มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2551 (ครั้งที่ 31)
วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก
3. การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - กรกฎาคม 2551)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าในช่วงที่ผ่านมาราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศเริ่มคลี่คลาย ส่วนเรื่องการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ตรึงราคาไว้ก่อน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของคณะทำงานกระทรวงพลังงาน นอกจากนี้คณะรัฐมนตรีได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี85 แล้ว และ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีรับที่จะเป็นประธานการประชุม กพช. ในเรื่องนี้ ขณะนี้กรมธุรกิจพลังงาน ปัจจุบันได้ออกประกาศกรมธุรกิจพลังงานเกี่ยวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี85 เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2551 โดยได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป พร้อมทั้ง ปตท. และ บ.บางจาก ได้เตรียมการเพื่อรองรับเรื่องนี้ด้วย
เรื่องที่ 1 การรักษาเสถียรภาพกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานปกติ และเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ดังนี้ 1) ให้เพิ่มอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลจาก 0.07 บาทต่อลิตร เป็น 0.25 บาทต่อลิตร สำหรับแผนงานปกติ และประกาศลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซลลดลง 0.18 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 และ 2) ให้เพิ่มอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ อีก 0.50 บาทต่อลิตร สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล เป็น 0.75 บาทต่อลิตร สำหรับโครงการลงทุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง เมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงเป็น 0 แล้ว และให้เพิ่มการเก็บเงินเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ อีก 0.20 บาทต่อลิตร เป็น 0.95 บาทต่อลิตร ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 โดยให้มีการประกาศลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในอัตราเท่ากันและในวันเดียวกัน
2. สำหรับขั้นตอนการออกประกาศ กพช. กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ จะต้องนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งการดำเนินการอาจล่าช้ากว่ากำหนดเวลาบังคับในวันที่ 17 ธันวาคม 2550 ตามมติ กพช. ประกอบกับจากประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะเป็นบวกและสามารถโอนอัตราเงินให้แก่กองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาท/ลิตร (ครั้งที่ 1) ได้ประมาณวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ดังนั้น เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2550 กพช. จึงได้เห็นชอบให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับแผนงานปกติและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ครั้งที่ 1 ไปพร้อมกัน ดังนี้ 1) ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 จาก 0.07 บาทต่อลิตร เป็น 0.75, 0.25, 0.75 และ 0.25 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป และ 2) ให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้นอีก 0.20 บาทต่อลิตร เป็น 0.95, 0.45, 0.95 และ 0.45 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
3. เพื่อการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ สำหรับแผนงานปกติและเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ตามมติ กพช. ในข้อ 1 ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้ 1) เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.6800, 0.1870, 0.6800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ และ 2) เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร โดย ให้เริ่มมีผลบังคับใช้พร้อมกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ (ประมาณเดือนตุลาคม 2551) ทั้งนี้ มอบให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ต่อไป
4. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551 กพช. ได้มติเห็นชอบมาตรการระยะสั้นในการแก้ไขผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน โดยมอบให้กระทรวงพลังงานรับไปดำเนินการ ดังนี้ 1) เนื่องจากกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบันยังมีรายรับสูงกว่ารายจ่ายอยู่ในระดับ 33 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งส่วนนี้เตรียมไว้เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและไบโอดีเซล โดยสามารถนำรายได้จากกองทุนน้ำมันฯ มาใช้เพื่อบริหาร ซึ่งสามารถชะลอการขึ้นราคาน้ำมันดีเซลได้ 0.40 บาทต่อลิตร และ 2) ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ของน้ำมันดีเซลในส่วนที่เก็บไว้สำหรับโครงการระบบขนส่งรางคู่ลง 0.50 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม 2551 ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป และจากการดำเนินการดังกล่าวสามารถนำเงินของทั้ง 2 กองทุนมาชะลอการปรับราคาของน้ำมันดีเซลได้สูงสุด 0.90 บาทต่อลิตร และหากปรับลดลง 0.90 บาทต่อลิตร แล้วราคาน้ำมันยังปรับตัวสูงขึ้นอีก จะปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดโลก โดยจะไม่มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้นเพื่อรักษาระดับราคาและจะไม่นำเงินคงเหลือที่อยู่ในกองทุนทั้ง 2 มาใช้รักษาระดับราคาอีกด้วย
5. ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องสุทธิประมาณวันละ 1.70 ล้านบาท ซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำมันเบนซินที่ลดลง แต่รายจ่ายจากการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลและน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 มีปริมาณเพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ โดยฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,868 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 13,614 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการที่ได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,254 ล้านบาท
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าควรปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล กลับไป ณ อัตราเดิมตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2551 ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯมีสภาพคล่องสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 1.70 ล้านบาทต่อวัน เป็น 16.10 ล้านบาทต่อวัน หรือ 484 ล้านบาทต่อเดือน และปัจจุบัน ค่าการตลาดการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูงและอยู่ในช่วงราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ดังนั้นการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมัน พร้อมทั้ง เห็นควรยกเลิกค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่งฯ ของกองทุนอนุรักษ์ฯ และให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์ฯ ในส่วนนี้ทั้งหมดคืนให้แก่กองทุนน้ำมันฯ เนื่องจากเงินสนับสนุนโครงการดังกล่าวยัง ไม่มีการนำไปใช้จ่าย และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล 0.40 บาทต่อลิตรกลับไปอยู่ในอัตราเดิมคือจาก -0.30 บาทต่อลิตร เป็น 0.10 บาทต่อลิตร และปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 0.20 บาทต่อลิตร จาก -1.50 บาทต่อลิตร เป็น -1.30 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ ได้คำนึงถึงการกำหนดให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 มีส่วนต่างจาก 0.50 บาทต่อลิตร เป็น 0.70 บาทต่อลิตร เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
2. เนื่องจากเงินสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง จากเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้เรียกเก็บจากน้ำมันดีเซลและเบนซินในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร นั้น ทางภาครัฐยังไม่มีนโยบายนำไปใช้จ่ายแต่อย่างใด คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจึงเห็นชอบให้ยกเลิกการค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่งจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้โอนอัตราเงินส่งเข้ากองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนนี้ทั้งหมดคืนให้แก่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากในการกำหนดอัตราเงินกองทุนดังกล่าวเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงเห็นควรให้กระทรวงพลังงานนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 2 การขอสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูก
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 กบง. ได้มีมติเรื่อง แนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง ดังนี้ 1) รับทราบผลการช่วยเหลือที่กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่น ในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก ได้ร่วมกันบริจาคโดยจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดย กบง. เป็นผู้พิจารณาจัดสรรแทนกระทรวงพลังงาน และให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประสานงานกับโรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ในการจัดสรรน้ำมันดังกล่าว และ 2) เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือประชาชน จากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ เช่น กลุ่มประมง เกษตรกร และผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ ที่ได้รับความเดือดร้อนติดต่อมาที่ สนพ. หรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบไปแล้ว กบง. จะพิจารณาติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน
2. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ได้มีมติรับทราบมติของ กบง. ซึ่งได้กำหนดแนวทางในการช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง โดยให้ความช่วยเหลือ ดังนี้ 1) ให้กลุ่มผู้เดือดร้อนทำหนังสือร้องขอความช่วยเหลือผ่านกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากลั่นกรองและเสนอความเห็นต่อกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอต่อ กบง. พิจารณาต่อไป 2) ผู้ที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการที่ถูกรัฐบาลควบคุมรายได้ จนไม่สามารถปรับราคาได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันแพงได้ และกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และ 3) ต้องแสดงวิธีการจัดสรรน้ำมันให้ชัดเจนว่า น้ำมันราคาถูกจะต้องส่งผ่านไปถึงผู้เดือดร้อนจริง ไม่รั่วไหลไปทางอื่น
3. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2551 ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงาน เรื่อง ขอการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับเรือประมง เพื่อขอให้พิจารณาการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับเรือประมง และต่อมาวันที่ 21 กรกฎาคม 2551 ได้มีหนังสือเพื่อขอรับการสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับชาวประมงและเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยที่ 1) กลุ่มประมงชายฝั่ง จากโครงการจำหน่ายน้ำมันม่วงได้จำหน่ายน้ำมันดีเซลในราคา ต่ำกว่าบนบก 2 บาทต่อลิตร แต่จากสภาวะวิกฤตราคาน้ำมันที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ชาวประมงประสบการขาดทุนอย่างต่อเนื่องและต้องหยุดกิจการ ปัจจุบันมีเรือประมงประเภทที่ใช้น้ำมันมาก หยุดทำการประมงแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 - 60 โดยชาวประมงขาดทุนสุทธิประมาณ 100,000 - 200,000 บาทต่อเดือนต่อลำ และ 2) กลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อย จากปัจจัยการผลิตทั้งด้านอาหารสัตว์น้ำ และน้ำมันเชื้อเพลิง มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ราคากุ้งตกต่ำลง ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งประสบการขาดทุนต้นทุนด้านพลังงาน ถึงร้อยละ 15 - 20 และขาดทุนสุทธิไร่ละ 12,000 บาท
4. เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการด้านการประมง และผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงเสนอมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือดังนี้
4.1 การสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกเพื่อใช้ในโครงการจำหน่ายน้ำมันในเขตทะเลอาณาเขตให้ชาวประมงชายฝั่ง (น้ำมันม่วง) โดยให้สามารถลดราคาน้ำมันในโครงการฯ ได้ไม่ต่ำกว่า 5 บาทต่อลิตร (จากเดิมไม่ต่ำกว่า 2 บาทต่อลิตร) ปริมาณน้ำมันของโครงการช่วยเหลือชาวประมงที่ขอรับการสนับสนุนประมาณ 15 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือเรือประมงประมาณ 23,000 ลำ (ที่ใช้น้ำมันดีเซลและ ไม่สามารถออกไปซื้อน้ำมันเขียวได้) จำหน่ายผ่านสถานีบริการภายใต้การกำกับดูแลขององค์การสะพานปลาประมาณ 98 สถานี โดยมีการสมัครเข้าร่วมโครงการ และให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลยอดการจำหน่ายน้ำมันขององค์การสะพานปลาใน 2 ระดับ คือ 1) ส่วนกลาง ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 2) ระดับจังหวัด เป็นหน่วยงานภายในจังหวัด เพื่อป้องกันการรั่วไหล
4.2 การสนับสนุนน้ำมันดีเซลราคาถูกสำหรับผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อยในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลปกติลิตรละ 3 บาท ปริมาณน้ำมันประมาณ 7 ล้านลิตรต่อเดือน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงกุ้งรายย่อยประมาณ 25,000 ราย โดยจัดสรรน้ำมันจำนวน 160 ลิตรต่อเดือนต่อปริมาณลูกกุ้งที่ปล่อย 100,000 ตัว และจำหน่ายผ่านสถานีบริการน้ำมันขององค์การสะพานปลา จำนวน 98 สถานี มีคณะกรรมการกำกับดูแลการจำหน่ายน้ำมันให้ชาวประมงในส่วนกลางและระดับจังหวัด เพื่อดูแลยอดการจำหน่ายน้ำมันขององค์การสะพานปลา
5. กระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2551 ได้มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงานเรื่อง ขอรับการจัดสรรน้ำมันในราคาพิเศษ เพื่อขอสนับสนุนการจัดสรรน้ำมันดีเซลราคาถูกให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี เนื่องจากมีความจำเป็นต้องใช้น้ำมันในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจำนวนมาก แต่มีงบประมาณในการจัดซื้อน้ำมันจำนวนจำกัด คือ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วจำนวน 2,255,000 ลิตรต่อปี และน้ำมันเบนซินออกเทน 95 จำนวน 77,000 ต่อปี ซึ่งไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจ
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้จัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นโดยมีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลปกติ 3 บาทต่อลิตร มาจำหน่ายให้ชาวประมงชายฝั่งจำนวน 15 ล้านลิตรต่อเดือน (แทนการจัดหาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในราคาต่ำกว่าราคาดีเซลปกติ 2 บาทต่อลิตร โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวบริหารและจัดการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551) และเกษตรกร ผู้เพาะเลี้ยงกุ้งจำนวน 7 ล้านลิตรต่อเดือน รวมเป็น 22 ล้านลิตรต่อเดือน โดยให้มีมาตรการในการตรวจสอบและควบคุมเป็นไปตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด
2. เห็นชอบให้มีการขยายหลักเกณฑ์การช่วยเหลือกลุ่มผู้เดือดร้อนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2551 ให้ครอบคลุมถึงหน่วยงานของรัฐที่มีความเดือดร้อน โดยหน่วยงานของรัฐที่สมควรได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่หน่วยงานที่ดำเนินโครงการหรือแผนงานที่เกี่ยวกับการบริการสาธารณะซึ่งหากไม่ดำเนินการจะส่งผลกระทบต่อการบริการประชาชนโดยตรง
3. เห็นชอบให้มีการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ได้รับการช่วยเหลือจากโรงกลั่นให้หน่วยงานของรัฐ คือ กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีเป็นหน่วยงานนำร่อง เพื่อนำไปใช้ในการขุดลอกร่องน้ำ จำนวนประมาณ 1,500 ลิตรต่อเดือน และหากหน่วยงานราชการอื่นที่ได้รับความเดือดร้อนและมีแผนงานหรือโครงการในลักษณะดังกล่าวตามข้อ 2 สามารถขอรับการสนับสนุนน้ำมันราคาถูกจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้
เรื่องที่ 3 การทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในปัจจุบัน) ร่วมกับ กรมการค้าภายใน และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในปัจจุบัน) ได้จัดทำบัญชีความแตกต่างระหว่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค พ.ศ 2544 เพื่อใช้ในการกำกับดูแลการกำหนดราคาของสถานีบริการในต่างจังหวัดแทนบัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ 2538 โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดและสำนักงานการค้าภายในจังหวัดใช้บัญชีความแตกต่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง กรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาคฯ เป็นคู่มือสำหรับคำนวณราคาขายปลีกที่เหมาะสมของจังหวัดนั้น โดยจะใช้ราคากรุงเทพฯ บวกด้วยความแตกต่างราคาฯของจังหวัดนั้น
2. เดือนพฤษภาคม 2548 ผู้ค้าน้ำมันได้ขอให้มีการทบทวนบัญชีความแตกต่างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2544 เนื่องจากการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สอดคล้องกับการกำหนดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่บัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ. 2544 ใช้ราคาน้ำมันดีเซลที่ 12.5 บาทต่อลิตร แต่ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับสูงขึ้นจากเดิม อยู่ที่ระดับ 20 - 29 บาทต่อลิตร รวมทั้งต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการขนส่ง ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 ได้มีคำสั่งกระทรวงพลังงานที่ 34/2548 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาค โดยมีหน้าที่กำกับศึกษาทบทวนบัญชีความแตกต่างฯ โดยมีรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) เป็นประธานคณะทำงาน
3. คณะทำงานฯ ได้มอบให้สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยศึกษาบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกฯ เป็นการชั่วคราว โดยใช้สมมติฐาน ณ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 24 บาทต่อลิตร และสัดส่วนของขนาดรถบรรทุกน้ำมันระหว่าง 15,000 ลิตร และ 30,000 ลิตร คือ 70:30 ในขณะที่ตัวแปรอื่นๆ คงที่เท่ากับบัญชีความแตกต่างฯ พ.ศ. 2544 และเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 สนพ. ร่วมกับกรมการค้าภายใน สถาบันปิโตรเลียมฯ และผู้ค้าน้ำมัน ได้เริ่มดำเนินการปรับเพิ่มอัตราบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคที่ใช้เป็นอัตราความแตกต่างชั่วคราว โดยได้ดำเนินการปรับเพิ่มอัตราบัญชีค่าความแตกต่างของราคาฯ ในช่วงที่ราคาขายปลีกลดลง เพื่อไม่ทำให้ราคาขายปลีกโดยรวมเพิ่มขึ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
