มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2558 (ครั้งที่ 7)
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 11.00 น.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในข้อ 6.9 ปฏิรูปโครงสร้างราคาเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ ให้สอดคล้องกับต้นทุนและให้มี ภาระภาษีที่เหมาะสมระหว่างน้ำมันต่างชนิดและผู้ใช้ต่างประเภท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ของประเทศและให้ผู้บริโภคระมัดระวังที่จะไม่ใช้อย่างฟุ่มเฟือย
2. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีมติให้ปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV โดยมีเป้าหมายให้ราคาขายปลีกเป็นไปตามกลไกตลาด ดังนี้ (1) ราคาก๊าซ NGV สำหรับรถส่วนบุคคล จากเดิม 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ปรับขึ้น 1 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 และ (2) ให้คงราคาก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม
3. กบง. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2557 มีมติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ดังนี้ (1) ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 10.50 บาท ต่อกิโลกรัม มาอยู่ที่ 11.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 (2) ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม และ (3) ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ขยายสถานีบริการและร่วมลงทุนขยายท่อส่งก๊าซ เพื่อให้การบริการทั่วถึงทุกภูมิภาค และต่อมาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 ได้มติเห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV อีกครั้ง ดังนี้ (1) สำหรับรถยนต์ ส่วนบุคคล เพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 11.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นอยู่ที่ 12.50 บาทต่อกิโลกรัม และ (2) ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะเพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นอยู่ที่ 9.50 บาทต่อกิโลกรัม
4. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับลดลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2557 ส่งผลให้ราคา ก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มที่จะลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้ สนพ. คาดว่าราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยในปี 2558 จะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 – 50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จึงได้ประมาณการราคาก๊าซ NGV รายเดือนสำหรับปี 2558 แบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้ (1) กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 2558 อยู่ที่ 40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เฉลี่ยปี 2558 อยู่ที่ 14.56 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วย ราคาเฉลี่ยของต้นทุนราคาก๊าซฯ และค่าใช้จ่ายดำเนินการอยู่ที่ 9.87 และ 3.74 บาทต่อกิโลกรัม และค่าภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7 และ (2) กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปี 2558 อยู่ที่ 50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เฉลี่ย ปี 2558 อยู่ที่ 14.87 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งประกอบด้วย ราคาเฉลี่ยของต้นทุนราคาก๊าซฯ และค่าใช้จ่ายดำเนินการอยู่ที่ 10.16 และ 3.74 บาทต่อกิโลกรัม และค่าภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 7
5. เนื่องจากราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายอยู่ในปัจจุบันยังคงต่ำกว่าต้นทุนของก๊าซ NGV จึงเห็นควรให้มีการทยอยปรับราคาเพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนก๊าซ NGV มากขึ้น โดยปรับราคาขายปลีก ก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัมจากเดิม 12.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558 และปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะขึ้น 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 9.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ส่วนบุคคลขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 12.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 13.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558 และปรับราคา ขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะขึ้นในอัตรา 0.50 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 9.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 10.00 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลได้มีนโยบายในการส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลิตไฟฟ้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบกากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบผลิตพลังงานร่วม (Cogeneration) ซึ่งการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP จะเป็นการเพิ่มความมั่นคงในการจัดหาไฟฟ้าของประเทศ และเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนของภาครัฐในระบบผลิตและระบบจำหน่าย ดังนั้นจึงได้มีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
2. จากการดำเนินการตามนโยบายการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ระบบ Cogeneration ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้ผลิตไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ด้วยสัญญา Firm ระบบ Cogeneration จำนวนทั้งสิ้น 82 โครงการ คิดเป็นปริมาณไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญา (Contracted Capacity) รวมทั้งสิ้น 6,901 เมกะวัตต์ และพบว่ามีอุปสรรคและปัญหาจากการดำเนินการ ดังนื้ (1) SPP ระบบ Cogeneration กลุ่มที่รับซื้อในรอบก่อนปี 2550 จำนวนทั้งสิ้น 25 โครงการ ปริมาณเสนอขายตามสัญญา 1,787 เมกะวัตต์ กำลังจะเริ่มทยอยสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560-2568 จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนกับ SPP กลุ่มดังกล่าว (2) พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีความจำเป็นต้องการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำอย่างต่อเนื่อง หากสัญญา SPP ระบบ Cogeneration ดังกล่าว สิ้นสุดอายุลงอาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนของประเทศได้ ดังนั้น กระทรวงพลังงาน จึงเสนอแนวทางในการส่งเสริม SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาให้สามารถดำเนินการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานในภาคอุตสาหกรรมต่อไป
3. หลักการพิจารณาดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560-2568 ควรพิจารณาดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560-2568 ดังนี้ (1) โรงไฟฟ้าที่เป็นเทคโนโลยีเก่าและมีประสิทธิภาพต่ำควรเจรจาปรับปรุงอัตรารับซื้อไฟฟ้าใหม่ เนื่องจากผู้ประกอบการได้รับผลตอบแทนในส่วนของการลงทุนคืนแล้วทั้งหมด ดังนั้น ราคารับซื้อไฟฟ้าควรสะท้อนต้นทุนที่จากการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าเท่านั้น (2) ในกรณีที่มีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ควรส่งเสริมให้เกิดการผลิตไฟฟ้ารูปแบบกระจายศูนย์ (Distributed Generation) เพื่อลดความสูญเสียการส่งพลังงานไฟฟ้าในระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อให้การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วย SPP ระบบ Cogeneration เกิดประโยชน์สูงสุด โดยกำหนดให้โรงไฟฟ้า ที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมีการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำหรือน้ำเย็นปริมาณมากเท่านั้น รวมทั้งกำหนดปริมาณการขายไฟฟ้าเข้าระบบไม่ให้มากเกินความจำเป็น โดยกำหนดปริมาณการขายไฟฟ้าลงให้น้อยที่สุด และให้สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าและไอน้ำของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และควรมีระเบียบที่มีความรัดกุมสามารถกำกับดูแลโรงไฟฟ้าให้ดำเนินการผลิตไฟฟ้าและ ไอน้ำเป็นไปตามวัตถุประสงค์
4. กระทรวงพลังงานขอเสนอแนวทางการดำเนินการกับ SPP ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญา ภายในปี 2560 – 2568 โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ (1) กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2560 – 2561 เห็นควรให้ได้รับการต่ออายุสัญญาเดิมออกไปอีก 3 - 5 ปี โดยรับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือ จากการขายให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบของ กฟผ. ในปริมาณที่น้อยสุด และเมื่อสิ้นสุดการขยายสัญญาแล้ว ให้ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ในลักษณะเดียวกับกลุ่มที่ 2 และ (2) กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาภายในปี 2562 – 2568 เห็นควรให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในพื้นที่เดิมหรือพื้นที่ใกล้เคียง เฉพาะโรงไฟฟ้าที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม สวนอุตสาหกรรม หรือกลุ่มโรงงานขนาดใหญ่ที่มีการใช้ไฟฟ้าและไอน้ำหรือน้ำเย็นปริมาณมากเท่านั้น โดยโรงไฟฟ้าใหม่จะต้องมีขนาดกำลังการผลิตเหมาะสมกับปริมาณความต้องการใช้ไอน้ำของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และรับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากการขายให้กับลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบของ กฟผ. ในปริมาณที่น้อยสุด ด้วยสัญญาที่เหมาะสมและเป็นธรรม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักการและแนวทางการดำเนินการกับ SPP ประเภทสัญญา Firm ระบบ Cogeneration ที่จะสิ้นสุดอายุสัญญาในปี 2560 - 2568 ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอในข้อ 3 และ ข้อ 4 และให้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้เสนอ กพช. พิจารณามอบหมายให้ กบง. รับมาพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดเพื่อให้เกิดผลทางปฏิบัติต่อไป