มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2545(ครั้งที่ 28)
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. การโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชี ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน
4. โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
7. ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไรต่อ" (เพิ่มเติม)
8. โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมครั้งนี้ ได้เชิญผู้แทนจากการประปาส่วนภูมิภาค และการประปานครหลวงเข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อจะทำการปรึกษาหารือถึงแนวทางในการร่วมกันประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการในการร่วมกันประหยัดน้ำ
เรื่องที่ 1 การโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชี ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมบัญชีกลาง มีนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนบทบาท ภารกิจ จากการควบคุมเป็นการกำกับดูแล และทำงานในเชิงรุกมากขึ้น กระทรวงการคลัง จึงได้เห็นชอบให้กรมบัญชีกลางโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของทุนหมุนเวียนที่จัดตั้งตามกฎหมายเฉพาะ จำนวน 4 ทุน ให้ฝ่ายเลขานุการฯ หรือเจ้าของโครงการนั้นเป็นผู้ดำเนินการ โดยมี "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เป็นหนึ่งในจำนวน 4 ทุน ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบให้กรมบัญชีกลางโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนฯ ให้กับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้ดำเนินการ โดยการโอนงานเบิกจ่ายเงินและการบัญชีของกองทุนฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเวลา 3 เดือน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กประเภทพลังงานนอกรูปแบบ เชื้อเพลิงกาก เศษวัสดุเหลือใช้ ขยะมูลฝอยหรือไม้ โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2545 มีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producers: SPP) ขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้า 50 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 1,962 MW จากจำนวนดังกล่าวเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานหมุนเวียนผสมกับพลังงานเชิงพาณิชย์ เพียง 26 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 215-260 MW ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินสูง แต่ก็ยังมี SPP หลายรายที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินต่ำ แต่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อให้มีการลงทุนผลิตและขายไฟฟ้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มอบหมายให้ สพช. ใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท สนับสนุนโครงการฯ ส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้า ที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ได้อีกประมาณ 300 เมกะวัตต์ โดย สพช. ได้จ้างบริษัท AEA Technology plc ให้เป็นผู้ศึกษารูปแบบวิธีการประกาศเชิญชวนและกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกข้อเสนอ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้แต่งตั้ง "คณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ขึ้น เพื่อเสนอร่างประกาศเชิญชวนและจัดทำแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอของผู้สนใจลงทุน รวมถึงดำเนินการคัดเลือกข้อเสนอเพื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติการสนับสนุน
คณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำ "ร่างเอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22) เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 พิจารณาและที่ประชุมได้อนุมัติให้ สพช. นำไปประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจลงทุนและผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนดังกล่าว โดยกองทุนฯ จะจ่ายเงินสนับสนุนให้กับผู้ที่มีข้อเสนอที่เหมาะสม และเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กไม่เกิน 0.36 บาท ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปีด้วยวิธีคัดเลือก โดยกำหนดยื่นซองข้อเสนอ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544
เมื่อครบกำหนดวันยื่นซองข้อเสนอ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นข้อเสนอไว้กับ สพช. รวมทั้งสิ้น 43 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 775 MW คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ สพช. กำหนดไว้
คณะทำงานฯ ได้มีการประชุมร่วมกันหลายครั้งเพื่อพิจารณาข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ ตามขั้นตอนและหลักเกณฑ์การพิจารณาที่ได้กำหนดไว้ และสรุปผลการคัดเลือกข้อเสนอทั้ง 43 โครงการ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา โดยสรุปได้ ดังนี้
(1) ข้อเสนอที่ผ่านเกณฑ์พิจารณารวมทั้งสิ้น 37 โครงการ ประกอบด้วย
กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 313 MW (เป็นแบบสัญญา Firm 12 ราย และ แบบ Non Firm 5 ราย) คิดเป็นเงินที่กองทุนฯ สนับสนุนทั้งสิ้นในวงเงิน 1,955,805,527.60 บาท และมีวงเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ที่ยังคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 104,194,472.40 บาท ซึ่งไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้กับโครงการฯ ลำดับถัดไปได้ (ลำดับที่ 18 คือ RFP 0049 วงเงินขอรับการสนับสนุน 168,192,000 บาท)
- กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มโครงการที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาเช่นเดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนเนื่องจากวงเงิน 2,060 ล้านบาท ได้หมดลงก่อน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 20 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายเข้าระบบ 224.20 MW คิดเป็น วงเงินที่ต้องการสนับสนุนจากกองทุนฯ ทั้งสิ้น 2,117,393,221.60 บาท
(2) ข้อเสนอที่ไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา รวมทั้งสิ้น 6 ราย เนื่องจากได้รับคะแนน 0 หรือ 1 ในหัวข้อหนึ่งหัวข้อใดของข้อเสนอทางเทคนิค/ข้อเสนอทางการเงิน และมีคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด
