![Super User](http://www.gravatar.com/avatar/8f29cc35bfcee5e137109c704783b4c7?s=100&default=https%3A%2F%2Feppo.go.th%2Fcomponents%2Fcom_k2%2Fimages%2Fplaceholder%2Fuser.png)
Super User
กบง. ครั้งที่ 182 - วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 8/2557 (ครั้งที่ 182)
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 10.30 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุชาลี สุมามาลย์ เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 19 มีนาคม 2557 พบว่าค่าการตลาด ของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.9265 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 20 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.4919 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกไม่เปลี่ยนแปลง
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 26 มีนาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 18 มีนาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.85 0.40 และ 1.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 104.30 117.61 และ 121.93 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 26 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 32.7358 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.43 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 35.15 บาทต่อลิตร ลดลง 2.37 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 27 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 0.8957 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อ ค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.4331 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ ค่าการตลาดลดลง 0.33 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 1.4733 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.28 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 2.37 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.08 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.50 บาท ซึ่งผลจากการปรับลดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.3957 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณวันละ 28.97 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 24.29 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 4.68 ล้านบาท ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 มีนาคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 12,597 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 19,873 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,276 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 0.80 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.40 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปศึกษาข้อกฎหมายและบทลงโทษในการกระทำความผิดเกี่ยวกับการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG เพื่อนำมาเสนอให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบในการประชุม ครั้งต่อไป
กบง. ครั้งที่ 181 - วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2557 (ครั้งที่ 181)
วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 14.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุชาลี สุมามาลย์ เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. 1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 11 มีนาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.4130 และ 1.8532 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าระดับ ที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันดีเซลขึ้น 0.25 และ 0.40 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และอัตราแลกเปลี่ยน ที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 12 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 2.2045 และ 1.4905 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 18 มีนาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มีนาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง0.75, 3.87 และ 1.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.45, 117.21 และ 119.97 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 18 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 32.3207 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.24 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 37.52 บาทต่อลิตร ลดลง 0.24 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 19 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.9265 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.236 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.18 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 1.4767 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.27 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 0.24 บาทต่อลิตร ส่งผล ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.02 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.50 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4265 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 28.97 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 4.68 ล้านบาท เป็นมีรายรับวันละ 24.29 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จาก 0.30 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 180 - วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2557 (ครั้งที่ 180)
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 มีนาคม 2557 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.8603 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลง และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 7 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.7610 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มีนาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 5 มีนาคม 2557 พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง1.15, 0.28 และ 1.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 104.20, 121.08 และ 121.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 10 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 32.5387 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.0078 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 37.76 บาทต่อลิตร ลดลง 1.52 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 11 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.8532 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด ประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.0078 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.01 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 1.7733 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.29 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 1.52 บาทต่อลิตร ส่งผล ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.11 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ยังพบว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ที่ 2.4130 บาทต่อลิตร ถือว่าอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลและน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 อยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.40 บาท และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ขึ้นลิตรละ 0.25 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลและน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 อยู่ที่ประมาณ 1.4532 และ 2.1630 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 23.98 ล้านบาท จากมีรายจ่าย วันละ 37.66 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 13.68 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 9 มีนาคม 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 12,339 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 19,744 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 7,405 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ จะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 1,651 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.10 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 0.30 บาทต่อลิตร และ ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ขึ้น 0.25 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 1.30 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 1.05 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 179 - วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2557 (ครั้งที่ 179)
วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.0064 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 อยู่ที่ 1.5048 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 5 มีนาคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 30 มกราคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.64, 3.09 และ 1.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 105.35, 121.36 และ 123.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 5 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 32.5309 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.61 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 39.28 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.14 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 6 มีนาคม 2557 อยู่ที่ 1.8603 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดจะประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.6104 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.47 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 1.4933 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.32 บาทต่อลิตร (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 1.14 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร และ (4) การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 3.5 ส่งผลทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.48 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.40 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4603 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 23.17 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 60.83 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 37.66 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 2 มีนาคม 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 13,805 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 20,608 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 6,803 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ จะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 610 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 0.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 178 - วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2557 (ครั้งที่ 178)
