มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2564 (ครั้งที่ 23)
วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2564 เวลา 16.00 น.
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ด้านไฟฟ้าที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ 3 มาตรการ คือ ลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 3 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท 3 เดือน (เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2563) ขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการเฉพาะอย่างโดยไม่คิดดอกเบี้ย ไม่เกิน 6 เดือน ในรอบการใช้ไฟฟ้าเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2563 และคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย และประเภทที่ 2 กิจการขนาดเล็ก และเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2563 เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าฯ ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ประกอบด้วย มาตรการค่าไฟฟ้าฟรี สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ จาก 50 หน่วยต่อเดือน เป็น 90 หน่วยต่อเดือน (เดือนเมษายนถึงมิถุนายน 2563) และขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ ไม่เกิน 6 เดือน ในใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนเมษายน ถึงมิถุนายน 2563 ต่อมาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2563 คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการมาตรการช่วยเหลือฯ ที่กระทรวงพลังงานเสนอ ได้แก่ ช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้ใช้ไฟฟ้าฟรี เป็นเวลา 3 เดือน (เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2563) และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน โดยใช้หน่วยการใช้ไฟฟ้าเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นฐานในการอ้างอิง รอบการใช้ไฟฟ้าเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2563
2. ในปี 2563 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับนโยบายตามมติคณะรัฐมนตรี มาดำเนินการ และได้เพิ่มเติมมาตรการยกเว้นการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุด (Minimum Charge) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 3 ถึง 7 (ประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทที่ 4 กิจการขนาดใหญ่ ประเภทที่ 5 กิจการเฉพาะอย่าง ประเภทที่ 6 องค์กรไม่แสวงหากำไร และประเภทที่ 7 สูบน้ำเพื่อการเกษตร) โดยมีภาระงบประมาณการดำเนินงานตามมาตรการ ในช่วงเดือนมีนาคมถึงตุลาคม 2563 เป็นเงิน 26,269.93 ล้านบาท ซึ่ง กกพ. ได้พิจารณานำเงินสำหรับใช้ในการรักษาเสถียรภาพค่าไฟฟ้าซึ่งเรียกคืนจากการไฟฟ้าในกรณีที่มีรายได้มากกว่าที่ควรจะได้รับในปี 2557-2562 (เงินเรียกคืนฐานะการเงินของการไฟฟ้า) มาใช้เป็นแหล่งงบประมาณในการดำเนินงาน เป็นเงินจำนวน 24,636.81 ล้านบาท ปัจจุบันมีภาระคงค้างส่วนเกินเป็นเงิน จำนวน 1,633.12 ล้านบาท ซึ่งได้ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) รับภาระดังกล่าวไว้พลางก่อน ต่อมา เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กำหนดอัตราค่าบริการของผู้รับใบอนุญาตสำหรับมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานไฟฟ้าสำหรัปบระชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 และมอบหมายให้ กกพ. รับไปดำเนินการในทางปฏิบัติต่อไป ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงผลกระทบต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและฐานะการเงินของการไฟฟ้าด้วย
3. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) รอบที่ 2 เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ กกพ. จึงมอบหมายให้สำนักงาน กกพ. วิเคราะห์แนวทาง การดำเนินงาน “มาตรการด้านไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) รอบ 2” ภายใต้แนวคิดสนับสนุน household sector ที่เป็น last unit consumption ในงบประมาณที่จำกัด โดยกรอบแนวคิด ดังนี้ (1) ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าที่ด้อยโอกาส และได้รับผลกระทบมาก จึงจำเป็นต้องกำหนดนโยบายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ใช้ไฟฟ้าดังกล่าว ที่อาจเข้าข่ายที่จะไม่ได้รับการชดเชยจากมาตรการอื่นของภาครัฐ (2) มาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมให้ดำเนินการได้เท่าที่จำเป็น และสอดคล้องกับภาระที่เพิ่มขึ้นสำหรับประชาชนที่ต้องทำงานที่บ้าน (Work from home) หรือผู้ที่ไม่อาจหางานหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว โดยไม่สร้างแรงจูงใจ ให้มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากราคาไฟฟ้าที่ลดลง (3) คำนึงถึงระดับผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายในภาคไฟฟ้า ต่อการดำเนินงานตามมาตรการ โดยไม่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้าและการรักษาเสถียรภาพด้านไฟฟ้าของประเทศ
4. สำนักงาน กกพ. ได้ศึกษามาตรการด้านไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID – 19 รอบที่ 2 ในรูปแบบเดียวกับปี 2563 พบว่า จะมีภาระด้านงบประมาณสูงเนื่องจากมีจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความซ้ำซ้อนของแต่ละมาตรการ และอาจจูงใจ ให้เกิดการใช้ไฟฟ้าที่มากเกินความจำเป็นได้ โดยงบประมาณที่ใช้ดำเนินการสำหรับระยะเวลา 1 เดือน จำนวน 8,178.54 ล้านบาท และสำหรับระยะเวลา 2 เดือน จำนวน 16,357.07 ล้านบาท ในการนี้ สำนักงาน กกพ. จึงศึกษาแนวทางการกำหนดมาตรการช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบดังกล่าว โดยมีข้อเสนอ ดังนี้ 4.1 มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ ที่ใช้ไฟฟ้า ไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน (ประเภทที่ 1.1 ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประเภทที่ 1.1.1 ของ กฟภ. ลูกค้ารายย่อยของ กฟผ. และประเภท 10 ของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบฯ) แบ่งเป็น 2 กรณี คือ กรณีช่วยเหลือเฉพาะพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด (3 จังหวัดในพื้นที่ กฟน. และ 25 จังหวัดในพื้นที่ กฟภ.) และกรณีช่วยเหลือทั่วประเทศ พบว่ามีการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย 80 หน่วยต่อรายต่อเดือน ทั้งนี้ หากคำนึงถึงผลกระทบ ที่ประชาชนต้องทำงานที่บ้าน จึงเห็นควรเสนอแนวทางช่วยเหลือ ดังนี้ (1) ช่วยเหลือค่าไฟฟรีสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน โดยกรณีช่วยเหลือ 28 จังหวัด จำนวน 1.47 ล้านราย ใช้งบประมาณ 229.85 ล้านบาทต่อเดือน กรณีช่วยเหลือทั่วประเทศ จำนวน 7.30 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 72 ของผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มนี้ใช้งบประมาณ 963.01 ล้านบาทต่อเดือน หรือ (2) ช่วยเหลือค่าไฟฟ้าฟรีสำหรับ 90 หน่วยแรกของผู้ใช้ไฟฟ้าทุกราย กรณีช่วยเหลือ 28 จังหวัด จำนวน 2.32 ล้านราย ใช้งบประมาณ 460.56 ล้านบาทต่อเดือน กรณีช่วยเหลือทั่วประเทศ จำนวน 10.13 ล้านราย ใช้งบประมาณ 1,824.99 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 4.2 มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน (ประเภทที่ 1.2 - 1.3 ของ กฟน. ประเภท 1.1.2 - 1.2 ของ กฟภ. ลูกค้ารายย่อยของ กฟผ. และประเภท 11 ของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบฯ) หากช่วยเหลือรูปแบบเดียวกับปี 2563 ซึ่งให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าสำหรับการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 800 หน่วย 801 - 3,000 หน่วย และมากกว่า 3,000 หน่วย กับผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ จะใช้งบประมาณ 3,248.55 ล้านบาท แต่จากศึกษาพบว่ากลุ่มนี้มีการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ในระดับ 400 หน่วยต่อรายต่อเดือน หากคำนึงถึงผลกระทบที่ประชาชนต้องทำงานที่บ้าน จึงเสนอแนวทางการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าสำหรับหน่วย การใช้ไฟฟ้าส่วนที่เกินจากบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 โดยปรับปรุงช่วงการใช้ไฟฟ้าใหม่เป็นไม่เกิน 500 หน่วย 501 - 1,000 หน่วย และมากกว่า 1,000 หน่วย โดยมีแนวทางการคิดค่าไฟฟ้า ดังนี้ (1) กรณีการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนน้อยกว่าหรือเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าตามบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ให้คิด ค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริงประจำเดือนนั้นๆ (2) กรณีการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนมากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าตามบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 หากการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนไม่เกิน 500 หน่วย ให้คิด ค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 แต่หากการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนมากกว่า 500 หน่วย แต่ไม่เกิน 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ในอัตราร้อยละ 100 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้า ที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ในอัตราร้อยละ 50 และหากการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนมากกว่า 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ในอัตรา ร้อยละ 100 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ในอัตราร้อยละ 70 โดยการดำเนินงานตามข้อ (2) ให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าดังกล่าว แบ่งเป็น 2 กรณี คือ กรณีช่วยเหลือเฉพาะพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด จำนวน 6.90 ล้านราย ใช้งบประมาณ 1,230.11 ล้านบาทต่อเดือน และกรณีช่วยเหลือทั่วประเทศ จำนวน 11.83 ล้านราย ใช้งบประมาณ 1,876 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งน้อยกว่าการช่วยเหลือในรูปแบบเดียวกับ ปี 2563 4.3. สำนักงาน กกพ. ได้พิจารณาภาระของงบประมาณโดยประเมินฐานะการเงินของ การไฟฟ้าปี 2563 (เบื้องต้น) ภายในการกำกับการปรับลดระดับผลตอบแทนทางการเงินของการไฟฟ้า (Return on Invested Capital: ROIC) ให้สอดคล้องกับต้นทุนเงินทุนในปัจจุบัน พบว่า ROIC สามารถปรับลดลงได้ ร้อยละ 10 จากหลักเกณฑ์ที่กำหนดปี 2558 - 2562 ซึ่งเมื่อหักภาระผูกพันที่ต้องส่งคืนเงินจากมาตรการช่วยเหลือของปี 2563 ให้ กฟภ. และภาระตามมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท 3 -7 ต่อเนื่อง โดยขยายเวลาการยกเว้นการเรียกเก็บอัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุด (Minimum Charge) ออกไปจนถึงเดือนมีนาคม 2564 คาดว่าจะมีประมาณการเงินเรียกคืนฐานะการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ประมาณ 3,000 ล้านบาท สำหรับใช้บริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากมาตรการช่วยเหลือที่กำหนด สำนักงาน กกพ. จึงเห็นควรเสนอมาตรการด้านไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID – 19 รอบ 2 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยทั่วประเทศ ตามแนวทางข้อ 4.1 และข้อ 4.2 ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า จำนวน 21.96 ล้านราย (ร้อยละ 90 ของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ) เป็นระยะเวลา 1 เดือน โดยดำเนินการในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้การไฟฟ้ามีเวลาเตรียมการปรับปรุงระบบสารสนเทศเพื่อการคิดค่าไฟฟ้า และสื่อสารกับผู้ใช้ไฟฟ้า โดยสรุปข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยได้ ดังนี้ แนวทางที่ 1 (มาตรการข้อ 4.1 (1) และข้อ 4.2) โดยหากช่วยเหลือเฉพาะ 28 จังหวัด จำนวน 8.37 ล้านราย ระยะเวลา 1 เดือน ใช้งบประมาณ 1,459.95 ล้านบาท ระยะเวลา 2 เดือน ใช้งบประมาณ 2,919.91 ล้านบาท กรณีช่วยเหลือทั่วประเทศ จำนวน 19.14 ล้านราย ระยะเวลา 1 เดือน ใช้งบประมาณ 2,839.02 ล้านบาท ระยะเวลา 2 เดือน ใช้งบประมาณ 5,678.03 ล้านบาท และแนวทางที่ 2 (มาตรการข้อ 4.1 (2) และข้อ 4.2) หากช่วยเหลือเฉพาะ 28 จังหวัด จำนวน 9.22 ล้านราย ระยะเวลา 1 เดือน ใช้งบประมาณ 1,690.67 ล้านบาท ระยะเวลา 2 เดือน ใช้งบประมาณ 3,381.34 ล้านบาท กรณีช่วยเหลือทั่วประเทศ จำนวน 21.96 ล้านราย ระยะเวลา 1 เดือน ใช้งบประมาณ 3,700.99 ล้านบาท ระยะเวลา 2 เดือน ใช้งบประมาณ 7,401.98 ล้านบาท