(3) ข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ นั้น มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด โดยเหตุอาจเกิดจากปริมาณชีวมวลไม่เพียงพอหรือได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ หรือไม่สามารถจัดหาเงินทุนได้เพียงพอ และเพื่อจะได้ไม่ต้องเริ่มต้นดำเนินการคัดเลือกใหม่ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้กับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อให้ สพช. นำมาประกาศให้การสนับสนุนสำหรับผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ได้มีสิทธิยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนใหม่ แต่ทั้งนี้การเสนออัตราเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (เท่ากับอัตราสนับสนุนสูงสุดในกลุ่มที่ 1)
(4) เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจากบางโครงการอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่โครงการฯ จึงควรกำหนดเงื่อนไขผนวกไว้กับการอนุมัติโครงการฯ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เมื่อคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบกับผลการพิจารณาตามที่คณะทำงานฯ ได้รายงานเสนอผ่านคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือแล้ว ให้ สพช. แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่ได้การคัดเลือกทราบ พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกนำเสนอแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนให้คณะทำงานฯ พิจารณา และจัดให้คณะทำงานฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโครงการฯ ภายในระยะเวลา 2 เดือนนับจากวันที่ สพช. ประกาศผลการคัดเลือก โดยกำหนดขอบเขตของพื้นที่ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชนเป็นพื้นที่ อบต. ที่ตั้งโรงไฟฟ้า และ อบต. โดยรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า แต่ทั้งนี้ไม่เกินระยะ 10 กิโลเมตร จากที่ตั้งโรงไฟฟ้า
ขั้นตอนที่ 2 ให้ สพช. ประชาสัมพันธ์ผลการพิจารณาโครงการฯ ให้กับประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และเน้นการประชาสัมพันธ์โดยเฉพาะให้กับกลุ่ม NGO เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในโครงการฯ
ขั้นตอนที่ 3 คณะทำงานฯ ลงพื้นที่โครงการต่างๆ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้น และรายงานผลเป็นข้อสังเกตและความคิดเห็นของคณะทำงานฯ ที่มีต่อโครงการฯ เกี่ยวกับแนวโน้มหรือโอกาสที่โครงการฯนั้นจะดำเนินการต่อไป เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ต่อไป
(5) คณะทำงานฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการฯ นั้น บางโครงการอาจจะไม่ได้ดำเนินการ และเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติม เพื่อให้ สพช. นำมาประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 จำนวน 20 โครงการ ปริมาณพลังไฟฟ้ารวมเท่ากับ 224 MW ได้มีโอกาสยื่นเสนออัตราขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใหม่ โดยเสนออัตราได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมงนั้น คาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนฯ เพิ่มเติม 1,000 ล้านบาท รวมกับวงเงินเดิมเป็น 3,060 ล้านบาท
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ เห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดตามดูแลและสนับสนุนให้การดำเนินโครงการฯ จากโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 3,060 ล้านบาท ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว โดยมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจอนุมัติการใช้จ่ายเงินดังกล่าว โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้แจ้งคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะด้วย
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ทั้ง 43 ราย และเห็นชอบแนวทางการดำเนินงานต่อไป และเห็นชอบให้เพิ่มเติมงบประมาณกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เป็นวงเงินรวม 3,060 ล้านบาท (สามพันหกสิบล้านบาทถ้วน) ตามที่คณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้เสนอมา
2. เห็นชอบให้ สพช. ประกาศให้ผู้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก จำนวน 20 ราย เป็นผู้มีสิทธิยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ให้ สพช. ดำเนินการพิจารณาคัดเลือกใหม่ โดยเสนออัตราเงินสนับสนุนสูงสุดได้ไม่เกิน 0.225 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง และกองทุนฯ จะสนับสนุนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี
3. อนุมัติให้ สพช. เบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการติดตามดูแลและสนับสนุนการดำเนินโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงิน 3,060 ล้านบาทที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว โดยให้ สพช. จัดทำรายละเอียดแผนการใช้จ่ายเงินเสนอให้ คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติ โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบเป็นระยะด้วย
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการฯ ในวงเงิน 20 ล้านบาท โดย ปตท. ร่วมลงทุนในโครงการฯ ด้วย 30 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 12/2544 (ครั้งที่ 57) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและลดปริมาณมลพิษในไอเสียได้เป็นอย่างดี โดย ปตท. จะทำการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการใช้พลังงานระหว่างการใช้ก๊าซธรรมชาติกับน้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ รวมถึงความแตกต่างระหว่างมลพิษที่เกิดขึ้นด้วย เพื่อให้ผู้ขับแท็กซี่ ตลอดจนประชาชนผู้ใช้บริการทั่วไป มีความเชื่อมั่นในการใช้ก๊าซธรรมชาติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้ ปตท. เป็นทุนดำเนินงาน "โครงการนำร่องแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซธรรมชาติ 1,000 คัน" ในวงเงิน 20 ล้านบาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ในประเด็นสำคัญ ดังนี้
