มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2549 (ครั้งที่ 13)
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 30 เม.ย. 49)
2. โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ระหว่างวันที่ 1 ม.ค. - 30 เม.ย. 49)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ
1.1 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมกราคม 2549 อยู่ที่ระดับ 58.44 และ 63.49 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากท่อขนส่งน้ำมันในประเทศไนจีเรีย ถูกลอบวางระเบิด ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบโดยรวมของไนจีเรียลดลง 220,000 บาร์เรล/วัน ประกอบกับสถานการณ์ความตรึงเครียดในประเทศตะวันออกกลาง ส่งผลให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันของโลก และต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยได้ปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 57.66 และ 60.84 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากสภาพอากาศในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาอบอุ่นกว่าปกติ และปริมาณสำรองน้ำมันในสหรัฐอเมริกาทุกประเภทเพิ่มขึ้น โดยปริมาณสำรองน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 352.6 ล้านบาร์เรล
1.2 เดือนมีนาคมและเดือนเมษายนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 64.27 และ 70.72 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากตลาดยังคงกังวลเกี่ยวกับปัญหานิวเคลียร์ของอิหร่านที่ยังไม่มีทีท่าจะคลี่คลาย โดยอิหร่านได้ออกมาปฏิเสธข้อเรียกร้องจากคณะรัฐมนตรีความมั่นแห่งสหประชาชาติทั้ง 15 ชาติ ทำให้ตลาดเกิดความกังวล ประกอบกับแหล่งผลิตน้ำมันดิบในแถบทะเลเหนือจะลดกำลังการผลิตในเดือนพฤษภาคม 2549 ลงประมาณ 57,000 บาร์เรล/วัน ดังนั้นในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาราคา น้ำมันดิบดูไบและเบรท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 54.54 และ 64.47 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2548 9.99 และ 9.89 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์
2.1 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยเดือนมกราคม 2549 อยู่ที่ระดับ 66.79, 65.42 และ69.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เนื่องจากโรงกลั่น Balikapan จะปิดซ่อมบำรุง และ Petec ของเวียดนามออกประมูลซื้อน้ำมันเบนซินปริมาณ 169,000 บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากความต้องการซื้อน้ำมันก๊าดมีปริมาณมากอย่างต่อเนื่องจากญี่ปุ่น และสายการบิน ประกอบกับบริษัทของเกาหลีใต้และไต้หวันไม่มีน้ำมันก๊าดส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ ทำให้โรงกลั่นในเอเชียเหนือลดการผลิตน้ำมันดีเซลลงและหันมาเร่งผลิตน้ำมันก๊าดในอัตราสูง
2.2 ในเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบในตลาดซื้อขายล่วงหน้า NYMEX และอุปทานในเอเชียที่ลดลง ขณะที่น้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดีเซลในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ICE และปริมาณสำรองน้ำมันดีเซลใน Amsterdam-Rotterdam-Antwerp ที่ประกาศในวันที่ 2 มีนาคม 2549 ปรับลดลง มาอยู่ที่ระดับ 1.8 ล้านตัน และในเดือนเมษายนราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ,92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น อยู่ที่ระดับ 81.93, 80.90 และ 83.46 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยที่ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นในญี่ปุ่นหลายแห่งต้องปิดซ่อมบำรุงฉุกเฉิน ประกอบกับ Arbitrage จากเอเชียเหนือไปสหรัฐอเมริกาเปิด ส่วนราคาน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุงประจำปี โดยสรุปช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 70.82 , 69.89 และ 72.77 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2548 8.16 , 8.21 และ 8.12 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกของไทย
3.1 เดือนมกราคม 2549 ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ0.40 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 มกราคม 2549 อยู่ที่ระดับ 27.24 26.44 และ 24.69 บาท/ลิตร ตามลำดับ และเดือนกุมภาพันธ์ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีก น้ำมันเบนซินลดลง 3 ครั้งๆ ละ 0.40 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร 1 ครั้ง ขณะ เดียวกันราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับลดลง 0.40 บาท/ลิตร 1 ครั้ง และปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร 1 ครั้ง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2549 อยู่ที่ระดับ 26.44 25.64 และ 24.69 บาท/ลิตร ตามลำดับ
3.2 อย่างไรก็ตามช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน ผู้ค้าน้ำมันและ ปตท. ได้ปรับราคาน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น ขณะที่การปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มขึ้นและลดลงในบางช่วงเวลา ซึ่งส่งผลให้ ณ วันที่ 30 เมษายน 2549 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ยกเว้น ปตท. อยู่ที่ระดับ 28.74 , 27.94 และ 26.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วน ปตท. ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 28.34 , 27.54 และ 25.69 บาท/ลิตร ตามลำดับ สรุปช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 2.70 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 2.60 บาท/ลิตร
3.3 นอกจากนี้ ในช่วงเดือนเมษายนราคาขายหน้าโรงกลั่นของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลมีราคาสูงกว่าราคาขายปลีก ทำให้สถานีบริการบางแห่งไม่ซื้อน้ำมันมาขาย โดยเฉพาะสถานีบริการที่ไม่มียี่ห้อ จึงส่งผลให้สถานีบริการที่มียี่ห้อมีปริมาณขายน้ำมันมากขึ้น และเกิดการขาดแคลนในบางช่วง และปัจจุบันราคาขาย หน้าโรงกลั่นและขายปลีกของน้ำมันเบนซินมีราคาเท่ากัน โดยที่ราคาขายส่งของน้ำมันดีเซลจะสูงกว่าราคาขายปลีก
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
การจัดเก็บอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันชนิดต่างๆ ณ วันที่ 28 เมษายน 2549 ประกอบด้วย น้ำมันเบนซินออกเทน 95 น้ำมันเบนซินออกเทน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตา ในอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ คือ 2.50 , 2.30 , 0.54 , 0.10 , 0.95 และ 0.06 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยมีรายรับเงินส่งเข้ากองทุนเฉลี่ย 2,858 ล้านบาท/เดือน และฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2549 มีเงินสดสุทธิ 8,601 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 68,089 ล้านบาท แยกเป็นหนี้เงินกู้ 29,605 ล้านบาท หนี้พันธบัตร 26,400 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระ 1,422 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 10,367 ล้านบาท หนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ 295 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 59,488 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนฯ ในเดือนพฤษภาคมเพียง 2,645 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้กองทุนฯ ต้องขยายระยะเวลาการชำระหนี้เงินกู้ และลดค่าใช้จ่ายอื่นลง ได้แก่ ขยายเวลาการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ให้กับผู้ผลิตออกไปแต่จะไม่ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง
สรุปสาระสำคัญ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้แก่ชาวประมง ชายฝั่ง เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันให้ชาวประมง ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 ดังนี้