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 เวลา 15.30 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 มกราคม 2557 พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.7046 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 16 มกราคม 2557 อยู่ที่ 1.5603 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 30 มกราคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 14 มกราคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.51, 1.05 และ 1.68 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.71, 118.27 และ 122.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 31 มกราคม 2557 อยู่ที่ 33.1413 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.10 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 38.14 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.65 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 อยู่ที่ 1.0064 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาด จะประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง 0.1038 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.0788 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันเพิ่มขึ้น 1.4500 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดลดลง 0.2904 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 0.6500 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.0455 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.40 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.4064 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 22.27 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 109.60 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 131.87 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 18,053 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 21,489 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 3,436 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ จะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 201 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.20 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 0.50 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 177 - วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2557 (ครั้งที่ 177)
วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายในการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสมเป็นธรรมสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เป็นผู้พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึง (1) สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก (2) ภาวะเงินเฟ้อ (3) การส่งเสริมพลังงานทดแทน และ (4) ฐานะกองทุนน้ำมันฯ
2. จากการพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 มกราคม 2557 พบว่า ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 2.0487 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสม ดังนั้น กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2557 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 8 มกราคม 2557 อยู่ที่ 1.4482 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกยังคงเดิมอยู่ที่ 29.99 บาทต่อลิตร
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 14 มกราคม 2557 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 6 มกราคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล ปรับตัวลดลง 1.06, 0.70 และ 0.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 103.20, 117.22 และ 120.45 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราอยู่ที่ 33.0375 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.1885 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันอยู่ที่ 37.49 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.10 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 15 มกราคม 2557 อยู่ที่ 1.7046 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าค่าการตลาดที่เหมาะสม โดยปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดจะประกอบด้วย (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่แข็งค่าขึ้น 0.1885 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.14 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 1.0233 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.19 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 เพิ่มขึ้น 1.10 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.08 บาทต่อลิตร
4. ดังนั้น เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.30 บาท ซึ่งผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 16.70 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 125.43 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 108.73 ล้านบาท ซึ่งหากพิจารณาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 มกราคม 2557 พบว่า กองทุนน้ำมันฯ มีทรัพย์สินรวมอยู่ 19,010 ล้านบาท มีหนี้สินรวมอยู่ 20,265 ล้านบาท ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็น ติดลบ 1,255 ล้านบาท และหากนำมารวมกับวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนจะมีวงเงินบริหารจัดการรายจ่ายดังกล่าวได้อีกประมาณ 264 วัน กรณีที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร จากชดเชยที่อัตรา 0.50 บาทต่อลิตร เป็นชดเชยที่อัตรา 0.20 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 176 - วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2557 (ครั้งที่ 176)
วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะ เงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 มกราคม 2557 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 6 มกราคม 2557 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 104.26, 117.92 และ 121.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 3.85, 3.39 และ 4.38 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557 (ราคาปิดตลาดวันที่ 31 ธันวาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 6 มกราคม 2557 อยู่ที่ 33.2260 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.28 บาท ต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 27 ธันวาคม 2556 ที่ 32.9494 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 7 มกราคม 2557 อยู่ที่ 36.39 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 0.58 บาทต่อลิตร (จากวันที่ 2 มกราคม 2557) ผู้ค้าได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมัน 1 ครั้งเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2557 โดยน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 และ E20 ปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮฮล E85 ปรับเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลคงราคาเดิม
5. สรุปปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ได้แก่ (1) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อ่อนค่าลง 0.2766 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.22 บาทต่อลิตร (2) ราคาน้ำมันดีเซล (MOPS) เฉลี่ย 3 วันลดลง 4.58 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ค่าการตลาดเพิ่มขึ้น 0.88 บาทต่อลิตร และ (3) การเปลี่ยนแปลงราคา B100 ลดลง 0.58 บาทต่อลิตร ส่งผลทำให้ค่าการตลาดลดลง 0.04 บาทต่อลิตร ดังนั้น จากทั้ง 3 ปัจจัยส่งผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลในวันที่ 6 มกราคม 2557 ปรับตัวสูงขึ้น 0.62 บาทต่อลิตร เมื่อเทียบกับการประชุมครั้งก่อนหน้าเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2557
6. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 5 มกราคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 18,776 ล้านบาท หนี้สินรวม 19,473 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นติดลบ 698 ล้านบาท
7. จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 7 มกราคม 2557 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับสูง อยู่ที่ 2.0487 บาทต่อลิตร ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.50 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.94 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.55 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.66 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 27.83 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 158.84 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 131 ล้านบาท และจากฐานะกองทุนปัจจุบันติดลบ 698 ล้านบาท รวมวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนจะมีวงเงินบริหารจัดการได้อีกประมาณ 221 วัน (กรณีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 175 - วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2557 (ครั้งที่ 175)
วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.00 น.
