มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 4)
วันที่ 4 ธันวาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานประมาณการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 และรายงานงบการเงินที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองแล้ว ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547
2. ขอความเห็นชอบในการจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2550
3. ขอความเห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
4. ขอความเห็นชอบเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
5. เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล รองผู้อำนวยการฯ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานประมาณการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 คงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 ดังนี้
เงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 | 4,915.24 |
บวก ประมาณการรายรับ ปี 2550 | 1,400.00 |
รวมเงินคงเหลือ | 6,315.24 |
หัก ประมาณการรายจ่าย ปี 2550 | (5,141.18) |
ประมาณการเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย.2550 | 1,174.06 |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุม เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีเป้าหมายตามยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศที่จะลดอัตราส่วนการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจาก 1.4:1 เป็น 1:1 ภายในปี 2551 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8 ภายในปี 2554 ซึ่งผลการดำเนินการที่ผ่านมาในปี 2548 และปี 2549 คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้ 2,490 ktoe/ปี หรือคิดเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 47,310 ล้านบาท การใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจปรับจาก 1.4:1 เป็น 1.2:1 และเพิ่มอัตราส่วนการใช้พลังงานทดแทนจากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 3
2. การจัดทำแผนปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ที่นำเสนอในครั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทำขึ้นตามกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ที่ กพช. ได้เห็นชอบไว้ และปรับปรุงโดยเร่งรัดแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมให้สอดคล้องกับนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน และ จะขอจัดตั้งเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อการลงทุนด้านพลังงานทดแทนโดยเฉพาะ มีเป้าหมายที่จะทำให้นโยบายด้านพลังงานตามมาตรการระยะสั้นเกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังในปี 2550 ตามขอบเขตการดำเนินงานดังนี้
2.1 แผนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน: ดำเนินการทั้งภาคการขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจและที่อยู่อาศัย ภาครัฐ เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนี้
2.1.1 ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ
(1) งานปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
1) เร่งรัดดำเนินการให้โรงงานควบคุม/อาคารควบคุม ที่กำลังใช้งาน ดำเนินการตามข้อกำหนดตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด
2) ออกมาตรฐานการใช้พลังงานในอาคารที่ยื่นแบบขออนุญาตก่อสร้างใหม่ และอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถตรวจสอบแบบก่อสร้างให้เป็นไปตามมาตรฐานการใช้พลังงานในอาคาร รวมถึงการตรวจสอบและรับรองแบบ
3) เร่งให้มาตรา 9 มีผลบังคับใช้กับโรงงานควบคุม โดยออกกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม เพื่อใช้แทนเกณฑ์การใช้พลังงานในโรงงานควบคุม และนำแนวทางดังกล่าวไปประกาศใช้กับอาคารควบคุมด้วย
4) ปรับขอบเขตการบังคับใช้กฎหมายกับอาคาร/โรงงาน โดยจัดกลุ่มและปรับเกณฑ์การบังคับอาคาร/โรงงานควบคุมตามขนาดของอาคาร/โรงงาน และแยกอาคารส่วนราชการ (ไม่รวมอาคารของรัฐวิสาหกิจ) ออกจากกรอบของการควบคุมตามพระราชกฤษฎีกาอาคารควบคุม เนื่องจากโครงสร้างของส่วนราชการทั้งด้านคนและงบประมาณไม่เอื้อต่อการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.อนุรักษ์พลังงานฯ
(2) งานส่งเสริมและสาธิต
1) กระตุ้นให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน โดยดำเนินงานต่อเนื่องตามมาตรการจูงใจที่รัฐจัดเตรียมไว้ เช่น มาตรการสิทธิประโยชน์ทางภาษี การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม และเงินทุนหมุนเวียนการอนุรักษ์พลังงาน
2) ส่งเสริมการลงทุนเทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานใหม่ๆ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจ ซึ่งรัฐอาจจะสนับสนุนเงินลงทุนบางส่วนในปีแรก แล้วนำใช้เป็นมาตรการมาตรฐานเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจลงทุนในการอนุรักษ์พลังงาน ตามมาตรการจูงใจที่รัฐจัดเตรียมไว้ข้างต้นต่อไป
2.1.2 ภาครัฐ : กำกับดูแลติดตามและช่วยเหลือทุกส่วนราชการและจังหวัดเพื่อดำเนินการลดใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงให้ได้ตามเป้าหมายร้อยละ 10-15 เมื่อเทียบกับปริมาณการใช้ปี 2546 หรือตามเกณฑ์ที่ สนพ. กำหนด
