มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 69)
วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2542 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.ข้อเสนอการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ข้อเสนอการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าของน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซปิโตรเลียมเหลว
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ได้มีการหารือระหว่างรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะมี การประชุม และที่ประชุมได้มีความเห็นดังนี้
1. ในภาวะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้น ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ได้อ่อนค่าลง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศสูงขึ้นจนถึงระดับที่ทำให้ภาษีสรรพสามิตตาม มูลค่ามีค่ามากกว่า ตามปริมาณ และจะต้องมีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามมูลค่า ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จึงควรให้มีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตตามมูลค่า
2. ถ้าราคาน้ำมันดูไบสูงขึ้นไปจนถึงระดับ 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จะเป็นระดับที่จะมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รัฐจะต้องเข้ามาหามาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ ประชาชน
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ถ้าราคาน้ำมันยังคงเพิ่มสูงขึ้นและค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอีก การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของน้ำมันจะต้องเปลี่ยนจากการคิดตามปริมาณมาเป็นตาม มูลค่าซึ่งอัตราจะสูงกว่าเดิม ดังนั้น เพื่อมิให้เป็นการเพิ่มภาระแก่ประชาชน จึงเห็นควรให้มีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตตามมูลค่าเป็นอัตราร้อยละศูนย์ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเป็นอัตราตามปริมาณคงที่ ซึ่งในเรื่องนี้บริษัทน้ำมันหลายแห่งก็ได้มีหนังสือแจ้งว่าอยากให้รัฐมีการ จัดเก็บภาษีเป็นอัตราคงที่สำหรับน้ำมันเบนซินและดีเซล แทนที่จะมีการจัดเก็บตามมูลค่า อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตจะต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
2.รัฐบาลได้ยกเลิกการควบคุมราคาน้ำมันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เพื่อให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาด และในช่วงที่ผ่านมากลุ่มโอเปครวมตัวกันไม่ได้จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบลดต่ำลง ประชาชนจึงเคยชินกับราคาน้ำมันที่มีราคาต่ำ แต่ปัจจุบันกลุ่มโอเปคสามารถรวมตัวกันได้ราคาน้ำมันจึงสูงขึ้น ในขณะเดียวกันไทยยังต้องนำเข้าน้ำมันจากประเทศเหล่านี้ จึงต้องทำความเข้าใจกับประชาชนว่ารัฐบาลไม่สามารถกำหนดราคาน้ำมันได้เอง และหากราคาน้ำมันสูงขึ้นไปกว่านี้ก็จะต้องหามาตรการรองรับเพื่อให้ประชาชน ไม่เดือดร้อนมากไปกว่านี้ และเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่ารัฐบาลให้ความใส่ใจกับปัญหาของประชาชน
3.การพิจารณาปรับลดภาษีสรรพสามิตมีประเด็นสำคัญที่ควรนำมาพิจารณา 2 ประเด็นคือ ความเดือนร้อนของประชาชน และผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจากการวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าว่าถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบ ขึ้นไปถึง 25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงร้อยละ 0.5 จากแนวโน้มเดิม และถ้าราคาน้ำมันดิบสูงถึง 29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงร้อยละ 0.8 และที่ประชุมเห็นว่าถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รัฐจะต้องหามาตรการแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน อย่างไรก็ตามเห็นควรได้มีการติดตามผลการประชุมของกลุ่ม โอเปคในวันที่ 22 กันยายน 2542 ก่อนว่าผลจะเป็นอย่างไร และให้มีการติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมัน อย่างใกล้ชิดเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาในครั้งต่อไป และเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐที่อ่อนตัวลงส่งผล กระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งการกำหนดราคาขายส่งน้ำมันสำเร็จรูปของไทย อิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ตลาดสิงค์โปร์ ดั้งนั้น จึงควรนำประเด็นทั้งสองมาร่วมพิจารณาในการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ด้วย
4.ประธานฯ ได้ขอให้ที่ประชุมรับทราบเรื่องเพื่อทราบตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2542 รวม 5 เรื่อง คือ
(1) สถานการณ์พลังงานในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2542
(2) รายงานผลการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง
(3) ความก้าวหน้าของการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว
(4) รายงานผลการดำเนินงานตามแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจสาขาพลังงาน ปีงบประมาณ 2542
(5) รายงานความคืบหน้าในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP และ SPP
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตตาม มูลค่าของน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันดีเซลหมุนช้า น้ำมันก๊าด และก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้เหลือในอัตรา ร้อยละศูนย์เพื่อให้การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดังกล่าวเป็นอัตราตาม ปริมาณเท่านั้น โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมในวันอังคารที่ 28 กันยายน 2542 นี้
2.ถ้าราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นสู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและต่อประชาชน รัฐบาลควรจะพิจารณาหามาตรการแก้ไขเพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ให้คำนึงถึงราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดสิงคโปร์ และราคาขายปลีกในประเทศด้วย
- กพช. ครั้งที่ 69 - วันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 (987 Downloads)