มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2553 (ครั้งที่ 56)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล(B100) เป็นการชั่วคราว
2. แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
4. สรุปผลการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
5. ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน
6. การทบทวนหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2553 ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล (B100) ที่สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลซึ่งคำนึงถึงวัตถุดิบหลักในการผลิตไบโอดีเซล 3 ชนิด คือ น้ำมันปาล์มดิบ น้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์และสเตียรีน ดังนี้
B100 | = | (B100CPO x QCPO)+(B100RBD x QRBD)+(B100ST x QST) |
QTotal |
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) | B100CPO = 0.94CPO + 0.1MtOH + 3.82 |
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากสเตียรีน | B100ST = 0.86ST + 0.09MtOH + 2.69 |
ราคาไบโอดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) | B100RBD = 0.93RBD + 0.1MtOH + 2.69 |
โดยที่
CPO | คือ | ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 3 บาท/กิโลกรัม โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบเฉลี่ย สัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2 |
ST | คือ | ราคาขายสเตียรีนบริสุทธิ์ในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้ราคาสเตียรีนบริสุทธิ์เฉลี่ยสัปดาห์ก่อนหน้า เช่น ใช้ราคาในสัปดาห์ที่ 1 นำไปคำนวณราคาในสัปดาห์ที่ 2 |
RBD | คือ | ราคาน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) ใช้ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) สัปดาห์ก่อนหน้า บวกค่าแปรสภาพ 3 บาท/กิโลกรัม จนกว่ากรมการค้าภายในจะประกาศราคาน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBD) |
จากหลักเกณฑ์การกำหนดราคาไบโอดีเซล โดยราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ใช้คำนวณให้เป็นไปตามราคาที่สำรวจโดยกรมการค้าภายใน แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ในการคำนวณราคาไบโอดีเซลอ้างอิง โดยผู้ผลิตไบโอดีเซลและผู้ค้าน้ำมันจะใช้ราคานี้ในการอ้างอิงการซื้อขายไบโอดีเซล
2. ปัจจุบันสถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับสถานการณ์อุทกภัยรวมถึงเป็นช่วงปลายฤดูกาล ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบของประเทศไทยตั้งแต่ช่วงกลางเดือนตุลาคม 2553 เป็นต้นมา สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย และเกินราคาตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม (MPOB+3) และมีแนวโน้มที่ราคา CPO จะสูงกว่า MPOB+3 ซึ่งเป็นเดือนที่ผลผลิตภายในประเทศเริ่มออกมาก จนถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวปาล์มน้ำมันในช่วงเดือนมีนาคม 2554
3. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2553 สมาคมผู้ผลิตไบโอดีเซลไทยได้ขอให้พิจารณาปรับโครงสร้างราคาประกาศไบโอดีเซลอย่างเร่งด่วน เนื่องจากราคาประกาศไบโอดีเซลต่ำกว่าต้นทุนการผลิตจริงประมาณ 2-5 บาท/ลิตร โดยให้พิจารณายกเลิกเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบไม่เกินตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/ เป็นการชั่วคราว ซึ่งจากราคาอ้างอิงที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตมากจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ดังนี้
1) ผู้ผลิต B100 จากวัตถุดิบ CPO จะขาดทุน ซึ่งอาจทำให้การผลิตลดลงและหยุดผลิตได้ 2) การผลักดันนโยบายความมั่นคงด้านพลังงาน และแผนพลังงานทดแทน 15 ปี นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอาจมีอุปสรรค 3) การบังคับใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเกรดเดียว (B5) เดือนมกราคม 2554 อาจไม่เป็นไปตามแผนฯ และ 4) เกษตรกรขายผลผลิตได้น้อยลง
