มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 27/2554 (ครั้งที่ 85)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่า เนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานติดภารกิจ จึงขอให้ที่ประชุมฯ แต่งตั้งกรรมการขึ้นทำหน้าที่ประธานกรรมการในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้มีมติเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 เห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553 ไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2554 นั้น การดำเนินการที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 กองทุนน้ำมันฯ ได้จ่ายชดเชยเพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไปแล้วประมาณ 24,005 ล้านบาท โดยฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2554 มีฐานะเบื้องต้นสุทธิ -1,143 ล้านบาท
2. มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2554 เห็นชอบให้ปรับอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันลดลง 5.3050 บาทต่อลิตร จาก 5.3100 บาทต่อลิตร เป็น 0.0050 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2554 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2554 และเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในวงเงินประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อใช้เสริมสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนน้ำมันฯ หากราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีสภาพคล่องที่จะไปชดเชยราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง โดย ณ วันที่ 22 มิถุนายน 2554 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 105.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซินอยู่ที่ 119.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 122.79 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากวันที่ 21 มิถุนายน 2554 เท่ากับ 1.25, 2.43 และ 2.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศลดลงตามไปด้วย โดยค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2554 อยู่ที่ 1.9958 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.7599 บาทต่อลิตร
4. เพื่อเป็นการลดภาระและเสริมสภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร จาก 1.20 บาทต่อลิตร เป็น 1.80 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ 1.3958 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ย 5 วันทำการ อยู่ที่ 1.6399 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ มีภาระลดลงวันละ 33 ล้านบาท จากติดลบวันละ 13 ล้านบาท เป็นเงินไหลเข้าวันละ 20 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60บาท ต่อลิตร จาก 1.20 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2554 เป็นต้นไป
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบ จำนวน 2 เรื่องดังนี้
1. กระทรวงพลังงานได้พิจารณาการปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจาก B3 เป็น B4 ซึ่งมีความพร้อมที่จะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 โดยอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้ชี้แจงว่า ธพ. ได้จัดประชุมหารือกับผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วและได้รับแจ้งว่าสามารถดำเนินการได้ โดย ธพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าน่าจะประกาศได้ภายใน 1- 2 วัน และได้มีการหารือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะปรับขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนการแก้ไขเพิ่มเติมร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะส่งร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้ในช่วงต้นสัปดาห์หน้าเพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
2. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้ขอหารือกับกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิค ที่จะได้รับผลกระทบจากการทยอยปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งอธิบดี ธพ. ได้ชี้แจงว่า ได้แจ้งสภาอุตสาหกรรมฯ ว่าการดำเนินการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิค อยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางปรับเปลี่ยนมาใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตก๊าซเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมแทน
ทั้งนี้ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (นายอภิวัฒน์ อสมาภรณ์) ได้ชี้แจงเพิ่มเติม เกี่ยวกับการดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแก้วและเซรามิคว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ศึกษาการใช้บิทูมินัสมาใช้ในการผลิตก๊าซเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตทดแทนก๊าซ LPG ซึ่งมีเครื่องต้นแบบอยู่ที่จังหวัดลำปาง แต่การศึกษายังไม่สมบูรณ์เนื่องจากความร้อนที่ได้จากบิทูมินัสยังไม่สม่ำเสมอ และผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิคถือเป็นผู้ใช้กลุ่มก๊าซ LPG จำนวนเล็กมากในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสามารถหาแนวทางอื่นเพื่อช่วยเหลือได้โดยไม่ส่งผลต่อนโยบายการปรับราคาก๊าซ LPG