มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 10/2543 (ครั้งที่ 80)
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2543 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ....
2.รายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม
4.ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
5.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 ได้พิจารณาเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... และได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จัดส่งข้อแก้ไขมายัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และเวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป
2. สพช. ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติข้างต้น ได้แก่ กรมโยธาธิการ ปตท. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในการพิจารณาข้อแก้ไขและข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... เพื่อนำไปปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ซึ่งจากการหารือร่วมกันได้ข้อสรุปในการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้
2.1 กรมโยธาธิการ มีข้อแก้ไขดังนี้
(1) เพิ่มเติมมาตรา 7(6) โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในการกำหนดขอบเขตการอนุญาตหรือการให้สัมปทาน ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 พ.ศ. 2515 และขอบเขตการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของกรมโยธาธิการและคณะกรรมการฯ เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน
(2) เพิ่มเติมข้อความวรรค 5 ของมาตรา 43 เกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตของผู้ประกอบ กิจการพลังงานเป็นดังนี้ "การประกอบกิจการพลังงานใดซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตหรือรับสัมปทานตามกฎหมาย อื่น จะต้องได้รับอนุญาตหรือรับสัมปทานตามกฎหมายนั้นด้วย ยกเว้นการขออนุญาตการผลิตพลังงานควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริม พลังงาน และการขออนุญาตตามมาตรา 37 ตามกฎหมายว่าด้วยการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย"
(3) เพิ่มเติมข้อความในมาตรา 45 (16) โดยในส่วนของประเภทใบอนุญาตการประกอบ กิจการค้าปลีกก๊าซธรรมชาติ ให้เพิ่มเติมว่า "ยกเว้นการประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับรถ"
(4) เพิ่มเติมข้อความในมาตรา 68 วรรคหนึ่ง โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำหนดมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยและด้านเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้า
(5) แก้ไขมาตรา 172 โดยตัด " ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58" ออกจากข้อความเดิม
(6) มาตรา 176 เปลี่ยนแปลงถ้อยคำจาก "อนุญาตตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58" เป็น "สัมปทานตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58"
2.2 ปตท. ได้ขอเพิ่มเติมข้อความในมาตรา 174 วรรค 3 ดังนี้ "ในการออกใบอนุญาตตาม วรรคสองให้คณะกรรมการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึง ข้อผูกพันที่มีอยู่เดิมและ ประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับบริการอยู่เดิม และการพัฒนาเพื่อให้มีการบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพหรือการอื่นใด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัตินี้"
3. สพช. ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ตาม ความเห็นของหน่วยงานข้างต้น และได้เวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการ ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... โดยให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำหรือข้อความใน ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ในขั้นตอนการพิจารณาตรวจร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำ "ดอกผล" อันเกิดจากกองทุนฯ จำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับ บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด มาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านพลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหารงานกองทุนฯ
2. ระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำหน้าที่พิจารณา จัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ เป็นรายปีงบประมาณในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนแก่หน่วยงานที่ ปฏิบัติงานทางด้านพลังงานและปิโตรเลียม นอกจากนี้ยังกำหนดให้ สพช. จัดทำงบแสดงผลการรับ - จ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณและงบแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันสิ้นปีงบประมาณให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดทำรายงานผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2543 ซึ่งได้อนุมัติเงิน กองทุนฯ ภายใต้กรอบของแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ อย่างเคร่งครัดสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งมีการอนุมัติตามความจำเป็นและหมาะสมเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานที่ ปฏิบัติงานด้านพลังงานและปิโตรเลียม เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยสามารถสรุปแผนและผลการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในรอบปีงบประมาณ 2543 ได้ดังนี้
