programmer_ener
กอ. ครั้งที่ 36 - วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2546
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 36)
วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมธำรงนาวาสวัสดิ์ ชั้น 3
อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานฐานะเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
6. มอบอำนาจในการพิจารณาขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนหลังสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) กรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
เรื่องที่ 1 รายงานฐานะเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ซึ่งได้มีการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2546 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2546 มีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546 เป็นเงิน 11,084,789,080.14 บาท
2. เงินกองทุนฯ ตามประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่ ปี 2543 ถึง ปี 2547 เป็นจำนวน 29,110.61 ล้านบาท คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติโครงการแล้ว จำนวน 20,356.85 ล้านบาท มีเงินคงเหลืออีก 8,753.76 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สรุปได้ดังนี้
(1) แผนงานภาคบังคับ โดย พพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายสำหรับโครงการต่างๆ รวม 4 โครงการ ได้แก่ โครงการอาคารของรัฐ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง โครงการประชาสัมพันธ์ ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติเป็นจำนวน 8,906.80 ล้านบาท และได้ดำเนินการเบิกจ่าย ผูกพันและคาดว่าจะผูกพัน ไปแล้วจำนวน 8,764.01 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 142.79 ล้านบาท
(2) แผนงานภาคความร่วมมือ โดย สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการต่างๆ รวม 5 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติเป็นจำนวน 4,325.69 ล้านบาท และได้ดำเนินการเบิกจ่ายและผูกพันไปแล้วจำนวน 3,653.40 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 672.29 ล้านบาท
(3) แผนงานสนับสนุน โดย สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ และโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เป็นจำนวน 7,124.36 ล้านบาท ดำเนินการเบิกจ่ายและผูกพันไปแล้ว จำนวน 5,700.75 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 1,423.02 ล้านบาท
(4) สรุปฐานะเงินกองทุนฯ ตั้งแต่ปี 2543 - 2547
หน่วย : ล้านบาท
รายการ | อนุมัติกรอบ | อนุมัติ | จ่ายจริง +ผูกพัน +คาดว่าจะผูกพัน |
คงเหลือ |
แผนงานภาคบังคับ* | 17,021.30 | 8,906.80 | 8,764.01 | 142.79 |
แผนงานภาคความร่วมมือ | 6,422.00 | 4,325.69 | 3,653.40 | 672.29 |
แผนงานสนับสนุน** | 5,667.31 | 7,124.36 | 5,700.75 | 1,423.02 |
รวม | 29,110.61 | 20,356.85 | 18,118.16 | 2,238.10 |
หมายเหตุ
* พพ. คาดว่าจะผูกพันเป็นจำนวน 6,084.11 ล้านบาท
** พพ. มีประมาณการคาดว่าจะผูกพัน จำนวน 634.59 ล้านบาท
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้ให้ข้อสังเกตว่า การรายงาน การรับ-จ่ายเงิน ควรมีรูปแบบที่มีรายละเอียดของแต่ละโครงการ ของแต่ละแผนงานให้ชัดเจนว่าได้รับอนุมัติเงินจากองทุนฯ ตามมติเท่าใด เบิกจ่ายเท่าใด ผูกพันเท่าใด คงเหลือเท่าใด เพื่อคณะกรรมการกองทุนฯ จะได้รับทราบถึงฐานะการเงินของกองทุนฯ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้สนับสนุนโครงการต่างๆ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับรูปแบบของรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ให้มีรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของแต่ละโครงการที่ชัดเจน ตามข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เรื่องที่ 2 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ได้พิจารณาข้อเสนอของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 6 โครงการ ที่ได้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยที่ประชุมได้มีมติให้ สนพ. จัดทำข้อมูลด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 6 โครงการ ที่มีรายละเอียดเพียงพอต่อการพิจารณาตัดสินใจ แล้วเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง โดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก 6 รายมีรายชื่อดังต่อไปนี้
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บาท) |
|
(1) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางปะกง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ | 1.6 | 0.1812 | 12,037,478.80 | |
(2) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ กะลาปาล์ม | 2.0 | 0.181 | 15,030,240.00 | |
(3) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสาราคาม จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ | 16.0 | 0.183 | 119,111,040.00 | |
(4) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | ต.ลำภูรา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง | เศษไม้ยางพารา กะลาปาล์ม | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 | |
(5) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด | ต.คำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี | ชานอ้อย | 4.0 | 0.140 | 9,979,200.00 | |
(6) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด | ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว | ชานอ้อย |
5.6 |
0.120 | 9,630,720.00 |
2. ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 6 ราย ได้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ สนพ. เรียบร้อยแล้ว และสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละรายโดยเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ได้ดังนี้
(1) โรงไฟฟ้าของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) อ.ห้วยยอด จ.ตรัง (RFP 00019) เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ และ "เข้า" เกณฑ์ต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. ยังไม่ได้รับการเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
(2) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00012) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิตจน "เข้า" เกณฑ์ต้องทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นรายงาน EIA เดือนกรกฎาคม 2545 ถึง มิถุนายน 2546 ได้รับการเห็นชอบจาก สผ. แล้ว
(3) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00010) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
(4) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00011) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
(5) โรงไฟฟ้าของบริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด อ.วังม่วง จ.สระบุรี (RFP 00031) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับจากการสอบถามประชาชนในพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานงานโครงการฯ ของสนพ. ได้รับการยืนยันว่าหลังจากบริษัทฯ ปรับปรุงบ่อน้ำทิ้งแล้วก็ไม่พบปัญหาน้ำล้นจากระบบในฤดูการผลิตที่ผ่านมา
(6) โรงไฟฟ้าของบริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว (RFP 00067) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าคุณภาพน้ำในบ่อน้ำทิ้งมีค่าสูงเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดมาก จากการสอบถามประชาชนในพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานงานโครงการฯ ของ สนพ. ได้รับข้อมูลว่า ในอดีตที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่มีน้ำหลากมาก บริษัทฯ จะปล่อยน้ำทิ้งออกจากโรงงาน แต่ในปี 2546 บริษัทฯ เพิ่งทำการปรับปรุงบ่อน้ำทิ้งและระบบบำบัดเสร็จสมบูรณ์ จึงยังไม่มีข้อมูลรองรับว่าบริษัทฯ จะไม่มีการระบายน้ำทิ้งออกไปสู่สิ่งแวดล้อมอีกในช่วงที่น้ำมาก
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพิ่มเติม ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 165,788,678.40 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบห้าล้านเจ็ดแสนแปดหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบแปดบาทสี่สิบสตางค์) เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 5 โครงการ ที่ทำสัญญากับ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเรียบร้อยแล้ว ตามหน่วยไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา (บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายได้เสนอไว้ โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละราย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 5 โครงการ มีรายชื่อดังต่อไปนี้
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บาท) |
|
(1) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางปะกง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ | 1.6 | 0.1812 | 12,037,478.80 | |
(2) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ กะลาปาล์ม | 2.0 | 0.181 | 15,030,240.00 | |
(3) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสาราคาม จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ | 16.0 | 0.183 | 119,111,040.00 | |
(4) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด | ต.คำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี | ชานอ้อย | 4.0 | 0.140 | 9,979,200.00 | |
(5) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด | ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว | ชานอ้อย | 5.6 | 0.120 | 9,630,720.00 | |
รวม 5 โครงการ | 165,788,678.80 |
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพิ่มเติม ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 11,605,207.49 บาท (สิบเอ็ดล้านหกแสนห้าพันสองร้อยเจ็ดบาทสี่สิบเก้าสตางค์) เพื่อนำไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละราย รวมจำนวน 5 โครงการ ตามรายชื่อในข้อ 1 ของมติที่ประชุม
3. เห็นชอบให้ สนพ. ใช้เงินจากจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มเติม ในวงเงิน 22,500,000 บาท (ยี่สิบสองล้านห้าแสนบาทถ้วน) เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ที่ได้รับอนุมัติเพิ่มเติมอีก 5 คณะ ตามรายชื่อในข้อ 1 ของมติที่ประชุม โดยค่าใช้จ่ายประกอบด้วย
(1) ค่าตอบแทน ค่าใช้สอยและค่าวัสดุ ในการจัดประชุมคณะกรรมการไตรภาคี 5 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 100,000 บาทต่อคณะต่อปี) |
2,500,000 บาท |
(2) ค่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ของคณะกรรมการไตรภาคี 5 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 800,000 บาทต่อคณะต่อปี) รวมเป็นเงินจำนวน 22,500,000 บาท |
20,000,000 บาท |
โดยให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดพร้อมทั้งแผนการใช้จ่ายเงินตามข้อ 3 (1) และ (2) เสนอ ผู้อำนวยการ สนพ. อนุมัติเป็นรายปี และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 5,188,500 บาท ให้การเคหะแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงานสำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 1 จำนวน 4,175 หน่วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้ พพ. เป็นผู้พิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง พพ. ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่า เห็นควรให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้แก่การเคหะแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสำหรับโครงการเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ดังนั้น พพ. จึงได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อให้พิจารณาเสนอโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ต่อคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณา อนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุน
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว ในหลักการเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการ และมีข้อเสนอแนะว่า โครงการดังกล่าวควรขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ จากแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบและก่อสร้าง จากเดิมที่เป็นโครงการอาคารของรัฐ แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ 2546 คณะกรรมการกองทุนฯ ไม่ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว ที่ประชุมจึงเห็นควรให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติโอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ รายการค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อปรับปรุงอาคาร ปีงบประมาณ 2546 จำนวน 5,188,500 บาท มาเข้าโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบและก่อสร้าง เพื่อให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่การเคหะแห่งชาติ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ รายการค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อปรับปรุงอาคาร ปีงบประมาณ 2547 จำนวน 5,188,500 บาท (ห้าล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันห้าร้อยบาทถ้วน) ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่การเคหะแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รับข้อเสนอโครงการจากมหาวิทยาลัยมหิดล ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช ในวงเงิน 99,455,822 บาท โดยอาคารดังกล่าวได้ดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียด และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาระดับการใช้พลังงานในส่วนของระบบการถ่ายเทความร้อนรวม ระบบแสงสว่าง และระบบปรับอากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับกับเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงแล้ว มีศักยภาพที่จะปรับปรุงให้ระดับการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
2. พพ. ได้วิเคราะห์และกลั่นกรองมาตรการอนุรักษ์พลังงานของอาคารโรงพยาบาลศิริราช ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว สรุปได้ดังนี้
(1) มาตรการต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำการลงทุนปรับปรุงฯ มีศักยภาพที่จะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 8,242,874 หน่วย/ปี คิดเป็นเงินประมาณ 22,140,389 บาทต่อปี สามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าได้ประมาณ 3,497 kW และประหยัดพลังงานอื่นๆ ได้ประมาณ 312,308 บาท/ปี
(2) ผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริงของแต่ละมาตรการเกินกว่าร้อยละ 9
(3) ค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของแต่ละมาตรการ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดดังนี้
มาตรการ | เงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) |
||
(1) | มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | 67,519,707 | |
(1.1) การติดฉนวนความร้อนที่ฝ้าเพดาน | 972,285 | ||
(1.2) การติดฟิล์มกรองแสง | 10,213,202 | ||
(1.3) การใช้บัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ | 14,250 | ||
(1.4) การใช้โคมประสิทธิภาพการสะท้อนแสงสูงขนาด 1´36 วัตต์ | 230,950 | ||
(1.5) การใช้เครื่องปรับอาคารชนิดประสิทธิภาพสูง | 56,089,020 | ||
(2) | มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน |
23,936,115 |
|
(2.1) การใช้หลอดประหยัดพลังงาน | 110,376 | ||
(2.2) การใช้บัลลาสต์สำหรับหลอดฟูลออเรสเซนต์ | 2,421,000 | ||
(2.3) การใช้โคมไฟชนิดประสิทธิภาพการสะท้อนแสงสูง | 21,168,200 | ||
(2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้เชื้อเพลิงเหลว | 105,000 | ||
(2.5) การหุ้มฉนวนความร้อนหม้อไอน้ำ | 56,779 | ||
(2.6) การติดตั้ง STEAM TRAP | 74,760 | ||
รวมเงินลงทุนในแต่ละมาตรการที่เห็นควรให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ |
91,455,822 |
3. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 5/2546 (ครั้งที่ 5) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางข้อ 2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543–2547 มีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สนพ. พพ. และ บก. สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท | ||||||
งบประมาณที่ได้รับอนุมัติตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | ||||||
หน่วยงาน | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม |
สนพ. | 112.05 | 100.00 | 105.95 | 113.50 | 120.65 | 552.15 |
พพ. | 484.12 | 569.27 | 555.89 | 529.19 | 534.08 | 2,672.55 |
บก. | 0.75 | 0.92 | 0.98 | 0.98 | 0.98 | 4.61 |
รวมเป็นเงิน | 596.92 | 670.19 | 662.82 | 643.67 | 655.71 | 3,229.31 |
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 6/2546 (ครั้งที่ 6 ) เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบเงินงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายประจำปีงบประมาณ 2547 สำหรับ สนพ. พพ. และบก. โดยสรุปดังนี้
หมวดรายจ่าย | สนพ. | พพ. | บก. | รวม |
1.ค่าจ้างชั่วคราว | 4,477,920 | 25,438,320 | 334,320 | 30,250,560 |
2.ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 18,306,200 | 35,879,560 | 144,628 | 54,330,388 |
3.ค่าสาธารณูปโภค | 2,000,000 | 8,093,500 | - | 10,093,500 |
4.ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 2,272,000 | 22,157,455 | 206,500 | 24,635,955 |
5.รายจ่ายอื่น | 121,882,110 | 350,025,000 | - | 471,907,110 |
รวมเป็นเงิน | 148,938,230 | 441,593,835 | 685,448 | 591,217,513 |
โดยให้แต่ละหน่วยงาน ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก. ในวงเงิน 685,448 บาท (หกแสนแปดหมื่นห้าพันสี่ร้อยสี่สิบแปดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารแนบ 4.5.1 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และอนุมัติให้ บก. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2547 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546
2. ให้ สนพ. และ พพ. ดำเนินการปรับปรุงงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมาย ประจำปีงบประมาณ 2547 ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยจะต้องกำหนดตัวชี้วัดผลงานหลัก (Key Performance Indicator) ประกอบคำชี้แจง คำขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ให้ชัดเจน แล้ว นำเสนอต่อ ศ.ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ รศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ และนายอัศวิน คงสิริ พิจารณาให้ความเห็น ก่อนนำเสนอต่อ คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 16 ระบุว่า "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ กรณีผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นๆ ให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ ต่อไปได้ภายในสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา"
2. สนพ. และ พพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้เป็นผู้เบิกเงินกองทุนฯ จากกรมบัญชีกลาง และนำไปจ่ายให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินทุนเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมตามแผนงานของแต่ละโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนฯ โดยผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีโดยปฎิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ข้อ 16 ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อ 1
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2544 ได้พิจารณาเรื่องที่ พพ. ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินให้กับบริษัทที่ พพ. ได้ทำข้อผูกพันไว้แล้วแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ทันภายในปีงบประมาณ 2544 โดยที่ประชุมมีมติให้กรณีที่ผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายใน ปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้น ก็ให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุดได้ ภายในวงเงิน 10 ล้านบาท
4. พพ. ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาเรื่องอนุมัติให้ พพ. สามารถขยายระยะเวลาใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตามที่ พพ. ได้ก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว ตามงบประมาณรายจ่ายโครงการอาคารของรัฐและโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน แต่ พพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายใน ปีงบประมาณนั้นๆ ภายในเวลาสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา รวมจำนวน 6 ราย โดย พพ. จะขอให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายแต่ละรายการต่อไปและเกินกว่าระยะเวลาสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้มีอนุมัติขยายเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ พพ. ได้ทำข้อผูกพันไว้แล้วและมีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ได้ตามที่ พพ. ขอมา และสำหรับโครงการที่มีวงเงินเกิน 10 ล้านบาท คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
นอกจากนี้คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดขั้นตอนในทางปฏิบัติ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณามอบอำนาจให้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) และ/หรืออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจและมีอำนาจอนุมัติการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกินระยะเวลา 3 เดือนหลังสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาได้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ที่ พพ. ได้ว่าจ้างบริษัท บีเอ็นบี อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 18 ราย ในวงเงิน 12,465,500 บาท ตามสัญญาเลขที่ 224/45 ลงวันที่ 30 กันยายน 2545 ได้ โดยให้ขยายระยะเวลาเป็นภายใน 30 วัน นับจากวันที่ พพ. ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ที่อนุมัติให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน
2. มอบอำนาจกรณีที่ พพ. ในฐานะผู้เบิกเงินกองทุนได้ก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณ ตามข้อ 16 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ก็ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้แผนงานภาคบังคับ ทั้งนี้ พพ. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ อพพ. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และเมื่อ อพพ. ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการฯ รับทราบเป็นระยะๆ ด้วย
3. มอบอำนาจกรณีที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะผู้เบิกเงินกองทุนได้ก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณ ตามข้อ 16 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ก็ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ทั้งนี้ สนพ. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ ผอ.สนพ. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และเมื่อ ผอ.สนพ. ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการฯ รับทราบเป็นระยะๆ ด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้อนุมัติโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track) ไปแล้ว จำนวน 11 โครงการ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 4,260.54 ล้านบาท โดยมีหน่วยงานราชการที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย ทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองบัญชาการทหารสูงสุด โดย พพ. ได้กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง 11 โครงการ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ให้ว่าจ้าง IA เพื่อดำเนินงานในส่วนของการบริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
ขั้นตอนที่ 2 ให้ว่าจ้าง IA เพื่อดำเนินงานในส่วนของการบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
ขั้นตอนที่ 3 ให้ว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
2. การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของแต่ละ กระทรวง ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ภายใต้โครงการ Fast Track ทั้ง 11 โครงการ นั้น ยังประกอบด้วยอาคารควบคุมภายใต้สังกัดของแต่ละโครงการอีกจำนวนมาก และกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยการดำเนินการที่ผ่านมา ปรากฏว่าทั้ง 11 โครงการ ได้ว่าจ้าง IA บริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีกองทัพอากาศเพียงหน่วยงานเดียวที่ได้ว่าจ้าง IA บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว และยังไม่มีโครงการใดดำเนินการว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 3
3. เพื่อให้การดำเนินการของอาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการ Fast Track มีความคล่องตัวและเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถดำเนินกิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง พพ. เห็นควรให้มีการปรับปรุงแนวทางในการดำเนินการโครงการ Fast Track ตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 ในบางประเด็น เป็นดังนี้
(1) ยกเลิกการว่าจ้าง IA บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
(2) ปรับปรุงแนวทางการว่าจ้างนิติบุคคลเพื่อควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน โดยปรับเปลี่ยนให้อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการ Fast Track สามารถว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานเองได้
(3) มอบให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจอนุมัติค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานตามกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไว้แล้ว
4. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 8/2545 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (Fast Track) และให้การดำเนินการโครงการ Fast Track เป็นอย่างคล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่ พพ. เสนอในข้อ 3 และให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. ให้ยกเลิกการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานของโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track)
2. ให้อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track) สามารถว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานได้เอง โดยไม่ต้องให้ปลัดกระทรวง/ปลัดทบวง/หรือหัวหน้าส่วนราชการของโครงการเป็นผู้ดำเนินการจ้างฯ
3. ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่อาคารควบคุมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนและกรณีพิเศษ (Fast Track) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามกรอบวงเงินที่อนุมัติไว้แล้ว และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป ทั้งนี้ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนนั้น เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญา
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการดำเนินงานของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติไปก่อนที่มีมติอนุมัติในครั้งนี้
อนุ กอ. ครั้งที่ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 6/2550 (ครั้งที่ 12)
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ชั้น 6 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
1. รายงานความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา"
2. แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการสนับสนุนการลงทุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่
3. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 2 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 3
4. ขอความเห็นชอบปรับแผนงาน โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
5. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
6. ขอความเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
7. ขอความเห็นชอบโครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
8. ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายอดุลย์ ฉายอรุณ) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา" เป็นมาตรการที่จะจูงใจผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุนดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกิจการได้เร็วขึ้น ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอวิธีการที่จะปรับปรุงการใช้พลังงาน และเสนอขอรับเงินสนับสนุนต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ ตามอัตราที่ต้องการและไม่เกินวงเงินที่ สนพ. กำหนด โดย มีเงินจากกองทุนฯ สนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ซึ่ง สนพ. ได้จัดสัมมนาผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคารธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบรายละเอียดโครงการฯ พร้อมกับรับข้อคิดเห็นมาปรับปรุงรายละเอียดโครงการฯ และออกประกาศเชิญชวนเรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อเสนอและพิจารณาตัดสินคัดเลือกผู้ได้รับจัดสรรรอบที่ 1 ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และจะรายงานคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ทราบผลต่อไป
มติที่ประชุม
รับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อรับทราบมติของ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 เรื่องแนวทางในการบริหาร "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" หลังหมดภาระหนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ดังนี้
1.1 ให้ปรับโอนอัตราเงิน "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ให้แก่ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ดังนี้
โอนให้กองทุนอนุรักษ์พลังงาน | เพื่อลดราคา ขายปลีกน้ำมัน |
||
สำหรับแผนงานปกติ | สำหรับโครงการขนส่งฯ | ||
1) เบนซิน 95 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
2) เบนซิน 91 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
3) แก๊สโซฮอล์ 95 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
4) แก๊สโซฮอล์ 91 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
5) ดีเซลหมุนเร็ว | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
6) ไบโอดีเซล บี 5 | 0.1835 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
โดยในระยะแรกให้โอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ในระดับ 0 บาท/ลิตร และมอบอำนาจให้ประธาน กพช. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ในอนาคตสูงขึ้นได้ถึง 0.50 บาท/ลิตร ตามภาวการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง เป็น 0.70 บาท/ลิตร เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินและเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงพอแล้ว โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาปริมาณเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เหมาะสมต่อไป
1.2 มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ออกประกาศ กพช. และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องกับมติ กพช. ตามข้อ 2.1 โดยให้กระทำในวันเดียวกัน ดังนี้
1) ประกาศ กพช. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5 เป็น 0.75, 0.25, 0.75 และ 0.25 บาท/ลิตร ตามลำดับ
2) ประกาศ กบง. เพื่อปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5
1.3 มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานรับไปจัดทำแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนในการสนับสนุนโครงการด้านระบบขนส่ง เพื่อเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
2. เพื่อให้การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบการขนส่งมีความชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้เพิ่มเป็นภารกิจพิเศษภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยกำหนดเป็นงานที่ 5) โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ และกำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ดังต่อไปนี้
(1) แนวทางในการให้การสนับสนุน "โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่" : เพื่อเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สำหรับการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบการขนส่งเฉพาะที่ก่อให้เกิดผลลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ และประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนั้น เช่น การสร้างระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ การพัฒนาระบบการขนส่งทางรถไฟ รวมถึงรถไฟรางคู่ และ การพัฒนาระบบสนับสนุนการขนส่งสินค้า (Logistics) เช่น การปรับปรุงท่าเรือ และคลังสินค้า เป็นต้น
(2) ผู้ที่จะได้รับการสนับสนุน : หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ
(3) ประเภทของค่าใช้จ่ายที่จะได้รับการสนับสนุน : ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ในลักษณะเงินช่วยเหลือให้เปล่า ซึ่งกองทุนฯ จะจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของหน่วยงานนั้นๆ ในการบริหารโครงการ และค่าใช้จ่ายในการลงทุน ในลักษณะเงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุน หรือเงินหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานก่อสร้างหรือติดตั้ง เครื่องจักร อุปกรณ์ โดยการจ่ายเงินทำเป็นงวดๆ ตามปริมาณงานหรือความจำเป็นและเหมาะสม
(4) แนวทางจัดทำข้อเสนอโครงการฯ "เจ้าของโครงการ" จะต้องจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยมีแผนงานและงบลงทุนเต็มโครงการ รายจ่ายทั้งแผนงาน และต้องจำแนกส่วนที่ดำเนินงานไปแล้ว กำลังดำเนินงาน และจะต้องระบุแหล่งเงินทุนที่จะต้องใช้ในการดำเนินโครงการในแต่ละแหล่งให้ชัดเจน รวมทั้งจะต้องระบุรายละเอียดความคุ้มค่าของการลงทุน ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ ผลตอบแทนด้านการเงิน และผลตอบแทนด้านการลดการใช้พลังงานของประเทศ
(5) เงื่อนไขในการพิจารณาโครงการ : โครงการที่จะได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต้องผ่านการพิจารณาจากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของโครงการฯ ก็ให้ สศช. พิจารณาก่อน
(6) วิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุน : หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุน ยื่นข้อเสนอโครงการต่อ สนพ. เพื่อวิเคราะห์และกลั่นกรอง ให้ความเห็น ตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ที่กำหนดไว้ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
(7) หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินสนับสนุน : เนื่องจากรายรับของกองทุนฯ มาจากสัดส่วนของการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จำหน่ายไปของแต่ละจังหวัดคิดค่าเฉลี่ยตั้งแต่ ปี 2547-ปัจจุบัน และจัดกลุ่มแบ่งออกเป็น 5 ภาค เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางกำหนดสัดส่วนการจัดสรรค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง
3. สนพ. ได้จัดทำประมาณการรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องตามมติ กพช. โดยไม่ได้โอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ จำนวน 3,000 ล้านบาท ไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550) จากการประมาณการกระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะมีฐานะเป็นบวกประมาณกลางเดือนธันวาคม 2550 จึงเริ่มโอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดเก็บแทน ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร ในวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2550 กองทุนน้ำมันฯ จะมีเงินสะสม 10,179 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2551
ด้วย กบง. ในการประชุมเมื่อ 12 ตุลาคม 2550 มีมติให้กองทุนน้ำมันฯ โอนเงิน 3,500 ล้านบาท ฝากที่ ธกส. เพื่อเป็นทุนให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซล ทำให้เงินกองทุนน้ำมันฯ จะสะสมได้ถึง 10,000 ล้านบาท ในปลายเดือนกันยายน 2551 และการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งเป็น 0.70 บาท/ลิตร จะเริ่มได้ประมาณวันที่ 1 ตุลาคม 2551
4. จากแนวทางตามข้อ 3 ฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะเป็นดังนี้
5. จากข้อ 4 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจะมีวงเงินสำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 ถึงกันยายน 2555 รวมทั้งสิ้น 71,424 ล้านบาท ดังนี้
6. การทบทวนเป้าหมายแผนอนุรักษ์ฯ ในช่วงปี 2551-2554 ตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อ 28 กันยายน 2550 นั้น สนพ. ได้ศึกษาจากรายงานผลการศึกษาโครงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ พพ. ได้ว่าจ้าง TDRI แล้ว และเห็นว่าเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ได้รวมผลการประหยัดพลังงานในเรื่องการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน และการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงไว้แล้ว จึงได้เพิ่มผลการประหยัดพลังงานที่ได้จากการผลิตรถประหยัดเชื้อเพลิง (ECO Car) 123 ktoe และการผลิตไฟฟ้าระบบ Cogeneration 608 ktoe สำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ จะเกิดผลการประหยัดพลังงานหลังปี 2554 จึงสรุปเป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงานฯ เป็นดังนี้
เป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ณ ปี 2554 | |||
กพช. | กพช. | ปรับปรุง | |
23 ธ.ค.47 | 26 ธ.ค.49 | ต.ค. 50 | |
(ktoe) | (ktoe) | (ktoe) | |
เป้าหมายรวม | 17,884 | 19,005 | 18,931 |
แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 10,354 | 7,694 | 7,725 |
สาขาอุตสาหกรรม | 3,411 | 3,832 | 3,094 |
สาขาขนส่ง | 6,270 | 3,290 | 3,413 |
การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 673 | 572 | 1,217 |
แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 7,530 | 11,311 | 11,206 |
ส่งเสริม NGV | - | 4,348 | 4,518 |
พลังงานหมุนเวียน* | 7,530 | 6,963 | 6,688 |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยรับคำแนะนำของอนุกรรมการฯ ไปปรับปรุงแนวทางฯ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการเริ่มโอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" จัดเก็บแทน ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร ในวันที่ 17 ธันวาคม 2550 และปรับเพิ่มเป็น 0.70 บาท/ลิตร ในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เพื่อใช้สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ต้องโอนเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เคยมีมติไว้แล้ว และให้เสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
3. รับทราบและเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ที่ปรับปรุงตามข้อ 5.3 และให้เสนอ กพช.พิจารณาต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมเพื่อรับทราบผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ซึ่งเป็นโครงการที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในศึกษาวิจัยที่เป็นงานต่อเนื่องระยะเวลา 5 ปี โดยให้ มช. เสนอผลการดำเนินงานแต่ละปีให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ทราบและเห็นชอบก่อน สนพ. จะจัดสรรเงินดำเนินการปีต่อไป
2. มช. ได้ดำเนินโครงการฯ มาจนครบปีที่ 2 โดยได้คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น และได้นำไปลงปลูกในแปลงวิจัยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 แห่ง รวม 386 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 350 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 36 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% ควบคุมวิธีการให้น้ำด้วยระบบชลประทานน้ำหยด การคลุมด้วยวัสดุต่างๆ ปริมาณการให้น้ำ ระยะเวลาการให้น้ำที่เหมาะสม การจัดการปุ๋ย ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย ฟอสเฟต ปุ๋ยคอก และการตัดแต่งกิ่ง วิจัยผลกระทบต่อปาล์มน้ำมันและสบู่ดำที่เกิดจากการจัดการวัชพืชด้วยวิธีต่างๆ วิธีปลูกพืชแซมที่ไม่กระทบต่อปาล์มและสบู่ดำ
3. ในปีที่ 2 ได้เก็บข้อมูลวิจัยการเจริญเติบโตปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ ในแปลงวิจัยทั้ง 2 แห่ง
1) ปาล์มน้ำมัน อายุ 20 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2550) เจริญเติบโตดี มีความสูงเฉลี่ย 278 เซนติเมตร จำนวนทางใบเฉลี่ย 35 ทางใบ การออกดอกของปาล์มน้ำมัน พบว่า ปาล์มน้ำมันพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 ออกดอกมากที่สุด 116 ต้น พันธุ์ไนจีเรียจำนวน 30 ต้น พันธุ์สุราษฎร์ธานี 3 จำนวน 5 ต้น โดยจะทราบว่าปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตหรือไม่ ต้องรอให้ปาล์มน้ำมันมีอายุประมาณ 36 เดือน หรือประมาณเดือนมิถุนายน 2551
2) ปลูกสบู่ดำ อายุ 16 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2550) เจริญเติบโตดี มีการให้ผลผลิตครั้งแรก ในเดือนพฤษภาคม 2549 - ธันวาคม 2549 (รวม 8 เดือน) และหยุดการให้ผลผลิตเนื่องจากเกิดการทิ้งใบเพื่อพักตัวและหยุดการเจริญเติบโตในช่วงฤดูแล้ง ผลผลิตของสบู่ดำในปีที่ 2 เฉลี่ย 307 กิโลกรัม/ไร่ โดยพันธุ์ชัยภูมิให้ผลผลิตมากที่สุด คือ 345.87 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนสบู่ดำพันธุ์สตูล ให้ผลผลิตน้อยที่สุด คือ 278.46 กิโลกรัม/ไร่ อย่างไรก็ตามผลผลิตในครั้งแรกยังไม่ใช่ผลผลิตที่สูงสุดของสบู่ดำ ปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงสุด จะทราบผลในการให้ผลผลิตปีที่ 3
4. มช. ได้ศึกษาออกแบบพัฒนาเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำ เครื่องหีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก และเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาด 300 ลิตรต่อครั้ง โดยเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำและเครื่องผลิตไบโอดีเซลที่พัฒนาขึ้น ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ง่าย ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อนำไปให้เกษตรกรทดลองใช้งาน ช่วยให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในหลักการทำงานของเครื่องจักรทั้งสองอย่าง สำหรับการสาธิตใช้ไบโอดีเซลกับเครื่องยนต์การเกษตรในชุมชนนั้น เครื่องยนต์เดินปกติสม่ำเสมอไม่มีสะดุด การถอดชิ้นส่วนของเครื่องยนต์เพื่อตรวจสภาพ ไม่พบคราบหรือยางเหนียว ทุกชิ้นส่วนยังคงสภาพเดิม
5. แผนงานในปีที่ 3 ยังคงเป็นเรื่องการศึกษาวิจัยการเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมันและต้นสบู่ดำ ทั้งในแปลงวิจัยและแปลงสาธิต โดยต้นปาล์มน้ำมันในแปลงวิจัยจะครบรอบการให้ผลผลิตในครั้งแรก ซึ่งจะทราบโอกาสและความเป็นไปได้ของการปลูกปาล์มในภาคเหนือ พร้อมนี้ มช. จะเริ่มพัฒนาสายพันธุ์สบู่ดำด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ด้วย โดย มช. ประมาณการรายจ่ายสำหรับปีที่ 3 ในวงเงิน 11,846,000 บาท
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา
2. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ในปีที่ 3 ตามแผนงานที่เสนอมา ในวงเงินรวม 11,846,000 บาท โดยใช้เงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ปีงบประมาณ 2550 โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจร ในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในวงเงินรวม 60 ล้านบาท เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์และนำเสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 มีข้อสังเกตว่ารายงานผลการศึกษาของ สกว. ข้อมูลบางตัวอ้างอิงเป้าหมายเดิมที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นปัจจุบัน บางส่วนต่างไปจาก พพ. บางส่วนอ้างอิงจากต่างประเทศ จึงทำให้ผลการศึกษาอาจคลาดเคลื่อนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงมีมติให้ สนพ. พพ. และ สกว. พิจารณาข้อมูลร่วมกันและปรับตัวเลขเป้าหมายของการศึกษาให้ตรงกัน รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนและปรับขอบเขตงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ผลการศึกษาได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดย สกว. จะใช้เงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรไปแล้วและยังคงเหลืออยู่ ประมาณ 28.5 ล้านบาท เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
2. สนพ. พพ. และ สกว. ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาข้อมูลและปรับตัวเลขที่ปรากฏในรายงานการศึกษาให้ตรงกัน รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนและปรับขอบเขตงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดย สกว. จะใช้เงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรไปแล้วและยังคงเหลืออยู่ ประมาณ 28.5 ล้านบาท เพื่อเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง ซึ่ง สนพ. พพ. และ สกว. ได้ประชุมร่วมกันตามมติคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปได้ดังนี้
2.1 ศักยภาพการผลิตไบโอดีเซล สกว. ได้ประเมินตามแผนการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เฉลี่ย 3 แสนไร่ต่อปี พบว่าในปี 2554 การผลิตไบโอดีเซลจะอยู่ระหว่าง 1.48-3.24 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้กรณีต่ำสุดคิดจากฐานปัจจุบันที่มีข้อจำกัดด้านการขยายพื้นที่ให้ผลผลิตจริงและยังไม่มีการปรับปรุงอัตราการผลิตผลปาล์มต่อหน่วยพื้นที่ ส่งผลให้พื้นที่ให้ผลผลิตจริงอาจจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 1.5 แสนไร่/ปี เท่านั้น ทั้งนี้หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการเพาะปลูกในรูปแบบ Good Agricultural Practice การใช้กล้าปาล์มที่ให้ผลผลิตสูง (ซึ่งเอกชนบางรายสามารถทำได้ถึง 5.0 ตันต่อไร่ต่อปี) อีกทั้งมีการคัดสรรพื้นที่ส่งเสริมให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มสัดส่วนของพื้นที่ให้ผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูกแล้ว ก็สามารถจะผลิตไบโอดีเซลได้ถึง 3.0 ล้านลิตรต่อวัน
2.2 ค่า External cost ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน จากที่ สกว. เคยเสนอไว้ 6.0 บาท/kWh พบว่าข้อมูลที่นำมาใช้คำนวณเป็นข้อมูลที่ยังมิได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยเฉพาะภายหลังการติดตั้งอุปกรณ์กำจัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ทั้งนี้ สกว. จึงได้นำข้อมูลของโรงไฟฟ้าแม่เมาะและโรงไฟฟ้า BLCP ที่ดำเนินการผลิตอยู่ในปัจจุบันมาเป็นฐานการคำนวณ และแปลงค่าเงินยูโรด้วย Purchasing Power Parity Index พบว่า ค่า External cost ของการผลิตไฟฟ้าจากลิกไนท์เฉลี่ยในช่วงปี 2544-2549 คือ 0.48 บาท/kWh ค่า External cost ของการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าคือ 0.33 บาท/kWh และของก๊าซธรรมชาติคือ 0.18 บาท/kWh สรุปได้ดังนี้
สารมลพิษ | External cost (บาท/kWh) | ||
ลิกไนต์ (แม่เมาะ) | ถ่านหินนำเข้า (BLCP) | ก๊าซธรรมชาติ (บางปะกง) | |
CO2 | 0.28 | 0.23 | 0.12 |
SO2 | 0.06 | 0.05 | 0 |
NOX | 0.12 | 0.05 | 0.06 |
PM10 | 0.02 | N/A | 0 |
รวม | 0.48 | 0.33 | 0.18 |
2.3 การพิจารณาประเด็นงานวิจัย พพ. สนพ. และ สกว. ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2550 ณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เพื่อร่วมกันพิจารณาประเด็นงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลดความซ้ำซ้อนของงาน และสรุปได้ดังนี้
ประเด็นงานวิจัย | ผลที่คาดหวัง | สรุปความเห็น |
1.พลังงานน้ำขนาดเล็ก | ||
1.1 การใช้ทรัพยากรแหล่งน้ำ เพื่อการผลิตไฟฟ้า | อุปสรรคข้อกฎหมายที่ขัดแย้งกัน ระหว่างหน่วยงานใช้ประโยชน์ของทรัพยากรน้ำ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ. มีการปรึกษาหารือกับกรมป่าไม้และ สผ. อยู่แล้ว |
1.2 การประเมินศักยภาพเพิ่มเติม ของแหล่งพลังงานน้ำขนาดเล็ก | สำรวจศักยภาพของน้ำทิ้งท้ายเขื่อน (กฟผ.และกรมชลฯ) ด้วยวิธีการสำรวจพื้นที่และความเป็นไปได้ในการพัฒนาเขื่อนแบบ run-of-river ในลุ่มน้ำที่สำคัญ | ให้ศึกษาศักยภาพในภาพรวมในส่วนที่ยังไม่ได้มีการศึกษา (พพ.มีการสำรวจศักยภาพลุ่มน้ำโขง-ชี-มูลและน่าน รวมถึงน้ำทิ้งท้ายเขื่อนของกรมชลฯ) |
2.พลังงานลม | ||
2.1 การใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม | ปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคเอกชนในการติดตั้งกังหันลมในพื้นที่สาธารณะเพื่อผลิตไฟฟ้า | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ.ศึกษากฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องแล้ว |
3.พลังงานชีวมวล | ||
3.1 การเพิ่มศักยภาพแหล่งชีวมวลสำหรับผลิตไบโอดีเซล | ศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิตโดยเพิ่มพื้นที่และใช้เทคโนโลยี | ให้รวบรวมเทคโนโลยีพร้อมทั้งประเมินความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิต ภายใต้ความร่วมมือกับ ก.เกษตรฯ |
3.2 นโยบายการกำหนดราคาเอทานอลและไบโอดีเซลที่เหมาะสม | หลักเกณฑ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมและผลกระทบของการใช้สูตรกำหนดราคาต่างๆ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจากกระทรวงฯได้ประกาศหลักเกณฑ์และสูตรการคำนวณเรียบร้อยแล้ว |
3.3 การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน | ความเป็นไปได้การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกและการกระจายเชิงภูมิศาสตร์ | ให้ศึกษาศักยภาพสูงสุดในการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานโดยดูผลกระทบในการขยายพืชที่ไปทับซ้อนกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ |
3.4 การใช้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อปลูกไม้โตเร็ว | ประเภทไม้โตเร็วที่เหมาะสมและความเป็นไปได้ในการปลูกในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก สนพ.ได้ให้ทุนนักวิจัยศึกษาการปลูกไม้โตเร็วเพื่อผลิตไฟฟ้าเป็น pilot scale แล้ว |
3.5 ประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการเก็บรวบรวมยอดใบอ้อย ฟางข้าว เพื่อผลิตความร้อนและไฟฟ้า | ศึกษาเทคนิคการจัดเก็บฟางข้าว ยอดและใบอ้อยเพื่อให้เกิดความคุ้มทุนในเชิงเศรษฐศาสตร์ในภาพรวมของประเทศ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก สนพ. ให้ทุนวิจัยศึกษาศักยภาพที่แหล่งของแกลบและชานอ้อยแล้ว |
3.6 การพัฒนากระบวนการและเครื่องมือการจัดการพลังงานชีวมวลที่ยั่งยืนโดยคำนึงการใช้อย่างคุ้มค่าและลด CO2 | จัดทำฐานข้อมูลและประเมินข้อดีข้อเสียและทางเลือกการใช้ชีวมวลต่างๆ | ไม่มีข้อขัดข้อง |
3.7 ประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการผลิตก๊าซ ชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางเกษตรและพืชพลังงาน | ค้นหาวัตถุดิบใหม่สำหรับการผลิตก๊าซชีวภาพ ได้แก่วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและพืชที่ปลูกเพื่อเป็นพลังงานโดยเฉพาะ | ไม่ซ้ำซ้อน กับที่ พพ.ได้ศึกษาศักยภาพของการใช้น้ำเสียจากโรงงานประเภทต่างๆและฟาร์มสุกรแล้ว |
4.ประสิทธิภาพพลังงาน | ||
4.1 ประเมินผลกระทบ SPP ต่อการส่งเสริม CHP และ ปรับปรุงระเบียบ SPP | ได้ศึกษาล่วงหน้าเพื่อให้ทันกับระเบียบปรับปรุงของ SPP | ไม่มีข้อขัดข้อง |
4.2 การบังคับใช้ building energy code | ปัญหาข้อขัดข้องในการนำไปสู่การปฏิบัติ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ.ได้ทำร่างกระทรวง หารือขั้นตอนการปฏิบัติกับ กทม.และกรมโยธาธิการ และรอประกาศใช้ |
4.3 ประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานเฉพาะอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการใช้พลังงานมาก | ประเมินศักยภาพและโอกาสการประหยัดพลังงานในภาพรวมเพื่อวางยุทธ์ศาสตร์ในการยกระดับเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน | พพ.ได้ประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน 13 สาขาจาก 28 สาขา และยินดีให้ สกว.นำข้อมูลไปวิเคราะห์และหาแนวทางในการบรรลุเป้าหมาย |
4.4 พัฒนากรอบและจัดทำฐานข้อมูลสำหรับประเมินศักยภาพและติดตามผลกระทบทางเลือกการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง | พัฒนาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลที่จำเป็นที่สามารถทำเป็นงานประจำที่สะสมตัวเองได้ | ให้ศึกษากรอบการจัดทำฐานข้อมูล พร้อมทั้งทำการสำรวจข้อมูลในภาคขนส่งเพื่อให้ในงานวางแผนต่อไป |
5.ประเด็นทั่วไป | ||
5.1 ประเมิน cost-effectiveness ของการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงานในภาพรวมของประเทศ | ศึกษาการลงทุนและผลตอบแทนในภาพรวมของประเทศ | ไม่มีข้อขัดข้อง |
5.2 แนวทางคิด carbon tax เป็นส่วนหนึ่งของ avoided cost ในการประหยัดพลังงานในภาคขนส่งและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน | ศึกษาความเหมาะสมของการใช้ carbon tax ในประเทศไทยและรูปแบบที่เหมาะสม และคิดค่า carbon tax สำหรับประเทศไทย | ไม่มีข้อขัดข้อง |
5.3 การพัฒนาและสาธิตกระบวนการ PDP โดยคำนึงการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานหมุนเวียนและการมีส่วนร่วมของประชาชน | พัฒนากระบวนการวางแผน PDP ที่ประชาชนมีส่วนร่วม | ให้ศึกษา model กระบวนการจัดทำ PDPที่เป็นรูปธรรมสามารถนำไปใช้จริงได้ เช่น มีระยะการปฎิบัติตามกระบวนการไม่นานจนข้อมูลล้าสมัย ระบุนิยามผู้มีส่วนได้เสียที่จะเข้าร่วมกระบวนการที่ชัดเจน |
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการศึกษา "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ตามที่ สกว. ปรับตัวเลขเสนอมา โดยให้ สกว. ดำเนินการจัดพิมพ์รายงานฉบับใหม่และส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ ตามที่ที่ประชุมให้ความเห็นไว้ด้วย
2. เห็นชอบให้ สกว. ปรับแผนงานโครงการฯ โดยขยายระยะเวลาออกไปจนถึงเดือนตุลาคม 2551 และให้ใช้จ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่จำนวน 28.5 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษารายละเอียดเชิงลึกเพิ่มเติม ได้ตามที่เสนอมา ดังรายละเอียดที่ปรากฏในส่วนที่ 5 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.3 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 5 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 20 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน รวม 12 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการอบแห้งกุนเชียง | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(2) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สำนักงานพลังงานภูมิภาค 3 | พฤษภาคม 2550 | สิงหาคม 2550 |
(3) | โครงการศึกษาดัชนีการใช้พลังงานสำหรับหน่วยงานราชการ | ม.เชียงใหม่ | กันยายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(4) | โครงการออกแบบประตูบานเกล็ดเพื่ออนุรักษ์พลังงาน | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | ธันวาคม 2548 | ธันวาคม 2550 |
(5) | โครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | พฤศจิกายน 2550 | พฤศจิกายน 2551 |
(6) | โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพจากระบบจัดการน้ำเสียโรงฆ่าสัตว์ | มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม | กันยายน 2550 | สิงหาคม 2552 |
(7) | โครงการการส่งเสริมการผลิตการใช้ไบโอดีเซลในระดับชุมชน (ทดสอบการใช้ ไบโอดีเซลกับเครื่องยนต์การเกษตรเอนกประสงค์) | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | สิงหาคม 2550 | กุมภาพันธ์ 2551 |
(8) |
โครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม |
ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | เมษายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(9) |
โครงการอบรมบุคลากรเรื่องบูรณาการการเรียนการสอนด้านพลังงานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา |
มูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย | กันยายน 2550 | มีนาคม 2551 |
(10) | โครงการสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา รวม 3 ทุน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | - | - |
(11) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 ทุน | ม.เชียงใหม่ | - | - |
(12) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 5 ราย | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 8 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สำนักงานพลังงานภูมิภาค 9 | ขอนำเงินค่าบริหารโครงการ ไปจัดซื้อเครื่องมือตรวจวัดการใช้พลังงาน จำนวน 6 ชุด ราคาชุดละ 29,799.50 บาท รวมเป็นเงิน 178,797 บาท |
(2) | โครงการการจัดการพลังงานพลังงานทั่วทั้งองค์กรสำหรับโรงแรมและการบริหารเปลี่ยนแปลง | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน 2550 เป็นเดือนพฤษภาคม 2551 และขอปรับรายละเอียดการรายงานความก้าวหน้าและการเบิกจ่ายเงิน |
(3) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 3 ทุน | - | ขอขยายระยะเวลาการศึกษาและเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 2 หน่วยงาน และขอโอนการชดใช้ทุน จำนวน 1 หน่วยงาน * |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | - | ขอเปลี่ยนแปลงคณะผู้วิจัย จำนวน 3 หน่วยงาน และ ขอสละสิทธิ์การรับทุน อุดหนุนการวิจัย จำนวน 1 หน่วยงาน |
(5) | โครงการศึกษากำหนดคุณภาพและคุณสมบัติของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่เหมาะสมหลังปี 2550 | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เป็นเดือนพฤษภาคม 2551 และปรับลดวงเงินจากเดิม 6,400,000 บาท เป็น 5,340,000 บาท |
(6) | โครงการตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นเดือนพฤศจิกายน 2550 และปรับลดจำนวนรถยนต์ที่ใช้ทดสอบจาก 2 คัน เหลือ 1 คัน พร้อมปรับลดวงเงินจาก 11,762,000 บาท เหลือ 11,296,500 บาท |
(7) | โครงการ การส่งเสริมการผลิต การใช้ไบโอดีเซลในระดับชุมชน (ขนาด 2,000 ลิตรต่อวัน) | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - ขอเปลี่ยนชุมชนต้นแบบการผลิตและใช้ไบโอดีเซล จาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เป็นศูนย์ทดลองวิชาการพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จังหวัดหนองคาย
- ขอโอนเงินกองทุนฯ หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ งานบริหารแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 4,733,500 บาท ไปก่อสร้างอาคารโรงคลุมระบบผลิตไบโอดีเซล ศูนย์ทดลองวิชาการฯ จ.หนองคาย |
(8) | โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอยกเลิกการดำเนินงานโครงการผลิต เมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง เพื่อเปลี่ยนไปดำเนินโครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมีระยะที่ 2 แทน ในวงเงิน 6,000,000 บาท |
* หมายเหตุ
(1)สำนักงานศาลปกครอง ขอขยายเวลาการศึกษาให้แก่ นางสาวรัชดาพร นิ่มพงษ์ศักดิ์ ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2552 เพื่อปรับปรุงวิทยานิพนธ์ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 9,040 ปอนด์
(2) ม. อุบล ขอขยายเวลาการศึกษาให้แก่ นางสาวบงกช สุขอนันต์ ออกไปอีก 10 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 เพื่อใช้เวลาในการเขียนวิทยานิพนธ์ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินจำนวน 9,550 ปอนด์
(3) กรมควบคุมมลพิษ ขอให้ นายสราวุธ เทพานนท์ โอนการชดใช้ทุนการศึกษาจากกรมควบคุมมลพิษ ไปปฏิบัติงานเป็นพนักงานของรัฐ ตำแหน่งอาจารย์ ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาการขอขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดของโครงการฯ ทั้ง 20 โครงการแล้ว เห็นควรให้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 เห็นสมควรให้โครงการตามข้อ 1.1 (1)-(12) และข้อ 1.2 (1)-(7) รวม 19 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่เสนอมา เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้วและไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง
2.2 ไม่เห็นสมควรให้โครงการตามข้อ 1.2 (8) เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ เพราะเป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของโครงการไปจากเดิม เนื่องจาก พพ. จะขอยกเลิกการดำเนิน "โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง" และจะขอนำเงินของโครงการดังกล่าวไปใช้สำหรับดำเนิน "โครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมี ระยะที่ 2" แทน
ในกรณีข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าถ้า พพ. จะไม่ดำเนิน "โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง" ก็ควรส่งเงินจำนวนดังกล่าวคืนกองทุนฯ และถ้า พพ. จะดำเนิน "โครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมี ระยะที่ 2" ก็ควรจัดทำรายละเอียดโครงการฯ เสนอขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 1.1 (1)-(12) และ ข้อ 1.2 (1)-(7) รวม 19 โครงการ สามารถขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ไม่เห็นชอบให้ พพ. ปรับรายละเอียดของโครงการตามข้อ 1.2 (8) โดยให้พิจารณาดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กพช. ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2550 มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear Power Infrastructure Preparation Committee : NPIPC) เพื่อทำหน้าที่ในการจัดทำและเสนอแนะแผนงาน มาตรการ แนวทางในการดำเนินงานด้านการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากนิวเคลียร์เพื่อผลิตไฟฟ้า รวมทั้งการสื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และนำไปสู่การยอมรับของประชาชน และมีการได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 7 คณะ เพื่อช่วยเหลือคณะกรรมการในการศึกษาประเด็นหลัก (Key Issues) ประกอบด้วย (1) คณะอนุกรรมการด้านระบบกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ (2)คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (3) คณะอนุกรรมการด้านการถ่ายทอด พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4)คณะอนุกรรมการความปลอดภัยนิวเคลียร์ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (5) คณะอนุกรรมการด้านสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน (6) คณะอนุกรรมการด้านการวางแผนด้านการเตรียมจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ และ (7) คณะอนุกรรมการยกร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์
โดยคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2550 และได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) มาให้ความเห็นต่อร่างดังกล่าว พร้อมทั้งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคฝ่าย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2550 และนำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาปรับปรุงร่างแผนงานฯ ที่สมบูรณ์ ประกอบด้วย 6 แผน คือ (1 )แผนงานด้านระบบกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ (2) แผนงานโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (3) แผนการถ่ายทอดพัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4) แผนด้านความปลอดภัยและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (5)แผนการสื่อสารและการยอมรับของสาธารณะ และ (6) การวางแผนการดำเนินการโครงสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
2. คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ ได้เสนอร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ต่อ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 116) เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 และที่ประชุมมีมติดังนี้
2.1 เห็นชอบในหลักการ แผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานฯ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ รับไปศึกษาในรายละเอียดเพื่อจัดทำแผนให้สมบูรณ์ และเสนอ กพช. ต่อไป
2.2 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เป็นหน่วยงานภายในกระทรวงพลังงาน
2.3 เห็นชอบในการดำเนินโครงการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจัดประชุมสัมมนาอย่างน้อย 8 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน
2.4 เห็นชอบแผนการดำเนินงานในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 - 2553) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ รับไปกำหนดแผนการดำเนินงานในรายละเอียดต่อไป
2.5 เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 - 2553) จำนวน 1,800 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ การดำเนินงานแผนงานด้านกฎหมาย ระบบกำกับและข้อผูกพันระหว่างประเทศ แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ แผนงานด้านพัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แผนงานด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แผนงานด้านสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน และแผนงานด้านการเตรียมการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยให้ตั้งงบประมาณรวมอยู่ในกระทรวงพลังงาน และให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาจัดหางบประมาณต่อไป
2.6 เห็นชอบให้การกำกับดูแลในระยะเริ่มแรกให้ใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลายฉบับไปพลางก่อน หลังจากนั้นมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับไปยกร่างกฎหมายเฉพาะในการกำกับดูแล มาตรฐานและความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ โดยครอบคลุมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
3. กระทรวงพลังงาน ได้มีข้อเสนอสำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ดังนี้
3.1 คณะอนุกรรมการยกร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์ ได้มีการประชุมครั้งที่ 4/2550 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2550 เพื่อรับทราบมติของ กพช. และให้คณะอนุกรรมการทั้ง 6 ชุด จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานและแผนงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551-2553) ซึ่งคาดว่าจะใช้จ่ายเงินประมาณ 450 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 1,350 ล้านบาท
3.2 เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนฯ มีความต่อเนื่องและทันตามกำหนดเวลาที่ กพช. เห็นชอบไว้ กระทรวงพลังงานจึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ สนพ. ไว้สำหรับจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 250 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 750 ล้านบาท โดยมีแนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ จัดทำแผนการดำเนินงานในรายละเอียดของแต่ละโครงการและหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมกำหนดแหล่งทุนที่จะใช้สำหรับโครงการนั้น
ขั้นตอนที่ 2 โครงการที่คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ กำหนดให้ใช้เงินจากกองทุนฯ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการฯ ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. เพื่อให้ความเห็นเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ขั้นตอนที่ 3 ข้อเสนอที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแล้ว สนพ. จะแจ้งมติให้เจ้าของโครงการทราบ และลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับเจ้าของโครงการ การเบิกจ่ายเงินงวดแรกให้ "เจ้าของโครงการ" เป็นไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือยืนยันหรือสัญญา
ขั้นตอนที่ 4 เจ้าของโครงการดำเนินการตามแผนงาน และรายงานผลให้ สนพ. ทราบทุกระยะ โดยมีคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ รับรองรายงานแต่ละฉบับ
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อต้องมีการจ่ายเงินตามงวดในหนังสือยืนยัน สนพ. จะดำเนินการเบิกเงินจากที่เก็บรักษาเงินกองทุนฯ เพื่อนำมารอจ่ายให้แก่เจ้าของโครงการ โดย สนพ. ต้องตรวจสอบให้เจ้าของโครงการดำเนินการตามหนังสือยืนยันหรือสัญญาก่อนจึงจ่ายเงินได้
ขั้นตอนที่ 6 สนพ. รายงานความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นระยะๆ รวมถึงติดตามประเมินผลโครงการด้วย
มติที่ประชุม
เห็นชอบการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ สนพ. จำนวน 250 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 750 ล้านบาท ไว้สำหรับจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับดำเนินการตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ.2551 - 2553) และเห็นชอบกรอบ แนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยนำคำแนะนำของที่ประชุมไปปรับให้ชัดเจนขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พพ. ได้จัดทำแผนงานเบื้องต้น "โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร" เสนอต่อ สนพ. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานในวงเงินรวม 13,800,000 บาท (สิบสามล้านแปดแสนบาทถ้วน) ซึ่งมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ 6 เดือน
2. โครงการนี้มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
2.1 พพ. จะร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา และกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ณ โรงสีข้าว จัดตั้งและสาธิตเครื่องจักรแปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร คือ โรงสีข้าวชุมชนและเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าจากแกลบ หรือ Gasifier ณ พื้นที่ของศูนย์บริการวิชาการเกษตร มูลนิธิชัยพัฒนา หมู่ 1 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือชีวมวล คือ แกลบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการนำไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า อีกทั้งเครื่องจักรทั้งสองดังกล่าว ยังเป็นนวัตกรรมด้านวิศวกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรที่ได้ทำการศึกษา ออกแบบ วิจัย พัฒนา และประดิษฐ์ขึ้นด้วยฝีมือคนไทยทั้งหมด จนประสบความสำเร็จ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง
2.2 ศูนย์บริการวิชาการเกษตร มูลนิธิชัยพัฒนา จะเป็นสถานที่ตัวอย่างพร้อมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจในการดำเนินกิจกรรมข้าวแบบครบวงจร สอดคล้องกับดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง คือ เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยเริ่มตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว การเพาะปลูกข้าว การทำเขตกรรมนาข้าว การเก็บเกี่ยวข้าว การแปรรูปจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร การบริหารจัดการการตลาด รวมถึงการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างแกลบจากโรงสีข้าวไปผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อป้อนกลับไปใช้ยังโรงสี และเหลือใช้ภายในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน โดยเกษตรกรสามารถใช้ทุกพื้นที่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.3 พพ. ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 16,300,000 บาท ประกอบด้วย
หน่วยการผลิต | งบลงทุน (บาท) | (%) | |
หน่วยงานผู้สนับสนุนโครงการ | |||
กองทุนฯ | CP | ||
1. โรงสีข้าวชุมชน ซีพี-อาร์1000 (1,000 กก. ข้าวเปลือก/ชม.) | - | 2,500,000 | 15.34% |
2. Gasifier 200 kW (200 กิโลวัตต์) | 9,500,000 | - | 58.28% |
3. เครื่องอบลดความชื้น (30 ตัน ข้าวเปลือก/วัน) | 3,800,000 | - | 23.31% |
4. เครื่องสกัดน้ำมันรำ (80 กก. รำ/ชม.) | 500,000 | - | 3.07% |
รวมเงินลงทุนทั้งโครงการ | 13,800,000 | 2,500,000 | 100.00% |
2. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์และแนวทางดำเนินโครงการฯ อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จึงเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้ สนพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ พพ. ในวงเงิน 13,800,000 บาท โดย สนพ. จะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ คือ ดร. สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ดร. วีระชัย อาจหาญ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ร่วมพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว และเมื่อ พพ. ปรับแผนงานของโครงการฯ ตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเรียบร้อยแล้ว ผอ.สนพ. จะได้พิจารณาเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ พพ. ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ สนพ. ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้ สนพ. สามารถขยายระยะเวลาการผูกพันและใช้จ่ายเงินต่อไปได้ถึงเดือนธันวาคม 2550 จัดสรรให้ พพ. ในวงเงิน 13,800,000 บาท (สิบสามล้านแปดแสนบาทถ้วน) เพื่อนำไปใช้จ่ายสำหรับ "โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร" โดยดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
เรื่องที่ 8 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย
1. อธิบดี พพ. เสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2551 วงเงินรวม 64,780,000 บาท ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย จ.พิษณุโลก โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. เพิ่มเติมหนังสือจากกรมป่าไม้เห็นชอบให้เข้าดำเนินการในพื้นที่ได้ด้วยนั้น
2. เนื่องจากการขอหนังสือให้ความเห็นชอบจากกรมป่าไม้เห็นชอบ ต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ พพ. จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าไปดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าตามขั้นตอนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วย เช่น การดำเนินการร่วมประชุมกับราษฎร และ อบต. เพื่อขอมติจากที่ประชุมในการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของ พพ. ต้องเข้าสำรวจแนวเขตพื้นที่โครงการฯ เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่ขอใช้ก่อสร้างโครงการฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ เป็นต้น พพ. จึงขอปรับแผนค่าใช้จ่ายโดยขอจัดสรรเงินจำนวน 3,307,800 บาท มาใช้เป็นค่าดำเนินงานบริหารโครงการฯ โดยวงเงินรวมไม่เปลี่ยนแปลง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ พพ. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กแควน้อย โดยจัดสรรเงินจำนวน 3,307,800 บาท ไปใช้เป็นค่าดำเนินงานบริหารโครงการฯ ได้ตามที่ขอมา
กอ. ครั้งที่ 49 - วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2552
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2552 (ครั้งที่ 49)
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2552 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552
2. รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 2549 และ 2550 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
3. รายงานการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550
4. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
5. เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2552
6. การนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฝากธนาคารของรัฐ
7. การขอปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
8. การขอขยายระยะเวลาผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 ของ พพ.
รองนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ สภาวสุ) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า นายปิยะวัติ บุญ-หลง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามหนังสือที่ นร 6809/0143/2552 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2552 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไป เนื่องจากหมดวาระการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
มติที่ประชุม
รับทราบการลาออกจากคณะกรรมการกองทุนฯ ของนายปิยะวัติ บุญ-หลง
เรื่องที่ 1 รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมเพื่อทราบฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 มีเงินคงเหลือ จำนวน 10,632,792,295.63 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1. | เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน | 5,465,968,767.07 บาท |
2. | เงินโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง | 5,166,823,528.56 บาท |
รวมเป็นเงิน | 10,632,792,295.63 บาท | |
ประกอบด้วย | ||
1) เงินฝากธนาคารกรุงไทย - ออมทรัพย์ | 10,556,897,955.63 บาท | |
2) เงินฝากธนาคารกสิกรไทย - ออมทรัพย์ | 75,894,340.00 บาท |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบฐานะการเงินกองทุนฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 2549 และ 2550 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
1. ระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 30 กำหนดให้กรมบัญชีกลาง (บก.) จัดทำรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนและเงินคงเหลือบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นรายไตรมาส และส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อทราบ และให้จัดทำงบการเงินประจำปีส่งให้ สตง. ตรวจสอบรับรอง แล้วรายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบต่อไป
2. บก. ได้รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 2549 และ 2550 โดย สตง. มีข้อเสนอแนะให้กองทุนฯ ดำเนินการต่างๆ ดังนี้
2.1 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเงินกองทุนฯ ที่เบิกจาก บก. และค้างจ่ายอยู่ที่ สนพ. ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 จำนวน 184,476,648.16 บาท เพื่อรอจ่ายให้กับผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ หรือคู่สัญญา ตามโครงการต่างๆ โดยให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินดังกล่าว ที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หากโครงการใดมีปัญหาอุปสรรค ที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนงานเดิม ก็ควรส่งเงินจำนวนนั้นคืนกองทุนฯ
2.2 ให้ สนพ. นำเงินสนับสนุนทุนการศึกษา ทุนวิจัย ทุนฝึกอบรม และเงินพัฒนาหลักสูตรสื่อการเรียนการสอน ที่เบิกจากกองทุนฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2543 - 2549 และค้างอยู่ที่ สนพ. ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 จำนวน 14,083,873.77 บาท ส่งคืนกองทุนฯ
2.3 ให้เรียกเงินคืนจาก กทม. ในส่วนที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ และมิได้ดำเนินการตามแผนที่กำหนด ตามโครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 45,500,000 บาท พร้อมดอกผลนำส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว
2.4 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) นำเงินค่าปรับจำนวน 1,149,457.80 บาท และเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2545-2549 ที่สถาบันการเงินส่งคืนรวมทั้งดอกเบี้ย ส่งคืนกองทุนฯ จำนวน 1,283,204,374.89 บาท
2.5 ให้ตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถดำเนินการตามแผนงานหรือการดำเนินงานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และหาแนวทางแก้ไขเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ บรรลุวัตถุประสงค์ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ข้อ 25
2.6 ให้นำเสนอผลการตรวจสอบของ สตง. ให้คณะกรรมการกองทุนฯ รับทราบปัญหา อุปสรรค จากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาสั่งการให้มีการปฏิบัติตามแผนงานที่กำหนด และให้การดำเนินงานโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ โดยถือปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 30 โดยเคร่งครัด
3. สนพ. และ พพ. ได้ดำเนินการตามที่ สตง. ได้เสนอแนะแล้ว โดยได้ส่งเงินคืนกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 2549 และ 2550 ของ สตง. ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และในส่วนโครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ที่ประชุมได้มีมติให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้ง กทม. ให้ยุติโครงการและส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้ กทม. ยื่นขอรับการสนับสนุนอีกครั้ง เมื่อพร้อมที่จะดำเนินโครงการดังกล่าว
เรื่องที่ 3 รายงานการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550
1. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้แต่งตั้ง "คณะทำงานเตรียมการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน)" เพื่อทำหน้าที่ในการเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน โดยมี ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะทำงานฯ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินกองทุนฯ เป็นคณะทำงานฯ และผู้แทน สนพ. เป็นคณะทำงานและเลขานุการฯ
2. "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของ บก. ในปีประจำบัญชี 2549 โดยมีประธานกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) กับกระทรวงการคลัง โดย บก. ได้มอบหมายให้ บริษัท ไทยเรตติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด เป็นผู้ดำเนินการประเมิน
3. เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานฯ มีเกณฑ์ที่เหมาะสม ถูกต้อง ตามสภาพความเป็นจริงของการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน บก. จึงได้กำหนดเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน รวม 7 ตัวชี้วัด ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (15%)
ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2550 อยู่ในระดับร้อยละ 94.01 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 3.8020
ตัวชี้วัดที่ 1.2 ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริหารกองทุนฯ ที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับงบประมาณ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2550 อยู่ในระดับร้อยละ 69.64 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.0000
2. ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (30%)
ตัวชี้วัดที่ 2.1 ร้อยละของโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงาน ต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2550
- แผนพลังงานทดแทน อยู่ในระดับร้อยละ 95.00 ส่งผลให้ได้คะแนน 4.0000
- แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อยู่ในระดับร้อยละ 94.05 ส่งผลให้ได้คะแนน 3.8100
- แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ อยู่ในระดับร้อยละ 100 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.0000
ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละของจำนวนโครงการที่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนภายระยะเวลาที่กำหนดต่อจำนวนโครงการทั้งหมด
- แผนพลังงานทดแทน อยู่ในระดับร้อยละ 76.03 ส่งผลให้ได้คะแนน 1.0000
- แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อยู่ในระดับร้อยละ 64.44 ส่งผลให้ได้คะแนน 1.0000
- แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ อยู่ในระดับร้อยละ 100 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.0000
3. การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (15%)
ตัวชี้วัดที่ 3.1
- การศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างการบริหารกองทุนฯ เนื่องจากคณะอนุกรรมการกองทุน มีอำนาจคัดเลือกโครงการและมีอำนาจในการบริหารจัดการมากขึ้นแล้ว ตาม พรบ. (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 จึงไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน 3 ขั้นตอนได้ ทำให้มีระดับคะแนน 1.0000
- การศึกษารูปแบบการบริหารกองทุนฯ เนื่องจากมี กฎหมายที่กำหนดให้จัดตั้งกองทุนในกระทรวงพลังงานแล้ว ตาม พรบ. (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550 จึงไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน 3 ขั้นตอน ส่งผลให้มีระดับคะแนน 1.0000
4. การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (40%)
ตัวชี้วัดที่ 4.1 เนื่องจากกองทุนฯ จะโอนจาก กระทรวงการคลังมายังกระทรวงพลังงาน เพื่อรอความชัดเจนของการโอนงาน จึงยังไม่ได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และคาดว่าการพัฒนา/ปรับปรุงโปรแกรมสำเร็จรูปการบริหารการเงินจะดำเนินการได้ประมาณปี 2552 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 2.5292
ตัวชี้วัดที่ 4.2 การติดตามประเมินผลตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นปี 2550 ได้สรุปรายงานการติดตามประเมินผลลัพธ์ และเสนอคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ โดยได้รับความเห็นชอบ ภายใน 30 กันยายน 2550 ส่งผลให้มีระดับคะแนน 5.0000 ทำให้ผลการดำเนินงานดีกว่าเป้าหมายมาก
4. ในปีบัญชี 2549 TRIS ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ โดยภาพรวม อยู่ในระดับ 3.6036 คะแนน และสำหรับในปีบัญชี 2550 บก. ได้รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ให้ทราบว่า อยู่ในระดับ 2.843 คะแนน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบรายงานการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550
เรื่องที่ 4 งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 ได้รับทราบแผนอนุรักษ์พลังงานและเป้าหมาย ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2554 ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเสนอ โดยมีเป้าหมายและการดำเนินการจะลดปริมาณการใช้พลังงานลง 7,820 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อย 10.8 ของความต้องการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศในปี 2554 และกำหนดเป้าหมายการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้แทนพลังงานเชิงพาณิชย์ 8,858 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 12.2 ของความต้องการใช้พลังงานในปี 2554
2. ณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ จำนวน 89,848,165,183 บาท เพื่อนำไปช่วยเหลือ อุดหนุน หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนดังกล่าว เป็นรายจ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 18,881 ล้านบาท และงบประมาณรอจ่ายสำหรับ โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง จำนวน 70,967 ล้านบาท โดยอนุมัติจำนวนเงินจำแนกตามแผนงานรายปี ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม 5 ปี |
1. แผนพลังงานทดแทน | 4,838 | 1,190 | 1,315 | 880 | 1,110 | 9,332 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 12,549 | 15,927 | 17,940 | 17,116 | 16,736 | 80,267 |
- ดำเนินการตามแผนอนุรักษ์ฯ | 5,838 | 2,356 | 428 | 351 | 328 | 9,300 |
- ลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง | 6,711 | 13,571 | 17,512 | 16,765 | 16,408 | 70,967 |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 249 | 249 | ||||
รวม (ล้านบาท) | 17,635 | 17,116 | 19,255 | 17,996 | 17,846 | 89,848 |
รวม (ล้านบาท) ไม่รวมขนส่ง | 10,924 | 3,545 | 1,743 | 1,231 | 1,438 | 18,881 |
3.ความคืบหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เป็นไปตามแผนฯ โดยงบประมาณปี 2551 จำนวน 10,924 ล้านบาท มีการเบิกจ่าย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 จำนวน 2,393 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22 และเป็นเงินส่งคืนกองทุนฯ จำนวน 924 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 โดยรายจ่ายผูกพันของงบประมาณปี 2551 จำนวน 7,607 ล้านบาท โดยสรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้
(1) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงาน ภาคอุตสาหกรรม
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. การดำเนินการตาม พรบ. * | - | - | 25 | 50 | 100 | 211 |
2. การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี | 52 | 134 | 232 | 341 | 454 | 570 |
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
3. การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ | 75 | 200 | 300 | 400 | 500 | 600 |
4. ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ ESCO | 12 | 49 | 97 | 153 | 224 | 300 |
5. การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม | 47 | 100 | 200 | 300 | 400 | 551 |
6. การสาธิตเทคโนโลยีระดับสูง | - | 9 | 25 | 50 | 100 | 200 |
7. DSM Bidding+โรงแรม | 75 | 149 | 149 | 149 | 149 | |
8. นโยบาย CoGen | 311 | 358 | 406 | 500 | 608 | |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 186 | 878 | 1,387 | 1,849 | 2,427 | 3,190 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 255 1,345 |
(2) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงาน ด้านการจัดการ
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. มาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้า | ||||||
กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) | 7 | 36 | 63 | 93 | 134 | 179 |
กำหนดมาตรฐานขั้นสูง (Labeling) | 70 | 77 | 81 | 100 | 120 | 158 |
2. มาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ความร้อน | ||||||
กำหนดมาตรฐานขั้นสูง เตา LPG | 3 | 6 | 8 | 11 | 14 | |
3. มาตรฐานสำหรับยานยนต์ | 4 | 8 | 40 | 100 | 140 | |
4. มาตรฐานสำหรับอาคาร | 1 | 1 | 1 | |||
5. ส่งเสริมการใช้งานอุปกรณ์ | 1 | 10 | 19 | 28 | ||
6. ส่งเสริมการใช้เตาถ่านประสิทธิภาพสูง | 6 | 17 | 28 | 46 | 68 | |
7. ส่งเสริม CFL | 2 | 17 | 31 | 46 | 46 | |
8. ส่งเสริม T5 | 18 | 56 | 148 | 260 | 408 | |
9. รณรงค์สร้างจิตสำนึก/ราชการ | 49 | 79 | 111 | 140 | 172 | 176 |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 126 | 225 | 360 | 599 | 908 | 1,217 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 2551 | 223 |
(3) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงาน ภาคขนส่ง
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน | 127 | 136 | 144 | 153 | 1,441 | 1,554 |
2. ปรับปรุงระบบจัดการจราจร | 25 | 34 | 45 | 60 | 80 | 106 |
3. ส่งเสริมธุรกิจ LOGISTIC DEPOT และ ICD | 100 | 100 | 450 | 800 | 1,150 | 1,450 |
4. สร้างเครือข่ายระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ | 155 | 167 | 180 | 180 | 180 | 180 |
5. นโยบาย ECO CAR | 0 | 0 | 0 | 26 | 66 | 123 |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 407 | 437 | 819 | 1,219 | 2,917 | 3,413 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 2551 445 |
(4) เป้าหมายและผลลดการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
ประเภท | ผล | เป้าหมาย | ผล | เป้าหมาย | ตามแผน 15 ปี | หน่วย |
ปี 2550 | ปี 2551 | ปี 2551 | ปี 2554 | ปี 2554* | ||
1. การผลิตไฟฟ้า | ||||||
(1) พลังงานแสงอาทิตย์ | 32 | 34 | 36 | 45 | 55 | MW |
(2) พลังงานลม | 0.96 | 16 | 3.1 | 115 | 150 | MW |
(3) พลังงานน้ำ | 50 | 59 | 66 | 156 | 165 | MW |
(4) พลังงานชีวมวล | 1,507 | 1,807 | 1,655 | 2,800 | 2,800 | MW |
(5) ขยะ | 4.25 | 14.3 | 4.25 | 100 | 60 | MW |
(6) ก๊าซชีวภาพ | 29.2 | 34.2 | 68.8 | 60 | 100 | MW |
2. การใช้ความร้อน | ||||||
(7)พลังงานชีวมวล | 2,345 | 2,645 | 2,406 | 3,660 | 3,544 | ktoe/ปี |
(8)ก๊าซชีวภาพ | 79 | 140 | 144 | 370 | 540 | ktoe/ปี |
(9)พลังงานแสงอาทิตย์ | 0.3 | 0.9 | 0.3 | 5 | 17 | ktoe/ปี |
3. การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ | ||||||
(8) เอทานอล | 0.55 | 1.3 | 0.8 | 2.4 | 3 | ล้านลิตร/วัน |
(9) ไบโอดีเซล | 0.07 | 1.2 | 1.3 | 3 | 3 | ล้านลิตร/วัน |
4. กระทรวงพลังงาน มีการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2552 เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้มีงบประมาณสำหรับใช้เป็นหลักในการใช้จ่ายเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนสำหรับการลงทุน และดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน มาตรา 25 แห่ง "พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยมี "คณะทำงานพิจารณากลั่นกรองงบประมาณประจำปี 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ที่ประธานคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แต่งตั้ง ทำหน้าที่กลั่นกรองงบประมาณและแผนการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ที่จะขอจัดสรรจากกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2552 ซึ่งคณะทำงานฯ ได้ยึดตามภารกิจสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
(1) ภารกิจตามข้อกำหนดและกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(2) ภารกิจตามยุทธศาสตร์ระดับชาติ นโยบายรัฐบาล และกระทรวงพลังงาน
(3) ภารกิจตามเจตนารมณ์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554
คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อยแล้ว สรุปผลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ของกองทุนฯ เป็นจำนวนไม่เกิน 2,405,004,804 บาท โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็น 2 หน่วยงานผู้เบิกเงินกองทุนฯ คือ พพ. จำนวน 1,549,388,680 บาท และ สนพ. จำนวน 855,616,124 บาท
5. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 ได้รับทราบผลการดำเนินงานในช่วงปี 2551 และพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 ของกองทุนฯ แล้ว เห็นควรให้เพิ่มเติมงบประมาณแผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลมจาก 12,000,000 บาท เป็น 27,000,000 บาท เพื่อให้ พพ. ดำเนินการติดตั้งสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลมเพิ่มเติม ในส่วนที่ พพ. ไม่สามารถดำเนินการผูกพันงบประมาณได้ทันในปีงบประมาณ 2551 จึงเห็นชอบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เป็นจำนวน 2,420,004,804 บาท ดังนี้
จำแนกตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | รวม | ร้อยละ | จำแนกตามหน่วยผู้เบิก (บาท) | |
พพ. | สนพ. | |||
1. แผนพลังงานทดแทน | 974,012,560.00 | 40.25% | 436,388,680.00 | 537,623,880.00 |
1.1 งานศึกษาวิจัยพัฒนา | 236,540,000.00 | 10% | 86,540,000.00 | 150,000,000.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 275,895,680.00 | 11% | 275,895,680.00 | - |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 435,276,880.00 | 18% | 47,653,000.00 | 387,623,880.00 |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 26,300,000.00 | 1% | 26,300,000.00 | |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 1,329,700,000.00 | 54.95% | 1,128,000,000.00 | 201,700,000.00 |
2.1 งานศึกษาวิจัยพัฒนา | 93,500,000.00 | 4% | 58,500,000.00 | 35,000,000.00 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,011,500,000.00 | 42% | 1,011,500,000.00 | - |
2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 202,200,000.00 | 8% | 35,500,000.00 | 166,700,000.00 |
2.4 งานบริหารแผนงาน | 22,500,000.00 | 1% | 22,500,000.00 | |
3. แผนบริหารเชิงกลยุทธ์ | 116,292,244.00 | 4.81% | - | 116,292,244.00 |
3.1 งานศึกษาวิจัยเชิงนโยบาย | 15,000,000.00 | 1% | - | 15,000,000.00 |
3.2 งานบริหารแผนงาน | 101,292,244.00 | 4% | - | 101,292,244.00 |
รวมงบประมาณ กทอ. ปี 2552 | 2,420,004,804.00 | 100% | 1,564,388,680.00 | 855,616,124.00 |
เนื่องด้วย พพ. และ สนพ. มีงานบริหารเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานที่ต้องดำเนินงานต่อเนื่อง เช่น การเบิกจ่ายเงินให้หน่วยงาน โครงการ ตามข้อผูกพันสัญญาฯ การประสานหน่วยงาน โรงงาน อาคาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายอนุรักษ์พลังงาน การให้คำแนะนำกับประชาชนในเรื่องวิธีประหยัดพลังงาน ฯลฯ จึงมีรายจ่ายประจำที่จำเป็นเพื่อการบริหารงานที่เกิดขึ้นแล้ว ได้แก่ ค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราว ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการสัมมนา ค่าใช้จ่ายในการจัดงานวันครบรอบสถาปนา สนพ. และ เงินสมทบกองทุนประกันสังคมฝ่ายนายจ้าง เป็นต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเห็นชอบให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 ของกองทุนฯ งานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551
มติที่ประชุม
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 ของกองทุนฯ เป็นจำนวน 2,396,252,804 บาท (สองพันสามร้อยเก้าสิบหกล้านสองแสนห้าหมื่นสองพันแปดร้อยสี่บาทถ้วน) โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็น 2 หน่วยงานผู้เบิกเงินกองทุนฯ ดังนี้
(1) พพ. จำนวน 1,540,636,680 บาท (หนึ่งพันห้าร้อยสี่สิบล้านหกแสนสามหมื่นหกพันหกร้อยแปดสิบบาทถ้วน)
(2) สนพ. จำนวน 855,616,124 บาท (แปดร้อยห้าสิบห้าล้านหกแสนหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยยี่สิบสี่บาทถ้วน)
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | แผนพลังงานทดแทน | แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 412,636,680 | 1,128,000,000 | 1,540,636,680 | |
2) สนพ. | 537,623,880 | 201,700,000 | 116,292,244 | 855,616,124 |
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติให้ค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 5 เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2552
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 มีมติอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ ถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณ ที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามผลการดำเนินงาน ซึ่ง บก. เริ่มใช้ระบบประเมินผลทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2547 เป็นต้นไป โดยกองทุนฯ เป็นทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงาน ตั้งแต่ปีบัญชี 2549
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดประชุมเพื่อหารือระหว่างผู้ถูกประเมินกับผู้ประเมิน คือ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) เพื่อจัดทำร่างเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552 และ ตัวชี้วัดที่จะต้องทำการประเมินที่เหมาะสม ถูกต้อง ตามสภาพความเป็นจริงของการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
3. บก. ได้มีหนังสือเรื่อง "การลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552" ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอให้ประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานฯ และส่งคืน บก. ภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือเวียนถึง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน)" โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน เพื่อขอความเห็นชอบร่างเกณฑ์การประเมินผลฯ ตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ซึ่งคณะทำงานเตรียมการฯ ได้มีมติเห็นชอบร่างเกณฑ์การประเมินผลฯ ตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 และให้นำเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ และ คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ที่ประธานกรรมการกองทุนฯ จะลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง ตามที่ บก. เสนอมาโดยให้สอดคล้องกับร่างเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552 แล้ว โดยจะประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน 4 ด้าน 10 ตัวชี้วัด สรุปได้ ดังนี้
เกณฑ์วัดการดำเนินงาน | สาระสำคัญของเกณฑ์วัด | |
1. ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (ร้อยละ 15) | ||
ตัวชี้วัดที่ 1.1 | ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ (ร้อยละ 10) |
ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 โดยปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของกองทุน |
ตัวชี้วัดที่ 1.2 | ค่าใช้จ่ายบริหารที่เกิดขึ้นจริงและผูกพันเทียบกับงบประมาณ (ร้อยละ 5) |
ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 โดยปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของกองทุน |
2. ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (ร้อยละ 33) | ||
ตัวชี้วัดที่ 2.1 | ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญา ของแต่ละแผนงาน ต่อจำนวนโครงการ ที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด ของแต่ละแผนงาน (ร้อยละ 16)
|
ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 |
ตัวชี้วัดที่ 2.2 | ร้อยละความสำเร็จของจำนวนโครงการที่ผูกพันและดำเนินงานได้ตามแผนภายในปีบัญชี 2552 ต่อจำนวนโครงการที่ผูกพันและมีแผนดำเนินงานภายในปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 17)
|
ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 |
3. การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ร้อยละ 15) | ||
ตัวชี้วัดที่ 3.1 | การจัดทำแผนการปรับปรุงการให้บริการจากผลสำรวจความพึงพอใจและการดำเนินงานตามแผนการปรับปรุงฯ ประจำปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 15) |
ดำเนินงานต่อจากปี 51 ซึ่งได้สำรวจความพึงพอใจของผู้รับบริการกองทุนไว้เสร็จแล้ว โดยในปี 52 เป็นการจัดทำแผนการปรับปรุงการดำเนินงานจากผลสำรวจความพึงพอใจ พร้อมกับดำเนินงานตามแผนให้ทันภายใน 30 กันยายน 2552 |
4. การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (ร้อยละ 37) | ||
ตัวชี้วัดที่ 4.1 | การทบทวนแผนกลยุทธ์กองทุนฯ (ร้อยละ10) |
เป็นการทบทวนแผนกลยุทธ์ของกองทุนซึ่งเคยทำไว้เมื่อปี 49 ให้ทันสมัย โดยต้องวิเคราะห์สถานการณ์สิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ SWOT กองทุน ตลอดจนกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมายระยะยาว และเป้าหมายประจำปี เพื่อนำไปสู่การบรรลุตามวิสัยทัศน์ของกองทุนฯ และแผนจะได้ระดับ 5 เมื่อได้รับความเห็นชอบจากประธานคณะทำงานเตรียมการฯ |
ตัวชี้วัดที่ 4.2 | การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2553 (ร้อยละ 7) |
เป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2553 ให้มีความสอดคล้องกับกลยุทธ์ของกองทุน ตามตัวชี้วัด 4.1 โดยมีการกำหนดเป้าหมาย น้ำหนัก ผลลัพธ์ ที่สามารถวัดได้ในแต่ละกิจกรรมไว้อย่างชัดเจน และสามารถใช้ในการประเมินผลได้ |
ตัวชี้วัดที่ 4.3 | การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 8) |
|
|
เป็นการศึกษาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลสารสนเทศและโปรแกรมสำเร็จรูปของ 2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกองทุน คือ สนพ. และ พพ. ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยในปี 52 เป็นการศึกษาระบบที่มีอยู่แล้วของทั้ง 2 หน่วยงาน และในปี 53 จึงเริ่มดำเนินการ | |
|
เป็นการประเมินเกี่ยวกับการจัดประชุม/สัมมนา เกี่ยวกับปัญหาของหน่วยงานภายในกองทุน และการจัดอบรมให้ความรู้แก่หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรเงินของกองทุน | |
ตัวชี้วัดที่ 4.4 | การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ร้อยละ 7) | ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 และปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประเมินผลภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน |
ตัวชี้วัดที่ 4.5 | บทบาทของผู้บริหารกองทุนฯ (ร้อยละ 5) |
เป็นตัวชี้วัดร่วมของกองทุนต่างๆ กับกระทรวงการคลัง ที่มีสินทรัพย์ของกองทุนตั้งแต่พันล้านบาทขึ้นไป ตัวชี้วัดนี้เป็นประเมินการทำหน้าที่ของผู้บริหารกองทุนฯ และฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อให้ผู้บริหารให้ความสำคัญกับการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนที่อยู่ในความดูแลซึ่งประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ 2. คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนฯ) ที่มี ปพน. เป็นประธาน 3. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ของทั้ง 2 คณะ ประเด็นสำคัญในการประเมินคือ 1. มีการประชุมและติดตามการดำเนินงานของคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ ทุกไตรมาสหรือไม่ รวมทั้งมีมติ ข้อเสนอแนะและข้อสังเกตอย่างไร 2. ในส่วนของ สนพ. ได้ดำเนินการตามมติตามข้อ 1 ครบถ้วนหรือไม่ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552 และ มอบอำนาจให้ประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 กับ กระทรวงการคลัง ต่อไป
เรื่องที่ 6 การนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฝากธนาคารของรัฐ
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ตามมาตรา 24 ได้กำหนดให้จัดตั้ง "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในกระทรวงพลังงาน เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน และใช้จ่ายช่วยเหลือ หรือ อุดหนุนการดำเนินงาน และ พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 24/1 กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินจาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในกระทรวงการคลัง" ไปเป็นของ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน" โดยปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายให้ สนพ. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้รับโอนงาน
2. สนพ. ฝากเงินกองทุนฯ ไว้กับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานขาว ประเภทออมทรัพย์ และเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กิ่งเพชร) สำหรับรองรับการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเบิกจ่ายเงิน และโอนเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุน ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 หมวด 1 การรับเงินกองทุน ข้อ 6.
3. เงินรวมของกองทุนฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 มีจำนวนประมาณ 10,632 ล้านบาท โดยเป็นเงินรอจ่ายให้กับผู้เบิกเงินกองทุนฯ คือ สนพ. และ พพ. นำไปใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนจำนวนเงินที่เหลืออยู่ประมาณ 4,600 ล้านบาท จะเก็บอยู่ใน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานขาว ประเภทออมทรัพย์ และเกิดดอกผลในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ปัจจุบัน ร้อยละ 0.50 บาทต่อปี ทำให้กองทุนฯ เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูงจากเงินฝากที่มีอยู่ 4,600 ล้านบาท ทั้งนี้ โดยวิธีปฏิบัติเมื่อครั้งที่กองทุนฯ ยังอยู่ในกระทรวงการคลังนั้น บก. จะนำเงินกองทุนฯ ส่วนที่เกินความจำเป็นใช้ตามช่วงเวลานั้นๆ ไปฝากกับสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประเภทฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน หรืออื่นๆ ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่สูงกว่าประเภทออมทรัพย์ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะบริหารเงินของกองทุนฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. สนพ. (ในฐานะผู้เก็บรักษาเงินของกองทุนฯ) เห็นว่า ถ้าสามารถจัดสรรเงินโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของกองทุนฯ และนำเงินส่วนที่เกินความจำเป็นต้องใช้ตามช่วงเวลานั้นๆ ไปฝากกับสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประเภทฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน หรืออื่นๆ เหมือนดังที่ บก. ได้เคยปฏิบัติไว้ ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่การบริหารเงินของกองทุนฯ จะเกิดประโยชน์มากขึ้น
มติที่ประชุม
เห็นชอบและมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติวงเงินและประเภทเงินฝากที่จะนำเงินกองทุนฯ ที่เกินความจำเป็นในการเบิกจ่ายเงินตามภาระผูกพัน ฝากธนาคารที่เป็นของรัฐ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และเมื่อดำเนินการแล้วให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ รับทราบต่อไป
เรื่องที่ 7 การขอปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาและอนุมัติไว้ รวมจำนวน 52 โครงการ โดยตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินฯ ตามข้อ 1.3 (2) หมวด 3 ข้อ 24 กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาเหตุผลและรายละเอียดที่เจ้าของโครงการฯ ทั้ง 52 โครงการ ได้แจ้งขอเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยจำแนกเรื่องที่ขอเปลี่ยนแปลงออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
2.1 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 17 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุน ไว้กับ พพ. จำนวน 10 โครงการ และ สนพ. จำนวน 7 โครงการ โดยคู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรได้ส่งงาน/รายงานตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว แต่การตรวจรับงานของ พพ. และ สนพ. พบว่าผลงานยังไม่สมบูรณ์ตามข้อตกลง เช่น ขาดรายละเอียด ขาดข้อมูลหรือเอกสารอ้างอิง ขาดประเด็นสำคัญ ฯลฯ และให้คู่สัญญาหรือผู้ได้รับจัดสรรเงินนั้น ดำเนินการให้รายงานฉบับนั้นๆ เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการปรับปรุงรายงานได้ใช้เวลาระยะหนึ่ง ที่ส่งผลให้เลยกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาหรือหนังสือยืนยันการรับทุน พพ. และ สนพ. จึงได้เสนอขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ
การปฏิบัติข้างต้น เป็นการดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 16 ที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายเงินกองทุนไว้ "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ กรณีผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นๆ ให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ ต่อไปได้ ภายในสาม (3) เดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา"
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขยายเวลาของทั้ง 17 โครงการดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 17 โครงการดังกล่าว ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายแต่ละรายการ ได้ตามที่เสนอมา โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายออกไปได้อีก 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติ
2.2 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการฯ จำนวน 26 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้กับ พพ. และ สนพ. จำนวน 26 โครงการ แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น ต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ การรอเวลาเพื่อนำผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ทั้งในและต่างประเทศ การปรับรายละเอียดการดำเนินกิจกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่เป้าหมาย การทำงานวิจัยแล้วผลการทดลองมีความคลาดเคลื่อนไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จำเป็นต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ผลการทดลองเพิ่มเติม เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขยายเวลาของทั้ง 26 โครงการดังกล่าว เห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ได้รับทุน และการเปลี่ยนแปลงแต่ละรายการไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 26 โครงการดังกล่าว ขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
2.3 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือ ขอขยายระยะเวลาดำเนินการ จำนวน 9 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดกิจกรรมย่อยให้มีความหลากหลายและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น หรือเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารของโครงการ และการขอโอนย้ายหน่วยงานในการชดใช้ทุนของผู้ได้รับทุนการศึกษา เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด และ/หรือการขอขยายระยะเวลาดำเนินการดังกล่าว เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะทำให้โครงการเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว จึงเห็นควรให้ทั้ง 9 โครงการดังกล่าว เปลี่ยนแปลงรายละเอียด และ/หรือขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
มติที่ประชุม
อนุมัติให้โครงการตาม ข้อ 2.1 ข้อ 2.2 และ 2.3 รวม 52 โครงการ โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาหรือหนังสือยืนยันการรับทุน ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ และปรับรายละเอียดโครงการฯ ได้ตามที่ขอมา
เรื่องที่ 8 การขอขยายระยะเวลาผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 ของ พพ.