4. เพื่อให้ผู้ผลิตไบโอดีเซลสามารถที่จะผลิตไบโอดีเซล (B100) จำหน่ายให้กับผู้ค้ามาตรา 7 โดยสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงในอุตสาหกรรมไบโอดีเซล จึงขอเสนอปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เป็นการชั่วคราว จากเดิมราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (ตลาดมาเลเซีย) บวก 3 บาท/กิโลกรัม เป็นราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) คือ ราคาขายน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ใช้ราคาขายส่งสินค้าเกษตรน้ำมันปาล์มดิบชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในประกาศเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ตามเดิม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) โดยใช้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในเขตกรุงเทพมหานคร (บาท/กิโลกรัม) ชนิดสกัดแยก (เกรดเอ) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ แต่ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบที่คำนวณจากราคาปาล์มทะลาย (น้ำมันร้อยละ 17) ตามที่กรมการค้าภายในเผยแพร่ บวกค่าสกัด 2.25 บาท/กิโลกรัม เป็นการชั่วคราวถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554 หลังจากนั้นให้กลับมาใช้เพดานราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อใช้ในการคำนวณราคาไบโอดีเซล (B100) ให้ไม่สูงกว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดมาเลเซีย บวก 3 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานมีมติให้ความเห็นชอบจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554
2. มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน ประสานงานกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้กระทบต่อน้ำมันพืชบริโภค
เรื่องที่ 2 : แนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2553 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล โดยเห็นชอบให้ทยอยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน 91 ให้ถึงระดับเพดาน 7.50 บาท/ลิตร โดยให้ส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในระดับ 1.50 บาท/ลิตร และให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 มากกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ในระดับ 3.00 บาท/ลิตร โดยรักษาระดับค่าการตลาดและส่วนต่างราคาขายปลีกกับน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
2. เมื่อพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมันฯ ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 91 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 อยู่ประมาณ 0.30 บาท/ลิตร ค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 อยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากราคาเอทานอลปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนั้น ส่วนต่างราคาขายปลีกยังไม่จูงใจผู้ใช้น้ำมันให้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ซึ่งส่งผลให้ยอดจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ยอดจำหน่ายคงที่ในระดับ 4.0 - 4.3 ล้านลิตร/เดือน
3. เพื่อให้โครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันเอื้อต่อการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล จึงขอเสนอแนวทางปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยปรับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 จาก 1.50 บาท/ลิตร เป็น 2.50 บาท/ลิตร และให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ถูกกว่าแก๊สโซฮอล 91 ในระดับ 0.90 บาท/ลิตร เพื่อจูงใจผู้ใช้น้ำมัน พร้อมทั้งปรับค่าการตลาดให้น้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลมากได้รับค่าการตลาดที่สูงกว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอทานอลน้อย เพื่อเป็นการจูงใจผู้ค้าน้ำมันให้จำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลมากขึ้น โดยมีแนวทางปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิด | อัตราเดิม | ลด | อัตราใหม่ |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.80 | -0.40 | 2.40 |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.40 | -1.30 | 0.10 |
แก๊สโซฮอล E20 | -0.40 | -0.90 | -1.30 |
แก๊สโซฮอล E85 | -11.00 | -2.50 | -13.50 |
จากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามแนวทางดังกล่าว ถ้าจะรักษาระดับค่าการตลาดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีก จะส่งผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.00 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล E20 ลดลง 1.10 บาท/ลิตร และจากการประมาณการ กองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องลดลง 247 ล้านบาท/เดือน จาก 816 ล้านบาท/เดือนเป็น 569 ล้านบาท/เดือน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอแนวทางปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามข้อ 3 และมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
