มติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 17/2561 (ครั้งที่ 64)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.00 น.
1.สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
2.รายงานความเคลื่อนไหวราคาก๊าซ LPG ในรอบเดือนกรกฎาคม 2561
4.รายงานสถานการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ (Peak Demand)
6.แนวทางการดำเนินการกับกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญา
7.การปรับปรุงกลไกราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
ผู้มาประชุม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
(นายศิริ จิระพงษ์พันธ์)
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
(นายทวารัฐ สูตะบุตร)
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานและแนวโน้มราคาพลังงานในตลาดโลก
สรุปสาระสำคัญ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานสถานการณ์ราคาพลังงานตลาดโลก ดังนี้ (1) ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 ปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสมีทิศทางปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยมีปัจจัยจากการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปคและนอกกลุ่มโอเปค รวมทั้งการผลิตน้ำมันดิบ ของประเทศลิเบียซึ่งเพิ่มขึ้นหลังจากที่ท่าเรือส่งออกน้ำมันดิบกลับมาเปิดได้ตามปกติ และการผลิตน้ำมันดิบ ของสหรัฐอเมริกาที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดี มีปัจจัยที่ต้องติดตามจากสถานการณ์สงครามทางการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น (2) ราคาก๊าซ LPG เดือนสิงหาคม 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยจากความกังวลของตลาดต่อสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และการเริ่มสำรอง LPG สำหรับใช้ในช่วงฤดูหนาว (3) ราคาก๊าซ LNG ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 ราคา Asian Spot มีแนวโน้มปรับตัวลดลง จากความต้องการใช้ที่ลดลงในช่วงฤดูร้อน ในขณะที่อุปทานจากประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และรัสเซีย ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบที่ลดลงมาอยู่ระดับต่ำกว่า 70 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลกดดันต่อราคา Asian Spot และ (4) ราคาถ่านหินในช่วงเดือนกรกฎาคม 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยจากปริมาณการส่งออกถ่านหินของรัสเซีย และอินโดนีเซียที่ลดลง ทั้งนี้จีนมีนโยบายควบคุมมลพิษทางอากาศในพื้นที่สำคัญ ซึ่งอาจส่งผลให้ปริมาณการใช้ถ่านหินถูกจำกัด
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความเคลื่อนไหวราคาก๊าซ LPG ในรอบเดือนกรกฎาคม 2561
สรุปสาระสำคัญ
1.ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 5 สิงหาคม 2561 มีฐานะสุทธิ 28,240 ล้านบาท แยกเป็นบัญชีน้ำมัน 29,420 ล้านบาท บัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 1,180 ล้านบาท โดยในส่วนการผลิตและจัดหา (กองทุนน้ำมันฯ#1) มีรายรับ 1,281 ล้านบาทต่อเดือน และในส่วนการจำหน่ายภาคเชื้อเพลิง (กองทุนน้ำมันฯ #2) มีรายจ่าย ติดลบ 1,998 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่าย ติดลบ 717 ล้านบาทต่อเดือน
2.สถานการณ์ราคาก๊าซ LPG สรุปได้ดังนี้ (1) ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนสิงหาคม 2561 อยู่ที่ 587.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 25.00 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน (2) ราคาก๊าซ LPG นำเข้า (LPG Cargo + X) เฉลี่ยเดือนกรกฎาคม 2561 อยู่ที่ 20.4459 บาทต่อกิโลกรัม ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.2776 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาก๊าซ LPG Cargo เดือนกรกฎาคม 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 570.82 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 28.27 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ค่าใช้จ่ายนำเข้า (X) เฉลี่ยอยู่ที่ 55.2688 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 7.5499 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยน เฉลี่ยอยู่ที่ 32.6354 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.8048 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ
3.คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกก๊าซ LPG โดยการชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ #2 ให้ราคาจำหน่ายปลีกก๊าซ LPG บรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ขนาด 15 กิโลกรัม อยู่ที่ 363 บาท เพื่อลดผลกระทบของผู้บริโภคจากสถานการณ์ราคาก๊าซ LPG ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในเดือนกรกฎาคม 2561 กองทุนน้ำมันฯ #2 ชดเชยราคาขายปลีกอยู่ในช่วง 1.2461 ถึง 1.6856 บาทต่อกิโลกรัม
4.สถานการณ์การผลิต การจัดหา การใช้ และการส่งออกก๊าซ LPG เดือนกรกฎาคม 2561 สรุปได้ดังนี้ (1) การผลิตภายในประเทศ คาดว่าอยู่ที่ระดับประมาณ 547,868 ตัน ด้านความต้องการใช้คาดว่าอยู่ที่ระดับประมาณ 521,277 ตัน โดยความต้องการใช้ลดลงเนื่องจากความต้องการใช้ในภาคปิโตรเคมีที่ลดลงจากการ ปิดซ่อมบำรุงในเดือนกรกฎาคม 2561 (2) การนำเข้าเพื่อจำหน่ายในประเทศ คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 44,000 ตัน (3) การส่งออกจากปริมาณการผลิตภายในประเทศ คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 42,050 ตัน (ไม่รวม re-export)
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1.กระทรวงพลังงานได้จัดทำโครงการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชนจากค่าบริการขนส่งและค่าโดยสารรถสาธารณะ รวมทั้งเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบล้นตลาด และสร้างเสถียรภาพปาล์มน้ำมัน โดยเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2561 ปัจจุบันมีผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ได้รับความเห็นชอบให้จำหน่ายน้ำมันดีเซลที่ไม่เป็นไปตามที่กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ประกาศกำหนด จำนวน 5 ราย ได้แก่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท ซัสโก้ ดีลเลอร์ส จำกัด และ บริษัท พี.ซี.สยามปิโตรเลียม จำกัด รวมปริมาณที่เห็นชอบให้จำหน่าย 5.383 ล้านลิตรต่อเดือน
2.ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี20 ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม – 6 สิงหาคม 2561 รวมทั้งสิ้น 1.311 ล้านลิตร เงินชดเชย 4.148 ล้านบาท โดยเดือนกรกฎาคม 2561 ปริมาณการจำหน่าย 0.917 ล้านลิตร เงินชดเชย 2.927 ล้านบาท และเดือนสิงหาคม 2561 ปริมาณการจำหน่าย 0.394 ล้านลิตร เงินชดเชย 1.221 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานสถานการณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ (Peak Demand)
สรุปสาระสำคัญ
1.ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เกิดขึ้นจริงในระบบไฟฟ้าซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของ กฟผ. โดยในปี 2561 เกิดขึ้น ณ วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 เวลา 20.30 น. อยู่ที่ระดับ 28,338 เมกะวัตต์ มีค่าต่ำกว่า Peak ของปีก่อน ซึ่งเกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 เวลา 14.20 น. อยู่ 240 เมกะวัตต์ (MW) หรือลดลงร้อยละ 0.8
2.ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้า เป็นความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เกิดขึ้นจริงในระบบ กฟผ. รวมกับข้อมูลในช่วงเวลาเดียวกัน (Coincident) จากการประเมินพลังไฟฟ้าสูงสุดของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ซึ่งดำเนินการโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในปี 2561 เกิดขึ้น ณ วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 เวลา 13.51 น. อยู่ที่ระดับ 29,968 เมกะวัตต์ โดยหากเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งเกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 เวลา 14.20 น. พบว่ายังมีค่าต่ำกว่าอยู่ 335 เมกะวัตต์ หรือลดลงร้อยละ 1.1
