ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับพลังงานไทย ตอนที่ 2
“ในหลวงรัชกาลที่ 9 กับพลังงานไทย ตอนที่ 2”
คอลัมน์ ทิศทางประเทศไทย
โดย ดร.ทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน โฆษกกระทรวงพลังงาน
หนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์
เผยแพร่ วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
คราวที่แล้วผมได้ฉายภาพอดีตให้เห็นภาพถึงพระอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ในพระราชสถานะ “พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย” โดยในช่วงต้นรัชกาลพระองค์ท่านให้ความสนพระทัยด้าน “น้ำ” และโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กมากเป็นพิเศษ ในวันนี้จะขอเล่าต่อครับ
ในช่วงกลางสมัย พ.ศ.2528 – 2543 นับเป็นความโชคดีอย่างยิ่งของประชาชนชาวไทย ที่ได้เกิดและอาศัยอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถ และพระวิสัยทัศน์ด้านพลังงานทดแทนที่ทรงเริ่มต้นศึกษาวิจัยขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ในขณะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังมีราคาไม่สูง พระองค์ท่านได้ริเริ่มทำการศึกษาวิจัยเชื้อเพลิงเอทานอลภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาแบบครบวงจร เริ่มตั้งแต่การทดลองปลูกอ้อยหลายพันธุ์ เพื่อคัดเลือกพันธุ์ที่ดีที่สุดนำมาทำแอลกอฮอล์ นอกจากอ้อยที่ผลิตได้ภายในโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาแล้ว ยังออกไปรับซื้ออ้อยจากเกษตรกรเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบอีกด้วย โรงงานในสวนจิตรฯ มีทั้งเครื่องหีบอ้อย ถังหมัก หอกลั่นขนาดเล็ก เริ่มเดินเครื่องการผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ.2529 สามารถผลิตแอลกอฮอล์ 91 เปอร์เซ็นต์ได้ในอัตรา 2.8 ลิตรต่อชั่วโมง และเมื่อปี พ.ศ.2537 ได้ขยายกำลังการผลิตเอทานอลเพื่อให้มีปริมาณเพียงพอผสมกับน้ำมันเบนซิน 91 ในอัตรา 1 : 9 ได้เป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพียงพอสำหรับการเติมให้กับรถยนต์ทุกคันของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
ส่วนในด้าน “ไบโอดีเซล” นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ตั้งแต่ราวปี พ.ศ.2526 ให้สร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มขนาดจิ๋วที่สหกรณ์นิคมอ่าวลึก จ.กระบี่ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ขนาดเล็ก กำลังผลิตวันละ 110 ลิตร ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากรพระราชดำริ จ.นราธิวาส ในปี พ.ศ.2531
ต่อมาทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้สร้างโรงงานแปรรูปน้ำมันปาล์มขนาดเล็กครบวงจร จนกระทั่งในปี พ.ศ.2543 โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาและกองงานส่วนพระองค์ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้ต่อยอดนำน้ำมันปาล์มมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จากการทดสอบพบว่า น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ สามารถใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล โดยไม่ต้องผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงอื่นๆ
จากผลความสำเร็จดังกล่าว เมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ.2544 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้องคมนตรี อำพล เสนาณรงค์ เป็นผู้แทนพระองค์ยื่นจดสิทธิบัตร “การใช้น้ำมันปาล์มกลั่นบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ดีเซล” และปีเดียวกันนั้นสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) อัญเชิญผลงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จำนวน 3 ผลงาน คือ ทฤษฏีใหม่ โครงการฝนหลวง และโครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม ไปร่วมแสดงในงานนิทรรศการสิ่งประดิษฐ์นานาชาติ “Brussels Eureka 2001” ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม โดยโครงการน้ำมันไบโอดีเซลสูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม ได้รับเหรียญทองประกาศนียบัตรสดุดีเทิดพระเกียรติคุณพร้อมถ้วยรางวัล
พระอัจฉริยภาพของพระองค์ไม่เพียงประจักษ์ในหมู่พสกนิกรชาวไทยเท่านั้น แต่ยังขจรขจายไปในเวทีนานาชาติอีกด้วย อีกคราวหนึ่งเมื่อครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์เขื่อนคลองท่าด่าน จ.นครนายก ในวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ.2544 รถยนต์พระที่นั่งติดสติ๊กเกอร์ท้ายรถโตโยต้าพระที่นั่งว่า “รถคันนี้ใช้น้ำมันปาล์ม 100%” ด้วยพระปรีชาญาณนี้เอง ทำให้ปัจจุบันชาวไทยได้มีทางเลือกในการใช้พลังงานทดแทนที่สามารถผลิตได้เอง สามารถลดปริมาณการนำเข้าได้เป็นจำนวนมาก นับว่าเป็นคุณเอนกอนันต์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ หลายต่อหลายคนอาจรู้จักกับเรือพระที่นั่งที่ชื่อ “เรืออังสนา” เรือรับรองพิเศษของกองทัพเรือ ในการเสด็จฯ ทางชลมารคทรงทำพิธีเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิยายน 2553 และครั้งนั้น ถือเป็นการเดินทางชลมารคครั้งสุดท้ายของพระองค์ท่าน เรืออังสนา อันหมายถึง ดอกประดู่ ก่อนหน้านี้ได้ถูกใช้เพื่อการรับรองพระราชอาคันตุกะ ซึ่งในช่วงปี พ.ศ.2550 กรมอู่ทหารเรือ ร่วมกับ ปตท. ทดลองใช้น้ำมันไบโอดีเซล บี100 ซึ่งผลิตจากน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ทดลองใช้งานอยู่ 3 ปี ให้ผลเป็นที่น่าพอใจ จึงได้ถูกนำมาใช้เป็นเรือพระที่นั่งเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2553 ดังกล่าว จึงนับเป็นครั้งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทางชลมารคโดยเรือพระที่นั่งที่ใช้น้ำมันไบโอดีเซล 100%
ทั้งหมดนี้ ภายหลังจากที่กระทรวงพลังงานจัดตั้งขึ้นในช่วงปี 2545 กระทรวงพลังงานจึงได้น้อมนำแนวทางการพัฒนาเรื่อง “เชื้อเพลิงชีวภาพ” ทั้งเอทานอล และไบโอดีเซล ขยายผลเชิงนโยบายจนปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า “เชื้อเพลิงชีวภาพ” เป็นหนึ่งในเสาหลักของการพัฒนาพลังงานทดแทนของประเทศไปเรียบร้อยแล้ว