Super User
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 14-20 กรกฏาคม 2557
กพช. ครั้งที่ 93 - วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม 2546
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 93)
วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมธำรงนาวาสวัสดิ์ ชั้น 3
อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
3.ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
4.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2546 - 2559 (PDP 2003)
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ปรับตัวลดลง 3.95 - 5.24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากอุปทานในตลาดเพิ่มขึ้นหลังจากสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักได้ยุติ ลง และโอเปคได้เพิ่มโควต้าการผลิต รวมทั้งจากการส่งออกของเวเนซูเอล่าและไนจีเรีย ในขณะที่อุปสงค์ในตลาดลดลงเนื่องจากสิ้นสุด ฤดูหนาวประกอบกับสภาพเศรษฐกิจของโลกที่ซบเซาเนื่องจากโรคระบาด SARS โดยในเดือนมิถุนายน 2546 ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น 0.38 - 2.50 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามอุปทานในตลาดที่ตึงตัวขึ้น เนื่องจาก อิรักยังไม่สามารถกลับมาผลิตและส่งออกน้ำมันดิบในระดับปกติได้ จากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดท่อส่งน้ำมันทางตอนเหนือของอิรัก และผลการประชุมโอเปค ในวันที่ 11 มิถุนายน 2546 ได้มีมติให้คงปริมาณการผลิตไว้ที่ระดับ 25.4 ล้านบาร์เรล/วัน เพื่อรักษาอุปทานในตลาดให้อยู่ในระดับปกติ ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยของเดือนมิถุนายน 2546 อยู่ที่ระดับ 25.51 และ 27.32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์เฉลี่ยในไตรมาส 2 ปี 2546 ปรับตัวลดลง 4.10 - 7.79 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทานเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นสิงคโปร์ที่เพิ่มกำลังการก ลั่น และจากการส่งออกของไทย ในขณะที่อุปสงค์ในภูมิภาคลดลง โดยในเดือนมิถุนายน 2546 ราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 และ 92 ปรับตัวสูงขึ้น 2.86 และ 3.10 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเหตุเพลิงไหม้ โรงกลั่นน้ำมันของไต้หวัน และอุปสงค์เพิ่มขึ้นจากอินโดนีเซียและศรีลังกา ประกอบกับมีการนำน้ำมันจาก ภูมิภาคเอเซียไปขายยังสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวมากขึ้น ส่วนอุปทานได้ลดลง เนื่องจากจีนลดปริมาณการกลั่นจากผลกระทบจากโรค SARS ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.34 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล จากความต้องการซื้อของศรีลังกา ประกอบกับเกาหลีใต้ได้ลดการส่งออกน้ำมันดีเซลลงเนื่องจาก โรงกลั่นของประเทศมีแผนจะลดปริมาณการกลั่นลง ราคาเฉลี่ยของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 31.59, 30.84,และ 28.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของไทยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ได้ปรับตัวลดลงตามราคา น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์และผลจากการที่รัฐบาลยุติมาตรการตรึงราคา น้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ปรับตัวลดลง 0.70 , 0.70 และ 0.83 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยในเดือนมิถุนายน 2546 มีการปรับราคาน้ำมันเบนซินขึ้น 2 ครั้ง ลง 1 ครั้ง สุทธิเพิ่มขึ้น 40 สตางค์/ลิตร น้ำมันดีเซล หมุนเร็วปรับขึ้น 1 ครั้ง 30 สตางค์/ลิตร โดยราคาขายปลีกเฉลี่ยในเดือนมิถุนายนของน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว อยู่ที่ระดับ 15.41 , 14.41 และ 12.84 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดเฉลี่ยในไตรมาส 2 ปี 2546 อยู่ในระดับทรงตัวที่ 1.0778 บาท/ลิตร โดยในเดือนมิถุนายน ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.8838 บาท/ลิตร จากการที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกได้น้อยกว่าต้นทุนราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนค่าการกลั่น ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2546 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.5798 บาท/ลิตร โดยค่าการกลั่นเฉลี่ยมิถุนายน อยู่ที่ระดับ 0.4034 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนกรกฎาคม 2546 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 26.2 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ในระดับ 269.0ราคา ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 10.55 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ในระดับ 2.35 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 422 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายในการชำระหนี้ตามข้อตกลงอีก 400 ล้านบาท/เดือน รวมมีรายจ่าย 822 ล้านบาท/เดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 982 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ สุทธิ 160 ล้านบาท/เดือน ยอดเงิน คงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 1 กรกฎาคม 2546 อยู่ในระดับ 6,322 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2546 รวม 8,885 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 4,617 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2546 นายกรัฐมนตรีได้มีนโยบายช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนในช่วงที่ ราคาน้ำมันแพง โดยให้จัดหาเงิน 6,000 - 8,000 บาท จากเงินกู้สำหรับจ่ายชดเชยเพื่อ ตรึงราคาขายปลีก ณ กรุงเทพมหานคร ของน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเป็นระยะเวลา 4 เดือน (เดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2546) เมื่อราคาน้ำมันลดต่ำลงให้เก็บเงินใช้คืนเงินกู้ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) ขึ้น โดยยกร่างพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งเป็นองค์การมหาชนตามพระราชบัญญัติองค์การ มหาชน พ.ศ. 2542 เพื่อให้มีฐานะเป็นนิติบุคคลและสามารถกู้เงินมาใช้ในการอุดหนุนเพื่อตรึง ราคาน้ำมันได้
2. เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2546 ได้มีประกาศพระราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่มที่ 120 ตอนที่ 26 ก เรื่องพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 ขึ้นโดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป โดยวัตถุประสงค์ เพื่อจัดหาเงิน มาให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงนำไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาระดับขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ได้สูงเกินกว่าระดับ ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด และดำเนินการใดๆ ตามนโยบายของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกองทุนพลังงาน
3. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2546 ได้มีมติให้แต่งตั้งประธานกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) จำนวน 6 คน และต่อมาสำนักนายก รัฐมนตรีได้ออกประกาศ ณ วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2546 เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันบริหารกอง ทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) โดยให้แต่งตั้ง ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2546 ซึ่งเป็นวันที่พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2546 มีผลบังคับใช้ เป็นต้นมา ประกอบด้วย นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์ เป็นประธานกรรมการ และ นายพละ สุขเวช นางเกษรี ณรงค์เดช นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ นายนิตย์ จันทรมังคละศรี และนายวิทิต สัจจพงษ์ เป็นกรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ
4. เพื่อให้สถาบันดำเนินการตามวัตถุประสงค์ และประกอบกับมาตรา 32 ของพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งสถาบันฯ ปลัดกระทรวงพลังงานจึงแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) เป็นผู้อำนวยการของสถาบันฯ เป็นการชั่วคราว เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนผู้อำนวยการสถาบันที่ยังไม่มีการแต่งตั้ง
5. ในการประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการ จัดทำหลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้อำนวยการสถาบัน และให้กำหนดค่าตอบแทนของผู้อำนวยการสถาบันให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543 เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดค่าตอบแทนของผู้อำนวยการองค์การมหาชน ซึ่งต่อมาในการประชุมคณะกรรมการสถาบันฯ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการสรรหาผู้อำนวยการสถาบันบริหารกอง ทุนพลังงานขึ้น ซึ่งประกอบด้วย คณะกรรมการ 5 คน โดยมีนายวิทิต สัจจพงษ์ เป็นประธานกรรมการ เพื่อทำหน้าที่กำหนดเกณฑ์การพิจารณาและดำเนินการ สรรหาผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบัน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินการสรรหาผู้อำนวยการต่อคณะกรรมการสถาบันให้แล้ว เสร็จภายในวันที่ 26 มิถุนายน 2546
6. เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2546 ได้มีประกาศสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เรื่อง รับสมัครบุคคลเพื่อรับการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันบริหาร กองทุนพลังงาน โดยกำหนดระยะเวลารับสมัครระหว่างวันที่ 11 - 20 มิถุนายน 2546 ซึ่งมีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกจำนวน 5 คน และคณะกรรมการสรรหา ผู้อำนวยการสถาบันได้สัมภาษณ์ผู้สมัครทั้งหมดในวันที่ 27 มิถุนายน 2546 ซึ่งปรากฏว่า ผู้สมัครทั้งหมด ไม่ผ่านการพิจารณา เนื่องจากมีคุณสมบัติและประสบการณ์ทำงานไม่สอดคล้องกับงานของสถาบันที่จะ ดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ผลการรับสมัครจะนำเสนอคณะกรรมการสถาบันฯ พิจารณาในลำดับต่อไป
7. สำหรับการดำเนินงานของสถาบันช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการสถาบันฯ เมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2546 ได้มีมติเห็นชอบให้เสนออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่สถาบันจะจ่ายให้ธนาคาร ออมสินในอัตราร้อยละ 4.00 ต่อปี ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2546 ธนาคารออมสินได้เสนอให้การสนับสนุนทางการเงินแก่สถาบัน ในรูปของวงเงินกู้เบิกเกินบัญชี โดยมีเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรนในวงเงินกู้ไม่เกิน 8,000 ล้านบาท และมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เท่ากับร้อยละ 4.00 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกระยะ 6 เดือน โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน
8. จากปัจจุบันราคาน้ำมันเชื้อเพลิงได้ปรับตัวลดลง ทำให้มีเงินไหลเข้ากองทุนน้ำมันฯ จนทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินหมุนเวียนอย่างเพียงพอ ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องเบิกเงินกู้จากธนาคารออมสินมา เพื่อเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ และแนวทางการดำเนินงานของสถาบันต่อไป คือ การบริหารกองทุนพลังงานซึ่งเป็นการบริหารจัดการเงินกองทุนพลังงานต่างๆ อาทิ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่จะโอนจากกระทรวงการคลังมายัง กระทรวงพลังงานตามกฎหมายการปฏิรูประบบราชการ ปี 2545 กระทรวงพลังงานได้มีหนังสือถึงกรมบัญชีกลางเพื่อขอผู้เชี่ยวชาญเป็นที่ ปรึกษาในการจัดเตรียมการปฏิบัติงาน ซึ่งกรมบัญชีกลางได้แต่งตั้งให้ นางอุไร ร่มโพธิหยก นักบัญชี 9 กลุ่มระบบบัญชีภาครัฐ และ คณะเป็นที่ปรึกษา สำหรับภารกิจอื่นๆ ของสถาบันในอนาคตขึ้นอยู่กับกระทรวงพลังงานจะมอบหมายให้เป็นเรื่องๆ ไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เรื่อง ความร่วมมือการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 เพื่อส่งเสริมและ ให้ความร่วมมือการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว เพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศไทยปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ปัจจุบันมีโครงการใน สปป. ลาว จำนวน 2 โครงการ ที่จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ สำหรับโครงการลำดับต่อไปที่ได้มีการเจรจาซื้อขายไฟฟ้า คือ โครงการน้ำเทิน 2
2. กฟผ. ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจโครงการน้ำเทิน 2 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2543 โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2543 ต่อมา กฟผ. ได้ดำเนินการเจรจาจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) โครงการน้ำเทิน 2 กับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการ (Num Theun 2 Power Company Limited : NTPC) ซึ่งคณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ลาว (คปฟ-ล.) ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการของร่างสัญญาฯ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544
3. คณะกรรมการ กฟผ. ได้ให้ความเห็นชอบร่างสัญญาฯ เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2545 และได้นำส่งร่างสัญญาฯ ดังกล่าวต่อสำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) ต่อมา กฟผ. ได้นำข้อสังเกตของ อส.แจ้งให้ NTPC พิจารณา และ NTPC ยินยอมแก้ไขและเพิ่มเติมในร่างสัญญาฯ ยกเว้น 2 ประเด็นที่ขอให้ กฟผ. พิจารณาคงเงื่อนไขไว้ตามร่างสัญญาฯ เดิม
4. ลักษณะโครงการน้ำเทิน 2 มีขนาดกำลังการผลิต ณ จุดส่งมอบ 920 เมกะวัตต์ กำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ กฟผ. อีก 6 ปี นับจากวันลงนามในสัญญาฯ โดยกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ประกอบด้วย รัฐบาล สปป. ลาว ถือหุ้นร้อยละ 25 EDF International ถือหุ้นร้อยละ 35 บริษัท อิตาเลียน-ไทย จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 15 และบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 25
5. สาระสำคัญของร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 สรุปได้ ดังนี้
5.1 อายุสัญญา เริ่มจากวันลงนามสัญญา และต่อเนื่องไปอีก 25 ปี นับจากวันเริ่มต้นจ่าย ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ โดยอายุสัญญาแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ช่วง 13 ปีแรก และช่วง 12 ปีหลัง
5.2 ค่าไฟฟ้าปีแรกจะมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 1.49 บาท/หน่วย (ณ. อัตราแลกเปลี่ยน 42.5 บาท/US$) และหลังจากนั้นจะเพิ่มขึ้นในอัตราประมาณ 1.38% ต่อปี ซึ่งเมื่อคำนวณค่าไฟฟ้าเฉลี่ยตลอดอายุสัญญา (Levelized Price) 25 ปี เท่ากับ 1.64 บาท/หน่วย
6. อัยการสูงสุด (อส.) มีประเด็นข้อสังเกตของสัญญาฯ ซึ่ง กฟผ. ได้นำข้อสังเกตไปหารือกับกลุ่ม ผู้ลงทุนโครงการ (NTPC) และ NTPC ยินยอมแก้ไขและเพิ่มเติม ยกเว้นใน 2 ประเด็น ดังนี้
6.1 กรณีค่าปรับไม่เท่ากัน อส. ไม่ขัดข้องเรื่องอัตราค่าปรับไม่เท่ากัน เนื่องจากการก่อสร้าง ล่าช้า แต่ให้พิจารณาทบทวนว่าจะเป็นภาระต่อ กฟผ. เกินกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่
6.2 กรณี กฟผ. มีข้อผูกพันต้องซื้อโครงการ อส. ไม่ขัดข้องในหลักการเรื่องข้อผูกพันการ Buy - out โครงการหากมีการเลิกสัญญา แต่เห็นว่าหากกำหนดทางเลือกให้ กฟผ. มีสิทธิจ่ายค่าชดเชย (มีเพดาน) แทนการ Buy-out ไว้ด้วยจะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้น
7. คณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ได้ให้ความเห็นต่อความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ดังนี้
7.1 เรื่องค่าปรับที่ไม่เท่ากัน คณะกรรมการ กฟผ. มีความเห็นว่า การกำหนดอัตราค่าปรับ ที่แตกต่างกันเนื่องจากผู้ลงทุนต้องลงทุนสูงกว่า กฟผ. หลายเท่าตัวจากการลงทุนเกี่ยวกับตัวเขื่อน โรงไฟฟ้า อาคารประกอบและสายส่ง การกำหนดอัตราค่าปรับไม่เท่ากันจึงมีความยุติธรรม
7.2 เรื่องที่ กฟผ. มีข้อผูกพันต้องซื้อโครงการ (Buy-out) หากมีการเลิกสัญญา เนื่องจาก กฟผ. ผิดสัญญา หรือเกิดจาก Thai Political Force Majeure คณะกรรมการ กฟผ. มีความเห็นว่าโครงการ น้ำเทิน 2 เป็นโครงการขนาดใหญ่มีกำลังผลิตสูงถึง 920 เมกะวัตต์ และสร้างขึ้นมาเพื่อขายไฟฟ้าให้ กฟผ. แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น หาก กฟผ. ผิดสัญญา บริษัทไม่สามารถขายไฟฟ้าให้ผู้อื่นได้ การมีเงื่อนไข Buy-out โครงการจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ผู้ลงทุนหาแหล่งเงินกู้ได้
8. สำหรับฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่า ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 กระทำขึ้นภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจ เรื่อง ความร่วมมือการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว ที่รัฐบาลไทยได้ร่วมลงนามไว้กับรัฐบาล สปป. ลาว จะเป็นประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ สำหรับการกำหนดอัตราค่าปรับที่ไม่เท่ากัน และการมีข้อผูกพันต้องซื้อคืนโครงการ (Buy-out) หากมีการเลิกสัญญา มีความเหมาะสม เนื่องจากผู้ลงทุนต้องลงทุนสูงกว่า กฟผ. หลายเท่าตัว นอกจากนี้ โครงการน้ำเทิน 2 เป็นโครงการขนาดใหญ่ และสร้างขึ้นมาเพื่อขายให้เฉพาะ กฟผ. การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนและช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถหาแหล่งเงินกู้ ได้
มติของที่ประชุม
เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในโครงการน้ำเทิน 2 ต่อไป ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างสัญญาฯ ดังกล่าว ในรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญเห็นควรให้ กฟผ. สามารถพิจารณาแก้ไขได้ โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ อีก
เรื่องที่ 4 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2546 - 2559 (PDP 2003)
สรุปสาระสำคัญ
1. แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พ.ศ. 2546 - 2559 (PDP 2003) เป็นแผนระยะยาวที่ กฟผ. จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนสำหรับการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าและระบบ ส่งไฟฟ้าในอนาคต และเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้ความเห็นชอบ โดยรายละเอียดของแต่ละโครงการภายใต้แผน PDP กฟผ. จะนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาอนุมัติเป็นราย โครงการตามขั้นตอนปกติ และแผน PDP จะถูกมีการ ปรับปรุงเป็นระยะตามความเหมาะสม
2. สมมติฐานที่ใช้ในการจัดทำแผน PDP 2003
2.1 กฟผ. ใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ซึ่งจัดทำโดยคณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเมื่อเดือนสิงหาคม 2545 เป็นฐาน โดยสมมติฐานหลักในการจัดทำค่าพยากรณ์ฯ อาศัยฐานการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยร้อยละ 4.6 ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 และร้อยละ 4.7 ในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 และ 11 ซึ่งได้ค่าพยากรณ์ความต้องการพลังไฟฟ้า เมื่อสิ้นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9, 10 และ 11 ในระดับ 21,648 เมกะวัตต์ 29,321 เมกะวัตต์ และ 38,851 เมกะวัตต์ ตามลำดับ โดยมีอัตราการเพิ่มเฉลี่ยประมาณร้อยละ 6 ต่อปี
2.2 สำหรับปริมาณก๊าซธรรมชาติใช้ข้อมูลที่ได้จากการประมาณการของ ปตท. โดยก๊าซ ธรรมชาติที่นำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้มาจากแหล่งบนบกและจากอ่าวไทย รวมทั้งการนำเข้าก๊าซจากสหภาพพม่าและแหล่งไทย - มาเลเซีย
2.3 ราคาเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับโรงไฟฟ้าต่างๆ ประมาณการโดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
2.4 กำหนดความมั่นคงของระบบไฟฟ้าด้วยตัวชี้วัด โอกาสไฟฟ้าดับ (Loss of Load probability : LOLP) ไม่เกิน 24 ชั่วโมงใน 1 ปี รวมทั้งกำหนดกำลังผลิตสำรองต่ำสุดไม่น้อยกว่าร้อยละ 15
2.5 การซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนในประเทศและจากประเทศเพื่อนบ้าน
(1) รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ประเภทที่มีสัญญา Firm ทั้งที่ลงนาม ในสัญญาแล้วและกำลังจะลงนามในสัญญา ในช่วงปี 2546 - 2548 จำนวน 128.8 เมกะวัตต์ และจาก โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนในช่วงปี 2546 - 2548 จำนวน 128.1 เมกะวัตต์ โดยพิจารณาเฉพาะที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอนุมัติ รอบแรก เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546
(2) บริษัท กัลฟ์เพาเวอร์เจนเนอเรชั่น และบริษัท ยูเนียนเพาเวอร์ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด จะมีการเจรจาเลื่อนกำหนดแล้วเสร็จออกไป 2 ปี - 3 ปีครึ่ง ตามความต้องการของระบบไฟฟ้า ส่วนบริษัท BLCP เพาเวอร์ จำกัด จะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามสัญญา
(3) โครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำเทิน 2 ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลงนามในสัญญา กำหนดการจ่ายไฟฟ้าเบื้องต้นเข้าระบบได้ในต้นปีงบประมาณ 2553
3 สาระสำคัญของแผน
3.1 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าภาคใต้
(1) ปรับปรุงการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าขนอมโดยเปลี่ยนจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ขนาด 75 เมกะวัตต์ 2 เครื่อง ซึ่งมีประสิทธิภาพต่ำให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมซึ่งมีประสิทธิภาพสูง ขึ้น ขนาด 385 เมกะวัตต์ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติในปริมาณใกล้เคียงกับปัจจุบัน กำหนดแล้วเสร็จในต้นปี 2550
(2) ก่อสร้างสายส่ง 500/230 กิโลโวลต์ บางสะพาน - สุราษฎร์ธานี ให้แล้วเสร็จภายในปี 2551 เพื่อเสริมระบบในภาคใต้ให้สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนการ ผลิตต่ำกว่าโรงไฟฟ้าขนาดเล็กที่ผลิตไฟฟ้าอยู่ในภาคใต้ พร้อมทั้งสามารถส่งกระแสไฟฟ้าที่มีราคาถูกจากภาคกลางมายังภาคใต้
(3) ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ภาคใต้ ขนาด 700 เมกะวัตต์ เพื่อสนองความต้องการไฟฟ้าในภาคใต้ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2551
3.2 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(1) ปรับปรุงสายส่ง 230 กิโลโวลต์ ลำตะคอง-นครราชสีมา 2 ให้แล้วเสร็จภายในปี 2550 เพื่อแก้ไขการขาดแคลนไฟฟ้า เนื่องจากการลดลงของปริมาณก๊าซธรรมชาติที่จ่ายให้โรงไฟฟ้าน้ำพอง
(2) ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำเทิน 2 ให้แล้วเสร็จในปี 2553
(3) ประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อพิจารณาความเหมาะสมในการวางท่อก๊าซธรรมชาติไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าบริเวณจังหวัดนครราชสีมา
(4) พิจารณาก่อสร้างสายส่ง 500/230 กิโลโวลต์ ท่าตะโก-ชัยภูมิ-อุดรธานี ให้แล้วเสร็จภายในปี 2554 หากการดำเนินการในข้อ (3) ไม่เหมาะสม
3.3 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้ารวม
(1) เจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน บริษัท กัลฟ์เพาเวอร์เจนเนอเรชั่น จำกัด และบริษัท ยูเนียนเพาเวอร์ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด ให้เลื่อนการจ่ายไฟฟ้าออกไป 2 ปี - 3 ปีครึ่ง ตามความเหมาะสม
(2) ยืดอายุโรงไฟฟ้าเก่าที่จะหมดอายุการใช้งาน แต่มีค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงต่ำ โดย ทำการปรับปรุงให้มีอายุการใช้งานเพิ่มขึ้นอีก 10-15 ปี
(3) ก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 และพระนครใต้ ชุดที่ 3 ให้แล้วเสร็จในปี 2552 และบางปะกง ชุดที่ 5 ให้แล้วเสร็จในปี 2553 ขนาดกำลังผลิตชุดละ 700 เมกะวัตต์ โดยใช้ที่ตั้งของโรงไฟฟ้าเดิมที่หมดอายุการใช้งาน
(4) โรงไฟฟ้าใหม่นอกเหนือจากนั้นจะเริ่มเข้าระบบในปี 2553 ซึ่งอาจจะเป็นการก่อสร้าง โดย กฟผ. หรือซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าภายในประเทศหรือประเทศเพื่อนบ้าน
(5) ปรับปรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ใช้งานมานาน ประกอบด้วย เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนน้ำพุง และเขื่อนแก่งกระจาน
3.4 กฟผ. ได้จัดทำแผนหลักและแผนทางเลือก โดยการนำโรงไฟฟ้าเข้าระบบและกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองต่ำสุดในแต่ละปี ในช่วงปี 2546 - 2555 เหมือนกันทั้งสองแผน แต่หลังจากปี 2556 แผนหลักจะนำโรงไฟฟ้าที่ยังไม่ระบุเชื้อเพลิงเข้าในระบบ ส่วนแผนสำรองจะนำโครงการสาละวินเข้าระบบแทนโรงไฟฟ้าใหม่ รวมทั้งสิ้นจำนวน 5,390 เมกะวัตต์ ทำให้มีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงต่างกัน โดยมีการใช้พลังน้ำ ก๊าซธรรมชาติ และโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังไม่ระบุเชื้อเพลิง ร้อยละ 5.1 47.3 และ 34.6 ตามลำดับในแผนหลัก กับร้อยละ 17.6 49.3 และ 20.6 ตามลำดับในแผนทางเลือก
3.5 กำลังผลิตสำรองต่ำสุดภายใต้แผนหลักและแผนทางเลือกมีปริมาณเท่ากัน โดยในปี 2546 มีกำลังการผลิตสำรองต่ำสุดร้อยละ 35.5 ซึ่งจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงระดับร้อยละ 15 ในปี 2550 และคงอยู่ ในระดับดังกล่าวจนสิ้นสุดแผน
3.6 แผนการลงทุนของ กฟผ. แบ่งออกเป็นการลงทุนในส่วนของโรงไฟฟ้าและสายส่งที่ กฟผ. ดำเนินการเอง และส่วนของโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังมิได้กำหนดนโยบายการลงทุน โดยช่วงแผนพัฒนาฉบับที่ 9 กฟผ. จะลงทุนเองทั้งหมด คิดเป็นเงิน 90,500 ล้านบาท และในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 กฟผ. จะมีการ ลงทุนเอง 178,000 ล้านบาท และมีส่วนของโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังมิได้กำหนดนโยบายการลงทุน 157,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 425,500 ล้านบาท
3.7 อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งหากประมาณการโดยพิจารณาผลตอบแทนจากอัตราส่วนทางการเงิน ที่ใช้อยู่ คือ ความสามารถในการลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 และความสามารถในการชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 1.3 เท่า แล้ว อัตราค่าไฟฟ้าขายส่งในแผนหลักกรณีที่โรงไฟฟ้าใหม่ก่อสร้างโดย กฟผ. จะอยู่ระหว่าง 1.916 - 2.129 บาทต่อหน่วย ในช่วงปี 2546-2559
4. ฝ่ายเลขานุการฯ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับแผน PDP 2003 ดังนี้
4.1 ระดับกำลังการผลิตสำรองในช่วงปี 2546 จะเท่ากับร้อยละ 35.5 และจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงระดับร้อยละ 15 ในปี 2550 และคงอยู่ในระดับดังกล่าวจนสิ้นสุดแผน การกำหนดระดับกำลังการผลิตสำรองที่อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ต้องมั่นใจว่าโรงไฟฟ้ามีความพร้อมจ่ายกระแสไฟฟ้า และโรงไฟฟ้าใหม่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ตามกำหนด ดังนั้น กฟผ. ควรพิจารณาข้อจำกัดต่างๆ ของโรงไฟฟ้า เช่น ข้อจำกัดด้านปริมาณและราคาเชื้อเพลิง และด้านชลประทานเพิ่มเติม นอกจากนี้ กฟผ. ควรมีการพิจารณาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้า เสร็จไม่ทันกำหนดเพิ่มเติม เช่นในกรณีของโรงไฟฟ้า BLCP และโรงไฟฟ้าบริษัท กัลฟ์ฯ และบริษัท ยูเนียน ซึ่งอาจไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตามกำหนดได้ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบไฟฟ้ามีความมั่นคง และมีไฟฟ้าใช้เพียงพอต่อความต้องการ
4.2 สัดส่วนการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจากร้อยละ 2.5 ปี 2546 เป็นร้อยละ 5.2 ปี 2549 ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าโดยรวมเพิ่มขึ้น เนื่องจากโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงมีอายุมากและมีประสิทธิภาพต่ำ และราคาน้ำมันเตาสูงกว่าราคาก๊าซธรรมชาติ
4.3 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าไม่ได้ระบุว่าใครจะเป็นผู้ลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้า ใหม่ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 ซึ่งหาก กฟผ. เป็นผู้ลงทุนในส่วนนี้ทั้งหมดจะทำให้ภาครัฐมีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นจากใน ช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 เกือบ 4 เท่า ดังนั้น กฟผ. ควรเพิ่มเติมรายละเอียดการลงทุนในส่วนนี้ให้มีความชัดเจน โดยอาจพิจารณาให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) เข้าร่วมผลิตไฟฟ้าเพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐโดยใช้วิธีการประมูลแข่งขัน ได้
4.4 เพื่อให้มั่นใจว่าราคาก๊าซฯ และน้ำมันเตาจะอยู่ในระดับที่เหมาะสมและเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน ปตท. ควรพิจารณาการพยากรณ์ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มเติมเป็นหลายกรณี เช่น กรณีฐาน กรณีสูง หรือกรณีต่ำ
4.5 ในระยะปานกลาง (ปี 2546 - 2554) สัดส่วนการใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า จะอยู่ในระดับสูง ดังนั้น กฟผ. ควรพิจารณาชนิดเชื้อเพลิงที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าในอนาคตเพิ่มเติม เพื่อให้มั่นใจว่าระบบไฟฟ้ามีเสถียรภาพและมีเชื้อเพลิงเพียงพอ
4.6 การปรับปรุงโรงไฟฟ้าเก่าจะมีผลทำให้ประหยัดการลงทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าใน ช่วงต้น แต่ประสิทธิภาพของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจะต่ำ และอาจทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นได้ในที่สุด ดังนั้น กฟผ. ควรจัดทำรายละเอียดการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบทางการเงินของการปรับปรุง โรงไฟฟ้าเก่าต่อไป เพื่อให้ มั่นใจว่าการปรับปรุงโรงไฟฟ้ามีความคุ้มค่าทางการเงิน
4.7 การจัดหาไฟฟ้าในภาคใต้ โดยการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมภาคใต้ในช่วงปี 2551 จะทำให้กำลังผลิตไฟฟ้ามากกว่าความต้องการ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงไฟฟ้าที่สามารถซื้อผ่านสายส่งเชื่อมโยงไทย - มาเลเซีย จำนวน 300 เมกะวัตต์ ดังนั้นการก่อสร้างสายส่งไปยังภาคใต้ ได้แก่ โครงการสร้างสายส่ง จอมบึง - บางสะพาน และสายส่งบางสะพาน-สุราษฎร์ธานี อาจจะยังไม่มีความจำเป็นน่าจะเลื่อนออกไปได้ โดยเฉพาะในกรณีสายส่งจอมบึง - บางสะพาน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อรองรับการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้า บ่อนอกและหินกรูด ซึ่งมีการเลื่อนกำหนดการซื้อขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ออกไปแล้ว
4.8 เพื่อให้มีการกระจายชนิดเชื้อเพลิงและลดภาระการลงทุนของภาครัฐ กฟผ. อาจพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านตามบันทึกความเข้าใจที่ได้มีการ ลงนามไปแล้วเป็นทางเลือกหนึ่งในการ จัดหาไฟฟ้า โดยใช้หลักการต้นทุนที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในการเจรจาตกลงราคารับซื้อไฟฟ้า
4.9 กฟผ. ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างสายส่ง เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากโครงการเขื่อนสาละวิน และควรจัดทำรายละเอียดการศึกษาความเป็นไปได้ ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และผลกระทบทางการเงินของโครงการต่อไป เพื่อเพิ่มความชัดเจนของแผนทางเลือก
4.10 กฟผ. ควรบรรจุโครงการ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนไว้ในแผน หากโครงการของผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนได้รับอนุมัติจาก คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานแล้ว
4.11 กฟผ. ควรเพิ่มเติมข้อมูลการประมาณการฐานะการเงิน และการคำนวณราคาขายส่งไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าราคาขายส่งดังกล่าวมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ สมมุติฐานราคาเชื้อเพลิง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2546 - 2559 (PDP 2003)
2.มอบหมายให้ กฟผ. แก้ไขรายละเอียดของแผนดังกล่าวโดยปรับลดขนาดสายส่งบางสะพาน - สุราษฎร์ธานี ลงเป็นขนาด 230 เควี พร้อมทั้งปรับปรุงแผนการลงทุนให้สอดคล้องกันก่อนนำแผนดังกล่าวเสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2535 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อให้เกิดการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ให้มีการผลิตและการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม จึงได้ออกกฎกระทรวง รวม 4 ฉบับ ดังนี้
(1) กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2538 และว่าด้วยกำหนดแบบและระยะเวลาการส่งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานและการ อนุรักษ์พลังงานและกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบันทึกข้อมูลการใช้พลังงาน และการติดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่มีผลต่อการใช้ พลังงานและการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุม ซึ่งเป็นการกำหนดให้เจ้าของอาคารควบคุมต้องส่งข้อมูลการใช้พลังงานและการ อนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ตามแบบ บพอ.1 และ แบบ บพอ.2 ตามลำดับ
(2) กฎกระทรวง ฉบับที่ 5 พ.ศ. 2540 ว่าด้วยการกำหนดแบบระยะเวลาการส่งข้อมูล เกี่ยวกับการผลิต การใช้พลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบันทึกข้อมูล การใช้พลังงาน และการติดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่มีผลต่อการใช้ พลังงานและการอนุรักษ์ พลังงาน สำหรับโรงงานควบคุมซึ่งเป็นการกำหนดให้เจ้าของโรงงานควบคุมต้องส่งข้อมูลการ ใช้พลังงานและการอนุรักษ์พลังงาน และการติดตั้งหรือเปลี่ยนแปลงเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ส่งให้ พพ. ตามแบบ พบร.1 และ พบร. 2 ตามลำดับ
(3) กฎกระทรวง ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2538 และ กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2540 ว่าด้วยกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและระยะเวลาให้เจ้าของอาคารควบคุม/เจ้าของโรงงานควบคุม จัดทำ ส่งเป้าหมาย และแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม/ของโรงงานควบคุม และตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคาร ควบคุม/ของโรงงานควบคุม โดยเจ้าของอาคารควบคุม/โรงงานควบคุม ต้องดำเนินการดังนี้
- เจ้าของอาคารควบคุม/เจ้าของโรงงานควบคุม ต้องดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเพื่อใช้ประกอบในการกำหนด เป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยมี 3 ขั้นตอน คือ การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียด และการ จัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อส่งให้ พพ. ตามที่กฎกระทรวงกำหนด
- เจ้าของอาคารควบคุม/เจ้าของโรงงานควบคุมทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การ ปฏิบัติตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานที่ พพ. ให้ความเห็นชอบแล้ว และจัดทำรายงานทุกหนึ่งปี
2. ภายหลังจากการใช้บังคับกฎกระทรวงทั้ง 4 ฉบับ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว เนื่องจากแบบ บพอ.1 และ บพร.1 ยังไม่เหมาะสมและไม่มีความชัดเจน ส่งผลให้การส่งรายงานตามแบบ บพอ.1 และ บพร.1 ไม่ถูกต้องและยุ่งยาก ต่อการดำเนินการ นอกจากนั้น การจัดทำเป้าหมายและแผนเพื่อลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามกฎหมายมีความ ล่าช้ากว่าที่กำหนด เนื่องจากต้องดำเนินการหลายขั้นตอนจึงเป็นภาระต่อเจ้าของอาคารควบคุมและโรง งานควบคุมส่งผลให้การอนุรักษ์พลังงานไม่บรรลุผลตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้อง แก้ไขกฎกระทรวง 4 ฉบับ ดังนี้
(1) ยกร่างแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2538) และ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2540) เฉพาะส่วนแบบ บพอ.1 และ บพร.1 จะเป็นการปรับเปลี่ยนเฉพาะ แบบ บพอ.1 และ บพร.1 สำหรับวิธีการและระยะเวลานำส่ง รวมทั้ง แบบ บพอ.2 และ บพร.2 ยังคงเป็นไปตามเดิม
(2) ยกเลิกกฎกระทรวงฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2538) และฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2540) แล้วยกร่าง กฎกระทรวงใหม่ โดยรวมกฎกระทรวงทั้งในส่วนของอาคารควบคุมและโรงงานควบคุมเป็นฉบับเดียว ซึ่งจะ ทำให้ลดขั้นตอนในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานจากเดิมสามขั้นตอน เหลือเพียงขั้นตอนเดียว และสร้างกลไกการควบคุมการดำเนินการของที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานโดย กฎหมายวิชาชีพ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติการส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 (เอกสารแนบ 4.3.2) พร้อมบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่าง (เอกสารแนบ 4.3.1)
2.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการตรวจสอบและวิเคราะห์การปฏิบัติตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม พ.ศ. .... (เอกสารแนบ 4.3.4) พร้อมบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่าง (เอกสารแนบ 4.3.3)
3.เห็นชอบตารางเปรียบเทียบกฎกระทรวงฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2538) และฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2540) กับ ร่างกฎกระทรวงใหม่ (เอกสารแนบ 4.3.5)
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 2-8 พฤศจิกายน 2558
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 7-13 กรกฏาคม 2557
กพช. ครั้งที่ 92 - วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2545 (ครั้งที่ 92)
วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์พลังงานของไทย
- สถานการณ์พลังงานของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545
- สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
3.คณะกรรมการและระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแต่งตั้ง
4.รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2545
5.การปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
6.การขอยกเลิกคณะกรรมการต่างๆ ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แต่งตั้ง
7.การแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.)