2.1.3 ภาคขนส่ง
1) สนับสนุนเชิงนโยบายให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการจัดทำระบบขนส่งมวลชนและระบบขนส่งสินค้า ให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
2) ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น โดยในปี 2550 จัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจรเพิ่มขึ้นในพื้นที่ชานเมือง และอำนวยความสะดวกด้วยรถให้บริการต่างๆ สำหรับเดินทางเข้าสู่เมือง
3) สนับสนุนภาคอุตสาหกรรมและหอการค้าไทย พัฒนาศักยภาพของคลังสินค้าและศูนย์ขนถ่ายสินค้า เพื่อสาธิตระบบโลจิสติกส์ในภาคการผลิตและธุรกิจไปสู่การปฏิบัติจริง รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ขนาดเล็กของไทยให้พัฒนายกระดับได้มาตรฐานและเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
2.1.4 การจัดการใช้พลังงาน
1) ศึกษาการจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการใช้พลังงานของประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายและแผนปฏิบัติงานที่ต่อเนื่องทั้งระยะสั้นและระยะยาว ที่มีกฎระเบียบขององค์กรเองที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานให้เป็นไปอย่างคล่องตัว
2) ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเพื่อจัดตั้งสำนักงานบริหารจัดการด้านมาตรฐานการใช้พลังงานฯ ให้มีคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อกำกับดูแลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการติดฉลากอุปกรณ์ที่มีการศึกษาเกณฑ์มาตรฐานไว้แล้ว
3) ประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อขอสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ทั้งด้าน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร ที่จะเป็นกลไกผลักดันทางการตลาด กระตุ้นให้เกิดการผลิต นำเข้า จำหน่าย หรือซื้อ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่มีประสิทธิภาพสูง โดยให้แล้วเสร็จภายในปี 2550
4) ประสานกับ สมอ. เพื่อเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อให้การพิจารณากำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วย
2.1.5 งานศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีอนุรักษ์พลังงาน และโครงการสาธิตอื่นๆ
- สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ดำเนินการเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน เช่น การศึกษาเชิงนโยบาย การศึกษาเพื่อลดการใช้พลังงานในการผลิตสินค้า การจัดการด้านการจราจรและผังเมืองเพื่อการลดการใช้พลังงานในการขนส่ง นโยบายภาษีเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน การวิจัยเครื่องยนต์ต้นแบบที่มีประสิทธิภาพสูง การพัฒนาแนวทางเพื่อส่งเสริมธุรกิจการบริการด้านอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น โดย สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และประกาศให้ผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนให้ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. ซึ่งจะกลั่นกรองข้อเสนอ โดยอาจจะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยพิจารณาก็ได้ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบในการดำเนินงาน และ สนพ. จะเป็นผู้ติดตามการดำเนินงานของโครงการด้วย
2.2 แผนพลังงานทดแทน
เร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้เกิดการนำพลังงานทดแทนมาใช้มากขึ้น ดังนี้
2.2.1 ใช้พลังงานอื่นแทนน้ำมัน
ส่งเสริมการใช้ NGV แก๊สโซฮออล์ ไบโอดีเซล ให้เป็นไปตามนโยบายที่รัฐกำหนด ในทุกด้าน
2.2.2 ใช้พลังงานหมุนเวียน
1) สนับสนุนให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น วัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ของเสียจากอุตสาหกรรม ก๊าซชีวภาพ ขยะ ลม พลังงานแสงอาทิตย์ ในสัดส่วนและราคาที่เหมาะสม โดยเร่งออกประกาศขยายปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตขนาดเล็กมาก และการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
2) สนับสนุนผู้ประกอบการในการลงทุนด้านพลังงานทดแทน ที่ครอบคลุมทุกเทคโนโลยี โดยจัดสรรเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนฯ ไว้เป็นการเฉพาะ ในวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท
3) ส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนในชุมชน โดยคำนึงถึงศักยภาพและตรงกับความต้องการที่แท้จริงของชุมชน เทคโนโลยีดูแลไม่ยาก ต้นทุนไม่สูง มีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นอาชีพในท้องถิ่นนั้น
4) ประสานกับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อหารือแนวทางให้การพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการด้านพลังงานหมุนเวียนผ่านการประเมินโดยระยะเวลาและขั้นตอนลดลง
2.2.3 พลังงานแสงอาทิตย์
1) ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในพื้นที่ห่างไกลสายส่ง โดยหน่วยงานขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการเอง เช่น กระทรวงศึกษาฯ กระทรวงทรัพย์ฯ เป็นต้น กระทรวงพลังงานจะสนับสนุนเฉพาะเรื่องออกแบบข้อกำหนดรายละเอียด ราคากลาง ข้อมูลทางเทคนิค เท่านั้น และติดตามตรวจสอบการทำงานของระบบที่ใช้งานอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2) ส่งเสริมการใช้พลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานความร้อนเหลือทิ้งจากเครื่องปรับอากาศ
3) ศึกษาและพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานความร้อนแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังงานชีวมวล เพื่อทราบศักยภาพพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้า
4) สำรวจติดตามตรวจสอบการทำงานของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้งานอยู่ให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
2.2.4 พลังลม
เร่งศึกษาแผนที่ศักยภาพพลังงามลมเฉพาะแหล่งให้ครบทุกภาคของประเทศไทย โดยมีข้อมูลและรายละเอียดที่สร้างความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนพัฒนาพลังงานลมในการผลิตไฟฟ้า และสาธิตนำร่องการใช้กังหันลมขนาดเล็กสูบน้ำและผลิตไฟฟ้าในระดับชุมชน
2.2.5 พลังน้ำ
เร่งวางแผนพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อให้เกิดการนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตเป็นพลังงานให้ได้มากที่สุดโดยเร็ว
2.2.6 ก๊าซชีวภาพ
1) กำกับดูแลติดตามการดำเนินงานส่งเสริมการนำน้ำเสียจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพ และเร่งพัฒนาให้มีการนำก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ไปใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
2) ส่งเสริมการใช้ระบบก๊าซชีวภาพขนาดเล็ก เพื่อจัดการนำขยะอินทรีย์ หรือน้ำเสีย ในชุมชน ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดเล็ก อุตสาหกรรมขนาดย่อม มาผลิตเป็นก๊าซชีวภาพใช้ประโยชน์เป็นพลังงาน
2.2.7 ชีวมวล
ศึกษาแนวทางรวบรวมวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ด้านพลังงานหมุนเวียน โอกาสและความสามารถที่จะรวบรวมเชื้อเพลิง ปริมาณศักยภาพที่แท้จริง ความคุ้มค่าในการลงทุน ทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม แนวทางบริหารจัดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวล เทคโนโลยีในการรวบรวมทั้งในระดับอุตสาหกรรมและระดับชุมชน เพื่อนำไปสู่ตลาดการซื้อขายวัสดุเชื้อเพลิงชีวมวลในอนาคต
2.2.8 งานศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน และโครงการสาธิตอื่นๆ
สนับสนุนให้สถาบันการศึกษา ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชน ดำเนินการเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย และช่วยเหลือกิจกรรมในชนบททั้งภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยให้ สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และประกาศให้ผู้ที่มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนให้ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. ซึ่งจะกลั่นกรองข้อเสนอ โดยอาจจะมีคณะผู้ทรงคุณวุฒิเข้ามาช่วยพิจารณาก็ได้ ก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นชอบในการดำเนินงาน และ สนพ. จะเป็นผู้ติดตามการดำเนินงานของโครงการด้วย
2.3 แผนสนับสนุน
2.3.1 งานพัฒนาบุคลากร
1) เร่งพัฒนากำลังคน พัฒนาและยกระดับบุคลากร ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาด้านนั้นๆ รวมถึงการจัดเตรียมทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรของภาครัฐในด้านพลังงาน ระดับปริญญาโท-เอก ทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษาเพิ่มทักษะการเรียนรู้ด้านพลังงาน
2) ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนการกำลังคนที่มีความรู้ด้านโลจิสติกส์ที่แท้จริง โดยสนับสนุนสภาอุตสาหกรรมฯ จัดอบรมหลักสูตรด้านโลจิสติกส์และการจัดการระบบห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้อาจารย์ในมหาวิทยาลัยมีโอกาสไปฝึกงานระยะสั้น 6-8 เดือนกับภาคธุรกิจ ซึ่งช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะสั้น และเร่งจัดหลักสูตรในระดับอาชีวะ ปริญญาตรีเฉพาะสาขา หรือเป็นวิชาเลือกในบางสาขา เพื่อเพิ่มกำลังคนระดับหัวหน้างานในอนาคต
3) จัดประชุมสัมมนาเชิงวิชาการโดยเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานจากต่างประเทศมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการไทย หรือการเดินทางไปศึกษาดูงานและแสดงผลงานในเวทีต่างประเทศ
2.3.2 งานประชาสัมพันธ์และเผยแพร่
1) จัดระบบศูนย์ให้ความรู้ ให้คำปรึกษา ศูนย์สาธิตและเผยแพร่ด้านการประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน ที่มีอยู่ในหลายศูนย์ในกระทรวงพลังงาน ให้มีความชัดเจนในการบริการ กลุ่มลูกค้า เพื่อประโยชน์กับผู้ขอรับบริการและบริหารงบประมาณของประเทศได้มีประสิทธิภาพ รวมถึงกระจายศูนย์ประชาสัมพันธ์ให้มีประจำในส่วนภูมิภาคเพื่อขยายขอบเขตการบริการให้เข้าถึงประชาชนและภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ทั่วถึงมากขึ้น
2) จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ ด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
3) โครงการประชาสัมพันธ์ ปี 2550
- เป็นปีแห่งการรณรงค์เพื่อให้เกิดการเลือกซื้อและใช้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ที่ติดฉลากแสดงเกณฑ์มาตรฐานการใช้พลังงาน