(1) เพิ่มเติมระบบการบริหารจัดการที่ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าบริษัทที่จะเข้ามารับดำเนินการ ทั้งในส่วนของการจัดหาถังก๊าซธรรมชาติ การจัดหาและการติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งการตรวจวัดและประเมินคุณภาพไอเสีย ซึ่งต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมและสามารถดำเนินโครงการฯ ให้สำเร็จลงบรรลุตามเป้าหมาย และได้รับผลลัพธ์ที่มีความน่าเชื่อถือ
(2) เพิ่มเติมรายละเอียดของระบบเชื้อเพลิงทวิ (Bi-fuel) ที่เลือกใช้ให้ชัดเจน และระบุเหตุผลที่เลือกใช้ระบบดังกล่าว โดยเปรียบเทียบกับระบบเชื้อเพลิงทวิอื่นๆ ที่ไม่ได้รับการพิจารณานำมาใช้ในโครงการนี้ พร้อมทั้งแสดงวิธีการที่ ปตท. ใช้ตรวจสอบความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่เลือกใช้ และระบุให้ชัดเจนในความเหมือนหรือแตกต่างของเทคโนโลยีที่เลือกใช้กับรถแท็กซี่ทั้ง 1,000 คัน ตลอดจนแสดงการเปรียบเทียบระหว่างเทคโนโลยีของชุด Conversion kit ที่เลือกใช้กับเทคโนโลยีแบบอื่นๆ ที่สามารถใช้กับระบบ Bi-fuel ได้ ในแต่ละด้าน เช่น ด้านเทคนิค ด้านค่าใช้จ่าย และด้านการบำรุงรักษา เป็นต้น
(3) เปรียบเทียบมวลสารมลพิษตามมาตรฐานสากล เช่น ทดสอบตามมาตรฐาน EURO เป็นต้น เพื่อจะได้ทราบค่ามวลสารมลพิษในหน่วยกรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะช่วยชี้วัดความสำเร็จโครงการฯ โดยเทียบเคียงได้กับค่ามาตรฐาน และควรเพิ่มเติมการเปรียบเทียบมวลสารมลพิษกับในกรณีที่ใช้น้ำมันเบนซิน และ LPG เป็นเชื้อเพลิงให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านอัตราการปล่อยมลพิษ อัตราการสึกหรอของเครื่องยนต์ การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ และค่าใช้จ่าย
(4) หาก ปตท. สามารถดำเนินการตามข้อ (1)-(3) ได้ครบถ้วนแล้ว ปตท. ต้องปรับปรุงแผนงานของโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก
เรื่องที่ 4 โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ให้การสนับสนุนกิจกรรม/โครงการ ตลอดจนการเผยแพร่สื่อต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และกระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในช่วงที่ผ่านมา สพช. ยังขาดสถานที่ในการจัดกิจกรรมเผยแพร่ สาธิต วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานหมุนเวียนที่ถาวรและครบวงจร รวมถึงยังขาดศูนย์ข้อมูลทางด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันอังคารที่ 21 มีนาคม 2543 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมในการจัดตั้ง "ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม" ในวงเงิน 2,822,500 บาท โดย สพช. ได้ดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้ อ. ปากท่อ จ. ราชบุรี บนเนื้อที่ประมาณ 463 ไร่ เพื่อจัดตั้งศูนย์ฯ แต่เนื่องจากในการขออนุญาตใช้พื้นที่จะต้องผ่านการดำเนินการหลายขั้นตอน และในแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาในการพิจารณานานพอสมควร ทำให้แผนการดำเนินการจัดตั้งศูนย์ฯ ณ จ. ราชบุรี ต้องเลื่อนระยะเวลาออกไป
กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งอยู่ระหว่างการเตรียมสร้าง "อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร" ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี จะทรงพระเจริญพระชนมายุครบ 4 รอบ เพื่อเป็นสถานที่เผยแพร่พระเกียรติคุณและพระปรีชาสามารถในด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และมีความประสงค์ขอมอบที่ดินบางส่วนในเขตอุทยานฯ ให้แก่ สพช. เพื่อให้เป็นสถานที่จัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม และกองบัญชาการฯ ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมการเผยแพร่ความรู้ด้านพลังงานสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานทดแทน ในวงเงิน 184,466,341 บาท และมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับการมอบหมายจาก สพช. ให้จัดทำการศึกษารายละเอียดแผนการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ ได้จัดทำแผนฯ ดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีงบประมาณในการบริหารการจัดการปีที่ 1-5 ในวงเงิน 86,573,121 บาท
โครงการจัดตั้งศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายเพื่อเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการศึกษา วิจัย และพัฒนา สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานและพลังงานหมุนเวียน รวมทั้งเป็นสถานที่จัดทำ กิจกรรมเผยแพร่ความรู้ทางด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งการดำเนินงานมีเป้าหมายให้มีผู้เข้ารับการฝึกอบรม ปีละประมาณ 1,200 คน และมี ผู้เข้าชมนิทรรศการปีละประมาณ 50,000 - 100,000 คน ซึ่งโครงการฯ แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 การดำเนินงานและจัดกิจกรรมศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในเบื้องต้นจะขอรับการสนับสนุน งบประมาณจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมเป็นระยะเวลา 5 ปี และภายในระยะเวลา 5 ปี จะมีการบริหารจัดการและดำเนินกิจกรรมที่มุ่งไปในทิศทางที่จะทำให้สามารถมีรายได้เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมเผยแพร่ในระยะต่อไปอย่างถาวร และลดการขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ลงมาให้เหลือน้อยที่สุดโดยแผนงานการจัดกิจกรรมเผยแพร่ของศูนย์ฯ แบ่งออกเป็น 4 แผนงาน คือ (1) การบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม (2) การจัดทำนิทรรศการและการสาธิต (3) การจัดทำค่ายฝึกอบรม และ (4) ห้องสมุดพลังงาน
ส่วนที่ 2 การก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นสถานที่รองรับกิจกรรมในการดำเนินการของศูนย์ฯ โดยมีพื้นที่ในส่วนของอาคารนิทรรศการประมาณ 5,686 ตารางเมตร และส่วนอื่นๆ เช่น ลานจอดรถ พื้นที่เอนกประสงค์ ประมาณ 18,500 ตารางเมตร ซึ่ง ประกอบด้วย (1) โถงต้อนรับเพื่อให้ข้อมูลรวมนิทรรศการในอาคาร (2) โถงนิทรรศการข้อมูลโครงการในสมเด็จพระเทพฯ และนิทรรศการสิ่งแวดล้อม (3) โถงนิทรรศการพลังงาน 8 สถานี และ (4) อาคารประชุม บ้านพักผู้เข้ารับอบรม บ้านพักวิทยากร หอพัก ที่ทำการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ที่ประชุมเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในวงเงิน 184,466,341 บาท และเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการว่าจ้างการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ฯ ในวงเงิน 86,573,121 บาท และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการก่อสร้างศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ค่ายพระรามหก อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ในวงเงิน 184,466,341 บาท โดยก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ ให้ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ดังนี้