8.การปรับปรุงคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อนให้สอดคล้องกับการปรับระบบราชการ
9.การปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535
10.การส่งเสริมและสนับสนุนการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่ง
นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ เป็นประธานที่ประชุม
นายเมตตา บันเทิงสุข ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ เป็นเลขานุการที่ประชุม
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และได้ ชี้ถึงแนวทางนโยบายด้านพลังงานที่จะดำเนินการต่อไป โดยขอให้มุ่งเน้น 4 ด้าน คือ 1) การพัฒนาพลังงานที่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยต้องติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจและพลังงานอย่างใกล้ ชิด โดยเฉพาะด้านราคาเชื้อเพลิง 2) การจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ทั้งภายในและภายนอกประเทศ 3) การจัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการ และ 4) การพัฒนาด้านพลังงานที่มีความสมดุลย์กับสิ่งแวดล้อม
เรื่อง สถานการณ์พลังงานของไทย
เรื่องที่ 1-1 สถานการณ์พลังงานของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาพรวมการใช้ การผลิต การส่งออก และการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์
1.1 การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 อยู่ที่ระดับ 1,283 พันบาร์เรล น้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2544 ทั้งนี้เป็นการเพิ่มขึ้นของ พลังงานทุกประเภท สำหรับสัดส่วนของการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์แต่ละชนิด ประกอบด้วย น้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหินและลิกไนต์ และไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้าคิดเป็นร้อยละ 46 37 14 และ 3 ตามลำดับ
1.2 การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 อยู่ที่ระดับ 634 พันบาร์เรล น้ำมันดิบต่อวัน ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.0 เมื่อเทียบกับช่วงวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยที่การผลิตพลังงานทุกชนิด มีปริมาณเพิ่มขึ้น ยกเว้นคอนเดนเสทที่มีการผลิตลดลงเล็กน้อย สำหรับสัดส่วนของการผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ แต่ละชนิด ประกอบด้วย การผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ลิกไนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.0 และไฟฟ้าพลังน้ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9
1.3 การนำเข้า (สุทธิ) พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 อยู่ที่ระดับ 810 พันบาร์เรลน้ำมันดิบต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2544 เนื่องจากได้มีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่าปริมาณมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปซึ่งเป็นผลจาก การผลิตของโรงกลั่นที่มีปริมาณมากกว่าความต้องการใช้ภายในประเทศ โดยที่มูลค่าการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ มีจำนวน 219,154 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 4.7
2. สถานการณ์พลังงานแต่ละชนิด สรุปได้ดังนี้
2.1 การใช้ก๊าซธรรมชาติในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 อยู่ที่ระดับ 2,617 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 อันเป็นผลจากนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้ใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนการใช้ น้ำมันเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า โดยการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากแหล่งยาดานาและเยตากุนของพม่ามาใช้เป็นเชื้อ เพลิง ในการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ การใช้ก๊าซธรรมชาติที่ของโรงไฟฟ้า IPP ได้เพิ่มสูงขึ้นด้วย
2.2 ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 อยู่ที่ระดับ 74 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยที่แหล่งผลิตน้ำมันดิบที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งเบญจมาศ แหล่งสิริกิติ์ และแหล่งทานตะวัน ได้ผลิตน้ำมันดิบและคอนเดนเสทคิดเป็นร้อยละ 15 ของความต้องการใช้เพื่อการกลั่นภายในประเทศ จึงทำให้ต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวน 725 พันบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นมูลค่า 182,266 ล้านบาท
2.3 การผลิตลิกไนต์ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 อยู่ที่ระดับ 13 ล้านตัน ซึ่งผลิตได้จากเหมืองแม่เมาะและกระบี่ของ กฟผ. คิดเป็นร้อยละ 76 และร้อยละ 21 เป็นการผลิตจากเหมืองเอกชน ส่วนลิกไนต์ที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จำนวน 9.7 ล้านตัน ซึ่งลดลงร้อยละ 5.8 จากปีที่ผ่านมา ส่วนการใช้ลิกไนต์ของภาคเอกชนมีปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 โดยส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมผลิตปูนซีเมนต์ สำหรับการนำเข้าถ่านหินได้มีปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ซึ่งถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าของ SPP จำนวนประมาณ 1.8 ล้านตัน และใช้ในภาคอุตสาหกรรม จำนวน 1.9 ล้านตัน
2.4 การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 อยู่ที่ระดับ 621 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยการใช้น้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดมีปริมาณ เพิ่มขึ้นเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่วนปริมาณการผลิตยังมีปริมาณที่สูงกว่าความต้องการใช้ภายในประเทศ จึงส่งผลให้มีการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป (สุทธิ) เป็นจำนวน 81 พันบาร์เรลต่อวัน
2.5 ปริมาณการผลิตไฟฟ้าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2545 อยู่ที่ระดับ 74,008 ล้านหน่วย (Gwh) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยที่การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติมี สัดส่วนของการผลิตสูงสุดคือ ร้อยละ 71.5 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศ สำหรับความต้องการไฟฟ้าสูงสุด (Peak Demand) อยู่ที่ระดับ 16,681 เมกะวัตต์ ขณะที่การใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมมีอัตราเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 ส่วนภาคธุรกิจ และที่อยู่อาศัยมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.9 และ 3.3 ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 1-2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2545 ได้ปรับตัวลดลง 2.7 - 5.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามในตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐอเมริกา และอิรักได้ผ่อนคลายลง โดยอิรักยินยอมปฏิบัติตามมติคณะความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในการปลดอาวุธร้าย แรงอย่างไม่มีเงื่อนไข ประกอบกับมีอุปทานเพิ่มขึ้นจากอิรักส่งออกน้ำมันดิบมากขึ้น และกลุ่มโอเปคยังคงผลิตเกินโควต้า ราคาน้ำมันดิบ ดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2545 อยู่ที่ระดับ 22.53 และ 23.85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2545 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ได้ปรับตัวลดลง 1.5 และ 1.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้ ในภูมิภาคลดลง ในขณะที่ไต้หวันและจีนมีการส่งออกเพิ่มขึ้น ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในเดือนตุลาคมได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.84 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากประเทศต่างๆ ลดการส่งออกเพื่อใช้ในฤดูหนาว แต่ในเดือนพฤศจิกายนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วได้อ่อนตัวลง 2.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดเบาบาง ในขณะที่อุปทานเพิ่มสูงขึ้นจากการส่งออกของจีน มาเลเซีย เกาหลี และอินเดีย โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92, ก๊าด, ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2545 อยู่ที่ระดับ 27.9, 26.9, 28.3, 28.0 และ 21.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2545 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วได้ปรับลดลงสุทธิ 20, 20 และ 40 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ ราคา ขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2545 อยู่ที่ระดับ 15.59, 14.59 และ 13.89 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดและค่าการกลั่นในเดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ระดับ 1.45 บาท/ลิตร และ 1.44 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนพฤศจิกายน 2545 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 32 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ในระดับ 327 เหรียญสหรัฐ/ตัน และราคาก๊าซ ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 13.52 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจาก กองทุนน้ำมันฯ 5.32 บาท/กก. คิดเป็นเงิน 899 ล้านบาท/เดือน กองทุนฯ มีรายรับ 878 ล้านบาท/เดือน และ มีรายจ่ายในการชำระหนี้ตามข้อตกลงอีก 400 ล้านบาท/เดือน ทำให้กองทุนฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 421 ล้านบาท/เดือน
5. กรมบัญชีกลาง ได้รายงานยอดคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2545 อยู่ในระดับ 6,135 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2545 รวม 11,013 ล้านบาท และกรม สรรพสามิตได้รายงานว่า ในเดือนตุลาคม 2545 ไม่มีการชำระหนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เจ้าหนี้ผู้ผลิต ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ทำให้ยอดหนี้ค้างชำระตามข้อตกลงยังคงอยู่ในระดับเดิมที่ 9,366 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปศึกษามาตรการและแนวทางบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยการใช้อัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการสำรองน้ำมันโดยรัฐ
เรื่องที่ 2 องค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. ตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้กำหนดให้มี คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยมีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน รองนายกรัฐมนตรีเป็นกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องด้านพลังงาน เป็นกรรมการ และเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ เพื่อเสนอนโยบายและแผนการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศต่อคณะรัฐมนตรี
2. เนื่องจากการกำหนดนโยบายการบริหารและพัฒนาของประเทศได้มีการเปลี่ยนแปลงโครง สร้างส่วนราชการใหม่ตามกฎหมายปฏิรูประบบราชการ พ.ศ. 2545 โดยในส่วนของพระราชบัญญัติปรับปรุงฯ ได้มีการแก้บทบัญญัติของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ใหม่ คือ ให้เปลี่ยนคำว่า "สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ" เป็น "สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน" คำว่า "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน" เป็น "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน" คำว่า "อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน" เป็น "อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน" และคำว่า "เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ" เป็น "ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน" นอกจากนี้ ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 300/2545 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ดังนั้น องค์ประกอบของ กพช. จึงปรับเปลี่ยนไป โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) เป็นประธานกรรมการ รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน เป็นกรรมการ หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์ พลังงาน เป็นกรรมการ โดยมีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 คณะกรรมการและระเบียบที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแต่งตั้ง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามความในมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อาจแต่งตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติมอบหมายได้ และปัจจุบันมีระเบียบและคณะกรรมการต่างๆ ที่สำคัญ ซึ่งออกและแต่งตั้งโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ทั้งหมด 6 คณะ และออกระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ 1 ฉบับ
2. ระเบียบและคณะกรรมการที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติออกและแต่งตั้ง ประกอบด้วยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน คณะกรรมการประสานงานป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม คณะกรรมการอำนวยการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการป้องกันและปราบ ปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนใน การแปรสภาพ ปตท. คณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นน้ำมันไทย และคณะกรรมการเพื่อดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า และออกระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2545
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุด หนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมทำ หน้าที่แทน กพช. ในการพิจารณาจัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ พร้อมทั้งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดทำงบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปี งบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2545 ซึ่งเป็นไปตามมติ ของ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543 ที่เห็นชอบ แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2544 - 2546 ภายในวงเงินรวมทั้งสิ้น 66 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 2545 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินตามหมวดรายจ่ายต่างๆ ตามความจำเป็นเร่งด่วนและความต้องการใช้งบประมาณของหน่วยงานต่างๆ โดยได้โอนค่าใช้จ่ายจากหมวดการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงานจำนวน 152,288 บาท และหมวดการโฆษณาเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ จำนวน 96,800 ล้านบาท ไปเป็นค่าใช้จ่ายในหมวดทุนการศึกษา และฝึกอบรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,649,088 บาท ส่วนแผนการใช้เงินในหมวดอื่นๆ ยังคงเดิม กล่าวคือ หมวดการค้นคว้า วิจัย และการศึกษา 4 ล้านบาท หมวดการเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา 5 ล้านบาท และหมวดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน 0.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22 ล้านบาท
3. จากการปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อใช้จ่ายตามหมวดค่าใช้จ่ายต่างๆ สรุปได้ดังนี้ คือ
1) หมวดการค้นคว้า วิจัย และการศึกษา และหมวดการโฆษณาการเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ไม่ได้มีการอนุมัติงบ ประมาณ ทั้ง 2 หมวด ทำให้มีเงินคงเหลือเป็นเงิน 6,903,200 บาท
2) หมวดเงินทุนการศึกษาและฝึกอบรม ได้อนุมัติทุนการศึกษาระดับปริญญาโทในประเทศ จำนวน 9 ทุน ทุนฝึกอบรมภาษาอังกฤษในต่างประเทศ จำนวน 8 ทุน และทุนฝึกอบรมภาษาอังกฤษในประเทศ 61 ทุน รวมวงเงิน 5,636,800 บาท
3) หมวดการเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรม และสัมมนา ได้อนุมัติงบประมาณให้กับหน่วยงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับพลังงานและ ปิโตรเลียมจำนวน 5 โครงการ ในวงเงิน 1,554,200 บาท
4) หมวดการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน ได้อนุมัติงบประมาณในหมวดครุภัณฑ์สำนักงาน จำนวนเงิน 3,847,712 บาท
5) หมวดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ได้อนุมัติเงินจำนวน 600,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างลูกจ้างชั่วคราว ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณรายจ่ายจากสำนักงบประมาณ
4. ในส่วนการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุน ปีงบประมาณ 2546 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อมูลจากงบแสดงผลการรับ-จ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงิน ของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ มีมติยืนยันแผนการใช้จ่ายเงินในปีงบประมาณ 2546 ตามแผนการใช้จ่ายที่กำหนดไว้เดิมจำนวน 22 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2545
เรื่องที่ 5 การปรับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกอง ทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้ใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" และมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) เป็นผู้พิจารณาทางเลือกการดำเนินการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือปรับราคาโดยอัตโนมัติ
2. กพง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้แจ้งยืนยันการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ว่าจะชำระหนี้ให้แก่ เจ้าหนี้ทุกรายตามสัดส่วนหนี้ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2544 โดยรวมไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาทต่อไตรมาส เริ่มมีผลตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2544 เป็นต้นไป และหากกองทุนชำระหนี้ไม่ควบถ้วน ให้จ่ายดอกเบี้ยในอัตรา ค่าเฉลี่ย MLRลบ 1 ต่อปี ของธนาคารพาณิชย์ที่เป็นรัฐวิสาหกิจ นับแต่วันถัดจากวันสิ้นไตรมาส โดยคำนวณจากเงินส่วนที่จ่ายขาดในแต่ละไตรมาส ไปจนถึงวันที่ชำระครบถ้วน
3. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนตุลาคม 2545 ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 295 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 12.19 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 4.92 บาท/กก. หรือ 831 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่นในระดับ 878 ล้านบาท/เดือน มีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระดับ 831 ล้านบาท/เดือน มีเงินไหลเข้ากองทุนฯ 47 ล้านบาท/เดือน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ที่ได้ตกลงไว้กับผู้ผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวใน ระดับ 400 ล้านบาท/เดือน
4. เพื่อลดภาระการจ่ายเงินชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ และรักษาระดับรายได้สุทธิให้สามารถชำระหนี้ได้ตามข้อตกลง สนพ. ได้ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 45 พ.ศ. 2545 ปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้น 0.9346 บาท/กก. เป็น 10.5878 บาท/กก. โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มรวมภาษี มูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้น 1 บาท/กก. เป็น 14.60 บาท/กก. หรือ เพิ่มขึ้น 15 บาท/ถัง (15 กก.) เป็น 219 บาท/ถัง (15 กก.)
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 การขอยกเลิกคณะกรรมการต่างๆ ที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แต่งตั้ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ชาติ (กพช.) ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการต่างๆ ขึ้น เพื่อให้การดำเนินงานของ กพช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1) คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน 2) คณะกรรมการอำนายการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการป้องกันและปราบ ปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม 3) คณะกรรมการประสานงานป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม 4) คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. 5) คณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นน้ำมันไทย และ 6) คณะกรรมการเพื่อดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า
2. เนื่องจากการกำหนดนโยบายการบริหารและพัฒนาพลังงานของประเทศได้มีการปรับ เปลี่ยน โครงสร้างตามกฎหมายปฏิรูประบบราชการ พ.ศ. 2545 โดยได้จัดตั้งกระทรวงพลังงานขึ้น อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการที่ กพช. ได้แต่งตั้งไว้ บางคณะกรรมการได้ปฏิบัติภารกิจแล้วเสร็จ และบางคณะกรรมการสมควรต้องเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการใหม่ตามนโยบาย ของกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน โดยความเห็นชอบจากปลัดกระทรวงพลังงานขอเสนอให้ยกเลิกคำสั่งการแต่งตั้งคณะ กรรมการต่างๆ ที่ กพช. ได้ออกคำสั่งไว้เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพการณ์ปฏิบัติงานของกระทรวง พลังงาน ดังนี้ คือ
(1) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
(2) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
(3) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม
(4) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท.
(5) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นน้ำมันไทย
(6) คำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากสภาพพม่า
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
เรื่องที่ 7 การแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ได้ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานขึ้น ซึ่งประกอบด้วย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (สั่งและปฏิบัติราชการในสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติแทนนายก รัฐมนตรี) เป็นประธานกรรมการ และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้าน พลังงานเป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่เสนอแนะนโยบายการบริหารและพัฒนา และมาตรการทางด้านพลังงาน รวมทั้ง เสนอ ความเห็นต่อ กพช. เกี่ยวกับพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และมาตรการอื่นๆ ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน นอกจากนั้น ปฏิบัติงานอื่นๆ ตามที่ กพช. หรือประธาน กพช. มอบหมาย
2. เมื่อพิจารณาจากอำนาจหน้าที่ของ กพง. เห็นได้ว่าคณะกรรมการดังกล่าวยังมีความจำเป็น มีความสำคัญและมีบทบาทภารกิจที่ต่อเนื่อง สนพ. จึงขอเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) เพื่อปฏิบัติภารกิจให้บรรลุเป้าหมายที่จะแก้ไขปัญหาและเสนอแนะแนวทางในการ กำหนดนโยบายการบริหารและพัฒนาของประเทศต่อไป โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการ ดังนี้
2.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานกรรมการ
2.2 ปลัดกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นกรรมการ
2.3 ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ พร้อมทั้ง ผู้แทน สนพ. เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน" เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานที่ยกเลิกไป โดยที่มีองค์ประกอบของคณะกรรมการจำนวน 11 คน
เรื่องที่ 8 การปรับปรุงคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเถื่อนให้สอดคล้องกับการปรับระบบราชการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติรับทราบคำสั่งของนายก รัฐมนตรี ที่มีบัญชามอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) มีอำนาจในการกำหนดแนวทางปฏิบัติ กำกับ ดูแลและควบคุมการปฏิบัติราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่รวมถึงการบริหารงานบุคคล ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันทน์) ในฐานะประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงได้มีคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 1/2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2545 และคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่ 2/2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2545 โดยทั้ง 2 คณะมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ
3. เนื่องจากพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และพระราชกฤษฎีกาโอน กิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับ ปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 ได้โอนอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการกำกับ ดูแลงานด้านพลังงานในสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องให้ไปอยู่ที่กระทรวงพลังงาน และได้มีการเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของหน่วยงานเดิมที่เคยปฏิบัติงานที่เกี่ยว ข้องด้านพลังงาน โดยให้โอนอำนาจหน้าที่เฉพาะด้านพลังงานไปยังหน่วยใหม่ที่สังกัดกระทรวง พลังงานทำให้องค์ประกอบของคณะกรรมการที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมมีการเปลี่ยนแปลงไป สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงเสนอให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 1/2545 และ ที่ 2/2545 ดังกล่าวในข้อ 2
4. ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 300/2545 เรื่องมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในคณะกรรมการต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ได้มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมเป็นไป อย่างมีระบบ จึงควรให้แต่งตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาเพื่อปฏิบัติงาน สนพ. จึงได้ดำเนินการยกร่างคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่ ..../2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และคณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม มาเพื่อพิจารณา
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนคณะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนคณะกรรมการ อำนวยการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจ แห่งชาติในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมและคณะ กรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ที่ถูกยกเลิกไป โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวให้เหมาะสม แล้วนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเพื่อพิจารณา ก่อนเสนอให้ประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาลงนาม โดยถือเป็นมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นผู้ พิจารณาจัดสรร การใช้ประโยชน์เงินอุดหนุนจำนวน 350 ล้านบาท ที่บริษัท เอสโซ่แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด มอบให้แก่กระทรวงอุตสาหกรรม และตามข้อ 7 ของระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุด หนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง กำหนดให้นำเงินกองทุนนี้ไปใช้จ่ายได้เฉพาะดอกผล หรือผลประโยชน์ใดๆ ที่เกิดจากกองทุน โดยให้ใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันโดยส่วนราชการที่เกี่ยวกับการพลังงานและ ปิโตรเลียม ดังนั้น รายได้ของกองทุน จึงได้มาจากดอกผล ที่ได้จากดอกเบี้ยของเงินต้น ซึ่งนำไปหาผลประโยชน์จากการฝากธนาคาร การซื้อพันธบัตรรัฐบาล และการซื้อตราสารการเงินอื่นๆ ที่กระทรวงการคลังเห็นชอบ และ ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 กองทุนมีเงินต้น 350 ล้านบาท และดอกเบี้ยของกองทุนจำนวนรวม 33,731,858.62 บาท
2. กพช. โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง ได้วางระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เพื่อเป็นกรอบในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนทางด้านการเงินแก่ หน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านการพลังงานและปิโตรเลียม และตามความในข้อ 9 ของระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วยการบริหาร กองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนคณะหนึ่ง ประกอบด้วยเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธาน และผู้แทนจากกรมบัญชีกลาง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการ โดยมีผู้แทน สพช. เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ ในการทำ หน้าที่แทนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการจัดสรรเงินกองทุนตามวัตถุ ประสงค์ของกองทุน และกำหนดระเบียบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้เงินกองทุน รวมทั้ง จัดทำงบแสดงฐานะการเงิน งบรายรับ - จ่าย ทุกวันสิ้นปีงบประมาณ ตลอดจนรายงานผลการใช้จ่ายเงินกองทุนต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
3. เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีการเปลี่ยนแปลงสังกัดจาก สำนักนายกรัฐมนตรีมาอยู่ภายใต้กระทรวงพลังงาน และได้เปลี่ยนแปลงชื่อสำนักงานเป็นสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นอกจากนั้นกระทรวงพลังงานได้รวบรวมหน่วยงานต่างๆ ที่ปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับพลังงานและปิโตรเลียมมาไว้ภายใต้กระทรวงพลังงาน แล้ว จึงเห็นควรปรับปรุงแก้ไขระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 โดย สนพ. ขอเสนอให้ปรับปรุงระเบียบดังกล่าวเพียงความในข้อ 9 เพื่อให้องค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุนฯ เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบันของกระทรวงพลังงาน ดังนี้
"ข้อ 9 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งประกอบด้วย ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ผู้แทนกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ผู้แทนกรมธุรกิจพลังงาน ผู้แทนกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และผู้แทนกรมบัญชีกลางเป็นกรรมการ และให้มีผู้แทน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นกรรมการและเลขานุการ"
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้แก้ไขปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติว่าด้วย การบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เพื่อมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็น ผู้รับผิดชอบและพิจารณาจัดสรรการใช้ประโยชน์ ของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม แทนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พร้อมทั้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุน ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
เรื่องที่ 10 การส่งเสริมและสนับสนุนการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการเร่งรัดการดำเนินการมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติมากขึ้นทั้งในการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคการขนส่ง โดยมอบหมายให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เร่งดำเนินการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดในยานพาหนะ (CNG หรือ NGV) โดยให้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการดัดแปลงและเปลี่ยนเครื่องยนต์รถ ขสมก. ในวงเงิน 270 ล้านบาท และขอรับการสนับสนุนเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ ในการดัดแปลงรถขยะ กทม. ในวงเงิน 160 ล้านบาท รวมทั้งการขอรับการสนับสนุนเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ ในการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติอัดของ ปตท. จำนวน 6 สถานี ในวงเงิน 180 ล้านบาท
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่เห็นชอบโครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่ง โดยมอบหมายให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งในส่วนที่ให้ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงเครื่องยนต์โดยสาร NGV จำนวน 82 คัน ในวงเงิน 65 ล้านบาท และการขยายจำนวนรถโดยสาร NGV แบบใช้ก๊าซธรรมชาติเพียงอย่างเดียว จำนวน 70 คัน ในวงเงิน 400-420 ล้านบาท รวมทั้งการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ ในรถแท็กซี่ จำนวน 1,000 คัน ในวงเงิน 20 ล้านบาท
3. ปตท. ได้จัดทำแผนการส่งเสริมการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่ง ในช่วงปี พ.ศ. 2546 - 2551 โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 การขยายจำนวนสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ (สถานีบริการ NGV)
เพื่อรองรับปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งที่จะเพิ่ม ขึ้นในอนาคต บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จึงได้เตรียมแผนการก่อสร้างสถานีบริการ NGV ดังนี้
1) ปตท. จะเร่งขยายจำนวนสถานีบริการ NGV ในเขตกรุงเทพฯ และตามแนวท่อก๊าซฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
2) ปตท. จะเร่งดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซฯ ไทรน้อย-โรงไฟฟ้าพระนครเหนือ/ใต้ ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2547 และเร่งขยายสถานี NGV ตามแนวท่อควบคู่ไปด้วยกัน
3) ปตท. มีแผนเร่งรัดการก่อสร้างสถานีบริการ NGV ในช่วงปี 2545-2551 ดังนี้
ปี | 2545 | 2546 | 2547 | 2548 | 2549 | 2550 | 2551 |
จำนวนก่อสร้างสถานี (สถานี) | 8 | 20 | 20 | 20 | 20 | 20 | 12 |
จำนวนสถานีสะสม (สถานี) | 8 | 28 | 48 | 68 | 88 | 108 | 120 |
จำนวนเงินลงทุน (ล้านบาท) | 294 | 797 | 821 | 797 | 811 | 787 | 494 |
เงินลงทุนสะสม (ล้านบาท) | 294 | 1,091 | 1,911 | 2,708 | 3,519 | 4,306 | 4,800 |
ประมาณการเงินช่วยเหลือ (30%) | 88 | 239 | 246 | - | - | - | - |
ประมาณการเงินช่วยเหลือสะสม (ล้านบาท) | 88 | 327 | 573 | - | - | - | - |
หมายเหตุ : ปัจจุบัน ปตท. ได้ดำเนินการสร้างสถานี NGV แล้ว 8 สถานี และมี 5 สถานีที่เปิดให้บริการเรียบร้อยแล้ว โดยการก่อสร้างสถานีบริการ NGV ในช่วงปี 2545 - 2547 ปตท. จะขอรับการสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในลักษณะเงินให้เปล่าจำนวนทั้งสิ้น 573 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการลงทุนประมาณร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อใช้ในการสร้างสถานีบริการ NGV จำนวนทั้งสิ้น 48 สถานี (ซึ่งรวม 8 สถานีที่มีในปัจจุบันด้วย เนื่องจาก ปตท. ได้ออกค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวไปก่อน) ทั้งนี้เนื่องจากการลงทุนในช่วงแรกนี้ยังให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ค่อนข้างต่ำ หลังจากนั้น ปตท. จะรับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด
3.2 การขยายท่อส่งก๊าซธรรมชาติให้ครอบคลุมรอบเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
เพื่อขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมและภาคคมนาคมขนส่ง ซึ่ง ปตท. จะดำเนินโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2548 ซึ่งจะทำให้สามารถต่อท่อจากระบบท่อส่งก๊าซฯ หลัก ไปยังสถานีบริการ NGV เป็นผลทำให้ค่าใช้จ่ายในการ ขนส่งถูกลงกว่าการขนส่งโดยการใช้รถขนส่งก๊าซฯ
3.3 การขยายจำนวนรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
การขยายจำนวนสถานีบริการ NGV ดังกล่าวในข้อ 3.1 มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับจำนวน รถที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน (ปัจจุบันมีรถที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงประมาณ 1,200 คัน ซึ่งแบ่งออกเป็น รถแท็กซี่ 1,100 คัน รถโดยสารประจำทาง ขสมก. 82 คัน และรถโดยสารส่วนตัว 18 คัน) โดย ปตท. คาดว่าในปี 2551 จะมีจำนวนรถที่ใช้ก๊าซ NGV เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 44,500 คัน โดยแบ่งออกเป็น รถยนต์โดยสารส่วนบุคคลและรถแท็กซี่ จำนวน 40,000 คัน และรถขนส่งมวลชน รถเก็บขยะ และรถบรรทุก จำนวน 4,500 คัน
ทั้งนี้การเพิ่มจำนวนรถยนต์ NGV ดังกล่าวในเบื้องต้น บางส่วนจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน และงบประมาณของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กทม. และ ขสมก. เป็นต้น ซึ่งประกอบด้วย
(1) การเพิ่มจำนวนรถยนต์ NGV ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2543 และวันที่ 5 กันยายน 2543
- การติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ (Conversion kit) ให้แก่รถแท็กซี่ จำนวน 1,000 คัน โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน จำนวน 20 ล้านบาท และ ปตท. ร่วมลงทุนอีก 30 ล้านบาท (เริ่มตั้งแต่เดือน มีนาคม 2545 และ คาดว่าจะติดตั้งแล้วเสร็จทั้ง 1,000 คัน ภายในสิ้นปี 2545)
- การจัดซื้อรถโดยสาร NGV ใหม่ให้กับ ขสมก. โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จำนวน 690 ล้านบาท และ ขสมก. สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาตลอดระยะเวลา 10 ปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันเท่ากับ 643 ล้านบาท (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ)
- การปรับปรุงและซ่อมแซมเครื่องยนต์รถโดยสาร NGV ของ ขสมก. จำนวน 44 คัน ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้งานเนื่องจากเสียใช้การไม่ได้ โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ทั้งหมด จำนวน 50 ล้านบาท (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ)
- การจัดซื้อรถเก็บขยะ NGV ใหม่ให้แก่ กทม. จำนวน 69 คัน ในวงเงินรวม 244 ล้านบาท โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 160 ล้านบาท และ กทม. ร่วมลงทุน 84 ล้านบาท (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ)
(2) การเพิ่มจำนวนรถยนต์ NGV อื่นๆ
- โครงการรถแท็กซี่ใช้ก๊าซธรรมชาติ 10,000 คัน โดยผู้ประกอบการแท็กซี่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในลักษณะเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านสถาบันการเงิน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการแท็กซี่สำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยจะติดตั้งปีละ 2,000 คัน และเริ่มดำเนินการในปี 2546 เป็นต้นไป
- โครงการปรับปรุงรถใช้งานของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ ให้เป็นรถ NGV จำนวน 600 คัน โดยใช้งบประมาณของ ปตท. ทั้งหมด
3.4 การกำหนดราคาจำหน่าย NGV
ปัจจุบันราคาจำหน่าย NGV อ้างอิงกับราคาขายปลีกของน้ำมันดีเซล โดยมีราคาที่ประมาณ ร้อยละ 50 ของราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งตั้งแต่ ปี 2546 เป็นต้นไป ปตท. จะปรับราคาจำหน่าย NGV ใหม่ โดยจะอ้างอิงกับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 ดังนี้
- ปี 2546 - 2548 (1 ม.ค. 46 - 31 ธ.ค. 48) : ราคา NGV = 50% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
- ปี 2549 (1 ม.ค. 49 - 31 ธ.ค. 49) : ราคา NGV = 55% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
- ปี 2550 (1 ม.ค. 50 - 31 ธ.ค. 50) : ราคา NGV = 60% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
- ปี 2551 เป็นต้นไป : ราคา NGV = 65% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
โดยราคาดังกล่าวนี้จะใช้กับผู้ใช้ก๊าซในภาคการขนส่งทั้งหมดทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ปตท. ได้กำหนดเพดานราคาขายปลีก NGV ไว้ที่ระดับไม่เกิน 11 บาท/กก. (หรือประมาณ 10.6 บาท/ลิตร เทียบเท่าเบนซิน 91) แม้ว่าน้ำมันจะมีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นในระดับใดก็ตาม
3.5 การกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้ NGV เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่ง
1) การให้เงินสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ในรถแท็กซี่และรถส่วนบุคคล รวมทั้งการซื้อ รถโดยสารส่วนบุคคล NGV ในระยะ 5 ปีแรก ซึ่งเป็นเงินคันละ 10,000-15,000 บาท (คิดเป็นเงินประมาณ 400-600 ล้านบาทในช่วงปี 2546-2551)
2) การจัดหารถบริการสาธารณะใหม่ในเขต กทม. ที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง เพื่อ ทดแทนรถเก่าที่หมดอายุการใช้งาน เช่น รถโดยสาร ขสมก. รถจัดเก็บขยะ กทม. เป็นต้น
3) หน่วยงานของรัฐต้องสนับสนุนการใช้รถ NGV เป็นอันดับแรก
3.6 มาตรการส่งเสริมการใช้รถ NGV ที่ต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ
1) กระทรวงคมนาคม :
การลดหย่อนภาษีทะเบียนรถประจำปี สำหรับรถ NGV โดยรถ NGV ชนิด Dedicated ได้รับส่วนลด 75% สำหรับรถ NGV ชนิด Bi-Fuel ได้รับส่วนลด 50%
การกำหนดสัดส่วนรถแท็กซี่ NGV ต่อรถใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่น โดยกำหนดให้ รถแท็กซี่ใหม่ต้องเป็นรถ NGV อย่างน้อย 25% ของจำนวนรถใหม่
การกำหนด Car Zone ที่ต้องใช้รถ NGV เท่านั้น เช่น สนามบินนานาชาติ เขตที่มีมลพิษสูง เป็นต้น
ให้กรมขนส่งทางบกเร่งรัดปรับปรุง แก้ไขกฏกระทรวงที่เกี่ยวกับรถ NGV ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับมาตรฐาน NGV ในต่างประเทศ
ให้กรมการขนส่งทางบกอนุญาตให้รถขนส่งก๊าซฯ NGV วิ่งได้ตลอด 24 ชั่วโมง ในเขตกรุงเทพฯ
2) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม :
- จัดทำมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดสำหรับรถยนต์ รถโดยสาร และรถบรรทุก ในเขตกรุงเทพฯ
3) กระทรวงการคลัง :
ธนาคารของรัฐและสถาบันการเงิน ให้เงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำแก่ผู้ติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซฯ NGV, ผู้ซื้อรถ NGV และผู้ประกอบการสถานีบริการ NGV
กรมศุลกากร/สรรพากร/สรรพสามิต
ลดหย่อนอากรนำเข้าของถังก๊าซฯ NGV (จากร้อยละ 10) และเครื่องอัดก๊าซฯ (จากร้อยละ 3) ให้เหลือร้อยละ 1
ลดหย่อนหรือยกเว้นอากรนำเข้าและภาษีสรรพสามิต CKD (Chasis with Engine and Accessories) ของรถ NGV ทั้ง รถยนต์, รถโดยสาร และรถบรรทุก
การนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ ถังก๊าซฯ และราคาส่วนเพิ่มของรถ NGV มาใช้ลดหย่อนภาษีรายได้บุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคลได้
4) กระทรวงอุตสาหกรรม :
โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้สิทธิประโยชน์การลงทุนสูงสุดกับกิจการ ได้แก่ ผู้ผลิตถัง NGV ผู้ประกอบการ/ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ผู้ผลิต/ประกอบรถ NGV และผู้ประกอบการสถานี NGV
5) กระทรวงพลังงาน :
โดยกรมธุรกิจพลังงาน ให้เร่งรัดจัดทำประกาศเรื่องหลักเกณฑ์ความปลอดภัยของสถานีบริการ NGV โดยให้สอดคล้องกับมาตรฐาน NGV ในต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการขยายจำนวนสถานีบริการ NGV ได้อย่างรวดเร็ว โดย
อนุญาตให้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ได้ในสถานีบริการน้ำมัน
ไม่นำมาตรฐานความปลอดภัยของ LPG มาใช้กับสถานี NGV
สร้างอาคารสองชั้นได้เช่นเดียวกับสถานีบริการน้ำมัน
6) กระทรวงมหาดไทย
- โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองกำหนดให้สามารถสร้างสถานีบริการ NGV ได้ในพื้นที่ที่อนุญาตให้ก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันได้
7) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ :
- อนุญาตให้รถขนส่งก๊าซฯ NGV วิ่งได้ตลอด 24 ชั่วโมงในเขตกรุงเทพฯ
3.7 ผลประโยชน์และผลกระทบที่ได้รับ
การใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง นอกจากจะเป็นการใช้พลังงานที่มีอยู่ ภายในประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศซึ่งสามารถประหยัดเงินตราที่ ออกนอกประเทศ และช่วยลดผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์และผลกระทบที่ได้รับภายในระยะเวลา 10 ปี จากการดำเนินการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่งในข้อ 3.1 - 3.6 โดยเฉพาะการขยายจำนวนสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ 120 สถานี และการขยายจำนวนรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 44,500 คัน ภายในปี 2551 สามารถจำแนกได้ดังนี้
ผลประโยชน์ที่ได้รับ | ผลกระทบที่ได้รับ |
1. ภาครัฐ
|
1. ภาครัฐและผู้ประกอบการ
|
2. ผู้ประกอบการแท็กซี่
|
2. การสนับสนุนอื่นๆ จากภาครัฐ
|
หมายเหตุ :
(1) เฉพาะราคาเชื้อเพลิงไม่รวมภาษี
(2) จากการศึกษากรมควบคุมมลพิษ : ค่ารักษาพยาบาลจากปัญหาฝุ่นละอองในอากาศ มีมูลค่า 15 บาท/กรัม/ปี, รถ NGV ทดแทนดีเซลช่วยลดฝุ่นละอองเฉลี่ยประมาณ 250 กรัม/คัน/วัน
(3) ณ ระดับน้ำมันดิบ 20-25 US$/BBL, อัตราแลกเปลี่ยน 42 บาท/ US$
3.8 การแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง
เพื่อให้การดำเนินการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นไปในแนวทางที่ถูก ต้องและเหมาะสม สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน จึงขอเสนอให้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมการ ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง" ขึ้นโดยมีองค์ประกอบและหน้าที่ความรับผิดชอบ ดังนี้
(1) องค์ประกอบ
ปลัดกระทรวงพลังงาน ประธานกรรมการ
ปลัดกรุงเทพมหานคร กรรมการ
อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กรรมการ
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กรรมการ
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรรมการ
ผู้อำนวยการ ขสมก. กรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรรมการ
นายกสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย กรรมการ
ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรรมการ
ผู้แทนกระทรวงคมนาคม กรรมการ
ผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรรมการ
ผู้อำนวยการ สนพ. กรรมการและเลขานุการ
ผู้แทน สนพ. กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
(2) อำนาจหน้าที่
ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดในภาคขนส่ง
เสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริมแ ละผลักดันการใช้ก๊าซธรรมชาติอัดใน ภาคการขนส่ง
มีอำนาจแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อช่วยเหลือการทำงานของคณะกรรมการฯ ตามที่เห็นสมควร
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้เสนอความเห็นว่าการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่ง ควร คำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ความเหมาะสมทางด้านราคา ด้านมลภาวะ และด้านความปลอดภัย เป็นสำคัญ
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ได้เสนอข้อคิดเห็นว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ควรดำเนินการขยายท่อส่งก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล ให้แล้วเสร็จตามที่ได้กำหนดไว้ ในประมาณกลางปี 2548 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนในการขนส่งก๊าซฯ และเป็นการส่งเสริมการใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรมให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจน ช่วยบรรเทาปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสังคมด้วย อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ดำเนินการก่อสร้างแนวท่อฯ ปตท. ควรดำเนินการ ก่อสร้างสถานีบริการ NGV ชนิด Mother Station และ Daughter Station ขนานควบคู่กันไปด้วย ซึ่งจะช่วย ทำให้การขยายการใช้ก๊าซฯ เป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น ผู้แทน ปตท. (นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์) ได้ชี้แจงว่า การดำเนินการขยายท่อส่งก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะได้ดำเนินการให้ผลดีต้องขึ้นกับการปรับเปลี่ยนโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและโรง ไฟฟ้าพระนครใต้มาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง และขณะนี้ ปตท. ได้ปรับแผนเร่งการดำเนินการขยายท่อส่งก๊าซฯ ให้แล้วเสร็จเร็วขึ้นอีก 6 เดือนแล้ว
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ได้เสนอความเห็นว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ควรขยายระยะเวลาในการกำหนดราคาจำหน่าย NGV ที่อิงกับราคาน้ำมันดีเซลไปก่อนในเบื้องต้น เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งมากยิ่งขึ้น โดยเห็นควรให้กำหนดราคาจำหน่าย
ปี 2546 - 2549 (1 ม.ค. 46 - 31 ธ.ค. 49) : ราคา NGV = 50% ของราคาน้ำมันดีเซล
ปี 2550 (1 ม.ค. 50 - 31 ธ.ค. 50) : ราคา NGV = 55% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2551 (1 ม.ค. 51 - 31 ธ.ค. 51) : ราคา NGV = 60% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2552 เป็นต้นไป : ราคา NGV = 65% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
นอกจากนี้ ได้เสนอให้กำหนดเพดานราคาขายปลีก NGV ไว้ที่ระดับไม่เกิน 10 บาท/ลิตรเทียบเท่าเบนซิน 91 (10.34 บาท/กก. NGV) เพิ่มเติมด้วย ซึ่งต่ำกว่าราคาที่ ปตท. เสนอมา (ปตท. เสนอเพดานราคา ขายปลีก NGV ไว้ที่ระดับ 11 บาท/กก. NGV) ตลอดจนเห็นควรให้ปรับแผนเร่งรัดการก่อสร้างสถานีบริการ ดังนี้
ปี | 2545 | 2546 | 2547 | 2548 | 2549 | 2550 | 2551 |
จำนวนก่อสร้างสถานี (สถานี) | 8 | 22 | 20 | 20 | 20 | 20 | 10 |
จำนวนสถานีสะสม (สถานี) | 8 | 30 | 50 | 70 | 90 | 110 | 120 |
จำนวนเงินลงทุน (ล้านบาท) | 294 | 891 | 821 | 797 | 810 | 787 | 400 |
เงินลงทุนสะสม (ล้านบาท) | 294 | 1,185 | 2,006 | 2,803 | 3,613 | 4,400 | 4,800 |
ประมาณการเงินช่วยเหลือ (30%) | 88 | 268 | 246 | - | - | - | - |
ประมาณการเงินช่วยเหลือสะสม (ล้านบาท) | 88 | 356 | 602 | - | - | - | - |
4. ผู้แทนกระทรวงการคลัง (นายสถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธุ์) ได้มีข้อซักถามเกี่ยวกับความมั่นคงของแหล่งสำรองก๊าซธรรมชาติในประเทศ ซึ่งผู้แทน ปตท. (นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์) ได้ชี้แจงว่า ปริมาณสำรอง ก๊าซธรรมชาติที่เป็น Proved and Probable Reserves ขณะนี้มีประมาณการใช้ได้นานประมาณ 30 ปี โดยที่ โครงการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ในภาคขนส่งจะใช้ก๊าซประมาณร้อยละ 2 ของปริมาณสำรองที่มีอยู่ ส่วนความมั่นคงในการผลิต ขณะนี้มีท่อส่งก๊าซอยู่ 2 แนว และแหล่งผลิต 10 แห่ง โดยมีระบบท่อส่งก๊าซฯ ที่ต่อเชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร อย่างไรก็ตาม การค้นพบก๊าซแหล่งใหม่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งภายในประเทศและ ต่างประเทศ ดังนั้น ปริมาณสำรองก๊าซจะเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
5. ประธานฯ ได้มีข้อซักถามเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงใน ภาคการขนส่ง ซึ่งอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวิโรจน์ คลังบุญครอง) ได้ชี้แจงว่า มาตรฐานความปลอดภัยของสถานีบริการ NGV ขณะนี้ยังไม่พบปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากประเทศไทยได้ใช้มาตรฐานความปลอดภัยเช่นเดียวกับมาตรฐานของประเทศ มาเลเซีย ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มีความปลอดภัยสูง เชื่อถือได้ และเป็นมาตรฐานที่ มาเลเซียใช้มากว่า 10 ปี จวบจนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ประชาชนยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ รัฐจึงควรจัดประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับเรื่องก๊าซ ธรรมชาติ (NGV) ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันการต่อต้านจากประชาชนที่อาจยังไม่เข้าใจเรื่องก๊าซธรรมชาติดีพอ
6. ประธานฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า จากมาตรการส่งเสริมการใช้ก๊าซฯ ที่ กพช. ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว เมื่อนำเสนอขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ขอให้เป็นไปตามระเบียบของกองทุนฯ
7. ผู้แทนกระทรวงการคลัง ได้เสนอความเห็นว่า ในส่วนการลดหย่อนหรือยกเว้นด้านภาษีอากร กระทรวงการคลังเห็นด้วยในหลักการ แต่ขอรับกลับไปพิจารณาในรายละเอียดก่อน โดยเฉพาะเรื่องลดหย่อน/ยกเว้นอากรนำเข้าและภาษีสรรพสามิต CKD ของรถ NGV ซึ่งผู้แทน ปตท. (นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์) ได้ ชี้แจงว่า ในระยะแรกขอให้กระทรวงการคลังยกเลิกอากรนำเข้าและภาษีสรรพสามิต CKD เฉพาะรถ NGV ที่จะมาทดแทนรถยนต์ดีเซลก่อนเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีจำนวนน้อยและใช้เงินลงทุนสูง สำหรับรถ NGV ที่จะมาทดแทนรถยนต์เบนซิน กระทรวงการคลังอาจนำไปพิจารณาในลำดับถัดไป
8. ผู้แทนกระทรวงอุตสาหกรรม ได้เสนอความเห็นว่า ภาครัฐควรให้การสนับสนุนในการดัดแปลง รถยนต์ที่เปลี่ยนมาใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิง เฉพาะรถสาธารณะ ได้แก่ รถแท็กซี่ รถโดยสารประจำทาง รถเก็บขยะ เป็นต้น สำหรับในส่วนของรถยนต์ส่วนบุคคลที่จะเปลี่ยนมาใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิง ภาครัฐไม่จำเป็นต้องให้การสนับสนุนแต่อย่างใด เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่จะได้รับผลประโยชน์จากรถสาธารณะมากกว่ารถส่วนบุคคล
9. ประธานฯ ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับองค์ประกอบของคณะกรรมการที่จะจัดตั้งขึ้นว่า สนพ. ควรเพิ่มเติมตัวแทนของกลุ่มผู้บริโภค โดยเฉพาะผู้แทนของกลุ่มผู้ประกอบการแท็กซี่ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคหลัก ใน "คณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง" ที่จะจัดตั้งขึ้น และได้มอบหมายให้คณะกรรมการชุดนี้รับไปพิจารณารายละเอียดของมาตรการส่งเสริม การใช้ NGV ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ชี้แจงว่า การดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวและการจัดทำรายละเอียดของมาตรการคาด ว่าจะพิจารณาแล้วเสร็จภายใน 45 วัน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการของแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ เป็น เชื้อเพลิงในภาคการขนส่ง ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เสนอมา โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ในส่วนที่ขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงาน จะต้องเป็นไปตามระเบียบของกองทุนฯ
2. เห็นชอบให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ปรับเร่งการสร้างสถานีบริการ NGV เพิ่มขึ้น ดังนี้
ปี | 2545 | 2546 | 2547 | 2548 | 2549 | 2550 | 2551 |
จำนวนก่อสร้างสถานี (สถานี) | 8 | 22 | 20 | 20 | 20 | 20 | 10 |
จำนวนสถานีสะสม (สถานี) | 8 | 30 | 50 | 70 | 90 | 110 | 120 |
จำนวนเงินลงทุน (ล้านบาท) | 294 | 891 | 821 | 797 | 810 | 787 | 400 |
เงินลงทุนสะสม (ล้านบาท) | 294 | 1,185 | 2,006 | 2,803 | 3,613 | 4,400 | 4,800 |
ประมาณการเงินช่วยเหลือ (30%) | 88 | 268 | 246 | - | - | - | - |
ประมาณการเงินช่วยเหลือสะสม (ล้านบาท) | 88 | 356 | 602 | - | - | - | - |
3. เห็นชอบให้กำหนดราคาขายปลีก NGV ที่จะใช้กับผู้ใช้ก๊าซในภาคการขนส่งทั้งหมดทั่วประเทศ ดังนี้
ปี 2546 - 2549 (1 ม.ค. 46 - 31 ธ.ค. 49) : ราคา NGV = 50% ของราคาน้ำมันดีเซล
ปี 2550 (1 ม.ค. 50 - 31 ธ.ค. 50) : ราคา NGV = 55% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2551 (1 ม.ค. 51 - 31 ธ.ค. 51) : ราคา NGV = 60% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
ปี 2552 เป็นต้นไป : ราคา NGV = 65% ของราคาน้ำมันเบนซิน 91
รวมทั้งเห็นชอบให้กำหนดเพดานราคาขายปลีก NGV ไว้ที่ระดับไม่เกิน 10 บาท/ลิตรเทียบเท่าเบนซิน 91 (10.34 บาท/กก. NGV) แม้ว่าน้ำมันจะมีการปรับราคาเพิ่มสูงขึ้นในระดับใดก็ตาม
4. เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง โดยประกอบด้วย ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานกรรมการ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งตัวแทนจากผู้ประกอบการรถแท็กซี่ เป็นกรรมการ เพื่อทำหน้าที่ศึกษา และเสนอแนะแนวทางที่เหมาะสมในการส่งเสริม และผลักดันการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง ก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาต่อไป และมอบหมายให้ ปตท. กลับไปจัดทำรายละเอียด "แผนการส่งเสริมและสนับสนุนการนำก๊าซธรรมชาติ มาใช้เป็นเชื้อเพลิง ในภาคการขนส่งในช่วงปี พ.ศ. 2546-2551" เพื่อนำเสนอคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่งเพื่อพิจารณา และนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่งให้แล้วเสร็จภายใน 45 วันต่อไป
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 26 ตุลาคม - 1 พฤศจิกายน 2558
กพช. ครั้งที่ 91 - วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 91)
วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2545 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มาตรการประหยัดพลังงานและสาธารณูปโภคในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ
3.มาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิรัก
4.แนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกช่วงไตรมาสที่ 3 ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ประมาณ 1.1 - 2.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ที่เริ่มสูงขึ้นและจากความวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดสงครามใน ตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก ประกอบกับกลุ่มโอเปคได้ตกลงที่จะคงปริมาณการผลิตสำหรับไตรมาสที่ 4 ถึงกลางปี 2546 ไว้ที่ระดับเดิม 21.7 ล้านบาร์เรล/วัน และสถาบันปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกา (API) รายงานปริมาณน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐอเมริกาลดลง 2.19 ล้านบาร์เรล เหลือ 289.8 ล้านบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 27.50 และ 28.85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในช่วงไตรมาสที่ 3 น้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ได้ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยของไตรมาสที่ 2 ประมาณ 0.6 และ 0.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 28.94 และ 27.59 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินใน ภูมิภาคเอเซียลดลง และปริมาณสำรองในตลาดโลกค่อนข้างสูง ส่วนน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.2 และ 1.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้ในภูมิภาคที่เพิ่ม สูงขึ้น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 31.2, 29.8, 33.5, 31.9, และ 26.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ได้ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ 2 โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 ได้ปรับตัวลดลง 46 สตางค์/ลิตร และดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวลดลง 5 สตางค์/ลิตร ตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ที่อ่อนตัวลง และค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น ทำให้ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปของไทยลดลงประมาณ 20 - 27 สตางค์/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 16.29, 15.29 และ 14.29 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดและค่าการกลั่นในไตรมาสที่ 3 ได้ปรับตัวลดลงในระดับเดียวกัน 0.18 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดและค่าการกลั่นของเดือนกันยายนอยู่ที่ระดับ 1.15 และ 0.66 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และการที่กลุ่มโอเปคกำหนดปริมาณการผลิตไว้เท่าเดิมที่ระดับ 21.7 ล้านบาร์เรล/วัน นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ ที่จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น คือ ภาวะสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก ดังนั้น จึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 - 3 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล โดยราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 29 - 30 และ 30 - 31 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ซึ่งปริมาณความต้องการใช้ในฤดูหนาวจะเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่า ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์ช่วงไตรมาสที่ 4 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 31 - 33 และ 32 - 34 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 16 - 17, 15 - 16 และ 14 - 15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 มาตรการประหยัดพลังงานและสาธารณูปโภคในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 ให้หน่วยงานราชการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงาน ดังต่อไปนี้
1) ให้หน่วยงานราชการระดับกรม จัดตั้งคณะทำงานที่มีหัวหน้าส่วนราชการเป็นประธาน เพื่อให้รับผิดชอบในคณะทำงานในการกำหนดแผนงาน นโยบาย และเป้าหมายในการลดพลังงานให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 5 ของปริมาณการใช้เดิมในปี 2544 และให้แจ้งผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทราบเพื่อรวบรวมไว้เป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบายต่อไป
2) ให้รถราชการที่ใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้ ต้องใช้ออกเทน 91 โดยให้กรมบัญชีกลางออกเป็นระเบียบบังคับ และให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบการปฏิบัติของส่วนราชการอย่างเคร่งครัด และให้มีการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ของรถราชการให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ
3) ให้ปรับอุณหภูมิห้องปรับอากาศเป็น 25-26ºC และรณรงค์เลิกใส่เสื้อนอก โดยให้ข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำระดับสูง ทำเป็นตัวอย่าง
4) ให้ดูแลเรื่องการใช้ลิฟท์ของหน่วยงานราชการ โดยให้หลีกเลี่ยงการใช้ลิฟท์กรณีขึ้นลงเพียง ชั้นเดียว หรือจัดการให้ระบบลิฟท์สามารถหยุดได้เว้นชั้น และควรหาวิธีปรับปรุงลิฟท์ให้สามารถตัดไฟได้อัตโนมัติหากไม่มีการใช้งานเป็น เวลานาน
2. สพช. มอบหมายให้มหาวิทยาลัยวิทยาลัยมหิดลดำเนินโครงการลดการใช้พลังงานในหน่วย งานราชการระดับกรมและรัฐวิสาหกิจ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการการอนุรักษ์พลังงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ศอม.) เพื่อทำหน้าที่ประสานงานระหว่างโครงการฯ กับ สพช. หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ในการให้คำแนะนำแนวทางการลดการใช้พลังงานแก่หน่วยงาน และการจัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้พลังงานตามแผนงานที่ได้วางไว้ ขณะเดียวกันได้เพิ่มศักยภาพให้แก่คณะทำงานของหน่วยงานในการจัดทำแผนปฎิบัต ิการด้วยการจัดกิจกรรมค่ายฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผลการดำเนินโครงการมีหน่วยงานที่รายงานข้อมูลการใช้พลังงานครบถ้วนจำนวน 130 แห่ง (จากหน่วยงานราชการระดับกรมและรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 248 แห่ง) และจากการประมวลข้อมูลรายงานการใช้พลังงานที่ ศอม. ได้รับสรุปได้ว่าในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2545 เปรียบเทียบกับ 2 ไตรมาสแรกของปี 2544 ทีหน่วยงานที่สามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า-น้ำมันได้มากกว่าร้อยละ 5 จำนวน 32 หน่วยงาน
3. ฝ่ายเลขานุการฯ มีข้อเสนอแนะเห็นควรเร่งรัดให้หน่วยงานราชการระดับกรมและรัฐวิสาหกิจดำเนิน การตามมาตรการประหยัดพลังงานตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด โดยให้ สพช. แจ้งรายชื่อ หน่วยงานที่ไม่ให้ความร่วมมือให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทุก 3 เดือน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสั่งการโดยตรงไปยังหน่วยงานนั้นๆ เพื่อถือปฏิบัติต่อไป อีกทั้งให้สำนักงาน กพ. กำหนดให้ใช้เป้าหมายในการลดการใช้พลังงานและสาธารณูปโภคร้อยละ 5 ของประมาณการใช้เฉลี่ยปีงบประมาณ 2543 - 2544 เป็นกรอบการวัดและการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานของส่วนราชการ เพื่อขอรับเงินรางวัลประจำปี โดยเริ่มจากปี งบประมาณ 2546 เป็นต้นไป และให้สำนักงบประมาณกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินงบประมาณ หมวดสาธารณูปโภค ในส่วนที่หน่วยงานสามารถประหยัดได้ เพื่อนำเป็นเงินสวัสดิการของหน่วยงานนั้นๆ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมาตรการประหยัดพลังงานและสาธารณูปโภคในหน่วยงานราชการและรัฐ วิสาหกิจ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ทั้งนี้ ให้ปรับแนวทางไปตามข้อพิจารณาของที่ประชุม
เรื่องที่ 3 มาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิรัก
สรุปสาระสำคัญ
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้เชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือ เรื่อง ผลกระทบของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา และอิรัก เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ สพช. รับไปจัดทำข้อเสนอมาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อ นำเสนอคณะรัฐมนตรีในการประชุมวันที่ 8 ตุลาคม 2545
2. สพช. ได้จัดทำข้อเสนอมาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงและภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก โดยแบ่งมาตรการเป็น 3 ระดับ ตามความรุนแรงของภาวะการขาดแคลนน้ำมันในประเทศ ดังนี้
1) มาตรการระดับต้น เมื่อราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงแต่ยังไม่เกิดภาวะขาดแคลน ให้กำหนดเป็นมาตรการบังคับสำหรับส่วนราชการ ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามจะมีโทษทางวินัย (ขัดมติคณะรัฐมนตรี) โดยให้ทุกส่วนราชการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากปริมาณการใช้เฉลี่ยต่อเดือนของปีงบประมาณ 2544 และลดค่าใช้จ่ายในส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของปีงบประมาณ 2544 ส่วนมาตรการสำหรับประชาชนทั่วไป ให้เป็นการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดปริมาณการใช้พลังงาน เช่น ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 - 26 องศาเซลเซียส การขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการปิดไฟป้ายโฆษณา และไฟส่องอาคารภายหลังเวลา 24.00 น. การปิดเปิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในช่วงเวลา 22.00 - 10.00 น. เป็นต้น
ทั้งนี้ มาตรการในระดับต้น ให้ดำเนินการทันที เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
2) มาตรการระดับกลาง เป็นมาตรการบังคับเพื่อลดการใช้พลังงานให้อยู่ในระดับที่จัดหาได้ โดยจะใช้มาตรการนี้เมื่อเริ่มมีการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้น (การจัดหาอยู่ในระดับต่ำกว่าปริมาณการใช้แต่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80) และเป็นมาตรการชั่วคราวเฉพาะช่วงที่มีการขาดแคลนน้ำมันเท่านั้น โดยให้ทุกส่วน ราชการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จากปริมาณการใช้เฉลี่ยต่อเดือนของปีงบประมาณ 2544 และลดค่าใช้จ่ายในส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของปีงบประมาณ 2544 ส่วนมาตรการสำหรับประชาชนทั่วไป เป็นมาตรการบังคับ เช่น การจำกัดความเร็วรถยนต์ไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง การลดเวลาการเปิดปิดสถานีบริการน้ำมัน วันธรรมดาเปิดช่วง 05.00 - 21.00 น. และปิดบริการในวันอาทิตย์ การลดเวลาการใช้ไฟฟ้าในตึกสาธารณะและสถานที่บริการต่างๆ โดยให้ใช้ไฟส่องป้ายโฆษณาสินค้าหรือบริการ หรือประดับสถานที่ทำธุรกิจได้เฉพาะระหว่าง เวลา 18.00 - 21.00 น. และกำหนดช่วงระยะเวลาเปิด - ปิด ของห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านพลังงาน เป็นผู้พิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมกับสถานการณ์ หากเห็นว่าจำเป็นให้นำเสนอ ครม./กพช. อนุมัติการใช้มาตรการระดับกลาง บางมาตรการหรือทุกมาตรการแล้วแต่จะเห็นว่าเหมาะสมกับสถานการณ์
3) มาตรการระดับรุนแรง เมื่อมาตรการบังคับต่างๆ ไม่สามารถทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันลดลงได้จนกระทั่งการจัดหาอยู่ในระดับไม่ ถึงร้อยละ 80 ของปริมาณการใช้ จำเป็นต้องใช้มาตรการในการปันส่วน น้ำมัน เพื่อให้มีน้ำมันใช้อย่างทั่วถึงและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงมาตรการป้องกันการกักตุน การควบคุมการจำหน่าย และการปันส่วนน้ำมัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมาตรการประหยัดพลังงานเพื่อรองรับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐอเมริกาและอิรัก โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้สอดคล้อง กับการพิจารณาของที่ประชุม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 แนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายเนวิน ชิดชอบ) ได้นำเสนอต่อที่ประชุมว่า รองนายก รัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำแผนมาตรการในการกำกับดูแลราคาสินค้าและ บริการในกรณีเกิดวิกฤตขึ้น และให้นำเสนอในการประชุมครั้งนี้เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยแนบพร้อมกับมาตรการประหยัดพลังงาน และได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการกองรักษาสิทธิประโยชน์ผู้บริโภค (นางผุสดี กำปั่นทอง) สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. กรมการค้าภายในได้กำหนดแนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคออกเป็น 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการจัดระบบราคาสินค้า มาตรการทางกฎหมาย และมาตรการเสริม
2. มาตรการจัดระบบราคาสินค้า จัดเป็นมาตรการทั่วไปเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมในราคาสินค้าแก่ ประชาชน และเพื่อให้มีสินค้าที่เพียงพอกับความต้องการไม่เกิดการขาดแคลน ทั้งนี้ ได้กำหนดวิธีดำเนินการ โดยติดตามภาวะราคาจำหน่ายอย่างใกล้ชิด ให้การเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าสอดคล้องกับภาวะต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะสินค้า 73 รายการ ซึ่งเป็นสินค้าที่เฝ้าติดตาม (Watch List) และจัดระบบติดตามผลกระทบจากปัจจัยการผลิตสินค้าที่สำคัญที่จะมีผลต่อต้นทุน สินค้าและต่อราคาจำหน่าย รวมทั้ง กำหนดระบบการติดตามเพื่อเตือนภัย (Warning System) สำหรับสินค้าที่เฝ้าติดตาม (Watch List) โดยให้ความสำคัญด้านราคา ตรวจสอบติดตามกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการค้าในแหล่งผลิต ตลาดสด แหล่งจำหน่ายเป็นประจำ เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมาย และจัดระบบการกระจายสินค้าและประสานการดำเนินการค้าระบบการจัดการสินค้าส่ง ออก/นำเข้า เป็นต้น
3. มาตรการทางกฎหมาย ได้มีแนวทางการดำเนินการโดยการใช้อำนาจตามมาตรา 29 และ 30 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในการป้องกันการฉวยโอกาสเอาเปรียบในด้านราคาต่อผู้บริโภคและการกักตุนสินค้า และใช้อำนาจตามมาตรา 25 และ 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในการกำหนดรายการสินค้าควบคุมเพิ่มเติม นอกจากนี้ โดยการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 ในการดูแลปริมาณสินค้าทั้งในด้าน ชั่ง ตวงวัด และการบรรจุหีบห่อให้ถูกต้อง พร้อมทั้ง เปิดช่องทางการร้องเรียนเรื่องราคาสินค้าและบริโภคที่ผู้บริโภคไม่ได้รับ ความเป็นธรรมโดยทางโทรศัพท์สายด่วน 1569 และให้มีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
4. มาตรการเสริมหรือมาตรการแทรกแซง ใช้ในกรณีที่จำเป็นเพื่อจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคเสริมให้กับประชาชน ซึ่งมีแนวทางการดำเนินการโดยการจัดร้านค้าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคธงฟ้า ราคาประหยัด และเชื่อมโยงให้ผู้จำหน่ายปลีกในท้องถิ่นรับสินค้าโดยตรงจากผู้ผลิต/ผู้แทน จำหน่าย (กรณีสินค้าในท้องถิ่นขาดแคลน หรือมีราคาจำหน่ายสูงเกินสมควร) พร้อมทั้ง ประสานงานกับส่วนราชการอื่นเพื่อให้มีการปรับลดอัตราภาษี เพิ่ม - ลด ปริมาณการนำเข้า และสินค้าตามข้อตกลงของ WTO
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมอบหมายให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้มีความสอดคล้องกับการพิจารณา ของที่ประชุม