- เผยแพร่ผลสำเร็จของการดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ในภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจบริการ ภาครัฐ ภาคประชาชน ให้เป็นที่รับทราบในวงกว้าง
- เป็นปีแห่งการให้ความรู้ความเข้าใจรู้จักพลังงานทางเลือก
- จัดกิจกรรมพิเศษ "เทิดไท้ในหลวง 80 พรรษา ชาวประชาร่วมใจประหยัดพลังงาน"
- ปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์พลังงานในกลุ่มเยาวชน ผ่านกิจกรรมที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพ
- กิจกรรมประชาสัมพันธ์อื่นๆ ตามสถานการณ์ เช่น นโยบายเลิกอุดหนุนราคา LPG ความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายด้านพลังงาน การรณรงค์ประหยัดไฟฟ้าและน้ำมันในช่วงหน้าร้อน เป็นต้น
3. ผลที่คาดว่าจะได้รับ จะก่อให้เกิดการประหยัดพลังงาน 312.12 ktoe คิดเป็นเงิน 7,955 ล้านบาท ณ ปี 2550 นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดการใช้พลังงานรูปแบบอื่นทดแทนการใช้ น้ำมันเบนซิน ดีเซล น้ำมันเตา LPG 25.5 ktoe คิดเป็นเงิน 758 ล้านบาท ณ ปี 2550
4. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ คาดว่าจะมีประมาณการรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3,591,990,750 บาท ประกอบด้วย
1. แผนพลังงานทดแทน |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |||
ล้านบาท | ล้านบาท | ล้านบาท | |||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 366.22 | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 216.00 | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 259.0 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,460.21 | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 530.50 | 3.2 งานบริหารกองทุน | 97.21 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 227.50 | 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 380.35 | 3.3 งานอื่นๆ | - |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 32.50 | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 22.50 | ||
รวม | 2,086.43 | รวม | 1,149.35 | รวม | 356.21 |
โดยจัดสรรให้ 3 หน่วยงาน คือ พพ. สนพ. และกรมบัญชีกลาง นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนงานที่ปรากฏในรายละเอียดการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550
หน่วยงาน | 1. แผนพลังงานทดแทน | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 1,589,930,000 | 694,350,000 | - | 2,284,280,000 |
2) สนพ. | 496,500,000 | 455,000,000 | 355,091,010 | 1,306,591,010 |
3) กรมบัญชีกลาง | - | - | 1,119,740 | 1,119,740 |
รวม | 2,086,430,000 | 1,149,350,000 | 356,210,750 | 3,591,990,750 |
ทั้งนี้ ให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายภายในแผนงาน/งานเดียวกันได้
5. ข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ
5.1 เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในข้อ 3 โดยให้ สนพ. และ พพ. นำความเห็นที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการฯ ไปพัฒนารายละเอียดของแต่ละแผนงานให้มีทิศทางเดียวกับแผนงานที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบไว้ โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ ศ.ดร.จุลละพงศ์ จุลละโพธิ
5.2 การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ให้อยู่ภายใต้กรอบวงเงินตามที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบไว้ โดยรอผลสรุปจากการประชุมคณะผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 3 ท่าน ตามข้อ 5.1 และให้ สนพ. และ พพ. ปรับรายละเอียดของแผนงานและการของบประมาณรายจ่ายประจำปี 2550 ให้เรียบร้อย และเวียนให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบ ก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
5.3 ขอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานข้างต้นสำเร็จลงตามเป้าหมายและบรรลุเป้าประสงค์ ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จากเดิมเก็บในอัตรา 4 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 10 สตางค์ต่อลิตร โดยมีหลักการและเหตุผลดังนี้
(1) กพช. ได้อนุมัติกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) และเห็นชอบให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ภายในวงเงินรวม 28,826 ล้านบาท โดยมีกรอบการใช้จ่ายเงินตามแผนปฏิบัติการแต่ละปี มีดังนี้
1. แผนพลังงานทดแทน | (50%) | 2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | (35%) | 3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | (15%) |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 65% | 2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 30% | 3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 33% |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 20% | 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 45% | 3.2 งานบริหารกองทุน | 33% |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 10% | 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 20% | 3.3 งานอื่นๆ | 34% |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 5% | 2.4 งานบริหารแผนงาน | 5% |