1. พพ. ได้ขออนุมัติขยายระยะเวลาการผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการของ พพ. จำนวน 9 โครงการ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ พบว่า การดำเนินงานโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2551 สำหรับโครงการของ พพ. 9 โครงการ ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ในข้อ 16 ซึ่งระบุไว้ว่า "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ"
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เชิญผู้แทนจาก พพ. บก. และนิติกรของกระทรวงพลังงาน ร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2551 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาตามข้อกำหนดของระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่า ไม่มีข้อกำหนดหรือวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ผู้เบิกเงินกองทุนฯ ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และจากข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ในข้อ 4 ซึ่งระบุไว้ว่า "หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายเงินและการพัสดุ ที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ที่ประชุมจึงเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยให้ พพ. พิจารณาทบทวนถึงความจำเป็นในการขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันของโครงการทั้ง 9 โครงการ พร้อมทั้งชี้แจงปัญหาอุปสรรคของโครงการ เสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ
3. พพ. ได้ชี้แจงว่ามีโครงการที่จำเป็นต้องขอก่อหนี้ผูกพัน เนื่องจากเป็นโครงการที่ดำเนินการประกวดราคาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
(1) โครงการปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลม พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 25,000,000 บาท โดยแยกการดำเนินงานเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าบริหารโครงการ 850,000 บาท (2) ค่าปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลม ส่วนการจัดทำโครงสร้างเสาวัดลมพร้อมติดตั้ง 15,000,000 บาท และ (3) ค่าปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพลม ส่วนการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องวัดลมและบันทึกข้อมูลพร้อมอุปกรณ์ประกอบ 9,150,000 บาท
(2) โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมขนาดใหญ่ จ.ปัตตานี พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 125,000,000 บาท โดยแยกการดำเนินงานเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าจ้างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม 1,500,000 บาท (2) ค่าอำนวยการและบริหาร 3,500,000 บาท และ (3) ค่ากังหันลมพร้อมติดตั้งและทดสอบ 120,000,000 บาท
(3) โครงการรณรงค์และประกวดด้านอนุรักษ์ พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 77,000,000 บาท
(4) โครงการพัฒนาเซลล์แสงแดดไทยสู่ความเป็นเลิศ ระยะที่ 2 ปีที่ 1 พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการผูกพันรายจ่ายและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 สำหรับโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมขนาดใหญ่ จ.ปัตตานี ในวงเงิน 103,288,000 บาท และ โครงการรณรงค์และประกวดด้านอนุรักษ์พลังงาน สำหรับการจัดงาน "พลังงานก้าวไกล ประเทศไทยก้าวหน้า" ในวงเงิน 27,500,000 บาท ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติอนุมัติ
กอ. ครั้งที่ 37 - วันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2546
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2546 (ครั้งที่ 37)
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6อาคาร 7
อาคารกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
1. รายงานผลการประชุมเรื่องการนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน
2. รายงานการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ช่วงปีงบประมาณ 2543-2544
6. ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ ภายใต้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ กระทรวงการคลัง (กค.) ได้แจ้งให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำทุนหมุนเวียนส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งประกอบด้วยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 1,000 ล้านบาท และกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม จำนวน 100 ล้านบาท และ สนพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงาน หารือกับปลัดกระทรวงการคลังในกรณีข้างต้น
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ประชุมหารือกับรองปลัดกระทรวงการคลัง (นายสมหมาย ภาษี) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมกรมบัญชีกลาง ซึ่งสรุปผลการประชุมหารือ ได้ดังนี้
2.1 การนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 1,000 ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 13 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายเงินการเก็บรักษาเงินและการนำทุนหรือผลกำไรส่งเข้าบัญชีคงคลังบัญชีที่ 1 เพื่อให้ส่วนราชการเจ้าของทุนหมุนเวียน นำทุนหมุนเวียนหรือผลกำไร เข้าบัญชีคงคลังบัญชีที่ 1 ได้นั้น แต่อย่างไรก็ดีในปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังมิได้ออกข้อบังคับดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น รองปลัดกระทรวงการคลัง จึงมอบหมายให้กลุ่มงานพัฒนาเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง พิจารณาจัดทำข้อบังคับเรื่องการให้ส่วนราชการนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเสนอรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป และพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการนำเงินทุนหมุนเวียนส่งเข้าเป็นเงินรายได้แผ่นดินไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันโดยให้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารกองทุน เป็น 3 เรื่อง คือ (1) กองทุนที่จัดตั้งขึ้นใหม่ (2) กองทุนที่ดำเนินการอยู่และยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป และ (3) กองทุนที่หมดความจำเป็นแล้ว
2.2 สำหรับการนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม จำนวน 100 ล้านบาท นั้น เนื่องจากเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมเป็นเงินบริจาคที่ต้องใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ซึ่งเงินกองทุนมีจำนวน 350 ล้านบาท และใช้ได้เฉพาะดอกผล โดยขณะนี้มีดอกผลที่สามารถนำไปใช้จ่ายได้ จำนวน 38 ล้านบาท ที่ประชุมจึงมีมติให้ สนพ. เก็บเงินไว้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคเงินดังกล่าว
3. สนพ. ได้พิจารณาเห็นว่ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานยังมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินกองทุนฯ ในการดำเนินโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งในขณะนี้กองทุนฯ มีภาระผูกพันเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2538-2546 อยู่จำนวน 7,309.58 ล้านบาท และหากกองทุนฯ ยังมีแผนความต้องการในการใช้จ่ายเงินอยู่ต่อไปอีกในอนาคต โดยไม่มีการเพิ่มอัตราการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ก็จะทำให้กองทุนฯ มีเงินไม่พอจ่ายตามแผนในอนาคต รวมทั้งในส่วนของการพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศต่อไป จะเห็นได้จากประมาณการรับ-จ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. 2547 กองทุนฯ มีเงินคงเหลือสุทธิ ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 เท่ากับ 89.61 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอในการนำเงินกองทุนฯ ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน 1,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงเห็นควรที่จะชะลอการนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินออกไปอีกระยะหนึ่งจนกว่ากองทุนฯ จะมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะนำส่งเข้ารายได้แผ่นดินได้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และเห็นชอบให้ สนพ. ยังไม่ต้องนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดินในขณะนี้ จนกว่ากระทรวงการคลังจะออกข้อบังคับ
เรื่องที่ 2 รายงานการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ช่วงปีงบประมาณ 2543-2544
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทำหน้าที่ประเมินผลโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
2. คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2544ได้มีมติเห็นชอบให้ สนพ. ดำเนินการว่าจ้างบริษัทคอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด และบริษัทแม็กซิม ยูนิกรุ๊ป จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ในวงเงิน 39,632,265 บาท โดยที่ปรึกษาจะต้องทำการประเมินผลโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ หรือมีผลดำเนินงานในช่วงปีงบประมาณ 2543-2544 และที่ปรึกษาได้นำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์การติดตามประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ให้คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ พิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่เสนอ และเห็นชอบให้ที่ปรึกษานำผลการประเมินแผนอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ
3 . ที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า การประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 เป็นการประเมินผลครึ่งแผนของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547) เป็นการประเมินผลโครงการที่อยู่ภายใต้แผนงานรองทั้ง 3 แผนงาน คือ แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการหรือเห็นผลดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ 2543-2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กระบวนการดำเนินการ ผลการดำเนินการ ประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสิทธิผล (Effectiveness) ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการต่างๆ ทั้งทางเทคนิค การใช้งบประมาณ และทรัพยากรในการดำเนินงาน รวมถึงเสนอทางเลือกในการดำเนินการ (Alternative Method) เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงแผนงานในระยะต่อไป และเพื่อประเมินผลกระทบของการดำเนินโครงการทั้งทางด้านพลังงาน เศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งสามารถสรุปผลได้ดังนี้
3.1 แผนงานภาคบังคับ
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการดี เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของโครงการประสิทธิภาพของแผนงานค่อนข้างดี ประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ และมีผลกระทบในด้านบวก เนื่องจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ที่กำลังใช้งาน ซึ่งเป็นโครงการที่มีสัดส่วนด้านการอนุรักษ์พลังงานมากแต่มีประสิทธิผลอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ดังนั้น จึงทำให้ภาพรวมของแผนงานภาคบังคับมีประสิทธิผลอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ จึงไม่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่กำหนดไว้ในแผนงานภาคบังคับได้
3.2 แผนงานภาคความร่วมมือ
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลกระทบค่อนข้างดี แต่เมื่อพิจารณาประสิทธิผลการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานในภาพรวมของแผนงานภาคความร่วมมือแล้ว พบว่า ประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ เนื่องจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการย่อยต่างๆ สนองตอบต่อเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานของแผนงานได้น้อย อีกทั้งโครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่เป็นโครงการศึกษาวิจัย พัฒนาและสาธิต ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลทางด้านการทดแทนพลังงานไฟฟ้า/เชื้อเพลิง และความต้องการพลังงานไฟฟ้าได้ทันที
3.3 แผนงานสนับสนุน
สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลค่อนข้างดี ส่วนผลกระทบนั้นยังไม่ชัดเจน เนื่องจากการดำเนินงานอยู่ในลักษณะการให้การสนับสนุนช่วยเหลือ จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการประหยัดพลังงานโดยตรงหรือทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการพัฒนาบุคลากร ซึ่งต้องรอเวลาให้ผู้ที่ได้รับการพัฒนาแล้วปฏิบัติงานต่อไปภายหลังจากเสร็จสิ้นโครงการแล้ว และโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถดำเนินการให้ยั่งยืนต่อเนื่องได้
3.4 สรุปผลการประเมินในภาพรวม
พบว่าการดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลค่อนข้างดี และผลกระทบค่อนข้างดี แต่เมื่อประเมินผลโดยยึดเอาเป้าหมายด้านการทดแทนและประหยัดพลังงานของแผนอนุรักษ์พลังงานแล้ว พบว่าการดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ และผลกระทบค่อนข้างดี ส่วนประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ เนื่องจากแผนงานภาคบังคับเป็นแผนงานที่ส่งผลกระทบถึงเป้าหมายของการอนุรักษ์พลังงานโดยตรงที่สำคัญที่สุด และแผนงานภาคความร่วมมือที่มีเป้าหมายการทดแทนพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงมีประสิทธิผลการอนุรักษ์พลังงานอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3.5 ข้อเสนอแนะ
ที่ปรึกษาประเมินผลมีข้อเสนอแนะที่สำคัญในการดำเนินการแผนอนุรักษ์พลังงานต่อไป ดังนี้
(1) การบูรณาการแผนงานรองทั้ง 3 แผนงาน
(2) ปรับปรุงแนวทางในการสนับสนุนโครงการในแผนงานภาคความร่วมมือ
(3) การจัดทำดัชนีเกี่ยวกับ Energy Intensity เพื่อใช้สำหรับการวางแผนเชิงนโยบาย และการกำหนดแนวทางของมาตรการเพื่ออนุรักษ์พลังงาน
(4) การปรับปรุงแผนอนุรักษ์พลังงานในเชิงนโยบาย เช่น แผนงานภาคบังคับ ควรมีการพิจารณาปรับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ปรับแนวทางการดำเนินงานโดยเน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ ทบทวนมาตรการการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ เช่น
แผนงานภาคบังคับ : การปรับเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ปรับแนวทางการดำเนินงานโดยเน้นผลลัพธ์มากกว่าขั้นตอนกระบวนการ การทบทวนมาตรการการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการทำรายงานฯ ทบทวนบทบาทให้ความสำคัญแก่ภาคเอกชนในการมีส่วนร่วมมากขึ้นทั้งในด้านการปฎิบัติงาน สนับสนุน ส่งเสริม โดยรัฐเป็นผู้ชี้นำและผลักดัน เป็นต้น
แผนงานภาคความร่วมมือ : ควรมีการกำหนดประเภทโครงการที่จะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ผลักดันให้เกิดธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างครบวงจร
แผนงานสนับสนุน : ควรเน้นการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับตามความต้องการของทั้งแผนงานภาคบังคับและแผนงานภาคความร่วมมือ เป็นต้น
3.6 ข้อเสนอแนะในการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานครั้งต่อไป
ที่ปรึกษาประเมินผลได้มีข้อเสนอแนะสำหรับแนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในครั้งต่อไป โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และประสบการณ์จากการประเมินผลในครั้งนี้ จึงได้เสนอแนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในครั้งต่อไปเป็น 2 ระดับ และในการติดตามประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ควรมีการพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามประเมินผลโครงการได้อย่างต่อเนื่อง แนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน 2 ระดับ มีดังนี้
(1) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนอนุรักษ์พลังงาน ควรดำเนินการประเมินผลในช่วงที่มีการดำเนินการไปแล้วครึ่งหนึ่งของแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อติดตามประเมินผลและให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงแผนในระยะเวลาที่เหลือ และเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยการติดตามตรวจสอบสถานภาพแผนงานรองทั้ง 3 แผน ประกอบด้วย จำนวน งบประมาณ ประมาณการประหยัดพลังงานและการทดแทนพลังงานของทุกโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุน เป็นต้น ประเมินผลโครงการโดยการสำรวจภาคสนาม โดยการจำแนกกลุ่มและคัดเลือกตามหลักสถิติ และติดตามตรวจสอบ (Follow Up) การดำเนินงานต่อเนื่องของโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วที่ได้ผ่านการประเมินในครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2
(2) การติดตามประเมินผลรายโครงการ ซึ่งสามารถดำเนินการติดตามและประเมินผลได้ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการ กำลังดำเนินการ และเสร็จสิ้นโครงการ การพิจารณาเลือกติดตามและประเมินผลโครงการใดๆ นั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการประเมิน หรือ ความสำคัญของโครงการ เช่น พิจารณาจากโครงการที่มีศักยภาพด้านการอนุรักษ์พลังงานสูง หรือ โครงการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่ต้องประเมินทันที เมื่อโครงการเสร็จสิ้นเพื่อทราบกระบวนการ ประสิทธิผล ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจากโครงการอย่างแท้จริง เป็นต้น
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบผลการประเมินแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ตามที่บริษัทที่ปรึกษานำเสนอ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2544 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ในขณะนั้น ให้ทำกิจกรรมการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน และเนื่องจากเห็นว่ามาตรการปิดถนนบางส่วนในบางช่วงเวลาในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นมาตรการที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและสามารถลดการใช้พลังงานลงได้ สนพ. จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือและพิจารณาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปิดถนนบางส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นผู้จัดทำแผนการดำเนินงานและให้มีการจัดตั้ง "คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและส่งเสริมการท่องเที่ยว" เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณารายละเอียดการดำเนินงานของโครงการฯ และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างรัดกุมและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุม ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน ปีงบประมาณ 2545 ให้ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว ภายใต้ชื่อว่า "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" ในวงเงิน 33,073,000 บาท (สามสิบสามล้านเจ็ดหมื่นสามพันบาทถ้วน) โดย มจธ. ได้จ้าง บริษัท เจเอส แอล จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ และ บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นผู้รับจ้างช่วงจาก บริษัท เจเอส แอล จำกัด
3. หลังจากกิจกรรม "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" เสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2544 คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ได้มีมติให้ดำเนินโครงการปิดถนนสีลมต่อไปเพื่อให้ถนนสีลมเป็นถนนคนเดิน ที่ยั่งยืนและมีความต่อเนื่อง โดยเน้นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และใช้งบประมาณของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2545 ได้อนุมัติงบประมาณ "โครงการเที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน" โดยมีงบประมาณที่จะใช้ใน "โครงการปิดถนนสีลมฯ" รวมอยู่ด้วยในจำนวนเงิน 26 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 52 สัปดาห์ ของปี 2545 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545 เป็นต้นมา และเพื่อมิให้เกิดความล่าช้าและเกิดภาวะชะงักงัน ซึ่งจะมีผลให้โครงการขาดความต่อเนื่อง คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ จึงเห็นชอบและมอบหมายให้ บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ดำเนินกิจกรรม "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ต่อไป โดยให้บริษัทฯ สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปก่อน
4. คณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลม ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะอนุกรรมการอำนวยการโครงการปิดถนนฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2545 เมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2545 ได้พิจารณาเรื่องการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายโครงการปิดถนนสีลม ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545- 21 เมษายน 2545 คืนให้กับ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด แต่ปรากฏว่า ททท. ยังไม่สามารถดำเนินการจัดจ้างและเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวคืนให้บริษัทฯ ได้ และคณะทำงานฯ จึงได้มีมติให้ประธานคณะทำงานฯ (นางจุฑามาศ ศิริวรรณ) พิจารณานำเรื่องเสนอ "คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย" เพื่อพิจารณานำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติให้ ททท. ทำการว่าจ้างบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นผู้รับจ้างจัดกิจกรรมต่างๆ บนถนนสีลมทุกอาทิตย์ ก่อนได้รับเงินงวด พร้อมทั้งขออนุมัติให้มีผลการจ้างตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545
5. ททท. ได้มีหนังสือแจ้งให้คณะทำงานฯ ทราบว่า ททท. ไม่สามารถดำเนินการตามมติคณะทำงานฯ ที่ให้ ททท. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติจ้างบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด โดยให้มีผลการจ้างตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545 ได้ เนื่องจากขัดต่อข้อบังคับของ ททท. ว่าด้วยการพัสดุ ซึ่งกำหนดว่าการจัดจ้างต้องดำเนินการแล้วเสร็จก่อนงานเริ่ม แต่อย่างไรก็ตาม ททท. ได้ดำเนินการจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2545 โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมจนถึงธันวาคม 2545
6. บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้มีหนังสือลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 ถึง รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องการเบิกค่าจ้างดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ในช่วงวันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายเดือนมกราคม 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 1,848,960.00 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายเดือนกุมภาพันธ์ 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 4,118,574.45 บาท |
3. ค่าใช้จ่ายเดือนมีนาคม 2545 (รวม 5 สัปดาห์) | 2,471,914.00 บาท |
4. ค่าใช้จ่ายเดือนเมษายน 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 3,890,529.59 บาท |
รวมค่าใช้จ่ายที่บริษัทจ่ายไปล่วงหน้า | 12,329,978.04 บาท |
7. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้มีบัญชาให้ สนพ. ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องขอของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ตามข้อ 2 โดย สนพ. ได้พิจารณาแล้วและนำมาสรุปความเห็นได้ดังนี้
(1) บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้ดำเนินกิจกรรม "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ตามมติและความเห็นที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ดำเนินการ ซึ่งบริษัทฯ รับทราบว่าภายหลังจากที่ ททท. ได้รับโอนเงินงบประมาณเรียบร้อยแล้ว จะมีการชำระคืนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยการดำเนินกิจกรรมของบริษัทฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มีผลงานเป็นที่ปรากฏและรับทราบโดยประชาชนทั่วไป ซึ่งคณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ก็ได้รับทราบความก้าวหน้าของงานทั้งจากการไปร่วมกิจกรรมบนถนนสีลมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ และรับทราบจากที่ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานต่อที่ประชุมแต่ละครั้ง
(2) ททท. หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการนี้ ไม่มีเจตนาที่จะไม่จ่ายเงินค่าจ้างให้กับบริษัทฯ แต่เนื่องจากมีข้อบังคับด้านพัสดุ จึงทำให้ไม่สามารถจัดจ้าง บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม 2545- เมษายน 2545 และส่งผลให้ ททท. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินค่าจ้างจำนวนดังกล่าว คืนให้บริษัทฯ ได้
จากข้อ 7 จะเห็นได้ว่าเหตุแห่งความเสียหายที่บริษัทฯ ได้รับ มิได้เกิดจากเจตนาของบริษัทฯ หากแต่เป็นการดำเนินการตามที่ภาครัฐได้มอบหมาย ประกอบกับจากการที่กองทุนฯ เป็นผู้สนับสนุนและก่อให้เกิด "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ในช่วงต้น และอาศัยข้อกำหนดแห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 "---ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" สนพ. จึงมีความเห็นว่า หากคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นควรแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจจำเป็นต้องใช้เงินจากกองทุนฯ จ่ายคืนให้กับบริษัทฯ และเนื่องจากโครงการนี้ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ คงต้องอนุมัติให้ สนพ. ยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ เพื่อสามารถจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ คือ ไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ และให้ สนพ. ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัทเป็นหลักฐานในการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ สนพ. ประสานงานกับบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อขอหลักฐานและรายละเอียดการใช้จ่ายเงินเพิ่มเติม และเจรจาต่อรองกับบริษัทฯ ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายที่จะขอรับจากกองทุนฯ ตามข้อเสนอแนะของกรรมการกองทุนฯ แล้วส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ในการจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ
2. เห็นชอบให้ สนพ. อาศัยข้อกำหนดแห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 "---ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ในการดำเนินการจัดจ้าง และการจ่ายเงินค่าจัดจ้างให้ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ในช่วง ปีงบประมาณ 2543-2547 ให้ พพ. และ สนพ. ใช้เป็นเป็นแนวทางดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงระยะเวลาดำเนินการตามแผนงาน 5 ปี ดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ พพ. และ สนพ. ใช้เงินจากกองทุนฯ ภายในกรอบวงเงิน 29,110.61 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และโครงการบริหารงานตามกฎหมายส่วนของ สนพ. ที่บรรจุอยู่ในแผนอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว ได้รับการจัดสรรวงเงินไว้จำนวน 552.15 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2546 ปรากฏว่ามีการจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการบริหารงานตามกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2543-2546 รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 390.95 ล้านบาท และมีงบประมาณคงเหลือประมาณ 161.20 ล้านบาท
2. คณะอนุกรรมการการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ได้พิจารณาคำของบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. ซึ่งขอความเห็นชอบงบประมาณในวงเงิน 153.94 ล้านบาท และที่ประชุมมีความเห็นว่า งบประมาณรวมของโครงการบริหารงานตามกฎหมายยังมีเงินคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 161.20 ล้านบาท ประกอบกับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2547 ประมาณการไว้เพียง 120.65 ล้านบาท ดังนั้น เงินงบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมายจึงมีจำนวนเพียงพอที่จะนำมาจัดสรรให้ สนพ. เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายดังกล่าว ได้อยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2546 ได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. พพ. และ บก. และที่ประชุมได้มีมติให้ สนพ. และ พพ. ดำเนินการปรับปรุงประมาณการค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน โดยให้มีตัวชี้วัดผลงานหลักประกอบการพิจารณาคำขอตั้งงบประมาณ และมอบหมายให้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน คือ นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ นายพรายพล คุ้มทรัพย์ และ นายอัศวิน คงสิริ ร่วมให้คำปรึกษาแนะนำการจัดทำงบประมาณของ สนพ. และ พพ. ด้วย
4. คณะอนุกรรมการฯ และคณะทำงานซึ่งเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมพิจารณาคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. และ พพ. ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2546 โดยได้พิจารณาตามหมวดค่าใช้จ่ายทั้ง 5 หมวด โดยเฉพาะหมวดรายจ่ายอื่นได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานมีตัวชี้วัดผลงานหลักประกอบการพิจารณาแล้ว เห็นชอบตามที่เสนอ และเนื่องจาก สนพ. และ พพ. มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้งบประมาณรายจ่ายบางรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ดังนั้นประธานกรรมการกองทุนฯ จึงเห็นชอบให้สนพ. ดำเนินการทำหนังสือเวียนคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. และ พพ. ในหมวดรายจ่ายค่าจ้างชั่วคราว หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ และหมวดค่าสาธารณูปโภค เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สนพ. ในวงเงิน 24,784,120 บาท และ พพ. ในวงเงิน 69,411,380 บาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติแล้วตามหนังสือคณะกรรมกรกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ด่วนที่สุด ที่ พน 0603.3/ว 3156 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2546
โดยให้ถัวจ่ายรายการต่าง ๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา งบประมาณฯ สำหรับหมวดค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และหมวดรายจ่ายอื่น ดังต่อไปนี้
หน่วย : บาท
หมวดรายจ่าย | สนพ. | พพ. | รวม |
1. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 2,272,000.00 | 22,157,455.00 | 24,429,455.00 |
2. รายจ่ายอื่น | 126,882,110.00 | 411,525,000.00 | 538,407,110.00 |
รวม | 129,154,110.00 | 433,682,455.00 | 562,836,565.00 |
โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมาย รวม 2 หมวดรายจ่าย ในวงเงิน 129,154,110 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยสิบบาทถ้วน) โดยขยายกรอบวงเงินงบประมาณ ปี 2547 จากเดิมที่ได้จัดสรรไว้ 120.65 ล้านบาท เป็น 153.94 ล้านบาท (153,938,230 บาท) ซึ่งอยู่ภายในวงเงินที่อนุมัติในกรอบของแผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2543 - 2547 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สนพ. ในการบริหารงานตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ของ พพ. รวม 2 หมวดรายจ่าย ในวงเงิน 433,682,455 บาท (สี่ร้อยสามสิบสามล้านหกแสนแปดหมื่นสองพันสี่ร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน) ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่าง ๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน พิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. โดยให้มีผลการเบิก - จ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 และได้เห็นชอบให้ พพ. และ สนพ. ใช้เงินจากกองทุนฯ ภายในกรอบวงเงิน 29,110.61 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนดังกล่าว ซึ่งโครงการพัฒนาบุคลากรเป็นหนึ่งโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนดังกล่าว ได้รับการจัดสรรวงเงินไว้ 1,688 ล้านบาท แบ่งการจัดสรรออกเป็น ปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 316 ล้านบาท และตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544-2547 ได้รับจัดสรรปีละ 343 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2546 ปรากฏว่ามีการจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ตั้งแต่ปี 2543-2546 รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 1,331.04 ล้านบาท และมีงบประมาณคงเหลือประมาณ 504.31 ล้านบาท
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545 ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2546 ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้น ณ อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ บริเวณเทคโนธานี จ.ปทุมธานี ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 147,446,000 บาท ประกอบด้วย "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน" ในวงเงิน 12,446,000 บาท และค่าใช้จ่ายในกิจกรรม "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ในวงเงิน 135 ล้านบาท
3. พพ. ได้ดำเนินการทำสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้าง ในวงเงิน 12,440,000 บาท แล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2546 แต่สำหรับการคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาดำเนินการก่อสร้างศูนย์ฯ นั้นมีความล่าช้าไปจากกำหนดเดิม เนื่องจากจำเป็นต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดคุณสมบัติของอุปกรณ์ 54 เทคโนโลยี ที่จะนำมาติดตั้งสาธิตและจัดแสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานในศูนย์ฯ ให้ทันสมัย ซึ่ง พพ. เพิ่งจะจัดทำข้อกำหนด (TOR) เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์เมื่อเดือนกันยายน 2546 จึงเป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถทำข้อผูกพันได้ทันภายในปีงบประมาณ 2546 และตามข้อ 2 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบการใช้เงิน "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ไว้ในโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ประกอบกับจากเหตุผลตามข้อ 2 ทำให้ พพ. ไม่สามารถทำข้อผูกพันกับผู้รับจ้างได้ทันภายในปีงบประมาณ 2546 และเนื่องจากกรมบัญชีกลางได้มีความเห็นว่า ตามกรอบงบประมาณ 2546 ไม่ได้รวมถึงค่ากิจกรรมโครงการก่อสร้างศูนย์ฯ ไว้ด้วย จึงไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้ พพ. ได้
4. พพ. จึงได้มีหนังสือที่ พน 0503/11683 ลงวันที่ 9 กันยายน 2546 เพื่อขอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ พพ. ดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานได้ในปีงบประมาณ 2547 สนพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่าเนื่องจากงบประมาณรวมของโครงการพัฒนาบุคลากรยังมีเงินคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 504.31 ล้านบาท ประกอบกับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2547 ประมาณการไว้เพียง 343 ล้านบาท ดังนั้นเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากรจึงมีจำนวนเพียงพอที่จะนำมาจัดสรรให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการ ดังกล่าวได้อยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการตามแผนงานโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2547 โดยให้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณปี 2547 จากเดิม ที่ได้จัดสรรไว้ 343 ล้านบาท (สามร้อยสี่สิบสามล้านบาทถ้วน) เป็น 478 ล้านบาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบแปดล้านบาทถ้วน) โดยงบประมาณที่ขยายเพิ่มขึ้น 135 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน) นั้น ให้ใช้สำหรับกิจกรรม "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ตามข้อเสนอของ พพ. ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบไว้แล้วในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2546 พิจารณาว่าเพื่อให้การบริหารงานกองทุนฯ และการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นเอกภาพ มีความคล่องตัว ที่ประชุมจึงได้มมติมอบอำนาจปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ อพพ. และ ผอ.สนพ.
2. ในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ผู้แทนกรมบัญชีกลางได้ขอหารือเพื่อซ้อมความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันในเรื่องขอบเขตอำนาจที่ อพพ. และ ผอ.สนพ. ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ กรณี "การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ" ปรากฏตามข้อความดังต่อไปนี้ "
(1) การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ให้นำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
อพพ. กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
คณะอนุกรรมการฯ กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
(2) การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ให้นำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
ผอ.สนพ. กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
คณะอนุกรรมการฯ กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง"
โดยผู้แทนกรมบัญชีกลางได้มีความเห็นว่า ข้อความ "การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ" นั้น น่าจะไม่ครอบคลุมถึงการโอนเปลี่ยนแปลงเงินจากหมวดรายจ่ายหนึ่งไปใช้ในอีกหมวดรายจ่ายหนึ่งด้วย คณะอนุกรรมการฯ ได้รับทราบข้อหารือเพื่อซ้อมความเข้าใจตามที่ผู้แทนกรมบัญชีกลางนำเสนอแล้ว และที่ประชุมเห็นสมควรเสนอประเด็นดังกล่าวให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบในการมอบอำนาจปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้ คณะอนุกรรมการฯ และ/หรือ ผอ.สนพ และ/หรือ อพพ. เพิ่มเติม ในกรณีการพิจารณาอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลง กิจกรรมหรือแผนงานโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ แผนงานสนับสนุน และ/หรือแผนงานภาคบังคับ ที่ผู้ได้รับการจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 254 ได้มีมติเห็นชอบไปแล้วนั้น ให้ครอบคลุมถึงการมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติการโอนเปลี่ยนแปลงเงินจากหมวดรายจ่ายหนึ่งไปใช้ในอีกหมวดรายจ่ายหนึ่ง ภายใต้แผนงานเดียวกัน และภายในวงเงินตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มอบอำนาจไว้ตามหนังสือที่อ้างถึงดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ให้มตินี้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2546
อนุ กอ. ครั้งที่ 13 - วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 13)
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
2. ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนากำลังพลด้านพลังงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
3. ขอความเห็นชอบรายละเอียดเพิ่มเติมโครงการของ พพ. ที่ขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 ตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ
4. ขอความเห็นชอบเพิ่มเงินสนับสนุนโครงการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย ขนาด 1.5 เมกกะวัตต์ อ.สทิงพระ จังหวัดสงขลา
5. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อรับทราบมติของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 และ มติของ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 เรื่อง "แผนการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์" สรุปได้ดังนี้
1.1 รับทราบประมาณการรายจ่ายสำหรับกิจกรรมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งคาดว่าจะใช้จ่ายเงินประมาณ 450 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 1,350 ล้านบาท ประกอบด้วย 7 แผนงานดังนี้
แผนงาน | งบประมาณ (ล้านบาท) | ||
ปี 2551 | ปี 2552 | ปี 2553 | |
1. แผนงานด้านกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ | 30.0 | 30.0 | 30.0 |
2. แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ | 10.0 | 10.0 | 10.0 |
3. แผนงานด้านการถ่ายทอด พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ | 65.0 | 65.0 | 65.0 |
4. แผนงานด้านความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม | 30.0 | 30.0 | 30.0 |
5. แผนงานด้านการสื่อสารสาธารณะ และการยอมรับของประชาชน | 185.0 | 200.0 | 240.0 |
6. แผนงานด้านการการวางแผนการดำเนินการโครงการไฟฟ้านิวเคลียร์ | 70.0 | 90.0 | 85.0 |
7. การจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (NPPDO) | 25.0 | 25.0 | 25.0 |
รวมค่าใช้จ่ายรายปี | 415.0 | 450.0 | 485.0 |
รวมค่าใช้จ่ายรวม 3 ปี | 1,350.00 |
1.2 เห็นชอบให้ สนพ. เพิ่มเติมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2551-2554) และอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ สนพ. ในวงเงินประมาณ 250 ล้านบาท/ปี ไว้ใช้สำหรับช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับกิจกรรมตามแผนงานที่ 1 ถึง 7 ที่มีความเร่งด่วนต้องเริ่มดำเนินการและมีกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรี โดยการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ จะต้องดำเนินการตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ที่กองทุนกำหนด
นอกจากนี้ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 9/2550 (ครั้งที่ 118) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2550 ได้เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานจัดตั้ง "สำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์" ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินงานและประสานงานตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์