3.ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ เป็นความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดที่เกิดขึ้นจริงในระบบ กฟผ. รวมกับข้อมูลในช่วงเวลาเดียวกันจากการประเมินพลังไฟฟ้าสูงสุดของ VSPP และผู้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง/ขายตรง หรือ IPS (Independent Power Supply ในที่นี้หมายถึงทั้งผู้ผลิตเอกชน และ SPP ที่ขายตรง) ซึ่งความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดของประเทศดำเนินการคำนวณโดยสำนักงาน กกพ. ในปี 2561 เกิดขึ้น ณ วันอังคารที่ 24 เมษายน 2561 เวลา 13.51 น. อยู่ที่ระดับ 34,317 เมกะวัตต์ มีค่าสูงกว่า Peak ของปีก่อน ซึ่งเกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม 2560 เวลา 14.20 น. อยู่ 216 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1.รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558 – 2579 (PDP 2015) ไตรมาสที่ 2 ปี 2561 มีประเด็นสำคัญดังนี้ ประเด็นที่ 1 PDP1 การติดตามแผนการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ มีความคืบหน้าดังนี้ (1) สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า (Fuel Mix) ช่วง 4 เดือนแรกของปี 2561 พบว่าการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นสัดส่วนหลักอยู่ที่ร้อยละ 57 ต่ำกว่าแผน PDP 2015 เล็กน้อย ทั้งนี้ สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนอยู่ที่ร้อยละ 9 ต่ำกว่าแผน PDP ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 12 ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้า และซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ (พลังน้ำและลิกไนต์ จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว) มีสัดส่วนที่สูงกว่าแผน PDP2015 (2) ปริมาณการผลิตไฟฟ้าในระบบ 3 การไฟฟ้า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2561 มีค่าต่ำกว่าแผน PDP2015 ทุกเดือน ส่วนหนึ่งเกิดจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในช่วงต้นปี ประกอบกับมีฝนตกนอกฤดูกาล ส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าไม่สูงมากนัก โดยปริมาณการผลิตไฟฟ้าจริงต่ำกว่าแผน PDP2015 อยู่ 4,959 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) หรือคิดเป็นร้อยละ 7.1 ของแผน ประเด็นที่ 2 PDP2 การติดตามการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน โครงการน้ำเทิน 1 มีความคืบหน้าในการดำเนินงานช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ร้อยละ 10.95 ซึ่งอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ในขณะที่โครงการเซเปียน - เซน้ำน้อย และโครงการไซยะบุรี มีความคืบหน้าเร็วกว่าแผนที่กำหนดร้อยละ 1.33 และร้อยละ 0.34 ตามลำดับ และโครงการน้ำเงี้ยบ 1 มีความคืบหน้าช้ากว่าแผนที่กำหนดร้อยละ 1.7
2.รายงานความก้าวหน้าการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ และการจัด Open Forum ดังนี้ (1) ความก้าวหน้าการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ ซึ่งมีแนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ จัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า (Load Forecast) ของประเทศและรายภูมิภาคในระยะยาวใหม่ บริหารจัดการกิจการด้านพลังงานไฟฟ้าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการใหม่ตามแนวทางประชารัฐ ภายใต้ความร่วมมือกันของ กฟภ. กฟผ. และเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยจัดทำแผนเป็นรายภูมิภาคและจัดทำแผนระบบไฟฟ้าสำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเมินกำลังผลิตไฟฟ้าของทั้งประเทศและรายภูมิภาค เพื่อจัดสรรโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมจากโรงไฟฟ้าที่มีข้อผูกพันแล้ว โดยคาดว่าจะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาแผน PDP ฉบับใหม่ ภายในเดือนกันยายน 2561 ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงพลังงาน โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ร่วมกับ กฟผ. อยู่ระหว่างกำหนดสมมติฐานและเงื่อนไขในการจัดสรรโรงไฟฟ้าใหม่เป็นรายภาค โดยพิจารณาแหล่งผลิตไฟฟ้าให้มีความเหมาะสมกับศักยภาพเชื้อเพลิงในแต่ละพื้นที่ให้สามารถรองรับความต้องการไฟฟ้าได้อย่างเพียงพอในพื้นที่ โดยมีหลักการสำคัญในการพิจารณา ได้แก่ กำลังผลิตไฟฟ้าในพื้นที่รายภาคจะต้องสมดุลกับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ ทั้งนี้ แต่ละภูมิภาคจะต้องมีโรงไฟฟ้าเพื่อความมั่นคงในพื้นที่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงการเปิดโอกาสให้เกิดการแข่งขันการผลิตไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่ (2) การจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนประเด็น (Open Forum) เพื่อรับทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดทำแผน PDP ฉบับใหม่ จำนวน 10 ครั้ง แยกตามกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ บุคลากร ในสังกัดกระทรวงพลังงาน และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หน่วยงานการไฟฟ้าทั้ง 3 การไฟฟ้า พลังงานจังหวัด ภาคประชาสังคม องค์กรพัฒนาเอกชน สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ชมรมวิทยาการพลังงาน คณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารคลัสเตอร์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ มีข้อเสนอแนะจาก Open Forum ในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ข้อเสนอต่อแนวทางและหลักการจัดทำแผน ข้อเสนอต่อประเด็นเนื้อหาของแผน PDP ฉบับใหม่ ข้อเสนอต่อแนวทางประเด็นด้านความมั่นคง ข้อเสนอต่อประเด็นทางด้านเศรษฐกิจ ข้อเสนอต่อประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึง ข้อห่วงใยต่างๆ ในการจัดทำแผน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1.เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 กพช. มีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560 – 2568 ดังนี้ (1) เห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560 - 2568 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ (2) มอบหมายให้ กบง. รับหลักการและแนวทางที่ กพช. ให้ความเห็นชอบ ไปพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติต่อไป
2.เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 กพช. ได้พิจารณาแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญา โดยมีมติดังนี้ (1) เห็นชอบแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560 - 2568 ตามที่ กบง. เสนอ (2) มอบหมายให้ กกพ. พิจารณาดำเนินการ 4 ประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่ 1 พิจารณาดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560 – 2568 ตามแนวทางการดำเนินการที่ กพช. เห็นชอบ ประเด็นที่ 2 พิจารณาปรับปรุงรูปแบบสัญญา Firm ของ SPP ระบบ Cogeneration ในกลุ่มที่ 2 (ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2562 – 2568) ให้สามารถลดปริมาณการขายไฟฟ้าเข้าระบบได้ รวมถึงพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การขอลดปริมาณการขายไฟฟ้าเข้าระบบล่วงหน้า ประเด็นที่ 3 พิจารณาทบทวนการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ IPP และ SPP ให้มีความเหมาะสม ประเด็นที่ 4 พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำรองให้มีความเหมาะสม (3) มอบหมายให้ สนพ. ดำเนินการศึกษา SPP-Power Pool โดยให้ กฟผ. และ/หรือการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายสามารถรับซื้อไฟฟ้า ใน SPP-Power Pool ได้ เพื่อเสนอ กบง. และ กพช. ต่อไป
3.เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2560 กบง. ได้พิจารณาแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญาทั้ง 25 ราย โดยมีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาและข้อเสนอการดำเนินการเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไปดังนี้ (1) เห็นชอบให้ปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของกลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา) จากเดิมตั้งแต่ปี 2560 - 2561 เป็น 2559 – 2561 (2) เห็นชอบราคารับซื้อไฟฟ้ากรณี SPP ระบบ Cogeneration ที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง (3) มอบหมาย กกพ. สามารถพิจารณาปรับปรุงแนวทางการดำเนินการได้ในกรณีมีปัญหาในทางปฏิบัติ ยกเว้นเฉพาะเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องนำเสนอ กพช. ทั้งนี้ รายชื่อ SPP ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญาจำนวน 25 ราย มีดังนี้ (1) บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) โครงการ 1 (2) บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) โครงการ 2 (3) บริษัท ทีพีที ปิโตรเคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (4) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (5) กรมการพลังงานทหาร (6) บริษัท กัลฟ์ โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (7) บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 