(2) เดิมกองทุนฯ มีพันธะขอบเขตงานตาม พรบ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 2535 และที่ผ่านมาการกำหนดให้ดำเนินงานโดยให้อยู่ภายในวงเงิน 1,300-2,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การดำเนินการประหยัดพลังงานและการก่อให้เกิดพลังงานทดแทน เห็นผลช้ากว่าที่ควร ซึ่งจากการปรับแผนงานเพื่อเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ ตามงบประมาณที่เสนอไว้ 3,591 ล้านบาท ขณะที่กองทุนฯ มีวงเงินคงเหลือเพียง 1,174 ล้านบาท จะทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ ติดลบ
(3) ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าตามที่ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2540 ได้มีมติลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จาก 7 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 4 สตางค์ต่อลิตร เป็นการชั่วคราว เนื่องจากรายได้ของรัฐไม่เพียงพอกับงบประมาณที่ตั้งไว้ในปี 2540 และ 2541 จึงได้ลดอัตราการเงินส่งเข้ากองทุนฯ ไปเพิ่มอัตราภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงเวลานั้น ซึ่งขณะนี้สถานการ งบประมาณของประเทศค่อนข้างมั่นคงแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ เป็นอัตรา 10 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซล และเตาที่ผลิตในประเทศและนำเข้า และอัตรา 9 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป เพื่อทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับเดิมและสอดคล้องกับการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม |
1) เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | (44) | 0 | 2,232 | 4,550 | 7,009 | 4,915 |
2) รายรับ | 2,773 | 3,837 | 3,980 | 3,886 | 3,836 | 3,786 | 22,096 |
- เงินเก็บเข้ากองทุน+ดอกเบี้ย | 2,360 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 2,900 | 16,860 |
- เงินคืนจากทุนหมุนเวียน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 886 | 5,236 |
3) รายจ่าย | 4,140 | 1,791 | 448 | 268 | 76 | 68 | 6,792 |
- รายจ่ายผูกพัน ปี 38-47 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 68 | 1,832 |
- รายจ่ายผูกพัน ปี 48-49 | 3,582 | 1,324 | 51 | 3 | - | - | 4,959 |
4) เงินคงเหลือปลายปี (1)+(2)-(3) | 3,548 | 2,001 | 3,532 | 5,850 | 8,309 | 10,727 | |
5) ประมาณการรายจ่าย | 3,592 | 2,001 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 10,793 |
6) เงินคงเหลือยกไป (4)-(5) | (44) | 0 | 2,232 | 4,550 | 7,009 | 9,427 | 9,427 |
มติที่ประชุม
เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยให้ สนพ. และ พพ. นำความเห็นที่ได้รับจากคณะอนุกรรมการฯ ไปจัดทำพัฒนารายละเอียดของแต่ละแผนงานให้มีทิศทางเดียวกับแผนงานที่คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบไว้ โดยผ่านการพิจารณาให้คำแนะนำจากผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน ประกอบด้วย ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์, คุณเจน นำชัยศิริ และ ศ.ดร.จุลละพงศ์ จุลละโพธิ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งในวันที่ 14 ธันวาคม 2549 ก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2542 ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ในวงเงินรวม 145.76 ล้านบาท โดยให้ สนพ. ประเมินผลการดำเนินโครงการ เมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณในแต่ละปี และรายงานผลต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินงานในปีต่อไป
2. การดำเนินงานของโครงการฯ เป็นรูปเครือข่ายความร่วมมือ "บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE)" โดยมี มจธ. เป็นแกนนำ และมีสถาบันร่วมอีก 4 แห่ง ประกอบด้วย (1) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (2) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (3) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ (4) สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมีการบริหารโครงการฯ ภายใต้ "คณะกรรมการอำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม"
3. เมื่อปี 2543 JGSEE ได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากสำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา ภายใต้โครงการเงินกู้ ADB ทำให้ได้ชะลอการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในปีดังกล่าว และในปี 2546 ได้รับความเห็นชอบการปรับแผนการดำเนินงานและแผนการเบิกจ่ายเงิน โดยขยายเวลาดำเนินโครงการฯ ไปจนถึงกันยายน 2549 ทั้งนี้ มจธ. ได้เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของงบประมาณปีที่ 1 - 4 แล้วเป็นเงิน 126,953,500 บาท คงเหลือเงินงบประมาณปีที่ 5 ที่รอเบิกจ่าย จำนวนเงิน 18,811,500 บาท
4. ผลการดำเนินโครงการฯ (ตั้งแต่ปี 2542 - กันยายน 2549)
