มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2549 (ครั้งที่ 16)
วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2549 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ตั้งแต่ กันยายน - 10 ตุลาคม 2549)
2. เสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
3. ขอลดระยะเวลาการบันทึกบัญชีรายได้รอการตรวจสอบเป็นรายได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้กล่าวแสดงความยินดีที่ได้มาร่วมงานกับข้าราชการกระทรวงพลังงาน พร้อมทั้งได้ชี้แจงให้ ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย นโยบายในระยะสั้น ซึ่งเป็นการจัดการปัญหาเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการ และการวางนโยบายพัฒนาพลังงานในระยะยาว เพื่อให้การพัฒนาพลังงานของประเทศมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายต่างๆ ซึ่งควรจะต้องดำเนินการให้เสร็จในรัฐบาลชุดนี้
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ตั้งแต่ กันยายน - 10 ตุลาคม 2549)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยตั้งแต่ 1 กันยายน - 10 ตุลาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 59.15 และ 62.02 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนสิงหาคมลง 9.62 และ 11.70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากการเทขายทำกำไรของนักลงทุนในตลาดซื้อขายล่วงหน้า และผู้ค้าคลายความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและสหประชาชาติ ประกอบกับปริมาณสำรองน้ำมันดีเซลของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี แม้ว่าโอเปคมีแผนที่จะปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อพยุงราคาน้ำมัน
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยตั้งแต่ 1 กันยายน - 10 ตุลาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 65.13, 64.47 และ 74.77 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 16.09, 15.89 และ 11.52 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบ ประกอบกับประเทศจีน ไต้หวัน และอินเดียได้ออกประมูลขายน้ำมันเบนซินที่ส่งมอบในเดือนตุลาคม 2549 รวมทั้งความต้องการใช้น้ำมันในภูมิภาคลดลงและสิ้นสุดฤดูกาลท่องเที่ยวในสหรัฐอเมริกา
3. ราคาขายปลีก ในช่วง 1 กันยายน - 10 ตุลาคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 6 ครั้ง ปรับราคาลดลง 0.50 บาท/ลิตร 1 ครั้ง และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 6 ครั้ง และลดลง 0.50 บาท/ลิตร 2 ครั้ง ดังนั้น ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลดลงจากเดือนสิงหาคม 4.13 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลง 3.40 บาท/ลิตร ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 25.59, 24.79 และ 24.14 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 14,441 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระจำนวน 64,848 ล้านบาท หนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้เงินกู้สถาบันการเงินจำนวน 24,702 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,627 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 11,510 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างจ่ายประจำเดือน 450 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 50,407 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนตุลาคมประมาณ 2,500 ล้านบาท และมีรายจ่ายมากกว่ารายรับจำนวน 8,944 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ข้อเสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 1 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุดเป็น 1.50 บาท/ลิตร เป็น 2.50 บาท/ลิตร โดยมอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการ กบง. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล
2. จากปัญหาภาระหนี้สินในการตรึงราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบ 50,407 ล้านบาท และมีหนี้สินค้างชำระ 64,848 ล้านบาท ภาระหนี้สินจากเงินชดเชย LPG ประมาณ 500 ล้านบาท/เดือน ขณะที่รายได้ของกองทุนน้ำมันฯ ลดลง เนื่องจากปริมาณการใช้ลดลงและนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 95 ในวันที่ 1 มากราคม 2550 รวมทั้งภาระในการส่งเสริมพลังงานทดแทนที่สูงขึ้นทำให้ประมาณการเงินกองทุนน้ำมันฯ ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ในช่วงเดือนตุลาคม 2550 ถึงมีนาคม 2551 จำนวนเงิน 11,468 ล้านบาท
3. จากปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะขาดสภาพคล่องในการชำระหนี้ และแนวทางแก้ไขคือ ควรมีการปรับเพดานเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล เพิ่มขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็นระดับเพดานสูงสุด 3.00 บาท/ลิตร เพื่อให้กองทุนฯ มีเงินสดเพียงพอต่อการชำระหนี้ ในเดือนตุลาคม 2550 - มีนาคม 2551 และหากเมื่อดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขฯ จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ให้สามารถบริหารจัดการหนี้ได้อย่างต่อเนื่อง และช่วยให้การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนและส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4.ฝ่ายเลขานุการฯ จึงมีความจำเป็นต้องขอความเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็น 3.00 บาท/ลิตร และขอให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ ผอ.สนพ. เป็นผู้ปรับขึ้นหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันทั้ง 3 ชนิด
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล เพิ่มขึ้นอีก 1.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็น 4.00 บาท/ลิตร
2. เห็นชอบให้ประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นผู้ปรับขึ้นหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล
เรื่องที่ 3 ขอลดระยะเวลาการบันทึกบัญชีรายได้รอการตรวจสอบเป็นรายได้
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ครั้งที่ 1/2542 (ครั้งที่ 27) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2542 ได้มีมติเรื่องผลการตรวจสอบบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงว่าในกรณีที่หน่วยงานต่างๆ ไม่ส่งเอกสารใบส่งเงินที่เป็นปัจจุบัน เป็นเหตุให้กรมบัญชีกลางไม่มีเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีภายใน 3 ปี ให้ถือว่ารายได้รอการตรวจสอบนั้นเป็นรายได้ของกองทุนน้ำมันฯ
2. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงพลังงานให้เป็นผู้จัดการกองทุนฯ และ สบพ. ได้รับมอบงานการเบิกจ่ายเงินและการบัญชีกองทุนฯ จากกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2547 เป็นต้นมา ซึ่งจากการจัดทำบัญชีของ สบพ. พบว่า สบพ. ไม่ได้รับเอกสารใบนำส่งเงินจากการนำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของหน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนมาก และไม่อาจบันทึกเป็นรายได้ของกองทุนฯ ได้ จนกว่าจะครบ 3 ปี ไปแล้ว จึงสามารถปรับปรุงบัญชีรายได้รอการตรวจสอบนั้นเป็นรายได้ของกองทุนฯ
3. คณะกรรมการตรวจสอบ สบพ. ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2549 ได้มีมติให้ สบพ. นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับลดระยะเวลาการบันทึกรับรู้เป็นรายได้ของกองทุนน้ำมันฯ จาก 3 ปี เหลือ 1 ปี โดยคณะกรรมการ สบพ. ได้รับทราบมติของคณะกรรมการตรวจสอบฯ แล้ว ในการประชุมคณะกรรมการ สบพ. ครั้งที่ 5/2549 (ครั้งที่ 25) เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2549
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดระยะเวลาการบันทึกบัญชีรายได้รอการตรวจสอบเป็นรายได้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จาก 3 ปี เหลือ 1 ปี โดยให้มีผลบังคับใช้กับรายได้รอการตรวจสอบตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นไป