ชนิด | อัตราเดิม | ลด | อัตราใหม่ |
แก๊สโซฮอล 95 E10 | 2.80 | -0.40 | 2.40 |
แก๊สโซฮอล 91 | 1.40 | -1.30 | 0.10 |
แก๊สโซฮอล E20 | -0.40 | -0.90 | -1.30 |
แก๊สโซฮอล E85 | -11.00 | -2.50 | -13.50 |
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ธันวาคม 2553 ต่อไป
เรื่องที่ 3 : สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์เท็กซัส ในเดือนพฤศจิกายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 83.59 และ 84.20 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.38 และ 2.31 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จาก National Weather Service พยากรณ์อากาศบริเวณตอนเหนือของสหรัฐฯ ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน - ต้นเดือนธันวาคม 2553 จะหนาวเย็นกว่าปกติ ประกอบกับรอยเตอร์รายงานปริมาณผลิตน้ำมันดิบจากแหล่งใหญ่บริเวณทะเลเหนือในเดือนธันวาคม ลดลง 0.06 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดือนก่อน อยู่ที่ 2.07 ล้านบาร์เรล/วัน อีกทั้งบริษัท Abu Dhabi National Oil Company ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกาศลดปริมาณส่งมอบน้ำมันดิบในเดือนมกราคม 2554 ลงร้อยละ 10 รวมทั้งปริมาณส่งออกน้ำมันดิบของอิรักเดือนตุลาคม 2553 อยู่ที่ระดับ 1.89 ล้านบาร์เรล/วัน จากความต้องการใช้ภายในประเทศมากขึ้น
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซล ในเดือนพฤศจิกายน 2553 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 93.07, 91.01 และ 96.47 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.36, 3.35 และ 3.60 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากกรมศุลกากรจีนรายงานปริมาณส่งออกเบนซินและดีเซลเดือนตุลาคม 2553 ที่ระดับ 3.15 และ 2.70 ล้านบาร์เรล ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้า อีกทั้ง Sinopec ของจีนงดส่งออกน้ำมันดีเซลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2553 และมีแผนนำเข้าปริมาณรวม 1.5 ล้านบาร์เรล ในช่วงพฤศจิกายน - ธันวาคม 2553 และ PAJ รายงานปริมาณสำรองน้ำมันดีเซลของญี่ปุ่นสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 พฤศจิกายน 2553 ลดลง 12,000 บาร์เรล อยู่ที่ 11.38 ล้านบาร์เรล
3. เดือนพฤศจิกายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.30 บาท/ลิตร, เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 95 E10 , E20 , แก๊สโซฮอล 91 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.10 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล 95 E85 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.42 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.23 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, E85 , แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2553 อยู่ที่ระดับ 41.64, 36.24, 32.44, 30.14, 19.32, 30.94, 29.79 และ 28.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สถานการณ์ก๊าซ LPG เดือนพฤศจิกายน 2553 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลก ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 782 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามราคาน้ำมันดิบและเรือขนส่งLPG จำนวน 41 ลำ ไม่สามารถขนส่ง LPG ได้โดยจอดอยู่ที่ ท่าเรือ Fos and Lavera ประเทศฝรั่งเศส สถานการณ์ราคา LPG ที่ผลิตในประเทศ โดยรัฐได้กำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นไว้ที่ระดับ 332.75 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเดือนกันยายน ตุลาคม และพฤศจิกายน 2553 อยู่ที่ระดับ 10.6101, 10.3079 และ 10.0196 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ และจากการที่รัฐกำหนดราคาขายส่ง ณ คลัง ที่ระดับ 13.6863 บาท/กิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีก ณ กรุงเทพฯ อยู่ที่ระดับ 18.13 บาท/กิโลกรัม สถานการณ์การนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่เดือนเมษายน 2551 - 25 พฤศจิกายน 2553 มีการนำเข้ารวมทั้งสิ้น 2,531,675 ตัน คิดเป็นภาระชดเชย 32,337 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนกันยายน 2553 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอล 19 ราย กำลังการผลิตรวม 2.93 ล้านลิตร/วัน แต่มีการผลิตเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 13 ราย ปริมาณการผลิตจริง 1.13 ล้านลิตร/วัน โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพเดือนพฤศจิกายน 2553 อยู่ที่ 26.51 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2553 มีปริมาณจำหน่าย 11.7 ล้านลิตร/วัน มีสถานีบริการ 4,333 แห่ง ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 3.80 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 91 5.30 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคม 2553 น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีปริมาณการจำหน่าย 0.39 ล้านลิตร/วัน มีสถานีบริการฯ 432 แห่ง ทั้งนี้ ณ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 2.30 บาท/ลิตร ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ในเดือนตุลาคม 2553 อยู่ที่ 0.0076 ลิตร/วัน มีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 8 แห่ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ต่ำกว่าราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 13.12 บาท/ลิตร
6. สถานการณ์น้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนพฤศจิกายน 2553 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 14 ราย กำลังการผลิตรวม 6.00 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการไบโอดีเซลในเดือนตุลาคม 2553 อยู่ที่ 1.79 ล้านลิตร/วัน ราคาเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2553 อยู่ที่ 32.29 บาท/ลิตร การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนตุลาคม อยู่ที่ 18.05 ล้านลิตร/วัน จากสถานีบริการฯ 3,803 แห่ง ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 0.50 บาท/ลิตร และราคาขายปลีกดีเซลหมุนเร็ว B5 ต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.20 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 มีเงินสดในบัญชี 35,486 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 6,792 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 6,481 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 311 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 28,694 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 : สรุปผลการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 และวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้มีการจำหน่ายน้ำมันในสถานีบริการบนฝั่งให้กับชาวประมงชายฝั่ง ปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ไม่เกิน 15 ล้านลิตร/เดือน รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพลังงาน พิจารณาความเหมาะสมในการขยายเวลาการดำเนินโครงการฯ และปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายในโครงการฯ ในกรณีที่ปัญหาที่เกิดขึ้นยังไม่คลี่คลาย
2. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) ออกไปอีก 6 เดือน (15 พฤษภาคม 2552 - 14 พฤศจิกายน 2552) โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในโครงการฯ ราคาต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 2 บาท/ลิตร แต่เนื่องจากรัฐบาลสนับสนุนเชื้อเพลิงทดแทนจึงมีการจำหน่ายน้ำมันดีเซล B5 ราคาต่ำกว่าดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาท/ลิตร ทำให้ไม่มีการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2552 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้นำน้ำมันดีเซล B5 มาใช้แทนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในโครงการฯ โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันดีเซล B5 ในโครงการฯ ต่ำกว่าน้ำมันดีเซล B5 ปกติ 2 บาท/ลิตร โดยตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม - 14 พฤศจิกายน 2552 ปริมาณจำหน่ายน้ำมันรวม 223,000 ลิตร เรือประมงเข้าร่วมโครงการฯ 3,339 ลำ สถานีบริการฯ เข้าร่วมโครงการฯ 7 สถานี (มีการจำหน่ายน้ำมัน 3 สถานี) ในพื้นที่ 2 จังหวัด คือจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และพังงา และเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2553 กบง. ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินโครงการฯ ออกไปอีก 6 เดือน (3 มีนาคม 2553 - 2 กันยายน 2553) และเป็นการช่วยเหลือครั้งสุดท้าย