4.1 จำนวนนักศึกษาที่ได้รับทุนทั้งสิ้น 276 คน เป็นระดับปริญญาเอก 135 คน และระดับปริญญาโท 141 คน โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก 27 คน และปริญญาโท 67 คน รวมจำนวน 94 คน เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่เน้นการวิจัย และต้องรอการตีพิมพ์ผลงานให้ครบตามเงื่อนไขจึงจะสำเร็จการศึกษาได้
4.2 จำนวนบทความวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ทั้งสิ้น 511 ฉบับ ซึ่งเป็นการเผยแพร่ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ 154 เรื่อง วารสารวิชาการระดับชาติ 36 เรื่อง การเสนอที่ในประชุมวิชาการนานาชาติ จำนวน 299 เรื่อง และเสนอที่ประชุมวิชาการระดับชาติ 22 เรื่อง
4.3 มีงานวิจัยเพื่อรับใช้สังคมให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายโครงการ
5. ผลการประเมินโครงการ โดย Asia Policy Research Co.,Ltd. ที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาระบบติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของ JGSEE ได้รายงานผลการติดตามและการประเมินเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
5.1 ด้านการบริหารจัดการ มีการจัดโครงสร้างองค์กรที่ดีและเป็นทางการ มีแผนกลยุทธ์ที่จะนำไปสู่เป้าหมาย แต่ยังขาดนโยบายทางด้านมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และด้านจรรยาบรรณ และยังไม่มีระบบประกันคุณภาพที่เป็นทางการ
5.2 ด้านการพัฒนาวิชาการ มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาให้คำแนะนำในการปรับปรุงหลักสูตร และเปิดหลักสูตรใหม่ที่เน้นการพัฒนาวิชาชีพด้านเทคโนโลยีและการจัดการพลังงาน และเทคโนโลยีและการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับปริญญาโทด้วย
5.3 ด้านการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มีระบบการประเมินผลการดำเนินงานอย่างเป็นทางการ แต่กำหนดตัวชี้วัดเชิงปริมาณที่ใช้รายงานผลการดำเนินงานมาตลอด เช่น จำนวนนักศึกษาที่รับเข้า จำนวนผู้สำเร็จการศึกษา จำนวนผลงานตีพิมพ์เผยแพร่ และการประกอบอาชีพของผู้สำเร็จการศึกษา เป็นต้น
5.4 ด้านการตลาดและการประชาสัมพันธ์ มีหน่วยอุตสาหกรรมสัมพันธ์ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันมาเป็นที่ปรึกษาประจำ ทำให้ JGSEE มีโครงการวิจัยที่เชื่อมโยงกับทั้งภาครัฐและเอกชน และได้จัดทำเว็บไซด์ วารสารวิชาการ จดหมายข่าว และเอกสารรวมเล่ม
6. แผนการดำเนินงานปีที่ 5 จะรับนักศึกษาเพิ่มในปี 2550 อีกอย่างน้อย จำนวน 30 คน ซึ่งเป็นระดับปริญญาเอก 10 คน และระดับปริญญาโท 20 คน รวมจำนวนนักศึกษาในโครงการทั้งสิ้น 306 คน โดยขอขยายเวลาการดำเนินงานจากเดิมสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2549 เป็นเดือนกันยายน 2550 เพื่อผลิตนักศึกษาให้ครบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการดำเนิน "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ตามที่ มจธ. เสนอมา และเห็นชอบให้ มจธ. ดำเนินโครงการฯ ในปีงบประมาณปีที่ 5 ต่อไป และเห็นชอบการสนับสนุนเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน อุปกรณ์และห้องปฏิบัติการ "โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม" ให้ มจธ. จำนวนเงิน 18,811,500 บาท
2. เห็นชอบให้ มจธ. ขยายระยะเวลาโครงการฯ ไปสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2550
3. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
4. ให้ สนพ. ประเมินผลสำเร็จโครงการฯ และให้เชิญ มจธ. มานำเสนอผลงานของโครงการฯ ต่อคณะอนุกรรมการฯ ในโอกาสต่อไปด้วย
เรื่องที่ 4 ขอความเห็นชอบเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีหน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ ได้ขอขยายเวลาและขอเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาจากที่อนุมัติไว้แล้วให้แก่ผู้รับทุน ดังนี้
1. ทุนการศึกษาในประเทศ
ผู้ขอเปลี่ยนแปลง | รายการ | ความเห็นฝ่ายเลขาฯ |
1) นายปริญญา สีชุมภู วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย ศึกษาในระดับปริญญาโท สาขาวิศวกรรมพลังงาน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วงเงิน 96,100 บาท |
- ขอขยายเวลาการศึกษาอีก 8 เดือน เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 24,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนรักษาสภาพระหว่างการจัดทำวิทยานิพนธ์ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - ไม่ควรเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา เนื่องจากกองทุนฯ ได้สนับสนุนทุนการศึกษาตลอดระยะเวลาที่หลักสูตรกำหนดไว้แล้ว |
2) นายประชาสันติ ไตรยสุทธิ์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วงเงิน 205,200 บาท |
- ขอขยายวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 60,000 บาท เพื่อเป็นค่าหนังสือและอุปกรณ์การศึกษา จำนวน 30,000 บาท และค่าวิทยานิพนธ์ จำนวน 30,000 บาท |
- เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 30,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำวิทยานิพนธ์ โดยใช้เงินจากแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2550 |
2. ทุนการศึกษาต่างประเทศ
ผู้ขอเปลี่ยนแปลง | รายการ | ความเห็นฝ่ายเลขาฯ |
1) นายรุ่งโรจน์ สงค์ประกอบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมเครื่องกล ณ University of Victoria ประเทศแคนาดา |