โดยเสนอให้นำเงินสำหรับใช้รักษาเสถียรภาพค่าไฟฟ้าซึ่งเรียกคืนจากการไฟฟ้าในกรณีที่มีรายได้มากกว่า ที่ควรจะได้รับในปี 2563 จำนวนประมาณ 3,000 ล้านบาท เป็นแหล่งงบประมาณในการดำเนินงาน และขอ การสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากภาครัฐเพื่อให้เพียงพอต่อการดำเนินมาตรการดังกล่าว โดยหากกำหนดนโยบายช่วยเหลือมากกว่า 1 เดือน จำเป็นต้องพิจารณาแหล่งงบประมาณอื่นในการดำเนินงานร่วมด้วย 4.4 เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้มีความเห็นให้กำหนดมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก ซึ่งส่วนหนึ่งมีลักษณะเป็นการอยู่อาศัยร่วมกับการประกอบธุรกิจรายเล็ก โดยใช้แนวทางการให้ค่าไฟฟ้าฟรีสำหรับกิจการขนาดเล็ก 50 หน่วยแรกทุกราย ไม่รวมส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากเป็นการช่วยเหลือตามภาระที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของผู้ใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. ได้เสนอมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการ และรัฐวิสาหกิจ) กรณีช่วยเหลือค่าไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรกทุกราย โดยหากช่วยเหลือเฉพาะพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด จำนวน 0.82 ล้านราย ใช้งบประมาณ 193.54 ล้านบาทต่อเดือน และหากช่วยเหลือทั่วประเทศ จำนวน 1.74 ล้านราย ใช้งบประมาณ 366.52 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งหากประมาณการรวมการช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าตรงของ กฟผ. และกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัตหีบฯ กรณีช่วยเหลือทั่วประเทศ จะใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 366.52 ล้านบาทต่อเดือน เป็นประมาณ 400 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ สรุปข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย โดยพิจารณาเลือกแนวทางที่ 2 (มาตรการข้อ 4.1 (2) และข้อ 4.2) ร่วมกับมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) โดยช่วยเหลือค่าไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรกทุกราย กรณีช่วยเหลือทั่วประเทศ จำนวน 23.70 ล้านราย จะใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 4,101 ล้านบาทต่อเดือน แต่หากพิจารณาช่วยเหลือเป็นระยะเวลา 2 เดือน จะใช้งบประมาณรวม 8,202 ล้านบาท ซึ่งอาจกระทบฐานะการเงินของการไฟฟ้าอย่างมาก จึงเห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขอรับ การจัดสรรแหล่งงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป
5. สำนักงาน กกพ. เห็นสมควรเสนอ กบง. เพื่อพิจารณามาตรการด้านไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID – 19 รอบที่ 2 ดังนี้ (1) พิจารณากำหนดนโยบายหลักเกณฑ์กำหนดอัตราค่าบริการของผู้รับใบอนุญาตสำหรับมาตรการช่วยเหลือด้านพลังงานไฟฟ้าสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID – 19 รอบที่ 2 ตามข้อเสนอของ กกพ. ในข้อ 4.3 ในวงเงินประมาณการ 3,701 ล้านบาทต่อเดือน โดยการสนับสนุน 1 เดือน จะไม่กระทบฐานะการเงินการไฟฟ้า แต่อาจกระทบการรักษาเสถียรภาพค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตรา ค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในกรณีที่เศรษฐกิจผันผวนเกินค่าที่ประมาณการในรอบเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน 2564 (2) พิจารณามาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวม ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งมีลักษณะเป็นการอยู่อาศัยร่วมกับการประกอบธุรกิจรายเล็ก โดยสนับสนุน ค่าไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรกของการใช้ไฟฟ้าตามจำนวนเครื่องวัด ในวงเงินประมาณการ 400 ล้านบาทต่อเดือน ตามข้อเสนอของที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2564 ในข้อ 4.4 และ (3) หากเห็นชอบการดำเนินงานตามข้อ (1) และ (2) จะใช้งบประมาณทั้งสิ้นประมาณ 4,101 ล้านบาทต่อเดือน จึงเห็นควรมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณจากกระทรวงการคลังเพิ่มเติมจากข้อ (1) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายที่ กบง. ให้ความเห็นชอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบมาตรการด้านไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวนรวม 23.70 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 97 ของผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ รวม 3 มาตรการ เป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม 2564 โดยใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 8,202 ล้านบาท ดังนี้