3. กรมประมงได้สรุปผลการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันในทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2553 - 2 กันยายน 2553 ดังนี้ 1) มีชาวประมงเข้าร่วมโครงการ 18 จังหวัด มีเรือประมงเข้าร่วมโครงการ 3,339 ลำ 2) บริษัทน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการ 2 บริษัท คือ ปตท. และ บริษัท พี ซี สยามปิโตรเลียม จำกัด (สุราษฎร์ธานี) 3) สถานีบริการที่เข้าร่วมโครงการฯ ใน 6 จังหวัด รวม 10 แห่ง 4) องค์การสะพานปลามีผลกำไรจากการดำเนินโครงการฯ 252,000 บาท และ 5) ปริมาณน้ำมันที่จำหน่ายรวม 176,000 ลิตร (มีการจำหน่ายน้ำมันที่สถานีบริการของนางเกิด ชาญสมุทรสกุล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 1 แห่ง)
4. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ มีดังนี้ 1) ราคาน้ำมันเขียวถูกกว่าประมาณ 6.61 - 7.49 บาท/ลิตร และชาวประมงสามารถเดินทางไปซื้อน้ำมันเขียวมาใช้ได้ 2) การจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ ได้รับค่าการตลาด 0.80 -1.10 บาท/ลิตร ต่ำกว่าการจำหน่ายน้ำมันปกติที่ได้รับค่าการตลาด 1.50 บาท/ลิตร 3) ความต้องการใช้น้ำมันของชาวประมงพื้นบ้านมีปริมาณน้อย ทำให้ไม่คุ้มค่าในการลงทุนเปิดสถานีบริการฯ 4) สถานีบริการต้องสั่งซื้อน้ำมันตามปริมาณที่กรมประมงกำหนด การดำเนินงานจึงไม่คล่องตัว และ 5) ปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันองค์การสะพานปลากำหนดให้สั่งซื้อครั้งละไม่น้อยกว่า 9,000 ลิตร และต้องจ่ายเงินสด หากเป็นการจำหน่ายน้ำมันตามปกติสามารถสั่งซื้อได้ครั้งละ 3,000 ลิตร และสามารถขอเครดิตเงินเชื่อได้
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 : ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) มีอำนาจหน้าที่ ในการกำกับ ดูแลและส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงานของประเทศ การกำหนดระดับค่ามาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด โดย พพ. ได้จัดทำกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนด เครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน กำหนดค่ามาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง (High Energy Performance Standards : HEPS) นอกจากนี้ ได้จัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ด้านประสิทธิภาพพลังงานหรือร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (Minimum Energy Performance Standards) ทั้งนี้ พพ. และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้มีบันทึกความเข้าใจในการร่วมมือด้านการกำหนดมาตรฐาน และการส่งเสริมเผยแพร่ระบบมาตรฐาน โดยร่วมกันพิจารณากำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำของเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
2. ปี 2550-2554 พพ. มีแผนจัดทำร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนด เครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง และร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ ประมาณ 54 ผลิตภัณฑ์ และ 50 ผลิตภัณฑ์ ตามลำดับ หากมีการประกาศใช้กฎกระทรวงฯ มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ และการส่งเสริมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้มีการผลิต จำหน่ายและใช้ผลิตภัณฑ์ประสิทธิภาพสูง รวมทั้งการติดฉลากประสิทธิภาพสูง ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแผนที่กำหนดไว้ คาดว่าจะประหยัดพลังงานได้เทียบเท่าน้ำมันดิบ 280 ktoe/ปี คิดเป็นมูลค่า 7,500 ล้านบาท/ปี
3. เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 กบง. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน มีอำนาจหน้าที่ในการเสนอแนะแนวทางกำหนด และปรับปรุงมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง และขั้นต่ำ รวมทั้งแนวทางการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการผลิต จำหน่ายและใช้เครื่องจักร วัสดุ อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงฯ โดยได้มีการจัดประชุม 5 ครั้ง ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติโดยสรุปได้ดังนี้ 1) เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง 30 ผลิตภัณฑ์ 2) เห็นชอบร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเฉพาะด้านประสิทธิภาพพลังงาน หรือร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ 28 ผลิตภัณฑ์ 3) เห็นชอบให้มีการนำร่องติดฉลากประสิทธิภาพสูงสำหรับอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงในโครงการส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และ 4) เรื่องอื่นๆ ได้แก่ การคัดเลือก กำหนดรูปแบบ และการปรับเปลี่ยนขนาดของฉลากประสิทธิภาพสูงให้เหมาะสมกับเครื่องจักร วัสดุ อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง การแต่งตั้งคณะทำงานด้านวิชาการเครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ที่อยู่นอกขอบข่ายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศสำหรับห้อง มอก.1155 และพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศที่อยู่นอกข่าย มอก.1155 ซึ่งส่วนมากมีขนาดใหญ่ และการศึกษาจัดทำหลักเกณฑ์ การสนับสนุนและการดำเนินการส่งเสริมการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น Premium เบอร์5
4. ความก้าวหน้าของการจัดทำมาตรฐาน ในการจัดทำร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน หรือร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง (HEPS) และร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (MEPS) รวมทั้งการติดฉลากประสิทธิภาพสูง ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว มีผลการดำเนินงานโดยสรุปดังนี้
4.1 ร่างกฎกระทรวงฯ หรือกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นสูง (HEPS) แบ่งเป็น 1) จัดทำร่างกฎกระทรวงฯ โดยคณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบแล้ว 30 ฉบับ (30 ผลิตภัณฑ์) โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 8 ฉบับ (8 ผลิตภัณฑ์) คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย พพ. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงฯ เรียบร้อยแล้ว 9 ฉบับ (8 ผลิตภัณฑ์) คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบร่างกฎกระทรวงฯ แล้ว 13 ผลิตภัณฑ์ และ 2) แผนปี 2554 - 2555 มีร่างกฎกระทรวงฯ จะนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ 18 ผลิตภัณฑ์ โดยอยู่ระหว่างสรุปร่างกฎกระทรวงฯ 7 ผลิตภัณฑ์ และอยู่ในระหว่างศึกษาจัดทำร่างกฎกระทรวงฯ 11 ผลิตภัณฑ์
4.2 ร่างมาตรฐานฯประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ (MEPS) แบ่งเป็น 1) จัดทำร่างมาตรฐานฯ โดยคณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบแล้ว 28 ผลิตภัณฑ์ โดย สมอ. ประกาศใช้แล้ว 7 ผลิตภัณฑ์ อยู่ระหว่างจัดทำเป็นกฎหมาย มีการแต่งตั้งผู้รับผิดชอบ กว. รายผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งได้จัดประชุมคณะกรรมการวิชาการแล้ว 6 ผลิตภัณฑ์ และที่ยังมิได้จัดประชุมคณะกรรมการวิชาการ 11 ผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้มีร่างมาตรฐานฯ ที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบแล้ว และพร้อมนำส่ง สมอ. 4 ผลิตภัณฑ์ และ 2) แผนปี 2554 - 2555 มีร่างมาตรฐานฯ จะนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ 18 ผลิตภัณฑ์ โดยอยู่ระหว่างสรุปร่างมาตรฐานฯ 7 ผลิตภัณฑ์ และอยู่ในระหว่างศึกษาจัดทำร่างมาตรฐานฯ 11 ผลิตภัณฑ์
4.3 การมอบฉลากประสิทธิภาพสูง ปี 2551 - 2553 โดยโครงการส่งเสริมเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานนำร่องติดฉลากประสิทธิภาพสูงไปแล้ว 4 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย เตาแก๊ส อุปกรณ์ปรับความเร็วรอบมอเตอร์ กระจก และฉนวนใยแก้ว มีการติดฉลากประสิทธิภาพสูงรวมประมาณ 2.5 ล้านใบ โดยคาดว่าจะมีผลประหยัดพลังงาน 38.8 ktoe/ปี คิดเป็นเงิน 1,145 ล้านบาท/ปี คาดว่า CO2 จะลดลง 187.7 พันตัน/ปี
5. ในปี 2554 - 2555 พพ. มีแผนจะดำเนินการนำเสนอร่างกฎกระทรวงฯ และร่างมาตรฐานฯ ที่ได้มีการศึกษาจัดทำแล้วเสร็จ เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ประกอบด้วยร่างกฎกระทรวงฯ 18 ผลิตภัณฑ์ และร่างมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานขั้นต่ำ 18 ผลิตภัณฑ์
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 : การทบทวนหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาใช้หลักเกณฑ์เพื่อกำหนดราคาเอทานอลจากต้นทุนการผลิตชั่วคราวตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2552 ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553 โดยมีหลักเกณฑ์เพื่อคำนวณต้นทุนราคาเอทานอล ดังนี้
PEth = | (PMol x QMol) + (PCas x QCas) |
QTotal |
โดยที่
โดยที่
PEth คือ ราคาเอทานอลอ้างอิง (บาท/ลิตร) ประกาศราคาเป็นรายเดือนทุกเดือน
PMol คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร)
PCas คือ ราคาเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร)
QMol คือ ปริมาณการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QCas คือ ปริมาณการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
QTotal คือ ปริมาณการผลิตเอทานอลทั้งหมด (ล้านลิตร/วัน) ใช้ปริมาณการผลิตย้อนหลัง 1 เดือน เช่น ใช้ปริมาณการผลิตเดือนที่ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
PMol = RMol + CMol
โดยที่
RMol คือ ต้นทุนกากน้ำตาลที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
CMol คือ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล (บาท/ลิตร) เท่ากับ 6.125 บาท/ลิตร
หมายเหตุ :
1) ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
2) กากน้ำตาล 4.17 กก. ที่ค่าความหวาน 50% เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)
PCas = RCas + CCas
โดยที่
RCasอ ต้นทุนมันสำปะหลังที่ใช้ในการผลิตเอทานอล (บาท/ลิตร)
CCasอ ต้นทุนการผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลัง (บาท/ลิตร) เท่ากับ 7.107 บาท/ลิตร
หมายเหตุ :
1) ใช้ราคามันสด เชื้อแป้ง 25% ตามประกาศเผยแพร่โดยกรมการค้าภายใน เฉลี่ย 1 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคามันสดเฉลี่ยวันที่ 16 เดือน 3 ถึงวันที่ 15 เดือน 4 นำไปคำนวณราคา ในเดือนที่ 5 2) มันเส้น 2.63 กิโลกรัม เปอร์เซนต์แป้งไม่น้อยกว่า 65 เท่ากับเอทานอล 1 ลิตร อ้างอิงรายงานจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย 3) หัวมันสด 2.38 กิโลกรัม ที่เชื้อแป้ง 25% แปรสภาพเป็นมันเส้น 1 กิโลกรัม ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ และ 4) ค่าใช้จ่ายในการแปลงสภาพจากหัวมันสดเป็นมันเส้น 300 บาท/ตันมันเส้น ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์
2. จากหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาล ในปัจจุบันใช้ราคากากน้ำตาลส่งออกประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5 ราคากากน้ำตาลที่ใช้ในการคำนวณราคาเอทานอลอ้างอิงเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.79 บาท/กิโลกรัม คำนวณจากราคาเฉลี่ยของราคากากน้ำตาลเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม อยู่ที่ 5.89, 4.52 และ 12.96 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาเอทานอลอ้างอิงที่ผลิตจากกากน้ำตาล ในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 38.61 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 12.18 บาท/ลิตร โดยมีสาเหตุจากการส่งออกกากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร พบว่าในเดือนตุลาคม 2553 มีการส่งออกกากน้ำตาล 40,584 กิโลกรัม ซึ่งลดลงจากเดือนกันยายน 2553 ที่ส่งออก 8,020,332 กิโลกรัม ส่งผลให้ราคากากน้ำตาลในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจาก 4.52 บาท/กิโลกรัม เป็น 12.96 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ เนื่องจากวิธีการคำนวณเป็นการนำราคา 3 เดือน มาหารเฉลี่ย ดังนั้น ถ้ามีเดือนที่ราคาปรับสูงหรือต่ำผิดปกติจะมีผลทำให้ราคาเอทานอลอ้างอิงผันผวนอย่างมาก
3. เพื่อลดความผันผวนของราคาเอทานอลอ้างอิงที่ผลิตจากกากน้ำตาล มีแนวทางการแก้ไขปัญหา 2 แนวทาง ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ใช้ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรโดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5 ทั้งนี้ในกรณีที่บางเดือนราคากากน้ำตาลผิดปกติโดยอาจสูงหรือต่ำกว่าราคาของเดือนก่อนเกินร้อยละ 50 ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สามารถพิจารณาใช้ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 2 มาใช้แทนเดือนที่ 3 ในการนำมาคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลได้
3.2 แนวทางที่ 2 ใช้ราคากากน้ำตาล เป็นราคาส่งออกตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร โดยใช้ราคาเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณการส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เช่น มูลค่าการส่งออกเดือนที่ 1 บวก มูลค่าการส่งออกเดือนที่ 2 บวก มูลค่าการส่งออกเดือนที่ 3 หารด้วย ปริมาณส่งออกเดือนที่ 1 บวก ปริมาณส่งออกเดือนที่ 2 บวก ปริมาณส่งออกเดือนที่ 3 เพื่อนำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เปรียบเทียบราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลตามแนวทางที่ 1 และ 2 แล้ว เห็นควรปรับปรุงราคากากน้ำตาลที่ใช้ในการคำนวณราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลตามแนวทางที่ 2
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณการส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาเอทานอลของเดือนธันวาคม 2553 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงไปหาข้อเท็จจริงของสาเหตุความผิดปกติของราคากากน้ำตาลพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาต่อไป