- ขอขยายเวลาการศึกษาจนถึงวันที่ 1 มกราคม 2551 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - จำนวน US$ 24,144 (965,760 บาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงการขยายเวลาการศึกษา |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - ไม่ควรเพิ่มทุนการศึกษา เนื่องจากผู้รับทุนได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว |
2) นางทิพย์วรรณ ฟังสุวรรณรักษ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขา Photovoltaic Engineering The University of New South Wales ประเทศออสเตรเลีย |
- ขออนุมัติขยายวงเงินทุนการศึกษา 695,840 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับภาคเรียนที่ 8 - ทั้งนี้ ผู้รับทุนได้การรับอนุมัติให้ขยายเวลาการศึกษาออกไปอีก 1 ปี จนถึงเดือนมิถุนายน 2549 และได้รับอนุมัติเพิ่มวงเงิน จำนวน 193,176.86 บาท อันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแล้ว |
- ไม่ควรเพิ่มทุนการศึกษา เนื่องจากได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว - ไม่เห็นควรให้เบิกเงินงบประมาณเหลือจ่าย (จากยอดงบประมาณเดิมที่เคยได้รับอนุมัติไว้) สำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายในภาคการศึกษาที่ขอขยายเวลา |
3) นางสาวจารุวรรณ ชนม์ธนวัฒน์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิชา Energy Economics ณ The University of Surrey ประเทศ สหราชอาณาจักร |
- ขอขยายเวลาการศึกษา จนถึง 19 กันยายน 2550 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา |
4) นางสาวเหมือนมาศ วิเชียรสินธุ์ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมการขนส่ง ณ Imperial College London ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขอขยายเวลาการศึกษาออกไปถึง 3 ตุลาคม 2550 เพื่อจัดทำวิทยานิพนธ์ให้แล้วเสร็จ - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 418,153 บาท เนื่องจาก (1) การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (2) ค่าธรรมเนียมการศึกษาในปีการศึกษาที่ 2 และ 3 สูงกว่าที่ประมาณการไว้ (3) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนอนุมัติค่าใช้จ่ายประจำเดือนเพิ่มขึ้นเดือนละ 100 ปอนด์ สำหรับนักเรียนในกรุงลอนดอนตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 (4) ค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับและค่าระวางส่งสิ่งของกลับประเทศไทยไม่อยู่ในวงเงินที่อนุมัติไว้ |
- เห็นควรขยายเวลาการศึกษา - เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 418,153 บาท โดยใช้จากเงินกองทุนฯ โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปี 2550 |
5) นายพยนต์ ปั้นจาด การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาการวางแผนและพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า ณ University of Strathclyde ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 15,306.92 ปอนด์ (1,132,712.08 บาท) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงงบประมาณค่าใช้จ่ายของนักเรียนทุนรัฐบาลตามระเบียบของสำนักงาน ก.พ. จึงทำให้งบประมาณไม่เพียงพอสำหรับการศึกษาตลอดหลักสูตร 3 ปี |
- เห็นควรเพิ่มวงเงินทุน ในวงเงิน 686,800 บาท โดยใช้จากเงินกองทุนฯ โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปี 2550 |
6) นางสาววรนุช เอมมาโนชญ์ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ศึกษาในระดับปริญญาเอก สาขาการวางแผนการจัดการทรัพยากรด้านพลังงาน ณ Convertry University ประเทศสหราชอาณาจักร |
- ขอเปลี่ยนสถานศึกษาเป็น King's College London ประเทศสหราชอาณาจักร เนื่องจากมหาวิทยาลัยเดิมได้ยุบส่วน School of Science and the Environment ซึ่งเป็นส่วนที่รองรับการศึกษางานวิจัยของผู้รับทุน - ขอขยายเวลาออกไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2552 - ขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุน 2,653,281.90 บาท เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการศึกษาระดับปริญญาเอก ระยะเวลา 3 ปี ณ King's College London |
- เห็นควรให้เปลี่ยนแปลงสถานศึกษาจาก Conventry University เป็น King's College London โดยศึกษาในสาขาวิชาเดิมตามที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว - ให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกับผู้รับทุนหรือ Conventry University เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการโอนย้ายหน่วยกิต จากสถาบันการศึกษาเดิมเพิ่มเติม เพื่อนำมาพิจารณาเห็นชอบวงเงินเพิ่มให้แก่ผู้รับทุนตามที่ขอมาต่อไป |
1. เห็นชอบให้หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศและต่างประเทศ ที่ได้ขอขยายเวลาและขอเพิ่มวงเงินทุนการศึกษาจากที่อนุมัติไว้แล้วให้แก่ผู้รับทุน ดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็น
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
เรื่องที่ 5 เห็นชอบการปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ามีหน่วยงานต่างๆ ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว รวม 6 โครงการ ดังนี้
1. ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 5 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานควบคุม (กลุ่มที่ 2) | พพ. | มีนาคม 2549 | * |
(2) | โครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใสด้วยไบโอดีเซล | พพ. | มิถุนายน 2549 | มีนาคม 2550 |
(3) | โครงการสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในถิ่นทุรกันดาร: กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2549 | กุมภาพันธ์ 2550 |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ** | สนพ. | ** | |
(5) | โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ *** | ม.เกษตร | กรกฎาคม 2548 | พฤศจิกายน 2549 |
- โครงการที่ (1) พพ. ขออนุมัติให้สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน
- โครงการที่ (4) ประกอบด้วย 3 รายการ คือ
(4)-1 มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ขอขยายเวลา "โครงการวิจัยเรื่องศักยภาพแสงธรรมชาติจากช่องเปิดของเรือนพื้นถิ่นอีสาน" จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2549 เนื่องจากการดำเนินงานและการประสานงานของโครงการเกิดความล่าช้า
(4)-2 มจธ. ขอเปลี่ยนชื่อ "โครงการวิจัยจากเดิมเรื่องการใช้วิธีระบายอากาศแบบธรรมชาติร่วมกับพัดลมแสงอาทิตย์เพื่อควบคุมอุณหภูมิในโรงเรือนเพาะปลูก" เป็น "โรงเรือนเพาะปลูกโครงสร้างไม้ไผ่แบบประหยัดพลังงานสำหรับพื้นที่ห่างไกล" เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินการวิจัยยิ่งขึ้น
(4)-3 มจธ. ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัยจากเดิม "เรื่องอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อขดแบบสปริง" เป็น "อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนแบบท่อขดแบบสปริงติดครีบ" เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
- ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้โครงการที่ (1)-(4) ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
- สำหรับโครงการที่ (5) โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะนั้น ดำเนินงานวิจัยมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว ยังไม่สามารถรวบรวมก๊าซจากหลุมขยะมาผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ปัจจุบันเทคโนโลยีการนำก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ได้มีการดำเนินการและใช้งานได้จริงในประเทศไทยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ มก. ปิดโครงการฯ ดังกล่าว และคืนเงินที่เหลือจากทุกโครงการฯ คืนกองทุนฯ และให้ สนพ. นำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่จัดซื้อด้วยเงินกองทุนฯ ไปใช้งานอื่นที่เป็นประโยชน์
2. กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด "โครงการจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง" ที่กองทุนฯ ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 69 คัน ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยรวมกับงบประมาณของ กทม. 84 ล้านบาท (ราคาประเมิน ณ วันนั้น 3.5 ล้านบาทต่อคัน) แต่เมื่อ กทม. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีประกวดราคาแล้วปรากฏว่ามีผู้ยื่นซองเพียง 1 ราย คือ บริษัทนิสสันดีเซล (ประเทศไทย) จำกัด โดยเสนอราคารวมภาษีอากรและอากรขาเข้า เป็นเงินคันละ 5.69 ล้านบาท รวม 69 คัน เป็นเงินทั้งสิ้น 392.54 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างบประมาณที่ได้ประมาณการไว้ กทม. จึงเสนอขอปรับลดจำนวนรถที่จะจัดซื้อลงจากจำนวน 69 คัน เหลือ 52 คัน หรือ 42 คัน
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าเหตุที่ราคารถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ กทม. จัดหามีราคาแพงขึ้นนั้น อาจเป็นเหตุจากรถยนต์ที่นำเข้าดังกล่าวต้องออกแบบเครื่องยนต์ใหม่เป็นการเฉพาะประกอบกับปริมาณการจัดซื้อมีจำนวนน้อย ปัจจุบันผู้ประกอบการดัดแปลงรถยนต์ดีเซลให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ในประเทศมีทักษะความรู้ความชำนาญสามารถดัดแปลงรถให้มีสมรรถนะได้ใกล้เคียงกับรถขยะที่ กทม. จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้ กทม. ยกเลิกการประกวดราคาจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง แล้วให้ กทม. ประกาศจัดซื้อเฉพาะรถเก็บขยะมูลฝอย เพื่อให้เอกชนในประเทศไทยดำเนินการดัดแปลงรถยนต์ขยะดีเซลนั้นให้ใช้ก๊าซธรรมชาติ ที่มีค่าดัดแปลงประมาณ 1.5-2 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งจะทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ไม่ลดลง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตามข้อ 1 (1)-(4) ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. เห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ดำเนินการปรับแผน โครงการปรับปรุงระบบรวบรวมก๊าซเพื่อสนับสนุนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
3. เห็นชอบให้กรุงเทพมหานครดำเนินการปรับแผน โครงการจัดซื้อรถเก็บขยะมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับเจ้าของโครงการ ตามข้อ 2 และ ข้อ 3 เพื่อสอบถามแนวทางขั้นตอน และข้อจำกัดในการดำเนินการปรับแผนงานตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้