1 จำกัด (8) บริษัท บางกอก โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (9) บริษัท สมุทรปราการ โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (10) บริษัท โกลว์ เอสพีพี 1 จำกัด โครงการ 1 (11) บริษัท โกลว์ เอสพีพี 1 จำกัด โครงการ 2 (12) บริษัท หนองแค โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (13) บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ (แหลมฉบัง) จำกัด (14) บริษัท อมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 2 จำกัด (15) บริษัท ไทยออยล์ เพาเวอร์ จำกัด (16) บริษัท เอ็กโก โคเจนเนอเรชั่น จำกัด (17) บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) โครงการ 1 (18) บริษัท โกลว์ เอสพีพี 2 จำกัด โครงการ 1 (19) บริษัท สหโคเจน (ชลบุรี) จำกัด (มหาชน) (20) บริษัท โกลว์ เอสพีพี 2 จำกัด โครงการ 2 (21) บริษัท โรจนะเพาเวอร์ จำกัด โครงการ 1 (22) บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) โครงการ 2 (23) บริษัท โกลว์ เอสพีพี 3 จำกัด โครงการ 1 (24) บริษัท โกลว์ เอสพีพี 3 จำกัด โครงการ 2 (25) บริษัท โกลว์ เอสพีพี 11 จำกัด โครงการ 1
4.เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 กบง. ได้พิจารณาข้อหารือแนวทางดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration และได้มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบให้ปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของ SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา) จากเดิมสิ้นสุดสัญญาภายในปี 2560 – 2561 เป็นภายในปี 2559 – 2561 (2) มอบหมายให้ กกพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวนหลักการพร้อมทั้งเสนอราคาและแนวทางที่เหมาะสมในการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่ 2 (ก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่) ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2562 – 2568 ทั้งเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน และนำเสนอ กบง. ก่อนเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
5.เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (รมว.พน.) เสนอแนวทางสนับสนุนการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่สิ้นสุดอายุสัญญา ดังนี้ (1) ขอให้รับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ทั้ง 25 ราย ทุกประเภทเชื้อเพลิง ในระยะเวลาสัญญาไม่เกิน 10 ปี เนื่องจากลูกค้าอุตสาหกรรมยังมีความต้องการซื้อไฟฟ้าและไอน้ำหรือน้ำเย็น ซึ่งจะไม่เป็นภาระต่อการไฟฟ้าที่ต้องผูกพันสัญญาระยะยาวเช่นในปัจจุบัน (2) อัตรารับซื้อไฟฟ้า เห็นควรให้ใช้อัตรารับซื้อ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเดิมซึ่งรวมค่าบำรุงรักษา (O&M) และค่ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าแล้ว โดยใช้ราคาก๊าซธรรมชาติเป็นราคาอ้างอิงทั้ง 25 ราย แต่ไม่ได้รับเงินค่าพลังไฟฟ้า (CP) ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าถูกลง (3) ปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อ ควรกำหนดไม่เกิน 90 เมกะวัตต์ และต้องไม่เกินปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาเดิม ทั้งนี้ ขอให้ SPP สามารถขอลดปริมาณพลังไฟฟ้ารับซื้อได้โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยลดลงครั้งละไม่ต่ำกว่า 5 เมกะวัตต์ (4) ขอให้ กฟผ. พิจารณารับซื้อไฟฟ้าที่แผนการเดินเครื่องร้อยละ 100 ตลอดเวลา และกำหนดให้ SPP จะต้องจ่ายปริมาณ พลังไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 และไม่เกินร้อยละ 105 ของปริมาณไฟฟ้าตามสัญญา (6) ขอให้ผ่อนปรนเงื่อนไขข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ไอน้ำรายปี โดยให้ SPP แสดงหลักฐานการใช้ประโยชน์ไอน้ำหรือน้ำเย็นของผู้ใช้ประโยชน์ไอน้ำหรือน้ำเย็นดังกล่าวก็ถือว่าเพียงพอ
6.เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2561 กกพ. ได้มีหนังสือถึง รมว.พน. แจ้งว่าได้พิจารณาข้อเสนอของสมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแล้ว มีแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ดังนี้ (1) เห็นควรพิจารณารับซื้อปริมาณพลังไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2562 – 2568 ทั้ง 25 ราย ในระยะเวลาสัญญาไม่เกิน 10 ปี (2) เห็นควรรับซื้อไฟฟ้าด้วยอัตรารับซื้อไฟฟ้าซึ่งรวมค่าบำรุงรักษา และค่ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าแล้ว แต่ไม่ได้รับค่าพลังไฟฟ้า โดยให้ใช้ราคาก๊าซธรรมชาติ ราคาถ่านหิน และราคาน้ำมันเตาเป็นราคาอ้างอิงสำหรับ SPP ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง ตามลำดับ สำหรับกรณีที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ เห็นควรกำหนดอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) ที่ 8,282 บีทียูต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (BTU/kWh) (3) ปริมาณพลังไฟฟ้ารวมไม่เกิน 750 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ให้ SPP แต่ละรายสามารถเสนอปริมาณพลังไฟฟ้าตามที่ต้องการ แต่ไม่เกิน 90 เมกะวัตต์ และไม่เกินสัญญาเดิม อีกทั้งสามารถลดปริมาณพลังไฟฟ้าตามสัญญาได้ แต่ไม่สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ (4) เห็นควรให้ กฟผ. พิจารณารับซื้อไฟฟ้า 2 กรณี ได้แก่ กรณีต่ออายุสัญญาด้วยปริมาณพลังไฟฟ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 30 เมกะวัตต์ ให้ กฟผ.พิจารณารับซื้อไฟฟ้าที่แผนการเดินเครื่องร้อยละ 100 ตลอดเวลา กรณีต่ออายุสัญญาด้วยปริมาณพลังไฟฟ้ามากกว่า 30 เมกะวัตต์ ให้ กฟผ.พิจารณารับซื้อไฟฟ้าที่แผนการเดินเครื่องร้อยละ 100 ในช่วงเวลา Peak และร้อยละ 65 Off-Peak
7.เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 กระทรวงพลังงาน สนพ. และ สำนักงาน กกพ. ได้ประชุมหารือร่วมกัน โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2559 – 2568 ทั้ง 25 ราย ตามข้อเสนอ กกพ. เรื่องการต่ออายุสัญญาในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี แล้วเห็นควรดำเนินการตามหลักการของ มติ กพช. เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 เพื่อให้การส่งเสริม SPP ระบบ Cogeneration เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนี้ ประเด็นที่ 1 หลักการพิจารณาดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2559-2568 (1) ควรกำหนดให้โรงไฟฟ้า SPP ระบบ Cogeneration มีพื้นที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม หรือกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่ที่มีการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำหรือน้ำเย็นปริมาณมากเท่านั้น (2) ควรกำหนดปริมาณการขายไฟฟ้าเข้าระบบไม่ให้มากเกินความจำเป็น โดยควรมีการปรับรูปแบบสัญญา SPP ระบบ Cogeneration ที่มีการกำหนดปริมาณการขายไฟฟ้าลงให้น้อยที่สุด และให้สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม (3) ควรมีระเบียบที่รัดกุมสามารถกำกับดูแลโรงไฟฟ้า SPP ระบบ Cogeneration ให้ผลิตไฟฟ้าและไอน้ำเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration โดยมีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงปฐมภูมิสูงกว่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งมีการก่อสร้างใหม่และมีการผลิตไฟฟ้าอย่างเดียว ประเด็นที่ 2 กำหนดราคารับซื้อไฟฟ้า กรณี SPP ระบบ Cogeneration 25 โรง ที่จะสิ้นสุดสัญญาในปี 2559 - 2568 เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (อ้างอิงราคาและปริมาณรับซื้อตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559) ดังนี้ ระยะเวลาสัญญาไม่เกิน 10 ปี ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าไม่เกิน 60 เมกะวัตต์ และไม่เกินกว่าปริมาณขายไฟฟ้าตามสัญญาเดิม ราคารับซื้อไฟฟ้า 2.3753 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (ณ ราคาก๊าซ 263 บาทต่อล้านบีทียู) โดยมีเงื่อนไขอัตราการใช้ความร้อน 8,282 บีทียูต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ค่าบำรุงรักษา 0.1871 บาท ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และกองทุนพัฒนาไฟฟ้า 0.0100 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง
8.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอประเด็นเพื่อพิจารณาต่อที่ประชุมดังนี้ (1) ขอความเห็นชอบการยืนยันมติ กบง. เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 เรื่องการปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของ SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา) ครอบคลุม SPP ระบบ Cogeneration จำนวน 4 โรง ตามเจตนารมณ์ของมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 (ซึ่งหมายรวมถึงโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะหมดอายุในปี 2559 – 2561) และให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป (2) ขอความเห็นชอบแนวทางการต่ออายุสัญญา SPP ระบบ Cogeneration จำนวน 25 โรง ตามแนวทาง ดังนี้ (2.1) มติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ซึ่งสอดคล้องกับมติ กพช. เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2558 หรือ (2.2) ข้อเสนอของ กกพ. หรือ (2.3) ตามการประชุมหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงพลังงาน สนพ. และสำนักงาน กกพ. เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 และมอบหมายให้ กกพ. ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการยืนยันมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 เรื่องการปรับปรุงช่วงเวลาการสิ้นสุดอายุสัญญาของ SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่ 1 (ต่ออายุสัญญา) ครอบคลุม SPP ระบบ Cogeneration จำนวน 4 โรง ตามเจตนารมณ์ของมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 (ซึ่งหมายรวมถึงโรงไฟฟ้าที่คาดว่าจะหมดอายุในปี 2559 – 2561) และให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบแนวทางการต่ออายุสัญญา SPP ระบบ Cogeneration จำนวน 25 โรง ปริมาณรับซื้อไฟฟ้ารวมไม่เกิน 704 เมกะวัตต์ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นโรงไฟฟ้าที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม หรือสวนอุตสาหกรรมเท่านั้น แยกตามประเภทเชื้อเพลิง ดังนี้
(1) เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ แบ่งเป็น 2 แนวทาง คือ แนวทางที่ 1 กำหนดราคารับซื้อไฟฟ้าและเงื่อนไขเดิมตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2559 ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ในพื้นที่เดิมหรือพื้นที่ใกล้เคียงนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม ระยะเวลาสัญญารับซื้อไฟฟ้า 25 ปี หรือแนวทางที่ 2 กำหนดระยะเวลาสัญญารับซื้อไฟฟ้าไม่เกิน 10 ปี นับจากวันที่ กพช. มีมติ โดยสามารถใช้โรงไฟฟ้าเดิมที่มีสัญญาซื้อขายกับการไฟฟ้า หรือสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่เดิมหรือพื้นที่ใกล้เคียงนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม ภายใต้อัตราการใช้ความร้อน 8,282 บีทียูต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง โดยได้รับ ค่าบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า (O&M) และค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง (EP1)
(2) เชื้อเพลิงถ่านหิน กำหนดระยะเวลาสัญญารับซื้อไฟฟ้าไม่เกิน 10 ปี นับจากวันที่ กพช. มีมติ โดยสามารถใช้โรงไฟฟ้าเดิมที่มีสัญญาซื้อขายกับการไฟฟ้า หรือสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่เดิมหรือพื้นที่ใกล้เคียงนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม ภายใต้อัตราการใช้ความร้อน 8,600 บีทียูต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง โดยได้รับ ค่าบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า (O&M) และค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง (EP1)
(3) เชื้อเพลิงน้ำมันเตา กำหนดระยะเวลาสัญญารับซื้อไฟฟ้าไม่เกิน 10 ปี นับจากวันที่ กพช. มีมติ โดยสามารถใช้โรงไฟฟ้าเดิมที่มีสัญญาซื้อขายกับการไฟฟ้า หรือสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่เดิมหรือพื้นที่ใกล้เคียงนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม และมอบหมายให้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ร่วมกันพิจารณาอัตรารับซื้อไฟฟ้าและรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง
3.มอบหมายให้ กกพ. และ สนพ. ร่วมกันกำหนดแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ทั้ง 25 โรง ตามประเภทเชื้อเพลิง และนำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาขอความเห็นชอบ ทั้งนี้การยกเลิกสัญญาเดิมและเริ่มสัญญาใหม่ต้องดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่ กกพ. กำหนด