(1) แจกแจงรายละเอียดและประมาณราคาการก่อสร้างอาคาร และระบบต่างๆ ทั้งหมดภายในอาคารให้ชัดเจน
(2) เพิ่มเติมรายละเอียดในส่วนของระบบไฟฟ้าโซล่าเซลล์ ว่าจะดำเนินการติดตั้งระบบเพื่อจ่ายไฟฟ้าให้พื้นที่ต่างๆ ในอาคารอย่างไร พร้อมแจกแจงรายละเอียดงบประมาณ
(3) การจัดจ้างที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญทางด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเพื่อควบคุมการจัดทำเนื้อหาสาระที่จะเผยแพร่ในรูปนิทรรศการและสื่ออื่นๆ นั้น เห็นควรให้มีการประสานงานกับที่ปรึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างประเทศที่ดำเนินงานศูนย์สาธิตและอบรมด้านพลังงานในลักษณะดังกล่าว เช่น The Centre for Alternative Technology ประเทศอังกฤษ เป็นต้น เพื่อให้ข้อคิดเห็น ประสบการณ์ และแนะนำข้อมูล และวิทยาการที่ทันสมัยในด้านการอนุรักษ์พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เพื่อจะนำมาเป็นประโยชน์ในการออกแบบและจัดทำข้อมูลนิทรรศการและสื่ออื่นๆ รวมถึงแนวทางการบริหารศูนย์ และให้นำเสนอ สพช. เพื่อให้ความเห็นชอบรายละเอียดข้อมูลก่อนจัดทำนิทรรศการและสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่
(4) การบริหารควบคุมดูแลโครงการจัดตั้งศูนย์ฯ นอกเหนือจากเจ้าหน้าที่ของ ตชด. เห็นควรให้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานและพลังงานหมุนเวียน ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฝึกอบรมและจัดค่าย และผู้แทน สพช.ฯลฯ เป็นต้น เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการบริหารโครงการเพื่อช่วยควบคุมดูแล และเสนอแนะข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ และร่วมรับทราบความก้าวหน้าในการดำเนินการก่อสร้างและบริหารศูนย์ฯ
(5) ให้เพิ่มส่วนสาธิตเทคโนโลยีด้านพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบต่างๆ โดยให้พิจารณาขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่ทำงานด้านพลังงานหมุนเวียนในต่างประเทศ เพื่อร่วมกันสาธิตเทคโนโลยี
(6) สำหรับค่าใช้จ่ายให้การดำเนินการว่าจ้างการดำเนินงานและกิจกรรมของศูนย์ ในวงเงิน 86,573,121 บาท นั้น เห็นควรให้ สพช. เพิ่มเติมรายละเอียดการดำเนินงาน และโครงสร้างการบริหาร จัดการกิจกรรมของศูนย์รวมถึงการจัดทำ cash flow เพื่อแสดงให้เห็นถึงรายรับและรายจ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ในการบริหารศูนย์ เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าศูนย์ฯ สามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างยั่งยืนภายหลังการสิ้นสุดการให้เงินสนับสนุนในปีที่ 5 ให้ชัดเจนก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ อีกครั้ง
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ ในข้อ (1)-(5) โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก ส่วนข้อ (6) ให้นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง ก่อนอนุมัติ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า หลังจากที่โครงการรุ่งอรุณได้ดำเนินงานเสร็จสิ้นลงเมื่อต้นปี 2544 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้นำผลการประเมินโครงการรุ่งอรุณเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงานในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 10) เมื่อวันพุธที่ 14 มีนาคม 2544 โดยมี ศ.ดร. สิปปนนท์ เกตุทัต เป็นประธาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้เกิดการชะงักงันของโครงการ
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบ แนวทางการดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2 และเห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการประกาศ เรื่อง การเปิดให้ทุนสนับสนุนองค์กร/หน่วยงานเพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ดังกล่าว และ สพช. ได้จัดการประชุมเพื่อชี้แจงรายละเอียดการจัดทำข้อเสนอโครงการให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่สนใจมาดำเนินการบริหารโครงการ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 ณ ห้องประชุม ชั้น 3 สพช. ซึ่งมีหน่วยงานที่สนใจและได้ยื่นข้อเสนอโครงการฯ ต่อ สพช. 4 หน่วยงาน คือ(1) คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (2) สถาบันราชภัฎพระนครศรีอยุธยา (3) โครงการจัดตั้งสถาบันสังคมและสิ่งแวดล้อมศึกษา มหาวิทยาลัยบูรพา และ (4) สมาคมสร้างสรรค์ไทย
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 15/2544 (ครั้งที่ 89) เมื่อวันอังคารที่ 11 ธันวาคม 2544 ได้มีมติแต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ ซึ่งประกอบด้วย (1) ศ. ดร. สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ (2) นางกุลฑลรัตน์ รัตนสิงห์ (3) นายประเสริฐ หอมดี (4) ผศ. ศิริวัฒน์ สุนทโรทก และ นางพูนทรัพย์ สวนเมือง ตุลาพันธ์ ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ ได้ร่วมกันพิจารณาข้อเสนอโครงการทั้ง 4 โครงการ แล้วปรากฏว่า สมาคมสร้างสรรค์ไทย ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เป็นผู้บริหารโครงการฯ เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่ได้รับคะแนนสูงสุด และฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ และให้นำเสนอ คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้โรงเรียนรุ่งอรุณระยะ 1 พัฒนาหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอนด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ได้รับในระยะแรกมาประยุกต์ใช้ให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ชัดเจน และมีประสิทธิภาพ โดยจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการรุ่งอรุณในระยะแรก 600 โรงเรียน เพื่อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนในการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยจะต้องมีการคัดเลือกโรงเรียนเพื่อรับทุน ในวงเงินไม่เกิน 200,000 บาทต่อโรงเรียน โดยโครงการฯ มีหลักการในการทำงานเพื่อขยายผลและต่อยอดจากโครงการรุ่งอรุณระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าการดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2 จะทำให้เกิดความต่อเนื่องของการส่งเสริมกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในระดับประถมและมัธยมศึกษา ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ โดยมีเงื่อนไขให้ สมาคมฯ พิจารณาดำเนินการและหาวิธีทางให้โรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและต่อเนื่องจากโครงการในระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่ได้เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบแล้ว ให้ สมาคมสร้างสรรค์ไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมกิจกรรม การเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานฯในโรงเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษา (โครงการรุ่งอรุณ ระยะที่ 2) ในวงเงิน 40,000,000 บาท โดยก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯให้ สมาคมฯ จะต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ดังนี้
(1) สมาคมฯ พิจารณาดำเนินการและหาวิธีทางให้โรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงและต่อเนื่องจากโครงการในระยะแรก เพื่อให้มีการนำผลที่ได้เกิดขึ้นแล้วไปปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น
(2) ปรับเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "โครงการรุ่งอรุณ (ระยะที่ 2)" แทน โครงการรุ่งอรุณกับตาวิเศษ เนื่องจาก สพช. มีนโยบายที่จะให้เกิดความต่อเนื่องของโครงการ เพื่อโรงเรียนที่จะเข้าร่วมโครงการจะได้ไม่สับสน
(3) เพิ่มวิธีการและการดำเนินงานที่จะก่อให้เกิดการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่บูรณาการความรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในทุกระดับชั้น อย่างน้อยระดับชั้นละ 1 กลุ่มประสบการณ์ต่อรายวิชา
(4) หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์และพิจารณาโครงการของโรงเรียน ในประเด็นการพิจารณาข้อ 1 (หน้า 20) ให้เพิ่มประเด็น ดังนี้ "รายละเอียดแผนงานการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและ สิ่งแวดล้อม โดยเสนอ
แผนงานที่จะดำเนินการพัฒนาหลักสูตรและหรือการจัดทำแผนการสอนที่สามารถบูรณาการแนวคิดเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม
รายวิชา/กลุ่มประสบการณ์/ระดับชั้นที่จะดำเนินการตามแผนดังกล่าว
แนวทางการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อมุ่งพัฒนาจิตสำนึกและพฤติกรรมให้เกิดการเรียนรู้เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อม
(5) เพิ่มรายละเอียดวิธีการให้คะแนนโครงการของโรงเรียน โดยอาจจัดทำแบบฟอร์มการให้คะแนนเพื่อให้พิจารณาด้วย
(6) ก่อนที่คณะกรรมการโครงการรุ่งอรุณ จะดำเนินการคัดเลือกโรงเรียน ให้สมาคมฯประมวลและจัดลำดับคะแนนของโรงเรียนในเบื้องต้นก่อน แล้วนำเสนอคณะกรรมการโครงการฯ เพื่อพิจารณารายละเอียด และให้นำผลการพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนเสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการด้วย
(7) เพิ่มองค์ประกอบของคณะดำเนินงานฯ โดยการให้มีนักการศึกษามากขึ้น เพื่อจะช่วยในการวางแผนและดำเนินการเรื่องการพัฒนาและบูรณาการความรู้เรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในหลักสูตรท้องถิ่น
(8) กลุ่มเป้าหมายให้ประกอบด้วยโรงเรียนรุ่งอรุณเดิม 600 โรงเรียนและโรงเรียนอื่นๆ ที่ไม่เคยร่วมโครงการ แต่มีความพร้อมตามหลักเกณฑ์โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงเรียนสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมดีเด่น เฉลิมพระเกียรติ
(9) ในการจัดอบรมเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับครูและนักวิชาการท้องถิ่นให้มีการอบรมโดยเชิญ ผู้มีประสบการณ์การดำเนินงานโครงการรุ่งอรุณที่มีผลสำเร็จดีในด้านการบูรณาการการเรียนการสอนเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมมาร่วมให้ความรู้ เพื่อให้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนสำหรับโรงเรียนอื่นๆ
(10) สำหรับคณะนักวิชาการท้องถิ่นให้เพิ่มนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญหรือเกี่ยวข้องกับด้านพลังงานด้วย เพื่อเป็นที่ปรึกษาของโรงเรียน ซึ่งในโครงการรุ่งอรุณระยะที่ 1 ความรู้ด้านพลังงานที่โรงเรียนควรได้รับยังน้อยเกินไป ดังนั้น ในระยะที่ 2 จึงเห็นควรให้โรงเรียนสามารถจัดการเรียนรู้เรื่องพลังงานที่ถูกต้องให้มากยิ่งขึ้น
(11) ให้เพิ่มเติมรายละเอียดวิธีการดำเนินงานของคณะนักวิชาการท้องถิ่นในการประสานงานและให้คำปรึกษาแก่โรงเรียนในการพัฒนาการเรียนการสอน และสามารถให้การช่วยเหลืออย่างเป็นระบบและต่อเนื่องอย่างมีประสิทธิภาพ
(12) ให้พิจารณาเพิ่มดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการที่เป็นประเด็นสำคัญ ดังนี้
โรงเรียนมีการบูรณาการความรู้ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมเข้าไปในการเรียนการสอนทุกระดับชั้น
ครู นักเรียน บุคลากร มีจิตสำนึกและพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
มีเครือข่ายการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมระหว่างโรงเรียน ชุมชน และหน่วยงาน ท้องถิ่นที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนภายหลังสิ้นสุดโครงการ
(13) ให้เพิ่มเติมวิธีการประเมินผลโครงการ จะใช้วิธีอย่างไร
ในการประเมินความรู้ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายต่างๆทุกกลุ่ม
ในการประเมินจิตสำนึก และพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย
(14) ให้ปรับเปลี่ยนหรือปรับลดงบประมาณ ดังนี้
ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายในการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์โครงการลงโดยนำเงินที่ลดลงไปผลิตวารสารวิชาการและกิจกรรมของโครงการที่จะมุ่งเน้นให้สาระที่น่าสนใจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และเป็นเวทีแลกเปลี่ยนผลการดำเนินงานของโรงเรียนในโครงการ โดยให้ออกวารสารเป็นราย 2 เดือน และให้ สพช. ได้พิจารณาต้นฉบับก่อนการจัดพิมพ์เผยแพร่
ให้ปรับลดค่าอาหาร/อาหารว่าง และค่าสถานที่ในทุกกิจกรรมลง เนื่องจากมีอัตราสูงโดยให้ใช้อัตราตามระเบียบราชการ
