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการฯ เพื่อนำไปใช้พัฒนาปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป
สพช. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี (มจธ.) เป็นที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โดยใช้เงินกองทุนฯ โครงการบริหารงานตาม พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542 ในวงเงิน 7,485,000 บาท (เจ็ดล้านสี่แสนแปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยกำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน 10 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2542 ซึ่งสถาบันวิจัยพลังงานฯ ได้นำเสนอร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ ให้ สพช. แล้ว
สพช. ได้เสนอการประเมินผลโครงการฯ ให้คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2543 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการฯ ในระยะต่อไป เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินโครงการฯ ในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ที่ปรึกษาตรวจสอบ (Accredited Consultants : AC) จะต้องเป็นผู้ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกับที่ปรึกษาด้านพลังงาน (Registered Consultants : RC)
2) กำหนด Rating RC/AC และทำการทดสอบ RC/AC ทุกราย เป็นประจำทุกปี หาก RC/AC รายใดมีคุณภาพไม่ผ่านเกณฑ์ก็ให้มีการถอดถอน RC/AC รายนั้น
3) สร้างระบบสุ่มตรวจ แทนที่จะตรวจซ้ำงานที่ AC ทำแล้ว เพื่อความรวดเร็วในการตรวจงานและจ่ายเงินให้กับ RC
4) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การขอขึ้นทะเบียน RC โดยไม่ควรที่จะคำนึงเฉพาะชื่อของวิชาหรือสาขาที่สำเร็จการศึกษา แต่ควรที่จะระบุเป็นเนื้อหาของแต่ละวิชาที่จะต้องสำเร็จการศึกษา และเปิดโอกาสให้มีการจดทะเบียนได้ทั้งปี
5) ปรับปรุงกฎกระทรวงให้โรงงานและอาคารที่ทำ Prelim Audit แล้วไม่ต้องทำซ้ำในรอบสอง ให้ทำ Detail Audit เพียงอย่างเดียว
สพช. ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ พพ. ทราบแล้ว และหาก พพ. จัดทำแผนปรับปรุงการดำเนินงานโครงการฯ และแจ้งให้ สพช. ทราบแล้ว สพช. จะนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