เรื่องที่ 7 การปรับปรุงกลไกราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1.เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2560 กพช. มีมติเห็นชอบแนวทางการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เต็มรูปแบบ โดยในส่วนของการส่งออกก๊าซ LPG จะต้องขออนุญาตต่อ ธพ. และการส่งออกก๊าซ LPG ไม่ว่าจะเป็นก๊าซ LPG ที่ผลิตในประเทศ หรือก๊าซ LPG นำเข้า จะมีการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราคงที่ (Fixed Rate) ที่ 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ยกเว้นกรณีที่ก๊าซ LPG นำเข้าได้มีการแจ้งแผน ให้ ธพ. ทราบล่วงหน้าว่าเป็นการนำเข้าก๊าซ LPG เพื่อการส่งออก (Re-export) และเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2560 กบง. มีมติเห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับกรณีการส่งออกก๊าซ LPG ที่ผลิตในประเทศ หรือก๊าซ LPG นำเข้า ในอัตราคงที่ จาก 20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน เป็น 0.70 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมา กบง. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับกลไกราคาก๊าซ LPG โดย (1) ลดกรอบราคาสำหรับกำกับการแข่งขันในกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติ จาก 0.67 บาทต่อกิโลกรัม (20 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) เป็น 0.03 บาทต่อกิโลกรัม (1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน) (2) ขอความร่วมมือ ปตท. งดส่งออกก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ในเชิงพาณิชย์ ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นด้านเทคนิค และให้รายงานการส่งออกต่อ ธพ. ทุกสัปดาห์ ทั้งนี้ กบง. เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2561 รับทราบแนวทางการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กรณีการส่งออกก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซฯ จากอัตราคงที่ที่ 0.70 บาทต่อกิโลกรัม เป็นเท่ากับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ (กองทุนฯ #1) โดยอยู่ระหว่างรอการนำเสนอ กพช. ให้ความเห็นชอบ
2.สถานการณ์การส่งออกก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซฯ หลังจาก กบง. เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 มีมติขอความร่วมมือ ปตท. งดส่งออกก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ในเชิงพาณิชย์ ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นด้านเทคนิค พบว่าปริมาณการส่งออกก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซฯ ปตท. ในเดือนกรกฎาคม 2561 ยังอยู่ในระดับสูงที่ 40,025 ตัน เนื่องจากเป็นปริมาณที่มีการตกลงกับลูกค้าต่างประเทศแล้ว รวมถึงเป็นช่วงที่โรงปิโตรเคมีปิดซ่อมบำรุง ก่อนที่จะมีแนวโน้มการส่งออกลดลงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 โดยตามแผนการส่งออกก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซฯ รอบ 6 เดือนล่วงหน้า ระบุปริมาณการส่งออกในเดือนสิงหาคม 2561 ที่ระดับ 14,200 ตัน และลดลงมาอยู่ที่ระดับ 12,200 ตัน ในเดือนมกราคม 2562 โดยปริมาณการส่งออกก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซฯ ปตท. ระหว่างวันที่ 1 - 5 สิงหาคม 2561 อยู่ที่ระดับ 2,441 ตัน ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แสดงโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ช่วงระหว่างวันที่ 1 – 14 สิงหาคม 2561 เปรียบเทียบการจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ กรณีการส่งออกก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซฯ ในอัตราปัจจุบันที่ 0.70 บาทต่อกิโลกรัม เป็นจัดเก็บในอัตราเท่ากับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ (กองทุนฯ #1) ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ สุทธิมีรายรับเพิ่มขึ้น 0.2552 บาทต่อกิโลกรัม หรือประมาณ 84 ล้านบาทต่อเดือน ส่งผลให้สภาพคล่องกองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงจากติดลบ 717 ล้านบาทต่อเดือน เหลือติดลบ 633 ล้านบาทต่อเดือน
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรายงานการขอส่งออกก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อทราบ ก่อนการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการส่งออก