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะ เงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ผลจาก การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 108.11, 121.31 และ 125.73 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ และน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.34 และ 1.91 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 0.21 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 20 ธันวาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 27 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 32.9494 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.28 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 20 ธันวาคม 2556 ที่ 32.6650 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 2 มกราคม 2557 อยู่ที่ 35.81 บาทต่อลิตร ลดลง 1.22 บาทต่อลิตร (จากวันที่ 23 ธันวาคม 2556) และเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้นชนิดละ 0.60 บาทต่อลิตร ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 2 มกราคม 2557 มีทรัพย์สินรวม 18,361 ล้านบาท หนี้สินรวม 18,463 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 103 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง และอัตราส่วนผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เปลี่ยนแปลงจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 7 จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 2 มกราคม 2557 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำที่ 1.0201 บาทต่อลิตร ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.50 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.17 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.52 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.42 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณวันละ 27.83 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 136.57 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 164.40 ล้านบาท และจากฐานะกองทุนปัจจุบันติดลบ 103 ล้านบาท รวมวงเงินกู้ 30,000 ล้านบาท กองทุนจะมีวงเงินบริหารจัดการได้อีกประมาณ 182 วัน (กรณีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดไม่เปลี่ยนแปลง)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2557 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 174 - วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 40/2556 (ครั้งที่ 174)
วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคาร B กระทรวงพลังงาน
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ผลจาก การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 20 ธันวาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.77, 119.40 และ 125.94 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.20 และ 2.43 และ 1.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2556 (ราคา ปิดตลาดวันที่ 16 ธันวาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 20 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 32.6050 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 16 ธันวาคม 2556 ที่ 32.1614 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 23 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 35.34 บาทต่อลิตร ลดลง 1.69 บาทต่อลิตร (จากวันที่ 17 ธันวาคม 2556)
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 18,155 ล้านบาท หนี้สินรวม 16,48 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 1,706 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.60 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.38 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.45 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.43 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลงประมาณวันละ 33.40 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 132.09 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 165.49 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 173 - วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 39/2556 (ครั้งที่ 173)
วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคาร B กระทรวงพลังงาน
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG สำเร็จรูปนำเข้า
3. ขอแก้ไขชื่อในหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
4. สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 3/2556
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายเสมอใจ ศุขสุเมฆ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.60 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 106.57, 116.97 และ 124.64 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 0.64 และ 3.35 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ และน้ำมันเบนซิน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.13 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 2 ธันวาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันที่ 16 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 32.1614 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ แข็งค่าขึ้น 0.18 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 2 ธันวาคม 2556 ที่ 32.3411 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่วนราคาไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันวันที่ 16 ธันวาคม 2556 อยู่ที่ 37.03 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.54 บาทต่อลิตร (จากวันที่ 2 ธันวาคม 2556)