หน่วย:ล้านบาท
หมวดค่าใช้จ่าย | แผนการใช้จ่าย | ผลการใช้จ่าย |
การค้นคว้า วิจัย และการศึกษา | 4.4 | 4.1 |
เงินทุนการศึกษา และฝึกอบรม | 4.6 | 4.6 |
การโฆษณา การเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ | 1.5 | 1.0 |
การเดินทางเพื่อศึกษาดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา | 6.5 | 6.2 |
การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน | 2.4 | 2.4 |
ค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน | 0.6 | 0.6 |
รวม | 20.0 | 18.9 |
4. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อมูลจากงบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ งบแสดงฐานะการเงินของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ งบประมาณผูกพันต่อเนื่องในช่วงปี 2544 ประกอบกับประมาณการรายรับของกองทุนฯ ที่คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของเงินกองทุนฯ ในช่วงสามปีข้างหน้าแล้ว ได้เสนอแผนการใช้จ่ายเงินในช่วงปีงบประมาณ 2544 - 2546 ภายในวงเงิน 66 ล้านบาท เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ภายใต้กรอบของหมวดรายจ่ายต่างๆ ดังนี้
(หน่วย:ล้านบาท)
หมวดรายจ่าย | ปีงบประมาณ | |||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | |
การค้นคว้า วิจัย และการศึกษา | 4.00 | 4.00 | 4.00 | 12.00 |
เงินทุนการศึกษา และฝึกอบรม | 5.40 | 5.40 | 5.40 | 16.20 |
การโฆษณา การเผยแพร่ข้อมูล และประชาสัมพันธ์ | 3.00 | 3.00 | 3.00 | 9.00 |
การเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา | 5.00 | 5.00 | 5.00 | 15.00 |
การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน | 4.00 | 4.00 | 4.00 | 12.00 |
ค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 1.80 |
รวม | 22.00 | 22.00 | 22.00 | 66.00 |
5. เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และมีความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเงินในหมวดต่างๆ ตลอดระยะเวลา 3 ปี จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ สามารถอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2544 - 2546 ตามแผนการใช้จ่ายเงินข้างต้นในวงเงินรวม 66 ล้านบาทได้ และให้คณะกรรมการ กองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินดังกล่าว โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนเงินอุดหนุนจาก สัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาและมีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543 รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2543 และเห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2544-2546
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 55) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้สนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ปี 2539 และจนถึงปี 2543 คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ซึ่งกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้อนุมัติงบประมาณจาก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1,746.0 ล้านบาท
2. ในปี 2544 หน่วยงานต่างๆ ได้จัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ ประกอบด้วย กรมศุลกากร 1 แผนงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 7 โครงการ กรมสรรพสามิต 9 โครงการ กรมทะเบียนการค้า 3 โครงการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ 1 โครงการ รวมทั้งสิ้น 21 โครงการ คิดเป็นจำนวนเงินขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น 1,211.2 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งได้มีการดำเนินการและก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว และจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2544 คิดเป็นจำนวนเงิน 583.3 ล้านบาท และที่เหลือเป็นงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนใหม่จำนวน 627.9 ล้านบาท
3. เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระในการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ทำให้การพิจารณา...จัดสรรงบประมาณภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณา อย่างรอบคอบ และจัดสรรให้เฉพาะส่วนที่ จำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ดังนั้น ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานต่างๆ จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณา คือ พิจารณาเป็นรายหน่วยงาน/รายโครงการ และให้ความสำคัญโครงการที่มีลำดับความสำคัญ...ก่อน คือ โครงการที่มีการก่อหนี้ผูกพันไว้แล้วในปี 2543 โครงการที่ดำเนินการแล้วในปี 2543 และต้อง ดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จในปี 2544 โครงการที่จำเป็นต้องดำเนินการเร่งด่วนเนื่องจากมีปัญหาค่อนข้างรุนแรง นอกจากนั้นจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเท่าที่เห็นว่าเหมาะสมจำเป็นเท่านั้น
4. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2543 ได้มีมติอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินโครงการตามที่เสนอโดยอนุมัติจัดสรรงบประมาณประจำปี 2544 จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงให้แก่หน่วยงานต่างๆ ตามโครงการที่เสนอในวงเงิน 861,756,567.22 บาท (แปดร้อยหกสิบเอ็ดล้านเจ็ดแสน ห้าหมื่นหกพันห้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทยี่สิบสองสตางค์) ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วในปี 2543 ยกมาขอใหม่ จำนวน 583,296,704.22 บาท และอนุมัติเพิ่มเติมในปี 2544 จำนวน 278,459,863.00 บาท ซึ่งสามารถแยก รายละเอียดตามหน่วยงาน ได้ดังนี้
หน่วย: บาท | |
กรมศุลกากร | 43,000,000.00 |
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง | 156,472,610.00 |
กรมสรรพสามิต | 621,351,024.22 |
กรมทะเบียนการค้า | 40,211,683.00* |
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | 721,250.00 |
5. นอกจากนี้ คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มอบหมายให้หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรร งบประมาณดังกล่าวข้างต้น จัดทำรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า น้ำมันเชื้อเพลิงในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบต่อไป ซึ่งขณะนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ อยู่ระหว่างรวบรวมและจัดทำสรุปการรายงานผล ดังกล่าว เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้รายงานให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าดังนี้
1.1 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (ประกอบด้วย โครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จำนวน 3 โครงการ คือ 1) โครงการลดต้นทุน อุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ซึ่ง ขณะนี้ กสอ. ขอชะลอโครงการฯ ไว้ก่อนเพื่อรอแนวทางที่ชัดเจนและจะจัดทำข้อเสนอมาใหม่อีกครั้ง 2) โครงการปรึกษา แนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรม ขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการเบื้องต้นจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุนแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 โดย กสอ. อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติม และ3) โครงการกระตุ้นให้ เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อเสนอโครงการเบื้องต้นให้สมบูรณ์ก่อนจะนำ เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ มีโครงการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวน 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและโครงการ สาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs เป็นสารทำความเย็น ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาค ความร่วมมือแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และสำนักควบคุม วัตถุอันตรายอยู่ระหว่างการปรับข้อเสนอโครงการสาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่อง ปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs ส่วนโครงการที่สามคือโครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมีผล กระทบต่องบประมาณ จึงขอนำโครงการฯ กลับไปทบทวน เพื่อรอข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน
1.2 แผนการรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง ตามโครงการ " 22 กันยา จอดรถไว้บ้านช่วยกันประหยัดน้ำมัน" ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สพช. จึงได้จัดทำแผนรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง ปีงบประมาณ 2544 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 การรณรงค์มีกิจกรรมหลักคือ แผนรณรงค์จอดรถไว้บ้านช่วยกันประหยัดน้ำมัน และมีกิจกรรมสนับสนุนอื่นๆ เช่น แผนรณรงค์การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ แผนรณรงค์ขี่จักรยานและเดินเท้า การใช้อุปกรณ์สื่อสารแทนการเดินทาง การวางแผนก่อนเดินทางและขับรถอย่างถูกวิธี และกิจกรรมทางเดียวกันไปด้วยกัน นอกจากนี้ ได้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง" เพื่อร่วมกันกำหนดแผนรณรงค์ให้มีความชัดเจนและดำเนินการรณรงค์ให้บรรลุเป้า หมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.3 โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานได้อนุมัติให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) ดำเนินโครงการสาธิตเทคโนโลยี ประสิทธิภาพพลังงาน ประกอบด้วย โครงการจัดตั้งศูนย์สาธิต 4 