1. รัฐบาลได้มีนโยบายช่วยเหลือชาวประมงโดยได้ดำเนินการ 2 ลักษณะ คือ (1) โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (โครงการน้ำมันเขียว) ซึ่งน้ำมันโครงการจะมีคุณภาพต่ำกว่าน้ำมันบนบกเป็นน้ำมันที่ผลิตในประเทศ และได้รับการยกเว้นภาษีและกองทุนต่างๆ จึงทำให้มีราคาถูกกว่าน้ำมันบนบก ประมาณ 5 - 6 บาทต่อลิตร โดยกำหนดให้จำหน่ายในเขตต่อเนื่อง (12 - 24 ไมล์ทะเล) มีการเติมสีเขียวและสาร Marker เพื่อป้องกันการลักลอบ ปัจจุบันมีปริมาณการใช้น้ำมันประมาณ 50-100 ล้านลิตรต่อเดือน และ (2) โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเรือประมง (โครงการน้ำมันม่วง) โดยจัดหาน้ำมันดีเซลราคาถูกให้ ชาวประมงชายฝั่ง ซึ่งเป็นการช่วยเหลือราคาน้ำมันดีเซลจาก ปตท. ที่ลดราคาให้ 1 บาทต่อลิตร และเงินช่วยเหลือจากคณะกรรมการนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ชดเชยให้ 1 บาทต่อลิตร ทำให้ลดราคาน้ำมันได้รวมเป็น 2 บาทต่อลิตร มีกำหนดระยะช่วยเหลือตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 2548 - 7 มีนาคม 2549 ปริมาณน้ำมันในโครงการอยู่ประมาณ 20 ล้านลิตรต่อเดือน จำนวนเรือในโครงการ 13,494 ลำ และสถานีบริการน้ำมัน 150 สถานี ชาวประมงชายฝั่งใน 14 จังหวัดของประเทศ และปัจจุบันการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันม่วงสิ้นสุดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันม่วงเพิ่มขึ้นทันที 1 บาทต่อลิตร ขณะที่ ปตท. จะสามารถช่วยเหลือลดราคาน้ำมันม่วง 1 บาทต่อลิตร ได้อีกในวงเงินประมาณ 30 ล้านบาท ซึ่งเป็นเวลาประมาณ 1.5 เดือน หลังจากนั้นชาวประมงชายฝั่งจะต้องใช้น้ำมันดีเซลราคาปกติ สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือร้องเรียนขอให้รัฐบาลได้ดำเนินการช่วยเหลือ ชาวประมงชายฝั่งในโครงการน้ำมันม่วงต่อไป
2. แนวทางแก้ไขที่นำเสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้
2.1 ให้โครงการน้ำมันม่วงใช้น้ำมันคุณภาพต่ำกว่าน้ำมันบนบกเช่นเดียวกับน้ำมันเขียว เพื่อลดต้นทุนและเปลี่ยนแปลงสถานที่จำหน่ายจากสถานีบริการแพปลาซึ่งอยู่ในเครือข่ายขององค์การสะพานปลา ประมาณ 150 แห่ง เป็นการจำหน่ายด้วยเรือสถานีบริการในทะเล ประมาณ 10 ลำ มีจุดจำหน่ายอยู่ในทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล ซึ่งส่งผลให้โครงการช่วยเหลือชาวประมงชายฝั่งหรือน้ำมันม่วงกลางทะเลที่เกิดใหม่มีความยั่งยืน เนื่องจากต้นทุนของราคาน้ำมันถูกลงเพราะน้ำมันมีคุณภาพต่ำลง โดยระยะแรกกองทุนน้ำมันฯ จะลดอัตราเงินส่งเข้าให้ส่วนหนึ่ง ราคาน้ำมันม่วงใหม่จะต่ำกว่าราคาน้ำมันบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาทต่อลิตร และระยะต่อไป กระทรวงพลังงานจะส่งเสริมให้มีการแข่งขันการจำหน่ายน้ำมันประมงเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันม่วงลดลง
2.2 เห็นควรเปิดโอกาสให้ผู้จำหน่ายน้ำมันในโครงการน้ำมันเขียวสามารถจัดหาน้ำมันจากต่างประเทศได้ โดยอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งผลให้ลดความเสี่ยงภัยน้ำมันเถื่อน และตอบสนองความต้องการน้ำมันเชื้อเพลิงของโครงการน้ำมันม่วงที่จะใช้น้ำมันประมงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ชาวประมงในฝั่งอันดามันใช้น้ำมันเขียวที่มีราคาสูงกว่าฝั่งอ่าวไทยประมาณ 70 - 80 สตางค์ หากมีการเปิดโอกาสให้นำเข้าจากประเทศสิงคโปร์จะสามารถทำให้ราคาน้ำมันถูกลงกว่าในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาความเสียเปรียบราคาน้ำมันของฝั่งอันดามันทันที
3. เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรฯ เรื่อง โครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้แก่ชาวประมงชายฝั่ง เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันให้ชาวประมง ดังนี้
3.1 ขอให้รัฐบาลจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งมีคุณภาพเหมาะสำหรับเรือประมงเพื่อจำหน่ายให้แก่ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) โดยให้คงราคาน้ำมันที่เคยจำหน่ายเดิมตามโครงการฯ (ราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบกไม่น้อยกว่า 2 บาทต่อลิตร ) โดยการจำหน่ายในพื้นที่ทะเลอาณาเขตห่างฝั่งไม่น้อยกว่า 5 ไมล์ทะเล ยกเว้นรอบเกาะไม่น้อยกว่า 1 ไมล์ทะเล น้ำมันดังกล่าวเสียภาษีต่างๆ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เช่นเดียวกับราคาน้ำมันบนบก แต่การจ่ายเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ อาจต่ำกว่าราคาน้ำมันปกติ