1.1 มาตรการที่ 1 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย ติดตั้งมิเตอร์ไม่เกิน 5 แอมป์ ที่ใช้ไฟฟ้า ไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ประกอบด้วย ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1.1 ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ประเภทที่ 1.1.1 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ลูกค้ารายย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และประเภท 10 ของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการสัมปทานกองทัพเรือ (กิจการไฟฟ้าสวัสดิการฯ) จำนวน 10.13 ล้านราย โดยให้ได้รับค่าไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรกทุกราย ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 3,649.98 ล้านบาท (1,824.99 ล้านบาทต่อเดือน) ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
1.2 มาตรการที่ 2 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน ประกอบด้วย ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1.2-1.3 ของ กฟน. ประเภท 1.1.2 -1.2 ของ กฟภ. ลูกค้ารายย่อยของ กฟผ. และประเภท 11 ของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการฯ) จำนวน 11.83 ล้านราย โดยได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าในส่วนของหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ใช้งบประมาณรวมทั้งสิ้น 3,752 ล้านบาท (1,876 ล้านบาทต่อเดือน) ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าวให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีแนวทางการคิดค่าไฟฟ้า ดังนี้
(1) กรณีการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนน้อยกว่าหรือเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าตามบิล ค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริงประจำเดือนนั้นๆ
(2) กรณีการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนมากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าตามบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยมีแนวทางในการคิดค่าไฟฟ้า ดังนี้
(2.1) หากการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนไม่เกิน 500 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563
(2.2) หากการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนมากกว่า 500 หน่วย แต่ไม่เกิน 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ในอัตราร้อยละ 100 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ในอัตราร้อยละ 50
(2.3) หากการใช้ไฟฟ้าประจำเดือนมากกว่า 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ในอัตราร้อยละ 100 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าของบิลค่าไฟฟ้าประจำเดือนธันวาคม 2563 ในอัตราร้อยละ 70
1.3 มาตรการที่ 3 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ของ กฟน. กฟภ. ลูกค้าตรงของ กฟผ. และผู้ใช้ไฟฟ้าของกิจการไฟฟ้าสวัสดิการฯ ที่มีลักษณะเป็นการอยู่อาศัยร่วมกับการประกอบธุรกิจรายเล็ก โดยให้ค่าไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรกทุกราย ใช้งบประมาณ รวมทั้งสิ้น 800 ล้านบาท (400 ล้านบาทต่อเดือน)
2. มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาแหล่งงบประมาณจากนำเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าซึ่งมีรายได้มากกว่าที่ควรได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ประมาณ 3,000 ล้านบาท สนับสนุนการดำเนินงาน และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแนวทางการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานมาตรการในส่วนที่เหลือต่อไป