Super User
กบง. ครั้งที่ 99 - วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2555 (ครั้งที่ 99)
เมื่อวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (2) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
ทั้งนี้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และพิจารณาการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2554 เห็นชอบแนวทาง การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่ง ดังนี้ (1)เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาท/กก. (0.41 บาท/ลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง (3) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
3. สนพ. ได้ออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2555 เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยตั้งแต่วันที่ 16 - 31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.7009 บาท/กก. และในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 1.4018 บาท/กก.
4. จากประกาศ กบง. เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ดังกล่าว ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 หรือวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับข้อกฎหมายในการบังคับใช้จากการออกประกาศให้สอดคล้องกับมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนดระยะเวลาบังคับใช้ สนพ. จึงได้ดำเนินการออกประกาศ ฉบับที่ 17 โดยให้การปรับขึ้นราคาในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป รวมทั้งการดำเนินการข้างต้นทำให้เกิดช่องว่างในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ระหว่างวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555
5. ฝ่ายเลขานุการฯได้เสนอประเด็นให้ กบง. พิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบกำหนดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาท/กก. (2) ขอความเห็นชอบในการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2555 เป็นต้นไป โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในเดือนต่อๆไป (3) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ในช่วงวันที่ 1- 15 กุมภาพันธ์ 2555 ในอัตรา 0.7009 บาทต่อกิโลกรัม
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อพิจารณารายละเอียดในการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ซึ่งเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 23-29 กรกฎาคม 2555
กบง. ครั้งที่ 98 - วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2555 (ครั้งที่ 98)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
3. การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชย 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 15 มกราคม 2555 2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึง ธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป 3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 และ 4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้
2.1 การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 โดยทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - ธันวาคม 2555 และทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555
2.2 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) ให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 -31 มกราคม 2555 ในอัตรา 0.50 บาท ต่อกิโลกรัม และให้ทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2555 และให้คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะจากผู้ค้าน้ำมันเดือนละ 2.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2555 ทั้งนี้ เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในส่วนนี้ จะใช้เป็นเงินส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในโครงการบัตรเครดิตพลังงาน
3. เพื่อให้สามารถดำเนินการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ NGV ที่จำหน่ายให้รถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงได้ดำเนินการจัดทำร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น ทั้งนี้ ร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว ได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในขั้นต้นแล้ว
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. มอบให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบความถูกต้องของร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ .../2555 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง อีกครั้งก่อนนำเสนอนายกรัฐมนตรีลงนามต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 กพช. ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การชะลอการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันดีเซล เป็นการชั่วคราว โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรกของรัฐบาล ต่อมาเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 กบง. ได้เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 จากเดิม 7.50 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร น้ำมันเบนซิน 91 จากเดิม 6.70 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลจากเดิม 2.80 บาทต่อลิตร เป็น 0.00 บาทต่อลิตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2554 เป็นต้นมา
2. เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล กบง. เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง จาก 2.40 บาทต่อลิตร เป็น 1.40 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 จากเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.10 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 1.40 บาทต่อลิตร และให้ชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เพิ่ม จากชดเชย 1.30 บาทต่อลิตร เป็นชดเชย 2.80 บาทต่อลิตร มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป และเนื่องจากน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 มีราคาเท่ากับน้ำมันเบนซิน 91 แต่ค่าความร้อนของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณร้อยละ 3 ดังนั้น กบง. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 จึงได้เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง จาก 1.40 บาทต่อลิตร เป็น 0.20 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไป
3. กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลเดือนละ 1 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง. พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป โดยมอบให้ กบง.พิจารณาระยะเวลาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามความเหมาะสม
4. เพื่อลดภาระการชดเชยและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ จึงมีแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลหมุนเร็ว 0.60 บาทต่อลิตร ตั้งแต่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน เดือนละ 1 บาทต่อลิตร ไปจนสู่อัตรา 7.50 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และ (3) ทยอยปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ไปอยู่ที่ 5.00 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ไปอยู่ที่ 3.55 บาทต่อลิตร E20 ไปอยู่ที่ 2.50 บาทต่อลิตร และ E85 ไปอยู่ที่ชดเชย 12.66 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
5. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 10 มกราคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110.80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 124.15 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 129.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศเป็นดังนี้ น้ำมันเบนซิน 95 ลิตรละ 40.92 บาท น้ำมันเบนซิน 91 ลิตรละ 36.97 บาท น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลิตรละ 35.69 บาท และน้ำมันดีเซลลิตรละ 29.99 บาท โดยค่าการตลาดน้ำมัน ณ วันที่ 11 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ลิตรละ 5.0867, 1.8436, 0.8742 และ 0.8726 บาท ตามลำดับ
6. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 6 มกราคม 2555 มีเงินสดในบัญชี 3,769 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 18,319 ล้านบาท แยกเป็นหนี้อยู่ระหว่างการเบิกจ่ายชดเชย 18,165 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 154 ล้านบาท กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะเบื้องต้นสุทธิติดลบ 14,550 ล้านบาท
7. เพื่อให้การดำเนินการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเดือน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทาง ดังนี้
7.1 ขอความเห็นชอบการกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาทยอยปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลในแต่ละครั้ง ให้คำนึงถึงผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
7.2 ขอความเห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมกราคม 2555 ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.20 | 1.20 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.40 | -0.40 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -1.80 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.50 | -13.60 | -0.10 |
น้ำมันดีเซล | 0.00 | 0.60 | +0.60 |
โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
8. จากการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับเพิ่มขึ้น ในส่วนของกองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 53.62 ล้านบาท จากติดลบวันละ 97.85 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 44.23 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในเดือนมกราคม 2555 ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 0.00 | 1.00 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 0.20 | 1.20 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.40 | -0.40 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -1.80 | +1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -13.50 | -13.60 | -0.10 |
น้ำมันดีเซล | 0.00 | 0.60 | +0.60 |
และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณามอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กำหนดอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีความเหมาะสมและคล่องตัว โดยคำนึงถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 3 การบรรเทาผลกระทบจากการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ 1) ขยายระยะเวลาตรึงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ในระดับราคา 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และคงอัตราเงินชดเชย 2 บาทต่อกิโลกรัม ต่อไปตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 - 15 มกราคม 2555 2) ทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 จนถึง ธันวาคม 2555 เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ใช้ NGV มากเกินไป 3) ทยอยปรับลดอัตราเงินชดเชยลงเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จำนวน 4 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - เมษายน 2555 และ 4) เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ โดยมอบให้ กบง. รับไปหาแนวทางการช่วยเหลือกลุ่มดังกล่าวต่อไป