3.2 ขอให้มอบหมายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการในรายละเอียดต่อไป
3.3 ขอให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีให้สามารถจัดหาน้ำมันสำหรับเรือประมงในโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องที่กำหนดให้จัดหาน้ำมันจากโรงกลั่นในประเทศเท่านั้น เป็นการจัดหาน้ำมันจากโรงกลั่นในประเทศหรือต่างประเทศก็ได้
3.4 ขอให้มอบหมายกระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับไปดำเนินการกำหนดแนวทางตรวจสอบการนำเข้าน้ำมันดีเซลจากต่างประเทศสำหรับโครงการทั้งสองให้เกิดความรัดกุม
4. ประเด็นพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 14 มีนาคม 2549 ตามข้อ 4.1 โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดราคาน้ำมันตามโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง ให้มีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลบนบก 2 บาท/ลิตร จึงจำเป็นต้องอาศัยกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันตามโครงการฯ ให้มีความแตกต่าง โดยมีข้อเสนอเพื่อพิจารณาดังนี้
4.1 ให้เรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่มีคุณสมบัติของ ซัลเฟอร์ไม่เกินร้อยละ 0.7 (ไม่เกิน 0.7%S)
4.2 ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาปรับขึ้นหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ไม่เกิน 0.7%S) ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ไม่เกิน 0.7%S) รวมแล้วจะต้องไม่เกิน 2.50 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2549 แล้วและคณะกรรมการฯ ได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า "เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องมีแนวทางและมาตรการร่วมกันในการดำเนินการควบคุมตรวจสอบการนำเข้า การจำหน่าย และการใช้น้ำมันให้เกิดความชัดเจนก่อนให้มีการนำเข้าน้ำมัน รวมทั้ง ศึกษาและติดตามประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างการผลิตน้ำมันภายในประเทศในระยะยาว"
5. มติคณะกรรมการ
5.1 ให้เรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่มีคุณสมบัติส่วนประกอบปริมาณกำมะถันไม่เกินร้อยละ 0.7 (ไม่เกิน 0.7%S)
5.2 ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาปรับขึ้นหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ไม่เกิน 0.7%S) ทั้งนี้ ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง โดยที่อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว (ไม่เกิน 0.7%S) รวมแล้วจะต้องไม่เกิน 2.50 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2548 และวันที่ 12 กรกฎาคม 2548 อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมงโดยใช้เงินช่วยเหลือจาก คชก. ลดราคาน้ำมัน 1 บาท/ลิตร และ ปตท. ช่วยเหลือลดราคาน้ำมันให้ชาวประมงอีก 1 บาท/ลิตร รวม 2 บาท/ลิตร ทั้งนี้ ปตท. ได้กำหนดวงเงินช่วยเหลือไว้ไม่เกิน 240 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2549 คณะรัฐมนตรีได้มีมติยกเลิกเงินช่วยเหลือจาก คชก.ตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2549 เป็นต้นไป ส่งผลให้ราคาน้ำมันม่วงเพิ่มขึ้นทันที 1 บาท/ลิตร ทำให้ชาวประมงได้รับความเดือดร้อนและร้องขอให้ได้รับการช่วยเหลือในรูปของราคาน้ำมันต่ำกว่าน้ำมันดีเซลปกติ 2 บาท/ลิตร
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2549 เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยรัฐบาลจัดหาน้ำมันซึ่งมีคุณภาพที่เหมาะสมสำหรับเรือประมง เพื่อจำหน่ายให้แก่ชาวประมงชายฝั่งทดแทนน้ำมันที่ได้รับจากโครงการช่วยเหลือราคาน้ำมันให้ชาวประมง (น้ำมันม่วง) ตามรายละเอียดในวาระที่ 3.2
3. ต่อมาสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้หารือกับกรมประมง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้ง ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และโรงกลั่นน้ำมัน ขอให้ ปตท. ช่วยเหลือชาวประมงชายฝั่งด้วยการจำหน่าย น้ำมันม่วงต่ำกว่าราคาปกติลิตรละ 1 บาท ตามข้อ 1. ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าโครงการจำหน่ายน้ำมันม่วงในทะเลตามข้อ 2. จะสามารถดำเนินการได้ หรือจนกว่าวงเงินช่วยเหลือชาวประมงที่ ปตท. กำหนดไว้จำนวน 240 ล้านบาท จะหมดลง และน้ำมันที่นำมาจำหน่ายในเขต 5 ไมล์ทะเลให้เป็นสีม่วงเพื่อให้แตกต่างจากสีของน้ำมันที่จำหน่ายในเขตต่อเนื่อง (น้ำมันเขียว) พร้อมทั้งขอให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีอนุโลมการนำเรือประมงดัดแปลงเป็นเรือสถานีบริการน้ำมันในเขต 5 ไมล์ทะเล โดยมีระยะเวลาประมาณ 1 ปี จนเมื่อจะมีการต่อเรือสถานีบริการน้ำมันที่ได้มาตรฐาน เนื่องจากเรือสถานีบริการที่มีอยู่เป็นเรือขนาดใหญ่จึงไม่คุ้มทุนในการนำมาจอดจำหน่าย ในเขตดังกล่าว
4. สนพ. ได้รับความร่วมมือจากบริษัท น้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นผู้ผลิต/จำหน่ายน้ำมันม่วงให้แก่ชาวประมง ตามมติคณะรัฐมนตรี แต่เนื่องจากปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ได้อยู่ในระดับปกติ บริษัทจึงขอให้กระทรวงพลังงาน พิจารณาชดเชยผลขาดทุนให้แก่บริษัทฯ
5. กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายให้องค์การสะพานปลา (อสป.) เป็นผู้ดำเนินโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยให้ดำเนินการจัดเตรียมการจำหน่ายน้ำมันในโครงการน้ำมันม่วงให้พร้อมที่จะจำหน่ายได้ตั้งแต่ วันที่ 8 พฤษภาคม 2549 เป็นต้นไป
6. ผลกระทบที่มีต่อกองทุนน้ำมันฯ จากความต้องการใช้น้ำมันม่วงสูงสุดไม่เกินเดือนละ 10 ล้านลิตร ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีภาระจ่ายเงินชดเชยไม่เกิน 14.036 ล้านบาท ซึ่งปกติอัตราเงินชดเชยน้ำมันม่วงควรจะอยู่ที่ระดับประมาณลิตรละ 0.50 บาท แต่เนื่องจากราคาจำหน่ายปลีก ณ สถานีบริการในปัจจุบันไม่อยู่ในระดับปกติ คือ สูงไม่ถึง 1 บาท/ลิตร หรือบางครั้งต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่นทำให้ต้องชดเชยค่าการตลาดให้ อสป. อีกส่วนหนึ่ง
โครงสร้างราคาน้ำมัน
วันที่ 4 พฤษภาคม 2549
หน่วย : บาท/ลิตร
น้ำมันดีเซล หมุนเร็ว (1) |
น้ำมันม่วง (2) |
ส่วนต่าง (1)-(2) |
|
ราคาน้ำมัน(อิงตลาดโลก) | 21.2361 | 20.1994 | 1.0367 |
ภาษีสรรพสามิต | 2.3050 | 2.4050 | -0.1000 |
ภาษีเทศบาล | 0.2305 | 0.2405 | -0.0100 |
กองทุนน้ำมันฯ | 0.9500 | -1.4036 | 2.3536 |
กองทุนอนุรักษ์พลังงาน |
0.0400 | 0.0400 | 0.0000 |
ภาษีมูลค่าเพิ่ม(ขายส่ง) | 1.7333 | 1.5037 | 0.2296 |
รวมขายส่ง | 26.4949 | 22.9850 | 3.5099 |
ค่าการตลาด (อสป.) | 0.0889 | 1.5000 | -1.4111 |
ภาษีมูลค่าเพิ่ม(ขายปลีก) | 0.0062 | 0.1050 | -0.0988 |
รวมขายปลีก | 26.59 | 24.59 | 2.00 |
7. จากการดำเนินการข้างต้น พบว่าต้องมีการกำหนดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ หรือจ่ายเงินชดเชยที่แตกต่างไปจากอัตราปกติ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้มีการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันม่วง และมอบหมายให้ประธานฯ เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน คณะกรรมการฯ ในการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมะสม พร้อมทั้งมอบให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราส่งเงินเข้ากองทุนหรือจ่ายเงินชดเชย
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และอัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันที่จำหน่ายในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) ที่แตกต่างไปจากอัตราปกติ
2. มอบหมายให้ประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมะสม และให้ผู้อำนวยการ.สนพ. เป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ หรืออัตราเงินชดเชยสำหรับน้ำมันม่วง