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 20,433 ล้านบาท หนี้สินรวม 17,503 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 2,930 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงและอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้นลิตรละ 0.40 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 1.62 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.57 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.59 บาทต่อลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 22.27 ล้านบาท จากมีรายจ่ายวันละ 159.92 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 137.66 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2556 เป็นต้นไป
เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG สำเร็จรูปนำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า ดังนี้ (1) อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG นำเข้าและราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร และ (2) หลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้า เป็นดังนี้
ราคาก๊าซ LPG นำเข้า = CP + Premium + ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
โดยที่1) CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า2) Premium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor/witness fee & Lab expenses, Management Fee, Depot Operating Expenses และAdjust Demurrage (ส่วนต่างระหว่างค่า Demurrage ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการของเที่ยวเรือก่อนหน้าที่สามารถเจรจาจนได้ข้อยุติแล้ว)4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า
2. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือหารือสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการนำเข้า LPG สำเร็จรูป ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา เนื่องจาก ปตท. ได้รับมอบหมายให้นำเข้าก๊าซ LPG เพื่อจำหน่ายในประเทศให้เพียงพอ โดยที่ผ่านมา ปตท. นำเข้าก๊าซ LPG รูปของก๊าซโพรเพนและบิวเทนเพื่อผลิตเป็น LPG ที่คลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี แต่เนื่องจากสภาวะ LPG ในตลาดโลกเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2556 ค่อนข้างตึงตัว ทำให้มีผู้เสนอขายก๊าซ LPG เพียงรายเดียวเท่านั้นที่สามารถส่งมอบในช่วงที่ ปตท. กำหนดวันที่ 16 - 18 ธันวาคม 2556 โดยขายเป็น LPG สำเร็จรูป ขนส่งด้วยเรือ Refrigerated จำนวน 30,000 เมตริกตัน จากประเทศไนจีเรีย และเสนอราคาต่ำกว่าเที่ยวอื่นๆ ประมาณ 10 - 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปตท. จำเป็นต้องซื้อก๊าซ LPG นำเข้าเที่ยวนี้เพื่อป้องกันการขาดแคลน โดยจะเป็นการนำเข้า LPG สำเร็จรูปครั้งแรกที่คลังก๊าซเขาบ่อยา
3. การดำเนินการตามข้อ 2 ข้างต้น มีข้อจำกัดในการปฎิบัติดังนี้ (1) คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 9 กำหนดให้การส่งเงินเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่นำเข้าให้ส่งแก่ผู้รับชำระอากรขาเข้าพร้อมกับการชำระภาษีอากร ตามระเบียบกรมศุลกากร แต่ประกาศ กบง. กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ตามข้อ 2(2) และข้อ 2(3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งออกจากคลังก๊าซจังหวัดชลบุรีไปยังคลังก๊าซภูมิภาคหรือไปยังที่อื่นๆ เพื่อให้ราคาขายส่งก๊าซ LPG ที่คลังภูมิภาคเท่ากันทั่วประเทศ ซึ่งกรมศุลกากรไม่มีระเบียบปฏิบัติ เนื่องจากคลังก๊าซจังหวัดชลบุรีอยู่ในการดูแลของกรมสรรพสามิต ส่งผลให้เมื่อ ปตท. จ่าย LPG เที่ยวที่นำเข้านี้ออกจากคลังก๊าซเขาบ่อยา จังหวัดชลบุรี ปตท. จะไม่สามารถส่งเงินเข้ากองทุนได้ตามประกาศที่กำหนด และ (2) ระบบ Thai Customs Electronic Systems (TCES) ของกรมศุลกากร สามารถบันทึกอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงอัตราเดียว หากการดำเนินพิธีการนำเข้าของก๊าซ LPG เที่ยวนี้ใช้ 2 อัตรา คือ อัตรานำส่งเข้ากองทุนและอัตราชดเชยส่วนต่างราคานำเข้า กรมศุลกากรจึงไม่สามารถดำเนินการในระบบ TCES ได้ครบถ้วน
4. เพื่อให้ไม่เกิดการขาดแคลนและมีปริมาณก๊าซ LPG เพียงพอกับความต้องการใช้ภายในประเทศ รวมทั้งสามารถดำเนินการส่งเงินหรือขอเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ได้ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 สนพ. ได้ประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมธุรกิจพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน และ ปตท. โดยมีข้อสรุปคือ ให้เพิ่มเติมหลักเกณฑ์การคำนวณการนำเข้าก๊าซ LPG สำเร็จรูป และแก้ไขประกาศ กบง. เรื่อง “การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ” และขอเพิ่มเติมประกาศ กบง. เรื่อง “การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในราชอาณาจักร” โดยมีรายละเอียดดังนี้
4.1 หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG สำเร็จรูปจากการนำเข้า
โดยที่1) ราคาก๊าซ LPG สำเร็จรูปนำเข้า
- CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน ณ เดือนที่มีการนำเข้า- Premium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor/witness fee & Lab expenses, Management Fee และ Depot Operating Expenses- อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า2) ราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักร คือ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ กบง. กำหนด3) อัตราเฉลี่ยเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน คือ อัตราเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันตามประกาศ กบง. ข้อ 2 (1) เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ ตามระยะเวลาที่จ่ายก๊าซออกจากคลัง4.2 แก้ไขประกาศ กบง. ข้อ 2 เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ ดังนี้จากเดิม ข้อ 2 ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชย ทั้งนี้ไม่รวมถึงก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมดังต่อไปนี้ (1) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุน สำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร ยกเว้นก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดชลบุรี และก๊าซที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชรและโรงแยกก๊าซขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช กิโลกรัมละ ............. บาทแก้ไขเป็น ข้อ 2 ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชย สำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร ทั้งนี้ไม่รวมถึงก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมดังต่อไปนี้ (1) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักร ยกเว้นก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซที่จังหวัดชลบุรีและก๊าซที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชรและโรงแยกก๊าซขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช กิโลกรัมละ .......... บาท4.3 เพิ่มเติมประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในราชอาณาจักร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG สำเร็จรูปจากการนำเข้า ดังนี้
โดยที่1) ราคาก๊าซ LPG สำเร็จรูปนำเข้า
CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน ณ เดือนที่มีการนำเข้าPremium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้าค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ - Insurance - Loss - Demurrage - Import duty - Surveyor / witness fee & Lab expenses - Management Fee - Depot Operating Expensesอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า2) ราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักร คือ ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ที่ กบง. กำหนด3) อัตราเฉลี่ยเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน คือ อัตราเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันตามประกาศ กบง. ข้อ 2 (1) เรื่อง การกำหนดราคา อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ผลิตในราชอาณาจักรหรือนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักร อัตราเงินส่งเข้ากองทุนและอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ส่งไปยังคลังก๊าซ ตามระยะเวลาที่จ่ายก๊าซออกจากคลัง
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้มีความถูกต้อง และดำเนินการออกประกาศให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่อง ขอแก้ไขชื่อในหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
โดยที่X คือ ค่าเฉลี่ยร้อยละของไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานP1 คือ ราคาอ้างอิงไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมัน ตามประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน (บาทต่อลิตร)P2 คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ (บาทต่อลิตร) โดยคำนวณจากราคา MOPS GO 0.5% + พรีเมียม ที่ 60 0 F x อัตราแลกเปลี่ยน/158.984โดยที่- ราคา MOPS GO 0.5% คือ ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วซัลเฟอร์ 0.5% จาก Mean of Platt’s Singapore (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)- พรีเมียม คือ ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย และ ค่า Loss • ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล • ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ – สิงคโปร์ (เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) • ค่าประกันภัย ร้อยละ 0.084 ของ C&F • ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF- อัตราแลกเปลี่ยน อ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย(บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)- Conversion factor 60 0 F / 86 0 F
โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 เพื่อให้หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสอดคล้องกับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน
2. เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว โดย น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เท่ากับ (ราคา MOPS Gasoil 500 ppm + พรีเมียม) ที่ 600F x อัตราแลกเปลี่ยน/158.984 โดยที่ (1) ค่าพรีเมียม เท่ากับค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล + ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ + ค่าประกันภัยร้อยละ 0.084 ของ C&F + ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF (2) อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ) และ (3) Conversion factor 600 F / 860 F ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556