2. เพื่อบรรเทาผลกระทบจากแนวทางการปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ (รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก.) กบง. ได้มีมติเห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ วงเงินบัตรเครดิต 3,000 บาท และส่วนลดราคาขายปลีก NGV จากการใช้บัตรเครดิตและเงินสดรวมวงเงิน 9,000 บาท ซึ่งการให้ส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 - 31 ธันวาคม 2558 ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2554 กลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุกขนส่งได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 เกี่ยวกับการทยอยปรับขึ้นราคาขายปลีกก๊าซ NGV ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ได้เชิญกลุ่มผู้ร้องเรียนหารือร่วมกัน และผลการหารือได้กำหนดให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อทบทวนการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV โดยมีภาครัฐและกลุ่มผู้ประกอบการร่วมเป็นคณะทำงาน
3. เนื่องจากโครงการบัตรเครดิตพลังงาน เป็นการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้มีนโยบายขยายกลุ่มการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากขึ้น ได้แก่ รถร่วมโดยสารประจำทาง ขสมก. รถมินิบัสร่วม ขสมก. และรถสองแถวร่วม ขสมก. โดยจัดทำบัตรส่วนลดราคาก๊าซ NGV ให้กับกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว รวมทั้งกลุ่มที่ได้รับสิทธิตามโครงการบัตรเครดิตพลังงานเดิมบางส่วน ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินส่วนลดให้กับกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV ในระยะแรกตามโครงการบัตรเครดิตพลังงานมี ปตท. เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินการ ดังนั้น จึงเห็นสมควรมอบหมายให้ ปตท. เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV และรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบัตรส่วนลดที่เกิดขึ้น
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการจัดทำบัตรส่วนลดราคาขายปลีกก๊าซ NGV และเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้บัตรส่วนลดต่อไป
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 19 พฤศจิกายน 56
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 31 มีนาคม 2547
การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน 10 ธันวาคม 2547
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 16-22 กรกฎาคม 2555
การเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมัน 4 ธันวาคม 2547
กบง. ครั้งที่ 97 - วันพุธที่ 28 ธันวาคม 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 39/2554 (ครั้งที่ 97)
เมื่อวันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องบัญชาการยุทธศาสตร์ ชั้น 25 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
2. หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 4
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพิชัย นริพทะพันธุ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2554 ได้เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการกำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ดังนี้ (1) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนต่อไปจนถึงสิ้นปี 2555 (2) ขยายระยะเวลาการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่งต่อไปจนถึงวันที่ 15 มกราคม 2555 โดยตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน (3) กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และพิจารณาการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. การปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 โดยเริ่มปรับขึ้นราคาขายปลีกเดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน และกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี กิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป เพื่อให้สามารถเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง
โครงสร้างราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
3. การปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ดำเนินการการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เพื่อให้สามารถกำหนดให้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดทำร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม โดยที่คำสั่งนายกรัฐมนตรี และร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานข้างต้นได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอประเด็นเพื่อพิจารณาดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (2) ขอความเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป (3) ขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (4) ขอความเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบ ในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม (5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป (6) มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อมิให้มีการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท และ (7) มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เดือนละ 0.75 บาทต่อกิโลกรัม (0.41 บาทต่อลิตร) จนไปสู่ต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ../.... เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
4. เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่จำหน่ายให้ภาคขนส่ง และเรื่อง การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซที่ใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม
5. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
6. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน ติดตาม ตรวจสอบเพื่อมิให้มีการใช้ก๊าซ LPG ผิดประเภท
7. มอบหมายให้กรมสรรพสามิตรับไปดำเนินการจัดเก็บก๊าซปิโตรเลียมเหลว ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทน ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียมกิโลกรัมละ 1 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นตามมาตรฐานยูโร 4