ในการสัมมนาวิเคราะห์สถานการณ์และการดำเนินกิจกรรมของโรงเรียนที่ไม่ผ่านการคัดเลือก 90 โรงเรียน ขอให้ปรับเปลี่ยนกิจกรรมนี้เป็นการเสริมความรู้ด้านการจัดการเรียนการสอนกิจกรรมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมสำหรับครู แกนนำ นักเรียน และแกนนำชุมชน
ค่าใช้จ่ายในการจัดทำวีดิโอผลงานโครงการ 500,000 บาท ให้ปรับลดลง โดยให้นำเงินส่วนที่ลดลงไปจัดทำเอกสารเพื่อรวบรวมฐานการเรียนรู้หรือสื่อการเรียนรู้เรื่องพลังงานในท้องถิ่น เพื่อแจกจ่ายให้กับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ( พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในระหว่างปี 2539-2544 พพ. ได้ร่วมมือกับสำนักงานความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาแห่งประเทศเดนมาร์ก (DANCED) เพื่อทำการศึกษาและจัดทำแนวทางการส่งเสริมการลงทุนในโครงการมาตรการมาตรฐาน (Standard Measures) ที่ได้รับการพิสูจน์และยอมรับทางด้านเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานแล้ว จำนวน 11 มาตรการ และพพ. ได้ดำเนินการจัดทำเป็นโครงการนำร่องการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารธุรกิจที่ไม่อยู่ในข่ายควบคุม เพื่อเป็นการสาธิตและทดสอบผลประหยัดพลังงาน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับผลจากการคำนวณของมาตรการมาตรฐานของเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงานทั้ง 11 มาตรการ ที่ พพ. และ DANCED ได้เคยทำการศึกษา โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนเงินช่วยเหลือให้เปล่าแก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ 30% ของเงินลงทุนในแต่ละมาตรการ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งสิ้น 26 ราย ซึ่งผลจากการดำเนินการสามารถประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 1.736 ล้านหน่วยต่อปี
พพ. จึงได้จัดทำโครงการมาตรการมาตรฐานเป็นโครงการนำร่องในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม โดย พพ. ได้กำหนดหลักเกณฑ์และจำนวนเงินที่จะให้การสนับสนุน ซึ่งจะให้การสนับสนุนเป็นเงินอุดหนุนการลงทุนแต่ละมาตรการคิดเป็นร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายในการลงทุนจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 30 ของราคามาตรฐานที่ พพ. กำหนด และมีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 7 ปี ทั้งนี้ วงเงินที่แต่ละรายจะได้รับการสนับสนุนไม่เกิน 2 ล้านบาท นอกจากมาตรฐาน (Standard Measures) แล้ว พพ. ก็ยังได้กำหนดให้มีการสนับสนุนในมาตรการประหยัดพลังงานอื่นๆ (Individual Project : IP) แต่จะต้องมีการพิจารณาศักยภาพการอนุรักษ์พลังงาน แนวทางการตรวจวัดและประเมินผล และผลตอบแทนการลงทุน ทั้งนี้จะพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป โดยผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการฯ จะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 53 ล้านหน่วยต่อปี คิดเป็นเงินประมาณ 133 ล้านบาทต่อปี และสามารถลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 12 MW โดยมีแนวทางการดำเนินการของโครงการฯ ดังนี้
(1) พพ. จะคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการ จำนวน 2 ราย ดำเนินการตามขอบเขตงานที่ พพ. กำหนด โดยคัดเลือกจากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจรวมถึงหน่วยงานเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร
(2) กำหนดวงเงินค่าใช้จ่าย 130 ล้านบาท ประกอบด้วย เงินสนับสนุนการลงทุน 100 ล้านบาท ที่เหลือเป็นค่าบริหาร ประชาสัมพันธ์ และประเมินผล ประมาณ 30 ล้านบาท
(3) อาคารควบคุมและโรงงานควบคุม ที่จะดำเนินการตามโครงการนี้ยังต้องปฏิบัติตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยสามารถระบุผลการดำเนินการที่ได้รับการดำเนินการจากโครงการนี้ในขั้นตอนการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานได้
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 ได้พิจารณาโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) แล้ว เห็นชอบในหลักการและให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการโครงการส่งเสริมการลงทุนด้าน อนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) ตามแนวทางและวิธีดำเนินงานที่ พพ. เสนอ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม) รายการค่าบริหารและสนับสนุนโครงการ ในวงเงิน 130 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสามสิบล้านบาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานสำหรับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม (นำร่อง) ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเงินลงทุนฯ จำนวน 100 ล้านบาท (หนึ่งร้อยล้านบาท) และค่าบริหาร ประชาสัมพันธ์ และประเมินผล จำนวน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาท)
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไรต่อ" (เพิ่มเติม)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ในวงเงิน 408,999,000 บาท และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในวงเงิน 289,166,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนลดค่าไฟฟ้า โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" โดยมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ฯ 1 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการ ระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) มีผู้ใช้ไฟฟ้าสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ที่สามารถได้รับส่วนลดที่เกิดจากการประหยัดการใช้ไฟฟ้าได้ เป็นจำนวนสูงกว่าประมาณการที่ได้ตั้งไว้ ทำให้จำนวนเงินรางวัลส่วนลดค่าไฟฟ้าที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้กับ กฟภ. และ กฟน. ไม่เพียงพอ ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมา (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) สรุปได้ ดังนี้
(1) กฟภ. ได้ทำการรณรงค์ โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ถึง มกราคม 2545 สรุปผลได้ว่า จากจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 10.7 ล้านครัวเรือน ทุกจังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี) มียอดจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการเริ่มตั้งแต่ประมาณ 1.9 ล้านครัวเรือนในเดือนกันยายน และเพิ่มขึ้นถึง 6.1 ล้านครัวเรือนในเดือนมกราคม 2545 สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ประมาณ 937.44 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 2,756.126 ล้านบาท
