programmer_ener
กอ. ครั้งที่ 18 - วันอังคารที่ 21 กันยายน 2542
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18)
วันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. การประเมินผลโครงการอาคารของรัฐ
5. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543
6. โครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน
7. ปรับแผนโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์ป่า
9. อาคารของรัฐที่เป็นอาคารควบคุม : ภายใต้สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และกระทรวงศึกษาธิการ
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบ เกี่ยวกับรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2542 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,812,139,167.84 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของ สพช. บก. และ พพ. ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2542 ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 3,424,225,578.57 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และรายงานการเบิกจ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2542
เรื่องที่ 2 การประเมินผลโครงการอาคารของรัฐ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้างบริษัท Ramboll Hannenmann Holland A/S ดำเนินการประเมินผลโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 1 ซึ่งบริษัทฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดย สพช. ได้นำผลจากการศึกษาดังกล่าวจัดสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามโครงการฯ และ สพช. ได้นำข้อเสนอแนะจากการศึกษาและการสัมมนา เสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกตเพื่อให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ปรับแผนโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ดังนี้
1. โครงการอาคารของรัฐมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ซึ่งจากการประเมินผลพบว่าหากเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออก ถูกนำกลับมาใช้งานอีกเพียงร้อยละ 37 (ภายใต้สมมติฐานที่ว่าเครื่องปรับอากาศใหม่มีประสิทธิภาพในการใช้พลังงานสู่งกว่าเครื่องเก่าร้อยละ 37) การลงทุนในการเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศทั้งหมด จะไม่ได้ผลในการอนุรักษ์พลังงานเลย ฉนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการที่ได้ผลจริงในการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดทิ้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
2. การทำลายเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดทิ้ง จะต้องป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม โดยอาจให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันราชมงคลเป็นผู้รับดำเนินการ โดยมีการเปรียบเทียบจำนวนเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดออกและที่ถูกส่งมาทำลาย เพื่อติดตามการดำเนินงานของโครงการว่าเครื่องปรับอากาศทั้งหมดที่ถูกถอดออกได้รับการทำลายหรือไม่
3. หาก พพ. ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจนที่จะป้องกันไม่ให้เจ้าของอาคารนำเครื่องปรับอากาศเก่ากลับมาใช้ใหม่ อนุกรรมการฯ เห็นควรให้ชะลอโครงการระยะที่ 2 ออกไปก่อน
4. การวัดความสำเร็จของโครงการจะต้องวัดที่ปริมาณพลังงานที่ลดลงได้ ไม่ใช่จำนวนอาคารที่เข้าร่วมโครงการ หรือจำนวนอุปกรณ์ที่เปลี่ยนให้ หรือจำนวนเงินลงทุน
5. จะต้องผลักดันให้เจ้าของอาคารมีส่วนร่วมมากขึ้น โดย
- 5.1 สนับสนุนให้เจ้าของอาคารที่พร้อมที่จะทำการปรับปรุงการใช้พลังงานของตัวเองได้ดำเนินการเอง โดยการสนับสนุนด้านการเงินจากกองทุนฯ
5.2 ทำการฝึกอบรม ปลูกจิตสำนึก และวิธีการใช้พลังงานในอาคาร เนื่องจากผู้ใช้อาคารจะเป็นส่วนสำคัญอย่างมากที่จะทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
1. จะต้องมีการเพิ่มจำนวน IA ให้มากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานเข้ามาแข่งขันด้านราคาและคุณภาพการให้บริการต่อ พพ. และในสัญญาที่ พพ. ทำกับ IA จะต้องระบุว่า "ห้ามมิให้จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ" และ พพ. จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบว่า IA "จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ " หรือไม่
2. สพช. จะต้องเร่งรัดให้สำนักงบประมาณสนับสนุนให้หน่วยงานมีงบประมาณสำหรับบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ และสนับสนุนให้เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศให้มีประสิทธิภาพสูง
3. เร่งดำเนินการประกาศมาตรฐานบังคับสำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และสนับสนุนมาตรการติดฉลากและประชาสัมพันธ์ให้เกิดตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง เพื่อในอนาคตเจ้าของอาคารที่ได้รับการปรับปรุงอุปกรณ์แล้ว แต่อุปกรณ์ชำรุดเสียหายใช้การไม่ได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนอุปกรณ์เป็นอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงได้
4. ให้นำผลการศึกษาโครงการนำร่องบริษัทจัดการด้านพลังงาน (ESCO) ที่ดำเนินการโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ เพื่อประเมินถึงความเป็นไปได้ในการนำ ESCO มาดำเนินการในโครงการอาคารของรัฐต่อไป
สพช. ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดที่ นร 0905/1477 ลงวันที่ 16 กันยายน 2542 ถึงอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อแจ้งให้ทราบและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน นำข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการฯ ไปใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ต่อไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2537 (ครั้งที่ 47) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2537 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการ ในปีงบประมาณ 2537-2542 ซึ่งมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 19,286 ล้านบาท (หนึ่งหมื่นเก้าพันสองร้อยแปดสิบหกล้านบาทถ้วน) โดยแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2537-2542 ประกอบด้วย 3 แผนงานรอง และ 10 โครงการหลัก และเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของคณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อกำกับดูแลแผนงานแต่ละแผนงาน พร้อมทั้งกำหนดให้มี 2 หน่วยงานหลัก รับผิดชอบในการดำเนินงาน ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.)
การดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ เป็นเงินทั้งสิ้น 6,237 ล้านบาท ซึ่งเงินที่ได้ใช้จ่ายจากกองทุนฯ ดังกล่าวนั้น ในส่วนงานที่ดำเนินการแล้วและสามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานได้อย่างชัดเจน คือ โครงการอาคารของรัฐ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 573 อาคาร และโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ที่ได้ใช้จ่ายเงินสำหรับสองส่วนข้างต้นไปแล้ว รวม 3,729 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน และสามารถทดแทนพลังงานสิ้นเปลืองได้ คิดเป็นเงินประมาณ 525 ล้านบาท/ปี และคิดเป็นมูลค่าชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ 2,115 ล้านบาท
เนื่องจากแผนอนุรักษ์พลังงานที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 กันยายน 2542 นี้ สพช. จึงได้ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 2 ปี 2543-2547 และได้เสนอคณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ของคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว เลขานุการฯ จึงใคร่นำแผนอนุรักษ์พลังงานฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาตามรายละเอียดปรากฏในระเบียบวาระการประชุม โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
แผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 2 ส่วนใหญ่แล้วยังเป็นไปตามแผนฯ เดิม แต่ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงในประเด็นใหญ่ มี 5 หัวข้อ ดังนี้
1) การปรับเปลี่ยนโครงการอาคารและโรงงานทั่วไป จากแผนงานภาคบังคับ ให้ไปบรรจุอยู่ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ
2) ปรับเปลี่ยนโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ พร้อมทั้งงบประมาณในการดำเนินการจากแผนงานสนับสนุนไปไว้ภายใต้แผนงานภาคบังคับ
3) การเพิ่ม "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เป็นอีกโครงการหนึ่งภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ โดยใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
4) ดำเนินโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง จนถึงเดือนมีนาคม 2543 เท่านั้น และให้การสนับสนุนเฉพาะอาคารของรัฐที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเท่านั้น แล้วให้มีการประเมินผลโครงการเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการพิจารณาให้ดำเนินการในช่วงต่อไป
5) ไม่จำกัดขอบเขตงานโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบทไว้ที่ กิจการขนาดเล็กที่ใช้พลังไฟฟ้าต่ำกว่า 300 kW และมีสถานที่ตั้งนอกเขตเทศบาลและสุขาภิบาล
แผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ประกอบด้วย 3 แผนงานรอง และ 12 โครงการหลัก ดังนี้
แผนอนุรักษ์พลังงาน
(ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547)
แผนงานภาคบังคับ | แผนงานภาคความร่วมมือ | แผนงานสนับสนุน |
โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง โครงการอาคารของรัฐ โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ |
โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษา วิจัย พัฒนา โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน |
โครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ โครงการบริหารงานตามกฎหมาย |
กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | สำนักงานคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ |
สำนักงานคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ |
ประมาณการความต้องการงบประมาณเพื่อจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543-2547 จำแนกตามแผนงานรองและโครงการหลัก ได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท |
||||||
ปีงบประมาณ | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม |
แผนงานภาคบังคับ | 3,727.84 | 3,764.84 | 4,199.34 | 2,883.34 | 2,445.94 | 17,021.30 |
1. โครงการอาคารของรัฐ | 584.84 | 592.54 | 595.74 | 569.44 | 557.24 | 2,899.80 |
2. โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน | 2,907.50 | 3,081.80 | 3,513.10 | 2,223.40 | 1,798.20 | 13,524.00 |
3. โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบหรือก่อสร้าง | 145.00 | - | - | - | - | 145.00 |
4. โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ | 90.50 | 90.50 | 90.50 | 90.50 | 90.50 | 452.50 |
แผนงานภาคความร่วมมือ | 691.00 | 1,075.00 | 1,201.00 | 1,481.00 | 1,974.00 | 6,422.00 |
5. โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน | 310.00 | 368.00 | 309.00 | 279.00 | 259.00 | 1,525.00 |
6. โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน | - | 110.00 | 294.00 | 552.00 | 1,104.00 | 2,060.00 |
7. โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน | 216.00 | 123.00 | 149.00 | 146.00 | 107.00 | 741.00 |
8. โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา | 165.00 | 217.00 | 192.00 | 247.00 | 247.00 | 1,068.00 |
9. โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน | - | 257.00 | 257.00 | 257.00 | 257.00 | 1,028.00 |
แผนงานสนับสนุน | 1,062.92 | 1,163.19 | 1,155.82 | 1,136.67 | 1,148.71 | 5,667.31 |
10. โครงการพัฒนาบุคลากร | 316.00 | 343.00 | 343.00 | 343.00 | 343.00 | 1,688.00 |
- พพ. | 57.00 | 133.00 | 120.00 | 72.00 | 58.00 | 440.00 |
- หน่วยงานอื่นๆ | 259.00 | 210.00 | 223.00 | 271.00 | 285.00 | 1,248.00 |
11. โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ | 150.00 | 150.00 | 150.00 | 150.00 | 150.00 | 750.00 |
12. การบริหารงานตามกฎหมาย | 596.92 | 670.19 | 662.82 | 643.67 | 655.71 | 3,229.31 |
- สพช. | 112.05 | 100.00 | 105.95 | 113.50 | 120.65 | 552.15 |
- พพ. | 484.12 | 569.27 | 555.89 | 529.19 | 534.08 | 2,672.55 |
- บก. | 0.75 | 0.92 | 0.98 | 0.98 | 0.98 | 4.61 |
รวม | 5,481.76 | 6,003.03 | 6,556.16 | 5,501.01 | 5,568.65 | 29,110.61 |
มติที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงาน ปัญหาอุปสรรคและการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2537-2542 และการศึกษาเชิงนโยบายเพื่อใช้ในการกำหนดแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทางการดำเนินงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ในส่วนที่ 2- ส่วนที่ 5 ของเอกสารแนบ 4.1.1
2. เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ในส่วนที่ 6-ส่วนที่ 7 ของเอกสารแนบ 4.1.1 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กพช. พิจารณา
3. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อ กพช. พิจารณามอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 ตามวงเงินในข้อ 2.4 (รายละเอียดตามที่ปรากฏในส่วนที่ 8 ของเอกสารแนบ 4.1.1) ซึ่งมีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สพช. พพ. และ บก. ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543-2547 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ เพื่อปฏิบัติภาระกิจดังกล่าวข้างต้น สพช. พพ. และ บก. จึงได้จัดทำข้อเสนอ งบประมาณ เพื่อเป็นค่าบริหารงานสำหรับปีงบประมาณ 2543 ต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน เพื่อพิจารณากลั่นกรองก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2542 (ครั้งที่ 60) เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กันยายน 2542 ที่ประชุมได้พิจารณางบประมาณเพื่อเป็นค่าบริหารงานสำหรับปีงบประมาณ 2543 ของ สพช. พพ. และ บก. แล้วมีมติเห็นชอบให้ สพช. และ พพ. พิจารณาปรับงบประมาณรายจ่ายปี 2543 ในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าครุภัณฑ์ ค่าจ้างชั่วคราว และค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุบางรายการ ซึ่ง สพช. และ พพ. ได้ดำเนินการปรับงบประมาณตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว คงเป็นงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น จำนวน 596,912,024 บาท โดยมีรายละเอียด ดังนี้
หน่วย : บาท
สพช. | พพ. | บก. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 2,933,520 | 21,044,400 | 467,040 | 24,444,960 |
2. ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 8,089,480 | 24,846,892 | 160,000 | 33,096,372 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 4,920,000 | 5,238,792 | - | 10,158,792 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 105,000 | 20,136,900 | 120,000 | 20,361,900 |
5. รายจ่ายอื่น (ค่าจ้างที่ปรึกษา) | 96,000,000 | 412,850,000 | - | 508,850,000 |
รวม | 112,048,000 | 484,116,984 | 747,040 | 596,912,024 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอนำงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. พพ. และ บก. ในปีงบประมาณ 2543 ดังนี้
1. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ สพช. ในวงเงิน 112,048,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบสองล้านสี่หมื่นแปดพันบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ พพ. ในวงเงิน 484,116,984 บาท (สี่ร้อยแปดสิบสี่ล้านหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหกพันเก้าร้อยแปดสิบสี่บาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ บก.
อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก.ในวงเงิน 747,040 บาท (เจ็ดแสนสี่หมื่นเจ็ดพันสี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ สพช. พพ. และ บก. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2543 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2542
เรื่องที่ 5 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2542 ในวงเงิน 186,000,000 บาท และในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 88,900,000 บาท
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้อนุมัติให้ สพช. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2542 ไปแล้ว จำนวน 35 กิจกรรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 131,620,114.63 บาท และกำลังดำเนินการจัดจ้างในช่วงที่ 3 อีก 15 กิจกรรม และได้อนุมัติให้ พพ. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2541 เป็นจำนวน 21 กิจกรรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 77,447,207 บาท
คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 ได้พิจารณาผลการประเมินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานทั้งในส่วนที่ สพช. และ พพ. รับผิดชอบ โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกตเพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินการในปีต่อไป โดยให้ตั้งดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการ ให้เปรียบเทียบประสิทธิผลของการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อให้เข้าใจถึงทัศนคติและพฤติกรรมของแต่ละกลุ่มเพื่อประโยชน์ในการวางกลยุทธ์ ในการสื่อสารให้ได้ผลที่สุด และให้ประชาสัมพันธ์ไปที่กลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มในการประหยัดพลังงานได้มากด้วย
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 59) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543-2547 และเห็นชอบงบประมาณฯ ปี 2543 โดยให้เพิ่มจำนวนเงินสำหรับกิจกรรมการผลิตและการซื้อสื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่สามารถเข้าถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้ และสามารถสร้างการรับรู้ต่อการสื่อสารของโครงการฯ ได้ดี และเห็นชอบแผนปฏิบัติโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2543-2547 และเห็นชอบงบประมาณฯ ปี 2543 โดยให้ พพ. เน้นการประชาสัมพันธ์โดยตรงถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้สื่อที่เหมาะสมในแต่ละกิจกรรม
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาแผนงานประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. และ พพ. รับผิดชอบ สำหรับปีงบประมาณ 2543 ดังนี้
โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543
สพช. จะนำเรื่อง "บ้านประหยัดพลังงาน" มาเป็นประเด็นหลักในการประชาสัมพันธ์ในปี 2543 เนื่องจากวิธีประหยัดพลังงานที่ประชาชนสามารถทำเองได้ภายในบ้านมักจะเป็นข้อมูลที่มีผู้สนใจอยู่เสมอ อีกทั้งสามารถกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่างจริงจัง และด้วยสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจึงทำให้เนื้อหาของการประชาสัมพันธ์มุ่งเน้นวิธีง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำได้เองที่บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายมากนัก เช่น การวางเครื่องเรือนให้ไม่บังลมและแสงธรรมชาติ การปลูกพืชบังแดด เป็นต้น ซึ่งวิธีการที่จะเสนอต่อประชาชนทั่วไปจะเป็นวิธีที่ได้ผลแน่นอนในการประหยัดการใช้พลังงานและทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทั้งนี้ข้อมูลส่วนหนึ่งที่นำมาใช้จะได้จากผลการวิจัย ทดลอง และสัมมนา จากโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ และโครงการพัฒนาบุคลากร โดยนำมาเผยแพร่ต่อในวงกว้างผ่านกิจกรรมที่เหมาะสม และ สพช. ได้กำหนดกิจกรรมที่จะดำเนินการในปี 2543 จำนวน 18 กิจกรรม โดยใช้งบประมาณในการดำเนินการ 150 ล้านบาท
โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543
โดยการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและผลการประเมิน ดังนั้นในปีงบประมาณ 2543 พพ. จึงมุ่งที่จะเข้าให้ถึงกลุ่มอาคารควบคุมและโรงงานควบคุมรวมทั้งกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างทั่วถึง ด้วยการใช้งบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งการประชาสัมพันธ์ไปสู่กลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ ในลักษณะของการสื่อสารตรงสู่กลุ่มเป้าหมาย จะทำให้เกิดการสูญเปล่าน้อยที่สุด และใช้การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อเป็นช่องทางสนับสนุน สำหรับประเด็นหลักที่ พพ. ยังต้องประชาสัมพันธ์ออกไปได้แก่การให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ พรบ.ฯ บทบาทหน้าที่ของ พพ. และประโยชน์ที่จะได้รับจากกองทุนฯ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายยังไม่มีการรับรู้ที่ดีเพียงพอ นอกจากนั้นยังควรตอบสนองความต้องการด้านข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลด้านเทคนิค วิธีการอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมเพื่อจูงใจให้เกิดการปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงาน โดยผ่านวิธีการและกิจกรรมที่เหมาะสม โดย พพ. ได้กำหนดกิจกรรมที่จะดำเนินการในปี 2543 จำนวน 15 กิจกรรม โดยใช้งบประมาณในการดำเนินการ 90.5 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543 และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่าย ในวงเงิน 150,000,000 บาท ตามที่ สพช. เสนอมา โดยให้นำข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ไปปรับใช้กับการดำเนินงาน
2. เห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543 และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่าย ในวงเงิน 90,500,000 บาท ตามที่ พพ. เสนอมา โดยให้นำข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ไปปรับใช้กับการดำเนินงาน
3. เห็นชอบให้ สพช. และ พพ. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ โดยให้ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แล้วให้ สพช. เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน และให้ พพ. เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท
เรื่องที่ 6 โครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้มีหนังสือที่ นร 6805/133/42 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2542 เพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการการสนับสนุนผู้ปฏิบัติการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน ในวงเงิน 77,724,000 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ในการสนับสนุนการสร้างนักวิจัยในภาคอุตสาหกรรม โดยให้มหาวิทยาลัยในโครงการได้พัฒนางานวิจัยทางด้านพลังงานร่วมกับภาคอุตสาหกรรม และให้ทุนนักศึกษาได้เข้าไปทำวิจัยในภาคอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงแก้ไขปัญหาหรือคิดค้นกระบวนการใหม่ๆ ในภาคอุตสาหกรรม โดยจะเน้นโรงงานขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) โดยข้อเสนอโครงการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 โครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม ในสาขาพลังงาน (Research Associate Support : Energy Program) โดยมีฝ่ายสนับสนุนการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม (ฝ่าย 5) สกว. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ในวงเงิน 27,804,000 บาท ระยะเวลา 2 ปี
ส่วนที่ 2 โครงการทักษวิศวกรรมเคมี โดยมีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี (มจธ.) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ในวงเงิน 49,920,000 บาท ระยะเวลา 2 ปี
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ครั้งที่ 5/2542 (ครั้งที่ 57) เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2542 และครั้งที่ 6/2542 (ครั้งที่ 58) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2542 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้แต่งตั้งคณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมพิจารณาโครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน คือ ศ.ดร. วิวัฒน์ ตันฑะพานิชกุล รศ.ดร. กุลธร ศิลปบรรเลง และผู้อำนวยการบริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญได้ร่วมประชุมเพื่อพิจารณาโครงการฯ แล้วเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2542 และได้เสนอผลการพิจารณาให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 59) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ให้ สกว. และ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน โดยให้ สกว. และ มจธ.จะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายลงตามข้อสังเกตของอนุกรรมการฯ ซึ่ง สกว. และ มจธ. ได้ดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว โดยได้ปรับลดงบประมาณลงรวม 4,126,500 บาท เลขานุการฯ จึงใคร่นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ให้ สกว. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานวิจัยในภาคอุตสาหกรรม สาขาพลังงาน ในวงเงิน 23,677,500 บาท (ยี่สิบสามล้านหกแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทักษวิศวกรรมเคมี ในวงเงิน 49,920,000 บาท (สี่สิบเก้าล้านเก้าแสนสองหมื่นบาทถ้วน)
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการพัฒนาบุคลากร หมวดการให้ทุนอุดหนุนการวิจัย ให้ สพช. ทำการประเมินผลโครงการฯ ของ มจธ. และรายงานผลเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานปีที่ 2 เพื่อพิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนอีก 3 ปี ต่อไป ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมฯ ครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาด สำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในวงเงิน 21,977,281 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดพันสองร้อยแปดสิบเอ็ดบาทถ้วน)
มจธ. ได้มีหนังสือที่ ทม. 5308/110 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2541 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายการในข้อเสนอโครงการฯ จากเดิม เพื่อความเหมาะสมของระบบจากการที่ มจธ. ได้ดำเนินการศึกษา ออกแบบ และเลือกระบบที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สำหรับโครงการฯ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2541 (ครั้งที่ 21) เมื่อวันอังคารที่ 30 มิถุนายน 2541 มีมติเห็นชอบให้ มจธ. เปลี่ยนแปลงแผนการดำเนินการฯ ได้ ตามที่ มจธ. เสนอ
มจธ. ได้มีหนังสือที่ ทม.5301/2047 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2542 เพื่อชี้แจงให้ สพช. ทราบถึงปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินงานของโครงการฯ ไม่เป็นไปตามแผนการดำเนินโครงการฯ เช่น ค่าวัสดุ การก่อสร้างโรงเรือนและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง การขนส่งวัสดุอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายในการขนส่ง การสร้างระบบประจุแบตเตอรี่และค่าใช้จ่ายในการสร้างระบบฯ เป็นต้น จากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการดำเนินงาน และวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว ดังนั้นเพื่อให้โครงการฯ ดำเนินการได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย มจธ. จึงได้ขอปรับแผนการดำเนินโครงการฯ และค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของการดำเนินโครงการฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2542 เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. อนุมัติให้ มจธ. ปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์ป่า โดยให้ขยายระยะเวลาการดำเนินงานของโครงการฯ จาก 18 เดือนเป็น 28 เดือน และเลื่อนการส่งรายงานความก้าวหน้าครั้งที่ 2 และการขอเบิกเงินงวดที่ 3 วงเงิน 1,247,370 บาท ไปเป็นเดือนสิงหาคม 2542 และให้รายงานความก้าวหน้าฉบับสมบูรณ์และขอเบิกเงินงวดสุดท้าย วงเงิน 2,966,272 บาท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543
2. อนุมัติให้ มจธ. ถัวจ่ายค่าใช้จ่ายที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายในหมวดเดียวกัน ได้ตามที่ มจธ. เสนอมา
3. เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์ป่า ในวงเงิน 2,966,272 บาท (สองล้านเก้าแสนหกหมื่นหกพันสองร้อยเจ็ดสิบสองบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในโอกาสต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ มจธ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์ป่า ในวงเงิน 2,966,272 บาท (สองล้านเก้าแสนหกหมื่นหกพันสองร้อยเจ็ดสิบสองบาทถ้วน)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการขอเงินจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุนฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์การให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ แก่โรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมของเอกชนและโรงงานควบคุมของส่วนราชการ/รัฐวิสาหกิจ ในการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. เงินช่วยเหลือให้เปล่าในการจัดทำการศึกษาการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงาน เบื้องต้น ไม่เกิน 100,000 บาท/ราย
2. เงินอุดหนุนจำนวนร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในการจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงาน แต่ไม่เกิน500,000 บาท/ราย
3. เงินอุดหนุนภาระดอกเบี้ยจากการลงทุนในแต่ละมาตรการ ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ที่มีผลตอบแทนการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9 เพื่อให้มีผลตอบแทนทางการเงินสูงขึ้นจนเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุด สำหรับลูกค้ารายย่อยของธนาคารกรุงไทย เฉลี่ยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา + 2 % แต่ทั้งนี้เงินอุดหนุนจะไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินลงทุน และไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อมาตรการ
สำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ กองทุนฯ จะให้การสนับสนุนในรูปของเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมดในการจัดทำการศึกษา การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมา พพ. จะจ่ายเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายค่าตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น และการจัดทำแผนอนุรักษ์พลังงาน เพียงครั้งเดียวทั้งหมดหลังจากที่ได้เห็นชอบรายงานฯ ซึ่งผลจากการดำเนินการดังกล่าว ปรากฏว่าบริษัทที่ปรึกษาฯ หลายรายที่ได้รับการว่าจ้างจากโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม แจ้งให้ พพ ทราบว่า บริษัทฯ ต้องออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินการไปก่อน และถ้าบริษัทฯ รับงานจำนวนมากรายด้วยแล้วก็จะรวมเป็นค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ประกอบกับการขาดสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน ทำให้บริษัทฯ ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนเพียงพอ ทั้งนี้เพราะเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ล่าช้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการฯ ซึ่งจ่ายเงินค่าว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาโดยใช้เงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ทั้งหมด
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว พพ. ได้เสนอเรื่องดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 5/2542 (ครั้งที่ 5) เมื่อวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2542 และในการประชุมครั้งที่ 6/2542 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันพุธที่ 8 กันยายน 2542 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว มีมติดังนี้
1. ให้ พพ. สามารถปรับจำนวนงวดและสัดส่วนการจ่ายเงินสนับสนุนได้ตามที่ พพ. เห็นสมควร โดยในขั้นแรกให้ พพ. แบ่งจ่ายเงินเป็น 2 งวด ตามสัดส่วนความก้าวหน้าและค่าใช้จ่ายของงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ดังนี้
1.1 การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น
งวดแรก จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อส่งรายงานการ ตรวจสอบฯ เบื้องต้นให้ พพ. แล้ว
งวดที่สอง จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อรายงานการ ตรวจสอบฯ เบื้องต้น ได้รับความเห็นชอบจาก พพ. แล้ว
1.2 การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
งวดแรก จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อส่งรายงานการ ตรวจสอบฯ โดยละเอียดให้ พพ.แล้ว
งวดที่สอง จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และรายงานการตรวจสอบฯ โดยละเอียดได้รับความเห็นชอบจาก พพ. แล้ว
2. ให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการก่อน ดังนั้นเลขานุการฯ จึงใคร่เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. สามารถปรับจำนวนงวดและสัดส่วนการจ่ายเงินสนับสนุนค่าตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น และการจัดทำเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่โรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุม โดยในขั้นแรกให้ พพ. แบ่งจ่ายเงินเป็น 2 งวด ตามสัดส่วนความก้าวหน้าและค่าใช้จ่ายของงานที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ดังนี้
(1) การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น
งวดแรก จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมส่งรายงานการตรวจสอบฯ เบื้องต้นให้ พพ. แล้ว
งวดที่สอง จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมรายงานการตรวจสอบฯ เบื้องต้น ให้ พพ. และ พพ. ได้เห็นชอบในคุณภาพของผลงานแล้ว
(2) การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
งวดแรก จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมส่งรายงานการตรวจสอบฯ โดยละเอียดให้ พพ. แล้ว
งวดที่สอง จ่ายร้อยละ 50 ของเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เมื่อเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และรายงานการตรวจสอบฯ โดยละเอียด ของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมนั้นได้รับความเห็นชอบจาก พพ. แล้ว
2. เมื่อสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2543 ให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ พพ. และกรมบัญชีกลาง พิจารณาความเหมาะสมในขั้นตอนวิธีการจ่ายเงินสนับสนุนฯ ตามข้อ 1 และเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อกำหนดวิธีการจ่ายเงินสนับสนุนฯ ในช่วงต่อไป
เรื่องที่ 9 อาคารของรัฐที่เป็นอาคารควบคุม : ภายใต้สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และกระทรวงศึกษาธิการ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2542 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม 2542 ที่ประชุมได้พิจารณาผลการประเมินผลโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 1 แล้ว ได้มีข้อสังเกตเพื่อปรับปรุงการทำงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ว่าควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องการปรับปรุงการใช้พลังงานของตนสามารถขอรับการสนับสนุนมายังกองทุนฯ ผ่านคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับได้ ซึ่งแนวทางการดำเนินการดังกล่าว ได้ถูกบรรจุไว้ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ที่ได้เสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาแล้ว
ทบวงมหาวิทยาลัย ได้มีหนังสือที่ ทม 0201(4)/13920 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2542 ถึงประธานอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อขอให้พิจารณาโครงการปรับปรุงอาคารภายใต้การดูแลของทบวงมหาวิทยาลัย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้มีผลโดยรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
กระทรวงศึกษาธิการได้มีหนังสือที่ ศธ 0219/8704 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2542 ถึงประธานอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อขอให้พิจารณาโครงการปรับปรุงอาคารภายใต้การดูแลของกระทรวงศึกษาธิการโดยเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 6/2542 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันพุธที่ 8 กันยายน ที่ประชุมได้พิจารณาได้พิจารณาโครงการฯ ของทบวงมหาวิทยาลัย และของกระทรวงศึกษาธิการ แล้ว ที่ประชุมมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ ทบวงฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการนำร่องสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการฯ ในสังกัดของทบวงฯ โดยให้ ทบวงฯ เป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการโดยตรง (Implementing Agency "IA") เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 891,000,000 บาท (แปดร้อยเก้าสิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ กระทรวงฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเร่งด่วนสำหรับอาคารควบคุมส่วนราชการภายใต้กระทรวงฯ โดยให้กระทรวงฯ ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการโดยตรง (Implementing Agency "IA") ในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 401,850,000 บาท (สี่ร้อยหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ ทบวงมหาวิทยาลัย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการนำร่องสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการฯ ในสังกัดของทบวงฯ โดยให้ ทบวงฯ เป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการโดยตรง (Implementing Agency "IA") เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 891,000,000 บาท (แปดร้อยเก้าสิบเอ็ดล้านบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเร่งด่วนสำหรับอาคารควบคุมส่วนราชการภายใต้กระทรวงฯ โดยให้กระทรวงฯ ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการโดยตรง (Implementing Agency "IA") ในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 401,850,000 บาท (สี่ร้อยหนึ่งล้านแปดแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
3. ให้ ทบวงมหาวิทยาลัย และ กระทรวงศึกษาธิการ เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินการตามโครงการให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท
กอ. ครั้งที่ 19 - วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2543
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19)
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. การปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547)
3. โครงการอาคารของรัฐที่เป็นอาคารควบคุม : ภายใต้สังกัดกองทัพบก กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงคมนาคม
4. การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานให้แก่อาคารควบคุม ใต้สังกัดสภากาชาดไทย
5. โครงการสาธิตการเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ
6. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
7. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
8. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำมันราคาสูง
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการ และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 150,000,000 บาท โดยได้กำหนดให้เรื่อง "บ้านประหยัดพลังงาน" เป็นประเด็นหลักในการรณรงค์
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้อนุมัติให้ สพช. ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543 ไปแล้ว จำนวน 5 กิจกรรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 21,844,676.69 บาท และกำลังดำเนินการจัดจ้างในช่วงที่ 3 และ 4 รวม 14 กิจกรรม ในวงเงิน 70.8 ล้านบาท ทั้งนี้ สพช. ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในประเทศ และได้เร่งนำ "โครงการประชาสัมพันธ์รณรงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ออกเทนของเบนซินที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์" มาเป็นประเด็นรณรงค์ในช่วงต้นปี โดยได้เริ่มให้ข้อมูลเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง และสำหรับกิจกรรมหลักที่จะสื่อสารผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกระแสและความเชื่อมั่นจะเริ่มดำเนินการพร้อมกันในวันที่ 1 เมษายน 2543
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันจันทร์ที่ 13 มีนาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบในมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ซึ่งในส่วนของมาตรการด้านอื่นๆ นั้น กพช. ได้เห็นควรให้ สพช. ทบทวนมาตรการด้านอนุรักษ์พลังงาน โดยให้เร่งดำเนินการในโครงการที่ได้ผลเป็นรูปธรรมในเวลาอันรวดเร็ว และให้เสนอมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติมหากเห็นสมควร
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงที่ผ่านมา ดังนี้
1. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันอย่างประหยัด ปีงบประมาณ 2540
เป็นโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนให้ใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในช่วงแรกเป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมัน ระบบการกำหนดราคาแบบลอยตัว และเน้นย้ำให้ประชาชนใช้น้ำมันอย่างประหยัดเนื่องจากน้ำมันเป็นสินค้านำเข้า การประหยัดน้ำมันจึงสามารถช่วยประเทศลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศได้
2. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2541
สพช. ได้จัดทำภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ชุด "ชีวิตคู่ของคุณประหยัด" เพื่อแนะนำวิธีประหยัดน้ำมันในชีวิตประจำวันให้กับประชาชนทั่วไป โดยเผยแพร่ผ่านสื่อโทรทัศน์ พร้อมกับการนำสารคดีสั้นทางวิทยุ ชุด "รอบรู้เรื่องน้ำมัน" มาเผยแพร่ซ้ำ และเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ทางสิ่งพิมพ์ เพื่อแนะนำวิธีประหยัดน้ำมันเพิ่มเติม และต่อมาได้จัดทำโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงการใช้เบนซินคุณภาพสูงเกินความจำเป็น "ใช้เบนซินให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ" ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า โดยใช้งบประมาณในการประชาสัมพันธ์รวมทั้งสิ้น 30 ล้านบาท
จากการสำรวจเพื่อประเมินผลพบว่าการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเรื่องค่าออกเทนในครั้งนี้ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งจะเห็นได้จากการที่สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ลดลงประมาณร้อยละ 6 ต่อเดือน เนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ค้าน้ำมันที่ยังคงขายน้ำมันที่มีค่าออกเทน 97 และ 92 ในขณะที่เนื้อหาของการรณรงค์ได้กล่าวถึงน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 จึงทำให้ประชาชนสับสนในเรื่องค่าออกเทน ประกอบกับยังคงมีความเข้าใจว่าน้ำมันไร้สารตะกั่วคือน้ำมันเบนซินซูเปอร์เท่านั้น จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนเป็นไปอย่างไม่เด่นชัด
3. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2542
ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ใช้น้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับเครื่องยนต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลจากการสำรวจพบว่ากลุ่มเป้าหมายมีการรับรู้และมีความเข้าใจมากขึ้น แต่เนื่องจากการรณรงค์อยู่ในวงจำกัด ประกอบกับยังไม่สามารถให้ความเชื่อมั่นได้เพียงพอว่าในการเปลี่ยนมาใช้เบนซินออกเทน 91 จะไม่ทำให้เครื่องยนต์ชำรุด เสียหาย ดังนั้นผลที่ได้จากการรณรงค์ในครั้งนี้จึงยังไม่ได้ตามวัตถุประสงค์
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543
ในช่วงที่เกิดวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันในช่วงปลายปี 2542 สพช. ได้นำประเด็นเรื่องเกี่ยวกับการประหยัดน้ำมันมาสอดแทรกไว้ในทุกกิจกรรม โดยเฉพาะประเด็นการเลือกเติมน้ำมันตามค่าออกเทนที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นสิ่งที่สามารถปฏิบัติได้ทันทีและสามารถลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้ทันที จึงให้ความสำคัญในการสื่อสารให้ประชาชนเติมน้ำมันตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ซึ่งหากหันกลับมาเติมน้ำมันที่มีค่าออกเทน 91 สำหรับรถที่เติมได้ จะสามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 80 สตางค์ต่อลิตร รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นโดยผ่านผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งการรณรงค์นี้ได้ดำเนินการผ่านสื่อประชาสัมพันธ์ทุกสื่อ ได้แก่ บทความประชาสัมพันธ์ในหนังสือพิมพ์ การเปิดประเด็นทางรายการวิทยุ รายการสนทนาทางโทรทัศน์ และการแจกเอกสารเผยแพร่บนทางด่วน เป็นต้น
เพื่อให้สอดคล้องกับมติของ กพช. ในมาตรการเพื่อส่งเสริมการประหยัดน้ำมันสำหรับประชาชนทั่วไปเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาแผนงานประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ สำหรับปีงบประมาณ 2543 เพิ่มเติม โดยมีรายละเอียดของโครงการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม ดังนี้
การประชาสัมพันธ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำมันของ สพช. ในช่วงที่ผ่านมามักจะเร่งดำเนินการในช่วงที่น้ำมันมีราคาแพง และเป็นช่วงที่ผู้บริโภคและสื่อมวลชนเกิดความตระหนัก ดังนั้น สพช. จึงเห็นควรให้พิจารณาดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อรณรงค์ให้มีการใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสม รวมถึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมัน และวิธีการประหยัดน้ำมัน โดยอาศัยสถานการณ์ที่ประชาชนยังคงเปิดรับข่าวสารข้อมูลในเรื่องที่เกี่ยวกับการประหยัดน้ำมันอยู่ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจและเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างถาวรในการบริโภคน้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่งบประมาณที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่เพียงพอ ซึ่งหากนำมาจัดสรรให้กับการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการประหยัดน้ำมันภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติเดิม ก็อาจทำให้แผนประชาสัมพันธ์ ปี 2543 ได้ผลไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ จึงใคร่ของบประมาณเพิ่มเติมอีก 30 ล้านบาท โดยมีกิจกรรมต่างๆ ที่จะทำการประชาสัมพันธ์ ดังนี้
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ | 25 ล้านบาท |
กิจกรรมรณรงค์ | 5 ล้านบาท |
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น | 30 ล้านบาท |
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่หมาะสมและการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ ปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 30,000,000 บาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แล้วให้นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 10 ล้านบาท
เรื่องที่ 2 การปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้ให้ความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เสนอ ซึ่งในส่วนของโครงการอาคารของรัฐนั้น กำหนดให้ พพ. ต้องนำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน มาพิจารณาดำเนินการปรับแผนของโครงการฯ ระยะที่ 2 ในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) ต้องมีมาตรการที่ได้ผลจริงในการห้ามไม่ให้นำเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดทิ้งแล้วนำกลับมาใช้ใหม่
2) จะต้องมีการเพิ่มจำนวนตัวแทนดำเนินการ (Implementing Agency "IA") ให้มากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานเข้ามาแข่งขันด้านราคาและคุณภาพการให้บริการต่อ พพ. และในสัญญาที่ พพ. ทำกับ IA จะต้องระบุว่า "ห้ามมิให้จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ" และ พพ. จะต้องเป็นผู้ตรวจสอบว่า IA "จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ" หรือไม่ โดยการเพิ่ม IA ให้ศึกษาแนวทางวิธีการเพิ่มที่ปรึกษาทางด้านสิ่งแวดล้อม จากกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม
เลขานุการฯ ได้นำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ แจ้งให้ พพ. เพื่อรับทราบและดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ แล้ว และ พพ. ได้เสนอแนวทางปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547) ดังนี้
1. มาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้อีก
1) ติดสติ๊กเกอร์ที่เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออก โดยมีข้อความ "เครื่องปรับอากาศนี้ เสื่อมสภาพ สมควรทำลาย ตามระเบียบพัสดุ"
2) ทำบันทึกข้อตกลงการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานโครงการอาคารของรัฐระหว่าง พพ. กับผู้รับผิดชอบอาคารนั้นๆ โดยผู้รับผิดชอบอาคารของรัฐ จะต้องลงนามรับรองก่อนที่บริษัทผู้รับเหมาจะเข้าไปดำเนินการปรับปรุงฯ ว่าจะนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถอดออกแล้วไปทำลายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และยินดีให้ความร่วมมือในการประสานงานต่างๆ เพื่อให้โครงการอาคารของรัฐสำเร็จไปด้วยดี
3) พพ. จะว่าจ้างมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา ศึกษาวิธีการดำเนินการทำลายหรือจัดการเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภายในปี 2543
4) ขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในการห้ามมิให้หน่วยงานที่เข้าร่วมโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้ พพ. ดำเนินการนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกไปทำลายให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และต้องแจ้งผลการทำลายให้คณะกรรมการกองทุนฯ และผู้เข้าร่วมโครงการทราบ ด้วย
5) ระหว่างรอผลการศึกษาวิธีการทำลายหรือจัดการเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พพ. จะเพิ่มข้อความในบันทึกข้อตกลง เพื่อให้เจ้าของอาคารยินยอมให้แยกคอมเพรสเซอร์ออกจากชุด Condensing Unit และเก็บไว้เพื่อรอการทำลาย หรือดำเนินการตามผลการศึกษาต่อไป
2. การว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (Implementing Agency "IA") ในช่วงปีงบประมาณ 2539-2541 พพ. ได้ว่าจ้าง IA เพื่อบริหารโครงการฯจำนวน 2 ราย คือ สถานจัดการและอนุรักษ์พลังงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย ปีงบประมาณ 2542 พพ. ได้ว่าจ้าง IA เพื่อบริหารโครงการฯ เพิ่มอีก 1 ราย คือ สถานจัดการและอนุรักษ์พลังงาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ปีงบประมาณ 2543 จะดำเนินการว่าจ้างศูนย์วิจัยและฝึกอบรมพลังงานแสงอาทิตย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เป็น IA เพื่อบริหารโครงการฯ เพิ่มอีก 1 ราย และในโอกาสต่อไปถ้าหน่วยงานใดมีความพร้อมที่จะเป็น IA ตามเงื่อนไขที่ พพ. กำหนดแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น พพ. ก็จะว่าจ้างหน่วยงานเหล่านั้นเป็น IA เพื่อบริหารโครงการอาคารของรัฐเพิ่มขึ้น
3. การห้าม IA ว่าจ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ
1) ในขั้นแรก พพ. ได้แจ้งเรื่องไปยัง IA แต่ละแห่งให้รับทราบ โดยจะต้องไม่ว่าจ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ และ พพ. จะว่าจ้างที่ปรึกษาทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของ IA ว่ามีการจ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันหรือไม่
2) สำหรับการว่าจ้างผู้รับเหมาทำให้มีการแข่งขันกันมากขึ้นนั้น พพ. จะแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ IA แต่ละแห่งพิจารณาดำเนินการ ซึ่งอาจทำโดยการประมูลเพื่อแข่งขันราคาหรือวิธีอื่นๆ ตามที่เห็นสมควร ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในระหว่างผู้รับเหมากันมากยิ่งขึ้นและขณะเดียวกันจะให้ที่ปรึกษาซึ่ง พพ. ว่าจ้างที่ปรึกษาตรวจสอบการดำเนินงานของ IA ในการว่าจ้างผู้รับเหมาด้วย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า แนวทางปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ในแต่ละมาตรการที่ พพ. เสนอมาดังกล่าวนั้น ยังไม่ได้เป็นไปตามที่คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2542 ได้ให้ข้อสังเกตไว้ ซึ่งมาตรการที่ พพ. เสนอนั้นยังไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้เห็นผลการประหยัดพลังงานตามเป้าหมายของกองทุนฯ เพราะยังขาดกลไกการควบคุมให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเข้มงวดจริงจัง ตลอดจนไม่มีเงื่อนไขหรือบทปรับใดๆ ที่สะท้อนถึงการลงโทษหากละเลยการปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้กระทำไว้ รวมถึงไม่มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจนว่า พพ. จะเริ่มต้นและเสร็จสิ้นการดำเนินการในแต่ละเรื่องนั้นเมื่อไร ซึ่งแม้ว่าแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 ได้ดำเนินการล่วงเลยมามากกว่า 6 เดือนแล้ว พพ. ก็มิได้เร่งดำเนินการตามที่ได้แจ้งมายังกองทุนฯ ซึ่งหาก พพ. ไม่ปรับปรุงแก้ไขวิธีการติดตามควบคุม ก็จะส่งผลให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ เกิดผลไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้การดำเนินการโครงการอาคารของรัฐบรรลุผลตามเป้าหมาย เลขานุการฯ มีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้
1) การศึกษาวิธีการดำเนินการทำลายหรือจัดการเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พพ. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2543
2) กำหนดวิธีการตรวจสอบและบทลงโทษ IA ที่ดำเนินการ "จ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ" เช่น การยกเลิกสัญญาจ้าง IA
3) ควรให้เอกชนเข้ามาแข่งขันเป็น IA เพื่อ พพ. จะได้รับบริการที่มีคุณภาพสูงขึ้นและราคาถูกลง
4) ในการจัดซื้อจัดจ้างของ IA จะต้องประกาศให้บุคคลทั่วไปที่สนใจทราบอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการประมูลงาน ให้ได้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูงขึ้นและราคาถูกลง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ปรับปรุงการดำเนินงานโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 ดังนี้
1.1 มาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้อีก
(1) ติดสติ๊กเกอร์ที่เครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออก โดยมีข้อความ "เครื่องปรับอากาศนี้ เสื่อมสภาพ สมควรทำลาย ตามระเบียบพัสดุ"
(2) ทำบันทึกข้อตกลงการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานโครงการอาคารของรัฐระหว่าง พพ. กับผู้รับผิดชอบอาคารของรัฐ โดยผู้รับผิดชอบจะต้องลงนามรับรองก่อนที่บริษัทผู้รับเหมาจะเข้าไปดำเนินการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารว่าจะนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถอดออกแล้วไปทำลายตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และยินดีให้ความร่วมมือในการประสานงานต่างๆ เพื่อให้โครงการอาคารของรัฐสำเร็จไปด้วยดี และให้เพิ่มข้อความในบันทึกข้อตกลง เพื่อให้เจ้าของอาคารยินยอมให้แยกคอมเพรสเซอร์ออกจากชุด Condensing Unit และเก็บไว้เพื่อรอการทำลายโดยไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้องตามหลักวิชาการต่อไป
(3) ให้ พพ. เร่งจัดทำรายละเอียดของข้อมูลที่ชัดเจนถึงผลกระทบต่อโครงการฯ หากมีการนำเครื่องปรับอากาศที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้ใหม่ และเร่งจ้างมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา เพื่อดำเนินการศึกษาวิธีการทำลายหรือจัดการเครื่องปรับอากาศเก่าโดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และให้ทราบผลภายในเดือนกันยายน พ.ศ. 2543 แล้วรายงานผลต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีให้หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงกาารอาคารของรัฐที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานโดยการใช้มาตรการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศ ห้ามนำเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกแล้วกลับมาใช้อีก โดยให้แยกตัวคอมเพรสเซอร์ออกจากชุดระบายความร้อน และเก็บไว้เพื่อรอการทำลายหรือจัดการตามแนวทางที่ได้รับจากผลการศึกษาของ พพ. ต่อไป
1.2 ให้ พพ. สามารถจ้างหน่วยงานอื่นที่พร้อมจะเป็นตัวแทนดำเนินการ (Implemeting Agency "IA") เพื่อบริหารโครงการอาคารของรัฐ ตามเงื่อนไขที่ พพ. กำหนด
1.3 การห้าม IA ว่าจ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ
(1) ให้ พพ. แจ้งเรื่องไปยัง IA แต่ละแห่งให้รับทราบว่า IA จะต้องไม่ว่าจ้างผู้มีผลประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการ
(2) ให้ พพ. แจ้งให้ IA แต่ละแห่งพิจารณาดำเนินการว่าจ้างผู้รับเหมาโดยการประมูลเพื่อแข่งขันราคาหรือวิธีอื่นๆ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันในระหว่างผู้รับเหมากันมากยิ่งขึ้น
(3) ให้ พพ. เร่งว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานของ IA
2. อนุมัติให้ พพ. ดำเนินโครงการอาคารของรัฐ ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้รับหนังสือจากส่วนราชการต่างๆ จำนวน 3 แห่ง คือ กองทัพบก กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้พิจารณาแผนงานอนุรักษ์พลังงานในโครงการปรับปรุงอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของส่วนราชการแต่ละแห่งนั้น โดยเร่งด่วนหรือเป็นกรณีพิเศษ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 7) ครั้งที่ 8/2542 (ครั้งที่ 8) และครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 9) ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้ส่วนราชการทั้ง 3 แห่ง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของแต่ละส่วนราชการ และให้แต่ละส่วนราชการเป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (Implementing Agency "IA") โดยตรง เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล และให้แต่ละส่วนราชการเสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินการตามโครงการให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีเกิน 10 ล้านบาท โดยเห็นชอบวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ของแต่ละส่วนราชการ ดังนี้
1) เห็นชอบให้การสนับสนุนให้กองทัพบก ในวงเงิน 596,850,000 บาท
2) เห็นชอบให้การสนับสนุนกระทรวงมหาดไทย ในวงเงิน 366,000,000 บาท
3) เห็นชอบให้การสนับสนุนกระทรวงคมนาคม ในวงเงิน 482,400,000 บาท
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 10) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มีนาคม 2543 เห็นว่าในขณะนี้มีอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวง ทบวง และหน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนมาก ที่ได้เห็นความสำคัญและต้องการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของอาคารในสังกัดเพื่อต้องการลดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของคณะกรรมการกองทุนฯ และเพื่อให้การปฏิบัติงานของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ที่ประชุมจึงได้มีมติให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีพิเศษ (fast track) เพื่อใช้ในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (Implementing Agency "IA") บริหารงานในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน และว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน และโดยไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา เมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป สำหรับเงินสนับสนุนการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานนั้น ให้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเป็นรายๆ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้กองทัพบกเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของกองทัพบก โดยให้กองทัพบกเป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ(IA) โดยตรง เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 596,850,000 บาท (ห้าร้อยเก้าสิบหกล้านแปดแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้กระทรวงมหาดไทยเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของกระทรวงมหาดไทย โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) โดยตรง เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 366,000,000 บาท (สามร้อยหกสิบหกล้านบาทถ้วน)
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้กระทรวงคมนาคมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการปรับปรุงเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมภายใต้การดูแลของกระทรวงคมนาคม โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) โดยตรง เพื่อดำเนินงานในส่วนของการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุงตามเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการติดตามประเมินผล ในวงเงิน 482,400,000 บาท (สี่ร้อยแปดสิบสองล้านสี่แสนบาทถ้วน)
4. ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่มีโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีพิเศษ (fast track) เพื่อใช้ในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) บริหารงานในการกำหนดเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน และว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน และโดยไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป สำหรับเงินสนับสนุนการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานนั้นให้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเป็นรายๆ ไป
5. ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนนั้น เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินการตามโครงการให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีเกิน 10 ล้านบาท
6. ให้ พพ. แจ้งให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนนั้น ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการนำเอาเครื่องปรับอากาศเก่าที่ถูกถอดออกกลับมาใช้อีก ตลอดจนการห้าม IA ว่าจ้างผู้มีประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินการด้วย และ พพ. จะต้องมีบทบาทและหน้าที่ในการเข้าไปติดตามและกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีการนำแนวทางดังกล่าวไปบังคับใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเข้มงวดจริงจัง
เรื่องที่ 4 การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานให้แก่อาคารควบคุม ใต้สังกัดสภากาชาดไทย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น ให้แก่อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้สังกัดของสภากาชาดไทย 3 ราย คือ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่เมื่อ พพ. ได้ตรวจสอบรายละเอียดในภายหลังปรากฏว่า "สภากาชาดไทยเป็นองค์กรการกุศล" จัดตั้งโดยกฎหมายมีฐานะเป็นนิติบุคคลในรูปแบบของสมาคม ไม่มีสถานภาพเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ทำให้สิทธิที่จะได้รับเงินสนับสนุนสำหรับการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย เท่านั้น แต่เนื่องจากสภากาชาดไทยมีแนวทางการดำเนินงานที่ไม่แสวงหาผลกำไร และมีผลการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยส่วนรวมเป็นหลัก พพ. จึงเห็นควรพิจารณาให้การสนับสนุนเงินช่วยเหลือการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานแก่อาคารควบคุมภายใต้สังกัดสภากาชาดไทยเป็นกรณีพิเศษ โดยช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมดเช่นเดียวกับหน่วยงานที่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ และ พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับพิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันพุธที่ 27 ตุลาคม 2542 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้อาคารควบคุมภายใต้สังกัดสภากาชาดไทย ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมด สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ทั้งนี้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดสำหรับให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
2. อนุมัติให้คณะอนุกรรมกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมด สำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีลักษณะการดำเนินการหรือวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกับสภากาชาดไทย เป็นกรณีๆ ไป ทั้งนี้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดสำหรับให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้อาคารควบคุมภายใต้สังกัดสภากาชาดไทย เป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมด ทั้งนี้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดสำหรับให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
2. เห็นชอบมติของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 ที่ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ให้ พพ. ไปแล้ว เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นให้แก่อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้สังกัดของสภากาชาดไทย เป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่า จำนวน 3 ราย คือ อาคารสภากาชาดไทย ในวงเงิน 190,000 บาท (หนึ่งแสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) อาคารโรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา ในวงเงิน 290,000 บาท (สองแสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) และอาคารโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในวงเงิน 2,520,615 บาท (สองล้านห้าแสนสองหมื่นหกร้อยสิบห้าบาทถ้วน)
3. อนุมัติให้คณะอนุกรรมกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าทั้งหมดสำหรับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน และการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีลักษณะการดำเนินการหรือวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกับสภากาชาดไทย เป็นกรณีๆ ไป ทั้งนี้ โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดสำหรับให้การสนับสนุนแก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
เรื่องที่ 5 โครงการสาธิตการเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ได้เสนอโครงการสาธิตการเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2543 ได้พิจารณาโครงการฯนี้แล้ว มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
มช. จะดำเนินโครงการสาธิตการเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ โดยการซื้อเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะชนิดน้อยศพต่อวันที่เป็นเทคโนโลยีของประเทศสหรัฐอเมริกา มาติดตั้งที่วัดชลประทานรังสฤษฎ์ จังหวัดนนทบุรี เพื่อศึกษาวิจัย และพัฒนาออกแบบ ทั้งแบบจำนวนศพต่อวันมากและแบบจำนวนศพต่อวันน้อย ให้ได้เตาเผาศพประสิทธิภาพสูงที่ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ และเหมาะสมกับประเทศไทย และหลังจากได้แบบมาตรฐานของเตาเผาศพต้นแบบเรียบร้อยแล้ว มช. จะประชาสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น แผ่นพับ วิทยุ และจัดสัมมนาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปทราบต่อไป โดยในช่วงที่ดำเนินการศึกษานั้น มช. จะต้องศึกษารูปแบบและชนิดของเตาฯ เป็นดังนี้
ภายในระยะเวลา 6 เดือน มช. จะมีผลการศึกษาและแบบเตาเผาศพที่ประหยัดพลังงานและลดมลภาวะแบบจำนวนศพน้อยเบื้องต้น ซึ่งแบบเตาฯ จะต้องเป็นแบบที่ใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศให้มากที่สุด ใช้และบำรุงรักษาได้ง่าย มีระบบการควบคุมที่ไม่ยุ่งยาก และราคาไม่แพง
แบบเตาเผาศพแบบสมบูรณ์ ทั้งกรณีจำนวนศพน้อยและจำนวนศพมาก ก็ให้อยู่ในเกณฑ์เดียวกับเตาฯ เบื้องต้น และ มช. จะต้องรวบรวมข้อมูลการใช้พลังงานและการปล่อยมลภาวะจากเตาเผาศพที่จะนำมาใช้ในโครงการฯ ตลอดจนศึกษาถึงพื้นฐานของการถ่ายเทความร้อน การเผาไหม้ การควบคุมการเผาไหม้ การเลือกวัสดุอุปกรณ์ที่เหมาะสม ความเหมาะสมในการปฏิบัติงาน รวมถึงการศึกษาแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ และจัดทำชุดทดสอบในห้องปฏิบัติการ เพื่อศึกษาระบบการเผาไหม้ หาปัจจัยและคุณลักษณะที่เหมาะสมของเตาเผาศพ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการออกแบบเตาเผาศพประหยัดพลังงาน
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสาธิตเตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ ในวงเงิน 10,975,500 บาท (สิบล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นห้าพันห้าร้อยบาทถ้วน)
เรื่องที่ 6 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบ เกี่ยวกับงบการเงินที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2540 งบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 ที่กรมบัญชีกลางส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,181,600,614.62 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ของ สพช. บก. และ พพ. ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุดวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 3,003,313,030.10 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบเกี่ยวกับ งบการเงินที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2540 งบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543
เรื่องที่ 7 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน และคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 สามารถสรุปได้ ดังนี้
1. แผนงานภาคบังคับ
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ รวมเป็นเงินที่อนุมัติแล้วทั้งสิ้น 170.95 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.1 โครงการอาคารของรัฐ คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 28.52 ล้านบาท โดยแยกเป็น
1) ค่าบริหารการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน จำนวน 200 แห่ง เป็นเงินรวม 9.19 ล้านบาท
2) ค่าบริหารการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน จำนวน 160 แห่ง เป็นเงินรวม 7.36 ล้านบาท
3) ค่าการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน จำนวน 125 แห่ง เป็นเงินรวม 11.97 ล้านบาท
1.2 โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 137.22 ล้านบาท โดยแยกเป็น
1) อาคารควบคุม คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 28.52 ล้านบาท โดยแยกเป็น ค่าการตรวจสอบฯ เบื้องต้นจำนวน 92 แห่ง เป็นเงิน 22.61 ล้านบาท และค่าการจัดทำเป้าหมายและแผนฯ จำนวน 70 แห่ง เป็นเงิน 99.11 ล้านบาท
2) โรงงานควบคุม คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 15.5 ล้านบาท ซึ่งเป็น ค่าการตรวจสอบฯ เบื้องต้น จำนวน 155 แห่ง เป็นเงิน 15.5 ล้านบาท
1.3 โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 2.87 ล้านบาท โดยแยกเป็น ค่าการปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ จำนวน 3 แห่ง เป็นเงิน 0.23 ล้านบาท และค่าการลงทุนตามแบบที่ปรับปรุง จำนวน 3 แห่ง เป็นเงิน 2.64 ล้านบาท
1.4 โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการฯ แล้ว เป็นเงิน 2.34 ล้านบาท
2. แผนงานภาคความร่วมมือ
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้มีการประชุมแล้ว 2 ครั้ง และได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ในวงเงินรวม 19.54 ล้านบาท ประกอบด้วย
1) โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2 โครงการ เป็นเงินรวม 6.76 ล้านบาท
2) โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา จำนวน 2 โครงการ เป็นเงินรวม 12.78 ล้านบาท
3. แผนงานสนับสนุน
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้มีการประชุมแล้ว 4 ครั้ง และได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 153.98 ล้านบาท ประกอบด้วย
3.1 โครงการพัฒนาบุคลากร คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการ เป็นเงิน 132.14 ล้านบาท โดยแยกเป็น
1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการสอน แบบเรียน คู่มือ และเครื่องมือที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมและทำงาน และห้องปฏิบัติการ เป็นเงิน 99.47 ล้านบาท
2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ (สำหรับหน่วยงานต่างๆ) เป็นเงิน 7.79 ล้านบาท
3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นต่างประเทศ เป็นเงิน 1.67 ล้านบาท
4) การให้ทุนอุดหนุนวิจัย เป็นเงิน 23.21 ล้านบาท
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ คณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินงานตามโครงการ เป็นเงิน 21.84 ล้านบาท โดยแยกเป็น
1) ค่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการฯ เป็นเงิน 6.15 ล้านบาท
2) ค่าจ้างการผลิต ชุด นิทรรศการกองทุนฯ เป็นเงิน 0.64 ล้านบาท
3) ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 ปีที่ 3 เป็นเงิน 7.59 ล้านบาท
4) ผลิตภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อ โทรทัศน์ สื่อวิทยุ และผลิตอาร์ตเวิร์ก เป็นเงิน 3.46 ล้านบาท
5) กิจกรรมพิเศษภายใต้แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ออกเทนของเบนซินที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ เป็นเงิน 3.64 ล้านบาท
4. คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
4.1 การคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2543 ได้พิจารณาข้อเสนอด้านวิชาการของบริษัทที่ได้ยื่นข้อเสนอที่จะมาบริหารงานประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยมี 2 บริษัทที่มีระดับคะแนนที่ใกล้เคียงกัน คือ บริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด และ บริษัท ยูนิเวอร์แซลแอนด์อินโนเวทีฟ คอนซัลติ้ง จำกัด ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบว่าข้อเสนอทางด้านเทคนิคของ บริษัท ยูนิเวอร์แซลแอนด์อินโนเวทีฟ คอนซัลติ้ง มีคะแนนสูงกว่าบริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด และให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาฯ ตามขั้นตอนต่อไปของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ และสพช. ได้ดำเนินการเปิดซองราคาของบริษัท ยูนิเวอร์แซลแอนด์อินโนเวทีฟ คอนซัลติ้ง จำกัด แล้ว ปรากฏว่าราคาที่บริษัทเสนอมานั้นสูงกว่างบประมาณที่ สพช. ตั้งไว้มาก และเมื่อเจรจาต่อรองได้ราคาที่เหมาะสม บริษัทฯ ก็ได้เปลี่ยนแปลงบุคลากรและจำนวนวันทำงานลดลงจากข้อเสนอเดิม ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือก หลังจากการเจรจาต่อรอง 3 ครั้ง ไม่สามารถต่อรองได้ สพช. จึงได้ยกเลิกการเจรจากับบริษัท ยูนิเวอร์เซลแอนด์อินโนเวทีฟ คอนซัลติ้ง จำกัด แล้วดำเนินการเปิดซองราคาของบริษัทบริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด ซึ่งมีคะแนนสูงลำดับถัดไป และได้ระดับราคาที่เหมาะสมแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการลงนามในสัญญา
4.2 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ
ตามคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 1/2542 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน สั่ง ณ วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2542 ได้แต่งตั้ง รศ.ดร.ศลักษณ์ ทรรพนันทน์ เป็นอนุกรรมการนั้น ต่อมา รศ.ดร.ศลักษณ์ ได้ขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ ซึ่งประธานกรรมการกองทุนฯ ได้มีบัญชาอนุมัติแล้ว คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ จึงเสนอ ศ.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร เป็นอนุกรรมการ แทน ซึ่งประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ลงนามในคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 1/2543 เรื่อง ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน สั่ง ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 แล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานเพื่อบรรเทาปัญหาน้ำมันราคาสูง
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในช่วงเดือนมกราคม-เดือนมีนาคม 2543 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ได้มีการประชุมเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์น้ำมันที่มีราคาสูงขึ้น 2 ครั้ง คือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 72) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2543 และในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 โดยเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานฯ ในช่วงเดือนตุลาคม 2542 - กุมภาพันธ์ 2543 ให้ กพช. เพื่อทราบ โดยสรุปได้ดังนี้
1. แผนงานภาคบังคับ
ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) โดยการดำเนินการในส่วนอาคารของรัฐนั้น พพ. ได้ใช้จ่ายเงินไปในส่วนของค่าบริหารการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานฯ 200 แห่ง และค่าตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานฯ 125 แห่ง และค่าบริหารการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานฯ 160 แห่ง โดยได้ใช้เงินจากกองทุนฯ ไปทั้งสิ้น 29 ล้านบาท ซึ่งหากมีการดำเนินการตามแผนฯ คาดว่าจะก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสิ้นเปลืองได้ประมาณ 70 ล้านบาท/ปี และสามารถชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้คิดเป็นมูลค่า 468 ล้านบาท ส่วนในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พพ. ได้ใช้เงินจากกองทุนฯ ไปทั้งสิ้น 137 ล้านบาท ในค่าการตรวจสอบการใช้พลังงาน 155 โรงงาน และ 92 อาคาร และการจัดทำแผนฯ 70 อาคาร
2. แผนงานภาคความร่วมมือ
ในความรับผิดชอบของ สพช. ได้มีการดำเนินงานดังนี้
2.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารทั่วไป (ที่ไม่ได้เป็นโรงงานและอาคารควบคุม) ที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้อนุมัติเงินเพื่อดำเนินโครงการนำร่องแล้ว รวม 30 ล้านบาท โดยให้การสนับสนุนแก่ 3 หน่วยงาน คือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2542 เพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ช่วยลดต้นทุนการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรม
2.2 การส่งเสริมให้มีการใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง สพช. ได้จัดประชุมหน่วยงานที่มีประสบการณ์เพื่อส่งเสริมการใช้เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูงทดแทนเตาอั้งโล่ คือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน กรมป่าไม้ มหาวิทยาลัยต่างๆ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ธนาคารโลก สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อร่วมกันพิจารณาถึงปัญหาอุปสรรคของการส่งเสริมการใช้เตาฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้เห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเป็นแกนนำในการนำเตาฯ จำนวน 2,400 ลูก ไปสาธิตใช้งานเพื่อเป็นตัวกระตุ้นตลาดและสร้างแรงจูงใจให้กับผู้ผลิตเตาฯ และนำผลการศึกษามาวิเคราะห์แนวทางเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันสร้างเครือข่ายเพื่อส่งเสริมให้เกิดผลอย่างจริงจังต่อไป
2.3 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำและการติดฉลากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า สพช. ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภทเสร็จแล้ว ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพคฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษาพบว่าการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานจะสามารถลดความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ถึง 700 เมกะวัตต์ หรือ 3,500 ล้านหน่วย ซึ่ง สพช. จะได้นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาเสนอต่อ กพช. เพื่อพิจารณากำหนดเป็นนโยบายต่อไป
2.4 การส่งเสริมการใช้เตาเผาศพแบบประหยัดพลังงานและลดมลภาวะ กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการเผาไหม้เตาเผาศพของประเทศไทย โดยผลการศึกษาจะได้ต้นแบบเตาฯ ที่ใช้วัสดุที่ผลิตในประเทศให้มากที่สุด ใช้และบำรุงรักษาได้ง่าย มีระบบการควบคุมที่ไม่ยุ่งยาก และราคาไม่แพง เพื่อเป็นต้นแบบในการสร้างเพื่อใช้งานจริงในประเทศต่อไป
2.5 การอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มีโครงการที่ได้ดำเนินการแล้วดังนี้
(1) ศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จัดการฝึกอบรมอาจารย์ของสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลจากทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเครื่องยนต์ให้ทันแก่เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และเน้นให้ตระหนักถึงความสำคัญในการซ่อมบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้ถูกต้องตามคุณลักษณะของรถยนต์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและลดมลภาวะ
(2) สพช. ได้จัดประชุมกับหลายหน่วยงานที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมในการดำเนินงานเพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในสาขาขนส่ง ซึ่งแต่ละหน่วยงานจะมีการร่วมกันดำเนินการ คือศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทยจะเร่งขยายผลโครงการฯ ให้สามารถให้บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ได้มากขึ้น กรมควบคุมมลพิษอบรมในเรื่องการปรับแต่งเครื่องยนต์และจะมอบใบประกาศให้กับอู่ที่ผ่านการอบรมแล้ว สมาคมสร้างสรรค์ไทยจะทำการรณรงค์ให้แก่บริษัทและห้างร้านขนาดใหญ่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ ทราบถึงวิธีการขับรถและการดูแลเครื่องยนต์
(3) ปตท. จะดำเนินการขยายปริมาณงานปรับแต่งเครื่องยนต์ตามสถานที่บริการ ซึ่งเดิม ปตท. ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2542 ประมาณ 2,000 คัน จะเพิ่มเป็น 4,500 คัน ซึ่งคาดว่าจะสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ประมาณร้อยละ 5-10 ของปริมาณการใช้เดิม
(4) สพช. ได้ประสานงานกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้มีการจัดทำหลักสูตรและฝึกอบรมการใช้รถอย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดพลังงาน ให้แก่พนักงานขับรถทั่วราชอาณาจักร และจัดหน่วยเคลื่อนที่ออกไปจัดอบรมให้แก่นักศึกษาในสถาบันศึกษาต่างๆ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
(5) การส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด สพช. ได้ประสานงานกับกรมควบคุมมลพิษและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในการจัดให้มีการใช้รถโดยสารไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid buses) โดย ขสมก. จะนำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเอาเครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ออก แล้วปรับปรุงให้ใช้พลังงานไฟฟ้าจากระบบแบตเตอรี่แทน ซึ่งจะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงได้ร้อยละ 49
(6) ปตท. และ สพช. ได้มีการประชุมหารือเพื่อหาแนวทางในการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งขณะนี้ ปตท. อยู่ระหว่างการประสานงานกับ ขสมก. เพื่อร่วมกันจัดทำข้อเสนอโครงการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ต่อไป
2.6 การส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ได้มีการดำเนินการดังนี้
(1) โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน สพช. ได้คัดเลือกผู้ที่มีประสบการณ์ที่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมการเชิญชวนและคัดเลือกข้อเสนอของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่จะขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เพื่อชดเชยส่วนต่างจากราคารับซื้อไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะเปิดรับข้อเสนอโครงการฯ ได้ประมาณเดือนกันยายน 2543 และจะทราบผลการคัดเลือกภายในเดือนมกราคม 2544
(2) สนับสนุนการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้เห็นชอบให้ กฟผ. จัดทำแผนโดยละเอียดเพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ในการติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน รวมขนาด 2.25 เมกะวัตต์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าเข้าเสริมระบบไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าลงได้ 900,000 ลิตร/ปี
(3) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้เห็นชอบให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ร่วมกับ กปร. และมูลนิธิชัยพัฒนา ในการออกแบบและติดตั้งเพื่อสาธิตกังหันลมสูบน้ำเพื่อสาธิตการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนในกิจกรรมด้านเกษตรกรรม ตามรูปแบบการสาธิตการเกษตรแบบผสมผสานแนว "ทฤษฎีใหม่" อันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในพื้นที่โครงการแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน สถานีทดลองข้าวจังหวัดราชบุรี ที่สถานีพืชสวนจังหวัดเพชรบุรี โดยกังหันลมสูบน้ำแต่ละระบบสามารถสูบน้ำได้เฉลี่ยวันละ 15-20 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
3. แผนงานสนับสนุน
3.1 โครงการพัฒนาบุคลากร
การพัฒนาหลักสูตรและผลิตสื่อการเรียนการสอนเกี่ยวกับพลังงานและผลกระทบของการใช้พลังงานที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้ "โครงการรุ่งอรุณ" ซึ่งเป็นโครงการที่กระทรวงศึกษาธิการร่วมมือกับสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย และ สพช. โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในการมองปรากฏการณ์ของสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในลักษณะขององค์รวม และให้มีทัศนะและพฤติกรรมที่เข้าไปใช้พลังงานและทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการสอดแทรกลงไปในทุกวิชาที่มีการเรียนการสอนให้นักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยม โครงการนี้จะสิ้นสุดในปี 2543 นี้ ซึ่งจะสามารถสร้างโรงเรียนต้นแบบได้ 600 แห่ง เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับการเรียนการสอนด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ 40,000 แห่ง ต่อไป
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนของ สพช.
(1) การประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สพช. ยังคงประชาสัมพันธ์และรณรงค์อย่างต่อเนื่องภายใต้ "โครงการรวมพลังหาร 2" โดยเฉพาะประเด็นที่มีความสำคัญ เพื่อย้ำแนวคิดและให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้พลังงานของประชาชนในที่สุด ส่วนในปี 2543 ประเด็นหลักที่รณรงค์ได้แก่ "บ้านประหยัดพลังงาน" เพื่อให้มีการนำแนวคิดและวิธีการไปประยุกต์ใช้กับบ้านอยู่อาศัยและการจะสร้างบ้านใหม่ให้คำนึงถึงเรื่องการประหยัดพลังงานแต่ในภาวะที่อยู่สบาย
(2) โครงการประชาสัมพันธ์วิธีการประหยัดน้ำมัน สพช. ได้มุ่งเน้นให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำมัน และการเลือกใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ ปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันและสถานีบริการน้ำมันได้มีการปรับเปลี่ยนป้ายแสดงค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินที่ตู้จ่ายโดยแสดงค่าออกเทนขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด คือ ออกเทน 91 และ ออกเทน 95 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 และโรงกลั่นน้ำมันได้ปรับลดค่าออกเทนของน้ำมันเบนซินจาก 97 RON มาเป็น 95 RON โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2543 เป็นต้นมา ซึ่งรถยนต์ทั่วไปจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ 80 สตางค์/ลิตร เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนและเพื่อให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจในการเลือกใช้น้ำมันตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ สพช. ได้วางแผนประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ใช้รถยนต์เป็นพาหนะ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้รถที่เครื่องยนต์เหมาะสมกับน้ำมันเบนซินออกเทน 91 แต่ยังคงใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยการประชาสัมพันธ์จะดำเนินการผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ใช้รถเกิดความเชื่อมั่นและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ จะเริ่มออกสู่สายตาประชาชนในวันที่ 1 เมษายน ศกนี้ ซึ่งผลจากการประชาสัมพันธ์จะก่อให้เกิดกระแสความนิยมในการเติมน้ำมันเบนซินที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับเครื่องยนต์และประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเป็นรูปธรรม
(3) โครงการทางเดียวกันไปด้วยกัน (Car pool) สพช. ได้เร่งรณรงค์โครงการฯ ไปทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน รวม 37 องค์กร มีผู้เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 1,575 คน หลังจากนี้จะจัดให้มีการสัมมนากลุ่มย่อยกับนักวิชาการ ผู้นำความคิด และผู้เกี่ยวข้องด้านการจราจร เพื่อวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน รวมถึงอภิปรายความเป็นไปได้ในการขยายผลหรือแนวทางการทำวิจัยเพิ่มเติม
จากการประชุม กพช. ครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณาผลกระทบของราคาน้ำมันที่สูงขึ้นต่อต้นทุนการผลิตเป็นรายสาขา และ กพช. ได้พิจารณาอนุมัติในหลักการเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นตามที่แต่ละหน่วยงานได้นำเสนอ โดยมีมาตรการของกระทรวงอุตสาหกรรมที่ กพช. ได้เห็นชอบในหลักการให้หน่วยงานจัดทำแผนและเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ดังนี้
1. การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
(1) โครงการสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ระยะเวลาโครงการ 5 ปี ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 150 ล้านบาท ลักษณะโครงการฯ โดยย่อคือการขยายผลเทคนิค Value Engineering ที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทำโครงการฯ นำร่องไปแล้ว โดยครั้งนี้จะจัดทำปีละ 1,000 โรงงาน
(2) โครงการลดต้นทุนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมและสนับสนุนการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน หน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ระยะเวลาโครงการ 5 ปี ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 360 ล้านบาท เป็นการนำเทคโนโลยีการประหยัดพลังงานมาปรับเปลี่ยนใช้งานในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานไม่ถึง 1 เมกกะวัตต์ ซึ่งเป็นการนำโครงการฯ ที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนกรมส่งเสริมฯ ทำโครงการนำร่องไปแล้วมาขยายผล โดยครั้งนี้จะจัดทำปีละ 2,750 โรงงาน
(3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ 50 ล้านบาท เป็นค่าประชาสัมพันธ์เผยแพร่การประหยัดพลังงานในโรงงานทั้งในรูปเอกสารและผ่านสื่อต่างๆ ให้กับโรงงานฯ จำนวน 50,000 โรงงาน และขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ 50 ล้านบาท เพื่อจัดสัมมนาผู้ประกอบการ ปีละ 5,000 โรงงานหรือ 10,000 คน ภายในระยะเวลา 5 ปี
2. การตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพหม้อไอน้ำที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง โดยมีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ และขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุน ผู้ประกอบกิจการโรงงานจำนวน 500 ราย รวมเป็นเงิน 12 ล้านบาท
3. โครงการประหยัดพลังงานโดยการใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในรูปเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย เพื่อให้โรงงานติดตั้งอุปกรณ์นำความร้อนที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ด้านพลังงาน ทั้งในโรงงานหรือแจกจ่ายให้โรงงานข้างเคียง เช่น ในโรงงานหลอมเหล็ก โรงงานปูนซิเมนต์ ฯลฯ และขอสนับสนุนเงินลงทุนจากกองทุนฯ ในการติดตั้งเตาเผากากอุตสาหกรรมให้โรงงานเตาเผากากอุตสาหกรรม
4. โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ (CFC-Chiller) เพื่อการประหยัดพลังงานและลดปริมาณโอโซน เป็นโครงการที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเปลี่ยน CFC-Chiller ที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 10 ปี จำนวน 440 เครื่อง โดยกรมโรงงานฯ จะจัดเก็บเงินร้อยละ 90 ของส่วนต่างของค่ากระแสไฟที่ลดลงเนื่องจากเครื่องปรับอากาศใหม่ใช้กระแสไฟน้อยกว่าเดิม เพื่อนำส่งกลับสู่กองทุนหมุนเวียนของโครงการฯ
5. มาตรการปรับเปลี่ยนการใช้ก๊าซธรรมชาติแทนน้ำมัน
(1) สนับสนุนให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมสามารถใช้ก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้นจากร้อยละ 19 เป็นร้อยละ 27 ของปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในภาคอุตสาหกรรม โดยขอให้กองทุนฯ ช่วยเหลือเงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติในโรงงานอุตสาหกรรม และขอให้ยกเว้น/อุดหนุนค่าลดหย่อนอากรนำเข้าของอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพื่อเป็นการจูงใจผู้ประกอบการ
(2) โครงการนำร่องการดัดแปลงเปลี่ยนเครื่องยนต์เพื่อทดสอบการใช้ก๊าซ NGV ให้กับรถยนต์ของ ขสมก. จำนวน 291 คัน โดยจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินช่วยเหลือ 270 ล้านบาท และจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำให้กับ ปตท. เพื่อเป็นค่าดัดแปลงเปลี่ยนเครื่องยนต์รถเก็บขยะของ กทม. จำนวน 400 คัน เป็นเงิน 160 ล้านบาท
(3) โครงการจัดตั้งสถานีขายก๊าซ NGV ตามแนวท่อก๊าซของ ปตท. จำนวน 6 สถานี โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ 180 ล้านบาท
6. มาตรการประหยัดพลังงานในการรณรงค์ให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง (Tune-Up) ที่ ปตท. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีก 15 ล้านบาท เพื่อขยายผลจากที่กองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุน ปตท. ไว้แล้ว โดยจะเพิ่มจำนวนสถานีบริการให้ได้ 60 แห่ง ภายใน 3 ปี
นอกจากนั้น กพช. ได้มีมติให้ สพช. พิจารณาเร่งรัดการนำเงินกองทุนฯ มาจัดสรรใช้จ่ายในแต่ละมาตรการตามแผนอนุรักษ์พลังงานที่เห็นผลด้านอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจังและชัดเจน โดยเร่งดำเนินการให้เร็วขึ้นและจบลงโดยเห็นผลเร็วที่สุด นอกจากนั้นขอให้พิจารณามาตรการอื่นที่ไม่ได้บรรจุไว้ในแผนฯ แต่สามารถดำเนินการและเห็นผลเร็วที่สุดได้ และพิจารณามาตรการที่มีอยู่ในแผนฯ แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติอย่างจริงจังหรือเมื่อปฏิบัติแล้วก็อาจไม่เกิดผลตามที่คาดหวังก็ควรตัดออกจากแผนฯ ด้วย ซึ่ง สพช. ได้รับมติจากที่ประชุมเพื่อเร่งปรับกลยุทธ์การปฏิบัติตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้เห็นผลอย่างจริงจังโดยเร็ว และจะประสานกับกระทรวงอุตสาหกรรมในเรื่องการจัดทำข้อเสนอขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กอ. ครั้งที่ 13 - วันพุธที่ 25 มีนาคม 2541
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2541 (ครั้งที่ 13)
วันพุธที่ 25 มีนาคม 2541 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. คำสั่งแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานผลการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับโครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน
4. ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2541
5. ขออนุมัติโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงการใช้น้ำมันเบนซินคุณภาพสูงเกินความจำเป็น "ใช้เบนซินให้ถูกชนิดช่วยเศรษฐกิจของประเทศ"
6. โครงการแปรรูปมูลฝอยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
7. โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 เกษตรกรรายย่อย ระยะที่ 2
8. แนวทางในการให้การสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
9. การขอคืนเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ใช้ในการผลิตของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน)
10. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 คำสั่งแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 368/2540 เรื่องมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2540 กำหนดให้รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) เป็นประธานคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานด้วย
เรื่องที่ 2 รายงานผลการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2540 ซึ่งกรมบัญชีกลางได้จัดทำส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบพร้อมทั้งรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2541 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาประดิพันธ์ 14,039,741,384.87 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2540 ของ สพช. บก. และ พพ. ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานฯ ไปแล้ว เป็นเงินทั้งสิ้น 441,134,585.23 บาท
มติที่ประชุม
รับทราบผลการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดำเนินการตามข้อสังเกตของที่ประชุม
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานของแผนงานภาคบังคับ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ระหว่างปี 2538-2540 มีดังนี้
1.1 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
- อาคารควบคุมได้แจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงานแก่ พพ. แล้วจำนวน 811 ราย จากจำนวนทั้งสิ้น 1,071 ราย คิดเป็นจำนวนบุคลากร 1,291 คน
- อาคารควบคุมได้ส่งข้อมูลการใช้พลังงานให้แก่ พพ. ทุก 6 เดือน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2539 (มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 529 ราย สำหรับในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2539 (กรกฎาคม-ธันวาคม) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 336 ราย สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2540 (มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 324 ราย
- อาคารควบคุมได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 559 ราย และได้อนุมัติให้ดำเนินการแล้ว 436 ราย เป็นเงิน 109,553,453 บาท
- พพ.ได้อนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมไปแล้วรวมทั้งสิ้น 77 ราย
1.2 โรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
- โรงงานควบคุมได้แจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงานแก่ พพ. แล้วจำนวน 92 ราย จากจำนวนทั้งสิ้น 184 ราย คิดเป็นบุคลากร 175 คน
- พพ. ได้อนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมไปแล้วรวมทั้งสิ้น 11 ราย
1.3 โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง อยู่ในระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาการให้การสนับสนุนในโครงการดังกล่าว
2. ผลการดำเนินงานของโครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
2.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ได้มีมติอนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับอาคารของรัฐรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 712,535,277 บาท
2.2 คณะอนุกรรมการฯและคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือจำนวน 33 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 756,210,632 บาท
2.3 คณะอนุกรรมการและคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานสนับสนุนโครงการพัฒนาบุคลากร และโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงิน 1,011,290,324.1 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และมีมติให้คณะอนุกรรมการฯ ที่กำกับดูแลในแต่ละแผนงานรับไปดำเนินการตามข้อสังเกตของที่ประชุม
1. ความเป็นมา
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541-2543 โดยให้มีการปรับปรุงแผนฯ ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ในปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 190,600,000 บาท และเห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 5 ล้านบาท ซึ่ง สพช. ได้นำแผนปฏิบัติการที่ได้รับการอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ มาดำเนินการ โดยแบ่งการดำเนินการออกเป็น 7 ช่วง
สพช. ได้ดำเนินการปรับแผนการประชาสัมพันธ์เพื่อให้สอดคล้องกับข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ และให้เข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โดยตัดกิจกรรมบางกิจกรรมตามแผนงานเดิมและเพิ่มกิจกรรมใหม่ภายใต้ชื่อ "ไทยช่วยไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน" อีกทั้งได้เพิ่มเติมกิจกรรมพิเศษเพื่อให้การประชาสัมพันธ์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีกิจกรรมที่มีการปรับเปลี่ยน ดังนี้
แผนงานเดิมที่ตัดออก | งบประมาณ (บาท) |
1.ประกวดประพันธ์เพลงและร้องเพลง | 4,500,000 |
2.รองเท้าแตะและเสื้อนักเรียนเพื่อเยาวชนหาร 2 | 4,000,000 |
3.สารคดีทางวิทยุ | 5,000,000 |
4.สารคดีทางโทรทัศน์ | 5,000,000 |
5.สนับสนุนรายการวิทยุเรื่อง "น้ำมัน" | 2,000,000 |
6.การผลิตและเผยแพร่คอลัมน์ชุด "รอบรู้เรื่องน้ำมัน" | 4,000,000 |
7.ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ 2 เรื่อง | 10,000,000 |
8.ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์และซื้อสื่อเพื่อเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ | 5,000,000 |
9.อื่นๆ และเงินที่ได้จากการต่อรองราคาลงของกิจกรรม ในช่วงที่ 1-3 | 5,342,334.20 |
รวม | 44,842,334.20 |
แผนงานใหม่ | งบประมาณ (บาท) |
1.ผลิตภาพยนตร์ "ไทยช่วยไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน" เรื่อง "บรรพบุรุษ" | 2,500,000 |
2.ผลิตภาพยนตร์ "ไทยช่วยไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน" เรื่อง บริจาค" | 3,000,000 |
3.ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง "บรรพบุรุษ" | 5,000,000 |
4.ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ทางโทรทัศน์เรื่อง "บริจาค" | 5,000,000 |
5.ผลิตและเผยแพร่รายการโทรทัศน์สำหรับเยาวชน "เพื่อนแก้ว" | 1,000,000 |
6.ซื้อเนื้อที่หนังสือพิมพ์เพื่อจัดทำคอลัมน์สารคดีพลังงาน | 850,000 |
7.ประชาสัมพันธ์รณรงค์กิจกรรมพิเศษวัน "ไทยช่วยไทย ร่วมใจประหยัดพลังงาน" | 5,000,000 |
8.ผลิตและเผยแพร่สารคดีทางโทรทัศน์ชุด "คุยกันให้ชัดเรื่องประหยัดพลังงาน" | 2,480,000 |
9.ผลิตและเผยแพร่สารคดีทางโทรทัศน์ชุด "พลังเกษตร...พลังหาร 2" | 1,000,000 |
10.ผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นทางโทรทัศน์ชุด "คิดก่อนใช้" | 3,000,000 |
11.ที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ | 3,836,000 |
12.จัดการประกวดการออกแบบเครื่องแต่งกายเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน | 1,500,000 |
13.ออกแบบจัดทำรูปเล่มเอกสารเผยแพร่เรื่องพลังงาน สิ่งแวดล้อมและการบริโภค | 198,000 |
14.อื่นๆ เพื่อดำเนินการต่อไป | 10,478,334.20 |
รวม | 44,842,334.20 |
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สพช. ปรับแผนการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2541 ตามที่เสนอ โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2541 รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเติมสารเติมแต่งที่ไม่จำเป็น ที่กำหนดให้มีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเบนซิน เพื่อลดค่าใช้จ่ายจากการเติมสารเติมแต่ง การผลิตน้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงกว่ามาตรฐาน และการใช้น้ำมันอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
สพช. ร่วมกับกรมทะเบียนการค้า ได้เริ่มดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงการใช้น้ำมันเบนซินคุณภาพสูงเกินความจำเป็นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2541 โดยได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ในวงเงิน 10 ล้านบาท แต่เนื่องจากการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง และความร่วมมือในการปฏิบัติในทันทีจากประชาชนทั้งประเทศ จำเป็นต้องใช้การประชาสัมพันธ์จากสื่อทุกสื่อ และมีการขยายผลที่มีประสิทธิภาพ จึงใคร่ขอรับการสนับสนุน งบประมาณเพิ่มเติมจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอีก 20 ล้านบาท
โดยมีกิจกรรมที่จะทำการประชาสัมพันธ์ตามโครงการฯ ดังนี้
ช่วงที่ 1 (กุมภาพันธ์-เมษายน 2541) ให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริงและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลือกใช้น้ำมันเบนซิน
- จัดทำภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์จำนวน 1 เรื่อง มีความยาวไม่ต่ำกว่า 45 วินาที โดยเน้นข้อเท็จจริงในการใช้น้ำมันเบนซินชนิดที่ถูกต้อง
- วางแผน ประสานงาน จัดซื้อสื่อโทรทัศน์ เพื่อเผยแพร่ภาพยนตร์โฆษณาออกอากาศในเดือนเมษายนเป็นเวลา 1 เดือน
- จัดทำภาพยนตร์สารคดีหลังข่าวทางโทรทัศน์จำนวน 10 ตอนมีความยาวตอนละไม่ต่ำกว่า 5 นาที เพื่อครอบคลุมข้อเท็จจริงและขัอมูลที่ถูกต้องเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เบนซินให้ถูกประเภท เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง
- จัดทำชิ้นงาน วางแผน ประสานงานจัดซื้อสื่อเผยแพร่ทางสื่อสิ่งพิมพ์ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสารเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด
- จัดทำวางแผน ประสานงานสารคดีวิทยุผ่านเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ 10 ตอน เผยแพร่อย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 1 เดือน
- จัดหาประสานงานเพื่อเชิญตัวแทนของ สพช.หรือผู้ที่ สพช. เห็นสมควรไปร่วมสัมภาษณ์หรือสนทนาผ่านสื่อต่างๆ เช่น ออกรายการทางโทรทัศน์หรือให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุ
ช่วงที่ 2 (พฤษภาคม-มิถุนายน) เป็นการตอกย้ำ และกระตุ้นเตือนให้ลงไปสู่ภาคปฏิบัติ
- จัดทำสติกเกอร์ "ใช้เบนซินให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ"
- จัดทำโปสเตอร์ แผ่นพับ ให้ความรู้แก่ประชาชนว่ารถยนต์รุ่นไหน ยี่ห้ออะไร มีความต้องการออกเทนเท่าไหร่ และควรเลือกใช้น้ำมันเบนซินประเภทใด
- ขอความร่วมมือจากบริษัทค้าน้ำมันผ่านสถานีบริการต่างๆ กระจาย การเผยแพร่สื่อ สติกเกอร์ โปสเตอร์ แผ่นพับ ทั่วประเทศ
- ประสานงานกับสื่อมวลชนหนังสือพิมพ์เพื่อลงบทสัมภาษณ์หรือบทความพิเศษ เพื่อตอกย้ำน้ำหนักของข่าวสารให้หนักแน่นยิ่งขึ้น อาทิ บทความ สารคดี และการขยายผลรูปแบบต่างๆ
มติที่ประชุม
อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ในปีงบประมาณ 2541 เพิ่มเติม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์ให้ผู้ใช้น้ำมันเปลี่ยนแปลงการใช้น้ำมันเบนซินคุณภาพสูงเกินความจำเป็น "ใช้เบนซินให้ถูกชนิด ช่วยเศรษฐกิจของประเทศ" ในวงเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แล้วทำสัญญากับผู้ที่ได้รับการคัดเลือกได้เลย โดยไม่ต้องนำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อน
เรื่องที่ 6 โครงการแปรรูปมูลฝอยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มูลนิธิชัยพัฒนาได้เสนอโครงการแปรรูปมูลฝอยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือโครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันพฤหัสที่ 5 กุมภาพันธ์ 2541 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้วมีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
โครงการนี้เป็นการสาธิตกระบวนการจัดการมูลฝอย โดยจะแสดงการกำจัดและการแปรรูปมูลฝอยโดยใช้เทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทน รวมถึงการผสมผสานเทคโนโลยีให้เกิดกระบวนการจัดการแปรรูปมูลฝอยที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดโดยเฉพาะผลที่ได้ในรูปพลังงาน โครงการจะตั้งอยู่บริเวณโรงปุ๋ยหมักเก่ารามอินทราบนพื้นที่ประมาณ 29 ไร่ ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งโครงการฯ จะเตรียมพื้นที่สำหรับรับมูลฝอยและการคัดแยกมูลฝอย โดยมีเครื่องแยกวัสดุและแม่เหล็กแยกโลหะ และจะถูกคัดแยกโดยอาศัยแรงงานคนอีกครั้งหนึ่ง จะได้มูลฝอยรีไซเคิล มูลฝอยอินทรีย์และมูลฝอยเชื้อเพลิง มูลฝอยที่ผ่านการคัดแยกจะเข้าสู่กระบวนการกำจัดในแต่ละกระบวนการ โดยมูลฝอยอินทรีย์จะนำเข้าสู่กระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน ส่วนมูลฝอยเชื้อเพลิงที่ประกอบด้วยเศษกระดาษและพลาสติกผสม จัดเป็นมูลฝอยที่มีค่าความร้อนสูง ก็จะถูกส่งไปสู่กระบวนการเผาโดยผ่านแผงตะกรับ ผลที่ได้จากการเผาไหม้ในช่องเผาแรกนี้ จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ อากาศเสียและเถ้า ควันและอากาศเสียจากการเผาในช่องเผาแรก จะเข้าเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่องเผาที่สอง เพื่อการเผาไหม้อย่างสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง อากาศเสียที่เกิดขึ้นจะผ่านการลดอุณหภูมิโดยเครื่องถ่ายเทความร้อน ทำให้อากาศเสียมีอุณหภูมิลดลงได้ตามต้องการ และเคลื่อนตัวเข้าสู่ห้องรวบรวมอากาศเสีย เพื่อกำจัดมลสารก่อนจะระบายออกจากปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศภายนอก ส่วนของเถ้าจะถูกส่งออกเพื่อนำไปฝังกลบ
นอกจากนั้นโครงการฯ ยังสาธิตการฝังกลบอย่างถูกหลักสุขาภิบาล โดยการนำมูลฝอยมาเทกองในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ แล้วใช้เครื่องจักรกลเกลี่ยและบดอัดให้ยุบตัวลง แล้วใช้ดินกลบทับและบดให้แน่นอีกครั้ง หลังจากนั้นนำมูลฝอยมาเกลี่ยและบดอัดเป็นชั้นๆ สลับด้วยชั้นดินกลบ เพื่อป้องกันปัญหาในด้านกลิ่น แมลง และน้ำฝนชะล้าง และเหตุรำคาญอื่นๆ กระบวนการฝังกลบมีมาตรการในการป้องกันหรือควบคุมผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่น การปูแผ่นพลาสติก กันซึม (Liner) เพื่อกันน้ำชะล้างมูลฝอยซึมลงสู่ชั้นใต้ดิน รวมทั้งกันน้ำใต้ดินซึมเข้าสู่พื้นที่ฝังกลบ การควบคุมก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้น เป็นต้น
โครงการฯ จัดเตรียมพื้นที่รับซื้อวัสดุรีไซเคิล เพื่อนำไปรวมกับวัสดุรีไซเคิลที่สามารถคัดแยกได้จากโครงการ และจะส่งขายต่อไปยังผู้รับซื้อรายใหญ่ ซึ่งจัดเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของโครงการ และการบำบัดน้ำเสียที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการภายในโครงการประมาณวันละ 100 ลูกบาศก์เมตร จะถูกสูบเข้าสูระบบบำบัดน้ำเสียแบบเครื่องกรองไร้อากาศและตะกอนเร่ง เพื่อบำบัดให้มีคุณภาพดีก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ หรือนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เช่น ใช้ในระบบหล่อเย็นเตาเผา ระบบย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน ใช้รดน้ำต้นไม้ภายในพื้นที่โครงการ หรือใช้ในห้องสุขภัณฑ์ต่างๆ
ประโยชน์ที่มีต่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมมีดังนี้
- 1. ประโยชน์ที่มีต่อการอนุรักษ์พลังงาน
- การแปรรูปมูลฝอย 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 18,250 ตัน/ปี ด้วยกระบวนการนำวัสดุ ได้แก่ พลาสติก กระดาษ เหล็กและแก้ว กลับมาใช้ใหม่ (Recycle) สามารถประหยัดพลังงานเทียบเท่าปริมาณน้ำมันดิบ ประมาณ 20,934 ตัน คิดมูลค่าการประหยัดพลังงานได้เป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 102,238,150 บาท และสามารถผลิตก๊าซชีวภาพ ประมาณ 1,100,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ซึ่งสามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 2.5 ล้านหน่วย/ปี คิดมูลค่าเป็นเงินได้ทั้งสิ้นประมาณ 25,760,000 บาท
- 2. ประโยชน์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
- สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ สำหรับภาคเกษตรกรรม ประมาณ 5,580 ตันต่อปี
- สามารถลดปัญหาน้ำเสียจากมูลฝอย กลิ่น ก๊าซมีเทนจากมูลฝอยและการแพร่เชื้อโรค ซึ่งเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางอ้อมได้อีกด้วย
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้มูลนิธิชัยพัฒนาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการแปรรูปมูลฝอยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในวงเงิน 189,420,000 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบเก้าล้านสี่แสนสองหมื่นบาทถ้วน) ตามรายละเอียดแผนงานของโครงการที่ปรากฏในสิ่งแนบเป็นแผ่นบันทึกข้อมูลชุดที่ 1 ชื่อแฟ้ม "WABIO"
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ มูลนิธิชัยพัฒนา จะต้องเสนอแผนงานและเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้
2.1 แผนการประชาสัมพันธ์ทั้งก่อนและหลังการก่อสร้างโครงการฯ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ได้ทราบถึงกิจกรรมต่างๆ และผลที่ได้รับหลังจากการดำเนินโครงการฯ แล้ว
2.2 แผนการประเมินค่าทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อได้ดำเนินโครงการเสร็จสิ้นตามแผนงานแล้ว เพื่อใช้เป็นแบบอย่างในการประเมินความคุ้มทุนสำหรับโครงการที่มีลักษณะใกล้เคียงกันแต่ดำเนินงานในพื้นที่อื่น
2.3 หนังสือจากกรุงเทพมหานครในการยินยอมให้ใช้พื้นที่เพื่อดำเนินโครงการฯ และยินยอมให้ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมโครงการฯ ได้ทั้งก่อนและหลังการก่อสร้าง
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันพุธที่ 24 มกราคม 2539 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อดำเนินการตามโครงการส่งเสริมก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์ เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2: เกษตรกรรายย่อย โดยอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมส่งเสริมการเกษตรเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ในวงเงิน 6,609,400 บาท และอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้การสนับสนุนแก่เกษตรกรผู้ร่วมโครงการ ปริมาตรรวมของบ่อก๊าซชีวภาพ 5,000 ลูกบาศก์เมตร ในวงเงิน 4,043,800 บาท โดยกองทุนฯ จะจ่ายเงินอุดหนุนให้เกษตรกร ในอัตรา 9,500 บาท ต่อการลงทุนสร้างระบบผลิตก๊าซชีวภาพขนาด 12 ลูกบาศก์เมตร ในปีแรก และในอัตรา 9,875 บาท ต่อการลงทุนสร้างระบบผลิตก๊าซชีวภาพขนาด 12 ลูกบาศก์เมตร ในปีที่สอง
การดำเนินโครงการฯ ในระยะแรกมีเจ้าของฟาร์มซึ่งเป็นเกษตรกรรายย่อยประสงค์ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เป็นจำนวนมาก กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้ข้อปรับวิธีจ่ายเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้แก่เกษตรกรผู้เข้าร่วมโครงการฯ ตามอัตรามาตรฐาน ขนาดบ่อ ราคาก่อสร้างและเงินอุดหนุนเกษตรกรฯ ภายในวงเงิน 4,043,800 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนปริมาตรรวมของบ่อก๊าซชีวภาพ การดำเนินโครงการฯ ในระยะเวลา 2 ปี มีผู้เข้าร่วมโครงการฯ เกินกว่าเป้าหมายเดิม คือ เพิ่มจาก 5,000 ม3 เป็น 6,028 ม3 ภายในวงเงินเท่าเดิม โดยสามารถผลิตก๊าซชีวภาพได้ 610,267 ม3 ทดแทน LPG ได้ 131,221 กก. ทดแทนไม้ฟืนได้ 762,878 กก. และจากการประเมินผลโครงการฯ เบื้องต้น ปรากฏว่าระบบดังกล่าวได้รับความพอใจทั้งในด้านผลตอบแทนจากการลงทุนและความสะดวกในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยประสงค์เข้าร่วมโครงการเกินเป้าหมายที่ได้วางไว้เป็นจำนวนมาก กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้เสนอแผนของโครงการฯ ระยะที่ 2 ขนาดไม่เกิน 100 ม3 ให้ได้ปริมาตรรวมไม่ต่ำกว่า 22,000 ม3 ภายในระยะเวลา 4 ปี 6 เดือน ในวงเงิน 60,671,000 บาท
เลขานุการฯ ได้เสนอโครงการฯ ต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2541 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในการให้การสนับสนุนโครงการ แต่ได้มีข้อสังเกตุให้กรมส่งเสริมการเกษตรพิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร โครงการฯ หมวดค่าตอบแทน ค่าใช้สอยและค่าวัสดุและค่าครุภัณฑ์บางรายการที่ไม่จำเป็นลง ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินการปรับปรุงตามมติของคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอโครงการฯ ต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรับรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 เกษตรกรรายย่อย ระยะที่ 2 โดยให้กรมส่งเสริมการเกษตรปรึกษากับสำนักงบประมาณเพื่อขอความเห็นในการจัดทำประมาณการค่าใช้จ่ายของโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
เลขานุการฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า จากการที่สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในช่วงของการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง เอกชนซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานหรืออาคารจึงได้ชะลอการลงทุนและการดำเนินงานในการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน จึงเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและบรรลุวัตถุประสงค์ตามแผนงานที่วางไว้ จึงได้เสนอแนวทางในการใช้เงินจากเงินกองทุนฯ เป็นเงินทุนหมุนเวียนให้เอกชนที่ประสงค์จะลงทุนทางด้านการอนุรักษ์พลังงานกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยดำเนินการควบคู่ไปกับแนวทางการให้เงินอุดหนุนจากกองทุนฯ ที่ได้ดำเนินการตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานอยู่ก่อนแล้ว โดยให้ผู้ที่สนใจที่จะลงทุน เลือกแนวทางการรับการสนับสนุนอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ จะขอรับการสนับสนุนเป็นเงินอุดหนุนหรือเงินทุนหมุนเวียนก็ได้ โดยการให้การสนับสนุนตามวิธีการให้เงินกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำ แต่จะต้องไม่ทำให้ค่าใช้จ่ายในการให้การสนับสนุนเพิ่มขึ้นจากแนวทางเดิม และหากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากแนวทางเดิม ผู้กู้จะต้องเป็นผู้รับภาระในค่าใช้จ่ายนั้นเอง
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า เห็นควรเร่งรัดให้มีการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน และเนื่องจากสภาพวิกฤตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเห็นสมควรที่จะนำเงินกองทุนฯ มาใช้ในลักษณะเงินทุนหมุนเวียนให้กับโครงการต่างๆ ของภาคเอกชนกู้โดยไม่มีดอกเบี้ย และให้ยกเลิกคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นผู้บริหารเงินทุนหมุนเวียน โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้
1) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ประธานคณะอนุกรรมการ
2) ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม อนุกรรมการ
3) รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม อนุกรรมการ
4) เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ อนุกรรมการ
5) อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน อนุกรรมการ
6) ผู้แทนกรมบัญชีกลาง อนุกรรมการ
7) ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด อนุกรรมการ
8) ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่าผลิตแห่งประเทศไทย อนุกรรมการ
9) ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม อนุกรรมการ
10)-12) ผู้ทรงคุณวุฒิ อนุกรรมการ
13) ผู้อำนวยการสำนักกำกับและอนุรักษ์พลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
14) ผู้อำนวยการส่วนกำกับการอนุรักษ์พลังงาน อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการของแนวทาง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการให้การสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำร่างระเบียบหลักเกณฑ์ฯ เสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ลงนาม เพื่อประกาศใช้เป็นระเบียบต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ แทนการจัดตั้งคณะอนุกรรมการเงินทุนหมุนเวียนฯ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรึกษาหารือกับผู้แทนกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เกี่ยวกับการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ และเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในโอกาสต่อไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ได้มีหนังสือถึงกรมสรรพสามิตขอให้พิจารณาอนุมัติให้คืนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 1,410,003.92 บาท และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 3,290,009.14 บาท สำหรับน้ำมันเตาที่ผลิตได้ และนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงในขบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ในช่วงเดือนมิถุนายน 2538 ถึงเดือนกันยายน 2539 ซึ่งกรมสรรพสามิตได้อนุมัติให้ยกเว้นภาษี และคืนเงินภาษีให้แก่บริษัทฯ ในส่วนที่ชำระไว้แล้ว จำนวนเงิน 26,915,152.31 บาท ตามประกาศกรมสรรพสามิตเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอยกเว้นภาษีน้ำมันเตาและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ผลิตได้และนำไปใช้ในกระบวนการผลิตภายในโรงงานอุตสาหกรรม ลงวันที่ 1 มกราคม 2535
กรมสรรพสามิต ได้มีหนังสือถึง สพช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ของคณะกรรมการฯ ที่ดูแลกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณาคำขอคืนเงินของบริษัทฯ ที่ถูกเก็บเข้ากองทุนทั้งสอง
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การคืนเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกองทุนฯ ที่จะเป็นผู้พิจารณา โดยฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า ตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 กำหนดให้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนฯ ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตในประเทศหรือนำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อใช้ในราชอาณาจักร ซึ่งน้ำมันเตาที่ใช้ในขบวนการผลิตในโรงงานของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมิกัลไทย จำกัด (มหาชน) เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในราชอาณาจักร ดังนั้นจึงต้องมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ซึ่ง พรบ.ฯ ไม่มีบทบัญญัติให้อำนาจแก่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการพิจารณายกเว้นหรือผ่อนผันการส่งเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าข่ายให้ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
มติที่ประชุม
ไม่ยกเว้นหรือผ่อนผันการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากน้ำมันเตาที่ใช้ในขบวนการผลิตในโรงงานของบริษัทฯ เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ในราชอาณาจักร บริษัทฯ จึงต้องมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
เรื่องที่ 10 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ
เลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2537 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2537 ได้มีมติเห็นชอบในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 4 ชุด เพื่อกลั่นกรองงานก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุด สามารถอนุมัติเงินได้ในวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท/ราย คณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าวมีดังนี้
1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ มีหน้าที่กลั่นกรองงานเกี่ยวกับแผนงานภาคบังคับ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ยกเว้นโครงการอาคารของรัฐ โดยมีอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เป็นประธาน และ พพ. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
2) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ มีหน้าที่กลั่นกรองงานเกี่ยวกับโครงการอาคารของรัฐ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน เป็นประธาน และ พพ. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
3) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ มีหน้าที่กลั่นกรองงานเกี่ยวกับแผนงานภาคความร่วมมือ ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมี ดร.จรวย บุญยุบล เป็นประธาน และ สพช. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
4) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน มีหน้าที่กลั่นกรองงานเกี่ยวกับแผนงานสนับสนุน ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เป็นประธาน และ สพช. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
ประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ (นายจรวย บุญยุบล) ได้มีหนังสือที่ กก.0042/2541 ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2541 ขอลาออกจากคณะอนุกรรมการฯ ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นต้นไป
เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการแผนงานภาคความร่วมมือ สามารถดำเนินงานต่อไป ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ เป็นดังนี้
1. | เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | ประธานอนุกรรมการ |
2. | ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการ |
3. | ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
4. | ผู้แทนศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
5. | ผู้อำนวยการสำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
6. | นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
7. | นายกฤษณพงษ์ กีรติกร | อนุกรรมการ |
8. | ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | อนุกรรมการและเลขานุการ |
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้มีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นอนุกรรมการฯ ด้วย
- คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุน
- การใช้จ่ายเงินกองทุน
- การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน
- ขออนุมัติปรับแผนการดำเนินงาน
- โครงการประชาสัมพันธ์
- การอนุรักษ์พลังงาน
- น้ำมัน
- น้ำมันเบนซิน
- โครงการแปรรูปมูลฝอย
- โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ
- การสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย
- การขอคืนเงินส่งเข้ากองทุน
- การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการ
กอ. ครั้งที่ 20 - วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2543
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 20)
วันจันทน์ที่ 7 สิงหาคม 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
2. แผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544
3. โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน
4. โครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า
5. โครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1
6. การขอรับการสนับสนุนโครงการระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้างของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
7. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
8. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
9. รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
10. รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
11. การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายเมตตา บันเทิงสุข) แทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2543 - 2547 เป็นวงเงินรวม 3,229.31 ล้านบาท
ดังนั้นเพื่อให้ สพช. บก. และ พพ. สามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2544 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากเงินกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2544 ในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 702,679,418 บาท ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนได้พิจารณาแล้ว มีมติเห็นชอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2544 ของทั้ง 3 หน่วยงาน โดยให้สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมายปี 2544
หน่วย : บาท
สพช. | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 3,542,400 | 467,040 | 23,859,600 | 27,869,040 |
2. ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ | 10,643,320 | 179,280 | 30,647,488 | 41,470,088 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 4,360,000 | - | 5,372,440 | 9,732,440 |
4. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง | 3,125,000 | - | 15,496,850 | 18,621,850 |
5. รายจ่ายอื่น | 121,735,000 | - | 483,251,000 | 604,986,000 |
รวม | 143,405,720 | 646,320 | 558,627,378 | 702,679,418 |
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอนำงบประมาณรายจ่ายของทั้ง 3 หน่วยงาน เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุนโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. บก. และ พพ. ในปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
1. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
1) อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 143,405,720 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบสามล้านสี่แสนห้าพันเจ็ดร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2) ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3) ก่อนการใช้จ่ายเงินหมวดรายจ่ายอื่น เพื่อจ้างที่ปรึกษาอื่นๆ ที่ สพช. ได้รับมอบหมายให้ทำการศึกษา ตามที่ สพช. ขออนุมัติวงเงินไว้ 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) นั้น ให้ สพช. เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติเป็นรายการๆ ไป
4) ให้ สพช. และ พพ. ร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ โดยใช้ผลการประเมินด้านการบริหารงานกองทุนฯ ที่คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานกำลังดำเนินงานอยู่ มาพิจารณาด้วย และให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในโอกาสต่อต่อไป
5) ให้ สพช. ทำหนังสือชี้แจงต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถึงเหตุผลและความจำเป็นในการจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ
2. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
1) อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 558,627,378 บาท (ห้าร้อยห้าสิบแปดล้านหกแสนสองหมื่นเจ็ดพันสามร้อยเจ็ดสิบแปดบาทถ้วน)
2) ให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3) ให้ พพ. และ สพช. ร่วมกันศึกษาความเหมาะสมของแนวทางบริหารงานด้านบัญชี การเงิน พัสดุและงบประมาณของกองทุนฯ โดยใช้ผลการประเมินด้านการบริหารงานกองทุนฯ ที่คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานกำลังดำเนินงานอยู่ มาพิจารณาด้วย และให้ สพช. เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในโอกาสต่อต่อไป
3. งบประมาณค่าใช้จ่ายของ บก.
อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ บก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 646,320 บาท (หกแสนสี่หมื่นหกพันสามร้อยยี่สิบบาทถ้วน) โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติ
4. อนุมัติให้ สพช. บก.และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2544 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2543
เรื่องที่ 2 แผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ปี 2543-2547 ส่วนของโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2544 ในวงเงิน 343 ล้านบาท และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 70) เมื่อวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาการปรับแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 โดยให้เพิ่มงบประมาณ จากเดิม 343 ล้านบาท เป็น 481 ล้านบาท โดยงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเป็นการโอนงบประมาณที่ใช้ไม่ทันในปี 2543 มาใช้ในปี 2544 และเป็นงบที่สนับสนุนกิจกรรมเพิ่มเติมตามความต้องการของหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรมการศึกษานอกโรงเรียน และ สพช. เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
กิจกรรม | งบประมาณเดิม (ล้านบาท) | งบประมาณใหม่ (ล้านบาท) | องค์กรที่สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ |
1. การพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน แบบเรียน คู่มือและเครื่องมือที่ใช้ประกอบการทำงาน | 190 | 313 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ |
2. การฝึกอบรมบุคลาการระยะสั้นในประเทศ | 63 | 63 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่มุ่งค้ากำไร |
3. การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | 5 | 5 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ |
4. การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ และสถาบันการศึกษา | ||
-ในประเทศ -ต่างประเทศ |
50 | 50 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ สถาบันการศึกษา และรัฐวิสาหกิจ และองค์กรที่ไม่มุ่งค้ากำไร |
5. การให้ทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | 30 | 40 | สถาบันการศึกษา รัฐ/เอกชน |
6. อื่นๆ | 5 | 5 | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ |
รวม | 343 | 481 |
มติที่ประชุม
อนุมัติแผนโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2544 เพื่อให้ สพช. ใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้การสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 481 ล้านบาท (สี่ร้อยแปดสิบเอ็ดล้านบาท)
เรื่องที่ 3 โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เสนอโดยสำนักวิจัยและพัฒนา การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และมีมติให้ กฟผ. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) กฟผ. ควรดำเนินโครงการฯ ทีละส่วน โดยเริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1 เพื่อดูผลการทำงานในสภาพจริง และตรวจสอบสมมติฐานต่างๆ เปรียบเทียบกับผล ที่คาดว่าจะได้รับ เสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ต่อไป
2) ให้มีการตรวจวัดความเข้มรังสีแสงอาทิตย์ ณ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ควบคู่ไปกับการดำเนินงานระยะที่ 1
3) ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของแม่ฮ่องสอนที่ กฟผ. นำมาใช้อ้างอิงนั้น เป็นข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยังไม่ได้มีการสอบเทียบกับข้อมูลที่วัดทางภาพพื้นดิน และเนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่อง Critical Input ดังนั้น กฟผ. จึงควรเผื่อค่าความไม่แน่นอนของข้อมูลไว้ด้วยประมาณ 7%
4) ปรับปรุงวิธีเสนอการคำนวณผลวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์ในข้อเสนอโครงการฯ ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยให้ผู้เชี่ยวชาญผู้วิเคราะห์โครงการฯ ให้ความเห็นอีกครั้ง
5) เปรียบเทียบการใช้เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้ากับเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะความคุ้มค่าของเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์กับเทคโนโลยีอื่นๆ
6) แสดงรายละเอียดของส่วนประกอบของระบบผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์ และควรเขียนแสดงเป็น Block diagram และอธิบายถึงหน้าที่และขั้นตอนที่ใช้งานในระบบฯ ด้วย
7) เพิ่มแผนงานการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่โครงการฯ ก่อนเริ่มต้นทำงาน เพื่อป้องกันปัญหาการไม่ยอมรับโครงการฯ ที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง
8) เมื่อ กฟผ. ดำเนินการตามข้อ 1)-7)ได้ครบถ้วนแล้ว กฟผ. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ของอนุกรรมการฯ ด้วยอีก 6 ข้อ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ กฟผ. เพื่อปรับแผนงานตามมติของคณะอนุกรรมการฯ และ กฟผ. ได้มีหนังสือที่ กฟผ.B3403/32940 ลงวันที่ 27 กรกฎาคม 2543 เพื่อแจ้งผลการพิจารณาปรับแผนฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1) กฟผ. ได้ปรับแผนงานโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40)
2) กฟผ. ได้ปรับปรุงวิธีคำนวณค่าผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ โดยปรึกษากับ ผศ.ดร.ศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ และสรุปว่าค่าผลตอบแทนจากโครงการฯ จะเป็นดังนี้
กรณีที่ | พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ (kWh/kWp/Yr) |
EIRR | IRR |
1 | 1,300 | 6.83% | 5.13% |
2 | 1,400 | 7.58% | 6.01% |
3 | 1,500 | 8.30% | 6.85% |
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วเห็นว่า กฟผ. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุน กฟผ. ดำเนินโครงการในลักษณะสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ในวงเงิน 753,068,006 บาท (เจ็ดร้อยห้าสิบสามล้านหกหมื่นแปดพันหกบาทถ้วน)
2. กฟผ. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ กฟผ. เริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1
2) ให้ กฟผ. รายงานผลการทำงานในสภาพจริง ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของแม่ฮ่องสอนที่วัดได้จริงในช่วงการดำเนินงานระยะที่ 1 โดยเปรียบเทียบกับผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ทั้งทางด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ เพื่อเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ต่อไป
3) ให้ กฟผ. ศึกษาแนวทางหรือโอกาสที่จะใช้วัสดุอุปกรณ์ภายในประเทศในโครงการฯ ระยะที่ 2 และหากข้อเสนอดังกล่าวจำเป็นต้องให้ผู้ประกอบการในประเทศต้องมีการพัฒนาในด้านใด กฟผ. ควรจะมีการเตรียมแผนฯ ไว้ให้ล่วงหน้าด้วย
4) ให้ กฟผ. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในเรื่องแผนการดำเนินงานตามที่ได้แบ่งออกเป็น 2 ระยะ ทั้งในเรื่องขั้นตอน ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
3. หาก กฟผ. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟผ. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ กฟผ. เสนอมา โดยให้เริ่มโครงการแม่ฮ่องสอน 2 ที่มีขนาด 500 kW ก่อน ในระยะที่ 1 และให้ กฟผ. จำแนกค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ในระยะที่ 1 ให้ชัดเจน และนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
2. ให้ กฟผ. รายงานผลการทำงานในสภาพจริง ข้อมูลรังสีแสงอาทิตย์ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ได้วัดจริงในช่วงการดำเนินงานระยะที่ 1 โดยเปรียบเทียบกับผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ทั้งด้านเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาก่อนอนุมัติให้ดำเนินโครงการฯ ระยะต่อไป
เรื่องที่ 4 โครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ที่เสนอโดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และมีมติให้ กฟน. ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้มีความชัดเจนในประเด็นสำคัญ ดังนี้
1) เนื่องจากโครงการนี้มีผลตอบแทนด้านการเงินต่ำมาก กฟน. ควรทำการเปรียบเทียบการคำนวณผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์และการเงินของผู้เข้าร่วมโครงการฯ ในแต่ละกลุ่ม ระหว่างการติดตั้งอุปกรณ์ Capacitor ตามแนวทางที่ กฟน. เสนอมา กับการติดตั้งที่อุปกรณ์ไฟฟ้าหลัก เช่น มอเตอร์ ซึ่งคาดได้ว่าการติดตั้งที่อุปกรณ์ไฟฟ้าหลักจะให้ผลตอบแทนแก่ผู้ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น
2) กฟน. ควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนร่วมกับกองทุนฯ และผู้ใช้ไฟฟ้าด้วย
3) กฟน. ควรกำหนดเป้าหมายจำนวน Capacitor ที่จะดำเนินการติดตั้งในแต่ละช่วงเวลาของการดำเนินโครงการฯ ให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ในการสรรหาผู้ใช้ไฟฟ้าเข้าร่วมในโครงการฯ ให้ได้ครบตามเป้าหมายของโครงการฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
4) พิจารณากำหนดแนวทางในการติดตั้งอุปกรณ์ Capacitor โดยให้ผู้เข้าร่วมโครงการฯ สามารถตัดสินใจในการซื้ออุปกรณ์ฯ ได้เองในราคาที่ยุติธรรมและได้รับอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ ตลอดจนทำให้เกิดการแข่งขันตามกลไกการตลาดที่เป็นกลาง
5) ระบุแผนการประเมินผลให้ชัดเจน ข้อมูลที่จะจัดเก็บ วิธีการจัดเก็บ วิธีการประเมินผล และระบุให้ชัดเจนถึงขอบเขตความรับผิดชอบในการประเมินผลระหว่าง กฟน. และบริษัทที่ปรึกษาฯ พร้อมทั้งกำหนดดัชนีชี้วัดที่จะใช้ในการประเมินผลความสำเร็จของโครงการฯ ด้วย
6) เมื่อ กฟน. ดำเนินการตามข้อ 1)-5) ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ของคณะอนุกรรมการฯ ด้วยอีก 6 ข้อ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานงานกับ กฟน. เพื่อปรับแผนตามมติของคณะอนุกรรมการฯ และ กฟน. ได้มีหนังสือที่ มท 5226/2.256/43 ลงวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 เพื่อแจ้งการปรับแผนดังกล่าวแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2543 ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่า กฟน. ดำเนินการปรับปรุงในประเด็นหลักครบถ้วนแล้ว จึงเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ แต่เนื่องจาก กฟน. มีประสบการณ์สูงและชำนาญการในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นควรตัดวงเงินที่ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก จำนวน 10 ล้านบาท โดยที่ประชุมได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุน การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดำเนินโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ภายในวงเงิน 150,286,000 บาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านสองแสนแปดหมื่นหกพันบาทถ้วน)
2. กฟน. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ตัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก
2) ปรับปรุงรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
3) เพิ่มเติมรายละเอียด วิธีการ ขั้นตอนการสนับสนุนเงินกู้แก่ผู้ร่วมโครงการของ กฟน. โดยระบุให้ชัดเจนถึงเงื่อนไขในการให้กู้ เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติ ระยะเวลาการผ่อนชำระเงิน และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
3. หาก กฟน. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ ต่อไป
กฟน. ได้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ให้เป็นไปตามมติคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2543 เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดย กฟน. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 149,087,000 บาท ประกอบด้วย
รายการ | เดิม (บาท) | ใหม่ (บาท) |
1. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุน | 160,286,000 | 149,087,000 |
1.1 ค่าบริหารโครงการ | 11,920,000 | 721,000 |
- ค่าที่ปรึกษา |
10,000,000 |
- |
1.2 ค่าติดตั้ง Capacitor | 148,366,000 | 148,366,000 |
2. การไฟฟ้านครหลวง | 126,549,000 | 126,549,000 |
ค่าบริหาร -ค่าบริหารโครงการ |
75,120,000 |
75,120,000 |
3. ผู้ใช้ไฟฟ้า (ค่าติดตั้ง Capacitor) | 327,495,000 | 327,495,000 |
รวม | 614,330,000 | 603,131,000 |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับปรุงค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ของผู้ใช้ไฟฟ้า ภายในวงเงิน 149,087,000 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเก้าล้านแปดหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน)
2. ให้ กฟน. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ให้ตัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการฯ ออก
2) ปรับปรุงรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับวงเงินที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
3) เพิ่มเติมรายละเอียด วิธีการ ขั้นตอนการสนับสนุนเงินกู้แก่ผู้ร่วมโครงการของ กฟน. โดยระบุให้ชัดเจนถึงเงื่อนไขในการให้กู้ เช่น หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุมัติ ระยะเวลาการผ่อนชำระเงิน และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
3. หาก กฟน. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว กฟน. ต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) ด้วย
เรื่องที่ 5 โครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 แล้ว เห็นชอบในหลักการและมีมติให้ นายกุมโชค ใบแย้ม ดร.เทียนไชย จงพีร์เพียร และ รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ เป็นที่ปรึกษาร่วมวิเคราะห์โครงการฯ โดยให้ สพช. ทำแผนโดยละเอียดของโครงการฯ ก่อนให้ที่ปรึกษาวิเคราะห์
สพช. ได้จัดทำแผนของโครงการโดยละเอียดของโครงการฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยได้ปรับลดวงเงินที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ลงจาก 180 ล้านบาท คงเหลือเพียง 135 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากได้ลดจำนวนวันทำงานของที่ปรึกษาต่างประเทศในด้าน Market Rules ที่มีค่าจ้างสูงนั้นลง และเพิ่มบุคลากรของไทยให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการศึกษาครั้งนี้ด้วย เพื่อเป็นการเรียนรู้งานและถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้มากขึ้น โดยมีผลการวิเคราะห์โครงการฯ ของที่ปรึกษาฯ และฝ่ายเลขานุการฯ สรุปคะแนนรวมอยู่ในเกณฑ์สูง และการพิจารณาด้านความเสี่ยงทั้งในด้านเทคโนโลยี การดำเนินการ และองค์กรการบริหาร อยู่ในเกณฑ์ระดับต่ำ และฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 41) ที่ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติ ดังนี้
1. เห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 ที่เสนอโดย สพช. ในวงเงิน 135,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน)
2. เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาในโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
3. สพช. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) เพิ่มเติมรายละเอียดประมาณการค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาแต่ละรายการ
2) ไม่ควรกำหนดคุณสมบัติเฉพาะของที่ปรึกษาว่าจะต้องเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำงานด้านให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานในกิจการไฟฟ้าของประเทศไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญรายอื่นมีสิทธิในการยื่นข้อเสนอด้วย
3) เพิ่มเติมเกณฑ์ในการพิจารณาประเมินข้อเสนอด้านเทคนิคของที่ปรึกษาแต่ละราย
4) เพิ่มเติมแนวทางในการประสานการดำเนินงานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อให้การไฟฟ้าทั้ง 3 ฝ่ายได้รับทราบความก้าวหน้าของการดำเนินการศึกษา ทั้ง 3 รายการดังกล่าว
4. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 ในวงเงิน 135,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ สพช. ดำเนินการจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาในโครงการศึกษาเรื่องการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ระยะที่ 1 โดยยกเว้นการปฏิบัติตามนัยข้อ 75 และข้อ 76 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
เนื่องจากประธานมีภารกิจเร่งด่วนจึงทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมต่อไปได้ ประธานจึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ) ทำหน้าที่เป็นประธานฯ ในการประชุมแทน
เรื่องที่ 6 การขอรับการสนับสนุนโครงการระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้างของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 8/2542 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2542 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ในระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง ให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ในวงเงิน 861,451 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนการอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ มก. ทราบเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2543
มก. ได้มีหนังสือที่ ทม 0410/01861 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2543 เพื่อแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนกับ พพ. พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลว่าในระหว่างที่รอการพิจารณาการอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการฯ นั้น มก. ไม่มีสถานที่เรียนเพียงพอและมีความจำเป็นต้องใช้อาคารดังกล่าวเพื่อการเรียนการสอนให้ทันกับช่วงเปิดภาคการศึกษา มก. จึงได้นำเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยฯ ทดรองจ่ายไปในการปรับปรุงแบบฯ และลงทุนตามแบบฯ ก่อนที่คณะอนุกรรมการฯ จะอนุมัติให้เงินสนับสนุน โดย มก. คิดว่าหากได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว ก็จะนำเงินดังกล่าวส่งคืนให้กับมหาวิทยาลัยฯ
ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบไว้แล้วในการประชุม ครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ในส่วนของโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ในระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง และหลักเกณฑ์ที่จะให้การสนับสนุน ดังนี้
1) เงินช่วยเหลือให้เปล่าในการปรับปรุงแบบ แต่ทั้งนี้ไม่เกินรายละ 2,000,000 บาท โดยจ่ายเมื่อได้มีการปรับปรุงแบบฯ เสร็จแล้วและมีคุณภาพเป็นที่พอใจของ พพ.
2) เงินอุดหนุนในการลงทุนที่เพิ่มขึ้นตามแบบฯ ที่ปรับปรุงจากแบบเดิม โดยมีหลักเกณฑ์ในการให้การสนับสนุน โดยแบ่งการจ่ายเงินสนับสนุนการลงทุนเป็น 3 งวด คือ
งวดที่ 1 จ่ายเมื่อมีการนำส่งเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือวัสดุ 30% ของเงินอุดหนุนฯ
งวดที่ 2 จ่ายเมื่อมีการติดตั้งเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือวัสดุ 40% ของเงินอุดหนุนฯ
งวดที่ 3 จ่ายเมื่อพ้นระยะทดลองการใช้งานฯ แล้ว 30% ของเงินอุดหนุนฯ
การที่ มก. ดำเนินการไปก่อนที่จะได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นการดำเนินการผิดขั้นตอนและส่งผลให้เกิดปัญหาเบิกจ่ายเงินสนับสนุนแต่ละงวดที่กำหนดในหลักเกณฑ์ของกองทุนฯ ด้วย เพราะ พพ. ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบก่อนเบิกจ่ายเงินเป็นงวดๆ ได้ตามขั้นตอนปกติ พพ. จึงได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 11) เพื่อพิจารณา ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วได้มีมติ ดังนี้
1. อนุมัติให้ มก. ดำเนินการลงทุนและติดตั้งอุปกรณ์ก่อนได้รับการพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 ให้แก่ มก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ ในวงเงิน 861,451 บาท (แปดแสนหกหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) ตามที่ มก. ได้ดำเนินการลงทุนฯ และติดตั้งอุปกรณ์ไปแล้วก่อนได้รับการอนุมัติโครงการฯ
3. ให้ พพ. จ่ายเงินสนับสนุนดังกล่าว ให้แก่ มก. งวดเดียว เมื่อ พพ. ได้ตรวจสอบภายหลังระยะเวลาทดลองการใช้งานของอุปกรณ์แล้วได้ผลการอนุรักษ์พลังงานตามข้อเสนอโครงการฯ
มติที่ประชุม
1. รับทราบที่ มก. ได้ดำเนินการปรับปรุงแบบก่อสร้างสำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และลงทุนการอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ก่อนได้รับการพิจารณาอนุมัติสนับสนุนโครงการฯ จากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
2. เห็นชอบให้ พพ. เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 ให้ มก. ในวงเงิน 861,451 บาท (แปดแสนหกหมื่นหนึ่งพันสี่ร้อยห้าสิบเอ็ดบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้างและลงทุนอนุรักษ์พลังงาน ตามแบบฯ สำหรับอาคารคณะสังคมศาสตร์
3. เห็นชอบให้ พพ. จ่ายเงินสนับสนุนฯ ตามข้อ 2 ให้ มก. ในงวดเดียว หลังจากที่ พพ. ได้เห็นชอบในรายงานผลตรวจสอบการใช้งานของอุปกรณ์ที่ มก. ได้ลงทุนติดตั้งตามแบบดังกล่าวแล้ว
4. ให้ พพ. กำหนดมาตรการหรือเงื่อนไข เพื่อป้องกันมิให้มีการดำเนินการโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ดำเนินการไปก่อนที่จะได้รับการอนุมัติ
เรื่องที่ 7 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2543 ว่ามียอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในวงเงิน 14,347,638,202.16 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 21 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 7 สิงหาคม 2543
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้คัดเลือกให้ บริษัท มาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เป็นผู้ดำเนินการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และบริษัทฯ ได้จัดทำ TOR เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดจ้างหน่วยงานหรือองค์กรเอกชนที่เป็นอิสระหรือเป็นกลางให้เป็นผู้ทำการประเมินผลโครงการย่อยของแต่ละโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมประมาณ 33,400,000 บาท (สามสิบสามล้านสี่แสนบาทถ้วน) โดยคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2543 ได้เห็นชอบและมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการสรรหา ผู้ประเมินฯ ตามระเบียบราชการต่อไป
จากนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ศ.อัมมาร สยามวาลา ได้มีหนังสือที่ DS/2000/20 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2543 เพื่อขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ เนื่องจากมีภารกิจมาก ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในคณะอนุกรรมการฯ ได้เต็มที่ ซึ่งประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้รับทราบและมอบหมายให้ สพช. พิจารณาสรรหาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มาเป็นอนุกรรมการฯ แทนด้วย โดยขณะนี้ สพช. กำลังสรรหาผู้ที่เหมาะสมและเมื่อดำเนินการเรียบร้อยแล้ว จะได้นำเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้ง และจะรายงานที่ประชุมเพื่อทราบต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 10 รายงานความก้าวหน้าโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้าง AEA Technology plc ผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักร ให้มาดำเนินการศึกษาและวางแผน กำหนดรูปแบบวิธีการประกาศเชิญชวนและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอที่เหมาะสมของ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ สำหรับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยคาดว่าจะออกประกาศเชิญชวนได้ภายในเดือนกันยายน 2543 โดยให้ผู้สนใจลงทุนยื่นข้อเสนอภายใน 3 เดือน และจะประกาศผลการคัดเลือกเสร็จสิ้นได้ภายในเดือนมีนาคม 2544
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 38) เมื่อวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการจัดทำประกาศเกี่ยวกับโครงการฯ โดยมีข้อความที่ชัดเจนในเรื่องสิทธิของการเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งเมื่อ สพช. ออกประกาศเชิญชวนแล้ว ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ที่ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟกับการไฟฟ้าฯ ไว้ก่อนหน้าวันที่ออกประกาศฉบับนี้ ไม่มีสิทธิในการเข้าร่วมโครงการฯ ครั้งนี้ นอกเสียจากว่าจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้ สพช. ออกประกาศเชิญชวนและคัดเลือกข้อเสนอภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และให้ สพช. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบด้วย
2. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเสนอร่างประกาศเชิญชวนและจัดทำแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณาข้อเสนอของผู้สนใจลงทุน รวมถึงดำเนินการคัดเลือกข้อเสนอดังกล่าวเพื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยคณะทำงานประกอบด้วย ผู้แทนกองการไฟฟ้า และผู้แทนกองอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน จาก สพช. ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ผู้แทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และผู้ทรงคุณวุฒิอีก 3 ท่าน โดยให้ สพช. จัดทำคำสั่งแต่งตั้งและเสนอประธานคณะอนุกรรมการฯ เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง และเสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
ประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้ลงนามในคำสั่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ที่ 1/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และ สพช. ได้เสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบแล้ว และ สพช. ได้จัดทำประกาศเชิญชวนและคัดเลือกข้อเสนอภายใต้โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบแล้ว และได้แจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 11 การดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2543
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามมติของ กพช. ในมาตรการประหยัดน้ำมันดังกล่าว ในส่วนที่ได้มีการดำเนินงานไปแล้วดังนี้
1. การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ SME
1.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้อนุมัติเงินให้การสนับสนุน 3 หน่วยงาน ไปดำเนินโครงการนำร่องเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการช่วยเหลืออุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมในการลดต้นทุนการผลิตด้านพลังงานลง ได้แก่
(1) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ใช้เทคนิค Value Engineering เป็นมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งสภาฯ จะทำโครงการนำร่องก่อน 35 โรงงาน คาดว่าโครงการจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนธันวาคม 2543
(2) กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) จะใช้วิธีเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพพลังงาน โดย พพ. จะดำเนินโครงการนำร่องก่อน จำนวน 20 โรงงาน ด้วยการสนับสนุนจะให้เงินช่วยเหลือเท่ากับ 30% ของราคามาตรฐานของ วัสดุ อุปกรณ์ที่โรงงานต้องการคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนมิถุนายน 2544
(3) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ซึ่งจะดำเนินงานร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในลักษณะการตรวจสอบการใช้พลังงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในโรงงาน โดยมีเป้าหมายจะทำโครงการนำร่องไว้ 100 ราย คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในเดือนสิงหาคม 2544
1.2 กสอ. ได้มีหนังสือที่ อก 0615/1265 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. จำนวน 3 โครงการ เป็นวงเงินรวม 258,447,440 บาท (สองร้อยห้าสิบแปดล้านสี่แสนสี่หมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน) ประกอบด้วย
(1) โครงการลดต้นทุนอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อม และสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SME- ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) ขอรับการสนับสนุน 66,000,000 บาท (หกสิบหกล้านบาทถ้วน)
(2) โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหาร การจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขอรับการสนับสนุน 141,269,440 บาท (หนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดล้านสองแสนหกหมื่นเก้าพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน)
(3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขอรับการสนับสนุน 51,178,000 บาท (ห้าสิบเอ็ดล้านหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นแปดพันบาทถ้วน)
1.3 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้มีหนังสือที่ อก 0143/4761 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. จำนวน 2 โครงการ เป็นวงเงินรวม 460,000,000 บาท (สี่ร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน) ประกอบด้วย
(1) โครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม ขอรับการสนับสนุน 300,000,000 ล้านบาท (สามร้อยล้านบาทถ้วน)
(2) โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อนำพลังงานที่เหลือทิ้งมาใช้ประโยชน์ในโรงงานอุตสาหกรรม ขอรับการสนับสนุน 160,000,000 ล้านบาท (หนึ่งร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน)
เมื่อ สพช. ได้รับข้อเสนอทั้ง 5 โครงการ จากทั้ง 2 หน่วยงานในสังกัดของกระทรวง อุตสาหกรรมแล้ว สพช. ได้เร่งดำเนินการพิจารณานำข้อเสนอโครงการเบื้องต้นเข้าสู่การพิจารณาของ คณะผู้เชี่ยวชาญกลั่นกรองโครงการแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 แต่เนื่องจากคณะผู้เชี่ยวชาญไม่สามารถพิจารณาได้ทัน จึงได้เลื่อนการพิจารณาเป็นการประชุมครั้งต่อไปประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 แต่ที่ประชุมได้ให้ความเห็นไว้ในเบื้องต้น ดังนี้
(1) โครงการลดต้นทุนอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อม และสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SME- ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) และโครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อนำพลังงานที่เหลือทิ้งมาใช้ประโยชน์ในโรงงานอุตสาหกรรมของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เสนอเข้ามามีความซ้ำซ้อนกันและมีลักษณะเดียวกับ โครงการลดต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ที่ กสอ. ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และกำลังเริ่มดำเนินงานอยู่ ดังนั้นเพื่อลดความซ้ำซ้อนของการทำงานและอาจก่อให้เกิดความสับสนต่อผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ สพช. จึงได้แจ้งให้ ผู้รับผิดชอบโครงการของทั้งสองหน่วยงานให้มีการประสานงานและร่วมกันพิจารณาในแนวทางดำเนินงานให้ชัดเจนก่อน แล้วจัดทำข้อเสนอมายัง สพช. ใหม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานได้มีการประชุมร่วมกันแล้ว แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน
(2) สพช. จะได้นำข้อเสนอโครงการเบื้องต้นของทั้งสองหน่วยงานเข้าสู่การพิจารณาของคณะผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง ในการประชุมประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 และ สพช. จะได้นำเสนอคณะอนุกรรมการฯพิจารณา ตามขั้นตอนต่อไป
สพช. ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานสนับสนุนโครงการภายใต้สังกัดกระทรวง อุตสาหกรรมตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นดังกล่าว เสนอประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบไว้ชั้นหนึ่งแล้ว
2. โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงาน
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงานไปแล้ว จะสามารถเริ่มโครงการได้ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะตั้งศูนย์บริการตามสถานที่ราชการเพื่อให้บริการ Tune-up แก่รถยนต์ของส่วนราชการ รวมทั้งตั้งศูนย์บริการ Tune-up ให้แก่ประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก คาดว่าจะสามารถ Tune-up แก่รถยนต์ได้ประมาณ 17,000 คัน ในระยะเวลา 6 เดือน โดยใช้งบประมาณ 7,518,600 บาท
ปตท. ได้ยื่นข้อเสนอโครงการระยะที่ 2 ซึ่งจะสามารถขยายการให้บริการ Tune-up ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด คาดว่าจะสามารถ Tune-up รถยนต์ได้ประมาณ 49,000 คัน ในระยะเวลา 3 ปี โดยใช้งบประมาณ 24,323,000 บาท
3. โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด
กรมควบคุมมลพิษ ได้มีหนังสือด่วน ที่ วว 0303/4684 ลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2543 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามมติ กพช. ในโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทางไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยกรมควบคุมมลพิษ จะร่วมกับและองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเป็นระบบรถไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Buses) ซึ่ง สพช. จะได้เร่งพิจารณาแผนเบื้องต้นของโครงการฯ และนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 3/2537 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ลงวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2537 และคำสั่งที่ 1/2541 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ลงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2541โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นประธานคณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 2 คณะ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการ สพช. ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 อันเป็นผลให้พ้นจากตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ แต่เนื่องจาก นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องนโยบายและแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นอย่างดี สพช. ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน จึงได้มีหนังสือถึงรองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อขอเสนอให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือและคณะอนุกรรมการ กำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพิ่มเติม
ประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ลงนามในคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 2/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือเพิ่มเติม และคำสั่งที่ 3/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพิ่มเติม โดยให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะดังกล่าว เพิ่มเติม
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และเห็นชอบในคำสั่งแต่งดังกล่าว
ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานร่วมกับ World Bank ในการให้การสนับสนุนด้านการเงินและผู้เชี่ยวชาญ โดยการคัดเลือกบริษัท ESCO จำนวน 4 ราย เพื่อเข้าร่วมโครงการนำร่องฯ โดยสนับสนุนด้านการเงินในการพัฒนาโครงการซึ่งรวมถึงการทำการตลาดหาลูกค้า การจัดทำการวิเคราะห์การใช้พลังงานและแผนการลงทุน (Investment Grade Audits, IGA) โดยได้เงินช่วยเหลือจาก WB/GEF เป็นเงินทั้งสิ้น 600,000 เหรียญสหรัฐ (บริษัท ESCO ได้รับเงินช่วยเหลือนี้ รายละ 150,000 เหรียญสหรัฐ) ซึ่ง กฝผ. ได้คัดเลือกบริษัท ESCO 4 ราย และโรงงานที่เข้าร่วมโครงการอีก 4 ราย แล้ว ดังนี้
ลูกค้า | ประเภทกิจการ | บริษัท ESCO |
1. Betagro Group | Food Processing | E&EI |
2. GSS/ArrayTechnology Public Co., Ltd. | Electronics Manufacturing | Honeywell |
3. Bangkok Produce Merchandising Public Co., Ltd (a division of CP Group) |
Food Processing | EEI |
4. Kimberly-Clark Thailand (KCT) | Paper Products | EMC-EPS |
การจัดทำรายงาน IGA ของทั้ง 4 ราย ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นเมื่อปลายปี 2542 และ กฟผ. ได้นำเสนอแผนการลงทุนและการเป็นตัวแทนบริหารงานโครงการนำร่องฯ เพื่อขอการสนับสนุนจากกองทุนฯ ผ่านคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุม ครั้งที่ 6/2542 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2542 ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้คณะทำงานเพื่อพิจารณาการจัดทำหลักเกณฑ์การให้เงินทุนหมุนเวียนในแผนงานภาคบังคับ นำโครงการนำร่องของ กฟผ. ไปศึกษารายละเอียด ซึ่งคณะทำงานฯ ได้พิจารณาข้อเสนอโครงการนำร่องของ กฟผ. แล้วจึงนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2542 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2542 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการดังนี้
1) แนวทางการดำเนินโครงการนำร่องฯ ต้องสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
2) ให้ พพ. และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาในรายละเอียดของ IGA ที่ กฟผ. ว่าจ้าง ESCO ดำเนินการพร้อมรายละเอียดแนวทางการดำเนินงานการลงทุนในมาตรการอนุรักษ์พลังงาน ภาระความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายของโครงการนำร่องฯ เป็นต้น
3) หากการดำเนินงานโครงการนำร่องฯ ขัดกับหลักเกณฑ์หรือระเบียบกองทุนฯ ก็ให้มีการศึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอมติยกเว้นจากคณะกรรมการกองทุนฯ
สำหรับการจัดทำข้อเสนอโครงการนำร่องฯ กฟผ เป็นผู้จัดทำซึ่งประกอบด้วย ด้านเทคนิค ด้านบริหารจัดการ ด้านการเงิน โดยในด้านการเงินนั้นควรให้ธนาคารพาณิชย์เข้ามามีบทบาท ทั้งนี้ กฟผ. จะต้องทำรายละเอียดเปรียบเทียบการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ระหว่างรูปแบบปัจจุบัน กับรูปแบบที่นำเสนอในโครงการนำร่องฯ เพื่อเป็นข้อมูลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อดี ข้อเสีย ของโครงการต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กอ. ครั้งที่ 21 - วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2543
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2543 (ครั้งที่ 21)
วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมตึกสันติไมตรีหลังใน ทำเนียบรัฐบาล
1. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
2. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
5. ขออนุมัติโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
8. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
9. รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
รองนายกรัฐมนตรี (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (นายเกรียงกร เพชรบุตร) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวไปดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ จึงทำให้พ้นจากการเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับด้วย ดังนั้นเพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ สามารถดำเนินงานต่อไป คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2543 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันพุธที่ 2 สิงหาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ. เป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้มีมติอนุมัติงบประมาณเพื่อการประชาสัมพันธ์ให้ สพช. ดำเนินการในหัวข้อเรื่อง บ้านประหยัดพลังงาน ในปี 2543 ในวงเงิน 150 ล้านบาท และคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19) ได้อนุมัติวงเงินงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับปีงบประมาณ 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินตามค่าออกเทนที่เหมาะสมและการใช้น้ำมันอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเงิน 30 ล้านบาท รวมงบประมาณที่ได้รับการอนุมัติในปีงบประมาณ 2543 ทั้งสิ้น 180 ล้านบาท
สพช. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2543 ไปแล้ว 44 กิจกรรม รวมเป็นจำนวนเงิน 179,998,968.63 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ 1,031.37 บาท นอกจากนี้ สพช. ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเป็นแกนหลักในการรณรงค์ "22 กันยา จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน" หรือวัน Car Free Day พร้อมกับประเทศในยุโรป โดยถือเป็นกิจกรรมเร่งด่วนเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันประหยัดน้ำมันในการเดินทางด้วยการลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ได้มีมติให้มีการรณรงค์ด้านการประหยัดน้ำมันอย่างต่อเนื่อง และเห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง เพื่อกำหนดแผนการรณรงค์ฯ กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนฯ ประสานการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประเมินผลการดำเนินงาน และรายงานผลการปฏิบัติงานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอรายงานการประเมินผลโดยละเอียดต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2543 เพื่อพิจารณา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่าโครงการรวมพลังหาร 2 ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการประชาสัมพันธ์ในระดับที่ดี และเห็นควรให้ สพช. ดำเนินการประชาสัมพันธ์ในปี 2544 ต่อไป
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 73) เมื่อวันพุธที่ 1 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ซึ่งมีประเด็นหลักคือ การรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง แล้ว มีมติเห็นชอบในหลักการ โดยมีข้อสังเกตให้ดำเนินกิจกรรมที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงตามสภาพของสังคมไทยในพื้นที่ต่างๆ และขอให้สานต่อการประชาสัมพันธ์ในประเด็นที่ได้เคยรณรงค์เอาไว้แล้วเพื่อเป็นการตอกย้ำ และกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
สพช. ได้จัดทำแผนการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปี 2544 ตามข้อเสนอของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา สรุปได้ดังนี้
สพช. เห็นควรให้ใช้แนวคิด "ปีรณรงค์จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน" ในปีงบประมาณ 2544 เพื่อเป็นการขยายผลสำเร็จของการรณรงค์วัน Car Free Day เมื่อวันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2543 โดยมีรายละเอียดของแผนงานภายใต้แนวคิดหลัก คือ ปีรณรงค์จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ดังนี้
1) ทำการรณรงค์และเผยแพร่ความรู้เรื่องการประหยัดน้ำมันด้วยวิธีการต่างๆ ตลอดทั้งปี โดยจะมีการเน้นวิธีการประหยัดน้ำมันหลักในทุก 2 เดือน ผ่านการประชาสัมพันธ์ทางสื่อต่างๆ และกิจกรรมรณรงค์
2) กำหนดทุกวันที่ 22 ของทุกเดือน เป็นวัน Car Free Day
3) กิจกรรมเสริมอื่นๆ ได้แก่ สารคดีโทรทัศน์เรื่องการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง การพัฒนา Web pages อนุรักษ์พลังงาน กิจกรรมพิเศษ การปรับปรุงและพัฒนานิทรรศการเปิดโลกพลังงานและศูนย์นิทัศน์พลังงานเพื่ออนาคต ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 และชมรมขบวนการหาร 2
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
2. อนุมัติงบประมาณในวงเงิน 150 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรม ตามแผนปฏิบัติการ ตามที่คณะอนุกรรมการฯ เสนอมา
3. เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินเกิน 10 ล้านบาท
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2540 ได้มีมติอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ระยะที่ 2) ตลอดระยะเวลาโครงการฯ 5 ปี ในวงเงินรวม 101,322,980 บาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอผลการดำเนินการตามโครงการฯ เมื่อดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
สพช. ได้จ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อประเมินผลการดำเนินงาน ที่ผ่านมาของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ฯ ซึ่งจากร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ มจธ. ได้ประเมินประสิทธิภาพของระบบก๊าซชีวภาพของฟาร์มขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ ฟาร์มไทย-เดนมาร์ค และเอส.พี.เอ็ม ฟาร์ม ซึ่งทั้ง 2 ฟาร์ม มีขนาดระบบ 2,000 ลบ.ม. สรุปได้ดังนี้
1) ก๊าซชีวภาพที่ได้มีปริมาณ 700-900 ลบ.ม./วัน ซึ่งมีค่าน้อยกว่าที่คาดไว้คือ 1,000 ลบ.ม./วัน เนื่องจากการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพของฟาร์ม จึงทำให้ปริมาณน้ำเสียที่ไหลเข้าระบบมีน้อยเกินไป สำหรับก๊าซที่ผลิตได้ในฟาร์มไทย-เดนมาร์ค ได้นำไปใช้เป็นพลังงานความร้อนในการกกลูกหมูทั้งหมด ส่วนก๊าซที่ผลิตได้ใน เอส.พี.เอ็ม ฟาร์ม ได้นำไปใช้เพียงครึ่งหนึ่งเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใช้ในฟาร์ม ส่วนที่เหลือต้องปล่อยทิ้ง เพราะเป็นฟาร์มหมูขุนจึงไม่ต้องการใช้ความร้อนในการกกลูกหมู
2) จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุน พบว่า ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างระบบของฟาร์มทั้ง 6 แห่งที่เข้าร่วมโครงการมีราคาเฉลี่ย 3,500-4,500 บาท/ลบ.ม.ของระบบ สูงกว่าราคาค่าก่อสร้าง ที่ มช. ประเมินไว้ ที่ 2,400 บาท/ลบ.ม โดยเป็นผลจากค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปีที่ดำเนินการก่อสร้างระบบฯ ดังกล่าว
3) มจธ. ได้ประเมินระบบก๊าซชีวภาพโดยใช้แบบสอบถามจำนวน 6 ฟาร์ม พบว่า ฟาร์ม ทั้ง 6 แห่ง เห็นว่าโครงการมีประโยชน์ควรทำการส่งเสริมต่อไป โดย มจธ. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะให้ สพช. สนับสนุนให้มีการวิจัย พัฒนารูปแบบ และองค์ประกอบของระบบก๊าซชีวภาพที่ใช้ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ตลอดจนการศึกษาระบบผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมจากของเสียชนิดอื่นด้วย
มช. ได้ดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 มาครบ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมโครงการฯ ถึง 46,000 ลบ.ม. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 6,000 ลบ.ม. และทำให้เงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ไม่พอเพียง มช. จึงได้มีหนังสือที่ ทม 0619/9586 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2543 เพื่อขอรับเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 6,768,000 บาท ทั้งนี้ มช. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ มช. ขยายเป้าหมายจาก 40,000 ลบ.ม. เป็น 46,000 ลบ.ม. และเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนในส่วนผู้ร่วมโครงการฯ (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 6,768,000 บาท (หกล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ มช. ขยายเป้าหมายการดำเนินโครงการฯ จากเดิม 40,000 ลบ.ม. เป็น 46,000 ลบ.ม. และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ (ระยะที่ 2) ในส่วนผู้ร่วมโครงการฯ เพิ่มเติม ในวงเงิน 6,768,000 บาท (หกล้านเจ็ดแสนหกหมื่นแปดพันบาทถ้วน)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2541 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2541 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ตลอดระยะเวลาโครงการฯ 4.5 ปี ในวงเงิน 55,480,000 บาท โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการฯ แต่ละปี และเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณา ก่อนเบิกจ่ายเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ในปีถัดไป
สพช. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ที่ผ่านมา ซึ่งจากร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ มจธ. ได้ประเมินประสิทธิภาพของระบบฯ โดยการสำรวจภาคสนามในฟาร์ม 12 แห่ง และใช้แบบสอบถามทางไปรษณีย์และถามตรง จำนวน 130 ราย แล้วนำมาสรุปผลได้ดังนี้
1) มจธ. ได้ตรวจวัดปริมาณก๊าซที่เกิดขึ้นในบ่อก๊าซชีวภาพของเกษตรกร 12 ราย พบว่า ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีปริมาณ 30%-250% ของปริมาณก๊าซที่ กสก. กำหนดในระบบฯ แต่ละขนาด โดยค่าที่แตกต่างดังกล่าวเป็นผลจากการดูแลระบบของเกษตรกรในการป้อนมูลสัตว์สู่ระบบและการรักษาสภาพบ่อหมัก
2) ผลจากการสำรวจข้อมูลจากเกษตรกรจำนวน 130 ราย พบว่า เกษตรกรจะใช้ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ทดแทนการใช้ก๊าซหุงต้ม 116 ราย ใช้ทดแทนถ่านหุงต้ม 38 ราย และใช้ทดแทนไฟฟ้า 21 ราย
3) การวิเคราะห์ผลตอบแทนการลงทุนในฟาร์มที่สำรวจทั้ง 12 แห่ง พบว่า บ่อก๊าซชีวภาพขนาดเล็ก (ขนาด 12 ขนาด 16 และ 30 ลบ.ม.) จะมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก คือ ในกรณีที่ไม่มีเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) อยู่ที่ระดับ 2-7% และหลังจากที่มีเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วทำให้ FIRR อยู่ที่ระดับ 7-28%
สำหรับบ่อขนาดใหญ่ (ขนาด 50 และ 100 ลบ.ม.) จะไม่มีความคุ้มค่าในการลงทุนเลยแม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยเป็นผลจากการที่ก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้มีปริมาณมาก แต่เกษตรกรเจ้าของบ่อไม่สามารถนำก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า และประกอบกับราคาค่าก่อสร้างจริงของบ่อก๊าซชีวภาพ ในระยะที่ 1 มีราคาสูงกว่าที่ กสก. ประเมินมาก ซึ่ง กสก. ได้ปรับราคากลางของระบบขนาดใหญ่ให้ถูกต้องแล้วในโครงการฯ ระยะที่ 2
4) มจธ. ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่จะให้ สพช. สนับสนุนให้มีการวิจัย พัฒนาชนิดรูปแบบ และองค์ประกอบของระบบก๊าซชีวภาพให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และควรสนับสนุนให้มีการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ก๊าซชีวภาพอย่างแพร่หลายด้วย เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถนำก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด
กสก. ได้ดำเนินโครงการฯ ครบ 2 ปีแล้ว ปรากฏว่ามีเกษตรกรที่แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 939 ราย คิดเป็นปริมาตรรวม 38,216 ลบ.ม. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 11,966 ลบ.ม. และทำให้เงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ไม่พอเพียง กสก. จึงได้ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ เพิ่มเติมอีกใน วงเงิน 8,821,300 บาท โดย กสก. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติม ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าว เสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2543 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ กสก. ขยายเป้าหมายตามที่เสนอมา และเห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนโครงการฯ ในส่วนผู้ร่วมโครงการ (เพิ่มเติม) ในวงเงิน 8,821,300 บาท (แปดล้านแปดแสนสองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กสก. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพ ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนสนับสนุนผู้ร่วมโครงการ เพิ่มเติม ในวงเงิน 8,821,300 บาท (แปดล้านแปดแสนสองหมื่นหนึ่งพันสามร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติให้ กสก. ปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ในการโอนเปลี่ยนแปลงรายการค่าใช้จ่ายและการปรับเพิ่ม/ลดกิจกรรมในโครงการฯ บางรายการลง ตามที่ กสก. เสนอ
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วท.) ได้เสนอโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในประชุม ครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานกล จากคุณสมบัติดังกล่าวทำให้มอเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญในขบวนการผลิตไม่ว่าจะในภาคอุตสาหกรรมซึ่งมีการใช้พลังงานจากมอเตอร์ถึงมากกว่า 70% ภาคเกษตรกรรม แม้กระทั่งในภาคที่อยู่อาศัยก็มีการใช้มอเตอร์เป็นส่วนหนึ่งในอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ เช่น พัดลม เครื่องปรับอากาศ วิทยุเทป เป็นต้น
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)ได้เสนอร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำของเครื่องใช้ไฟฟ้าและผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 77) แล้ว โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่จะต้องมีการกำหนดบังคับใช้มาตรฐานดังกล่าวด้วย ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) จะเป็นหน่วยงานที่รับไปดำเนินการออกเป็นพระราชกฤษฎีกาเพื่อบังคับใช้ต่อไป
เพื่อตอบสนองความต้องการห้องปฏิบัติการทดสอบมอเตอร์ที่สามารถตรวจวัดมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงาน ได้เทียบเท่ากับห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศ และเพื่อรองรับโครงการที่จะส่งเสริมให้มีการใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูงในประเทศไทยของหน่วยงานต่างๆ วท. จึงได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบมอเตอร์ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงขึ้นในประเทศไทย โดยจะเลือกใช้มาตรฐานวิธีการทดสอบของ IEEE 112-Method B ของสถาบัน IEEE (The Institute of Electrical and Electronic Engineering, Inc) ซึ่งเป็นวิธีที่มีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ซึ่งห้องปฏิบัติการฯ ที่จัดตั้งขึ้นนี้จะมีมาตรฐานการตรวจวัดการควบคุมที่ระดับมาตรฐานสากล ในเบื้องต้นสามารถทดสอบหาค่าประสิทธิภาพของมอเตอร์ตั้งแต่ขนาด 1 แรงม้า ถึง 10 แรงม้า โดยมีความสามารถในทดสอบมอเตอร์ได้ไม่น้อยกว่า 630 เครื่องต่อปี ต่อจากนั้นจะขยายขีดความสามารถของห้องปฏิบัติการฯ ให้สามารถทดสอบมอเตอร์ได้ถึงขนาด 30 แรงม้า ในระยะต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้ วท. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมการผลิตมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 99,500,000 บาท (เก้าสิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน)
2. ก่อนให้การสนับสนุนโครงการฯ วท. จะต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) กำหนดแผนการปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ได้รับการรับรองตาม ISO Guide 25 เพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล ซึ่งจะสามารถรองรับการเทียบเคียงกับต่างประเทศได้ในอนาคต
2) เพิ่มเติมแนวทางการร่วมมือกับห้องปฏิบัติการและนักวิชาการอื่นทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ
3) เพิ่มเติมแผนการประเมินผลโครงการฯ โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้ชัดเจน
4) ปรับลดค่าใช้จ่ายบางรายการในหมวดค่าใช้สอยและสาธารณูปโภคลง เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าอุปกรณ์และวัสดุสำนักงาน
5) ปรับลดค่าฝึกอบรมลง เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญที่ทางโครงการจ้างไว้ให้การฝึกอบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยีแล้ว
6) ระบุแนวทางในการคิดอัตราค่าบริการทดสอบมอเตอร์ ที่จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการ แต่ละครั้งให้ชัดเจน
3. หาก วท. สามารถดำเนินการตามข้อ 2 ได้ครบถ้วนแล้ว วท. จะต้องดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามมติคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 44 ) ด้วย
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ในปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 145 ล้านบาท ทั้งนี้ โดยให้ พพ. ดำเนินการรับข้อเสนอการขอรับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2543 นั้น
การดำเนินงานที่ผ่านมา มีอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม 2543 จำนวน 23 ราย โดยมีผู้เสนอรายละเอียดข้อเสนอโครงการทางด้านเทคนิคและด้านการเงิน ให้ พพ. พิจารณา จำนวน 8 ราย ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้อนุมัติวงเงินสนับสนุนไปแล้ว จำนวน 5 ราย ในวงเงิน 6,446,277 บาท ส่วนที่เหลืออีก 3 ราย พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้การสนับสนุนฯ ในวงเงิน 4,164,718 บาท แต่ พพ. ไม่สามารถนำเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติวงเงินได้ทันในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งมีรายละเอียดโดยสรุป ดังนี้
1) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้มีหนังสือที่ มท 5311.1/061 ลงวันที่ 12 ตุลาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนปรับปรุงระบบแสงสว่างตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 370,965.90 บาท สำหรับอาคารสำนักงานกลางหลังใหม่ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ เพื่อใช้เป็นอาคารเอนกประสงค์ 24 ชั้น ซึ่งเป็นอาคารควบคุม พพ. ได้พิจารณาและวิเคราะห์รายละเอียดเอกสารประกอบการขอรับการสนับสนุนฯ โดยใช้ราคากลางและคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ประหยัดพลังงานที่ใช้ในการดำเนินงานของโครงการอาคารของรัฐ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 12) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2543 เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาให้วงเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยมีผลการวิเคราะห์ฯ ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดจึงเห็นควรให้การสนับสนุนเงินลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 296,420 บาท
2) โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้มีหนังสือที่ กห 0447/03087 ลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้าง ในวงเงิน 966,000 บาท ค่าควบคุมการติดตั้ง ในวงเงิน 200,000 บาท และลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ในวงเงิน 23,336,272 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 24,502,272 บาท สำหรับอาคารตรวจและรักษาโรคเอนกประสงค์ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุม พพ. ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ แล้วเห็นว่ามีเพียงมาตรการการใช้มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ที่ควรได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เนื่องจากมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานดีขึ้นกว่าแบบเดิม และมีผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์เกินกว่าร้อยละ 9 จึงเห็นควรให้การสนับสนุนเงินในการปรับปรุง แบบก่อสร้างฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ของมาตรการดังกล่าว ในวงเงิน 984,454 บาท
3) โรงพยาบาลอุดรธานี ได้มีหนังสือที่ อด 0033.1/11126 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2542 ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบก่อสร้าง ในวงเงิน 973,700 บาท และลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 8,709,900.50 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,683,600.50 บาท สำหรับอาคารผู้ป่วยนอกหลังใหม่ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งอยู่ในข่ายอาคารควบคุม พพ. ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ ตามหลักเกณฑ์ฯ แล้ว และเห็นสมควรให้การสนับสนุนแก่โรงพยาบาลอุดรธานีในการปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ และลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เพียง 3 มาตรการ ในวงเงิน 2,883,844 บาท
พพ. ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติโอนเงินค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการนี้ ในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งยังคงเหลืออยู่ 138,553,723 บาท ให้ พพ. นำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนฯ ให้อาคารควบคุมทั้ง 3 แห่ง ดังกล่าว คือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าและโรงพยาบาลอุดรธานี รวมเป็นเงิน 4,164,718 บาท โดยมีเงื่อนไขว่า หากอาคารควบคุมใดได้ลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานในมาตรการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ก่อนได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วให้ยกเลิกการสนับสนุนการลงทุนสำหรับมาตรการนั้นให้แก่อาคารดังกล่าว
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้วเห็นว่า เพื่อให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงมีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ปีงบประมาณ 2543 จำนวน 4,164,718 บาท (สี่ล้านหนึ่งแสนหกหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยสิบแปดบาทถ้วน) เพื่อใช้เป็นเงินสนับสนุนในการปรับปรุงแบบฯ และการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในปีงบประมาณ 2544
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแบบฯ และลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ดำเนินการ ในปีงบประมาณ 2544 ดังนี้
2.1 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในวงเงิน 296,420 บาท (สองแสนเก้าหมื่นหกพันสี่ร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2.2 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในวงเงินทั้งสิ้น 984,454 บาท (เก้าแสนแปดหมื่นสี่พันสี่ร้อยห้าสิบสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังนี้
(1) การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ ในวงเงิน 62,114 บาท ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและดำเนินการอื่นๆ เป็นเงิน 45,425 บาท
การปรับปรุงแบบก่อสร้าง เป็นเงิน 16,689 บาท
(2) การลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ โดยการเปลี่ยนใช้มอเตอร์ ประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 922,340 บาท
2.3 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับโรงพยาบาลอุดรธานี ในวงเงินทั้งสิ้น 2,883,844 บาท (สองล้านแปดแสนแปดหมื่นสามพันแปดร้อยสี่สิบสี่บาทถ้วน) สำหรับเป็นค่าใช้จ่าย ดังนี้
(1) การปรับปรุงแบบก่อสร้างฯ ในวงเงิน 146,645 บาท ประกอบด้วย
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานและดำเนินการอื่นๆ เป็นเงิน 114,600 บาท
การปรับปรุงแบบก่อสร้าง เป็นเงิน 32,045 บาท
(2) การลงทุนตามแบบฯ ที่ปรับปรุงใหม่ ในวงเงิน 2,737,199 บาท โดยจำแนกเป็นรายมาตรการ ดังนี้
การเปลี่ยนใช้โคมสะท้อนแสง ในวงเงิน 1,072,289 บาท
การเปลี่ยนใช้บัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์ ในวงเงิน 1,058,292 บาท
การเปลี่ยนใช้เครื่องปรับอากาศประสิทธิภาพสูง ในวงเงิน 606,618 บาท
3. หากหน่วยงานที่ขอรับการสนับสนุนฯ ตามข้อ 2 ได้ดำเนินการลงทุนอนุรักษ์พลังงานในมาตรการที่ยื่นขอรับการสนับสนุนฯ ก่อนที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติวงเงิน หน่วยงานนั้นๆ จะไม่ได้รับเงินสนับสนุนฯ ในมาตรการที่ได้ลงทุนไปก่อนแล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2541และรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 14,491,790,196.69 บาท
มติที่ประชุม
รับทราบงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2541 และรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543
เรื่องที่ 8 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความก้าวหน้าของแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ได้จัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุน โครงการต่างๆ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2542 จนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2543 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,238.96 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 1
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้ดำเนินงานในกิจกรรมต่างๆ ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจึงมอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำการประเมินผลการดำเนินงานโครงการฯ ทั้งทางด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการฯ รวมถึงให้เสนอทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการฯ เพื่อนำไปใช้พัฒนาปรับปรุงการดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป
สพช. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี (มจธ.) เป็นที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานตามโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โดยใช้เงินกองทุนฯ โครงการบริหารงานตาม พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542 ในวงเงิน 7,485,000 บาท (เจ็ดล้านสี่แสนแปดหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยกำหนดระยะเวลาการดำเนินงาน 10 เดือน นับจากเดือนตุลาคม 2542 ซึ่งสถาบันวิจัยพลังงานฯ ได้นำเสนอร่างรายงานฉบับสมบูรณ์ ให้ สพช. แล้ว
สพช. ได้เสนอการประเมินผลโครงการฯ ให้คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 4/2543 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 4 ตุลาคม 2543 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานของโครงการฯ ในระยะต่อไป เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินโครงการฯ ในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1) ที่ปรึกษาตรวจสอบ (Accredited Consultants : AC) จะต้องเป็นผู้ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกับที่ปรึกษาด้านพลังงาน (Registered Consultants : RC)
2) กำหนด Rating RC/AC และทำการทดสอบ RC/AC ทุกราย เป็นประจำทุกปี หาก RC/AC รายใดมีคุณภาพไม่ผ่านเกณฑ์ก็ให้มีการถอดถอน RC/AC รายนั้น
3) สร้างระบบสุ่มตรวจ แทนที่จะตรวจซ้ำงานที่ AC ทำแล้ว เพื่อความรวดเร็วในการตรวจงานและจ่ายเงินให้กับ RC
4) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การขอขึ้นทะเบียน RC โดยไม่ควรที่จะคำนึงเฉพาะชื่อของวิชาหรือสาขาที่สำเร็จการศึกษา แต่ควรที่จะระบุเป็นเนื้อหาของแต่ละวิชาที่จะต้องสำเร็จการศึกษา และเปิดโอกาสให้มีการจดทะเบียนได้ทั้งปี
5) ปรับปรุงกฎกระทรวงให้โรงงานและอาคารที่ทำ Prelim Audit แล้วไม่ต้องทำซ้ำในรอบสอง ให้ทำ Detail Audit เพียงอย่างเดียว
สพช. ได้แจ้งเรื่องดังกล่าวให้ พพ. ทราบแล้ว และหาก พพ. จัดทำแผนปรับปรุงการดำเนินงานโครงการฯ และแจ้งให้ สพช. ทราบแล้ว สพช. จะนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
กอ. ครั้งที่ 22 - วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 22)
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3. รายงานผลการสัมมนาเพื่อปรับนโยบายและมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน
5. แผนประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544
6. ขอความเห็นชอบร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
7. ขออนุมัติโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน
8. โครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Pilot Project) ในโรงงานควบคุมโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
9. ปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
10. การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า รัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนอย่างจริงจัง โดยตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอยู่แล้ว เนื่องจากขณะนี้ประเทศเรานำเข้าน้ำมันปีละประมาณ 300,000 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับรายได้จากการท่องเที่ยวของประเทศ ดังนั้นหากเราปล่อยให้มีการใช้พลังงานเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพก็จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเกี่ยวกับงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2543และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 - 31 มีนาคม 2544 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ณ วันที่ 31 มีนาคม 2544 เป็นเงินจำนวน 13,540,137,667.76 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
1. แผนงานภาคบังคับ เป็นแผนงานที่เกี่ยวกับโรงงานและอาคารขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโรงงานและอาคารควบคุมตามพระราชกฤษฎีกา รับผิดชอบโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) โดยในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,194.13 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% และ 11 % ของแผนงานแต่ละปีที่กำหนดไว้ ซึ่งปัญหาอุปสรรคที่ทำให้การดำเนินการล่าช้าไม่เป็นไปตามเป้าหมายมีหลายประการด้วยกัน ส่วนหนึ่งเกิดจาก กฎกระทรวง ระเบียบ ขั้นตอนการปฏิบัติ และวิธีการสนับสนุนเงินลงทุนจากกองทุนฯ รวมถึงโรงงานและอาคารควบคุมขาดบุคลากรที่จะดูแลรับผิดชอบการอนุรักษ์พลังงานโดยตรง ซึ่ง พพ. ได้ว่าจ้าง สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ศึกษาแนวทางในการปรับปรุง แก้ไข เปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสนับสนุนจากกองทุนฯ คาดว่าการศึกษานี้จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2544 ซึ่งจะได้นำผลการศึกษามากำหนดเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. แผนงานภาคความร่วมมือ ประกอบด้วยโครงการย่อ 5 โครงการ คือ (1) โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน (2) โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ (3) โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน (4) โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา (5) โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน มี สพช. เป็นผู้รับผิดชอบ โดยในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 688.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 81 % และ 12 % ของแผนงานแต่ละปีที่กำหนดไว้ สำหรับโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ที่ยังไม่มีการใช้จ่ายเงินนั้น เนื่องจากการออกประกาศเชิญชวนฯ และคัดเลือกล่าช้ากว่ากำหนดไว้เดิม ซึ่งเรื่องดังกล่าว สพช. จะนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในเรื่องที่ 4.2 สำหรับโครงการโรงงานอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งานที่ยังมิได้ดำเนินการเท่าที่ควรนั้นเนื่องจากต้องรอผลการประเมินโครงการนำร่อง 4 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนไปแล้วจากกองทุนฯ หากทราบผลการประเมินชัดเจนแล้ว สพช. จะเร่งดำเนินการในรายละเอียดต่อไป นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโครงการฯ ที่อยู่ในขั้นตอนขอความเห็นชอบในแผนเบื้องต้นและเมื่อจัดทำเป็นแผนโดยละเอียดแล้วก็สามารถให้การสนับสนุนต่อไป จึงคาดว่าการดำเนินงานในส่วนนี้จะบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนด
3. แผนงานสนับสนุน ประกอบด้วย 3 โครงการย่อ คือ (1) โครงการพัฒนาบุคลากร ในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 265.01 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59 % และ 12 % ของแผนงานที่กำหนดไว้ โดยมีโครงการที่ดำเนินการเสร็จแล้วหลายโครงการ เช่น โครงการรุ่งอรุณ เป็นต้น สำหรับปัญหาที่ทำให้การดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้นเกิดจาก เจ้าของอาคาร/โรงงาน ขาดแรงจูงใจในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์พลังงาน บุคลากรด้านพลังงานไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติงานด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน (2) โครงการประชาสัมพันธ์ ในช่วงปี 2543-2544 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมต่างๆ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 266.38 ล้านบาท หรือคิดเป็น 100 % และ 57 % ของแผนงานที่กำหนดไว้ (3) โครงการบริหารตามกฎหมาย ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของ สพช. พพ. และกรมบัญชีกลาง ให้เป็นไปตาม พรบ.ฯ
โดยในส่วนงานโครงการอาคารของรัฐภายใต้แผนงานภาคบังคับและโครงการต่างๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในช่วงปี 2543-2544 ที่ได้ใช้จ่ายเงินไป 1,162.93 ล้านบาท คาดว่าจะลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ลงได้ คิดเป็นเงินประมาณ 118.7 ล้านบาท/ปี และชะลอการลงทุนในการสร้างโรงไฟฟ้าได้ คิดเป็นมูลค่า 974.25 ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับในส่วนที่ไม่สามารถประเมินศักยภาพการอนุรักษ์พลังงานและการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เป็นจำนวนเงินได้ เช่น การสร้างเสริมประสบการณ์และให้ความรู้แก่บุคลากรที่เกี่ยวข้องให้มีความพร้อมและชำนาญการทางเทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น การปลูกจิตสำนึกให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น
สพช. ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเพื่อกำหนดเป้าหมายของงานในช่วง 5 ปีข้างหน้าให้ชัดเจน โดยมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมดำเนินการ เพื่อให้การนำแผนอนุรักษ์พลังงานไปสู่การปฏิบัติที่เห็นผลได้เร็วขึ้น และลดขั้นตอนในการปฏิบัติ ซึ่ง สพช. เห็นควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการสนับสนุนจากกองทุน โดยแบ่งงานออกเป็นกลุ่มๆ ตามสาขาพลังงาน เช่น กลุ่มขนส่ง กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์ กลุ่มพลังงานชีวภาพ เป็นต้น ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีคณะทำงานกำกับดูแลให้การดำเนินงานของกลุ่มนั้นๆ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ จัดทำโปรแกรมการดำเนินงานในกลุ่มของตนเอง ทั้งในเรื่องการเผยแพร่เทคโนโลยี การศึกษาวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาบุคลากร และการประชาสัมพันธ์ แล้วเสนอคณะอนุกรรมการเพียงชุดเดียว หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่งแนวทางในการดำเนินงานในรูปนี้ สพช. จักได้พิจารณาความเหมาะสมและเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
1. ให้ พพ. เร่งรัดให้ผู้รับผิดชอบอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ยังมิได้ดำเนินการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้แล้วเสร็จ แต่ได้มีการอนุมัติเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปแล้วนั้น ให้มีการดำเนินงานตามแผนอย่างเคร่งครัด เพื่อจะได้นำมาเป็นมาตรการในการพิจารณาจ่ายโบนัสแก่ส่วนราชการต่อไป
2. ให้ พพ. เร่งดำเนินการติดตามประเมินผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของอาคารส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานไปแล้วประมาณ 733 อาคาร ว่าผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่อย่างไร และควรที่จะต้องกำหนดมาตรการอนุรักษ์พลังงานเสริมหรือมีคำสั่งบังคับหรือไม่ เพื่อให้การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ เพื่อจะได้นำมากำหนดเป็นมาตรการในการพิจารณาจ่ายโบนัสแก่ส่วนราชการต่อไป
3. การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ส่วนอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานตาม พรบ.ฯ นั้น พพ. ควรที่จะต้องเร่งรัดให้ดำเนินการเป็นตัวอย่างแก่เอกชน โดย พพ. ต้องแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานของแต่ละส่วนราชการที่เป็นอาคารควบคุมให้ชัดเจนว่าจะต้องดำเนินการจัดทำมาตรการอนุรักษ์พลังงานในกิจกรรมใดบ้าง จะดำเนินการให้แล้วเสร็จเมื่อใด แล้วนำเสนอต่อรัฐมนตรีที่รับผิดชอบส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้นๆ เพื่อที่จะกำหนดเป็นนโยบายแล้วสั่งการให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจนั้นๆ ดำเนินการต่อไป
4. ให้ พพ. เร่งประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อกำหนดแนวทางในการจัดสรรเงินงบประมาณให้เพียงพอกับค่าก่อสร้างอาคารใหม่ของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้ออกแบบตามมาตรฐานที่กฏกระทรวงกำหนด สำหรับอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่จะต้องออกแบบก่อสร้างใหม่นั้น จะต้องออกแบบให้ได้ตามมาตรฐานที่กฎกระทรวงกำหนด
5. ให้พิจารณานำอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษการใช้ไฟฟ้ามาบังคับใช้กับอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ โดยไม่อนุญาตให้โอนงบประมาณค่าใช้จ่ายหมวดอื่นๆ มาใช้เป็นค่าไฟฟ้า
6. ให้ พพ. เร่งจัดทำแผนการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งานให้ชัดเจน โดยให้มีแนวทาง ขั้นตอนและวิธีการแก้ไขดำเนินการในแต่ละประเด็นปัญหา แล้วให้ พพ. รายงานต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
เรื่องที่ 3 รายงานผลการสัมมนาเพื่อปรับนโยบายและมาตรการในการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 ได้เห็นชอบกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545-2549) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) จึงได้มีคำสั่งคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ที่ 5/2543 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2543 แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการจัดทำแผนพัฒนาพลังงานในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9" เพื่อจัดทำแผนพัฒนาพลังงานให้สอดคล้องกับกรอบวิสัยทัศน์และทิศทางของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 9 โดยคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์ประเด็นปัญหาการพัฒนาพลังงานในช่วงที่ผ่านมา ประเมินสถานการณ์พลังงาน ประมาณการความต้องการใช้พลังงานของประเทศในอนาคต และปรับปรุงแผนพัฒนาพลังงานให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นประธานอนุกรรมการ
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2544 สพช. ได้มีการประชุมคณะทำงานด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงาน ทดแทน ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวม 15 หน่วยงาน เพื่อร่วมกันกำหนดเป้าหมายและนโยบายการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนของประเทศไทยในช่วง ปี 2545-2549 โดยสรุปได้ว่าจะมุ่งดำเนินการใน 4 ภาคเศรษฐกิจของประเทศ คือ (1) ภาคอุตสาหกรรม (2) ภาคคมนาคมขนส่ง (3) ภาคพาณิชยกรรม และ (4) ภาคที่อยู่อาศัย โดยที่ประชุมได้พิจารณากำหนดเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ไว้ ดังนี้
(1) การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
เป้าหมายที่จะลดปริมาณการใช้พลังงาน ในช่วงแผนฯ 9 | ||
ภาคคมนาคมขนส่ง | 5.7% | 1,563 ktoe |
ภาคอุตสาหกรรม | 4% | 940 ktoe |
ภาคธุรกิจและการพาณิชย์ | 1.9% | 50 ktoe |
ภาคบ้านอยู่อาศัย | 0.8% | 110 ktoe |
(2) การพัฒนาและกระจายแหล่งพลังงานภายในประเทศ
เป้าหมายที่จะเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ในช่วงแผนฯ 9 | |
ผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์หรือน้ำเสียโรงงาน แทน LPG 24.8 Mkg/yr | 29.5 ktoe/Yr |
นำชีวมวลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อผลิตความร้อน/ไฟฟ้า | 395 ktoe/Yr |
ให้มีการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ 17 MW | 7.4 ktoe/Yr |
ใช้พลังงานแสงอาทิตย์แบบเทคโนโลยีความร้อน แทน LPG 4.92 Mkg/yr | 3.3 ktoe/Yr |
ให้มีการนำพลังงานลมมาผลิตกระแสไฟฟ้า 4.7 MW | 0.56 ktoe/Yr |
เป้าหมายที่กำหนดไว้ดังกล่าว จะสามารถประหยัดพลังงานในช่วงปี 2545-2549 ได้ประมาณ 3,500 MW หรือ 2,200 ktoe/Yr หรือ โดยเฉลี่ย 3.44% ของการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศ และเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียน ประมาณ 330 MW หรือ 435 ktoe/Yr
นอกจากนั้นคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 ที่ผ่านมา ได้พิจารณา มาตรการอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2544 ตามที่ สพช. เสนอ แล้ว และที่ประชุมเห็นว่า สพช. ควรเสนอมาตรการใหม่ๆ หรือมาตรการที่เข้มข้นให้ กพช. พิจารณาใหม่ ซึ่งควรเป็นมาตรการที่ได้รับการการยอมรับและความร่วมมือจากประชาชนทั้งประเทศ โดยได้เสนอแนะให้ สพช. จัดการประชุมเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นให้กว้างขวาง ทั้งจากทางด้านหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เมื่อมีการพิจารณาเห็นชอบให้ประกาศใช้มาตรการต่างๆ ที่นำเสนอแล้วนั้นๆ จะได้รับการสนับสนุนร่วมมือที่ดีจากประชาชน
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้มอบหมายให้ สพช. จัดสัมมนารวบรวมความคิดเพื่อจะแก้ไขปัญหาอุปสรรค ซึ่งจะนำไปสู่การปรับนโยบายและมาตรการในการประหยัดพลังงาน ตลอดจนเสริมบทบาทให้ทั้งภาครัฐและเอกชนได้มีส่วนร่วมกันผลักดันเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง
สพช. จึงได้นำเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานในช่วง ปี 2545-2549 ที่คณะทำงานฯ ได้มีผลสรุปไว้มาร่วมใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดประชุมกลุ่มพลังงานในสาขาต่างๆ 10 กลุ่มย่อย ประกอบด้วย (1) กลุ่มประชาสัมพันธ์ (2) กลุ่มพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม (3) กลุ่มพลังงานจากก๊าซชีวภาพ (4) กลุ่มพลังงานจากชีวมวล (5) กลุ่มการส่งเสริมเทคโนโลยีการนำกลับมาใช้ใหม่ (6) กลุ่มการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานใน SME (7) กลุ่มส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในบ้าน (8) กลุ่มส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง (9) กลุ่มการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร (10) กลุ่มการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคารควบคุม โดยได้ระดมความคิดจากผู้ทรงคุณวุฒิสาขาต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน และองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อนำไปปรับทิศทางเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และ สพช. ได้นำประเด็นที่มีสาระสำคัญจากการสัมมนาจาก 10 กลุ่มย่อย ไปจัดการประชุมสัมมนาเรื่อง "พลังงานกับการกอบกู้เศรษฐกิจ" เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2544 โดยได้มีทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายองค์กร ประมาณ 520 ท่าน มาร่วมสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อทบทวนยุทธศาสตร์ จัดลำดับความสำคัญในเรื่องการอนุรักษ์พลังงานในสาขาต่างๆ ทั้ง 10 สาขา และจัดทำแผนรวมที่จะผลักดันให้การทำงานในเรื่องอนุรักษ์พลังงานซึ่งมีการดำเนินการโดยหลายหน่วยงานสามารถที่จะดำเนินต่อไปอย่างสอดคล้องกัน และให้เกิดผลในทางปฏิบัติที่มากพอที่จะมีส่วนช่วยลดการพึ่งพาและนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ โดยมีผลสรุปตามที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระการประชุม 3.3.1
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการสัมมนา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 0905 /2148 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2543 เพื่อเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการทุนฯ ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 4) ในการพิจารณาอนุมัติโครงการเร่งด่วน 2 โครงการ คือ (1) โครงการสาธิตระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ในวงเงิน 753,068,006 บาท และ (2) โครงการสาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน ที่สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ในวงเงิน 72,664,500 บาท
กรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2543 รวม 15 ท่าน และมีกรรมการกองทุนฯ 4 ท่าน ที่ไม่ได้แจ้งผลการพิจารณา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ สรุปผลการพิจารณาได้ว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ให้การสนับสนุนทั้ง 2 โครงการดังกล่าว และฝ่ายเลขนุการฯ ได้แจ้งมติผลการพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ทราบแล้ว
มติที่ประชุม
รับรองมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการเวียนขอความเห็นชอบ ครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 4) และให้ฝ่ายเลขานุการฯ สรุปภาพรวมโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 แผนประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการและอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ในวงเงิน 150,000,000 บาท โดยมีประเด็นหลักการรณรงค์ในหัวข้อเรื่องการประหยัดพลังงานในการคมนาคมขนส่ง ซึ่งในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา สพช. ได้ดำเนินการจัดจ้างกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544 ไปแล้ว 1 กิจกรรม ซึ่งเป็นกิจกรรมเสริมสร้างภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนฯ เป็นจำนวนเงิน 7,648,670.30 บาท โดยมีงบประมาณคงเหลือ 142,351,329.70 บาท
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ได้เห็นชอบให้ สพช. ดำเนินมาตรการด้านการอนุรักษ์พลังงานให้เกิดเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง ซึ่ง สพช. ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2544 และมีความเห็นว่าควรปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากขึ้น และให้ได้ผลด้านการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการประหยัดพลังงานที่สามารถวัดผลได้
สพช. ได้ปรับปรุงแผนประชาสัมพันธ์ปีงบประมาณ 2544 แล้ว และได้นำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนในการประชุมครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2544 ที่เห็นชอบในแผนปฏิบัติการดังกล่าว และ ให้ สพช. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา ซึ่งสามารถสรุปประเด็นหลักของแผนฯ ได้ดังนี้
สพช. ได้ปรับเปลี่ยนแผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโดยเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ด้วยการเสนอแนะแนวทางในการใช้พลังงานอย่างประหยัดแก่ประชาชนทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมในการประหยัดพลังงาน ในชีวิตประจำวันได้อย่างกว้างขวาง โดยเน้นให้เกิดผลหลัก 3 ประการ ได้แก่
1. สร้างกระแสเพื่อรวมพลังคนไทยทั้งชาติ ลดการใช้พลังงานที่เกินความจำเป็นอย่างเร่งด่วน และวัดผลได้
2. เพิ่มจำนวนประชาชนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมให้ครอบคุมครัวเรือนทั่วประเทศ
3. ก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันจนติดเป็นนิสัย โดยการแข่งขันการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเป็นส่วนในการสร้างความภาคภูมิใจ และกระตุ้นให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างยั่งยืน
โดยมีชุดกิจกรรมที่จะดำเนินการสื่อสาร หลัก 2 ชุดกิจกรรมคือ (1) ชุดกิจกรรมด้านการรณรงค์แข่งขันประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า โดยมุ่งเน้นกิจกรรม เลิก 3 แช่ คือ เลิกเสียบปลั้กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดแช่เมื่อไม่ใช้งาน เลิกเปิดไฟฟ้าแสงสว่างแช่เมื่อไม่ใช้งาน และเลิกติดเครื่องยนต์แช่ระหว่างรอ (2) ชุดกิจกรรมด้านการลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล โดยมุ่งเน้นกิจกรรม จอดรถไว้บ้าน ช่วยกันประหยัดน้ำมัน และ Car Free Day เป็นต้น
สพช. จะใช้ยุทธวิธีสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในเชิงรุก โดยการจัดกิจกรรมแข่งขันประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า ให้ครอบคุมประชาชนทั่วประเทศ ด้วยการสร้างความภาคภูมิใจและรางวัลแก่ชุมชนที่เข้าร่วมแข่งขันเป็นแรงจูงใจ โดยให้คนที่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงาน ส่ง จดหมายถึง สพช. เพื่อบอกว่าเขาได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานด้วยวิธีการใดบ้าง จากนั้น สพช. ก็จะส่งหนังสือเกี่ยวกับวิธีการอนุรักษ์พลังงานกลับไปให้พร้อมกับสัญญาลักษณ์ที่แสดงถึงการเข้าร่วมโครงการประหัยดพลังงาน เช่น โบ หรือธง เพื่อที่จะได้นำไปประดับที่หน้าบ้านหรือที่รถ เพื่อให้คนที่ผ่านไปมาหรือเพื่อนบ้านได้สังเกตุเห็น จะทำให้เขาสนใจสอบถามถึงที่มาของสัญญาลักษณ์ เพื่อที่จะได้ร่วมกันอนุรักษ์พลังงานในกลุ่มต่อไป ขณะเดียวกันก็จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างกระแส และถ่ายทอดข้อมูลผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของกลุ่มต่างๆ ว่าใคร่ทำอะไรและประหยัดพลังงานได้เท่าไร เพื่อเป็นการกระตุ้นประชาชนให้ร่วมดำเนินการ
มติที่ประชุม
ให้ สพช. ดำเนินการปรับปรุงแผนการประชาสัมพันธ์สำหรับประชาชนทั่วไป ปี 2544 ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 6 ขอความเห็นชอบร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers: SPP) เมื่อเดือนมีนาคม 2535 นั้นปัจจุบันได้มี SPP ที่ได้ทำสัญญาและได้ขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. แล้วประมาณ 20 ราย ซึ่งคิดเป็นกำลังผลิตทั้งหมดประมาณ 200 MW ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินสูง แต่ก็ยังมี SPP ที่มีความคุ้มค่าทางด้านการเงินต่ำ แต่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้พลังงานหมุนเวียนจะไม่ก่อให้เกิดมลพิษและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อจูงใจให้ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้าที่มีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สนใจเข้ามาร่วมผลิตและขายไฟฟ้าให้มากขึ้น ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 สพช. จึงได้เสนอให้มี "โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" โดยจะใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ด้วยการเชิญชวนให้ SPP เสนอราคาค่าไฟฟ้าในส่วนที่เพิ่มจากราคารับซื้อของ กฟผ. โดย สพช. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาถึงอัตราที่เหมาะสมที่จะให้การสนับนุนแก่ SPP ปรากฏว่าอัตราสูงสุดต่อหน่วยการผลิตอยู่ที่ 36 สตางค์ต่อหน่วย โดยกองทุนฯ จะเปิดโอกาสให้ SPP ที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. เสนอข้อเสนอทางเทคนิคและข้อเสนอทางการเงินต่อ สพช. จากนั้นก็จะประเมินข้อเสนอทั้งทางด้านเทคนิคและการเงิน แล้วนำผลของทั้งสองส่วนมารวมกัน จัดลำดับตามระดับคะแนนที่ได้รับ เพื่อคัดเลือกจัดสรรการสนับสนุน ข้อเสนอที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาจะถูกนำมาจัดเรียงลำดับตามอัตราค่าไฟฟ้าที่เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จากอัตราต่ำสุดไปหาสูงสุด แต่ไม่เกิน 35 สตางค์ และพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้การสนับสนุนแก่ผู้ที่เสนอในอัตราต่ำสุดลำดับแรกก่อน แล้วจึงพิจารณาสนับสนุนรายถัดไปจนครบเป้าหมายของโครงการฯ ภายในวงเงิน 2,060 ล้านบาท
โดยในการให้การสนับสนุนแก่ SPP กองทุนจะจ่ายเงินผ่าน กฟผ. เพื่อให้ กฟผ. นำไปจ่ายให้แก่ SPP ตามปริมาณของไฟฟ้าที่ผลิตได้ตามอัตราที่ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยกองทุนฯ จะให้การสนับสนุนเพียงระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ SPP จ่ายไฟฟ้าให้กับระบบของ กฟผ. หาก SPP รายใดไม่สามารถสร้างหรือปรับปรุงโรงไฟฟ้าตามที่เสนอไว้ได้ กองทุนฯ มีสิทธิที่จะยกเลิกสัญญาได้ โดยจะไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการฯ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาในประเด็น ดังนี้
1. เห็นชอบในร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และกฎเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาสำหรับประเมินข้อเสนอโครงการตามที่ สพช. เสนอ
2. เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ดำเนินการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการคัดเลือกดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในร่างเอกสารเชิญชวนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และกฎเกณฑ์และแนวทางการพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ รวมถึงเกณฑ์การพิจารณาสำหรับประเมินข้อเสนอโครงการตามที่ สพช. เสนอ
2. เห็นชอบให้คณะทำงานฯ ดำเนินการคัดเลือกผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กฯ ตามเกณฑ์ที่กำหนด และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอผลการคัดเลือกดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนต่อไป
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ได้เสนอโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 48) เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 และมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีสาระสำคัญของโครงการ ดังนี้
ปัจจุบัน ห้องทดสอบของสถาบันฯ ที่ให้บริการทดสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทตู้เย็น สามารถทดสอบได้ครั้งละ 2 ตู้ แต่จากการรณรงค์ให้มีการใช้ตู้เย็นประสิทธิภาพสูง (ตู้เย็นเบอร์ 5) ตลาดจึงมีความต้องการสินค้าที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นของสถาบันฯ มีผู้มาใช้บริการจำนวนมากขึ้น แต่ห้องทดสอบฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่สามารถรองรับได้ทันต่อความต้องการใช้ของตลาด และไม่สามารถทดสอบตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และตู้เย็นแบบ 2 ประตูได้ด้วย
เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดของตู้เย็น สถาบันฯ จึงได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นที่สามารถรองรับการทดสอบตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่และตู้เย็น 2 ประตูได้ และสามารถทดสอบตู้เย็นได้เพิ่มขึ้น 2-4 ตู้ต่อครั้ง รวมถึงสามารถทดสอบเพื่อตรวจวัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานและการทดสอบในด้านความปลอดภัยได้ตามมาตรฐาน ISO 7371-1985 และสามารถรับรองเป็นห้องปฎิบัติการทดสอบได้ตามมาตรฐาน ISO/IEC Guide 25 ซึ่งจะเป็นห้องทดสอบกลางให้กับภาครัฐและเอกชน โดยจะใช้อาคารของสถาบันฯ ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ เป็นที่ให้บริการ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นค่าใช้จ่ายในโครงการห้องปฏิบัติการทดสอบตู้เย็นในบ้าน ในวงเงิน 16,050,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้ สถาบันฯ จะต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
1) กำหนดแผนการดำเนินการและแนวทางในการปรับปรุงห้องปฏิบัติการให้ได้รับการรับรองตามมาตรฐาน ISO Guide 25 เพื่อยกระดับห้องปฏิบัติการให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล
2) ระบุแนวทางที่จะร่วมมือกับห้องปฎิบัติการและนักวิชาการอื่นทั้งในและต่างประเทศเพื่อให้ผลการทดสอบเป็นที่ยอมรับและมีความน่าเชื่อถือ
3) เพิ่มเติมแผนการประเมินผลโครงการฯ โดยกำหนดเกณฑ์ในการประเมินผลงานเพื่อเปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างชัดเจน
4) เพิ่มเติมรายละเอียดของการคำนวณผลตอบแทนทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์และการเงิน
5) ระบุแนวทางในการคิดอัตราค่าบริการทดสอบตู้เย็นที่จะเรียกเก็บจากผู้ใช้บริการในแต่ละครั้งให้ชัดเจน โดยไม่ต้องนำเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ มารวมคิดเป็นต้นทุนค่าบริการ
6) แสดงรายละเอียดของการประชาสัมพันธ์ สัมมนา และแผนการตลาดของโครงการฯ ให้ชัดเจน
7) กำหนดมาตรฐานที่ห้องปฎิบัติการทดสอบตู้เย็นที่จะสร้างขึ้นว่าจะสามารถทดสอบในมาตรฐานสากลใดได้บ้าง เช่น มาตรฐาน JIS ของประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
8) เพิ่มเติมรายละเอียดของวิธีการจัดซื้ออุปกรณ์ในโครงการว่าทำโดยวิธีการใดและมีกำหนดเวลาในการดำเนินงานอย่างไร
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2541 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Pilot Project) โดยในระยะแรกได้รับความช่วยเหลือจาก Global Environmental Facility (GEF) จำนวน 600,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อคัดเลือกบริษัทจัดการพลังงาน 4 ราย ให้เป็นผู้ทำรายงานการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น (Preliminary Energy Audit) และรายงานการตรวจสอบวิเคราะห์ความเหมาะสมในการลงทุน (Investment Grade Audit) ให้แก่โรงงานที่มีความพร้อมดำเนินการ 4 โรงงานฯ โดย กฟผ. จะจัดหาเงินกู้ปลอดดอกเบี้ยจากแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาดำเนินการลงทุนอนุรักษ์พลังงานให้แก่บริษัทและโรงงานฯ ที่เข้าร่วมโครงการฯ
กฟผ. คัดเลือกบริษัทจัดฯ และโรงงานฯ ทั้ง 4 ราย โดยเลือกบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และมีผลงานด้านการจัดการพลังงานเป็นที่ยอมรับ และคัดเลือกโรงงานฯ ที่มีความพร้อมทางด้านการเงินและต้องการจะปรับปรุงการใช้พลังงานในโรงงานของตนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพียงรายเดียวที่พร้อมจะลงทุน คือ บริษัทจัดการพลังงาน เอ็กซ์เซลเล้นท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (EEI) และมีโรงงานที่พร้อมจะลงทุนเพียงรายเดียว คือ บจม. กรุงเทพโปรดิวซ์ เมอร์เชนไดซิ่ง จำกัด มหาชน (BKP) ส่วนรายอื่นๆ ยังไม่สามารถดำเนินการลงทุนได้ เพราะไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ได้
กฟผ. ได้เสนอโครงการดังกล่าวต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการนำร่องบริษัทจัดการด้านพลังงานในโรงงานควบคุม ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาในข้อรายละเอียดในความเป็นไปได้ของการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ และ พพ. ได้รายงานความก้าวหน้าของการดำเนินโครงการฯ ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบครั้งหนึ่งแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาเปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย และการขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว จึงเห็นชอบในรายละเอียดและเงื่อนไขในโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงาน ที่ กฟผ. จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ แต่เนื่องจาก พพ. มิได้ตั้งงบประมาณสำหรับโครงการนี้ไว้ ที่ประชุมจึงเห็นควรให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ปีงบประมาณ 2544 หมวดกิจกรรมการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 70,467,533 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม โดยจะเป็นเงินสนับสนุนภาระดอกเบี้ยเงินกู้ 61,850,533 บาท และค่าใช้จ่ายสำหรับตัวแทนดำเนินการ 8,617,000 บาท
ในการพิจารณาดังกล่าว ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุดได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมโดยสรุปสาระสำคัญได้ว่า ในการลงทุนดังกล่าวกองทุนฯ ควรได้รับผลตอบแทนคืนบ้างบางส่วนเพื่อจะได้นำไปสนับสนุนผู้เข้าร่วมโครงการรายอื่นต่อไป และเห็นว่า กฟผ. ควรเป็นผู้รับประกันความสำเร็จของโครงการนี้ หากผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กฟผ. ก็ควรคืนเงินค่าจ้างเป็นตัวแทนดำเนินการ จำนวน 8.617 ล้านบาท คืนให้กองทุนฯ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นดังกล่าวแล้ว เห็นว่าโครงการนี้ เป็นโครงการนำร่องที่ต้องการศึกษาและเรียนรู้ผลที่ได้รับจากการดำเนินโครงการบริษัทจัดการพลังงานในระยะต่อไป และ กฟผ. ก็เป็นตัวแทนดำเนินงานแทน พพ. จึงไม่สมควรให้ กฟผ. เป็นผู้รับประกันความสำเร็จของโครงการและชดใช้ค่าใช้จ่ายค่าจ้างเป็นตัวแทนดำเนินการคืนให้กองทุนฯหากผลประหยัดที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ดำเนินการโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม โดยมีบริษัทเอ็กซ์เซลเลนท์ เอ็นเนอร์ยี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทจัดการพลังงาน และ บริษัทกรุงเทพโปรดิวซ์ เมอร์เชนไดซิ่ง จำกัด มหาชน เป็นโรงงานที่ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยมี กฟผ. เป็นตัวแทนดำเนินการ แทน พพ.
2. อนุมัติให้ พพ. โอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ปีงบประมาณ 2544 หมวดกิจกรรมการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 70,467,533 บาท (เจ็ดสิบล้านสี่แสนหกหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นเงินสนับสนุนการดำเนินโครงการนำร่องบริษัทจัดการพลังงานในโรงงานควบคุม ดังต่อไปนี้
(1) เป็นเงินสนับสนุนภาระดอกเบี้ยเงินกู้ทั้งหมด สำหรับ 5 มาตรการ ในวงเงินไม่เกิน 61,850,533 บาท (หกสิบเอ็ดล้านแปดแสนห้าหมื่นห้าร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) โดยมีเงื่อนไขว่า กองทุนฯ จะหยุดให้การสนับสนุนเมื่อตรวจสอบว่า ผลการประหยัดที่เกิดขึ้นจริงทุกๆ 6 เดือน ของช่วงระยะเวลาผ่อนชำระหนี้เงินกู้ (72 เดือน) ต่ำกว่าร้อยละ 60 ของผลประหยัดที่ประมาณการไว้
(2) เป็นเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับตัวแทนดำเนินการ (IA) เพื่อบริหารจัดการให้การดำเนินโครงการฯ เป็นไปตามวัตถุประสงค์และแผนงาน ตลอดจนติดตามและรายงานผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ในวงเงิน 8,617,000 บาท (แปดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันบาทถ้วน)
3. เห็นชอบให้ พพ. ไม่ต้องนำเงื่อนไขการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ที่ใช้เกณฑ์ EIRR และ FIRR ตามแผนงานภาคบังคับ มาใช้ในการพิจารณาเพื่ออนุมัติเงินสนับสนุนในโครงการนี้ เนื่องจากเป็นโครงการนำร่องที่ภาครัฐต้องการศึกษาถึงความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการฯ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการส่งเสริมบริษัทจัดการพลังงานในประเทศไทยต่อไป
เรื่องที่ 9 ปรับแผนโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2540 เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นค่าใช้จ่ายโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ในวงเงิน 90,000,000 บาท
สวทช. ได้ดำเนินงานตามแผนงานฯ โดยได้ออกแบบและจัดซื้อเครื่องครุภัณฑ์หลักของโครงการฯ แล้วบางส่วน เช่น เครื่อง PECVD/Sputtering เพื่อพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่อง I-V Tester สำหรับวัดคุณสมบัติของฟิล์มและเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่อง Laminator สำหรับเคลือบเซลล์ฯ เป็นต้น และได้ติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือ เสร็จเรียบร้อยเมื่อเดือนธันวาคม 2543 ที่โรงงานต้นแบบของอุทยานวิทยาศาสตร์ รังสิต จ.ปทุมธานี โดยเจ้าหน้าที่ของ สวทช. ได้รับการฝึกอบรมการประกอบ ติดตั้ง และใช้งานเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ แล้ว โดยในการจัดซื้อเครื่อง PECVD/PVD นั้น สวทช. ได้ประมาณอัตราแลกเปลี่ยนในการจัดซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศไว้ที่อัตรา 45 บาท ต่อ 1 US$ ซึ่งเมื่อ สวทช. ได้จัดซื้อและนำเครื่องจักรเข้ามาจริง อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในช่วง 36-38 บาทต่อ 1 US$ ซึ่งต่ำกว่าอัตราที่ สวทช. ได้ประมาณการไว้ จึงทำให้สถานะการเงินของโครงการฯ มีเงินคงเหลือทั้งสิ้น 9,999,518.31 บาท
ในช่วงที่ผ่านมาประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจ มีผลให้การจัดสรรงบประมาณจากรัฐไม่เป็นไปตามที่ได้คาดหมายไว้ ส่งผลกระทบถึงงบประมาณการจัดซื้อครุภัณฑ์/อุปกรณ์ของโครงการฯ ที่ สวทช. วางแผนฯ ไว้ว่าจะนำเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรมาสมทบค่าใช้จ่ายนั้น ไม่เป็นไปตามแผนฯ สวทช. จึงยังขาดงบประมาณอยู่รวม 10,723,185 บาท ด้วยเหตุดังกล่าว สวทช. จึงมีความจำเป็นต้องขอเปลี่ยนแปลงแผนการใช้จ่ายเงินที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนฯ โดยจะขอนำเงินที่คงเหลืออยู่ 9,999,518.31 บาท เพื่อนำไปใช้ถัวจ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์สำคัญของโครงการฯ สำหรับงบประมาณส่วนที่ขาดอยู่นั้น สวทช. จะได้พยายามสรรหามาสมทบต่อไป ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2544 ได้เห็นชอบในเรื่องดังกล่าวแล้วและให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สวทช. ปรับแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น โดยนำเงินที่คงเหลืออยู่จากการจัดซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศของโครงการฯ จำนวน 9,999,518.31 บาท (เก้าล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันห้าร้อยสิบแปดบาทสามสิบเอ็ดสตางค์) ไปใช้ถัวจ่ายในการจัดซื้ออุปกรณ์สำคัญของโครงการฯ ได้ ตามที่ สวทช. ขอมา
เรื่องที่ 10 การปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 3/2541 ลงวันที่ 6 ธันวาคม 2541 เรื่องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่งแวดล้อม (นายพรเทพ เตชะไพบูลย์) เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว
พพ. ได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ วว 0406/6216 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2543 แจ้งต่อ สพช. ว่า เนื่องจาก นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ ประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ 2535 พพ. จึงขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา องค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม | ประธานอนุกรรมการ |
2. | ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม | รองประธานอนุกรรมการ |
3. | รองปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (ที่มีหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของ พพ.) |
อนุกรรมการ |
4. | เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | อนุกรรมการ |
5. | ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
6. | ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
7. | ผู้แทนสำนักงานอัยการสูงสุด | อนุกรรมการ |
8. | ผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
9. | ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม | อนุกรรมการ |
10. | นายพรายพล คุ้มทรัพย์ | อนุกรรมการ |
11. | นายยอดเยี่ยม เทพธรานนท์ | อนุกรรมการ |
12. | นายอัครวิทย์ ขันแก้ว | อนุกรรมการ |
13. | นายสวาท เย็นสมุทร | อนุกรรมการ |
14. | อธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
15. | ผู้แทนกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน | อนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบในการปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ตามที่ พพ. เสนอมาและให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 ข้อ 16 และ ข้อ 19 ได้กำหนดให้เจ้าของอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนฯ ต้องทำหนังสือยืนยันกับกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ส่วนเจ้าของโรงงานควบคุมหรืออาคารควบคุมที่เป็นเอกชน จะต้องทำสัญญาขอรับการสนับสนุนกับ พพ.
ในปีงบประมาณ 2543 คณะอนุกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นชอบเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงาน และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้แก่โรงงานควบคุมและอาคารควบคุม จำนวนทั้งสิ้น 673 ราย แต่มีผู้ที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว แต่ไม่สามารถแจ้งตอบยืนยันการขอรับการสนับสนุนต่อ พพ. ได้ทันภายในปีงบประมาณ 2543 จำนวน 56 ราย เป็นเงิน 9,378,153 บาท จึงทำให้ พพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้แก่ผู้ที่ได้รับการสนับสนุน 56 ราย นั้นได้ พพ. จึงได้เสนอเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาแนวทางในการแก้ปัญหา
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 8/2543 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 ได้พิจารณาแนวทางแก้ปัญหาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม 56 ราย ที่ไม่สามารถแจ้งยืนยันการขอรับการสนับสนุนต่อ พพ. ได้ทันในปีงบประมาณ 2543 และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้นำแนวทางเดิมที่ พพ. ได้เคยใช้ในการแก้ไขปัญหาลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นในช่วงปีงบประมาณ 2540-2541 นำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ด้วย โดยให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ คือ พพ. จะขอจ่ายเงินสนับสนุนการตรวจเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น สำหรับอาคารควบคุมที่ยังค้างจ่าย โดยเบิกจ่ายเงินจากวงเงินของปีงบประมาณปัจจุบัน และใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมที่ทำไว้ในปีงบประมาณที่ผ่านมาเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย และ พพ. จะนำเงิน ซึ่งเบิกจากกรมบัญชีกลางในปีงบประมาณที่ผ่านมาแล้วส่งคืนกองทุนฯ ต่อไป และหากมีการตรวจสอบแล้วพบในภายหลังว่ามีเจ้าของอาคารควบคุมบางรายทำหนังสือยืนยันขอรับการสนับสนุนการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นกับ พพ. ไม่ทันในปีที่ได้รับอนุมัติ พพ. จะขอนำมาเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในปีงบประมาณปัจจุบัน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2544 ให้ พพ. ในวงเงิน 9,378,153 บาท (เก้าล้านสามแสนเจ็ดหมื่นแปดพันหนึ่งร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) เพื่อนำไปจ่ายสนับสนุนการตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นและการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แล้ว ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 แต่ทำหนังสือแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนฯ กับ พพ. ไม่ทันภายในปีงบประมาณ 2543 จำนวน 56 ราย โดยให้ใช้เอกสารการขอรับการสนับสนุนที่เจ้าของโรงงานและอาคารได้ทำกับ พพ. ไว้แล้วเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
2. ให้ พพ. นำเงินที่ได้เบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2543 เพื่อนำมารอจ่ายให้กับเจ้าของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ส่งคืนกองทุนฯ
3. หากในภายหลัง พพ. ได้ตรวจสอบแล้วพบว่ามีเจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนฯ ก่อนวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 แต่ไม่สามารถทำหนังสือแจ้งยืนยันขอรับการสนับสนุนฯ กับ พพ. ได้ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ ก็ให้ พพ. เบิกจ่ายเงินกองทุนฯ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ปีงบประมาณ 2544 ให้แก่เจ้าของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม โดยใช้เอกสารหลักฐานการขอรับการสนับสนุนเดิมเป็นหลักฐานในการเบิกจ่าย
4. โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่ได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ หลังวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 จะต้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา ข้อ 19 ได้กำหนดไว้ดังนี้ "ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา โครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ และโครงการบริหารงานตามกฎหมาย ให้ติดต่อกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อทำสัญญาภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ หากผู้ยื่นคำขอไม่มาติดต่อเพื่อทำสัญญาภายในกำหนดเวลา ดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล"
การอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ในการสนับสนุนโครงการต่างๆ คณะอนุกรรมการฯ และ คณะกรรมการกองทุนฯ จะมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการในประเด็นที่สำคัญหลายประการ ซึ่งปกติแล้วก่อนที่จะลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาให้การสนับสนุน สพช. จะเป็นผู้ประสานงานกับเจ้าของโครงการในการปรับปรุงข้อเสนอให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก แต่ในบางกรณีโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้วไม่สามารถลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา ได้ภายใน 30 วัน แม้ว่าจะมีการมอบอำนาจให้ สพช. ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
สพช. ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีบางโครงการที่ใช้เวลามากกว่า 1 ปี ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญาล่าช้าได้ ซึ่งกรมบัญชีกลาง (บก.) ได้ให้ความเห็นว่าไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้ เนื่องจากผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ มิได้ลงนามในสัญญากับ สพช. ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2544 ได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ผู้แทนจาก บก. จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขข้อความในระเบียบฯ หมวด 5 การทำสัญญา ให้มีความคล่องตัว และในการมีมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ต้องมีความชัดเจนทุกครั้งด้วยว่าเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดให้เจ้าของโครงการฯ รับไปแก้ไขนั้นต้องหรือไม่จำเป็นต้องนำกลับมาให้ที่ประชุมพิจารณาอีก
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แก้ไขข้อความที่ปรากฏในระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสรรเงินช่วยเหลือ หรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุน ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2537 หมวด 5 การทำสัญญา ดังต่อไปนี้
"ข้อ 19 ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนที่ไม่ใช่หน่วยงานราชการ สำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ ให้ติดต่อกับกรม เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติ หากผู้ยื่นคำขอไม่มาติดต่อเพื่อทำสัญญาภายในกำหนดเวลา ดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
การลงนามในสัญญาให้เป็นอำนาจของอธิบดีกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานหรือผู้ที่อธิบดีฯ มอบหมาย"
"ข้อ 20 ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนสำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือหรือแผนงานสนับสนุน ให้ติดต่อกับสำนักงาน ภายในเวลา 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุน เพื่อดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการกองทุนก่อนทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา แล้วให้ สพช. ทำหนังสือแจ้งให้ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนทราบ เพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบ หากผู้ที่ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือตามสัญญาภายในกำหนดเวลาดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควรให้คำอนุมัติเป็นอันสิ้นผล
การลงนามในสัญญาให้เป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ"
2. การอนุมัติให้เงินสนับสนุนโครงการ หากมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการไปดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอในบางประเด็นให้เรียบร้อยก่อนที่ลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญา คณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ควรมีมติให้ชัดเจน ดังต่อไปนี้
(1) โครงการที่มีการปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญเล็กน้อย คณะกรรมการฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ จะมอบให้ ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปดำเนินการ
(2) โครงการที่มีปรับปรุงแก้ไขในสาระสำคัญ เมื่อเจ้าของโครงการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ให้ ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาเสนอคณะกรรมการฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
กอ. ครั้งที่ 23 - วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 23)
วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานผลการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
3. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544 (ฉบับใหม่)
4. ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน หลังสิ้นสุดเงื่อนไขของสัญญา
5. เรื่องอื่นๆ
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการใช้พลังงานอย่างประหยัด
เรื่องที่ 1 รายงานผลการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์
เลขานุการฯ ได้รายงานผลการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ที่ได้มีการจัดสรรเงินกองทุนฯ จากแผนงานภาคความร่วมมือ ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยพัฒนา การส่งเสริมการขยายตลาด การสาธิตการใช้ในสภาพการใช้งานจริงให้ประชาชนทั่วไปมีความเข้าใจหรือคุ้นเคยและมั่นใจว่าระบบพลังงานแสงอาทิตย์สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและมีความคุ้มทุนเช่นเดียวกับ เทคโนโลยีอื่น
ในช่วงปี 2538-2544 กองทุนฯ ได้ใช้จ่ายเงินไป 481.08 ล้านบาท เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสาธิตการใช้ประโยชน์จากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบต่างๆ รวม 15 โครงการ ใช้ในการผลิตไฟฟ้า 721 kW และในรูปความร้อนทดแทน LPG 62,184 ลิตรต่อปี เช่น ระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าทั้งบนหลังคาบ้านและหลังคาส่วนราชการ การผลิตและขายเครื่องทำน้ำร้อน การใช้ระบบสูบน้ำในหมู่บ้าน อบต. การผลิตและขายเครื่องสกัดสารกำจัดศัตรูพืช การสาธิตระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานในอุทยานแห่งชาติและเขต รักษาพันธุ์สัตว์ป่า และการตั้งสวนพลังงานขึ้นที่มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก เพื่อเป็นศูนย์สาธิตการใช้งาน ของเทคโนโลยีต่างๆ ที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เพื่อส่งเสริมการขยายการตลาด ด้วยการร่วมมือกับบริษัท และโรงงานผู้ผลิตต่างๆ เพื่อแสดงสินค้าในสภาพการใช้งานจริงและจำหน่ายอุปกรณ์พลังงานแสงอาทิตย์ให้กับลูกค้า อันเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่จะส่งเสริมให้เพิ่มปริมาณการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดก่อให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวกับการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ด้วย
นอกจากนี้กองทุนฯ ยังได้สนับสนุนงานศึกษาวิจัยพัฒนาอีก 4 โครงการ เช่น การพัฒนาระบบผลิตไฟฟ้าประจุแบตเตอรี่ด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ การฟื้นฟูระบบสูบน้ำด้วยโซล่าเซลล์ที่ชำรุด การขยายเขตติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนให้เกาะต่างๆ การสนับสนุนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยสาธิตติดตั้งระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าด้วยเซลล์แสงอาทิตย์ ขนาด 500 kW ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตลอดจนสนับสนุนสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ทำการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น เพื่อเป็นแนวทางการผลิตเต็มรูปแบบในเชิงพาณิชย์ กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรม การผลิต การขาย และการส่งออกเซลล์แสงอาทิตย์ โดยมุ่งให้มีราคาต้นทุนการผลิตต่ำลงประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นภายใต้การใช้งานในประเทศไทย
มติที่ประชุม
ให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดตั้งคณะทำงานด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อปรับปรุงแผนการสนับสนุนให้เกิดการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างแพร่หลายตามข้อสังเกตของที่ประชุม แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า สพช. ได้ว่าจ้างบริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2543 โดยบริษัทได้เสนอผลการวิจัยเชิงสำรวจเพื่อประเมินผลประสิทธิภาพของการใช้สื่อภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 ปีงบประมาณ 2543 จากความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,000 คน จำแนกเป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 600 คน ในเขตต่างจังหวัดอีก 400 คน ได้ผลการสำรวจความคิดเห็นที่สำคัญดังนี้
1) คุณคิดว่าการรณรงค์แบบนี้ช่วยกระตุ้นให้มีการประหยัดพลังงานของชาติได้หรือไม่
พบว่าร้อยละ 97.1 เชื่อว่าสามารถรณรงค์ได้ผลดี
2) คุณคิดว่าการประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการรณรงค์เรื่องรวมพลังหาร 2 หรือไม่
ร้อยละ 94.7 คิดว่าการประหยัดพลังงานที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการรณรงค์ "รวมพลังหาร 2"
3) ในภาพรวมของคุณคิดว่ากิจกรรมของ สพช. ที่ดำเนินการทั้งหมดสามารถช่วยประหยัดพลังงานของชาติได้จริงหรือไม่
พบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อยละ 88.3 มีความเห็นว่ากิจกรรมรณรงค์ที่ สพช. ดำเนินการอยู่สามารถช่วยประหยัดพลังงานได้จริง
4) คุณมีความคิดที่จะนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของคุณหรือไม่ หลังจากฟังโฆษณาเชิญชวน ให้ประหยัดพลังงาน
กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 96.3 แสดงความตั้งใจว่าจะนำแนวคิดที่ได้รับจากสื่อการรณรงค์ไปใช้ในชีวิตประจำ และกลุ่มที่ยืนยันว่าจะนำไปใช้มากที่สุดคือกลุ่มแม่บ้านร้อยละ 98.9
5) คุณคิดว่าแนวคิดที่นำเสนอเป็นประโยชน์ต่อคุณมากน้อยเพียงใด
พบว่าร้อยละ 74.6 ระบุว่า การรณรงค์โครงการ "รวมพลังหาร 2" มีประโยชน์มาก และร้อยละ 22.5 ระบุว่ามีประโยชน์มากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านเห็นความสำคัญมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ถึงร้อยละ 83
6) โดยรวมคุณชอบการประชาสัมพันธ์เพื่อการประหยัดพลังงานในระดับไหน
พบว่าร้อยละ 83.3 ชอบการประชาสัมพันธ์เพื่อการประหยัดพลังงานมากและมากที่สุดโดยเฉพาะกลุ่มอายุระหว่าง 18-35 ปี ชอบมากร้อยละ 70.2
7) คุณเคยเห็น/ได้ยินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ หรือกิจกรรมเพื่อประหยัดพลังงานบ้างหรือไม่
ร้อยละ 97.1 ของกลุ่มตัวอย่าง ระบุว่าได้ยินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน
8) คุณได้แนวคิดเรื่องการประหยัดพลังงานมาจากไหน
ร้อยละ 90.2 ระบุว่าได้แนวคิดจากสื่อประเภทต่างๆ ของ "รวมพลังหาร 2" มากที่สุด
9) คุณมีเหตุผลอะไรในการประหยัดพลังงาน
ร้อยละ 85.7 ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ช่วยตัวเองและครอบครัว
นอกจากนั้น ผลการวิจัยที่จัดทำโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง "ผลการสำรวจความคิดเห็นและทัศนคติผู้บริหารระดับสูงขององค์กรภาครัฐ" เสนอต่อกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อเดือนสิงหาคม 2543 ซึ่งเป็นการสำรวจความคิดเห็นจำนวน 2,000 คนสรุปผลการสำรวจความเห็น ให้โครงการ "รวมพลังหาร 2" เป็นโครงการประชาสัมพันธ์ของรัฐที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในปี 2543 โดยโครงการที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำการสำรวจพร้อมกับโครงการรวมพลังหาร 2 คือ บีโอโอแฟร์ การส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการเฉลิมฉลองวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมายุ 6 รอบ และเอเชี่ยนเกมส์
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม 2544 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2544 และมีข้อสังเกตว่า การรณรงค์จอดรถไว้บ้าน หรือ Car free day ยากต่อการปฏิบัติและไม่สามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ จึงเห็นควรให้ สพช. ทบทวนการปรับแผนปฏิบัติการอีกครั้ง โดยทำการประชาสัมพันธ์ตามแนวคิดดังนี้
1) กิจกรรมรณรงค์จะต้องเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด
2) เป็นกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่วัดผลได้ และคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงทุน
3) วิธีการประหยัดพลังงานที่นำมาประชาสัมพันธ์ ควรเป็นวิธีการที่น่าสนใจ ปฏิบัติได้จริงในชีวิตประจำวัน มีค่าใช้จ่ายน้อย และให้เลี่ยงวิธีการที่ปฏิบัติได้ยากหรือเผยแพร่วิธีการที่ประชาชนปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว
4) ให้ระดมความคิดของผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาทบทวนวิธีและกิจกรรมที่จะทำการประชาสัมพันธ์
5) ให้เริ่มการประชาสัมพันธ์ให้เร็วที่สุด
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน 2544 ได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2544 (แผนใหม่) ที่ปรับตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว มีความเห็นว่า หาก สพช. จะปรับแผนประชาสัมพันธ์ตามแนวคิดและข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ ที่จะกระทบต่อการดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างทำกิจกรรมโครงการประชาสัมพันธ์ (แผนเดิม) ที่ สพช. ได้ดำเนินการคัดเลือกตามระเบียบพัสดุฯ ไปแล้ว จำนวน 13 กิจกรรม และอาจทำให้เกิดข้อโต้แย้งจากผู้เข้าร่วมประมูลแข่งขันว่า การคัดเลือกที่ผ่านมา "เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เข้เสนอราคาด้วยกัน" ดังนั้น คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ยกเลิกกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามแผนเดิมทั้งหมด แล้วให้ สพช. นำงบประมาณในส่วนที่เป็นกิจกรรม Car Free Day ไปจัดทำแผนใหม่ และ สพช. จึงได้ดำเนินการปรับแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการกองทุนฯแล้ว โดยแบ่งเป็น 3 กิจกรรมหลักดังนี้
กิจกรรมที่ 1 ชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า" นั้น คณะกรรมการกองทุนฯ มีความเห็นว่าน่าจะให้แรงจูงใจให้เกิดการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า เป็น "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" โดยตั้งกติกาว่าครอบครัวใดลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ ร้อยละ 10 ของปริมาณการใช้ไฟเดือนที่ผ่านมา หรือในเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว จะได้รับ "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" ในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ และหากทุกครัวเรือนประหยัดไฟฟ้าได้ร้อยละ 10 คิดเป็นพลังงานไฟฟ้า 2,000 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท จะต้องใช้งบประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้จะต้องขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อจ่ายให้ กฟน. และ กฟภ. เพื่อใช้เป็น "ส่วนลดค่าไฟฟ้า"
กิจกรรมที่ 2 ชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธี เพื่อประหยัดน้ำมัน" เป็นการรณรงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้รถขับรถอย่างถูกวิธีและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ โดย สพช. จะจัดทำ คู่มือขับรถอย่างถูกวิธี ออกแจกให้ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องทำการบันทึกประสิทธิภาพการใช้น้ำมันไม่น้อยกว่า 2-3 ครั้ง ก่อนที่จะปฏิบัติตามข้อแนะนำในคู่มือ จากนั้นให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือและทำการวัดประสิทธิภาพการใช้น้ำมันอีก 2-3 ครั้ง เพื่อคำนวณผลการใช้น้ำมันของรถว่ามีอัตราการใช้น้ำมัน ต่างไปจากเดิมหรือไม่เพียงใด แล้วส่งให้ สพช. ซึ่ง สพช. จะได้ให้คำแนะนำในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันต่อไป พร้อมทั้งส่งสื่อประชาสัมพันธ์อื่นๆ ที่เหมาะสมเพื่อเป็นแรงจูงใจ
กิจกรรมที่ 3 ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91" เป็นกิจกรรมสานต่อเพื่อสร้างความมั่นใจผ่านสื่อต่างๆ นอกจากนี้ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน หรือการเข้ามามีส่วนร่วมกับโครงการ โดยการใช้สื่อจูงใจ อาทิ อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน หรือรางวัลซึ่งมีแนวคิดที่จะสร้างความภาคภูมิใจ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
1) เห็นชอบ ให้ สพช. ยกเลิกผลการดำเนินการคัดเลือกผู้รับจ้างทำกิจกรรมรณรงค์ Car Free Day ที่ สพช.ได้ดำเนินการไปแล้ว จำนวน 13 กิจกรรม ดังนี้
1. ผลิตภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ ผลิตสิ่งพิมพ์ ผลิตสปอต-วิทยุ ออกแบบสื่อ Bus side ออกแบบเสื้อยืดรณรงค์ ออกแบบและจัดพิมพ์คู่มือ สติกเกอร์ และ Banner
2. ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ ระยะที่ 1
3. ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์ ระยะที่ 2
4. ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโรงภาพยนต์
5. ซื้อเนื้อที่ในสื่อสิ่งพิมพ์
6. ซื้อเวลาออกอากาศในสื่อวิทยุ
7. ซื้อพื้นที่ในสื่อ Bus side
8. บริหารกิจกรรม
9. ผลิตสื่อและซื้อเนื้อที่ในสื่อสิ่งพิมพ์ และผลิตสปอตวิทยุ และซื้อเวลาออกอากาศในสื่อวิทยุ
10. ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ผลิตสปอตวิทยุ ออกแบบและจัดพิมพ์ คู่มือ สติกเกอร์ และ Banner
11. ซื้อเวลาออกอากาศภาพยนตร์ประชาสัมพันธ์ทางสื่อโทรทัศน์
12. ซื้อเนื้อที่ในสื่อสิ่งพิมพ์
13. ซื้อเวลาออกอากาศในสื่อวิทยุ
2) เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ที่ได้ผ่านการเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนแล้ว โดยใช้งบประมาณที่ คณะกรรมการ กองทุนฯ ได้อนุมัติ ให้ สพช. แล้ว
3) เห็นชอบให้นำงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเป็นกรอบไว้แล้ว จำนวน 150 ล้านบาท มาสมทบกับงบประมาณคงเหลือของโครงการประชาสัมพันธ์ปี 2544 เพื่อดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบได้อย่างต่อเนื่อจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2545
4) อนุมัติให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอ ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติต่อไป
5) เห็นชอบสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมงบประมาณที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบไว้แล้วสำหรับแผนงานสนับสนุน อีกจำนวน 800 ล้านบาท เพื่อให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวงใช้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าหรือแรงจูงใจอื่น ที่ทำให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ โดยใช้ สพช. ทำรายละเอียดโครงการ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน หลังสิ้นสุดเงื่อนไขของสัญญา
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พพ. ได้ก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2542 โดยว่าจ้าง บริษัท ลักษณ์ อินเตอร์เทค จำกัด ทำการก่อสร้างโรงเก็บเอกสารขนาด 6x10 เมตร จำนวน 1 หลัง ในวงเงิน 410,000 บาท เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2542 และสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 26 เมษายน 2543 แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จได้ทัน ภายในวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 ซึ่งเป็นระยะเวลา 3 เดือน นับจาก วันสิ้นสุดเงื่อนไขของสัญญา ดังนั้น พพ. จึงขออนุมัติ ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินสำหรับรายการข้างต้นไปจนถึง ภายใน 30 วันนับจากวันที่ พพ. ได้รับหนังสือแจ้งให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินแล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้
1) อนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินให้ พพ. เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายเงินให้ บริษัท ลักษณ์ อินเตอร์เทค จำกัด ไปจนถึงภายใน 30 วัน นับจากวันที่ พพ. ได้รับแจ้งให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินแล้ว
2) อนุมัติให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุน ฯ ให้โครงการที่ได้รับสนับสนุนภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ แต่ ละชุดที่มีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ในกรณีที่ผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณ แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นได้
ประธานฯ ได้ขอความคิดเห็นในที่ประชุมเกี่ยวกับโครงการรณรงค์ ที่จะให้มีการปิดถนนบางส่วนและในบางเวลา ในเขตกรุงเทพมหานครเช่น การปิดถนนสีลมหรือถนนสายอื่น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ใช้รถสาธารณะแทนรถส่วนตัว และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบที่จะให้มีการรณรงค์เรื่องการปิดถนนบางส่วนและบางเวลา ในเขตกรุงเทพมหานคร เช่น อาจมีการปิดถนนสุขุมวิทในบางช่วงเวลา โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้และผลกระทบจากการปิดถนนดังกล่าวด้วย
กอ. ครั้งที่ 12 - วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2540 (ครั้งที่ 12)
วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม 2540 เวลา 13.30 น. และ
วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม 2540 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน
3. รายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2541 ของ สพช. บก. และ พพ. เพื่อบริหารงาน ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
4. แผนปฏิบัติการรวมสำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
5. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปี 2541-2543
6. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541
7. แผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2541-2543
8. ทุนการศึกษาในต่างประเทศ ปีงบประมาณ 2541
9. โครงการส่งเสริมก๊าซชีวภาพ เพื่อเป็นพลังงานทดแทน และปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 1 : ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 2
10. โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ (ระยะที่ 2)
11. โครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น อาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานครแห่งใหม่ (ดินแดง)
12. โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศ เขตร้อนชื้น
13. โครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้านพลังงานสะอาด สำหรับอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า
14. โครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพพลังงานลมของประเทศไทย
15. ขอความเห็นชอบในการใช้เงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินสนับสนุนเพิ่มเติมให้โครงการที่ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อลดผลกระทบจากค่าเงินบาทลอยตัว
รองนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) เป็นประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงรายงานผลการตรวจสอบการเงิน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2535 ปี 2536 และปี 2537 และงบการเงินประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2539 ซึ่งกรมบัญชีกลางได้จัดทำส่งให้ สตง. ตรวจสอบ พร้อมทั้งรายงานบัญชีเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาประดิพัทธ์ 14,022,009,395.91 บาท และรายงานเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ตามแผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 ของ สพช. บก. และ พพ. ซึ่งได้เบิกเงินเพื่อดำเนินงานตามแผนงานฯ ไปแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 807,886,522.66 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานแผนงานภาคบังคับ ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ระหว่างปี 2538-2540 มีดังนี้
1.1 อาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
- อาคารควบคุมได้แจ้งแต่งตั้งผู้รับผิดชอบด้านพลังงานแก่ พพ. แล้วจำนวน 761 รายจากจำนวนทั้งสิ้น 953 ราย คิดเป็นจำนวนบุคลากร 1,193 คน
- อาคารควบคุมได้ส่งข้อมูลการใช้พลังงานให้แก่ พพ. ทุก 6 เดือน โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2539 (มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 529 ราย สำหรับในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2539 (กรกฎาคม-ธันวาคม) มีผู้ส่งข้อมูล จำนวน 319 ราย
- อาคารควบคุมได้ยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น จำนวนทั้งสิ้น 331 ราย และได้รับอนุมัติให้ดำเนินการแล้ว 116 ราย เป็นเงิน 16.6 ล้านบาท
- พพ. ได้อนุมัติให้มีการขึ้นทะเบียนที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุมไปแล้วรวมทั้งสิ้น 74 ราย
1.2 โรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
- พระราชกฤษฎีกากำหนดโรงงานควบคุม และกฎกระทรวงเกี่ยวกับโรงงานควบคุมที่ออกตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17กรกฎาคม 2540 จะทำให้โรงงานจำนวน 2,557 ราย ที่อยู่ในข่ายโรงงานควบคุม ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2540 ได้มีมติเห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ตามที่ พพ. เสนอ และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
1.3 โครงการโรงงานและอาคารควบคุมที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง
- อยู่ในระหว่างการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการโดยละเอียดเกี่ยวกับการพิจารณาการให้การสนับสนุนในโครงการดังกล่าว
2. ผลการพิจารณาอนุมัติ/เห็นชอบโครงการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน จนถึงวันที่ 15 กันยายน 2540 มีดังนี้
2.1 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ได้มีมติอนุมัติโครงการที่เกี่ยวกับอาคารของรัฐ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 704,523,923 บาท
2.2 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือและคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ จำนวน 23 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 227,154,723 บาท
2.3 คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนและคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติโครงการภายใต้แผนงานสนับสนุน จำนวน 8 โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 714,972,561.10 บาท
มติที่ประชุม
รับทราบผลการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงาน และเห็นชอบให้ สพช. ทำการประเมินผลโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2537 เมื่อวันพุธที่ 3 สิงหาคม 2537 ได้มีมติให้คณะกรรมการกองทุนฯ จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2537-2542 ซึ่งมีวงเงินรวม 19,286 ล้านบาท และได้อนุมัติวงเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ สำหรับ สพช. บก. และ พพ. และเพื่อให้ทั้งสามหน่วยงานสามารถดำเนินงานตามหน้าที่ความรับผิดชอบได้ตามที่ได้รับมอบหมายในปี 2541 หน่วยงานดังกล่าวจึงขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2541 เพื่อใช้ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำงบประมาณรายจ่ายฯ ของทั้งสามหน่วยงานเข้าพิจารณาในคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุน และคณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2541 ของทั้ง 3 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 320,370,793 บาท โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
วงเงินที่ขออนุมัติเพื่อบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2541
หน่วย : บาท
สพช | บก. | พพ. | รวม | |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 2,285,040 | 297,840 | 14,580,480 | 17,163,360 |
2. ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 10,866,219 | 172,00 | 24,750,440 | 35,788,659 |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 936,000 | - | 3,458,000 | 4,394,000 |
4. ค่าครุภัณฑ์ | 1,025,000 | 280,000 | 17,517,700 | 18,822,700 |
5. รายจ่ายอื่น (ค่าจ้างที่ปรึกษา) | 63,104,074 | - | 181,098,000 | 244,202,074 |
รวม | 78,216,333 | 749,840 | 241,404,620 | 320,370,793 |
มติที่ประชุม
งบประมาณค่าใช้จ่ายของ สพช.
1) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2541 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สพช. ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 78,216,333 บาท (เจ็ดสิบแปดล้านสองแสนหนึ่งหมื่นหกพันสามร้อยสามสิบสามบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฎในเอกสารแนบ 4.1.1 ของระเบียบวาระการประชุม โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายของ บก.
2) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2541 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ บก. ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 749,840 บาท (เจ็ดแสนสี่หมื่นเก้าพันแปดร้อยสี่สิบบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฎในเอกสารแนบ 4.1.2 ของระเบียบวาระการประชุม โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนเพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายของ พพ.
3) อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2541 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ พพ. ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ในวงเงิน 241,404,620 บาท (สองร้อยสี่สิบเอ็ดล้านสี่แสนสี่พันหกร้อยยี่สิบบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฎในเอกสารแนบ 4.1.3 ของระเบียบวาระการประชุม โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 5 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
4) อนุมัติให้ สพช. บก. และ พพ. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2541 ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540
เรื่องที่ 4 แผนปฏิบัติการรวมสำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาแผนการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งานปี 2540-2541 (เฉพาะอาคารควบคุม) ซึ่งที่ประชุมได้มีมติอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายของแผนฯ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 6,391.8 ล้านบาท โดยไม่ต้องขออนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นรายปี และสามารถปรับแผนการใช้เงินได้ตามงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และให้ พพ. จัดทำแผนปฏิบัติการรวมสำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน แล้วนำเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป นั้น
บัดนี้ พพ. ได้จัดทำแผนปฏิบัติการรวมโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. แผนปฏิบัติการรวมสำหรับโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ประกอบด้วยแผนปฏิบัติการหลัก 3 แผนงาน ดังนี้
1.1 แผนปฏิบัติการโครงการอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2540 ได้มีมติเห็นชอบแล้ว ซึ่ง พพ. ขอเปลี่ยนแปลงแผนฯ ตามความเหมาะสม ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
กิจกรรม | 2540 | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | รวม |
แผนปฏิบัติการฯ (อาคารควบคุม) | ||||||||
- การตรวจสอบฯ เบื้องต้น - การจัดทำเป้าหมายฯ - การสนับสนุนการลงทุนฯ |
64.9 - - |
30.4 238.0 1,450.0 |
- 238.5 4,370.0 |
- - - |
- - - |
- - - |
- - - |
95.3 |
รวม | 64.9 | 1,718.4 | 4,608.5 | - | - | - | - | 6,391.8 |
1.2 แผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมที่กำลังใช้งาน
คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2540 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 24มิถุนายน 2540 ได้มีมติเห็นชอบแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติในการประชุมครั้งนี้ โดยสรุปแผนการดำเนินงานและงบประมาณได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
กิจกรรม | 2540 | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | รวม |
แผนปฏิบัติการฯ โรงงานควบคุม | ||||||||
- การตรวจสอบฯ เบื้องต้น - การจัดทำเป้าหมาย - การสนับสนุนการลงทุนฯ |
- - - |
11.1 - - |
50.8 55.5 155.0 |
45.0 254.0 945.0 |
159.9 225.0 1,700.0 |
50.8 799.5 3,030.0 |
45.0 254.0 3,125.0 |
362.6 1,588.0 8,955.0 |
รวม | - | 11.1 | 261.3 | 1,244.0 | 2,084.9 | 3,880.3 | 3,424.0 | 10,905.6 |
1.3 แผนปฏิบัติการสนับสนุนการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน
เป็นการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ที่ พพ. จัดทำไว้เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ให้สามารถดำเนินงานได้ตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานและบรรลุตามวัตถุประสงค์ของ พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ โดยมีกิจกรรมต่างๆ ภายใต้แผนการปฏิบัติการและงบประมาณตามตารางที่แสดงดังต่อไปนี้ ซึ่งงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมนั้นจะขอรับการสนับสนุนจากแผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุนเป็นแต่ละกิจกรรมไป
หน่วย:ล้านบาท
กิจกรรม | 2540 | 2541 | 2542 | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | รวม |
แผนปฏิบัติการสนับสนุนฯ | ||||||||
- การจัดส่งผู้ชำนาญการไปเยี่ยมแนะนำเบื้องต้น - การขึ้นทะเบียนที่ปรึกษา - การให้บริการข้อมูลข่าวสาร - การฝึกอบรม - การสาธิตเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน - การจ้างที่ปรึกษาตรวจสอบ - การจัดตั้งระบบฐานข้อมูลพลังงาน และระบบการจัดการข้อมูลพลังงาน - การจัดตั้งศูนย์สารสนเทศทางเทคนิคด้านประสิทธิภาพ - การติดตามปัญหาและอุปสรรคอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม - การติดตามประเมินผลโครงการฯ |
1.44 - - - - - - - - - |
9.65 - 5.00 27.50 90.00 130.70 5.00 3.50 18.00 - |
8.55 - 8.00 36.25 30.00 171.20 5.00 4.00 20.00 14.00 |
28.50 - 10.00 45.00 40.00 348.72 10.00 4.50 36.00 7.00 |
- - - - - 187.92 - - - - |
- - - - - 178.56 - - - - |
- - - - - - - - - - |
48.14 - 23.00 108.75 160.00 1,017.10 20.00 12.00 74.00 21.00 |
รวม | 1.44 | 289.35 | 297.00 | 529.72 | 187.92 | 178.56 | - | 1,483.99 |
งบประมาณ
งบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานของแผนปฏิบัติการทั้ง 3 แผนงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 18,781.39 ล้านบาท ในช่วงปี พ.ศ. 2540-2546 โดย พพ. ได้จัดสรรการใช้เงินจากกองทุนฯ ดังนี้
1) แผนปฏิบัติการในส่วนของอาคารควบคุม 6,391.8 ล้านบาท และในส่วนของโรงงานควบคุม 10,905.6 ล้านบาท จะใช้งบประมาณจากแผนงานภาคบังคับ
2) แผนปฏิบัติการสนับสนุนการดำเนินงานอนุรักษ์พลังงานฯ 1,483.99 ล้านบาท ใช้งบประมาณจากแผนงานสนับสนุนและแผนงานภาคความร่วมมือ
3. ผลที่คาดว่าจะได้รับ
จากการดำเนินงานตามแผนงานอนุรักษ์พลังงานที่กำหนดไว้ใน พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 2535 ทั้งในส่วนของอาคารควบคุมและโรงงานควบคุม จะมีการอนุรักษ์พลังงานทั้งหมด ดังนี้
ด้านไฟฟ้า ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า 4,997 ล้านหน่วย/ปี
- คิดเป็นเงิน 9,994 ล้านบาท/ปี
- ลดความต้องการพลังไฟฟ้า 950 เมกะวัตต์
- ชลอการลงทุนได้ 42,750 ล้านบาท
ด้านเชื้อเพลิง ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง 1,046 ล้านลิตรน้ำมันดิบ/ปี
- คิดเป็นเงิน 3,160 ล้านบาท/ปี
- รวมเป็นเงินที่ลดได้ทั้งหมด 13,154 ล้านบาท/ปี
- ชลอการลงทุนด้านไฟฟ้า 42,750 ล้านบาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติแผนปฏิบัติการและงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ปี 2540-2546 ดังรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสารแนบ 4.2.2 ของระเบียบวาระการประชุม
2. เห็นชอบงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ ปี 2540-2546 ในวงเงินทั้งสิ้น 10,905.6 ล้านบาท โดยปีงบประมาณ 2541 อนุมัติวงเงินทั้งสิ้น 11.1 ล้านบาท ส่วนในปีต่อๆ ไปต้องขออนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายเป็นรายปี หลังจากที่ได้ทำการประเมินผลการดำเนินการในปีที่ผ่านมาแล้ว
3. ให้ประธานอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับมีอำนาจอนุมัติค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น ในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาทต่อราย เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่โรงงานควบคุมโดยตรงตามแผนปฏิบัติการโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ และเมื่อดำเนินการแล้วให้แจ้งคณะอนุกรรมการฯ เพื่อทราบด้วย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2538-2539 สพช. ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้วรวม 10 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 210,136,622.99 บาท และในปีงบประมาณ 2540 สพช. ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้วรวม 11 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 49,678,439.20 ล้านบาท โดย สพช. ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว 4 กิจกรรม และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ 7 กิจกรรม และในการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 2/2539 (ครั้งที่ 9) เมื่อวันพุธที่ 19 สิงหาคม 2539 ที่ประชุมได้มีมติให้ สพช. ทำการประเมินผลโครงการ ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน หลังจากที่ได้ดำเนินการไปแล้ว 6 เดือน และให้เสนอผลการประเมินต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พร้อมกับแผนงานประชาสัมพันธ์ ปี 2541-2543
สพช. ได้ดำเนินการประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ภายใต้แผนปฏิบัติการ "รวมพลังหาร 2" ซึ่งดำเนินงานระหว่างเดือนกันยายน 2539 - กรกฎาคม 2540 ไปแล้ว พบว่าประชาชนแสดงความรู้จักต่อโครงการ "รวมพลังหาร 2" และแนวความคิดของโครงการฯ เป็นอย่างดี นอกจากนั้นประชาชนยังมีความเข้าใจต่อแนวทางในการอนุรักษ์พลังงานคือการใช้พลังงานเท่าที่จำเป็น และพร้อมที่จะนำมาปฏิบัติมากขึ้น โดยมีความตระหนักถึงผลดีของการประหยัดพลังงานมากขึ้น รวมถึงมีความเข้าใจว่าการประหยัดพลังงานไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างที่เคยคิดกัน โดยสรุปสามารถกล่าวได้ว่าโครงการ "รวมพลังหาร 2" ในปีที่ผ่านมา ได้สร้างกระแสความนิยมในการอนุรักษ์พลังงาน และเริ่มสร้างทัศนคติที่ดีต่อคุณค่าพลังงานให้แก่ประชาชนทั่วไป
สพช. เห็นสมควรที่จะได้มีการสืบทอดแนวทางในการรณรงค์รวมพลังหาร 2 เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ภาครัฐและเอกชนตลอดจนผู้บริโภคได้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการพัฒนาและเสริมสร้างประสิทธิภาพการใช้พลังงานและทรัพยากรทุกชนิด สพช. จึงได้จัดทำแผน 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2541 ถึง 2543 เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 11/2540 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการดังกล่าว และเห็นชอบ งบประมาณของโครงการประชาสัมพันธ์ตามแผนปฏิบัติการฯ ปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 190,600,000 บาท พร้อมทั้งให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
งบประมาณของแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ 3 ปี ในวงเงิน 627,100,000 บาท ดังนี้
ปีงบประมาณ 2541 | เป็นจำนวนเงิน 190,600,000 บาท |
ปีงบประมาณ 2542 | เป็นจำนวนเงิน 173,500,000 บาท |
ปีงบประมาณ 2543 | เป็นจำนวนเงิน 263,000,000 บาท |
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์ปีงบประมาณ 2541 แบ่งกิจกรรมตามกลุ่มเป้าหมายได้ ดังนี้
1. สาธารณชนทั่วไป | |
1.1 จัดทำเอกสารเผยแพร่สาระน่ารู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน | เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท |
1.2 โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อ | เป็นจำนวนเงิน 70,000,000 บาท |
1.3 สารคดีทางวิทยุ | เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท |
1.4 สารคดีทางโทรทัศน์ | เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท |
1.5 การแสดงท้องถิ่น | เป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาท |
1.6 แรลลี่จักรยานและมินิมาราธอน | เป็นจำนวนเงิน 3,500,000 บาท |
1.7 มหกรรมอนุรักษ์พลังงานภาคเหนือ | เป็นจำนวนเงิน 2,000,000 บาท |
1.8 โขนหาร 2 | เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท |
1.9 สื่อหาร 2 | เป็นจำนวนเงิน 7,000,000 บาท |
รวม 102,500,000 บาท | |
2. เยาวชน | |
2.1 ศูนย์นิทัศน์พลังงานเพื่ออนาคต | เป็นจำนวนเงิน 5,000,000 บาท |
2.2 นิทรรศการ "เปิดโลกพลังงาน" | เป็นจำนวนเงิน 3,000,000 บาท |
2.3 การแสดงสำหรับเยาวชน "ละครสัญจร" | เป็นจำนวนเงิน 4,000,000 บาท |
2.4 ค่ายเยาวชนอนุรักษ์พลังงาน | เป็นจำนวนเงิน 8,000,000 บาท |
2.5 ประกวดประพันธ์เพลงและร้องเพลง | เป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท |
2.6 รองเท้าแตะ และเสื้อนักเรียน "เพื่อเยาวชนหาร 2" | เป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท |
รวม 35,000,000 บาท | |
3. องค์กรภาคเอกชน | |
อาคารหาร 2 | เป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท |
4. สื่อมวลชน | |
4.1 ศูนย์ประชาสัมพันธ์ "รวมพลังหาร 2" | เป็นจำนวนเงิน 6,000,000 บาท |
4.2 รางวัลสื่อมวลชนดีเด่นเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน | เป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาท |
รวม 7,500,000 บาท | |
5. ติดตามและประเมินผล | เป็นจำนวนเงิน 9,000,000 บาท |
6. บริหารโครงการ "รวมพลังหาร 2" | เป็นจำนวนเงิน 7,600,000 บาท |
7. อื่นๆ ที่ยังไม่ได้ระบุ | เป็นจำนวนเงิน 20,000,000 บาท |
รวม 190,600,000 บาท |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541-2543 โดยให้มีการปรับปรุงแผนฯ ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ในปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 190,600,000 บาท
2. เห็นชอบให้ สพช.ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ โดยให้ สพช. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ สพช. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าเกิน 5 ล้านบาท
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ปี 2538-2539 พพ. ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้วรวม 10 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 40,587,520 บาท และในปี 2540 พพ. ได้ดำเนินการตามโครงการประชาสัมพันธ์ที่ได้รับการอนุมัติไปแล้วรวม 18 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 75,648,327 บาท สำหรับในปี 2541 ได้จัดทำแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ เพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 11/2540 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ และมีมติเห็นชอบให้ พพ. ดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ดังกล่าว และเห็นชอบงบประมาณของโครงการฯ ในวงเงิน 88,900,000 บาท
กิจกรรมการประชาสัมพันธ์ฯ ปี 2541
โครงการประชาสัมพันธ์สำหรับปีงบประมาณ 2541 ซึ่ง พพ. จะเน้นการเพิ่มพูนความรู้ ความเข้าใจในเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะครอบคลุมการใช้สื่อต่างๆ อย่างครบวงจร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องและถูกต้อง อาทิ สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ ตลอดจนการจัดสัมมนาและนิทรรศการ เป็นต้น โดยได้กำหนดกิจกรรมการประชาสัมพันธ์เป็น 3 กิจกรรม ดังนี้
กิจกรรมที่ 1 การประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 แผนงานอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนฯ ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์ให้กับโรงงาน/อาคารควบคุม บริษัทที่ปรึกษา ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ทราบถึง พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง แผนงานและโครงการอนุรักษ์พลังงาน ตลอดจนกองทุนฯ และประโยชน์ที่จะได้จากกองทุนฯ ประกอบด้วย 4 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 17,200,000 บาท
กิจกรรมที่ 2 การสร้างจิตสำนึก เป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ผู้เกี่ยวข้องกับโรงงานอาคารทั่วไป บริษัทที่ปรึกษา ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายวัสดุอุปกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้ทราบถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการอนุรักษ์พลังงาน และผลกระทบจากการผลิต การใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้ร่วมกันอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย 7 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 36,000,000 บาท
กิจกรรมที่ 3 การให้ความรู้ ข้อมูล และข่าวสาร เป็นการรณรงค์ให้ความรู้ และวิธีการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งได้แก่ เทคโนโลยีการออกแบบอาคาร/โรงงานที่อนุรักษ์พลังงาน อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง วัสดุอุปกรณ์ที่ช่วยในการอนุรักษ์พลังงาน การควบคุม การบำรุงรักษา และการจัดการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโรงงาน/อาคารควบคุมและทั่วไป บริษัทที่ปรึกษา ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอุปกรณ์ และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 12 กิจกรรม เป็นจำนวนเงิน 35,700,000 บาท
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบปีงบประมาณ 2541 และอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ ในปีงบประมาณ 2541 ในวงเงิน 88,900,000 บาท
2. เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์โดยให้ พพ. ดำเนินการคัดเลือกผู้ที่จะรับทำโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และให้ พพ. นำผลการพิจารณาคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญาในกรณีที่วงเงินมีมูลค่าเกิน 5 ล้านบาท
เรื่องที่ 7 แผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2541-2543
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ปีงบประมาณ 2540 ได้สิ้นสุดลงแล้ว โดยกองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรตามแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ในปี 2540 เป็นจำนวนเงิน 338.9 ล้านบาท และเนื่องจากได้มีความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรด้านอนุรักษ์พลังงานที่ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำเสนอแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากรสำหรับปีงบประมาณ 2541-2543 ให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 11/2540 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบกับแผนแม่บทดังกล่าวพร้อมทั้งให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป โดยสรุปได้ดังนี้
องค์ประกอบและงบประมาณของแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2541-2543
แผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากรประกอบด้วย 6 กิจกรรมหลัก คือ
กิจกรรม | องค์กรที่สามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ |
1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการสอน แบบเรียน คู่มือ และเครื่องมือที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมและทำงาน และห้องปฏิบัติการ | สพช. พพ. บก. กระทรวงศึกษาธิการ |
มหาวิทยาลัยของรัฐ/เอกชน | |
สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า | |
2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศ | สพช. บก. พพ. มหาวิทยาลัยของรัฐ ส่วนราชการ |
รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชนไม่มุ่งค้ากำไร | |
3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรม และดูงานระยะสั้นในต่างประเทศ | สพช. บก. พพ. ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ |
องค์กรเอกชนไม่มุ่งค้ากำไร | |
4) การส่งบุคลการเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษา ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ | สพช. บก. พพ. ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ |
5) การให้ทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา | มหาวิทยาลัยของรัฐ |
6) อื่นๆ | สพช. พพ. บก. ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยของรัฐ |
องค์กรเอกชนไม่มุ่งค้ากำไร |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ดังรายละเอียดปรากฎในเอกสารแนบ 4.5.3 ของระเบียบวาระการประชุม เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้การสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน โดยให้ผู้สนใจขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ยื่นข้อเสนอต่อ สพช. เพื่อวิเคราะห์และกลั่นกรองข้อเสนอและนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2541-2543 ในวงเงิน 1,144.8 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ | ||||
กิจกรรม | 2541 | 2542 | 2543 | รวม |
1) การพัฒนาหลักสูตร สื่อการสอน แบบเรียน คู่มือ และเครื่องมือที่ใช้ประกอบการฝึกอบรมและทำงาน และห้องปฏิบัติการ | 292 | 234.6 | 98 | 624.6 |
2) การฝึกอบรมบุคลากรระยะสั้นในประเทศไทย | 81.4 | 69.4 | 70.4 | 221.2 |
3) การส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมและดูงาน | ||||
ระยะสั้นในต่างประเทศ | 20 | 20 | 20 | 60 |
4) การส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับ | 81 | 49 | 49 | 179 |
อุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ | ||||
5) การให้ทุนวิจัยและพัฒนาแก่นักศึกษาระดับ | 5 | 5 | 5 | 15 |
อุดมศึกษา | ||||
6) อื่น ๆ | 15 | 15 | 15 | 45 |
รวม | 494.4 | 393.0 | 257.4 | 1,144.8 |
เรื่องที่ 8 ทุนการศึกษาในต่างประเทศ ปีงบประมาณ 2541
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน ในการประชุมครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 31) เมื่อวันพุธที่ 21 พฤษภาคม 2540 ได้อนุมัติจัดสรรทุนให้กับหน่วยงานต่างๆ เป็นทุนการศึกษาในต่างประเทศระดับปริญญาโท จำนวน 10 ทุน และระดับปริญญาเอก จำนวน 3 ทุน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้บริหารงบประมาณ และเป็นผู้คัดเลือก ผู้เหมาะสมจะรับทุนร่วมกับคณะอนุกรรมการฯ แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ อนุมัติตัวบุคคลผู้รับทุนและงบประมาณค่าใช้จ่ายต่อไป แต่เนื่องจากสำนักงาน ก.พ. ไม่สามารถดำเนินการสอบคัดเลือกทุนได้ทันในปีงบประมาณ 2540 ดังนั้น สพช. จึงเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้เพิ่มวงเงินงบประมาณทุนการศึกษาในต่างประเทศ ในปีงบประมาณ 2541 จากแผนเดิม จำนวน 40 ล้านบาท รวมเป็น 72 ล้านบาท โดยการนำทุนการศึกษาในต่างประเทศปีงบประมาณ 2540 จำนวน 32 ล้านบาท มารวมกับงบประมาณปี 2541 จำนวน 40 ล้านบาท
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สพช. นำงบประมาณโครงการส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ ปี 2540 ภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร จำนวน 32 ล้านบาท มาสมทบกับเงินงบประมาณ ปี 2541 ที่มีอยู่ตามแผนเดิม จำนวน 40 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินงบประมาณ โครงการส่งบุคลากรเข้ารับการศึกษาระดับอุดมศึกษาในต่างประเทศ ปี 2541 จำนวนทั้งสิ้น 72 ล้านบาท
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2538 (ครั้งที่ 6) เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2538 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 1 : ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 1 ปีแรก โดยมีเป้าหมายของโครงการที่ปริมาตรของระบบรวม 10,000 ม3 ในวงเงิน 22,401,436 บาท ซึ่งจากการดำเนินโครงการฯ ตามกำหนดระยะเวลาโครงการ 2 ปีแรก (ระหว่างปี พ.ศ.2538-2540) สถาบันฯ ได้ทำการส่งเสริมและเผยแพร่เทคโนโลยีระบบก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ฯ และสามารถดำเนินการก่อสร้างระบบก๊าซชีวภาพได้ครบ 10,000 ม3 ตามเป้าหมาย และมีเจ้าของฟาร์มแสดงความจำนงค์ที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เป็นจำนวนมาก มช. จึงได้เสนอแผนของโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นระยะที่ 2 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 5/2540 (ครั้งที่ 14) เมื่อวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2540 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ และมีมติเห็นชอบในโครงการดังกล่าว และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
มช. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2540-2545 (4 ปี 6 เดือน) จำนวนเงินทั้งสิ้น 101,322,980 บาท ประกอบด้วย
รายการ | ปีที่ 1 | ปีที่ 2 | ปีที่ 3 | ปีที่ 4 | รวม |
เงินอุดหนุนให้กับเจ้าของโครงการ | 17,046,500 | 11,703,900 | 14,375,540 | 13,077,040 | 56,202,980 |
เงินอุดหนุนให้กับผู้ร่วมโครงการ | 11,280,000 | 11,280,000 | 11,280,000 | 11,280,000 | 45,120,000 |
รวมเงินสนับสนุนจากกองทุน | 28,326,500 | 22,985,900 | 25,655,540 | 24,357,040 | 101,322,980 |
เงินที่ผู้ร่วมโครงการลงทุนเอง | 22,720,000 | 22,720,000 | 22,720,000 | 22,720,000 | 90,880,000 |
คิดเป็นสัดส่วนการร่วมลงทุนระหว่างเกษตรกร 67 % และกองทุนฯ 33 %
กิจกรรมดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม คือ
1) ผลิตก๊าซชีวภาพได้ปีละ 7.3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานเทียบเท่าก๊าซหุงต้มจำนวน 50.6 ล้านกิโลกรัม
2) บำบัดน้ำเสียที่เกิดจากการเลี้ยงสุกรในรูปของ COD ได้ปีละไม่น้อยกว่า 40,000 ตัน (COD น้ำเสียจากโรงเรือนเลี้ยงสัตว์จะมีค่าประมาณ 4,000 มก./ลิตร และภายหลังผ่านระบบก๊าซชีวภาพและระบบบำบัดแล้ว COD จะมีค่าน้อยกว่า 120 มก./ลิตร)
3) สามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่เหมาะสมกับพืชและช่วยปรับปรุงงบประมาณ 26,000 ตันต่อปี
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท ให้สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นพลังงานทดแทนและปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ส่วนที่ 1: ฟาร์มขนาดกลางและขนาดใหญ่ ระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2540-2545 ในวงเงิน 101,322,980 บาท ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.7.4 ของระเบียบวาระการประชุม (หนึ่งร้อยหนึ่งล้านสามแสนสองหมื่นสองพันเก้าร้อยแปดสิบบาทถ้วน)
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอผลการดำเนินการตามโครงการฯ เมื่อดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
เรื่องที่ 10 โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ (ระยะที่ 2)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2539 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประหยัดพลังงานในโรงบ่มใบยาสูบ ในวงเงิน 10,711,000 บาท เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่เทคโนโลยีการบ่มใบยาสูบแบบความร้อนรวมศูนย์แก่ผู้บ่มใบยาสูบในเขตภาคเหนือ จำนวน 5แห่ง โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการฯ 2ปี (เมษายน 2539-เมษายน 2541)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประเมินโครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบจากโรงบ่ม ชุดที่ 1 และ ชุดที่ 2 ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ครั้งที่ 1 และเริ่มเดินระบบแล้ว ปรากฎผลเป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายเทคโนโลยีดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่ใช้งานมากขึ้น มช. จึงได้จัดทำข้อเสนอโครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ เพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นครั้งที่ 2 มายัง สพช. ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กันยายน 2540ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ และมีมติเห็นชอบในโครงการดังกล่าว และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการคือ เป็นระบบการบ่มใบยาสูบแบบอัดแน่นซึ่งใช้ความร้อนรวมศูนย์ โดยมีเตาเผาเชื้อเพลิงและหม้อน้ำร้อนชุดเดียวให้ความร้อนแก่โรงบ่ม 6 โรง ระบบนี้จะทำให้ใบยาที่บ่มมีคุณภาพดี และลดปริมาณการใช้เชื้อเพลิงในการบ่มใบยาสูบ จึงเป็นการลดปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ปล่อยจากโรงบ่ม และลดการตัดไม้ทำลายป่าด้วย โดยมีเป้าหมายในการดำเนินโครงการดังนี้
1) ส่งเสริมให้มีการติดตั้งใหม่หรือเพิ่มกำลังผลิตระบบบ่มใบยาสูบแบบความร้อนรวมศูนย์อย่างน้อย 9,000,000 กิโลกรัมใบยาแห้ง/ปี ในจังหวัดต่างๆ ในเขตภาคเหนือ
2) ประเมินประสิทธิภาพและวิธีการจัดการใบยาสูบ และกำหนดมาตรการในการปรับปรุงประสิทธิภาพเชิงความร้อน ลดการใช้แรงงาน เพิ่มคุณภาพของใบยาแห้ง และเพิ่มจำนวนครั้งที่บ่มได้ต่อโรงต่อปีอย่างต่อเนื่อง
3) ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี รวมทั้งการจัดการระบบบ่มใบยาสูบแบบความร้อนรวมศูนย์ให้แก่ผู้บ่มใบยาสูบ ชาวไร่ บริษัทเอกชน และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องรวมไม่ต่ำกว่า 75 คน พร้อมทั้งติดตามให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง
มช. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงิน 223,567,520 บาท ในระยะ 3 ปี (2540-2543) ประกอบด้วย
รายการ | ปีที่ 1 | ปีที่ 2 | ปีที่ 3 | รวม |
ก. เงินสนับสนุนให้กับผู้ร่วมโครงการ | 27,720,000 | 79,200,000 | 95,040,000 | 201,960,000 |
ข. เงินสนับสนุนให้กับเจ้าของโครงการ(มหาวิทยาลัยเชียงใหม่) | 4,099,300 | 7,964,900 | 9,543,320 | 21,607,520 |
รวมค่าใช้จ่ายขอรับการสนับสนุน | 31,819,300 | 87,164,900 | 104,583,320 | 223,567,520 |
ค. เงินที่ผู้ร่วมโครงการลงทุนเอง | 35,280,000 | 100,800,000 | 120,960,000 | 257,040,000 |
สัดส่วนของการร่วมลงทุน
ผู้ร่วมโครงการ 56 %
กองทุนฯ 44 %
โครงการดังกล่าวมีประโยชน์ต่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม คือ
1) ประหยัดพลังงานความร้อนได้ 67%
2) ประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง 31,946,424 บาท/ปี
3) ประหยัดพลังงานที่ใช้ในการบรรจุใบยา
4) ลดก๊าซ SOx 2,345 ตัน/ปี
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการพลังงานหมุนเวียนและกิจกรรมการผลิตในชนบท ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ (ระยะที่ 2) ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.8.6 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 223,567,520 บาท (สองร้อยยี่สิบสามล้านห้าแสนหกหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยยี่สิบบาทถ้วน)
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอผลการดำเนินการตามโครงการฯ เมื่อดำเนินงานไปแล้วแต่ละปี เพื่อให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุนด้านการเงินในการดำเนินงานในปีถัดไป
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เสนอโครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (Load Management) ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น อาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานครแห่งใหม่ (ดินแดง) มายัง สพช. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในส่วนของโครงการส่งเสริมและด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 ที่ประชุมได้พิจารณา โครงการฯ นี้แล้ว โดยได้มีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการ คือ ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น (Ice Storage System) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้เก็บความเย็นเอาไว้ในรูปของน้ำแข็งเพื่อนำออกมาใช้ต่อไปในภายหลังเมื่อต้องการทำความเย็น เป็นแนวทางในการประหยัดไฟฟ้าที่เป็นมาตรการและเทคโนโลยีที่มีใช้แพร่หลายในต่างประเทศ ซึ่ง กฟผ. จะนำมาดำเนินการติดตั้งเป็นโครงการนำร่อง ณ อาคารว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง) ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอย 174,139.2 ตารางเมตร โดยแต่เดิมได้มีการออกแบบที่จะติดตั้งระบบปรับอากาศแบบปกติขนาด 6,400 ตัน ซึ่งมีความต้องการใชัไฟฟ้าที่ 4,480 กิโลวัตต์ ทั้งนี้ กฟผ. จะร่วมกับสำนักการโยธากรุงเทพมหานครในการออกแบบและติดตั้งระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็นขนาด 4,600 ตัน ทำงานร่วมกับระบบปรับอากาศปกติขนาด 1,800 ตัน เพื่อทดแทนระบบเดิมที่ กรุงเทพมหานคร ได้ออกแบบไว้ดังกล่าว ซึ่งจะมีผลให้ลดความต้องการใช้ไฟฟ้าของอาคารในช่วงสูงสุด (Peak Load) ลงได้ 4,405 กิโลวัตต์ ในช่วงเวลา 13:00-17:00 น.
ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ
1) เป็นการลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงสูงสุด ซึ่งทำให้สามารถลดหรือชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าได้ 4,405 กิโลวัตต์ คิดเป็นเงินลงทุน 132.14 ล้านบาท
2) เป็นการสนองนโยบายรัฐบาล ในโครงสร้างค่าไฟฟ้าประเภท Time of Use
3) เป็นการใช้ทรัพยากรพลังงานซึ่งได้แก่ ลิกไนท์ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตพลังงานไฟฟ้าในช่วง Off Peak แทนการใช้น้ำมันซึ่งเป็นพลังงานที่ต้องการนำเข้าจากต่างประเทศ
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้สำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า ระบบปรับอากาศแบบกักเก็บความเย็น อาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานครแห่งใหม่ (ดินแดง) ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.9.2 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 70,000,000 บาท (เจ็ดสิบล้านบาทถ้วน)
เรื่องที่ 12 โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศ เขตร้อนชื้น
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สพช.) ได้เสนอโครงการมายัง สพช. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในส่วนของโครงการซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว โดยได้มีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการ คือ เป็นโครงการที่เน้นด้านการวิจัยเซลล์แสงอาทิตย์ การประกอบแผง การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตขนาดย่อมเชิงสาธิต (Pilot Plant) ประมาณการผลิต 150 kW ตลอดระยะโครงการเพื่อเป็นแนวทางการผลิตเต็มรูปแบบในเชิงพาณิขย์ และเผยแพร่สู่สาธารณชนต่อไปในอนาคต งบประมาณตลอดโครงการ เป็นเงิน 205 ล้านบาท ส่วนที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เฉพาะในส่วนค่าครุภัณฑ์ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 90 ล้านบาท
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1) ด้านเทคโนโลยี
- สามารถสร้างต้นแบบเซลล์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทย โดยใช้เทคโนโลยีของตนเองได้
- เพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัย พัฒนา และวิศวกรรมทางเทคโนโลยีสาขาเซลล์แสงอาทิตย์ให้กับภาครัฐ และเอกชน
- การพัฒนากำลังคนสำหรับงานวิจัย พัฒนา และวิศวกรรมในสาขาเทคโนโลยีสาร กึ่งตัวนำอันเป็นสาขาขาดแคลน
- ผลตอบแทนจากการขายหรือถ่ายทอดเทคโนโลยีและจากสิทธิบัตร
2) ด้านอุตสาหกรรม
- กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิต การขาย และการส่งออกเซลล์แสงอาทิตย์
3) ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม
- สามารถผลิตพลังงานที่สะอาด เพื่อสนองต่อความต้องการของประเทศ อีกทั้งยังช่วยลดภาระของ กฟผ. ในการจัดหาพลังงานเสริมเพิ่มให้กับผู้บริโภคในช่วงเวลาความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงระหว่างเวลา 9:00-16:00 น.
- มีการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน และในระดับประเทศ เป็นการเพิ่มรายได้จากการส่งออกเซลล์ แผงเซลล์ หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดการนำเข้าน้ำมัน
4) ประโยชน์จากการผลิตพลังงานโดยไม่ปล่อยสารพิษ
- SOX 0.25 บาท/กิโลวัตต์-ชม.
- NOX 0.20 บาท/กิโลวัตต์-ชม.
- CO2 0.10 บาท/กิโลวัตต์-ชม.
- จากการไม่ใช้เชื้อเพลิง 1.50-3.00 บาท/กิโลวัตต์-ชม.
- จากการผลิตพลังงาน 250 กิโลวัตต์ 600 บาท/กิโลวัตต์
- 300 กิโลวัตต์ 500 บาท/กิโลวัตต์
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ที่เหมาะกับภูมิอากาศเขตร้อนชื้น ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.10.2 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 90,000,000 บาท (เก้าสิบล้านบาทถ้วน)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ได้เสนอโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้านพลังงานสะอาด สำหรัอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ามายัง สพช. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในส่วนของโครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว โดยได้มีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการ คือ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจะทำการศึกษาเพื่อสาธิตระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน ณ พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 3 แห่ง คือ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี ซึ่งระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานจะมีลักษณะเป็นระบบขนาน ประกอบด้วยระบบย่อยที่สำคัญได้แก่
- ระบบพลังงานทดแทน คือ ระบบเซลล์แสงอาทิตย์ ระบบกังหันลม
- ระบบแปลงพลังงานไฟฟ้ากระแสตรงเป็นกระแสสลับ ระบบแบตเตอรี่
- ระบบควบคุมการประจุแบตเตอรี่
งบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 21,977,281 บาท ประกอบด้วย
หมวดค่าใช้จ่าย | ปีแรก | ปีทีสอง | รวม |
ค่าครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง | 14,771,146 | - | 14,771,146 |
ค่าใช้จ่ายในการบริหาร | 5,457,375 | 1,247,910 | 6,705,285 |
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 501,390 | - | 501,390 |
รวม | 20,729,911 | 1,247,910 | 21,977,281 |
ประโยชน์ที่มีต่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม มีดังนี้
1) ประโยชน์ในการก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน
- ช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 161,382 ลิตรต่อปี
2) ผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่
- สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าได้ตลอดเวลาที่มีพลังงานสะสมอยู่ในแบตเตอรี่ ห้องพยาบาล สามารถใช้ตู้เย็นขนาดเล็กเพื่อเก็บวัคซีน เซรุ่ม หรือเวชภัณฑ์ที่จำเป็นต่างๆ และเนื่องจากเลือกใช้งานอินเจอร์เมเนียมแบบซายน์ จึงสามารถใช้กับเครื่องมือแพทย์ได้ทุกชนิด
- ทางอุทยานฯ สามารถให้บริการนักท่องเที่ยว ในลักษณะฉายสไลด์หรือวิดีโอทัศน์ ได้ตลอดเวลา ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลและความรู้ทำได้มากขึ้น
- เพิ่มแนวคิดการใช้พลังงานอย่างประหยัดให้แก่นักท่องเที่ยวและบุคลากร ที่พักอยู่ในบริเวณอุทยานฯ เนื่องจากพลังงานมีจำกัด และระบบแสงสว่างได้ออกแบบให้ใช้หลอดประหยัดทั้งหมด จึงเป็นต้นแบบหรือตัวอย่างในการอนุรักษ์พลังงานและใช้แหล่งพลังงานสะอาด
3) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวม
- ผลประโยชน์จากพลังงานไฟฟ้าโดยไม่ใช้น้ำมันดีเซล 10,642 บาท/กิโลวัตต์ปี
- ลดเสียงจากเครื่องยนต์ดีเซลล์ซึ่งรบกวนสภาพแวดล้อมของสัตว์ป่า
- ลดคราบน้ำมันซึ่งปนเปื้อนลงในแหล่งต้นน้ำลำธาร
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสานด้วยพลังงานสะอาดสำหรับอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.11.2 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 21,977,281 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านเก้าแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดพันสองร้อยแปดสิบเอ็ดบาทถ้วน)
เรื่องที่ 14 โครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพพลังงานลมของประเทศไทย
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่ากรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) ได้เสนอโครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพพลังงานลมของประเทศไทยมายัง สพช. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ ในส่วนของโครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือพิจารณาในการประชุมคณะอนุกรรมการ ครั้งที่ 6/2540 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2540 ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการฯ นี้แล้ว โดยได้มีมติเห็นชอบในการให้การสนับสนุนแก่โครงการนี้และให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
สาระสำคัญของโครงการ คือ พพ. จะดำเนินการร่วมกับการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีประสบการณ์และผลงานการวิจัยเกี่ยวกับศักยภาพพลังงานลม เพื่อทำการศึกษาและติดต่อประสานงานในการรวบรวมข้อมูลพลังงานลมของประเทศไทยจากเครื่องวัดพลังงานลมที่ได้ติดตั้งไว้แล้ว จากสถานีกรมอุตุนิยมวิทยาจำนวน 70 สถานี และของ พพ. อีก 23 สถานี รวมถึงข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือวัดที่ติดตั้งบนบอลลูน บนเรือเดินทะเล และจากภาพถ่ายดาวเทียม เป็นข้อมูลย้อนหลังไม่น้อยกว่า 15 ปี เพื่อนำมาวิเคราะห์ประเมินผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูล และจัดทำแผนที่แสดงศักยภาพแหล่งพลังงานลมของประเทศไทย และจะทำการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดปัจจุบันในสถานภาพของสถานี คุณภาพและคุณลักษณะของเครื่องตรวจวัด แล้วนำมารวบรวมสร้างเป็นแผนที่แสดงศักยภาพแหล่งพลังงานลม โดยมีรายละเอียดแสดงการกระจายตัวของแหล่งพลังงานลมทั่วประเทศ
พพ. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 9,352,800 บาท (เก้าล้านสามแสนห้าหมื่นสองพันแปดร้อยบาทถ้วน) ประกอบด้วย
- ค่าจ้างที่ปรึกษา 8,458,800 บาท
- ค่าควบคุมงานโครงการ 480,000 บาท
- ค่าตอบแทนใช้สอยวัสดุและครุภัณฑ์ 414,000 บาท
รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,352,800 บาท
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ได้แก่แผนที่แสดงแหล่งศักยภาพพลังงานลมของประเทศไทย ซึ่งสามารถแสดงรายละเอียดข้อมูลทุกภูมิภาค โดยมีข้อมูลและกราฟแสดงความเปลี่ยนแปลงของลมเป็นรายปี รายฤดูกาลและรายวัน ข้อมูลความเร็วเฉลี่ย ทิศทางลมและความเข้มของพลังงานลม และทำให้ทราบว่าแหล่งใดมี ศักยภาพมากน้อยเพียงไร เพื่อเป็นแนวทางในการคัดเลือกพื้นที่ที่จะพัฒนาใช้ประโยชน์จากพลังงานลม
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดทำแผนที่ศักยภาพ พลังงานลมของประเทศไทย ตามแผนงานของโครงการที่ปรากฎเป็นเอกสารแนบ 4.12.2 ของระเบียบวาระการประชุม ในวงเงิน 9,352,800 บาท (เก้าล้านสามแสนห้าหมื่นสองพันแปดร้อยบาทถ้วน)
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุนโครงการต่างๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการนฯแต่ละชุดแล้วหลายโครงการ และมีหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการ และจากการที่รัฐบาลได้ประกาศให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเป็นแบบลอยตัว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายของโครงการต่างๆ เนื่องจากแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการบางส่วนต้องจ่ายเป็นเงินตราสกุลต่างประเทศ ซึ่งเจ้าของโครงการฯ ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนเพื่อนำมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นดังกล่าวได้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้เสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลโครงการอาคารของรัฐ มีอำนาจในการอนุมัติเงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินสนับสนุนเพิ่มเติมให้ผู้ที่ได้รับจัดสรรเงินทุนแต่ละรายที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการฯ แต่ละชุด ซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทลอยตัว โดยให้โครงการต่างๆ ดังกล่าวทำเรื่องขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแต่ละชุด พิจารณาอนุมัติเป็นรายๆ ไป
- รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุน
- การอนุรักษ์พลังงาน
- รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการ
- รายจ่ายประจำปี
- แผนปฏิบัติการ
- โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม
- โครงการประชาสัมพันธ์
- แผนแม่บทโครงการพัฒนาบุคลากร
- ทุนการศึกษาในต่างประเทศ
- โครงการส่งเสริมก๊าซชีวภาพ
- โครงการประหยัดพลังงานในการบ่มใบยาสูบ
- โครงการการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า
- โครงการวิจัยและพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์
- โครงการระบบผลิตไฟฟ้าแบบผสมผสาน
- ขอความเห็นชอบ
- ขอรับเงินสนับสนุน
กอ. ครั้งที่ 24 - วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24)
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4. ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
6. โครงการฝึกอบรมเรื่อง การอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
7. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า
9. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
11. การส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน
รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ประธานกรรมการ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2544 ว่ามียอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 13,677,775,898.70 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ได้มีหนังสือที่ นร 0905/ว 1548 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2544 เพื่อเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 5) เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ในวงเงิน 19,696,800 บาท (สิบเก้าล้านหกแสนเก้าหมื่นหกพันแปดร้อยบาทถ้วน) โดย กสก. ไม่ขอรับเงินค่าบริหารโครงการฯ เพิ่มเติมนั้น
กรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งผลการพิจารณาให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบแล้วรวม 15 ท่าน และมีกรรมการ 4 ท่าน ที่ไม่ได้แจ้งผลการพิจารณา และฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งมติผลการพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ทราบแล้ว ซึ่งสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กรมส่งเสริมการเกษตร (กสก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในโครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ส่วนที่ 2 : เกษตรกรรายย่อย (ระยะที่ 2) ในส่วนเงินสนับสนุนผู้ร่วมโครงการฯ ในวงเงิน 19,696,800 บาท (สิบเก้าล้านหกแสนเก้าหมื่นหกพันแปดร้อยบาทถ้วน)
(2) เห็นชอบให้ กสก. ปรับเพิ่ม/ลดกิจกรรมบางรายการให้สอดคล้องกับปริมาณงานเพิ่มขึ้น และสามารถถัวจ่ายเงินในส่วนค่าบริหารโครงการฯ ที่ได้รับการอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ และคงเหลืออยู่ได้ตามที่เสนอมา ยกเว้น ค่าบริหารโครงการฯ กิจกรรมที่ 2 หมวดค่าตอบแทน รายการที่ 2.1-2.5 ให้การเบิกจ่ายอยู่ในอัตราที่เหมาะสมและเป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
(3) วัสดุก่อสร้างและเครื่องมือต่างๆ ของโครงการฯ ให้ กสก. ส่งเสริมการใช้ของที่ผลิตขึ้นภายในประเทศ แทนการใช้ของที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพื่อลดต้นทุนค่าก่อสร้างและสามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว
มติที่ประชุม
รับรองมติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการเวียนขอความเห็นชอบ ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 5)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2544 ที่ปรับปรุงใหม่ พร้อมทั้งอนุมัติให้ สพช. นำงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบปี 2545 จำนวน 150 ล้านบาท มาสมทบเพื่อให้ดำเนินงานประชาสัมพันธ์ได้อย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีงบประมาณ 2545 โดยในปีงบประมาณ 2544 สพช. ได้ดำเนินกิจกรรมไปแล้ว 15 กิจกรรม เป็นเงินทั้งสิ้น 177,056,940.61 บาท และกำลังดำเนินการคัดเลือกอีก 6 กิจกรรม เป็นเงินประมาณ 23,500,000 บาท รวมเป็นเงินที่ใช้ไปทั้งสิ้น 200,556,940.61 บาท โดยเป็นงบประมาณปี 2544 จำนวน 150,000,000 บาท และงบประมาณปี 2545 จำนวน 50,556,940.61 บาท ดังนั้นจึงขอใช้งบประมาณปี 2545 ที่ได้รับอนุมัติให้นำมาสมทบใช้ในปี 2544 เพียงจำนวน 50,556,940.61 บาท
สำหรับแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ในปี 2545-2549 สพช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์การสื่อสารโดยคำนึงถึงประเด็นใหม่ มีแรงจูงใจที่ดี สามารถวัดผลได้ มีผลกระทบในการรณรงค์ต่อประชาชนซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการและสร้างกระแสในหมู่ประชาชนและเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานพร้อมทั้งเสนอแนะวิธีการอนุรักษ์พลังงานที่ได้ทำไปแล้วอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำให้ประชาชนเข้าใจและตระหนักถึงบทบาทสำคัญของตนที่มีส่วนในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งของตนเองและของประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการใช้กิจกรรมรณรงค์สนับสนุนเพื่อกระตุ้นให้มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานอีกด้วย โดยแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ ปี 2545-2549 มีรายละเอียดดังนี้
วัตถุประสงค์ของโครงการ
1. เพื่อสานต่อประเด็นรณรงค์ที่มีผลกระทบต่อประชาชนทั่วประเทศ ให้มีความต่อเนื่อง เพื่อทำให้โครงการฯ มีประสิทธิผลสูงสุด
2. เพื่อสร้างความภาคภูมิใจในการมีส่วนร่วมช่วยชาติประหยัดพลังงาน รวมถึงส่งผลดีในด้านการประหยัดค่าใช้จ่ายโดยตรงให้กับประชาชน
3. เพื่อกระตุ้นให้ประชาชน ลดการใช้พลังงานส่วนเกินในชีวิตประจำวันโดยทันทีและปฏิบัติให้เป็นนิสัยตลอดไป
4. เพื่อแนะนำวิธีประหยัดพลังงานในแนวทางต่างๆ ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันทีและมีค่าใช้จ่ายน้อย
กลยุทธ์โดยรวม ประกอบด้วย
1) ใช้ยุทธวิธีสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายในเชิงรุก (Targeting Hierarchy Approach)
2) สื่อสารภายใต้โครงการรวมพลังหาร 2 (Branding Concept)
3) สร้างสรรค์แคมเปญในรูปสื่อผสมผสาน (Integrated Communication)
กลยุทธ์ของแผนแต่ละปี
ปี 2545
โครงการสร้างเสริมความเข้าใจถึงผลของการประหยัดพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศ
โครงการประหยัดไฟ กำไร 2 ต่อ (ระยะที่ 2)
โครงการรวมพลัง หยุดรถซดน้ำมัน (ระยะที่ 2)
กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
ปี 2546
การประหยัดพลังงานในสาขาขนส่ง
ปี 2547-2578
โครงการอุปกรณ์มาตรฐานที่มีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานและโครงการสัญลักษณ์ประหยัดพลังงาน
ปี 2549
โครงการรีไซเคิล เพื่อประหยัดพลังงาน
งบประมาณของแผน 5 ปี เป็นจำนวนเงิน 1,000 ล้านบาท ดังนี้
ปีงบประมาณ 2545 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2546 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2547-48 เป็นจำนวนเงิน 400 ล้านบาท
ปีงบประมาณ 2549 เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544- 2545 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 200,556,940.61 บาท
2. เห็นชอบในหลักการตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2545 - 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 ในวงเงิน 200 ล้านบาท
4. ให้ สพช. ดำเนินการตามแผนฯ โดยให้คัดเลือกผู้รับจ้างดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุฯ และให้นำผลการคัดเลือกเสนอให้คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุน พิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 4 ขออนุมัติค่าใช้จ่ายเพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อ วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน 2544 มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544 ซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรมหลัก ดังนี้
1) กิจกรรมที่ 1 ชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า"
2) กิจกรรมที่ 2 ชุด "โปรโมทการแข่งขันการขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน"
3) กิจกรรมที่ 3 ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91"
โดยเห็นชอบสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติม จากงบประมาณที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติกรอบไว้ในแผนงานสนับสนุนอีกจำนวน 800 ล้านบาท สำหรับกิจกรรมที่ 1 "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า" เพื่อให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ใช้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าหรือแรงจูงใจอื่นที่ทำให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการ โดยให้ สพช. ทำรายละเอียดโครงการเพื่อนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
กฟภ. และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์และเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้าภูมิภาคและไฟฟ้านครหลวง โดย กฟภ. ขอรับการสนับสนุนในวงเงิน 408,999,000 บาท และ กฟน. ขอรับการสนับสนุนในวงเงิน 289,166,000 บาท
คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบโครงการและค่าใช้จ่ายที่ กฟภ. และ กฟน. เสนอ โดยมีข้อสังเกตในส่วนของการประชาสัมพันธ์โครงการว่าเห็นควรให้ กฟภ. และ กฟน. นำรูปแบบของสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่ เสนอให้ สพช. พิจารณาปรับให้เป็นในแนวทางเดียวกัน ก่อนทำการผลิตและเผยแพร่ต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2545 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ในส่วนการประชาสัมพันธ์และส่วนลดค่าไฟฟ้าให้ กฟภ. และ กฟน. ดังนี้
1) ให้การสนับสนุน กฟภ. ในวงเงิน 408,999,000 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 7,602,000 บาท
ส่วนลดค่าไฟฟ้า ให้เบิกจ่าย ตามเงินส่วนลดที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ในวงเงิน 401,397,000 บาท
2) ให้การสนับสนุน กฟน. ในวงเงิน 289,166,000 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 7,946,000 บาท
ส่วนลดค่าไฟฟ้า ให้เบิกจ่าย ตามจำนวนเงินส่วนลดที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ในวงเงิน 281,220,000 บาท
2. เห็นชอบในหลักการในการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้แก่ กฟภ. และ กฟน. ในกรณีที่ส่วนลดค่าไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจริง มีจำนวนเกินกว่า จำนวนที่ได้รับอนุมัติในข้อ 1
3. ให้ กฟภ. และ กฟน. นำรูปแบบของสื่อต่างๆ ที่จะเผยแพร่ เสนอให้ สพช. พิจารณาปรับให้เป็นในแนวทางเดียวกัน ก่อนทำการผลิตและเผยแพร่
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2540 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการบูรณาการกระบวนการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และให้ สพช. ดำเนินการร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในวงเงิน 302,681,438 บาท
สพช. ได้ว่าจ้างสถาบันสิ่งแวดล้อมไทยดำเนินโครงการฯ โดยมีเป้าหมายในการจัดทำหลักสูตรและสื่อการศึกษาเรื่องการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา พร้อมทั้งฝึกหัดครูในโรงเรียนนำร่อง 600 โรงเรียนทั่วประเทศ โดยมีระยะเวลาดำเนินงานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2540 - มกราคม 2544 ซึ่งใช้งบประมาณในการดำเนินการทั้งสิ้น 288,699,724 บาท โดยสรุปผลการดำเนินโครงการฯ ได้ดังนี้
1) มีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 600 โรงเรียน ใน 30 จังหวัด
2) บุคลากรกลุ่มต่างๆ ได้แก่ผู้บริหาร โรงเรียน ครู นักเรียน ผู้นำชุมชนแกนนำระดับจังหวัดได้รับการฝึกอบรม รวมทั้งสิ้น 55,020 คน
3) ได้มีการจัดตั้งโรงเรียนต้นแบบด้านการบริหารจัดการ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม การจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ โดยแบ่งเป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 30 โรงเรียน และระดับมัธยมศึกษา 30 โรงเรียน
4) เกิดชุมชนตัวอย่างในการป้องกันแก้ไขเรื่องพลังงานและสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น รวมทั้งสิ้น 120 ชุมชน
ทั้งนี้การประเมินผลโครงการฯ โดยบริษัทมาร์เก็ต ซับพอร์ท สรุปได้ว่าในภาพรวม โครงการประสบความสำเร็จในระดับค่อนข้างดี และสมควรขยายผลการดำเนินการต่อไป ซึ่งหลังจากที่โครงการฯ ได้ดำเนินงานเสร็จสิ้นลง สพช. ได้นำผลการประเมินเสนอต่อคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้เกิดการชะงักงันของโครงการ
สพช. จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาและผู้มีประสบการณ์กับโครงการฯ เข้าร่วมประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการในระยะต่อไปเพื่อให้โครงการฯ ขยายผลต่อไปในทิศทางที่มีประสิทธิภาพ สูงสุด ซึ่งสรุปผลการประชุมได้ดังนี้
1. เห็นควรให้การสนับสนุนกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงานฯ แก่โรงเรียนที่เคยเข้าร่วมโครงการฯ มาแล้วในระยะที่ 1 โดยมีหลักเกณฑ์ว่าต้องเป็นโรงเรียนที่มีความพร้อมที่จะเป็นแบบอย่างของการเรียนการสอนด้านพลังงานและการอนุรักษ์พลังงานให้กับโรงเรียนใกล้เคียงได้ด้วย
2. ให้จัดทำประกาศคณะอนุกรรมการฯ เรื่องการเปิดให้การสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ระยะที่ 2
3. ให้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ ขึ้น เพื่อทำหน้าที่พิจารณาโครงการที่โรงเรียนต่างๆ เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
4. ขั้นตอนการดำเนินงาน
1) เมื่อคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ความเห็นชอบร่างประกาศฯ แล้ว สพช. จะดำเนินการประกาศเรื่องการเปิดให้การสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ
2) หน่วยงานที่สนใจเสนอข้อเสนอโครงการพร้อมค่าใช้จ่าย
3) คณะอนุกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกหน่วยงาน/องค์กรที่จะดำเนินการบริหารโครงการฯ และอนุมัติงบประมาณในการบริหารงาน
4) คณะอนุกรรมการฯ ประกาศให้การสนับสนุนโรงเรียนที่อยู่ในโครงการเดิม โดยให้โรงเรียนเสนอขอรับการสนับสนุนภายใต้กรอบที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด
5) หน่วยงาน/องค์กรบริหารโครงการฯ ที่ได้รับคัดเลือกจะเป็นศูนย์กลางรับข้อเสนอโครงการที่เสนอมาจากโรงเรียนโดยตรง และดำเนินการวิเคราะห์ข้อเสนอโครงการที่โรงเรียนเสนอขอรับการสนับสนุน และจัดทำสรุปโครงการที่มีความเหมาะสมได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เสนอต่อคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ เพื่อพิจารณาคัดเลือกโรงเรียนต่อไป
6) คณะกรรมการอำนวยการฯ รวบรวมโรงเรียนที่สมควรได้รับการสนับสนุนและเสนอขอรับการสนับสนุนด้านงบประมาณต่อคณะอนุกรรมการฯ
7) สพช. ทำหน้าที่ติดตามและประเมินผลโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานโครงการฯ และให้ สพช. ดำเนินการประกาศเพื่อเปิดให้ทุนสนับสนุนองค์กร/หน่วยงาน เพื่อมาทำหน้าที่บริหารโครงการฯ ตามร่างประกาศฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว
เรื่องที่ 6 โครงการฝึกอบรมเรื่อง การอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันพุธที่ 23 พฤศจิกายน 2542 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (จุฬาฯ) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการอนุรักษ์พลังงาน ในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในวงเงิน 2,693,900 บาท โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้หลักสูตรดังกล่าวในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และบุคลากรของสถานประกอบการ SMEs ซึ่งจุฬาฯ ได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะใช้หลักสูตรดังกล่าวในการฝึกอบรมอย่างเหมาะสม ซึ่งวิทยากรผู้ฝึกอบรมสามารถเลือกเนื้อหาเฉพาะในส่วนที่สอดคล้องกับความต้องการของ SMEs แต่ละประเภท โดยไม่จำเป็นต้องฝึกอบรมในทุกเนื้อหา แต่จะมุ่งเน้นให้มีการนำกรณีตัวอย่าง รูประบบการใช้งานจริงจากโรงงานหรือสถานประกอบการต่างๆ มาประกอบการฝึกอบรม เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และสามารถนำไปใช้ให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างแท้จริงต่อไป
ทั้งนี้ การดำเนินการส่งเสริม SMEs ที่ผ่านมาของกองทุนฯ แบ่งเป็น 3 ลักษณะ คือ
1. การสนับสนุนเป็นสัดส่วนของเงินลงทุนทางด้านอุปกรณ์และเทคโนโลยี
2. การใช้เทคนิคการจัดการด้านวิศวกรรมเพื่อตรวจวัดและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรม
3. สพช. เห็นว่า การฝึกอบรมหลักสูตรการประหยัดและอนุรักษ์พลังงานใน SMEs น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานใน SMEs ได้อย่างเร็วที่สุด จึงใคร่ขอเสนอแนวทางในการดำเนินการด้านการฝึกอบรมดังนี้
1) ผู้มีสิทธิ์ยื่นข้อเสนอโครงการฯ ต้องเป็นหน่วยงานที่มีสถานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
2) คณะผู้เชี่ยวชาญที่แต่งตั้งโดย สพช. จะวิเคราะห์และกลั่นกรองข้อเสนอโครงการที่แต่ละหน่วยงานได้เสนอมา ตามเกณฑ์ที่ สพช. กำหนด
3) หากคณะผู้เชี่ยวชาญฯ มีความเห็นให้ปรับปรุงข้อเสนอโครงการประการใด สพช. จะสรุปความเห็นของคณะผู้เชี่ยวชาญฯ และแจ้งให้หน่วยงานปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้สมบูรณ์และชัดเจนยิ่งขึ้น
4) สพช. จะนำโครงการที่ได้รับการปรับปรุงสมบูรณ์แล้ว เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติให้การสนับสนุน ในวงเงิน 10 ล้านบาท และเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติในวงเงินเกินกว่า 10 ล้านบาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางในการดำเนินงานและร่างประกาศเรื่องการเปิดให้ทุนสนับสนุนการจัดฝึกอบรม เรื่องการอนุรักษ์พลังงานในสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) หลังจากที่ได้มีการปรับตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ
เรื่องที่ 7 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ยื่นข้อเสนอโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 8/2544 (ครั้งที่ 53) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2544 และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ในพื้นที่ของ กฟภ. เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาใช้ในการวางแผนการลงทุนทางด้านไฟฟ้าและการอนุรักษ์พลังงาน เช่น การพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า การจัดทำอัตราค่าไฟฟ้าที่สะท้อนถึงการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าอย่างแท้จริง การกำหนดมาตรการเพื่อให้การใช้ไฟฟ้าตามแนวทางที่กำหนดไว้ การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Rate) เป็นต้น โดยจะติดตั้งเครื่องมือบันทึกวิจัยภาระไฟฟ้าแบบ Automatic Meter Reading (AMR) ให้กลุ่มตัวอย่างตามที่ กฟภ. ได้คัดเลือกไว้แล้ว จำนวน 3,263 ราย แบ่งเป็นสถานีจ่ายไฟฟ้าจำนวน 132 สถานี และผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวน 3,131 ราย ตามประเภทของกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ส่วนราชการ และองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรบ้านพักอาศัย กิจการขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ ธุรกิจเฉพาะอย่าง และการสูบน้ำเพื่อการเกษตร โดยภายหลังจากการดำเนินโครงการสิ้นสุดแล้ว กฟภ. จะดำเนินการจัดเก็บข้อมูลและศึกษาลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าตัวอย่างอย่างต่อเนื่องต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ให้ความเห็นว่าโครงการนี้มีความชัดเจนในเรื่องของการดำเนินการ แต่งงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในส่วนของค่าเครื่องวัดและอุปกรณ์ประกอบ (Electronic meter) ที่ กฟภ. ได้เสนอมาในครั้งแรกราคาค่อนข้างสูงประมาณชุดละ 26,000 บาท กฟภ. จึงได้ปรับราคาของ Electronic meter เหลือเพียงชุดละ 15,000 บาท ดังนั้นจึงทำให้ประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการฯ ลดลงคงเหลือเพียง 98,831,933 บาท โดยจะใช้งบประมาณของ กฟภ. 47,578,966.50 บาท และส่วนที่เหลือจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ 51,252,966.50 บาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา ให้ กฟภ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการวิจัยภาระไฟฟ้า ในวงเงิน 51,252,966.50 บาท (ห้าสิบเอ็ดล้านสองแสนห้าหมื่นสองพันเก้าร้อยหกสิบหกบาทห้าสิบสตางค์) โดยมีเงื่อนไขให้ กฟภ. ต้องดำเนินการเป็นประการสำคัญ ดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาความถูกต้องและเหมาะสมของจำนวนข้อมูล รูปแบบและวิธีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อให้ Load Profile ที่ได้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ได้ครบถ้วน ดังนี้
แสดงรายละเอียดวิธีการหาจำนวนตัวอย่าง (Sample Size) ให้ชัดเจน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเหมาะสมของจำนวนตัวอย่าง และจำนวนเครื่องมือวัดฯ ที่ใช้ในโครงการฯ พร้อมทั้งอธิบายหลักเกณฑ์ในการกำหนดค่าทางสถิติต่างๆ ที่ใช้ในการคำนวณหาจำนวนตัวอย่างในโครงการฯ เช่น ค่า Confident Level ค่าความผิดพลาด เป็นต้น
เพื่อให้ผลที่ได้รับจากโครงการฯ สามารถรองรับการแข่งขันกิจการไฟฟ้าในอนาคต เห็นควรให้ กฟภ. เพิ่มจำนวนตัวอย่างในกลุ่มประเภทบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กให้มากขึ้น เพื่อเป็นตัวแทน Load Profile ที่ดี มีความน่าเชื่อถือและให้ลดจำนวนเครื่องวัดในกลุ่มตัวอย่างอื่นลง โดยให้ กฟภ. ใช้เครื่องวัดไฟฟ้าแบบ TOU ที่ กฟภ. มีอยู่แล้วเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล Load Profile ของจำนวนตัวอย่างที่ลดลงดังกล่าวนั้น และเห็นควรให้ กฟภ. นำข้อมูล Load Profile ที่เก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าที่ติดตั้งเครื่องวัดไฟฟ้าแบบ TOU มาร่วมวิเคราะห์เพิ่มเติมด้วย เพื่อให้งานของโครงการนี้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
เพิ่มเติมการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความสัมพันธ์กับปริมาณการใช้ไฟฟ้า เช่น อุณหภูมิ พื้นที่โรงงาน/อาคาร จำนวนคนงาน จำนวนเครื่องใช้ไฟฟ้า ขนาดหม้อแปลง เป็นต้น เพื่อให้ข้อมูลที่ได้จากโครงการฯ สามารถนำไปใช้ในงานอื่นได้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การวางแผนระบบไฟฟ้า เป็นต้น
(2) มอบหมายให้ สพช. ดูแลในเรื่องการจัดซื้อจัดหาเครื่องวัดและอุปกรณ์ประกอบ (Electronic meter) เพื่อให้มีราคากลางที่เหมาะสมและเป็นไปตามราคาตลาดปัจจุบัน
(3) หาก กฟภ. สามารถดำเนินการตามข้อ (1) และ ข้อ (2) ได้ครบถ้วนแล้ว กฟภ. ต้องปรับข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะอื่นๆ ตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ด้วย
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการฯ พิจารณาอีก
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2538 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2538 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 26,050,000 บาท (ยี่สิบหกล้านห้าหมื่นบาทถ้วน) ให้ ศูนย์ปฏิบัติการวิศวกรรมพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้ก๊าซชีวภาพจากหลุมขยะ
มก. ได้ดำเนินโครงการฯ บนพื้นที่ฝังกลบขยะ ขนาด 65 ไร่ ของบริษัทกลุ่ม 79 อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม และก่อสร้างหลุมดูดก๊าซและระบบรวบรวมก๊าซ โดยเลือกเจาะในแนวตั้งเสร็จเรียบร้อย จำนวน 39 หลุม เพื่อรวบรวมก๊าซชีวภาพและนำไปเป็นเชื้อเพลิงป้อนให้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 2 เครื่อง ที่ มก. ได้รับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการจัดซื้อจากประเทศออสเตรเลีย แต่ปรากฏว่าปริมาณก๊าซชีวภาพที่ได้มีเพียง 180 m3/hr ไม่เพียงพอกับความต้องการของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าฯ โดยปัญหาเกิดจากระดับน้ำชะขยะสูง (leachate) ในขณะที่กองขยะมีความสูงแค่ 10 เมตร ส่งผลให้ก๊าซชีวภาพที่เกิดขึ้นมีปริมาณน้อยเกินไป
จากปัญหาดังกล่าว มก. จึงขอรับความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากผู้เชี่ยวชาญของ United States Environmental Protection Agency (USEPA) ประเทศสหรัฐอเมริกา มาให้คำแนะนำและร่วมปรับปรุงปริมาณและคุณภาพก๊าซ โดย มก. ได้รับการอนุญาตจากบริษัทกลุ่ม 79 ให้ใช้พื้นที่ฝังกลบขยะแห่งใหม่ อยู่ห่างจากหลุมเดิมประมาณ 3.6 กิโลเมตร ซึ่งมีความสูงของชั้นขยะ 18 เมตร และเมื่อทำการขุดเจาะสำรวจแนวนอน จำนวน 2 หลุม พบว่าได้ปริมาณก๊าซที่มีคุณภาพและใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ ดังนั้น มก. จึงได้สร้างหลุมแนวนอนเพิ่มอีก 4 หลุม มีความยาวหลุมละ 100 เมตร ซึ่งมีปริมาณก๊าซเพียงพอที่จะเป็นแหล่งพลังงานให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 435 kW จำนวน 1 เครื่อง
มก. จึงได้จัดทำข้อเสนอโครงการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ พิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2544 (ครั้งที่ 52) และเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยมีข้อเสนอแนะประเด็นสำคัญคือ เนื่องจากโครงการนี้ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงินจาก 2 แหล่งเงินทุน คือ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (GEF) ซึ่งมีความเสี่ยงที่อาจไม่ได้รับทุนสนับสนุนจาก GEF จนทำให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ไม่เป็นผลสำเร็จ จึงมีมติให้ มก. แยกการดำเนินงานและงบประมาณที่ขอการสนับสนุนของแต่ละกองทุนฯ เป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน ไม่อนุมัติให้กิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งใช้เงินจากงบประมาณทั้ง 2 แหล่ง
มติที่ประชุม
1. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ มก. ในวิธีการเจรจาเพื่อให้ได้รับเงินสนับสนุนจาก GEF
2. ให้ มก. แยกงานและเงินเป็นรายกิจกรรมให้ชัดเจน เพื่อมิให้มีการผูกกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเข้ากับงบประมาณทั้งสองแหล่ง
3. ให้ มก. พิจารณาความคุ้มค่าในการลงทุนของโครงการนี้ถ้าจะเปลี่ยนที่ตั้งโรงไฟฟ้าให้มาอยู่ในบริเวณใกล้แหล่งรวบรวมก๊าซแห่งใหม่ แทนการเดินท่อก๊าชไปยังโรงไฟฟ้า ณ สถานที่เดิม และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 9 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เทศบาลนครระยอง ได้ยื่นข้อเสนอโครงการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และพลังงาน จังหวัดระยอง เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2544 (ครั้งที่ 52) เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2544 และได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะสาธิตนำร่องการแก้ไขปัญหาในเรื่องของผลกระทบที่เกิดจากการกำจัดมูลฝอย โดยจัดตั้งศูนย์สาธิตการแปรรูปมูลฝอยของชุมชน ซึ่งประกอบด้วย การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการคัดแยกมูลฝอย การคัดแยกวัสดุเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การแปรรูปมูลฝอยอินทรีย์ ด้วยการย่อยสลายแบบไร้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) เพื่อให้ได้ก๊าซชีวภาพอันเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานและปุ๋ยอินทรีย์ การหมักปุ๋ย และการกำจัดโดยการฝังกลบแบบถูกหลักสุขาภิบาลให้อยู่ภายในบริเวณเดียวกัน เพื่อลดต้นทุนในการกำจัดและเกิดประสิทธิภาพในการบริหารและการควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการกำจัดมูลฝอย
เทศบาลนครระยอง ได้ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 167 ล้านบาท ประกอบด้วย
รายการ | งบประมาณ |
(1) อาคารและระบบรับและคัดแยกมูลฝอย | 32,637,250 |
(2) กระบวนการย่อยสลายโดยไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) | 96,200,900 |
(3) งานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภค | 14,515,000 |
(4) อุปกรณ์และเครื่องจักร | 994,000 |
(5) ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด ประมาณ 5% ของรายการ 1-4 | 7,217,358 |
(6) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ |
15,114,000 |
รวม | 166,678,508 |
คณะอนุกรรมการฯ เห็นควรให้เทศบาลนครระยองเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงการฯ โดยให้ เทศบาลฯ รับภาระค่าใช้จ่ายในงานปรับปรุงพื้นที่และระบบสาธารณูปโภคและค่าอุปกรณ์และเครื่องจักร ส่วนค่าเผื่อเหลือเผื่อขาดให้เทศบาลฯ สามารถนำมาใช้ได้ในกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งต้องให้ สพช. เห็นชอบก่อนเบิกจ่ายทุกครั้ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการและจัดการ เห็นควรให้การสนับสนุนไม่เกินวงเงินร้อยละ 5 ของ วงเงินรวมที่กองทุนฯ ให้การสนับสนุน ทั้งนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการฯ ภายในวงเงิน 142,858,283 บาท
มติที่ประชุม
ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของแหล่งเงินทุน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ซึ่งเป็นอาคารควบคุมส่วนราชการ มีอาคารจำนวน 129 อาคาร คิดเป็นพื้นที่ใช้สอย 739,483 ตารางเมตร ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่ง พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันอังคารที่ 3 กรกฎาคม 2544 และคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ เป็นเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน)
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2545 เพื่อจัดสรรเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในวงเงิน 10,307,996 บาท (สิบล้านสามแสนเจ็ดพันเก้าร้อยเก้าสิบหกบาทถ้วน) ตามที่คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับเสนอ
เรื่องที่ 11 การส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไม่ครบถ้วน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 กำหนดโทษผู้ประกอบการที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้า จะถูกดำเนินคดี โดยมีบทกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงสองปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสิบล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งเป็นการลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรงเกินมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำผิด จึงเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในประเด็น ดังนี้
(1) ขอความเห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 58 ในส่วนของบทลงโทษ กรณีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้านั้น ให้กำหนดโทษให้เหมาะสมกับสภาพแห่งการกระทำผิด และคำนึงถึงมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำของผู้ประกอบการและมูลค่าของเงินที่นำส่งเข้ากองทุนฯ ผิดพลาด โดยมอบหมายให้ สพช. และ พพ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
(2) ขอความเห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้กรมสรรพสามิตเปิดบัญชีเงินฝากสำหรับเงินวางประกันของผู้ประกอบการแต่ละราย และให้อธิบดีกรมสรรพสามิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ประกอบการรายที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนนั้น ตามจำนวนเงินที่ส่งขาดพร้อมเงินเพิ่ม แล้วให้กรมสรรพสามิตส่งเข้าบัญชีกองทุนฯ โดยมอบหมายให้ กรมสรรพสามิตและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 58 ในส่วนของบทลงโทษ กรณีการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้านั้น ให้กำหนดโทษให้เหมาะสมกับสภาพแห่งการกระทำผิด และคำนึงถึงมูลเหตุและเจตนาแห่งการกระทำของผู้ประกอบการและมูลค่าของเงินที่นำส่งเข้ากองทุนฯ ผิดพลาด โดยมอบหมายให้ สพช. และ พพ. รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการให้มีการวางเงินประกันการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้กรมสรรพสามิตเปิดบัญชีเงินฝากสำหรับเงินวางประกันของผู้ประกอบการแต่ละรายและถือเสมือนว่าเงินดังกล่าวเป็นเงินที่ผู้ประกอบการส่งเข้ากองทุนฯ ไว้ล่วงหน้า โดยให้อธิบดีกรมสรรพสามิตเป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้ประกอบการรายที่ส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่ครบถ้วนนั้น ตามจำนวนเงินที่ส่งขาดพร้อมเงินเพิ่ม แล้วให้กรมสรรพสามิตส่งเข้าบัญชีกองทุนฯ โดยมอบหมายให้ กรมสรรพสามิตและ สพช. รับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 2 - วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2549
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 2)
วันที่ 6 มีนาคม 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิติพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เสนอ และได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท (สองพันล้านบาท) จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ให้ ปตท. เพื่อนำไปใช้ในโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้แต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น และเมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าว และได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
2. ปตท. ได้เสนอสาระสำคัญและขั้นตอนวิธีการดำเนินโครงการฯ ตามมติของคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว ซึ่งสรุปได้ดังนี้
2.1 ปตท. จัดตั้งกองทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV เพื่อขยายการใช้ NGV จำนวน 5,000 ล้านบาท และเงินทุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสมทบกองทุนหมุนเวียนฯ อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ปตท.จะเบิกเงินเป็นรายเดือนตามรายละเอียดการจ่ายจริง
2.2 ปตท. เชิญธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้าร่วมในโครงการให้สินเชื่อแก่เจ้าของยานยนต์ซึ่งมีความประสงค์ที่จะดัดแปลง และ/หรือ ติดตั้งอุปกรณ์ใช้ NGV โดย ปตท. จะนำเงินเข้าฝากในบัญชีที่ปตท.เปิดไว้กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงินให้เพียงพอกับวงเงินสินเชื่อที่ ธนาคาร/สถาบันการเงิน นั้นปล่อยกู้เพื่อโครงการ NGV
2.3 ปตท. กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อร่วมกับธนาคาร/สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
2.4 ทำการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) ในการเข้าร่วมโครงการ
2.5 ปตท. โอนเงินไปฝากไว้ในบัญชีให้แต่ละธนาคาร/สถาบันการเงินตามที่ธนาคาร/สถาบันการเงินแจ้งประมาณการปล่อยสินเชื่อ
2.6 ธนาคาร/สถาบันการเงินจะดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับ ปตท.
2.7 ปตท. จัดทำรายละเอียดการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนพร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าการปล่อยสินเชื่อโครงการให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานทราบทุกไตรมาส
2.8 ปตท. จะชำระคืนเงินกองทุนเป็นรายไตรมาส พร้อมอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงิน และการคืนเงินกองทุนฯ เป็นการประมาณการ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามการเบิกจ่ายจริง
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามข้อเสนอโครงการที่ ปตท. เสนอ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางด้านการเงินในปีแรก ปตท. จะต้องจ่ายเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการใช้เงินของธนาคาร ด้วย
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
3. กองทุนฯ ต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆ ในการปล่อยกู้ หากมีหนี้สูญ ปตท. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด
4. มอบหมายให้ ปตท. สนพ. และกรมบัญชีกลางหารือเรื่องรายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน และการส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนฯ ด้วย
5. มอบหมายให้ สนพ. ศึกษาความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในระยะยาวหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้ NGV อย่างแพร่หลาย