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 ได้มีมติเห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยได้กำหนดมาตรการด้านพลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการพลังงานในรูปแบบต่างๆ คือ กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันสำเร็จรูปให้สูงขึ้นและให้ความสำคัญในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาธุรกิจพลังงาน โดยให้ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้ใช้ร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหาปัญหาสิ่งแวดล้อม
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 เห็นชอบให้มีการกำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทยในอนาคต ตามแนวทางของมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปรับลดปริมาณกำมะถันจากไม่สูงกว่า 500 ppm เป็นไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2549 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับอนาคต ให้มีผลบังคับใช้สำหรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีระยะเวลาในการปรับปรุงการผลิต
3. ปัจจุบันหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
4. การคำนวณต้นทุนส่วนเพิ่มของโรงกลั่น มีขั้นตอนดังนี้ (1) ศึกษาขบวนการกลั่นของโรงกลั่นน้ำมันในไทย (2) ศึกษาวิธีการและต้นทุนของประเทศอื่นๆ ที่ได้นำมาตรฐานยูโร 4 มาใช้ รวมถึงวิธีการ ขั้นตอนการปรับปรุงขบวนการกลั่น และต้นทุนส่วนเพิ่ม (3) วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด และปรับปรุงข้อมูลต้นทุนให้ได้ต้นทุนที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภคมากที่สุด และ (4) นำต้นทุนจากการวิเคราะห์มาคำนวณหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ทั้งนี้ สมมติฐานที่ใช้ในการกำหนดผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม อายุของหน่วยกลั่นเท่ากับ 20 ปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใช้อัตรา MLR - 2% เนื่องจากกิจการกลั่นน้ำมันมีความมั่นคงและสามารถกู้ได้ในอัตราต่ำกว่าธุรกิจทั่วไป อัตราเงินเฟ้อให้เท่ากับ 3% อัตราทุนต่อหนี้เท่ากับ 1 : 1 ระยะเวลาผ่อนคืนเงินกู้เท่ากับ 10 ปี และอัตราแลกเปลี่ยนที่ 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
5. ผลกระทบจากการปรับน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 มีดังนี้ (1) ประโยชน์ที่ได้รับ ได้แก่ ลดการเกิดก๊าซโอโซนที่เกิดจากน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ลดปริมาณฝุ่นละอองจากเครื่องยนต์ดีเซล ลดปริมาณสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และสารเบนซีนจากการใช้น้ำมันเบนซิน ลดผลกระทบทางด้านสุขภาพอนามัย เช่น ลดอัตราการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ลดอัตราผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเรื้อรัง สามารถนำรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ (รถยนต์ยูโร 4) เข้ามาใช้ในประเทศไทยได้ ซึ่งจะทำให้ลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำอุปกรณ์กำจัดมลพิษมาใช้กับรถยนต์ดีเซล ซึ่งจะช่วยลดการระบายมลพิษออกสู่บรรยากาศได้มากขึ้น และ (2) การปรับเพิ่มต้นทุนน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 จะทำให้ราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นประมาณ 0.48 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นประมาณ 0.43 บาทต่อลิตร
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเสนอดังนี้
6.1 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่น เพื่อให้การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นสะท้อนต้นทุนการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 จึงควรปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
6.2 การปรับต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 ต้องคำนึงถึงสต๊อกที่คลังน้ำมันก่อนวันที่ 1 มกราคม 2555 และคุณภาพน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน ดังนั้น การปรับราคาหน้าโรงกลั่นจึงควรทยอยปรับเพื่อไม่ให้ผู้บริโภครับภาระจากการปรับราคาหน้าโรงกลั่นทันทีและคุณภาพที่ยังไม่ได้มาตรฐานยูโร4 โดยน้ำมันดีเซลใช้เวลาปรับคุณภาพให้ได้มาตรฐานยูโร 4 จากคลังไปจนถึงสถานีบริการน้ำมันประมาณ 9 สัปดาห์ ส่วนน้ำมันเบนซิน ในช่วงแรกยังมีน้ำมันจากโรงกลั่น SPRC เข้ามาในระบบ หลังจากสัปดาห์ที่ 9 SPRC จะนำเข้าน้ำมันเบนซินมาตรฐานยูโร 4 เข้ามาจำหน่าย ทำให้ใช้ระยะเวลาการเปลี่ยนน้ำมันเป็นมาตรฐานยูโร 4 ประมาณ 15 สัปดาห์ ดังนั้น จึงขอความเห็นชอบระยะเวลาและต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ดังนี้
6.3 เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ถูกคำสั่งศาลปกครองระงับโครงการที่ดำเนินการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดระหว่างวันที่ 29 กันยายน - 2 ธันวาคม 2552 ทำให้การดำเนินการติดตั้งการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ล่าช้า SPRC ได้ยื่นหนังสือขอผ่อนผันคุณภาพน้ำมันเบนซินกับกรมธุรกิจพลังงาน ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับโรงกลั่นอื่นที่ผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ตามกำหนด จึงควรกำหนดให้ SPRC ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
โดยมอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน ดังนี้
2. เห็นชอบระยะเวลาและต้นทุนส่วนเพิ่มยูโร 4 สำหรับการปรับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ดังนี้
3. เห็นชอบให้โรงกลั่นน้ำมันบริษัท สตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด (SPRC) ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนเพิ่มสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในราชอาณาจักรที่ผลิตไม่ได้มาตรฐานน้ำมันยูโร 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่สามารถจำหน่ายน้ำมันมาตรฐานยูโร 4 ได้ ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป