มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 29/2556 (ครั้งที่ 163)
วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 4 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การใช้มันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอลส่วนที่เกินจากปริมาณ 1.6 ล้านตัน ตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/2556
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายณอคุณ สิทธิพงศ์ กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซลการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอลการปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 กบง. ได้พิจารณาโครงสร้างราคา และค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง และได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินลง 0.30 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10, 91E10, E20 และ E85 ลงชนิดละ 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลลง 0.20 บาทต่อลิตร ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ราคาปิดตลาดของน้ำมันตลาดโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่อ่อนค่าลง ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2556 เป็นดังนี้
4. ราคาน้ำมันตลาดโลกปิดตลาด ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2556 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และ น้ำมันดีเซลอยู่ที่ 112.21, 121.27 และ 127.38 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.76, 3.97 และ 3.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 (ราคาปิดตลาดวันที่ 26 สิงหาคม 2556) ในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 28 สิงหาคม 2556 อยู่ที่ 32.3382 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.2778 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จากวันที่ 26 สิงหาคม 2556 ซึ่งอยู่ที่ 32.0604 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ โดยตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 2556 ผู้ค้าน้ำมันฯ ไม่มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
5. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 25 สิงหาคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 21,367 ล้านบาท หนี้สินรวม 14,355 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิเป็นบวก 7,032 ล้านบาท
6. จากราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง และอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลง มีผลทำให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2556 เป็นดังนี้
จากโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 29 สิงหาคม 2556 พบว่าค่าการตลาดน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นเพื่อให้ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 0.50 บาท ผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะทำให้ค่าการตลาดน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.19 บาทต่อลิตร ค่าการตลาดเฉลี่ยกลุ่มเบนซินอยู่ที่ประมาณ 0.91 บาทต่อลิตร และค่าการตลาดเฉลี่ยทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 1.12 บาทต่อลิตร กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 27.86 ล้านบาท จากมีรายรับวันละ 6.48 ล้านบาท เป็นมีรายจ่ายวันละ 21.38 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการโครงการแทรกแซงตลาด มันสำปะหลัง ปี 2555/56 กำหนดเป้าหมายการรับจำนำหัวมันสด 10 ล้านตัน และอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ครั้งที่ 16/2555 ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงพลังงานจัดทำแผนการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอล และในปี 2556 กระทรวงพลังงานกำหนดเป้าหมายส่งเสริมให้ใช้เอทานอลเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านลิตรต่อวัน และขอความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันให้ใช้ เอทานอลจากกากน้ำตาลและเอทานอลจากมันสำปะหลังในสัดส่วนร้อยละ 62 : 38 ดังนั้น โรงงานเอทานอลใช้วัตถุดิบมันสำปะหลังจะผลิตเอทานอลเฉลี่ย 0.76 ล้านลิตรต่อวัน หรือ 255.60 ล้านลิตรต่อปี คิดเป็นปริมาณการใช้หัวมันสด 1.6 ล้านตันต่อปี
2. เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2555 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบการปรับสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลมันสำปะหลังที่เพิ่มขึ้น โดยกำหนดสูตรราคาเอทานอลตามสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อมันสำปะหลังเป็น 62 : 38 และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ประสานกรมการค้าภายในเพื่อตรวจสอบว่าผู้ผลิตเอทานอลที่ใช้ มันสำปะหลังในโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง โดยผู้ผลิตเอทานอลจากมันเส้น ให้ใช้มันเส้นจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ผู้ผลิตเอทานอลจากมันสดให้เปิดจุดรับซื้อมันสดที่หน้าโรงงาน และผู้ผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อยให้ถือว่าอยู่ในกลุ่มกากน้ำตาล พร้อมทั้งให้รวบรวมรายงานยอดการซื้อมันสำปะหลังของโรงงานเอทานอลรายเดือน และแจ้งให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเป็นรายไตรมาส
3. ปัจจุบันมีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มมากขึ้น โดยในปี 2556 ไตรมาสที่ 1 และ 2 มีการใช้เอทานอลเฉลี่ย 2.33 และ 2.58 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ มีสัดส่วนการใช้เอทานอลจากกากน้ำตาลต่อเอทานอลจากมันสำปะหลังเฉลี่ย 2 ไตรมาส เท่ากับ 75.5 ต่อ 24.5 หรือคิดเป็นเอทานอลจากกากน้ำตาลและจากมันสำปะหลังเฉลี่ยเท่ากับ 1.86 และ 0.60 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ โดยในปี 2556 มีผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังรวม 7 ราย ได้แก่ (1) บริษัท ทรัพย์ทิพย์ จำกัด จังหวัดลพบุรี (2) บริษัท ไทยเอทานอล พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) จังหวัดขอนแก่น (3) บริษัท ไท่ผิงเอทานอล จำกัด จังหวัดสระแก้ว (4) บริษัท พี.เอส.ซี.สตาร์ช โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) จังหวัดชลบุรี (5) บริษัท อี 85 จำกัด จังหวัดปราจีนบุรี (6) บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด จังหวัดอุบลราชธานี และ (7) บริษัท ราชบุรี เอทานอล จำกัด จังหวัดราชบุรี ทั้งนี้ ตั้งแต่เริ่มดำเนินการ ผู้ผลิตเอทานอลได้ทำสัญญารับมอบมันสำปะหลัง ตามโครงการฯ จาก อคส. แล้วรวมคิดเป็นมันสำปะหลังสด 1.32 ล้านตัน และคาดว่าเมื่อสิ้นไตรมาส 3/2556 ผู้ผลิตเอทานอลจะสามารถทำสัญญารับมอบมันสำปะหลัง ได้ครบ 1.60 ล้านตัน
4. ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2556 คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้อนุมัติกรอบการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/2556 เพื่อการส่งออกไปนอกราชอาณาจักร โดยอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศในฐานะประธานคณะอนุกรรมการระบายมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ได้มีประกาศให้ใช้วิธียื่นซองเสนอซื้อมันเส้นตามโครงการฯ ซึ่งเก็บอยู่ในคลังสินค้าของ อคส. ปริมาณ 204,005 ตัน ในวันที่ 19 สิงหาคม 2556 ส่งผลให้ในไตรมาส 4/2556 จะไม่มีมันสำปะหลังจำหน่ายให้แก่ผู้ผลิตเอทานอล ทั้งนี้ จากการประมาณการเบื้องต้น คาดว่าในไตรมาส 4/2556 ผู้ผลิตเอทานอลจะต้องการใช้มันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอลอีกประมาณ 300,000 ตัน
5. เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2556 สมาคมเอทานอลจากมันสำปะหลัง ได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ขอรับซื้อมันสำปะหลังโดยตรงจากเกษตรกรตามราคาตลาด ซึ่งไม่อยู่ในโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 เนื่องจากมันสำปะหลังที่เหลืออยู่ในโครงการฯ อยู่ห่างไกลจากพื้นที่ที่โรงงานตั้งอยู่ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการผลิต เอทานอลสูงขึ้น
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ผู้ผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังสามารถใช้มันสำปะหลังที่เพาะปลูกในประเทศไทย ที่อยู่นอกโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี 2555/56 ในการผลิตเอทานอลได้ นับตั้งแต่ผู้ผลิตเอทานอลรับมอบมันสำปะหลังในโครงการฯ ครบ 1.6 ล้านตัน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2556 ทั้งนี้ หากมีการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังในปีต่อไป ให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานพิจารณาอีกครั้ง
2. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประสานงานกับสำนักงานปลัด กระทรวงพลังงานและกรมการค้าภายใน เพื่อกำกับและตรวจสอบการดำเนินการของโรงงานเอทานอล ให้ใช้ มันสำปะหลังที่เพาะปลูกในประเทศไทยเท่านั้นในการผลิตเป็นเอทานอล