4. ต่อมาคณะทำงานฯ ได้มอบให้สถาบันปิโตรเลียมฯ ศึกษาบัญชีความแตกต่างราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพฯ กับส่วนภูมิภาคใหม่ โดยศึกษาระบบการขนส่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน และสร้างแบบจำลองในการคำนวณค่าขนส่งที่ครอบคลุมปัจจัยหรือตัวแปรต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อต้นทุนค่าขนส่ง โดยเฉพาะการทบทวนข้อสมมติฐานราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เดิมกำหนดไว้ในบัญชีความแตกต่างฯ ชั่วคราวที่ระดับราคา 24 บาทต่อลิตร เป็นระดับราคา 33 บาทต่อลิตร สำหรับบัญชีฯ ใหม่ ซึ่งเป็นการคำนวณตามมติคณะทำงานฯ ที่กำหนดให้ใช้ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปี ต่อมาคณะทำงานฯ ได้เห็นชอบบัญชีความแตกต่างฯ ใหม่ เพื่อเป็นบัญชีที่ สนพ. และกรมการค้าภายใน จะใช้ประกอบการพิจารณาดำเนินการปรับส่วนต่างราคาขายปลีกระหว่างกรุงเทพฯ (ที่ปัจจุบัน สนพ.ประกาศเป็นราคาอ้างอิงที่ กทม.) และราคาขายปลีกต่างจังหวัดที่เปลี่ยนแปลงไป ตามราคาอ้างอิงที่ กทม.
5. ผลการปรับบัญชีค่าความแตกต่างฯ ส่งผลให้สะท้อนต้นทุนค่าขนส่งที่แท้จริง ลดปัญหาค่าการตลาดของสถานีบริการในส่วนภูมิภาคที่อยู่ในระดับต่ำจนขาดทุนและเลิกกิจการ ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมันในบางพื้นที่ ขณะเดียวกันการปรับอัตราค่าขนส่งจะทำให้ประชาชนในพื้นที่บางอำเภอรับภาระค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากค่าขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทำการทบทวนบัญชีค่าความแตกต่างของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงระหว่างกรุงเทพมหานครกับส่วนภูมิภาคใหม่ และนำเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มิถุนายน - กรกฎาคม 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2551 อยู่ที่ระดับ 127.82 และ 133.93เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 8.32 และ 8.55 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากเหตุสหภาพคนงานบริษัทน้ำมันไนจีเรีย (PENGASSAN) นัดหยุดงานประท้วงบริษัท Chevron ในไนจีเรียและประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปมีมติคว่ำบาตรอิหร่านหลังอิหร่านปฏิเสธข้อเสนอการปรับเปลี่ยนแผนโครงการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ตามที่สหประชาชาติเสนอ ทั้งนี้ประธานโอเปคแถลงว่าประเทศผู้ผลิตน้ำมันจะไม่เพิ่มการผลิตน้ำมันดิบรวมทั้งข่าวค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง ต่อมาในช่วงวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 137.83 และ 141.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันของประเทศจีนและอินเดียอยู่ในระดับสูง และหลังจากวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงวันที่ 16-30 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 125.45 และ 126.89 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จาก IEA ได้ปรับคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2551 ลงประมาณร้อยละ 51 รวมทั้งข่าวอิหร่านกับกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกทั้ง 6 ประเทศอาจบรรลุข้อตกลงด้วยการยอมรับข้อเสนอของทั้งสองฝ่าย
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2551 อยู่ที่ระดับ 140.30, 138.78 และ 166.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 9.17, 8.72 และ 7.83 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าวโรงกลั่นบริเวณ Port Dickson มาเลเซียมีแผนปิดซ่อมบำรุง ส่งผลให้มาเลเซียนำเข้าน้ำมันเบนซินปริมาณ 500,000 บาร์เรล ต่อมาในช่วงวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 144.22, 143.63 และ 174.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้จากจีนยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่อุปทานในภูมิภาคตึงตัว และหลังจากวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ โดยในช่วงวันที่ 16-30 กรกฎาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 127.32, 126.76 และ 158.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวลดลงจากต้นเดือน 16.90, 16.87 และ 16.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากอุปทานน้ำมันเบนซินในภูมิภาคยังคงอยู่ในระดับสูง เนื่องจากไม่มีแรงซื้อจากประเทศจีนและเวียดนามที่มีการปรับขึ้นราคาขายปลีกร้อยละ 31 ทำให้อัตราการบริโภคในประเทศลดลง
3. เดือนมิถุนายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 2.00 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล 95 (อี10), เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 2.80 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 (อี20) เพิ่มขึ้น 3.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 3.60 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ต่อมาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ครม. ได้มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือประชาชน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันแพงโดยการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2551 ถึง 31 มกราคม 2552 ประกอบด้วย (1) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล อี20, อี85 จากเดิมเรียกเก็บในอัตรา 3.3165 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.0165 บาทต่อลิตร ซึ่งมีผลทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอลทุกชนิดลดลง 3.88 บาทต่อลิตร (2) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จากเดิม 2.3050 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.005 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 2.71 บาทต่อลิตร และ (3) ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 จากเดิม 2.1898 บาทต่อลิตร ลดลงเหลือ 0.0898 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลง 2.47 บาทต่อลิตร จากการลดภาษีสรรพสามิตและสถานการณ์ราคาน้ำมันอยู่ในช่วงขาลงทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (อี10), (อี20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 131 กรกฎาคม อยู่ที่ระดับ 39.39, 37.99, 30.49, 29.19, 29.69, 37.94 และ 37.44 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ช่วงเดือนกรกฎาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 923.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกประกอบกับความต้องการใช้ในภูมิภาคมากขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจปิโตรเคมีและการใช้ก๊าซ LPG เพื่อเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมัน โดยที่ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นเดือนกรกฎาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ไทยได้นำเข้า ก๊าซ LPG (วันที่ 10-30 กรกฎาคม 2551) ปริมาณ 84,941 ตัน โดยราคาก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 34.3921 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 23.3961 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 1,987.29 ล้านบาท ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ครม. ได้มีมติเห็นชอบให้ชะลอการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ในภาคครัวเรือน จากเดิมในเดือนกรกฎาคมออกไปอีก 6 เดือนจนถึงเดือนมกราคม 2552
5. เดือนกรกฎาคม 2551 ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 7.7 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการ 4,079 แห่ง และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 30.49 และ 29.69 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ในเดือนกรกฎาคม 2551 มีปริมาณการจำหน่าย 89,000 ลิตรต่อวัน สถานีบริการ 94 แห่ง และราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 29.19 บาทต่อลิตร และกำลังการผลิตรวมและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.96 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย โดยผลิตเพียง 9 ราย ราคาเอทานอลแปลงสภาพในไตรมาส 3 ปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 18.01 บาท
6. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนกรกฎาคม 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน จากผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงาน 9 ราย และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม อยู่ที่ 40.07 และ 42.35 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมิถุนายนและกรกฎาคม 2551 จำนวน 10.69 และ 9.69 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 37.44 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.50 บาทต่อลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,868 ล้านบาท หนี้สิน ค้างชำระ 13,614 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 129 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 4,359 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,254 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