มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2548 (ครั้งที่ 101)
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.สรุปผลการดำเนินงานมาตรการประหยัดพลังงาน
3.แผนระดมทุนของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
4.หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
5.การออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
6.การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมด้านพลังงานทดแทน
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เดือนกรกฎาคม 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 52.97 และ 57.81 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.89 และ 2.85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากพายุแฟรงคลินเริ่มก่อตัวขึ้นในทะเลแคริเบียน และอาจจะพัดเข้าอ่าวเม็กซิโกในช่วงสุดสัปดาห์ ประกอบกับจีนประกาศลอยตัวค่าเงินหยวน และจาก Reuter Polls คาดการณ์ปริมาณสำรองน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินของสหรัฐอเมริกาจะปรับตัวลดลง สำหรับในช่วงวันที่ 1 - 24 สิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ 56.06 และ 63.30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.08 และ 5.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวเกิดเหตุระเบิด 3 ครั้งบริเวณด้านนอกของสำนักงานใหญ่บริษัทน้ำมันแห่งชาติของเวเนซูเอล่า และข่าวขู่ก่อการร้ายสถานที่สำคัญของชาวตะวันตกในซาอุดิอาระเบีย ประกอบกับ ความกังวลในการปิดฉุกเฉินของโรงกลั่นต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา
2.ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ เดือนกรกฎาคม 2548ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 64.70, 63.43 และ 69.35 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.05 และ 5.03และ 1.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เป็นผลจากข่าวรัฐบาลจีนลดการส่งออกด้วยความต้องการใช้น้ำมันเบนซินในประเทศ ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้มีการส่งออกดีเซลกำมะถัน 0.05% ปริมาณ 460,000 บาร์เรล จากบริษัท อัลลายแอนซ์ รีไฟน์นิ่ง จำกัด ภายหลังรัฐบาลไทยลดเงินชดเชยราคาขายปลีกในประเทศ โดยใช้มาตรการปล่อยลอยตัวแบบบริหารจัดการ และในช่วงวันที่ 1 - 24 สิงหาคม 2548 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 71.24, 70.61 และ 69.63เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.55และ 7.18 และ 02.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากรายงานปริมาณสำรองน้ำมันเบนซินสหรัฐอเมริกาลดลง ขณะที่ความต้องการใช้อยู่ระดับสูงมากในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ประกอบกับตลาดอินโดนีเซียจะเพิ่มการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายน 2548 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 มาอยู่ที่ระดับ 11.52 ล้านบาร์เรล เนื่องจากโรงกลั่นจะปิดซ่อมบำรุงจึงส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัว เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
3.ราคาน้ำมันขายปลีก เดือนกรกฎาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวมเป็น 0.80บาท/ลิตร และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ยกเว้น ปตท.) เพิ่มขึ้น 4 ครั้ง และปรับลดลง 2 ครั้ง รวมเป็น 1.20 บาท/ลิตร ส่วน ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง และปรับลดลง 1 ครั้ง รวมเป็น 1.60บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 25.74, 24.94 และ 22.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนในช่วงวันที่ 1 - 24 สิงหาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 11สิงหาคม 2548 โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 26.14, 25.34 และ 22.99 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4.ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 15 สิงหาคม 2548 มีเงินสดสุทธิ 449 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 80,746 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินกู้ 71,000 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยราคาน้ำมัน (1 - 12 กรกฎาคม 2548) 700ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 8,708 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 140 ล้านบาท ดอกเบี้ยเงินกู้เดือนสิงหาคม 2548 เป็นเงิน 145ล้านบาท และภาระผูกพัน 53 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 80,297 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สรุปผลการดำเนินงานมาตรการประหยัดพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ โดยให้มีการดำเนินมาตรการประหยัดพลังงานทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม และภาคประชาชน โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตาม ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาฯ และติดตามผลปฏิบัติของทุกภาคส่วน สำหรับในเดือนกรกฎาคม 2548 ผลการใช้พลังงาน สรุปได้ดังนี้
1. ปริมาณการใช้ไฟฟ้ารวมทั้งประเทศ เดือนกรกฎาคม 2548 จำนวน 10,125 ล้านหน่วย ซึ่งลดลงจากเดือนมิถุนายน 2548 จำนวน 399ล้านหน่วย หรือลดลงร้อยละ 3.8 คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 1,073 ล้านบาท โดยปริมาณการใช้ไฟฟ้า ในเขตนครหลวง ลดลงร้อยละ 6.3 และในเขตภูมิภาค ลดลงร้อยละ 2.3
2. ปริมาณการใช้ไฟฟ้าจำแนกตามสาขาต่างๆ ในเดือนมิถุนายน 2548 ประกอบด้วย ปริมาณการใช้ ไฟฟ้าภาคประชาชนลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2548 จำนวน 294ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 790 ล้านบาท และสำหรับผลการดำเนินงานตามโครงการ "ประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ" ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2547 - พฤษภาคม 2548 ประชาชน 4 ล้านครัวเรือน ลดใช้ไฟฟ้าลง 3,456 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 10,748 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณการใช้ไฟฟ้าภาคราชการเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤษภาคม 2548 จำนวน 4.6 ล้านหน่วย และปริมาณการใช้ไฟฟ้าห้างสรรพสินค้าลดลงจากเดือนพฤษภาคม 2548 จำนวน 12 ล้านหน่วย คิดเป็นเงิน ที่ประหยัดได้ 32 ล้านบาท นอกจากนี้ ในกรณีป้ายโฆษณาสินค้าได้เริ่มบังคับใช้มาตรการปิดป้ายโฆษณา สินค้าหรือบริการหรือสถานที่ทำธุรกิจหรือป้ายชื่อร้าน ป้ายชื่อโรงภาพยนตร์ที่มีขนาดตั้งแต่ 32 ตรม. ขึ้นไป สูงกว่าพื้นไม่น้อยกว่า 4 เมตร ใช้ไฟส่องสว่างอย่างต่ำ 1,000 วัตต์ โดยให้ใช้ไฟฟ้าได้ระหว่างเวลา 19.00 - 20.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม เป็นต้นมา
3. ปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์ในเดือนกรกฎาคม 2548 เฉลี่ย 20.85 ล้านลิตร/วัน โดยน้ำมันเบนซิน อยู่ในระดับ 17.5 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 3.9 ล้านลิตร/วัน หรือลดลงร้อยละ 18.1 และ Gasoholอยู่ในระดับ 1.65 ล้านลิตร/วัน และการใช้น้ำมันดีเซลอยู่ในระดับ 46.8 ล้านลิตร/วัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 8.7 ล้านลิตร/วัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนระดมทุนของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. ในปี 2546 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม และ 3 ตุลาคม 2543 เรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า และเห็นชอบในหลักการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แปลงสภาพเป็นบริษัททั้งองค์กร โดยใช้พระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 พร้อมทั้งอนุมัติในหลักการให้แปลงสภาพ กฟผ.ทั้งองค์กรเป็นบริษัท โดยใช้พระราชบัญญัติทุน รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานดำเนินการให้เกิดความชัดเจนเรื่องโครงสร้าง กิจการไฟฟ้า และการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าก่อนการกระจายหุ้น กฟผ.ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยทั้งนี้เพื่อให้ กฟผ.สามารถแปลงสภาพให้สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่ได้ตามระยะเวลาที่กำหนด จึงเห็นชอบให้ (1) กฟผ.ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือ หุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504 และ (2) ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชน เพื่อทำหน้าที่พิจารณาประเมินราคาหุ้นที่เสนอขาย ขั้นตอนและวิธีการกระจายหุ้น
2. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2547 มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ให้แปลงทุนของ กฟผ. เป็นทุนเรือนหุ้น และจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) โดยให้นำหุ้นออกจำหน่ายได้ไม่เกินร้อยละ 25 ของหุ้นทั้งหมด ตลอดจนอนุมัติในหลักการ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วย กฟผ.
3. ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2547 ได้พิจารณาหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ การแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจ และมีมติเห็นชอบกรอบหลักเกณฑ์การกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจให้ประชาชนทั่วไป หลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้พนักงานรัฐวิสาหกิจที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย และ หลักการดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติ ประชาชน ผู้บริโภค และพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
4. สำหรับหลักเกณฑ์การกระจายหุ้นรัฐวิสาหกิจให้ประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นแนวทางในการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (Initial Public Offering: IPO)ในตลาดหลักทรัพย์ โดยในกรณีประชาชนทั่วไป จะจัดสรรผ่านกระบวนการสุ่มเลือก (Random) ด้วยวิธีการจัดสรรแบบขั้นบันไดผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนกรณีเป็นลูกค้าของสถาบันการเงิน ให้จองหุ้นผ่านกระบวนการ Random เช่นเดียวกัน และไม่มีการจัดสรรหุ้นให้ผู้มีอุปการคุณ ทั้งนี้ สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ประกอบกิจการด้านไฟฟ้าและน้ำประปา ภาครัฐจะยังคงถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของทุนจดทะเบียน เพื่อคงสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ
5. นอกจากนี้หลักเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ โดยให้พนักงานได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นจำนวน 8 เท่าของเงินเดือน ณ วันก่อนการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท และเป็นการให้ครั้งเดียว และในการจัดสรรหุ้นมี 2 ทางเลือก คือ (1) พนักงานจ่ายเงินซื้อหุ้นในราคาที่ตราไว้ (PAR) (2) รัฐวิสาหกิจจ่ายแทนพนักงานในราคา PARในกรณีนี้พนักงานจะได้รับหุ้นในจำนวนที่น้อยกว่าทางเลือกที่ (1)ขณะที่กองทุนสำรอง เลี้ยงชีพของพนักงานรัฐวิสาหกิจ จะได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป
6. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบการแปลงทุนของ กฟผ. เป็นทุนเรือนหุ้น และจัดตั้งบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.) โดยมีทุนจดทะเบียนจำนวน 60,000 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นจำนวน 6,000ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 10 บาทต่อหุ้น ตลอดจนเห็นชอบ หลักการร่างพระราชกฤษฎีกา กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ.จำกัด (มหาชน) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งปัจจุบันพระราชกฤษฎีกาทั้ง 2 ฉบับ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2548 และต่อมา กฟผ. ได้ยื่นจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.) แล้ว เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2548
7. คณะกรรมการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ กฟผ. ได้เสนอแผนระดมทุนของ บมจ. กฟผ. ดังนี้
7.1 เห็นชอบการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บมจ. กฟผ.จาก 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000ล้านบาท โดยการจดทะเบียนหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10บาท
7.2 เห็นชอบให้ออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 460 ล้านหุ้นเพื่อเสนอขายให้แก่ (1) พนักงานประจำ ซึ่งมีชื่อปรากฏเป็นพนักงานของ บมจ.กฟผ. ณ วันจดทะเบียนจัดตั้ง บมจ.กฟผ. และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของ บมจ. กฟผ. (2) พนักงานของ บมจ.กฟผ. ที่ครบเกษียณอายุในวันที่ 30กันยายน พ.ศ. 2548 และ (3) พนักงานของ บมจ. กฟผ. ที่เข้าร่วมโครงการลาออก จากงานด้วยความยินดีทั้งสองฝ่ายในปี พ.ศ. 2548โดยมีมูลค่ารวมของผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับจำนวน 8 เท่าของเงินเดือน
7.3 เห็นชอบให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนที่เหลือทั้งหมด และหุ้นสามัญส่วนที่เหลือจากการจัดสรรและ/หรือการเสนอขายตามข้อ 7.2 จัดสรรและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัด จำหน่ายหลัก และให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน บมจ. กฟผ. ได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยให้คณะกรรมการของ บมจ. กฟผ. ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้พิจารณากำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว อย่างไรก็ตาม การกำหนดจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุน ที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จะต้องคำนึง (1) ราคาเสนอขายสุดท้าย (Final IPO Price) (2) ความต้องการเงินลงทุนของ บมจ.กฟผ. (3) จำนวนหุ้นเก่าของกระทรวงการคลังที่จะนำออกจำหน่าย และ (4) จำนวนหุ้นสามัญที่จะเสนอขายให้แก่พนักงาน บมจ. กฟผ. และประชาชนทั่วไปจะต้องมีจำนวนไม่เกิน ร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว โดยภายหลังการกระจายหุ้นแล้ว กระทรวง การคลังจะต้องถือหุ้นใน บมจ.กฟผ. ในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ตามมติคณะรัฐมนตรี
7.4 เห็นชอบให้นำหุ้นสามัญเดิมของ บมจ. กฟผ.ที่ถือโดยกระทรวงการคลังเสนอขายให้แก่ นักลงทุนทั่วไปควบคู่กับการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน
7.5 เห็นชอบแนวทางการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Option Program) โดยยืมหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังในจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไปทั้งหมด เพื่อเสนอขายเพิ่มเติมให้แก่นักลงทุนทั่วไปควบคู่กับการเสนอขายหุ้นสามัญ เพิ่มทุนของ บมจ. กฟผ.
7.6 เห็นชอบให้ บมจ.กฟผ. หรือ กระทรวงการคลัง (รายใดรายหนึ่ง) ให้สิทธิแก่บริษัทหลักทรัพย์ผู้มีหน้าที่จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Stabilization Agent) ในการซื้อหุ้นสามัญใหม่จาก บมจ. กฟผ. หรือหุ้นสามัญเดิมจากกระทรวงการคลัง (รายใดรายหนึ่ง) จำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของหุ้นสามัญที่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไปทั้งหมดที่ราคาเดียวกับที่เสนอขาย ให้แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อส่งมอบหุ้นดังกล่าวคืนให้แก่กระทรวงการคลัง
7.7 เห็นชอบกรอบโครงสร้างการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนทั่วไป ดังนี้
(1) เสนอขายหุ้นสามัญให้นักลงทุนต่างประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป
(2) เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่นักลงทุนในประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของหุ้นที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป ซึ่งรวมถึงนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ เพื่อรักษาความยืดหยุ่น ให้สามารถปรับเพิ่มหรือลดสัดส่วนการเสนอขายหุ้นให้แก่ นักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ (Clawback / Clawforward)ได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวน หุ้นสามัญที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไปทั้งหมด
7.8 เห็นชอบการกำหนดให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน บมจ. กฟผ.ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป
7.9 เห็นชอบให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ สามารถพิจารณาอนุมัติการปรับเปลี่ยนแนวทาง และรายละเอียดแผนการ และแนวทางการเสนอขายหุ้นสามัญของ บมจ. กฟผ. ได้ตามความจำเป็น และเหมาะสม
7.10 เห็นชอบให้ บมจ. กฟผ.และกระทรวงการคลังไม่ต้องนำสัญญา และ/ หรือข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นสามัญของ บมจ. กฟผ.เสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาก่อนลงนาม
7.11 เห็นชอบให้กระทรวงการคลังขายหุ้นของกระทรวงการคลังใน บมจ. กฟผ.โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการ หรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
8. ในการนี้ ฝ่ายเลขานุการมีความเห็นว่า ควรให้ บมจ. กฟผ. เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2546 ซึ่งเห็นชอบการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้ารูปแบบ ESB และแนวทางการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้ กฟผ. แบ่งแยกระบบบัญชี (Account Unbundling)ระหว่างกิจการผลิตและกิจการระบบส่งไฟฟ้า และจัดทำกระบวนการแบ่งขอบเขตงาน (Ring Fence) ของศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator)เพื่อสร้างความโปร่งใสและส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพในการ ดำเนินงาน ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2548 ทั้งนี้ ให้เสนอข้อมูลและรายงานความคืบหน้าต่อ สนพ. หรือองค์กรกำกับดูแลที่จะจัดตั้งขึ้น นอกจากนี้ ปัจจุบัน บมจ. กฟผ. เป็นเจ้าของทั้งธุรกิจผลิตไฟฟ้า (Generation) ธุรกิจระบบส่ง (Transmission)และศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) หากเข้าร่วมประมูลแข่งขันการผลิตไฟฟ้ากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน จะทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกัน เห็นควรให้จัดสรรกำลังการผลิต ในสัดส่วนร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตใหม่ ในช่วงปี 2554-2558 ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าใหม่ 4 โรง ของ บมจ.กฟผ. ที่ได้รับอนุมัติโครงการแล้ว และโรงไฟฟ้าที่จะได้รับการจัดสรรใหม่ จัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะเดียวกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน รวมทั้ง ดำเนินการผลิตไฟฟ้า โดยปฏิบัติตาม IPP Grid Code ด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนระดมทุนของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) (บมจ. กฟผ.)ตามข้อเสนอของคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ กฟผ. ดังนี้
1.1 เห็นชอบการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บมจ. กฟผ. จาก 60,000 ล้านบาท เป็น 80,000 ล้านบาท โดยการจดทะเบียนหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,000 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท
1.2 เห็นชอบให้ออกและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 460 ล้านหุ้นเพื่อเสนอขายให้แก่ (1) พนักงานประจำ ซึ่งมีชื่อปรากฏเป็นพนักงานของ บมจ. กฟผ.ณ วันจดทะเบียนจัดตั้ง บมจ. กฟผ.และกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของ บมจ.กฟผ. (2) พนักงานของ บมจ. กฟผ. ที่ครบเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2548 และ (3)พนักงานของ บมจ. กฟผ. ที่เข้าร่วมโครงการลาออก จากงานด้วยความยินดีทั้งสองฝ่ายในปี พ.ศ.2548 โดยมีมูลค่ารวมของผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับจำนวน 8 เท่าของเงินเดือน ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ พิจารณากำหนดราคาในเบื้องต้นเพื่อกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนที่พนักงานจะได้รับ โดยการจัดสรรหุ้น
1.3 เห็นชอบให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนส่วนที่เหลือทั้งหมด และหุ้นสามัญส่วนที่เหลือจากการจัดสรรและ/หรือการเสนอขายตามข้อ 1.2 จัดสรรและเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป บริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทการจัด จำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ของ บมจ.กฟผ. และเป็นผู้มีหน้าที่จัดหาหุ้นส่วนเกินตามประกาศหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ที่เกี่ยวข้อง และให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน บมจ. กฟผ. ได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยให้คณะกรรมการของ บมจ. กฟผ. ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้มีอำนาจพิจารณากำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กับ การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนดังกล่าว เช่น จำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเสนอขายในแต่ละคราว ราคา ระยะเวลาจองซื้อและการชำระเงินค่าหุ้น การจัดสรรหุ้นในกรณีที่มีหุ้นเหลือจากการเสนอขายดังกล่าวข้างต้น อย่างไรก็ตาม สำหรับการกำหนดจำนวนหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จะต้องคำนึง (1) ราคาเสนอขายสุดท้าย (Final IPO Price) (2) ความต้องการเงินลงทุนของ บมจ. กฟผ. (3) จำนวนหุ้นเก่าของกระทรวงการคลังที่จะนำออกจำหน่าย และ (4) การจัดสรรหุ้นส่วนเกินทั้งในส่วนที่ บมจ. กฟผ. เป็นผู้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนไว้รองรับ และส่วนที่กระทรวงการคลังเป็นผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน โดยจำนวนหุ้นสามัญที่จะเสนอขายให้แก่พนักงาน บมจ. กฟผ.และประชาชนทั่วไป ในครั้งนี้จะต้องมีจำนวนไม่เกิน ร้อยละ 25 ของจำนวนหุ้นสามัญจดทะเบียนและเรียกชำระแล้ว โดยภายหลังการกระจายหุ้นแล้ว กระทรวง การคลังจะต้องถือหุ้นใน บมจ. กฟผ. ในสัดส่วนที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ตามมติคณะรัฐมนตรี
1.4 เห็นชอบให้นำหุ้นสามัญเดิมของ บมจ. กฟผ. ที่ถือโดยกระทรวงการคลังเสนอขายให้แก่ นักลงทุนทั่วไปควบคู่กับการขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยให้คำนึงถึงความต้องการ ใช้เงินทุนของ บมจ. กฟผ. ก่อนเป็นสำคัญ
1.5 เห็นชอบแนวทางการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Option Program) โดยยืมหุ้นเดิมของกระทรวงการคลังในจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป ทั้งหมดเพื่อเสนอขายเพิ่มเติมให้แก่นักลงทุนทั่วไปควบคู่กับการเสนอขายหุ้น สามัญเพิ่มทุนของ บมจ. กฟผ.
1.6 เห็นชอบให้ บมจ.กฟผ. หรือ กระทรวงการคลัง (รายใดรายหนึ่ง) ให้สิทธิแก่บริษัทหลักทรัพย์ผู้มีหน้าที่จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Stabilization Agent) ในการซื้อหุ้นสามัญใหม่จาก บมจ. กฟผ. หรือหุ้นสามัญเดิมจากกระทรวงการคลัง (รายใดรายหนึ่ง) จำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของหุ้นสามัญที่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไปทั้งหมดที่ราคาเดียวกับที่เสนอขาย ให้แก่ประชาชนทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อส่งมอบหุ้นดังกล่าวคืนให้แก่กระทรวงการคลัง
1.7 เห็นชอบกรอบโครงสร้างการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนทั่วไป
1.7.1 เสนอขายหุ้นสามัญให้นักลงทุนต่างประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 30 ของจำนวนหุ้น ที่เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป
1.7.2 เสนอขายหุ้นสามัญให้แก่นักลงทุนในประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของหุ้นที่ เสนอขายให้แก่นักลงทุนทั่วไป ซึ่งรวมถึงนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนรายย่อยในประเทศ เพื่อรักษาความยืดหยุ่น ให้สามารถปรับเพิ่มหรือลดสัดส่วนการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนในประเทศและ นักลงทุนต่างประเทศ (Clawback / Clawforward) ได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของจำนวน หุ้นสามัญ ที่จะเสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไปทั้งหมด
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการของ บมจ. กฟผ.ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้พิจารณากำหนดรายละเอียดและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การกำหนดราคาขั้นสุดท้ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคณะกรรมการ บมจ. กฟผ. ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ จะร่วมกันตัดสินใจทันทีที่การทำ Management Roadshow เพื่อเสนอขายหุ้นแล้วเสร็จ
1.8 เห็นชอบการกำหนดให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน บมจ. กฟผ. ได้รับการจัดสรรหุ้นจำนวนหนึ่งในราคาที่เสนอขายให้กับนักลงทุนทั่วไป โดยให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจในเรื่องการจัดสรรหุ้นสามัญของ บมจ. กฟผ. ให้แก่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน บมจ. กฟผ. โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นทั้งหมดในภาพรวม
1.9 เห็นชอบให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ สามารถพิจารณาอนุมัติการปรับเปลี่ยนแนวทาง และรายละเอียดแผนการ และแนวทางการเสนอขายหุ้นสามัญของ บมจ. กฟผ.ได้ตามความจำเป็น และเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดทุน ณ ช่วงเวลาการเสนอขาย
1.10 เห็นชอบให้ บมจ. กฟผ. และกระทรวงการคลังไม่ต้องนำสัญญา และ/ หรือข้อตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นสามัญของ บมจ.กฟผ. เสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาก่อนลงนาม
1.11 เห็นชอบให้กระทรวงการคลังขายหุ้นของกระทรวงการคลังใน บมจ. กฟผ. โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่ายกิจการหรือ หุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
2.ให้ บมจ. กฟผ. เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 9 ธันวาคม 2546 โดยดำเนินการแบ่งแยกระบบบัญชี (Account Unbundling) ระหว่างกิจการผลิตและกิจการระบบส่งไฟฟ้า และจัดทำกระบวนการแบ่งขอบเขตงาน (Ring Fence) ของศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า (System Operator) ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2548 ทั้งนี้ ให้เสนอข้อมูลและรายงานความคืบหน้าต่อ สนพ. หรือองค์กรกำกับดูแลที่จะจัดตั้งขึ้น
3.เห็นควรกำหนดให้ บมจ.กฟผ. มีสัดส่วนกำลังการผลิตในสัดส่วนร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตใหม่ ในช่วงปี 2554 - 2558
3.1 ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าที่ได้รับการจัดสรรใหม่ จะต้องไม่สูงกว่าโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
3.2 โรงไฟฟ้าใหม่ 4 โรง ของ บมจ. กฟผ. ที่ได้รับอนุมัติโครงการแล้ว และโรงไฟฟ้าที่จะได้รับการจัดสรรใหม่ ให้จัดทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะเดียวกับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และดำเนินการผลิตไฟฟ้า โดยปฏิบัติตาม IPP Grid Code ด้วย
เรื่องที่ 4 หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
บมจ. กฟผ. มีกำหนดการกระจายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในไตรมาสที่ 4 ปี 2548 จึงจำเป็นต้องได้รับนโยบายการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าที่ชัดเจนสำหรับ การประมาณการรายได้ของ บมจ. กฟผ. และการชี้แจงต่อนักลงทุนในการเสนอขายหุ้น บมจ. กฟผ. กระทรวงพลังงาน จึงนำเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
1. โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกจะประกอบด้วย ค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในลักษณะเดียวกับปัจจุบัน โดยกำหนดให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้าในการคำนวณค่า ใช้จ่ายการดำเนินงานของการไฟฟ้า คือ (1) ใช้หลักการ CPI-X โดยกำหนดค่าการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้า หรือค่า X สำหรับแต่ละกิจการไฟฟ้า สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่ายไฟฟ้าและค้าปลีกไฟฟ้า ร้อยละ 5.8 2.6และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ และ (2)ให้นำค่าสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่นของต้นทุนต่อปริมาณ (Cost Volume Elasticity: CVE) ในระดับ 0.8 มาใช้ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป
2. การกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ อยู่บนพื้นฐานที่ค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยเมื่อรวมค่า Ftณ ระดับปัจจุบัน 0.4683 บาท/หน่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในระหว่างเดือนตุลาคม 2548 จนถึงปี 2551 การ เปลี่ยนแปลงของค่าไฟฟ้า จะปรับตามค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ใหม่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป
3. ปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ใหม่ ให้ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักเพียงค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปจากค่าไฟฟ้าฐานใหม่ (ค่า Ft ณ ระดับ 0.4683 บาท/หน่วย) โดยการประมาณการค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บ ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ รับไปพิจารณาดำเนินงานส่งผ่านค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง และค่าซื้อไฟฟ้าที่มีการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ต่อผู้ใช้ไฟฟ้า สำหรับแนวทางการกำกับ ดูแลการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ ให้พิจารณาจากมาตรฐานค่าสูญเสียในระบบ (Loss Rate) มาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) และแผนการใช้เชื้อเพลิงและการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
4. หลักเกณฑ์ทางการเงินในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า จะพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนการลงทุน (Return on Invested Capital: ROIC)เป็นหลัก และพิจารณาอัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debt/Equity Ratio) ประกอบ เข้าด้วย
5. ผลกระทบจากการปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ให้ กฟผ.เป็นผู้รับภาระลูกหนี้ค่า Ft คงค้างที่ กฟผ. คาดว่าจะบันทึกเป็นรายได้ในงวดบัญชีก่อนการแปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัท ทั้งนี้ ตั้งแต่ วันที่ 24 มิถุนายน 2548 ให้ บมจ.กฟผ. รับรู้รายได้ตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บได้จริงในงวดนั้น ๆ โดยผลจากการบันทึกบัญชีดังกล่าว จะไม่รวมอยู่ในการคำนวณกำไรเพื่อจัดสรรเป็นโบนัสกรรมการและพนักงาน และการนำเงินส่งรายได้แผ่นดิน
6. กำหนดการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าในลักษณะการชดเชยรายได้โดยตรงจากการ ไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ไปยังการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการไฟฟ้าแล้ว เสร็จ เห็นควรกำหนดให้มีการชดเชยรายได้ผ่านกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่อไป
7. โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าจะกำหนดจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าว จะมีการกำกับดูแลโดยองค์กรกำกับดูแล
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตลอดจนกลไกการปรับการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า และการกำกับดูแลประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้าตามแนวนโยบายในข้อ 1เสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ดังนี้
1.1 โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีก ประกอบด้วย ค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในลักษณะเดียวกับปัจจุบัน โดยกำหนดให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้า ในการคำนวณค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของการไฟฟ้า ดังนี้
1.1.1 ใช้หลักการ CPI-X โดยกำหนดค่าการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้าหรือค่า X สำหรับแต่ละกิจการไฟฟ้า ดังนี้
กิจการผลิต ร้อยละ 5.8 ต่อปี
กิจการระบบส่ง ร้อยละ 2.6 ต่อปี
กิจการระบบจำหน่ายและค้าปลีกไฟฟ้า ร้อยละ 5.1 ต่อปี
1.1.2 นำค่าสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่นของต้นทุนต่อปริมาณ (Cost Volume Elasticity : CVE) ในระดับ 0.8 มาใช้ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นไป
1.2 การกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ อยู่บนพื้นฐานที่ค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยเมื่อรวมค่า Ft ณ ระดับปัจจุบัน 0.4683 บาท/หน่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ในระหว่างเดือนตุลาคม 2548 จนถึงปี 2551 การเปลี่ยนแปลงของค่าไฟฟ้า จะปรับตามค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ใหม่ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2548 เป็นต้นไป
1.3 ปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ใหม่ ให้ประกอบด้วย องค์ประกอบหลักเพียงค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลง ไปจาก ค่าไฟฟ้าฐานใหม่ (ค่า Ft ณ ระดับ 0.4683 บาท/หน่วย) โดยการประมาณการค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่จะเรียกเก็บ ทั้งนี้ มอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไป พิจารณาดำเนินงานส่งผ่านค่าใช้จ่ายด้าน เชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่มีการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมต่อผู้ใช้ไฟฟ้า แนวทางการกำกับดูแลการบริหารการใช้เชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพ ให้พิจารณาจากมาตรฐานค่าสูญเสียในระบบ (Loss Rate) มาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) ตลอดจนแผนการใช้เชื้อเพลิงและการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้า
1.4 หลักเกณฑ์ทางการเงินในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า จะพิจารณาจากอัตราส่วนผลตอบแทนการลงทุน (Return on Invested Capital: ROIC) เป็นหลัก และพิจารณาอัตราส่วนรายได้สุทธิต่อการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio: DSCR) และอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน (Debt/Equity Ratio) ประกอบการพิจารณา
1.5 ผลกระทบจากการปรับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ให้ กฟผ. เป็นผู้รับภาระ ลูกหนี้ค่า Ft คงค้างที่ กฟผ. คาดว่าจะบันทึกเป็นรายได้ในงวดบัญชีก่อนการแปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2548 ให้ บมจ. กฟผ. รับรู้รายได้ตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บได้จริงในงวดนั้นๆ โดยผลจากการบันทึกบัญชีดังกล่าว จะไม่รวมอยู่ในการคำนวณกำไรเพื่อจัดสรรเป็นโบนัสกรรมการและพนักงาน และการนำเงินส่งรายได้แผ่นดิน
1.6 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าจะกำหนดจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ เมื่อมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลแล้วเสร็จ อัตราค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะกำกับดูแลโดยองค์กรกำกับดูแล
2.มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) รับไปดำเนินการ ดังนี้
2.1 หารือกับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาแนวทางที่เหมาะสมในการชดเชยรายได้ระหว่างการ ไฟฟ้า และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความ เห็นชอบก่อนการนำไปใช้ในการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
2.2 จัดทำรายละเอียดข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ตลอดจน กลไกการปรับการชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า และการกำกับดูแลประสิทธิภาพการดำเนินงานของการไฟฟ้า ตามแนวนโยบายในข้อ 1 เสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาเห็นชอบก่อนการประกาศใช้ต่อไป
เรื่องที่ 5 การออกตราสารหนี้ของสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2548 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพ.) ออกและเสนอขายตราสารหนี้ให้กับนักลงทุนทั่วไปจำนวนไม่เกิน 85,000 ล้านบาท โดยเสนอขายเป็นชุดและอายุไถ่ถอนแต่ละชุดไม่เกิน 5 ปี เพื่อนำไปชำระหนี้เงินกู้จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของ น้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซล โดยปรับเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ได้ไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง และต้องทำให้ สบพ. สามารถจ่ายดอกเบี้ยและไถ่ถอนตราสารหนี้ได้เมื่อครบกำหนดจ่าย แต่ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 1.50 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2548 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามมติ กบง. ดังกล่าว พร้อมทั้งให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณร่วมกันพิจารณาความจำเป็นในการจัดสรรเงินอุดหนุนให้ สบพ. เพื่อเป็นทุนให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและ เสริมสภาพคล่องให้กองทุนน้ำมันฯ
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้ทยอยปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับเพิ่มขึ้น เป็น 1,476 ล้านบาท/เดือน
3. กระทรวงพลังงานได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น และ ที่ประชุมได้มีมติให้ สบพ. ขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลในวงเงินไม่เกิน 12,000 ล้านบาท ในรูปเงินยืมไม่มีดอกเบี้ย ทยอยเบิกจ่ายเงินตามความจำเป็น และชำระคืนรัฐบาลเมื่อ สบพ. ไถ่ถอนตราสารหนี้ครบถ้วนแล้ว โดยให้ สบพ. ตั้งเรื่องขอในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2550 แต่หากกองทุนน้ำมันฯ ขาดสภาพคล่องในช่วงก่อนปี งบประมาณ พ.ศ. 2550 ให้ สบพ. นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับเงินอุดหนุนในรูปเงินยืมจากเงินงบกลาง
4. ปัจจุบัน สบพ. อยู่ระหว่างการดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายพันธบัตรต่อสำนัก งานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และกระบวนการการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหลักทรัพย์และองค์กร ซึ่งคาดว่าจะเสนอขายในช่วงปลายเดือนกันยายน - ต้นเดือนตุลาคม 2548
5. ในการออกตราสารหนี้ของ สบพ. กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นของรัฐไม่สามารถค้ำประกันหนี้ ให้ สบพ. ได้ เนื่องจากต้องห้ามตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ขณะที่รายรับจาก เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นแหล่งเงินในการชำระหนี้ของ สบพ. จะขึ้นกับอัตราเงินส่งเข้ากองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงและ/หรือปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า กบง. จะไม่ปรับเพิ่ม เงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่มีมติไว้ หากรัฐบาลได้รับความกดดันจากปัญหาราคาน้ำมันแพง และราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น จะทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งรัฐบาลอาจจะกลับไปใช้นโยบายการตรึงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอีก ซึ่งจะส่งผลให้รายรับลดลงและ/หรือรายจ่ายเพิ่มขึ้น จนทำให้ สบพ. ไม่สามารถชำระหนี้ได้ครบถ้วนตามเวลาที่กำหนด
6. เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ. ว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา สบพ. จึงขอเสนอดังนี้
6.1 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับทราบในการจัดหาเงินกู้โดยการออกตราสาร หนี้ของ สบพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานในการกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจะสนับสนุนให้ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานบริหารสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งเพื่อให้ สบพ. สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ. ได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา
6.2 ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานบริหารรายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ สอดคล้องกับภาระการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นของ สบพ. ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาและรายจ่ายอื่นๆ ของกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อให้ สบพ. สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในรายจ่ายและจำนวนเงินที่จะเหลือสะสมไว้ชำระหนี้ ให้ สบพ. ประกาศแจ้งแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนที่เป็นรายจ่าย ประจำและจำเป็นล่วงหน้าเป็นเวลา 5 ปี
6.3 ในกรณีที่รัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ ก็ตาม ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและ/หรือความ สามารถในการชำระหนี้ของ สบพ. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการใน การให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้ถือ ตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ. ให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา
มติของที่ประชุม
1.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับทราบในการจัดหาเงินกู้โดยการออกตรา สารหนี้ของ สบพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ จ่ายชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จ่ายดอกเบี้ย และเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และจะสนับสนุนให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานบริหารสภาพคล่องของกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง ให้มีสถานะทางการเงินที่เข้มแข็งเพื่อให้ สบพ. สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับผู้ถือตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ. ได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา
2.ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน บริหารรายรับของกองทุนน้ำมันฯให้สอดคล้องกับภาระการชำระดอกเบี้ยและเงินต้น ของ สบพ. ที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาและรายจ่ายอื่นๆ ของกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงเพื่อให้ สบพ. สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ครบถ้วนตามกำหนดเวลา และเพื่อให้เกิดความชัดเจนในรายจ่ายและจำนวนเงินที่จะเหลือสะสมไว้ชำระหนี้ ให้ สบพ. ประกาศแจ้งแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนที่เป็นรายจ่ายประจำและจำเป็นล่วงหน้าเป็นเวลา 5 ปี
3.ในกรณีที่รัฐบาลมีการกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆก็ตาม ที่อาจส่งผลกระทบถึงฐานะทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯและ/หรือความสามารถในการ ชำระหนี้ของ สบพ. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะประสานงานกับรัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการใน การให้ความคุ้มครองสิทธิของผู้ถือตราสารหนี้และเจ้าหนี้ของ สบพ ให้ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนตามกำหนดเวลา
เรื่องที่ 6 การแต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมด้านพลังงานทดแทน
1. ประธาน (รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม) ได้เสนอต่อที่ประชุมว่า จากประชุมคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ (กชช.) ที่ผ่านมา ได้มีประเด็นกรณีที่กระทรวงพลังงานได้ทักท้วงเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของ กชช. เมื่อมีการยุบคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติของกระทรวงอุตสาหกรรม ขณะที่ตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเอทานอลฯ สามารถอนุมัติให้มีการจัดตั้งโรงงานเอทานอลได้ และ กชช. มีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแผนพัฒนาและส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพต่อ กพช. ดังนั้นเมื่อยุบคณะกรรมการเอทานอลแล้วการขออนุมัติโรงงานเอทานอลจะเสนอต่อ คณะกรรมการชุดใด ซึ่งจากการตีความตามกฤษฎีกาที่จัดตั้งพบว่า การที่คณะกรรมการชุดหนึ่งซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการอีกชุด เพื่อช่วยเสนอแนะนโยบายและปฏิบัติงานอื่นๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย ถือเป็นการแต่งตั้งเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทน เมื่อ ดำเนินการแล้ว จะต้องกลับมารายงานผลต่อคณะกรรมการที่ระดับเหนือกว่า นอกจากนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี มีความประสงค์ให้จัดตั้งกระทู้ด้านน้ำมันขึ้นทุกวันอังคาร เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณอันตราย ดังนั้นเพื่อให้เกิดการติดตามสถานการณ์ด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง จึงควรมีการ จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อดูแลเรื่องนี้ โดยเน้นด้านพลังงานทดแทนและเพื่อเป็นการบอกให้ประชาชนรับรู้ว่ารัฐบาลได้ ดำเนินการแก้ปัญหาด้านนี้อย่างต่อเนื่อง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน และอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นเลขานุการ โดยมีหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบายและพัฒนาด้านพลังงานทดแทน
- กพช. ครั้งที่ 101 - วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548 (1916 Downloads)