3. เนื่องจากหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามข้อ 1 และ 2 กำหนดคำว่า “น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว” เหมือนกัน แต่หลักเกณฑ์การคำนวณต่างกัน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและถูกต้อง ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแก้ไขหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ตามข้อ 2 ดังนี้ จากเดิม “ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เท่ากับ (ราคา MOPS Gasoil 500 ppm + พรีเมียม) ที่ 600F x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984” แก้ไขเป็น “น้ำมันดีเซลหมุนเร็วอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ เท่ากับ (ราคา MOPS Gasoil 500 ppm + พรีเมียม) ที่ 600F x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984”
4. ตามที่กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ดำเนินการประกาศมาตรฐานคุณภาพของไบโอดีเซลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี7 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป ประกอบกับให้หลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วสอดคล้องกับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันเป็นน้ำมันดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ดังนี้
โดยที่- ค่าพรีเมียม = ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล + ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ + ค่าประกันภัยร้อยละ 0.084 ของ C&F + ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF- อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)- Conversion factor 600 F / 860 F
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้แก้ไขชื่อในหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็นดังนี้
โดยที่- P2 = น้ำมันดีเซลอ้างอิงตลาดสิงคโปร์- ค่าพรีเมียม = ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล + ค่าขนส่ง World Scale กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ + ค่าประกันภัยร้อยละ 0.084 ของ C&F + ค่า Loss ร้อยละ 0.5 ของ CIF- อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงอัตราขายถัวเฉลี่ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)- Conversion factor 600 F / 860 F
เรื่อง สรุปผลการดำเนินโครงการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังในไตรมาสที่ 3/2556
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 กำหนดเป้าหมายการรับจำนำหัวมันสด 10 ล้านตัน และอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ครั้งที่ 16/2555 ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงพลังงานจัดทำแผนการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอล โดยในปี 2556 กระทรวงพลังงานกำหนดเป้าหมายส่งเสริมให้ใช้เอทานอล 2 ล้านลิตรต่อวัน และขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้ใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลและจากมันสำปะหลังในสัดส่วนร้อยละ 62 : 38 ดังนั้น โรงงานเอทานอลใช้วัตถุดิบมันสำปะหลังจะผลิตเอทานอลเฉลี่ย 0.76 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 255.60 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นปริมาณการใช้หัวมันสด 1.6 ล้านตันต่อปี
2. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบการปรับสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น โดยกำหนดสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลังเป็น 62 : 38 และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ประสานกรมการค้าภายในเพื่อตรวจสอบผู้ผลิตเอทานอลที่ใช้มันสำปะหลังในโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง โดยผู้ผลิตเอทานอลจากมันเส้นให้ใช้มันเส้นจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ผู้ผลิตเอทานอลจากมันสดให้เปิดจุดรับซื้อมันสดที่หน้าโรงงาน และผู้ผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อยให้ถือว่าอยู่ในกลุ่มกากน้ำตาล พร้อมทั้งให้รวบรวมรายงานยอดการซื้อมันสำปะหลังของโรงงานเอทานอลรายเดือน และรายงานให้ กบง. ทราบเป็นรายไตรมาส โดยในไตรมาส 3/2556 มีการใช้เอทานอล 2.66 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 0.08 ล้านลิตรต่อวัน และสัดส่วนเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังอยู่ที่ร้อยละ 30 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 3 ส่งผลให้ปริมาณหัวมันสดอยู่ที่ 499,791 ตัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 90,908 ตัน
3. ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ มีดังนี้ (1) บริษัท อี85 จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังหยุดการผลิตเอทานอลในเดือนกรกฎาคม 2556 เพื่อปรับปรุงระบบบ่อบำบัดตามคำสั่งของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี (2) คลังกลางมันเส้น อคส. ในพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานเอทานอล มีมันเส้นไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ผลิตเอทานอล ผู้ผลิตเอทานอลจำเป็นต้องรับมันเส้น อคส. ในพื้นที่หรือจังหวัดอื่น ทำให้มีต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มมากขึ้น และ (3) ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 บางราย ไม่สามารถซื้อเอทานอลจากมันสำปะหลังได้ตามสัดส่วน กรมธุรกิจพลังงานได้แจ้งผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อขอความร่วมมือให้รับซื้อเอทานอลตามสัดส่วนเอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลังที่ 62 : 38 และต่อมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2556 กบง. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอล โดยเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการซื้อขายจริง โดยมีผลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 เพื่อให้สะท้อนต้นทุนราคาเอทานอลที่แท้จริงของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