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร อยุธยา พิษณุโลก และเชียงใหม่ และจัดทีมรถนิทรรศการสาธิตเคลื่อนที่ไปอีก 22 จังหวัด รวมทั้งการจัดหาพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้งค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน ซึ่งได้มีการเปิดโครงการเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2543 ภายใต้ชื่อ "โครงการมหิดลรวมพลังหารสอง" ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายในงานมีการบรรยาย พิเศษและนิทรรศการ สำหรับศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานในกรุงเทพฯ จัดสร้างขึ้นที่อาคารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งได้เปิดให้เข้าชมแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นมา
1. 4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้เริ่มดำเนินโครงการ Tune-up ระยะที่ 1 โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2543 ณ กรมการขนส่งทางบก ซึ่ง ปตท. ได้กำหนดแผนการให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม ถึง 29 ธันวาคม 2543 หน้าอาคาร 6 กรมการขนส่งทางบก และให้บริการแก่หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กองบิน 6 ฐานทัพอากาศดอนเมือง กรมชลประทาน กรมพลาธิการทหารบก องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรมการขนส่งทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ การประปานครหลวง และการเคหะแห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 1 - 25 ตุลาคม 2543 มีจำนวนรถที่เข้ารับบริการรวมทั้งสิ้น 3,435 คัน คิดเป็นร้อยละ 20 ของ แผนการให้บริการรถยนต์ทั้งหมด
2. มาตรการลดราคาน้ำมัน มีความก้าวหน้าดังนี้
2.1 ปตท. ได้ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 0.25 บาทต่อลิตร และลดราคาน้ำมันหล่อลื่นอีกลิตรละ 2.00 บาท ต่อไปจนถึงธันวาคม 2543 โดยในช่วงมกราคม - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันให้เกษตรกรไปแล้วครอบคลุม 59 จังหวัด คิดเป็นปริมาณรวม 39 ล้านลิตร เป็นมูลค่าความช่วยเหลือ 8.8 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่ สูงขึ้น โดยชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่เกษตรกรรายครัวเรือนที่สังกัดสถาบัน/องค์กร เกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลในอัตราลิตรละ 3 บาท ในปริมาณ 15 ลิตรต่อเดือน โดยขณะนี้ ธกส. อยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อเกษตรกรที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ประสานไปยังผู้ค้าน้ำมันเพื่อให้สถานีบริการทั่วประเทศให้ความร่วมมือใน การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้ว
2.2 ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้แก่กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 134 แห่ง จนถึง สิ้นปี 2543 ในอัตราส่วนลดลิตรละ 0.42 บาท โดยในช่วงมกราคม - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันให้กลุ่มประมงไปแล้วรวม 92 ล้านลิตร เป็นมูลค่าส่วนลดรวม 53 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายและ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้อนุมัติเงินจ่ายขาดวงเงิน 321 ล้านบาท ให้กับกรมประมงเพื่อใช้ชดเชยการ ขาดทุนของกลุ่มผู้ประกอบการประมงโดยการลดราคาให้ในอัตราลิตรละไม่เกิน 3 บาท ให้กับเรือขนาดความยาวเกินกว่า 14 เมตร แต่ไม่เกิน 18 เมตร เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 จนถึงพฤศจิกายน 2543 มีชาวประมงเข้าเป็นสมาชิกโครงการฯ จำนวน 8,704 ราย และมีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเข้าร่วม โครงการรวม 120 สถานีบริการ โดยมียอดจัดสรรน้ำมันที่ให้ส่วนลดไปแล้วรวม 39.8 ล้านลิตร
2.3 กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของตามหลักเกณฑ์ ที่กระทรวงคมนาคมกำหนด โดยตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน ถึง 9 ตุลาคม 2543 มีจำนวนรถที่ได้รับการชดเชยไปแล้วทั่วประเทศประมาณ 31,799 คัน แยกเป็นกรุงเทพมหานคร 12,884 คัน และส่วนภูมิภาค 18,915 คัน โดยมีจำนวนคูปองที่จ่ายไปแล้วประมาณ 424,238 ใบ รวมเป็นเงิน 42,423,800 บาท ส่วนการเบิกจ่ายเงินให้กับ ปตท. ทางกรมการขนส่งทางบกกำลังรอแจ้งการโอนเงินจากกระทรวงการคลัง
2.4 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท โดยในช่วงเมษายน - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันโดยให้ส่วนลดไปแล้วรวม 11 ล้านลิตร คิดเป็น มูลค่ารวม 0.83 ล้านบาท
3. ปตท. ได้ดำเนินโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบ Bi-fuel ในรถแท๊กซี่ อาสาสมัครจำนวน 100 คัน ซึ่งขณะนี้มีผู้แจ้งความจำนงเข้าร่วมโครงการจำนวน 150 คัน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2543 นอกจากนี้ยังได้เปิดรับสมัครรถแท๊กซี่เข้าร่วมโครงการนำร่องการติดตั้ง อุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ จำนวน 1,000 คัน ในปี 2544 แล้ว
4. ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 จำนวน 29 พันบาร์เรลต่อวัน รวมเป็นจำนวนที่นำเข้าในปี 2543 จำนวน 135.3 พันบาร์เรลต่อวัน การนำเข้าน้ำมันดิบดังกล่าวเป็นลักษณะสัญญา TERM ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่าตลาดจรประมาณ 0.08-0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2543 ได้นำเข้าน้ำมันดิบตามสัญญา Term เป็นจำนวน 48.2 ล้านบาร์เรล
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนตุลาคม 2543 ของแหล่งในตะวันออกกลางอยู่ในระดับทรงตัว ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดอยู่ในภาวะสมดุล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบชนิดเบาได้ลดลง 1-2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจากการที่สหรัฐอเมริกาได้นำน้ำมันดิบสำรองทางยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นชนิด เบาออกสู่ตลาด แต่เนื่องจากปริมาณสำรองทาง การค้าอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบมีความไวต่อข่าวที่มีผลต่อความต้องการใช้และการจัดหา (สภาพอากาศ และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง) โดยราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 29.57 - 34.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนตุลาคมได้ลดลง โดยน้ำมันเบนซินปรับตัวลงตามความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาลและปริมาณน้ำมันที่ มีมากในตลาด ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น ทำให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการผลิตมีผลให้ปริมาณเพิ่มมากขึ้นในตลาด สำหรับน้ำมันก๊าด และเตา มีความต้องการเพื่อสำรองไว้ใช้สำหรับทำความอบอุ่นประกอบกับปริมาณที่มีอยู่ ในตลาดมีระดับต่ำทำให้ราคาสูงขึ้น 1.4 และ 1.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 32.8, 43.0, 38.5 และ 29.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในเดือนตุลาคมได้ปรับขึ้น 2 ครั้ง ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล รวม 60 สตางค์/ลิตร เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงอีก 1 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นประมาณ 20 สตางค์/ลิตร ประกอบกับการตรึงราคาขายปลีก ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ ในระดับติดลบ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 16.79 , 15.79 และ 15.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนตุลาคม ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินได้เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับติดลบ ค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์ในเดือนตุลาคมอยู่ที่ระดับ 0.22 บาท/ลิตร และเนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่อ่อนตัวน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบ ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนตุลาคมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3 - 1.5 บาท/ลิตร) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 บาท/ลิตร เมื่อพิจารณารายได้รวมของธุรกิจน้ำมัน (ค่าการตลาดและค่าการกลั่น) เฉลี่ยอยู่ในระดับ 1.7 บาท/ลิตร
5. แนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และสภาพอากาศ หากอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ และอิรัคลดการส่งออกเพื่อกดดันให้ยกเลิกการคว่ำบาตร ราคาน้ำมันอาจจะสูงขึ้นมาก รวมทั้งปริมาณสำรองน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ส่วนราคาน้ำมันเบนซินจะปรับตัวลดลงตามความต้องการที่จะลดลงในฤดูหนาว ส่วนราคาน้ำมันเพื่อความอบอุ่น (ก๊าด และดีเซล) ราคาจะสูงขึ้นตามความ ต้องการที่เพิ่มขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันดีเซลในฤดูหนาวนี้จะไม่เกิน 45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนราคาขายปลีกของไทย ราคาน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาตลาดโลก ส่วนราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 15 -16 บาท/ลิตร
6. จากปัญหาความตึงเครียดในตะวันออกกลางซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศใน 2 ลักษณะ คือ กรณีการจัดหาไม่ถูกจำกัดเพียงราคาน้ำมันแพง และกรณีกระทบการจัดหาของประเทศ ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จึงได้เสนอแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลางในการแก้ปัญหา ทั้ง 2 กรณี ดังนี้
6.1 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาน้ำมันราคาแพง ประกอบด้วย มาตรการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานเพื่อลดการใช้น้ำมัน มาตรการลดราคาน้ำมันเป็นรายสาขา และมาตรการอื่นๆ เช่น การส่งเสริมการใช้เบนซินให้ถูกชนิด เป็นต้น
6.2 มาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับในกรณีที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางได้ลุกลาม และส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันของไทย ก่อให้เกิดการขาดแคลน ขึ้นในประเทศ ให้ใช้มาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยนายกรัฐมนตรี มีอำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 เพื่อออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้สามารถดำเนินการตามมาตรการรองรับ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
(1) ด้านการจัดหาน้ำมัน รัฐบาลต้องเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานจากแหล่งในประเทศให้มากขึ้น ควบคุมการนำเข้าและส่งออกน้ำมัน และเร่งจัดหาน้ำมันโดยการเจรจากับต่างประเทศเพื่อขอซื้อน้ำมันในลักษณะของ การค้าต่างตอบแทน (Counter trade) ระหว่างภาครัฐกับภาครัฐ ( G to G) รวมทั้งการใช้ข้อ ตกลงระหว่างประเทศอาเซียนในความร่วมมือจัดหาน้ำมันในยามขาดแคลน และให้ผู้ค้าน้ำมันจัดหาจากบริษัทแม่และธุรกิจเครือข่ายในต่างประเทศ หากการจัดหาน้ำมันยังคงไม่เพียงพอ ก็อาจต้องมีการนำน้ำมันสำรองตามกฎหมายมาใช้ ตลอดจนการนำเข้าเชื้อเพลิงชนิดอื่นเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง
(2) การเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นที่ผลิตได้ในประเทศ ส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้ในประเทศ โดยรัฐต้องแก้ไขเพื่อผ่อนปรนกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรฐานการระบายมลพิษทาง อากาศจากการเผาเชื้อเพลิง
(3) มาตรการด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หากสามารถจัดหาน้ำมันได้เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศ ให้การปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงของราคา น้ำมันที่สูงขึ้นทันที แต่หากเกิดวิกฤตการณ์การขาดแคลนน้ำมัน โดยไม่สามารถจัดหาน้ำมันได้เพียงพอกับความต้องการใช้ รัฐบาลจะต้องประกาศใช้ "ระบบการควบคุมราคา" เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันการกักตุนและโก่งราคาขายเกินเหมาะสม
(4) มาตรการด้านการประหยัดพลังงานและการจัดการด้านการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งได้ตามความรุนแรงของสถานการณ์เป็น 3 ระดับ คือ ระดับต้น เป็นการเตรียมการ เมื่อสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะเกิดการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยรัฐต้องให้ข้อมูลที่แท้จริงต่อประชาชน ระดับกลางเมื่อ เกิดการขาดแคลน น้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น โดยสามารถจัดหาน้ำมันได้ต่ำกว่าปริมาณการใช้ แต่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 จะต้องใช้มาตรการบังคับต่างๆ เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันลงอย่างจริงจัง ระดับร้ายแรง เมื่อมาตรการบังคับไม่สามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันลงมาอยู่ในระดับเดียวกับการจัดหา จำเป็นต้องมีการปันส่วนน้ำมัน
(5) มาตรการป้องกันการกักตุน การควบคุมการจำหน่าย และการปันส่วนน้ำมัน เป็น มาตรการเพื่อจัดสรรการใช้น้ำมันที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสูงสุด และลดความเดือดร้อนของประชาชนจากการขาดแคลนน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด โดยกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอน คือ ระยะที่ 1 เมื่อการจัดหาเริ่มมีปริมาณต่ำกว่าความต้องการของประเทศเล็กน้อย ควบคุมผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ให้จำหน่ายน้ำมันในปริมาณเท่าที่จำเป็น ควบคุมการจำหน่ายน้ำมันให้แก่เครื่องบินและเรือที่เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ระยะที่ 2 เมื่อการจัดหาเริ่มลดต่ำกว่าความต้องการของประเทศมากยิ่งขึ้น ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 จัดทำแผนการจำหน่าย เพื่อขอรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่วนกลางที่จะมีการจัดตั้งขึ้นเป็นประจำ ทุกเดือน ระยะที่ 3 เมื่อการจัดหาเริ่มขาดแคลนมาก เริ่มใช้มาตรการในการปันส่วนน้ำมัน เพื่อให้การปันส่วนน้ำมัน การควบคุมการจำหน่าย และการป้องกันการกักตุนน้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.เห็นชอบแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
3.มอบหมายให้ สพช. ติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางและสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างใกล้ ชิด โดยให้ประเมินสถานการณ์และรายงานให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบเป็นระยะๆ
4.หากสถานการณ์ในตะวันออกกลางลุกลาม และมีผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันของประเทศ ให้ สพช. หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และผู้ค้าน้ำมัน เพื่อกำหนดมาตรการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ และเสนอผ่านประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อให้นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ออกเป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
- กพช. ครั้งที่ 80 - วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2543 (1404 Downloads)