(2) กฟน. ได้ทำการรณรงค์ โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ถึง มกราคม 2545 สรุปผลได้ว่า จากจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 1.8 ล้านครัวเรือน ในเขตจังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนนทบุรี มียอดจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการเริ่มตั้งแต่ประมาณ 0.34 ล้านครัวเรือนในเดือนกันยายน 2544 และเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 1.1 ล้านครัวเรือนในเดือนมกราคม 2545 สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ประมาณ 512.11 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ประมาณ 1,627.67 ล้านบาท
กฟภ. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้าภูมิภาค ในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม ในวงเงิน 918,839,000 บาท และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้านครหลวง ในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดไฟฟ้า 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ 474,260 บาท โดย กฟภ. และ กฟน. ได้ปรับแผนประมาณการส่วนลดค่าไฟฟ้า ในช่วงระยะเวลาการดำเนินโครงการเดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2545 ดังนี้
(1) กฟภ. คาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ประมาณ 59% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 38% สำหรับเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2545 ประมาณ 18% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 15% และเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2545 ประมาณ 60% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 35% คิดเป็นเงินรางวัลส่วนลดค่าไฟฟ้าที่ต้องใช้เป็นจำนวนประมาณ 803.765 ล้านบาท (เดือนกุมภาพันธ์-สิงหาคม 2545) รวมกับค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าส่วนขาด (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) จำนวน 115.074 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นเงินงบประมาณ ค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าที่ต้องการขอรับการสนับสนุนเพิ่มจำนวน 918.839 ล้านบาท
(2) กฟน. คาดว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2545 ประมาณ 40% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 20% สำหรับเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2545 ประมาณ 5%-10% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 10% และเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2545 ประมาณ 30% ของผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถประหยัดได้ 20% คิดเป็นเงินรางวัลส่วนลด ค่าไฟฟ้าที่จะต้องใช้เป็นจำนวนประมาณ 164.75 ล้านบาท (เดือนกุมภาพันธ์ - สิงหาคม 2545) รวมกับค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าส่วนขาด (เดือนกันยายน 2544 - มกราคม 2545) จำนวน 58.69 ล้านบาท ซึ่งรวมเป็นเงินงบประมาณส่วนลดค่าไฟฟ้าที่จะขอรับการสนับสนุนเพิ่ม จำนวน 223.44 ล้านบาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 เมื่อ วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 เพื่อพิจารณา และได้มีมติเห็นชอบให้เพิ่มวงเงิน ในโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ให้ กฟภ.ในวงเงิน 918,839,000 บาท เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า และให้ กฟน. ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ (ค่าจัดพิมพ์จดหมาย ปิดผนึกและจัดส่งให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม) จำนวน 474,260 บาท โดยให้ สพช. ติดตามประเมินผลของโครงการโดยเร็ว เพื่อให้ทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถประหยัดไฟฟ้าได้ และมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้ไฟฟ้า และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 ให้ กฟภ. และ กฟน. เพื่อเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติม โดยสนับสนุนให้ กฟภ. ในวงเงิน 918,839,000 บาท และให้ กฟน. ในวงเงินรวม 223,914,260 บาท แบ่งเป็นค่าส่วนลดค่าไฟฟ้า จำนวน 223,440,000 บาท และส่วนการประชาสัมพันธ์ (ค่าจัดพิมพ์จดหมายปิดผนึกและจัดส่งให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติม) จำนวน 474,260 บาท
เรื่องที่ 8 โครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ในวงเงิน 33,073,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยได้ดำเนินการปิดถนนสีลม ทุกวันอาทิตย์ ระหว่างวันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2544 ถึง วันอาทิตย์ที่ 30-31 ธันวาคม 2544 ภายใต้ชื่อโครงการว่า "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" และจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มาร่วมงานบนถนนสีลม จำนวน 1,200 ตัวอย่าง สรุปผลการประเมินโครงการในภาพรวมได้ว่าประชาชนเห็นด้วยกับการรณรงค์ตามโครงการฯ นี้ จำนวนร้อยละ 85 ทั้งนี้ เห็นว่าเกี่ยวข้องกับการช่วยประหยัดพลังงานร้อยละ 81 ลดมลพิษร้อยละ 86 และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวร้อยละ 79 นอกจากนี้ประชาชนยังเห็นด้วยกับการสนับสนุนให้มีโครงการลักษณะนี้ต่อไปที่ถนนสีลมทุกๆ วันอาทิตย์ร้อยละ 87 ซึ่งนับได้ว่าการดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ได้เป็นที่น่าพอใจ
คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ มีมติให้ดำเนินการโครงการปิดถนนสีลมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นถนนคนเดินที่ยั่งยืน โดยดำเนินการตามแผนระยะกลาง ตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2545 และให้ขยายผลสำเร็จของโครงการนี้ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ โดยเริ่มที่ถนนท่าแพ จังหวัดเชียงใหม่เป็นสายแรก เริ่มตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ ถึง 7 เมษายน 2545 ภายใต้ชื่อ "10 มหัศจรรย์ล้านนาที่ท่าแพ" ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 90) เมื่อวันพุธที่ 23 มกราคม 2545 ได้มีมติอนุมัติให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนสีลม ในวงเงิน 7,800,000 บาท และให้สำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสมทบเป็นค่าใช้จ่าในการดำเนินโครงการปิดถนนท่าแพ ในวงเงิน 3,500,000 บาท และต่อมาได้มีหน่วยงานต่างๆ สนใจที่จะดำเนินโครงการฯ ในลักษณะดังกล่าว ดังนี้
(1) สำนักงานจังหวัดภูเก็ต ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยว ณ บริเวณถนนถลาง อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ในระหว่างเดือนเมษายน ถึงเดือนกันยายน 2545 รวม 26 ครั้ง ในวงเงิน 10,000,000 บาท
(2) จังหวัดลำปาง ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ "มหัศจรรย์ก๋องปู่จา..ล้านนาไทย" เพื่อสืบสานวัฒนธรรมระดับชุมชนอย่างมีระบบ รวมถึงการตอบสนองนโยบายการประหยัดพลังงานและลดมลพิษ ในวงเงิน 5,000,000 บาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณา กำหนดกรอบการให้การสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 93) เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคม 2545 ที่ประชุมเห็นว่าโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงานฯ เป็นโครงการที่รัฐบาล และ สพช. มีเป้าหมายที่จะขยายผลไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะมีภูมิภาคที่มีความเหมาะสมประมาณ 6 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต ถนนลาดหญ้า ถนนเยาวราช หาดใหญ่ นครราชสีมา และขอนแก่น
ดังนั้น เพื่อให้การพิจารณาโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คล่องตัว และทันต่อระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จึงเห็นควรกำหนดขอบเขตในการพิจารณาให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการปิดถนนฯ โดยให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองและอนุมัติวงเงินตามแผนรายละเอียด ระยะเวลา การดำเนินงานและงบประมาณของโครงการปิดถนนฯ ที่ภูมิภาคต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยให้สอดคล้องกับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานเป็นหลัก ทั้งนี้ กำหนดกรอบการอนุมัติงบประมาณการดำเนินการโครงการฯ ในแผนระยะแรก ในวงเงินแห่งละประมาณ 15 ล้านบาท และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติในหลักการให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แก่ภูมิภาคต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปิดถนนฯ ในภูมิภาคนั้นๆ ในวงเงินแห่งละไม่เกิน 10 ล้านบาท โดยให้คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ และส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นผู้พิจารณา และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้เห็นชอบแผนงานอนุรักษ์พลังงานและแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการประชาสัมพันธ์ระหว่างปี 2543-2547 ในส่วนที่กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ. ) รับผิดชอบตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เสนอ รวมเป็นเงิน 452.5 ล้านบาท (90.5 ล้านบาทต่อปี) โดยในทางปฏิบัติ พพ. จะต้องจัดทำแผนปฏิบัติการฯ และค่าใช้จ่ายในโครงการดังกล่าวแต่ละปีเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาก่อนดำเนินการ
พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวของโรงงาน/อาคารควบคุม โดยแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ของ พพ. ปีงบประมาณ 2545 ได้กำหนดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเน้นให้มีความสอดคล้องและสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ กลุ่มเป้าหมายที่วางไว้ โดยแบ่งกิจกรรมดังกล่าวออกเป็น 5 หมวด
(1) หมวดการประชาสัมพันธ์หลักผ่านสื่อมวลชน: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง 4 กิจกรรม คือ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ สิ่งพิมพ์และจัดซื้อเนื้อที่ และสื่ออื่นๆ
(2) หมวดการประชาสัมพันธ์สนับสนุนผ่านสื่อมวลชน: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนสื่อมวลชน 6 กิจกรรม คือ แถลงข่าวเปิดตัว พพ. และโครงการ สัมภาษณ์ผู้บริหารขึ้นปกนิตยสาร รายงานพิเศษผ่านสื่อ นสพ. และนิตยสาร ข่าวและภาพประชาสัมพันธ์ สื่อมวลชนสัญจร และประกวดคำขวัญอนุรักษ์พลังงาน
(3) หมวดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่อเนื่อง: ประกอบด้วยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่อเนื่อง 3 กิจกรรม คือ สารคดีสั้นทางโทรทัศน์ สารคดีสั้นทางวิทยุ และการพัฒนาข้อมูล ข่าวสารด้านการประชาสัมพันธ์ในสื่ออินเตอร์เนต
(4) หมวดกิจกรรมกระตุ้นตรงต่อกลุ่มเป้าหมาย: ประกอบด้วยกิจกรรม 7 กิจกรรม คือ ทีมเผยแพร่ การพัฒนาศูนย์ข้อมูลและสายด่วน พพ. วารสารพลังงาน จัดนิทรรศการในงานแสดงสินค้า สัปดาห์อนุรักษ์พลังงาน คู่มือและชุดความรู้ นิทรรศการและสัมมนากลุ่มโรงงาน
(5) หมวดงานยุทธ์ศาสตร์: ประกอบด้วย กิจกรรมการประเมินผลและวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคการเข้าร่วมโครงการอนุรักษ์พลังงาน กิจกรรมประเมินผลแผนประชาสัมพันธ์ และที่ปรึกษาด้านแผนการประชาสัมพันธ์
โดยมีวงเงินงบประมาณดำเนินการตามแผนปฏิบัติการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2545 รวมทั้งสิ้น 175 ล้านบาท (หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าล้านบาท)
พพ. ได้นำแผนดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบแล้ว เห็นชอบในแผนปฏิบัติการฯ และวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวตามที่ พพ. เสนอ ทั้งนี้ ให้ พพ. จัดทำขอบเขตและเงื่อนไขในการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์ตามแผนปฏิบัติการฯ ให้มีรายละเอียดที่ชี้ให้เห็นถึงผลที่คาดว่าจะได้รับ ตลอดจนวิธีการวัดผลจากการดำเนินงาน ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ ที่ได้ให้ไว้ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป ซึ่ง พพ. ได้ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
ให้ พพ. ร่วมหารือกับ สพช. และนายพรายพล คุ้มทรัพย์ เพื่อกำหนดกรอบ และวิธีการที่ พพ. จะต้องดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนว่า กิจกรรมและกลุ่มเป้าหมายที่จะทำการประชาสัมพันธ์ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับที่ สพช. ได้ดำเนินการอยู่ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง