มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 76)
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และการประเมินผลกระทบ
2.การนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาทำเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียว
3.การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโครงการห้วยเฮาะจากกรณี Change in Law Claim
4.ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ
5.การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
6.แผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
7.ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
8.การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
10.ปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
11.แนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้องการ
12.รายงานการศึกษาโครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และการประเมินผลกระทบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ผลการประชุมของกลุ่มโอเปค เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา กลุ่มโอเปคได้มีการประชุม ณ กรุงเวียนนา โดยผลการประชุมได้ตกลงที่จะเพิ่มเพดานการผลิตอีก 708,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 25.4 ล้าน บาร์เรลต่อวัน และประเทศนอกกลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิตอีก 200,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 28-32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบอ้างอิงของกลุ่มโอเปคเคลื่อนไหวในระดับ 29 - 30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามซาอุดิอาระเบียได้ออกมาประกาศว่าหากราคาน้ำมันดิบไม่ลดลงซา อุดิอาระเบียจะหารือกลุ่มโอเปค เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน โดยซาอุดิอาระเบียมีเป้าหมายราคาน้ำมันดิบอ้างอิงอยู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากประกาศดังกล่าวทำให้ตลาดน้ำมันมีภาวะผ่อนคลาย ราคาน้ำมันดิบในช่วง ต้นเดือนกรกฎาคม จึงได้ปรับตัวลดลง 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 27 - 31 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในเดือนมิถุนายนมีการปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากโรงกลั่นประสบปัญหาค่าการกลั่นตกต่ำจึงได้ลดกำลังการกลั่นลง แต่ในช่วงปลายเดือนโรงกลั่นน้ำมันในคูเวตได้เกิดอุบัติเหตุต้องปิดเพื่อซ่อม แซมเป็นเวลา 6 เดือน ทำให้ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปหายไป 450,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในสิงคโปร์ราคาสูงขึ้นในเดือนนี้ ราคาน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนนี้สูงขึ้น 2.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเตาราคาสูงขึ้น 1.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามน้ำมันสำเร็จรูปที่หายไปส่วนหนึ่งสามารถทดแทนจากการ ส่งออกของเกาหลีใต้ และไต้หวัน และแนวโน้มการเพิ่มปริมาณการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซล ลดลง ณ ต้นเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 92 และดีเซลอยู่ในระดับ 34.5, 33.0 และ 31.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยในเดือนมิถุนายน น้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวม 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง รวม 1.17 บาทต่อลิตร ลดลง 1 ครั้ง 0.20 บาทต่อลิตร โดยในวันที่ 6 กรกฎาคม 2543 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ในระดับ 15.89, 14.89, 14.47 และ 12.99 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. จากภาวะต้นทุนราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกในสัดส่วนที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลก ทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของผู้ค้าน้ำมัน เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 0.90 - 1.00 บาทต่อลิตร ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ในขณะที่ค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 0.36 - 0.44 บาทต่อลิตร แต่หลังจากโรงกลั่นน้ำมันในคูเวตหยุดเพื่อซ่อมแซม ตลาดน้ำมันมีภาวะตึงตัว ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงสูงขึ้น ทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 0.62 บาทต่อลิตร
5. มาตรการบรรเทาผลกระทบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 และเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ โดยมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมจากเดิมสรุปได้ ดังนี้
5.1 มาตรการอนุรักษ์พลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
1) การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2542 - พฤษภาคม 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานและว่าจ้าง ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐไปแล้วจำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงและว่าจ้างควบคุมงานติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์ พลังงานในอาคารของรัฐจำนวน 160 แห่ง รวมเป็นเงิน 43.31 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมรวม 121 แห่ง และโรงงานควบคุม 227 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมรวม 99 แห่ง รวมเป็นเงิน 178.78 ล้านบาท ในส่วนของโครงการ โรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี สถาบันราชภัฏสวนดุสิต และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา รวม 5 แห่ง ในวงเงิน 6.45 ล้านบาท
2) การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้ พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภทแล้วเสร็จ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพค ฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษานี้ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการของอุปกรณ์แต่ละประเภทด้วยแล้ว สพช. จึงได้จัดทำร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ ไฟฟ้า 6 ประเภทดังกล่าว เพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป
3) โครงการขยายการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้จัดทำข้อเสนอโครงการขยายการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในวงเงิน ประมาณ 24 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการกอง ทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาต่อไป โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายดำเนินการให้กับผู้ใช้ยานยนต์ทั้งในขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในเขตภูมิภาคให้ครบ 60 แห่ง ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยจะดำเนินการปรับแต่งเครื่องยนต์ที่ใช้ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล ซึ่งคาดว่าจะมีรถเข้าร่วมโครงการอย่างน้อย 49,000 คัน ผลจากการดำเนิน โครงการคาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลังการปรับแต่ง เครื่องยนต์ได้ประมาณร้อยละ 5-10 ต่อคัน
4) การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวม 3 โครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2543-2547) รวมวงเงิน 258,447,440 บาท ประกอบด้วย โครงการกระตุ้น ให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โครงการปรึกษาแนะนำและสร้าง ผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และโครงการลดต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
5) โครงการประหยัดพลังงานโดยการใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ในการนำพลังงานที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1,000 กิโลวัตต์ จำนวน 50 แห่ง เป็นเงิน 160 ล้านบาท และการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู สมุทรปราการ เป็นเงิน 300 ล้านบาท
6) โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่าง การประสานงานและจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่ง เสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานประมาณ 10 ปี จำนวน 440 เครื่อง
5.2 การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ สพช. ได้ดำเนินมาตรการจูงใจเพื่อให้ประชาชนที่มีรถยนต์ซึ่งสามารถใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น โดยปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร และลดค่าการตลาดของเบนซินออกเทน 91 ลง 20 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2543 เป็นต้นมา ผลของการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏว่า สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เพิ่มขึ้นตามลำดับจากร้อยละ 33 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 37, 38, 45, และ 47 ในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ เมษายน และพฤษภาคม 2543 ตามลำดับ
5.3 การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวใน เดือนกรกฎาคม 2543 เพิ่มสูงขึ้นอีก 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันมาอยู่ในระดับ 296 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้องมีการชดเชยราคาที่สูงขึ้นอีก 135 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 955 ล้านบาทต่อเดือน การปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายรับเพิ่มขึ้น 78 ล้านบาท ซึ่งสามารถชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้ถึงดือนสิงหาคม 2543
5.4 มาตรการลดราคาน้ำมัน ปตท. ได้ลดราคาเบนซินและดีเซลจาก 0.15 บาทต่อลิตร เป็น 0.25 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 1 เมษายน 2543 - 30 มิถุนายน 2543 ให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยการจำหน่ายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ครอบคลุม 55 จังหวัด และพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการน้ำมันทั่วทุกจังหวัด นอกจากนี้ ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลด 0.60 บาทต่อลิตร และได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่จดทะเบียนขอรับส่วนลดจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมรวมทั้งหมด 305 ราย โดยให้ ส่วนลดเพิ่มเติมจากส่วนลดการค้าปกติสำหรับน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา โดยแยกเป็นความต้องการใช้น้ำมันดีเซล 5,956,971 ลิตรต่อเดือน และน้ำมันเตา 13,073,683 ลิตรต่อเดือน
5.5 มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
1) ภาคการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีจนถึงปัจจุบัน ว่า โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 1 ได้จ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ส่วนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 2 อยู่ระหว่างการทดสอบเครื่องทางด้านเทคนิค คาดว่าจะจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ประมาณเดือนกันยายน 2543 สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรีชุดที่ 1-3 ที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซคาดว่าจะจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ ประมาณปลายปี 2543 และส่วนที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิง พาณิชย์ได้ครบทุกชุดประมาณไตรมาสที่สองของปี 2545 นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาหาข้อยุติการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง กฟผ. และ ปตท. เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าราชบุรี ซึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กฟผ. ปตท. และ สพช. ในบางประเด็น คือ วันบังคับใช้สัญญา ปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ และข้อกำหนดเรื่องคุณภาพของก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าผลการพิจารณาร่วมกันจะมีข้อยุติและสามารถจัดทำสัญญาดังกล่าวได้ ภายในเดือนกรกฎาคม 2543
2) ภาคคมนาคมขนส่ง ปตท. อยู่ระหว่างการทดสอบสมรรถนะและตรวจวัดมวลไอเสียของเครื่องยนต์ที่ได้ปรับ ปรุงเป็นรถใช้ก๊าซธรรมชาติตามโครงการก่อนการขยายตลาดยานยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV Pre-marketing Project)คาดว่าจะประเมินผลโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะนำผลการทดสอบโครงการดังกล่าวและข้อคิดเห็นของ ขสมก. และ กทม. มาประกอบการจัดทำ ข้อเสนอแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงาน เพื่อปรับปรุงรถของ ขสมก. และกทม. ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้ ตลอดจนสร้างสถานีบริการก๊าซฯ ของ ปตท. นอกจากนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แจ้งผลการพิจารณารายการอากรนำเข้าเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ไม่มีการผลิตในประเทศว่าได้มีการปรับลดลงเหลือร้อย ละ 3 แล้วตามประกาศกระทรวงการคลังที่ ศก. 13/2542 อย่างไรก็ตามยังมีอุปกรณ์บางรายการในประเภทพิกัดย่อยไม่อยู่ในระบบฮาร์โมไน ซ์ 1996 ซึ่ง ปตท. จะประสานงานกับกรมศุลกากรในการกำหนดพิกัดภาษีให้ถูกต้อง เพื่อส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าต่อไป
3) ภาคอุตสาหกรรม ปตท. ได้จัดจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Ring Gas Pipeline Project) รวมทั้งจัดทำการออกแบบเบื้องต้นทางด้านวิศวกรรมและการประเมินผลสิ่งแวดล้อม เบื้องต้น (Initial Environment Evaluation) แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2543 และจะเสนอขออนุมัติการดำเนินโครงการต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ภายในเดือนตุลาคม 2543
4) การเร่งรัดสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการเตรียมการออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนยื่นขอ สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศสำหรับแปลงสำรวจจำนวน 87 แปลง ประกอบด้วย แปลงบนบก 75 แปลง ในอ่าวไทย 8 แปลง และทะเลอันดามัน 4 แปลง รวมพื้นที่ 460,000 ตารางกิโลเมตร คาดว่าจะประกาศได้ในเดือนกรกฎาคม 2543 นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเปิดให้มีการยื่นขออาชญาบัตรพิเศษในการสำรวจและพัฒนาถ่านหินในพื้นที่ ประกาศตามมาตรา 6 ทวิ ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 คาดว่าจะดำเนินการประกาศให้ยื่นขออาชญาบัตรพิเศษได้ภายในปี 2543 นี้
5.6 การทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลัก ปตท. ได้ทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลักของ ปตท. แล้วเสร็จ และได้บรรจุไว้ในแผนวิสาหกิจ ปตท. ประจำปี 2544-2548 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ เพื่ออนุมัติงบลงทุนประจำปี 2544 ต่อไป
5.7 การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐ ปตท. ได้ดำเนินการจัดหาน้ำมันดิบเพิ่มจากอิรักอีกประเทศหนึ่งเป็นจำนวน 5.5 พันบาร์เรลต่อวัน ทำให้การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มขึ้นจาก 124.3 พันบาร์เรลต่อวัน เป็น 129.8 พันบาร์เรลต่อวัน ซึ่งการจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้น 24 พันบาร์เรลต่อวัน จากปี 2542 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และรายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
6.1 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวม โดยเปรียบเทียบกรณีสูงซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ที่ระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ กับกรณีฐานซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ระดับ 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ พบว่า กรณีสูงจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการ ขยายตัวร้อยละ 5 ลดลงเหลือร้อยละ 4.69 หรือลดลงร้อยละ 0.31 อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 2 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.25 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 และการบริโภคของภาคเอกชนจะลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการบริโภคร้อยละ 5 ลดลงเหลือร้อยละ 4.79 หรือลดลง ร้อยละ 0.21 ส่วนปริมาณการส่งออกลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการส่งออกร้อยละ 11 ลดลงเหลือร้อยละ 10.96 หรือลดลง 0.04 โดยสรุปแล้วราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังไม่ทำให้ระดับราคาสินค้าปรับตัวสูง ขึ้นมากจนทำให้ความต้องการสินค้าและภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาการนำ เข้าน้ำมัน รวมทั้งการส่งออกอ่อนไหวต่อการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเท่าใดนัก นอกจากนี้แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม ควรเร่งรัดให้มีการปรับโครงสร้างการใช้น้ำมันใน เชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องและสนับสนุนการประหยัดพลังงานให้เห็นผลในทางปฏิบัติ
6.2 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนของสินค้าในการกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 73 รายการ เมื่อเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเมื่อเดือนมิถุนายน 2542 เฉลี่ยลิตรละ 8.30 บาท กับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในปัจจุบันเฉลี่ยลิตรละ 12.99 บาท พบว่าสินค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงร้อยละ 56.51 มีจำนวน 53 รายการ โดยมีผลกระทบอยู่ระหว่างร้อยละ 0.03 - 7.72 โดยแบ่งผลกระทบออกเป็น 3 กลุ่มสินค้า คือ สินค้าที่ได้รับผลกระทบในอัตราต่ำกว่าร้อยละ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่วนใหญ่มีจำนวน 40 รายการ สินค้าที่ได้รับผลกระทบในอัตราร้อยละ 1 - 3 มีจำนวน 10 รายการ และสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากกว่าร้อยละ 3 มีจำนวน 3 รายการ คือ กระเบื้องคอนกรีตมุงหลังคา ตะปู และปูนซีเมนต์ สำหรับสินค้าที่ได้รับอนุมัติให้ปรับราคาเนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันมี เพียงชนิดเดียวคือ ปูนซีเมนต์ โดยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายทางการเงินด้วย
6.3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาวประมง โดยใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จำนวน 420 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันนี้ได้ใช้จ่ายเงินจำนวนนี้หมดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือโดยจะให้องค์การสะพาน ปลาเรียกประชุมสมาคมประมงก่อนนำไปหารือใน คชก. ต่อไป สำหรับภาคเกษตรได้รับผลกระทบในเรื่องราคาค่าขนส่งและปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ตาม ต้องมีการประมวลผลกระทบอีกครั้ง แต่ผลกระทบที่ชัดเจนในปัจจุบันก็คือผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม โดยเฉพาะในภาคอีสาน สำหรับพื้นที่เพาะปลูกคาดว่าเกษตรกรก็จะต้องช่วยเหลือ ตัวเองและต้องใช้น้ำมันมากขึ้น
6.4 กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากการที่ราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น พบว่ามีผลเช่นเดียวกับที่กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานไปแล้ว โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ปูนซีเมนต์ นอกจากนั้นได้รับผลกระทบไม่มากนัก
6.5 กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการศึกษาอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสม และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากกระทรวงคมนาคมเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะต้องปรับอัตราค่าขนส่งก็ สามารถออกประกาศได้เอง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาทำเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2539 อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้กลุ่มพัฒนาพลังงานจาก ไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวงเงิน 1,853,540 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยการนำวัสดุ เหลือใช้จากการเกษตร หรืออุตสาหกรรมการเกษตรต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในรูปของพลังงานทดแทนฟืนและถ่าน โดยเฉพาะสำหรับประชาชนในชนบท เนื่องจากประเทศไทยมีสิ่งสูญเสียและสิ่งเหลือใช้จากโรงงาน อุตสาหกรรมเกษตร เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด กะลามะพร้าวสับ เปลือกมะพร้าว ใบไม้ ชานอ้อย เน่าเปื่อย ซึ่งถูกปล่อยทิ้งให้เป็นปุ๋ยหรือรอการเผาทำลายอยู่เป็นปริมาณมาก และประชาชนในชนบทยังนิยมใช้ฟืนและถ่านในการหุงต้ม โดยมิได้มีการปลูกทดแทนให้เพียงพอ
2. กรมป่าไม้ได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรืออุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ชานอ้อยเน่าเปื่อย วัชพืช หรือใบไม้ มาอัดเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียวด้วยเทคโนโลยีแบบง่ายๆ คือกระบวนการ อัดเย็นจากเครื่องอัดแท่งแบบสกรูที่ทำจากสแตนเลสและขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 2 แรงม้า เมื่อนำไป ตากแดดให้แห้งจะได้แท่งเชื้อเพลิงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร ที่สามารถใช้แทนฟืนและถ่านได้เป็นอย่างดี ซึ่งกรมป่าไม้ได้ทดลองเผยแพร่ความรู้และสาธิตการใช้แท่งเชื้อเพลิงเขียว รวมทั้ง อบรมวิธีการผลิตโดยการสนับสนุนเครื่องมือการผลิตแท่งเชื้อเพลิงเขียวให้ ประชาชนในหมู่บ้านสามารถผลิตเองได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ราษฎรมีงานทำและมีรายได้ร่วมกันในหมู่บ้าน รวมถึงเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้เป็นพลังงาน ทดแทนการใช้ฟืนและถ่าน ซึ่งจะช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่ามาทำเป็นฟืนและเผาถ่าน และช่วยสร้างจิตสำนึกและปลูกฝังให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ใน บริเวณรอบๆ ไว้ให้ชนรุ่นหลัง
3. โครงการนี้ได้ให้การสนับสนุนราษฎรในชนบทไม่ต่ำกว่า 1,000 ครัวเรือน ได้รู้จักและนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ด้วยการแปรรูปอัดเป็น แท่งเชื้อเพลิงเขียวที่เป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกแทนการใช้ฟืนและถ่านในการ หุงต้ม ซึ่งจะสามารถลดการใช้ฟืนได้ปีละไม่น้อยกว่า 300.6 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6.4 ล้านบาท และลดถ่านไม้ปีละไม่น้อยกว่า 151.56 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.7 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และกรมป่าไม้กำลังประเมินผลการใช้งานของเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว ที่ได้นำไปสาธิตใช้งานในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้ง ได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลความต้องการใช้ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการขยายผล ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโครงการห้วยเฮาะจากกรณี Change in Law Claim
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ร่วมกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการห้วยเฮาะ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2540 โดยมีเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าไฟฟ้าเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ จำนวน 50% และเงินบาทจำนวน 50% ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ณ ราคา 25.82 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ตลอดอายุสัญญาของโครงการ 30 ปี ต่อมารัฐบาลไทยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 จึงเป็นสาเหตุให้กลุ่มผู้ลงทุนฯ อ้างว่า การประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตรา แลกเปลี่ยนเป็น Thai Change in Law ตามเงื่อนไขในสัญญาฯ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการชดเชยรายได้โดยการปรับสูตรค่าไฟฟ้าในส่วนที่ กฟผ. จ่ายเป็นเงินบาท
2. คณะทำงาน กฟผ. ได้นำประเด็นข้อเรียกร้องของโครงการห้วยเฮาะเข้าเรียนปรึกษาเลขาธิการคณะ กรรมการกฤษฎีกา (นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์) และได้รับคำแนะนำว่า ตามข้อกำหนดเรื่อง Change in Law Claim ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กลุ่มผู้ลงทุนฯ มีสิทธิได้รับการชดเชยรายได้ส่วนที่สูญเสียไป กฟผ. จึงควรใช้ การเจรจาประนีประนอมมากกว่าการเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ (Arbitration)
3. คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) และคณะทำงาน กฟผ. ได้เจรจากับกลุ่มผู้ลงทุนฯ จนได้ข้อยุติในเรื่องหลักการและเงื่อนไขการปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะต้องจ่าย ให้แก่กลุ่มผู้ลงทุนฯ เฉพาะในส่วนของเงินบาทที่อิงกับเงินเหรียญสหรัฐ (Baht Indexation) จากระดับ 89% ลงมาเหลือ 62.5% ซึ่งทั้งสองฝ่ายพอใจและเห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสม
4. ในการประชุมคณะกรรมการ กฟผ. เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้ กฟผ. ดำเนินการปรับอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการห้วยเฮาะตามหลักการและเงื่อนไขที่ คปฟ-ล. และ กฟผ. ได้เจรจา ตกลงไว้กับกลุ่มผู้ลงทุนฯ และอนุมัติให้ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลงนามในเอกสารเรื่อง การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้ลงทุนฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า (ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2536 ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับสำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อมาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้จัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า และตั้งคณะทำงานย่อยอีกหลายคณะ เพื่อดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับดังกล่าว
2. ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ได้กำหนดเป้าหมายจำนวนไฟฟ้าดับและ ระยะเวลาไฟฟ้าดับในเขต กฟน. และ กฟภ. โดยกำหนดจำนวนไฟฟ้าดับต่อผู้ใช้ไฟฟ้าหนึ่งรายในรอบปี ในเขต กฟน. เป็น 5.42 ครั้ง และ 3.72 ครั้ง ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ ส่วนในเขต กฟภ. เป็น 19.10 ครั้ง และ 17.50 ครั้ง ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ และกำหนดระยะเวลาไฟฟ้าดับต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งรายในรอบปี ในเขต กฟน. เป็น 132.93 นาที และ 99.65 นาที ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ ส่วนในเขต กฟภ. เป็น 1,719.00 นาที และ 1,050.00 นาที ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ประสานงานกับคณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า เพื่อรายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2542 สามารถสรุป ผลการดำเนินงานได้ดังนี้
3.1 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับในเขต กฟน. ในปีงบประมาณ 2542 ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขต กฟน. ประสบปัญหาจำนวนไฟฟ้าดับถาวรเฉลี่ย 3 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 6.4 คิดเป็นระยะเวลาไฟฟ้าดับประมาณ 72 นาทีต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 27.0 ส่วนเขตอุตสาหกรรมจำนวนไฟฟ้าดับลดลงในอัตราที่สูงมากถึงร้อยละ 41.0 แต่หากพิจารณาเป็นรายเขตพบว่า เขตบางใหญ่ มีนบุรี และบางพลี จำนวนไฟฟ้าดับยังมีมาก ปัญหาไฟฟ้าดับส่วนใหญ่มีสาเหตุจากอุปกรณ์ชำรุด คน/สัตว์/รถยนต์และต้นไม้ ส่วนสาเหตุอื่นๆ ส่วนใหญ่ได้แก่ ไฟไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ การดับไฟฉุกเฉิน การใช้ไฟเกิน และการรับไฟจากสายป้อน สายส่ง และสถานีอื่น เขตที่มีปัญหาไฟฟ้าดับมาก ได้แก่ เขตบางใหญ่ มีนบุรี บางพลี บางกะปิ และบางเขน เขตดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเขตของบ้านอยู่อาศัย ส่วนเขตคลองเตยที่มีปัญหาไฟฟ้าดับเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากสายส่งของตัวสถานีในเขตคลองเตยขัดข้อง
3.2 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับในเขต กฟภ. ในช่วงปีงบประมาณ 2542 ผู้ใช้ไฟฟ้าเขต กฟภ. ประสบปัญหาจำนวนไฟฟ้าดับถาวรเฉลี่ย 17 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย คิดเป็นระยะเวลาไฟฟ้าดับประมาณ 1,298 นาทีต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 8.6 และ 16.3 ตามลำดับ ปัญหาไฟฟ้าดับ ในเขตเมืองและธุรกิจ และเขตชานเมืองดีขึ้นตามลำดับ ส่วนเขตอุตสาหกรรมมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจาก กฟภ. กำลังเร่งปรับปรุงระบบจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นสามารถแข่งขันคุณภาพ ไฟฟ้ากับผู้ผลิตไฟฟ้า รายเล็ก (SPP) ได้ จึงมีการขอดับไฟเพื่อปฏิบัติงานมากขึ้น สาเหตุใหญ่ของปัญหาไฟฟ้าดับถาวรในเขต กฟภ. เป็นเพราะระบบของ กฟภ. ขัดข้อง คิดเป็นร้อยละ 70 ของสาเหตุไฟฟ้าดับถาวรทั้งหมด ซึ่งมีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ชำรุด คน/สัตว์/รถยนต์ และต้นไม้ เขตที่มีปัญหาไฟฟ้าดับมากยังคงเป็นเขตทางภาคใต้ โดยเฉพาะ กฟต.2 (นครศรีธรรมราช) อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความรุนแรงของปัญหาไฟฟ้าดับโดยเฉลี่ยพบว่าปัญหา ไฟฟ้าดับลดน้อยลงจากปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 15.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะภาคเหนือ
3.3 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับจากระบบ กฟผ. ในช่วงปีงบประมาณ 2542 กฟผ. มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ 201 ครั้ง และมีระยะเวลาที่พลังไฟฟ้าสูงสุดหยุดจ่าย (System-Minutes) ประมาณ 18.69 นาที ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 3.31 สาเหตุของไฟฟ้าดับส่วนใหญ่เกิดจากสายส่งและสถานีไฟฟ้าแรงสูง โดยกว่าครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเกิดจากคน/สัตว์/อุปกรณ์ขัดข้อง และการซ่อมบำรุง-ปรับปรุงระบบ
4. จากสถิติไฟฟ้าดับของการไฟฟ้า สพช. มีความเห็นว่า ปัญหาไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นในปัจจุบันสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ตามแผนฯ 8 แสดงว่าปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับ ได้ แต่ในความรู้สึกของผู้ใช้ไฟฟ้าหลายรายเห็นว่าปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับยังมีอยู่ โดยมีข้อ ร้องเรียนมา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับจะต้องเชื่อถือได้และสามารถตรวจสอบได้ สพช. จึงได้ ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิธีการเก็บข้อมูล วิธีการคำนวณ และการวิเคราะห์ที่มาของข้อมูลไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับตามรายงานของการไฟฟ้าข้างต้น คาดว่าจะสามารถสรุปการศึกษานี้ได้ภายในปีงบประมาณ 2544 และเพื่อให้การจัดทำดัชนีความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้ามีความน่าเชื่อถือยิ่ง ขึ้น จึงควรเสนอให้มีผู้แทน สพช. และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมในคณะทำงานประเมินระดับความเชื่อถือได้ของระบบ ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันมีเฉพาะผู้แทนของ 3 การไฟฟ้าเป็นคณะทำงานฯ เท่านั้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบให้มีผู้แทน สพช. และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมในคณะทำงานประเมินความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ภายใต้คณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า
เรื่องที่ 5 การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 4 สาขา รวมทั้ง สาขาพลังงาน โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการศึกษาในรายละเอียด เพื่อเป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว สพช. ได้ดำเนินการว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" โดยบริษัทที่ปรึกษาได้จัดทำรายงานการศึกษาฉบับสุดท้าย (Final Report) เสร็จสมบูรณ์ ต่อมาคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าได้พิจารณาแนวทาง การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า และได้มีมติเห็นชอบในหลักการของผลการศึกษาดังกล่าวแล้ว
2. สพช. ได้นำผลการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" ของกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา และข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เสนอรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้คณะกรรมการการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาให้ความเห็นก่อนนำเสนอ กพช. ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 และ 22 มิถุนายน 2543 มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาด กลางซื้อขายไฟฟ้า โดยมีข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติม
3. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า สามารถสรุปได้ดังนี้
3.1 โครงสร้างกิจการไฟฟ้าและหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ในกิจการไฟฟ้า (Market Structure) ประกอบด้วย
(1) ภายใต้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคต การแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า โดยผู้ผลิตไฟฟ้าหรือบริษัทผลิตไฟฟ้า (Generation Companies : GenCos) จะแข่งขันเสนอราคาขายและปริมาณ ไฟฟ้าที่ตนจะผลิตเข้าสู่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) โดยมีศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (Independent System Operator : ISO) เป็นหน่วยงานในตลาดกลางที่คัดเลือกโรงไฟฟ้าที่เสนอราคาต่ำที่สุดให้เดิน เครื่องก่อนตามลำดับ จนกระทั่งได้ปริมาณไฟฟ้าตามความต้องการในแต่ละช่วงเวลา
(2) จะมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) ประกอบด้วย 3 หน่วยงานหลัก คือ ศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) เป็นผู้สั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าและควบคุมระบบไฟฟ้าโดยรวม ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (Market Operator : MO) ดำเนินการร่วมกับ ISO ทำหน้าที่ในส่วนของการตลาดที่จะกำหนดราคาค่าไฟฟ้าในตลาดกลาง (Spot Price) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (Settlement Administrator : SA) ดูแลทางด้านการเงินและบัญชี และการชำระเงินค่าซื้อขายไฟฟ้า
(3) ในส่วนของการจัดหาไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟส่วนใหญ่จะซื้อไฟฟ้าจากบริษัทระบบสายจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้า (Regulated Electricity Delivery Company : REDCo) ซึ่งเป็นกิจการที่ถูกกำกับดูแลโดยรัฐ (ในปัจจุบัน REDCos ก็คือ การไฟฟ้านครหลวง. และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
(4) ผู้ใช้ไฟยังมีทางเลือกที่จะใช้บริการไฟฟ้าจากบริษัทค้าปลีกไฟฟ้า (Retail Company: RetailCo) ที่ต้องการเข้ามาแข่งขัน โดยอาจจะให้บริการเสริมต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการจำหน่ายไฟฟ้าหรือทำสัญญากับผู้ใช้ไฟฟ้าในการประกันค่าไฟฟ้า (Hedging)
(5) ผู้ค้าไฟฟ้า หรือ Trader เป็นหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ กฟผ. ทำไว้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้แก่ IPP, SPP และโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะดำเนินการขาย ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าเสมือนว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเหล่านั้นเป็น โรงไฟฟ้าโรงหนึ่ง
3.2 การจัดการกับข้อผูกพันในระบบไฟฟ้าในปัจจุบัน มีดังนี้
(1) ต้นทุนติดค้าง (Stranded Cost) : ได้กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบการแข่งขัน (Competition Transition Charge : CTC) จากผู้ใช้ไฟฟ้าทุกราย
(2) สัญญาควบคุม (Vesting Contract) และสัญญาการจ่ายส่วนต่าง (Contract for Differences : CfD) : สัญญาควบคุม (Vesting Contract) เป็นสัญญาที่จะช่วยควบคุมความเสี่ยงในด้านราคาระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้ากับคู่ สัญญา ซึ่งสัญญาควบคุมจะอยู่ในรูปแบบของสัญญาการจ่ายส่วนต่าง (Contract for Differences : CfD) เมื่อใดก็ตามที่ราคาไฟฟ้าในตลาดกลางสูงกว่าราคาตามสัญญา บริษัทผลิตไฟฟ้าจะต้องจ่ายเงินนี้คืนแก่คู่สัญญา ในขณะเดียวกันถ้าราคาตลาดกลางต่ำกว่าราคาตามสัญญา บริษัทผลิตไฟฟ้าจะได้รับเงินส่วนต่างนั้นคืนจากคู่สัญญา
(3) หน่วยงานจัดการหนี้สิน (DebtCo) : เป็นองค์กรที่จะจัดการหนี้สินที่ติดค้างมาจาก กิจการไฟฟ้าเดิม โดยคณะที่ปรึกษาเสนอให้หน่วยงานจัดการหนี้สินนี้เป็นส่วนหนึ่งของ กฟผ. เนื่องจากผู้ที่รับภาระหนี้สินติดค้างในขณะนี้อยู่แล้วก็คือ กฟผ.
3.3 โครงสร้างค่าไฟฟ้าที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายจะประกอบด้วย 1) ค่าไฟฟ้าในตลาดกลาง (Spot Price) 2) ค่าสายส่งและสายจำหน่าย (Wire Charges) 3) ค่าบริการในการจัดหาไฟฟ้า (Gray Area Services) และ 4) ค่าการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบที่มีการแข่งขัน (CTC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแล
3.4 การจัดกลุ่มโรงไฟฟ้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กฟผ. คณะที่ปรึกษามีข้อเสนอว่า โรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมของ กฟผ. ควรแยกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี (กำลังผลิต 3,645 เมกะวัตต์) บริษัทผลิตไฟฟ้า 1 (Power Gen 1) (กำลังผลิต 5,999 เมกะวัตต์) บริษัทผลิตไฟฟ้า 2 (Power Gen 2) (กำลังผลิต 4,600 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (กำลังผลิต 3,384 เมกะวัตต์)
3.5 การปรับโครงสร้าง กฟผ. เพื่อเตรียมการเข้าสู่โครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่มีการแข่งขัน โดย กฟผ. จะต้องมีการปรับโครงสร้างภายในเพื่อดำเนินการเข้าสู่โครงสร้างกิจการไฟฟ้า ที่มีการแข่งขัน มีการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี แปรสภาพบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และบริษัทผลิตไฟฟ้า 2 ให้เป็นบริษัทในเครือ มีการแยกกิจกรรมต่าง ๆ ออกเป็นหน่วยธุรกิจ ได้แก่ กิจการระบบสายส่งไฟฟ้า (GridCo) กิจการไฟฟ้าพลังน้ำ หน่วยงานด้านบริหาร พลังงาน (Energy Management Agency) หน่วยงานในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (MO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA)
3.6 การปรับโครงสร้างองค์กรของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะมี การปรับโครงสร้างองค์กรโดยจะมีการแบ่งแยกบัญชีระหว่างหน่วยงานด้านสาย จำหน่าย (Distribution) และหน่วยงานด้านการจัดหาไฟฟ้า (Supply) รวมทั้งแยกหน่วยงานที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกเป็นหน่วยธุรกิจ ส่วนการ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรโดยหน่วยงานด้านสายจำหน่าย ณ ระดับแรงดัน 22 กิโลโวลต์ขึ้นไป จะปรับโครงสร้างออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจสายจำหน่ายแรงดันต่ำกว่า 22 กิโลโวลต์ และธุรกิจด้านการจัดหาไฟฟ้าจะปรับโครงสร้างออกเป็นบริษัทระบบสายจำหน่ายและ จัดหาไฟฟ้า 12 แห่ง
3.7 การอนุรักษ์พลังงาน (Energy Conservation) ให้จัดตั้งหน่วยงานด้านบริหารพลังงาน (Energy Management Company) โดยรวมสำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSMO) ของ กฟผ. กับสำนักงานวิจัยและพัฒนาของ กฟผ. เพื่อเป็นหน่วยงานปฏิบัติการหลักในการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยในช่วงแรกเป็นหน่วยงานภายใน กฟผ. แต่ต่อไปให้หน่วยงานนี้แยกออกเป็นอิสระจาก กฟผ. และให้จัดสรร งบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงาน
4. แผนการดำเนินงาน (Implementation Action Plan) และการกำกับดูแล มีดังนี้
4.1 คณะที่ปรึกษาได้นำเสนอแผนการดำเนินงานในส่วนของ สพช. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. ในช่วงปี 2543 - 2546 เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระบบ โดยมีการแบ่งแยกบทบาทและหน้าที่การดำเนินงานอย่างชัดเจน
4.2 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าโดยรวม สพช. จะเป็นผู้ออก ค่าใช้จ่าย กิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าใดเป็นหลัก การไฟฟ้านั้นควรเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จากการประมาณการค่าใช้จ่ายเบื้องต้น กิจกรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สพช. มีค่าใช้จ่ายประมาณ 400 ล้านบาท โดย สพช. จะทำการขออนุมัติงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4.3 การกำกับดูแลการดำเนินงานปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคตนั้น เห็นควรให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า คงบทบาทและหน้าที่ในการพิจารณาให้ความ เห็นชอบ พร้อมทั้งกำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ทั้งนี้ หากมีประเด็นที่หาข้อยุติไม่ได้ ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
5. คณะกรรมการ กฟผ. มีข้อสังเกตเพิ่มเติม ให้ กฟผ. ปรับโครงสร้างธุรกิจระบบส่งไฟฟ้าโดยการจัดตั้งเป็นบริษัทควบคุมระบบและสาย ส่งไฟฟ้า (TransCo) ซึ่งมีศูนย์ควบคุมระบบ (SO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA) รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ กฟผ. พร้อมที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างของธุรกิจผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ให้เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า และลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ลงให้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2547
6. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ผู้เชี่ยวชาญอิสระจากธนาคารโลก ชมรมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และ สพช. เห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมการ กฟผ. แต่ทั้งนี้ในส่วนของการจัดตั้ง TransCo มีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
6.1 ในระยะยาว ควรแยกศูนย์ควบคุมระบบออกมาจัดตั้งเป็นศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) และแยกการผลิตไฟฟ้าออกจากการส่งไฟฟ้าโดยสิ้นเชิง
6.2 ในระยะปานกลาง อาจยอมให้กิจการผลิตไฟฟ้า ส่งไฟฟ้า และศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า มีความสัมพันธ์ทางด้านการถือหุ้นได้บ้าง โดย
(1) หาก กฟผ. ยังคงถือหุ้นในบริษัทผลิตไฟฟ้า ศูนย์ควบคุมระบบควรแยกออกมาเป็นอิสระ (ISO)
(2) หาก กฟผ. สามารถแยกกิจการผลิตไฟฟ้าออกจากระบบสายส่งไฟฟ้า (GridCo) ได้อย่างสิ้นเชิงก่อนการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าปี 2546 ศูนย์ควบคุมระบบอาจรวมอยู่กับระบบสายส่งไฟฟ้า เป็นบริษัทควบคุมระบบและสายส่งไฟฟ้า (TransCo) ได้
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อ ขายไฟฟ้า โดยให้นำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า คณะผู้เชี่ยวชาญอิสระจากธนาคารโลก คณะกรรมการ กฟผ. ชมรมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และความเห็นของ สพช. ไปใช้ประกอบการพิจารณาในการดำเนินการตามแผนต่อไป ทั้งนี้ ให้ สพช. เร่งรัดการยกร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยนำผลการพิจารณาของที่ประชุมประกอบในการยกร่างกฎหมายให้มีความชัดเจนใน ประเด็นของการกำหนดให้ศูนย์ควบคุมระบบต้องเป็นศูนย์ควบคุมระบบอิสระในที่สุด และการลงทุนในระบบสายส่งต้องไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน
2.มอบหมายให้ สพช. กฟผ. กฟน. กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า บังเกิดผลเป็นรูปธรรม
3.มอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าเป็นผู้ กำกับดูแล การดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์การปรับโครงสร้าง กิจการไฟฟ้าและสอดคล้องกับแผนการดำเนินงาน หากมีประเด็นที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
เรื่องที่ 6 แผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนระดมทุนจาก ภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องการจัดสรรหุ้นพนักงาน และเรื่องการจัดสรรกำไรที่ได้จากการขายหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีไป พิจารณาดำเนินการ นอกจากนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี (คณะกรรมการดำเนินการฯ) ซึ่งมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และมีผู้แทนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประเมินราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด และกำกับดูแลการ จัดทำสัญญาทุกฉบับที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนระดมทุนฯ
2. คณะกรรมการดำเนินการฯ ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย และได้นำมติ คณะกรรมการดำเนินการฯ เสนอต่อคณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2543 ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดำเนินการฯ ให้ กฟผ. นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอนุมัติในประเด็นต่างๆ ดังนี้
2.1 การกำหนดราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าราชบุรี
2.2 การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากโรงไฟฟ้าราชบุรี
2.3 ร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี และร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.4 การให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.5 การให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.6 การให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีความเห็นเพิ่มเติมว่าการดำเนินการขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปภายใต้ สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน การตอบสนองของประชาชนทั่วไปและนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อาจมีค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงควรเร่งรัดให้มีการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้าราชบุรีให้ ประชาชนทั่วไปทราบ เพราะการดำเนินการประชา สัมพันธ์ที่ดีจะทำให้การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ประสบความสำเร็จได้ โดยเห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรง ไฟฟ้าราชบุรีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบราคาทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ กฟผ. จะขายและโอนให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 56,772.950 ล้านบาท ตามที่กำหนดในสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี โดยแบ่งเป็น
- (1) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อน หน่วยที่ 1-2 ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกัน ที่ดินทั้งหมด (รวมที่ดินสาธารณะที่เพิกถอนสภาพแล้ว) ครุภัณฑ์ ฯลฯ เป็นเงินจำนวน 30,472.492 ล้านบาท
- (2) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ชุดที่ 1-2 ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันระหว่างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ครุภัณฑ์ ฯลฯ เป็นเงินจำนวน 18,715.965 ล้านบาท
- (3) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ชุดที่ 3 เป็นเงินจำนวน 7,584.494 ล้านบาท
2.เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ดังนี้
- (1) อัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี ซึ่งคำนวณแบบ Levelized Price ตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 1.832 บาทต่อหน่วย
- (2) อัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ซึ่งคำนวณแบบ Levelized Price ตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 1.459 บาทต่อหน่วย
- ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ดังกล่าวข้างต้นกำหนดตามสมมติฐานในแบบจำลองทางการเงิน (Financial Model) ที่จัดทำขึ้น เพื่อใช้ในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้า โดยมีอัตราผลตอบแทนผู้ลงทุนเท่ากับ 19% ภายหลังหากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้บรรลุข้อตกลงกับ สถาบันการเงินซึ่งให้ผลประโยชน์สูงสุด และได้มีการทดสอบสมรรถนะโรงไฟฟ้า (Performance Test) แล้ว ก็ให้ กฟผ. กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าใหม่เพื่อให้อัตราผล ตอบแทนผู้ลงทุนเท่าเดิม (19%) โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดใหม่จะต้องไม่สูงกว่าอัตราที่คณะรัฐมนตรีได้ อนุมัติ ในหลักการไว้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ซึ่งกำหนดให้อัตราค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าราชบุรี จะต้องไม่สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
3.เห็นชอบร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ราชบุรี และโรงไฟฟ้า พลังความร้อนร่วมราชบุรี จำนวน 2 ฉบับ ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี จำนวน 2 ฉบับ และร่างสัญญาปฏิบัติการและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าราชบุรี จำนวน 1 ฉบับ ทั้งนี้ให้ กฟผ. สามารถลงนามสัญญาดังกล่าวได้เมื่อผ่านการตรวจของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
4.ให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
5.ให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจาก โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
6.ให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528 ทั้งนี้การเบิกถอนเงินกู้ให้ดำเนินการได้เมื่อบริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ไม่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
7.มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรีรับไปดำเนินการเร่งรัดให้มีการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้า ราชบุรีให้ประชาชนทราบ และกำกับดูแลการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้าราชบุรีให้กับประชาชนทั่วไป รวมทั้ง ดำเนินการขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็น ไปตามกำหนดในเดือนตุลาคม 2543
เรื่องที่ 7 ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
สรุปสาระสำคัญ
1. ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว ซึ่งได้ลงนามแล้วระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ในปัจจุบันมีโครงการใน สปป. ลาว ที่ได้จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ สำหรับโครงการลำดับต่อไปที่ สปป. ลาว ได้มีการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับฝ่ายไทยแล้ว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งมีวันกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date : COD) เข้าระบบ กฟผ. ในเดือนธันวาคม 2549
2. คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) และ กฟผ. ได้ดำเนินการเจรจาอัตราค่าไฟฟ้าและรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจการรับ ซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ในด้านกฎหมาย พาณิชย์ และเทคนิค กับ คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติลาว (Lao National Committee for Energy : LNCE) และกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 จนสามารถได้ข้อยุติและในการเดินทางเยือน สปป. ลาว อย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และคณะในระหว่างวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2543 กฟผ. และกลุ่มผู้ลงทุนฯ จึงได้ มีการร่วมลงนามใน Covering Letter ของบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ฉบับที่ได้ มีการลงนามชื่อย่อเพื่อผูกพันเบื้องต้น (Initial) ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป. ลาว
3. ต่อมา คปฟ-ล. และคณะกรรมการ กฟผ. ได้ให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 และวันที่ 29 มิถุนายน 2543 ตามลำดับ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว มีอายุ 18 เดือนนับจากวันลงนาม และได้กำหนดเป้าหมายการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 ทั้งนี้ โครงการน้ำเทิน 2 มีอายุสัญญา 25 ปี แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วง 13 ปีแรก กฟผ. จะรับประกันราคาค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขการรับซื้อ และช่วง 12 ปีหลัง กฟผ. จะเป็นผู้เลือกว่าจะยังคงใช้เงื่อนไขการซื้อขายไฟฟ้าเดิมในช่วงที่สองของ อายุสัญญาหรือเลือกที่จะให้กลุ่มผู้ลงทุนขายไฟฟ้าจากโครงการผ่านระบบ Power Pool โครงการนี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้า ณ จุดส่งมอบ เท่ากับ 920.4 เมกะวัตต์ มีจำนวนพลังงานไฟฟ้าส่วนที่ประกันการรับซื้อเฉลี่ยเท่ากับ 5,354 ล้านหน่วยต่อปี และมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยคงที่ตลอดอายุสัญญา (Levelized Price) เท่ากับ 4.219 เซนต์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบกับร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ฉบับที่ได้มีการลงนาม ชื่อย่อเพื่อผูกพันเบื้องต้น (Initial)
2.อนุมัติให้ กฟผ. นำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่ได้รับความเห็นชอบแล้วในข้อ 1 ไปลงนามร่วมกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ต่อไป
เรื่องที่ 8 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
ประธานฯ ขอให้นำระเบียบวาระดังกล่าวไปพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นชอบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 มอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิง (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง และการหลีกเลี่ยงภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงทางบกและทางทะเล รวมทั้งให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิง (ศปนม). จัดทำโครงข่ายการประสานการปฏิบัติงานของ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ร่วมกับหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิงเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ต่อไป
2. ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาการจัดทำโครงข่ายการประสานงานการปฏิบัติงานในการ ป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรวม 2 ครั้ง ซึ่งผลประชุมสัมมนาดังกล่าวได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการประสานงาน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (คปปป.) ประกอบ ด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำหน้าที่พิจารณาเสนอความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานใน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม รวมทั้งติดตาม กำกับดูแล และประสานงานให้หน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติภารกิจตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย รวมทั้งประเมินผลงานของหน่วยงานต่างๆ ด้วย และให้มีศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (ศปปป.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ดังกล่าว
3. ดังนั้น ศปนม. จึงได้จัดทำโครงข่ายการประสานการปฏิบัติงานของ ศปนม. ร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง โดยได้จัดทำร่างคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ .../2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม เพื่อนำเสนอขอความเห็นชอบ ให้มีการตั้งคณะกรรมการฯ ตามร่างคำสั่งดังกล่าว
มติของที่ประชุม
ให้มีการตั้งคณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม (คปปป.) โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็น กรรมการ และให้มีศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (ศปปป.) เพื่อทำหน้าที่ฝ่าย เลขานุการฯ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน
เรื่องที่ 10 ปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
ประธานฯ ขอให้นำระเบียบวาระดังกล่าว ไปพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นชอบ
เรื่องที่ 11 แนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้องการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรี และโครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ล่าช้าไปกว่ากำหนดการแล้วเสร็จ ทำให้ไม่สามารถรับก๊าซฯ จากสหภาพพม่าในปี 2541-2543 ได้ครบจำนวนตามสัญญาฯ และมีภาระผูกพันต้องจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้าไปก่อน (Take or Pay) โดยสามารถเรียกรับก๊าซฯ ตามปริมาณที่ชำระไปแล้วคืนได้ในอนาคต (Make up) โดยไม่ต้องจ่ายเงินอีก
2. ภาระ Take or Pay ที่เกิดขึ้นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหา Take or Pay ต่อสัญญา ทั้งหมดด้วยโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะต้องจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้าตามสัญญาไปก่อน เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 25,067 ล้านบาท โดยมีภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ณ มูลค่าปัจจุบันที่ร้อยละ 8 จำนวน 6,475 ล้านบาท หรือที่ร้อยละ 6 จำนวน 4,391 ล้านบาท
3. ในช่วงระหว่างวันที่ 24 เมษายน 2543 ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2543 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ปตท. ได้ประชุมร่วมกัน เพื่อพิจารณาแนวทางการลดขนาดของปัญหา โดยมีมาตรการต่างๆ ดังนี้
3.1 มาตรการเร่งรัดแผนการใช้ก๊าซฯ ทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง รวมทั้งการปรับแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
3.2 มาตรการการลดข้อผูกพันปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ
4. สพช. กฟผ. และ ปตท. ได้พิจารณาประเด็นแนวทางการจัดสรรภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากปัญหาภาระ Take or Pay และกลไกการจัดการกับภาระดอกเบี้ยสรุปได้ ดังนี้
ช่วงที่ 1: ระหว่างปี 2541-2543 ภาระ Take or Pay เป็นผลอันเนื่องมาจาก
ก) โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีล่าช้าไปกว่ากำหนดแล้วเสร็จ
ข) โครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อยช้าไปกว่ากำหนดการแล้วเสร็จ
ค) ภาวะทางเศรษฐกิจที่มีความต้องการใช้ก๊าซฯ และการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ ลดลงต่ำกว่าประมาณการที่ได้พยากรณ์ไว้ ซึ่งเป็นประมาณการที่ ปตท. ใช้เป็ ข้อสมมติฐาน ในการจัดทำสัญญากับผู้ผลิต
ช่วงที่ 2: ระหว่างปี 2544 เป็นต้นไป ภาระ Take or Pay เป็นผลอันเนื่องมาจากภาวะทางเศรษฐกิจที่มีความต้องการใช้ก๊าซฯ โดยรวมของประเทศลดลงต่ำกว่าประมาณการจัดหาที่ ปตท. ได้ทำสัญญากับผู้ผลิตไว้แล้ว
5. ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay สามารถแบ่งภาระความรับผิดชอบตามสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ดังนี้
5.1 ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในส่วนของ ปตท. ในสัดส่วนร้อยละ 11.4 และ กฟผ. ในสัดส่วนร้อยละ 12.8 จะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของ ปตท. และ กฟผ. ตามลำดับ โดยจะต้องไม่ถูกจัดสรรด้วยการส่งผ่าน เข้าไปในราคาค่าก๊าซฯ หรือราคาค่าไฟฟ้าซึ่งจะเป็นภาระกับผู้บริโภค
5.2 ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในส่วนของรัฐบาลในสัดส่วนร้อยละ 27.8 และเศรษฐกิจในสัดส่วน ร้อยละ 48 รวมทั้งสิ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.8 สามารถถูกจัดสรรด้วยการส่งผ่านเข้าไปในราคาก๊าซฯ จะมีผล ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 0.35 สตางค์ต่อหน่วย (กรณีฐาน) หรือลดลงในกรณีที่มีมาตรการเร่งรัดการใช้ก๊าซฯ และในกรณีที่มีมาตรการเร่งรัดการใช้ก๊าซฯ พร้อมกับมาตรการลดข้อผูกพันด้วยปริมาณก๊าซฯ ในช่วงระหว่างปี 2544-2554
6. ภาระ Take or Pay ที่เกิดขึ้นแล้วระหว่าง ปตท. กับผู้ผลิต เป็นการจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้า ตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน โดย ปตท. สามารถเรียกรับก๊าซฯ ตามปริมาณที่ชำระไปแล้วคืนได้ ในอนาคต (Make up) ซึ่งภาระ Take or Pay ในปี 2541 และปี 2542 มีดังนี้
6.1 ปี 2541 (ปีปฏิทิน) ค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้ามีมูลค่าเทียบเท่า 50.47 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,898 ล้านบาท) ปตท. ได้ชำระให้ทางผู้ผลิตไปแล้ว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2542
6.2 ปี 2542 (ปีปฏิทิน) ค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้ามีมูลค่าเทียบเท่า 282.71 ล้านเหรียญสหรัฐ (10,744 ล้านบาท) ปัจจุบัน ปตท. ยังไม่ได้ชำระให้ทางผู้ผลิต
7. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2543 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้เข้าพบ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อหาข้อสรุปการอ้างเหตุสุดวิสัยซึ่งสามารถสรุปแยกออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ 1) การพิจารณาตามสัญญายังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ปตท. จะอ้างเหตุสุดวิสัยตามสัญญาได้หรือไม่ และ 2) การพิจารณาตามผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับมีความชัดเจนว่าถ้า ไม่อ้างเหตุสุดวิสัย และยอมจ่ายเงินตามสัญญาโดยมีการเจรจาประนีประนอม เพื่อลดภาระ Take or Pay ลง ปตท. รวมทั้งประเทศจะได้รับประโยชน์มากกว่า ทั้งประโยชน์โดยตรงจากการลดภาระ Take or Pay และ ผลประโยชน์ทางอ้อมในด้านต่างๆ ที่ยังไม่สามารถประเมินได้ เช่น ความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะการประมงระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่า ชื่อเสียงและภาพพจน์ของประเทศ รวมทั้งชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของ ปตท. ในการดำเนินธุรกิจในอนาคต
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการลดขนาดของปัญหาภาระ Take or Pay และแนวทางการจัดสรรภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากปัญหาภาระ Take or Pay โดยมอบหมายให้ สพช. ปตท. และ กฟผ. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2.เห็นชอบให้ ปตท. ใช้วิธีไม่อ้างเหตุสุดวิสัย แต่ให้มีการเจรจาประนีประนอมเพื่อบรรเทาปัญหาภาระ Take or Pay และมอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการชำระค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้าสำหรับปี 2542 ให้กับ ผู้ผลิตต่อไป
3.รับทราบผลการดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. และ กฟผ. (โรงไฟฟ้าราชบุรี) โดยเร่งรัดให้ ปตท. และ กฟผ. ลงนามในสัญญาดังกล่าวโดยด่วนต่อไป
เรื่องที่ 12 รายงานการศึกษาโครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิง
นายอลงกรณ์ พลบุตร ในฐานะประธานกรรมการโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังและพืชอื่นๆ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
1. โครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิงเป็นการดำเนินงานของกระทรวงวิทยา ศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังและพืชอื่นๆ (โครงการเอธานอล) เมื่อเดือนมกราคม 2543 โครงการนี้เป็นโครงการที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2533 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำเอธานอล หรือแอลกอฮอล์มาทดแทนการใช้น้ำมันของประเทศ ซึ่งมีการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศถึงร้อยละ 90
2. การรายงานต่อที่ประชุมในครั้งนี้เป็นการรายงานในเบื้องต้น ซึ่งผลการศึกษาอย่างสมบูรณ์คาดว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ศกนี้ สำหรับการศึกษาจะครอบคลุม 3 ประเด็น คือ
2.1 การใช้แอลกอฮอล์ผสมกับเบนซินและดีเซลในอัตราที่เหมาะสมจะสามารถใช้ได้ดีหรือ ไม่ ซึ่งผลการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศพบว่าสามารถใช้ได้ดี
2.2 การผลิตแอลกอฮอล์ในเกรดเอธานอลโดยใช้เทคโนโลยีภายในประเทศสามารถทำได้หรือ ไม่ ซึ่งผลการศึกษาพบว่าสามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
2.3 ต้นทุนและวัตถุดิบของไทยขณะนี้มีการส่งออกเอธานอลไปยังญี่ปุ่นในราคาเฉลี่ย 10 ปี ลิตรละ 9 บาท ซึ่งตรงกับราคา F.O.B ของบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก วัตถุดิบของไทยมีอยู่มากจนล้นตลาด ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าว จึงทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรของไทยตกต่ำ โครงการนี้จึงเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนการนำเข้า และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรด้วย
3. หากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการนี้ก็จะสามารถดำเนินการได้ทันทีจากจำนวน โรงงานที่มี อยู่แล้วอย่างน้อย 22 โรง ซึ่งภายใน 6 เดือนจะสามารถเพิ่มหอกลั่นเพื่อปรับแอลกอฮอล์จากเกรด 95 เป็น 99 ขึ้นไป ขณะเดียวกันโรงงานน้ำตาลก็พร้อมที่จะขยายหอกลั่นแอลกอฮอล์ส่วนนี้ด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และหากมีการดำเนินการในอนาคตขอให้มีการประสานกับคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติด้วย
- กพช. ครั้งที่ 76 - วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2543 (1523 Downloads)