2. เพื่อให้การประสานและผลักดันกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ การดำเนินการจำเป็นต้องเริ่มต้นโดยเร็ว คือในส่วนของการจัดตั้งสำนักงานฯ และการสร้างความรู้และความเข้าใจกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กระทรวงพลังงานจึงจัดทำข้อเสนอขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 30 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานตามแผนงานปีที่ 1 ของแผนงานที่ 7 การจัดตั้งสำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในวงเงิน 25 ล้านบาท และของแผนงานที่ 5 แผนงานด้านการสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน ในวงเงิน 5 ล้านบาท โดยสรุปสาระสำคัญของแต่ละแผนงานได้ดังนี้
2.1 การจัดตั้งสำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ : เป็นการดำเนินการตามแผนการจัดตั้งหน่วยงานกลางที่จะทำหน้าที่จัดทำแผนงาน มาตรการ และแนวทางดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์ โดยปลัดกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานฯ โดยมีการแบ่งโครงสร้างการบริหารออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย (1) สำนักประสานความร่วมมือการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (2) สำนักประสานความร่วมมือการวางแผนการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (3) สำนักสื่อสารและการยอมรับสาธารณะ และ (4) สำนักบริหารงานกลาง โดยมีสาระสำคัญของแผนงานจัดตั้งสำนักงานฯ สรุปได้ ดังนี้
2.1.1 การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร คาดว่าจะมีบุคลากรปฏิบัติงานในสำนักงานฯ ประมาณ 20 คน โดยบางส่วนจะเป็นข้าราชการประจำของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และ สนพ. เข้าไปช่วยบริหารจัดการ แต่ด้วยอัตรากำลังคนที่จำกัดและปริมาณงานที่มีอยู่มาก ประกอบกับงานหลายส่วนจำเป็นต้องจ้างผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางและประสบการณ์สูงเข้ามาช่วยดำเนินการ เช่น การเตรียมความพร้อมทางด้านกฎหมาย การเตรียมการด้านเทคนิคโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การศึกษาเตรียมการด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม การจัดเตรียมงบประมาณ การบริหารจัดการด้านการเงินและพัสดุ ฯลฯ
2.1.2 การเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ปฏิบัติงาน ด้วยกระทรวงพลังงานมีพื้นที่จำกัด จึงจำเป็นต้องจัดหาหรือเช่าพื้นที่ของอาคารอื่นสำหรับเป็นที่ตั้งของสำนักงานฯ โดยมีพื้นที่เพียงพอรองรับจำนวนบุคลากรที่จะเข้ามาร่วมดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ หรือแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงการใช้เป็นที่จัดประชุมคณะอนุกรรมการทั้ง 6 คณะ พร้อมทั้งการเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์สำนักงานที่จำเป็นต่อการใช้งานขั้นพื้นฐาน เช่น โต๊ะและเก้าอี้สำหรับทำงานและการประชุม เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมระบบเชื่อมโยง เครื่องโทรศัพท์ โทรสาร เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ
2.1.3 การเตรียมการด้านงบประมาณ ด้วยกระทรวงพลังงานไม่ได้จัดเตรียมงบประมาณไว้ จึงขอรับสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เพื่อนำไปใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานจัดตั้งสำนักงานฯ ในปีที่ 1 ในวงเงิน 25 ล้านบาท สรุปได้ดังนี้
รายการ | บาท | |
1) เงินเดือน/ค่าจ้าง | 10,000,000 | |
ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน (ด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ วางแผนงาน ด้านสื่อสาร ด้านเทคนิค) | 6,000,000 | |
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 15 คน | 4,000,000 | |
2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน | 5,000,000 | |
ค่าล่วงเวลา ค่าเบี้ยประชุม | 400,000 | |
ค่าเช่าอาคาร ค่าใช้จ่ายในการเดินทางในประเทศ ค่าจัดสัมมนา ฝึกอบรม | 3,500,000 | |
ค่าวัสดุ ค่าสาธารณูปโภค |
500,000 600,000 |
|
3) ค่าใช้จ่ายในการลงทุน | 5,000,000 | |
ค่าครุภัณฑ์ (สำนักงาน และ คอมพิวเตอร์) | 5,000,000 | |
4) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 5,000,000 | |
ค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ |
3,000,000 2,000,000 |
|
รวมทั้งสิ้น (ยี่สิบห้าล้านบาทถ้วน) | 25,000,000 |
ระยะเวลาดำเนินการ 14 เดือน โดยขอถัวจ่ายทุกรายการภายในวงเงิน 25 ล้านบาท และอาจจะจ้างที่ปรึกษา เข้ามาบริหารทั้งโครงการฯ ตามความเหมาะสม
ผลที่คาดว่าจะได้รับ สามารถจัดหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานส่วนต่างๆ ภายใต้กิจกรรมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เข้ามาช่วยดำเนินการโดยเป็นบุคลากรหรือทีมงานที่มีความรู้เฉพาะทาง มีความชำนาญหรือประสบการณ์สูง มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ โดยสามารถจัดทำร่างแผนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทั้งด้านเทคนิคโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ความปลอดภัย การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม กฎหมาย ระบบกำกับ แนวทางพิจารณาความเหมาะสมของการคัดเลือกสถานที่ตั้ง เสนอคณะอนุกรรมการวางแผนการดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ความเห็นชอบ
2.2 แผนงานด้านการสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน ปีที่ 1 : เป็นการดำเนินการตามแผนสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของประชาชน ซึ่งเป็นงานสำคัญและต้องรีบดำเนินการทันที ต่อเนื่องและนำไปสู่การยอมรับของสาธารณะที่ถูกต้อง ชัดเจนและโปร่งใส โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ให้รู้ถึงความเสี่ยงและข้อดีของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ การไขปัญหาที่ประชาชนยังมีความกังวลสูงให้ได้ โดยเฉพาะการจัดการเชื้อเพลิงใช้แล้วและกากกัมมันตภาพรังสี
โดยในช่วงต้นจะต้องเร่งสร้างความเข้าใจไปยังกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่มีต่อโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 ได้กำหนดให้ดำเนินการผ่านจัดการประชุมสัมมนาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างน้อย 8 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน และเพื่อให้การดำเนินการสำเร็จลงตามแผนงานฯ ที่กำหนด กระทรวงพลังงาน จึงเสนอขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 5 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการสร้างความรู้ ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพลังงานนิวเคลียร์
ผลที่คาดว่าจะได้รับ สามารถดำเนินการจัดการประชุมสัมมนาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างน้อย 8 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนารวมอย่างน้อย 800 คน และร้อยละ 70 ของผู้เข้าร่วมสัมมนามีความรู้ ความเข้าใจในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2551 ให้ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 30,000,000 บาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) สำหรับดำเนินการตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ 3.1 โดยใช้เงินส่วนที่ สนพ. ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550
เรื่องที่ 2 ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนากำลังพลด้านพลังงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า กรมการพลังงานทหาร กระทรวงกลาโหม (พท.) ได้ยื่นข้อเสนอ "โครงการพัฒนากำลังพลด้านพลังงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" ไว้กับ สนพ. เพื่อขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนฯ และ สนพ. ได้แต่งตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อร่วมพิจารณาข้อเสนอโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย (1) รศ.ดร.กล้าณรงค์ ศรีรอต (2) นาวาเอก ดร. สมัย ใจอินทร์ (3) ผศ.ดร.อนุชา พรหมวังขวา และ (4) นายประพนธ์ วงศ์ท่าเรือ
2. คณะผู้ทรงคุณวุฒิได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2550 พร้อมกับเชิญผู้แทนจาก พท. เข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ที่ประชุมมีความเห็นว่า พท. ควรปรับแผนการดำเนินการใหม่ โดยสำรวจหน่วยทหารที่เชื่อมั่นว่าจะมีวัตถุดิบเพียงพอ สำหรับระบบผลิตไบโอดีเซล 100-150 ลิตร/วัน และเป็นหน่วยที่มีความพร้อมในการดูแลระบบผลิต โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ
ระยะแรก เพื่อสร้างต้นแบบความรู้ความเข้าใจในวิธีแนวทางปฏิบัติ ควรเลือกหน่วยทหารที่มีความพร้อมทั้งด้านการรวบรวมวัตถุดิบและมีกำลังคนที่จะเข้ามารับผิดชอบการดำเนินงาน ความพร้อมของชุมชนรอบ ค่ายทหารที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมในกระบวนการผลิต โดยเลือกเทคโนโลยีเครื่องผลิตไบโอดีเซลในประเทศที่เห็นว่าเหมาะสม และให้มีความรู้ด้านกระบวนการบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างเป็นระบบ
ระยะที่สอง เมื่อดำเนินงานในระยะแรก สามารดำเนินการได้ผลดีแล้ว จะได้ดำเนินการถ่ายทอดให้หน่วยทหารอื่นๆ ดำเนินการต่อเนื่องต่อไป
สำหรับระบบผลิตไบโอดีเซล 10,000 ลิตร/วัน นั้น เห็นควรพิจารณาใหม่ หากเป็นไปได้ควรเลือกดำเนินการในพื้นที่ที่หน่วยทหารมีแหล่งวัตถุดิบอยู่ในปริมาณที่มากพอและไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
3. พท. ได้ปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ตามคำแนะนำของคณะผู้ทรงคุณวุฒิ และเสนอให้ สนพ. เพื่อพิจารณา โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 วัตถุประสงค์และเป้าหมาย : พท. จะสร้างเครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลขนาด 100 ลิตรต่อครั้ง จำนวนไม่น้อยกว่า 46 ระบบ เพื่อตั้งในพื้นที่ของหน่วยงานทหารหรือชุมชนใกล้เคียง ที่ พท. ได้สำรวจศักยภาพด้านวัตถุดิบและพบว่าสามารถรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้วนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้เพียงพอกับกำลังการผลิต ไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยกระบวนการดำเนินการเน้นให้กำลังพลมีความรู้ และสามารถที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังหน่วยงานทหารอื่นๆ ที่สนใจได้
3.2 วิธีการดำเนินงาน
(1) สำรวจและรวบรวมข้อมูลหน่วยงานทหารที่มีความต้องการร่วมโครงการ และมีความพร้อมด้านศักยภาพวัตถุดิบสำหรับผลิตน้ำมันไบโอดีเซล นำมาจัดเรียงลำดับตามศักยภาพ และคัดเลือกหน่วยงานทหารที่มีศักยภาพสูง จำนวน 46 แห่ง เป็นหน่วยงานนำร่องผลิตและใช้งานน้ำมันไบโอดีเซล และเป็นหน่วยงานหลักในการถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชนทั่วไป และหน่วยงานทหารอื่นๆ ที่จะขยายผลต่อไป
(2) จัดตั้งระบบผลิตน้ำมันไบโอดีเซลขนาด 100 ลิตรต่อครั้ง และระบบบำบัดน้ำเสีย อบรมให้ความรู้เรื่องการผลิตการใช้งานน้ำมันไบโอดีเซล จัดตั้งกลไกในการรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้ว และสาธิตการผลิตการใช้งานน้ำมันไบโอดีเซล การบริหารจัดการโครงการที่เหมาะกับหน่วยงานนำร่องทั้ง 46 แห่ง พร้อมทั้งขยายผลสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับหน่วยงานทหารอื่นๆ ในสังกัด ครอบครัวของทหาร และชุมชนในพื้นทีใกล้เคียง
(3) ติดตามประเมินผล และสรุปผลการดำเนินโครงการของหน่วยงานนำร่อง และผลักดันให้หน่วยงานทหารนำร่องทั้ง 46 แห่ง เป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการผลิตและการใช้น้ำมันไบโอดีเซล เพื่อทำการขยายไปยังหน่วยงานทหารอื่นๆ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ
3.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับ : กระทรวงกลาโหมมีบุคลากรที่ความรู้ความเชี่ยวชาญ ในด้านไบโอดีเซล และสามารถต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องต่อไป รวมทั้งสามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลได้ ไม่น้อยกว่า 1.38 ล้านลิตรต่อปี
3.4 วงเงินงบประมาณ : ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 30,000,000 บาทประกอบด้วย (1) ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดทำระบบผลิตไบโอดีเซลขนาด 100 ลิตร/ครั้ง จำนวน 46 แห่ง วงเงิน 29,900,000 บาท และค่าบริหารโครงการ 100,000 บาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ กรมพลังงานทหาร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนากำลังพลด้านพลังงาน ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" ในวงเงิน 30 ล้านบาท ดังรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551-2554 และอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อใช้ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในปีงบประมาณ 2551 ในวงเงินรวม 4,279,988,401 บาท โดย มีเงื่อนไขให้ พพ. จัดทำรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติม และเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ รวม 9 โครงการ ดังต่อไปนี้
โครงการ | มติคณะกรรมการกองทุนฯ |
1) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 | เพิ่มเติมรายละเอียดปริมาณงานและค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรม |
2) โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน | เพิ่มเติมรายละเอียดแผนงานและวิธีการดำเนินงาน |
3) โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ | ปรับขอบเขตและรายละเอียดของงานเพื่อลดความซ้ำซ้อนกับงานที่สำนักงานพลังงานภูมิภาคดำเนินการ โดยให้ พพ. ดำเนินการเฉพาะอาคารส่วนราชการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม. และให้ พพ. ปรับลดวงเงินให้เหมาะสมกับปริมาณงาน |
4) โครงการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ พพ. มีแผนจะเข้าไปดำเนินการ | เพิ่มเติมความเห็นชอบของศูนย์อำนวยการบริหารชายแดนใต้ (ศอบต.) |
5) โครงการวิจัยสาธิตสนับสนุนระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลแบบ Three Stage Gasifier | รายงานผลงาน Two Stage Gasifier เพื่อทราบผลสำเร็จ ปัญหาอุปสรรค และการแก้ไขปัญหา |
6) โครงการวิจัยและทดสอบการใช้ไบโอดีเซลตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป กับเรือประมง วงเงิน | เพิ่มเติมรายละเอียดปริมาณงานและค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรม |
7) โครงการประชาสัมพันธ์ | เพิ่มเติมรายละเอียดแผนงานและวิธีการดำเนินงาน |
8) โครงการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงาน ชีวมวลตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงศูนย์ภูฟ้าพัฒนา | เพิ่มเติมความเห็นของคณะทำงานของศูนย์ภูฟ้าพัฒนา |
9) โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก | เพิ่มเติมหนังสือจากกรมป่าไม้เห็นชอบให้ พพ. เข้าดำเนินการในพื้นที่ได้ |
2. พพ. ได้จัดทำรายละเอียดโครงการฯ ที่ 1) ถึง 7) เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา สรุปได้ดังนี้
โครงการ | รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม |
1) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 |
พพ. ได้เพิ่มเติมรายละเอียดปริมาณงานและค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรม รวมทั้งสิ้น 5 กิจกรรม ดังนี้ 1) ติดต่อประสานงาน เข้าพบผู้บริหารโรงงาน/อาคารควบคุม เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำวิธีการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ค่าใช้จ่าย 11,000 บาท/แห่ง 2) ตรวจสอบการแจ้งแต่งตั้ง ผชร./ผชอ. ค่าใช้จ่าย 6,750 บาท/แห่ง 3) ตรวจสอบแบบส่งข้อมูลการใช้พลังงาน บพร.1/บพอ.1 ค่าใช้จ่าย 4,500 บาท/แห่ง 4) จัดทำรายงานผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากข้อมูลใน บพร.1/บพอ.1 (Feedback Report) ค่าใช้จ่าย 2,800 บาท/แห่ง 5) ตรวจสอบรายงานเป้าหมายและแผนฯ ค่าใช้จ่าย 20,000 บาท/แห่ง |
2) โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน |
พพ. จะจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนและส่งเสริมการลงทุนให้โครงการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพทางเทคนิคแต่ไม่สามารถหาสินเชื้อจากธนาคารพาณิชย์ได้เพียงพอ โดยในเบื้องต้นจะส่งเสริมการลงทุนในหลายลักษณะ เช่น ร่วมลงทุนในกิจการของบริษัทจัดการพลังงาน ร่วมลงทุนในโครงการ equity investment ร่วมลงทุนในการพัฒนาและซื้อ/ขายคาร์บอนเครดิต การเช่าซื้อ (leasing) การอำนวยเครดิตให้สินเชื่อ (credit guarantee facility) การให้สินเชื่อลักษณะ sub debt หรือ mezzanine debt และการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค เป็นต้น |
3) โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ |
พพ. ปรับขอบเขตและรายละเอียดของการดำเนินงาน โดยแบ่งออกเป็น 2 โครงการ ดังนี้ 1) โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ โดยดำเนินการกับส่วนราชการ ในเขต กทม. ที่ใช้พลังงานน้อยกว่า 10,000 หน่วย/เดือน เพิ่มอีก 750 แห่ง ใช้งบประมาณ 15 ล้านบาท 2) โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ โดยจะติดตามสอนงานเพิ่มให้กับหน่วยงานที่เคยเข้าร่วมโครงการปี 2550 ไม่น้อยกว่า 900 แห่ง ใช้งบประมาณ 9 ล้านบาท |
4) โครงการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ พพ. มีแผนจะเข้าดำเนินการ |
พพ. ได้มีหนังสือถามความเห็นของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพื่อขอเข้าดำเนินงาน ในเขตพื้นที่จำนวน 8 โครงการ ซึ่ง ศอ.บต. ได้มีหนังสือตอบกลับ โดย เห็นชอบและยินดีให้ พพ. เข้าดำเนินโครงการในเขตพื้นที่ได้ตามที่เสนอมา |
5) โครงการวิจัยสาธิตสนับสนุนระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลแบบ Three Stage Gasifier วงเงิน 52,000,000 บาท |
รายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาสาธิตระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลระดับชุมชน สรุปได้ดังนี้ 1) พพ. ได้ออกแบบระบบการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวมวลแบบ Two - Stage Fluid Bed Pyrolysis and Gasification Unit ขนาด 80 kw ปัจจุบันสาธิตที่โรงสีและตลาดกลางข้าวเปลือกสหกรณ์การเกษตรลำลูกกา จ.ปทุมธานี ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง 2) การเดินระบบผลิตก๊าซและเครื่องยนต์ผลิตกระแสไฟฟ้า ที่โรงสีข้าวเป็นระยะเวลา 360 ชั่วโมง พบว่า ระบบมีอัตราการใช้แกลบเท่ากับ 85 kg/hr ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบเท่ากับ 92 % และสามารถทดแทนน้ำมันดีเซลได้เฉลี่ยเท่ากับ 77 % 3) การประเมินผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ พบว่าใช้เงินลงทุนในการก่อสร้างระบบฯ 3.9 ล้านบาท และมีระยะเวลาคืนทุน ประมาณ 5 ปี |
6) โครงการวิจัยและทดสอบการใช้ไบโอดีเซลตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไปกับเรือประมง |
เพิ่มเติมรายละเอียดปริมาณงานและค่าใช้จ่ายดังนี้ 1) จัดจ้างที่ปรึกษา วงเงิน 3.3 ล้านบาท เพื่อสำรวจประชากรเรือประมงที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2) คัดเลือกเครื่องยนต์เรือ และกำหนดวิธีการทดสอบ 3) ทดสอบเครื่องยนต์ตามมาตรฐานสากล เปรียบเทียบการใช้ไบโอดีเซลกับดีเซลปกติใน Lab test 4) จัดหาเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการทดสอบ 3 ยี่ห้อๆ ละ 1 โมเดลๆ ละ 2 เครื่อง รวม 6 เครื่อง วงเงิน 10.8 ล้านบาท 5) ทดสอบด้านสมรรถนะและผลกระทบที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งประเมินผลและวิเคราะห์อุปกรณ์และชิ้นส่วนต่างๆ วงเงิน 3.8 ล้านบาท 6) ค่าดำเนินการอื่นๆ เช่น หาแนวทางในการปรับแต่งเครื่องยนต์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับการใช้ ไบโอดีเซล วงเงิน 2.1 ล้านบาท |
7) โครงการประชาสัมพันธ์ วงเงิน 202,500,000 บาท |
เพิ่มเติมรายละเอียดแผนงานและวิธีดำเนินการ รวม 8 โครงการ ดังนี้ 1) โครงการผลิตสารคดีอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน วงเงิน 30 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ โดยผลิตสารคดีโทรทัศน์แบบต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลดใช้พลังงานในทุกภาคส่วนแบ่งเป็นโครงการอนุรักษ์พลังงาน โครงการพลังงานทดแทน และโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ท้องถิ่นและชุมชน 2) โครงการผลิต Spot โฆษณาโครงการ/กิจกรรมด้านอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทนวงเงิน 5 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อวิทยุ โดยผลิต Spot โฆษณาโครงการ/กิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ความยาว 1 นาที 3) โครงการผลิตบทความ/โครงการกิจกรรมด้านอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทน วงเงิน 30 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์และวารสาร โดยผลิตบทความโครงการ/กิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงาน 4) โครงการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์โครงการ/กิจกรรมอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ วงเงิน 15 ล้านบาท โดยจัดทำสิ่งพิมพ์เผยแพร่องค์ความรู้ด้านพลังงาน จำนวน 4 ชุด รวม 47 เรื่อง เผยแพร่ให้กับประชาชนทั่วไป 5) โครงการจัดทำผลสำเร็จของโครงการ/กิจกรรมและข่าวสารความเคลื่อนไหวโครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนผ่านสื่อประเภทคัตเอาท์ และโปสเตอร์ วงเงิน 10 ล้านบาท โดยจัดทำคัตเอาท์ จำนวน 3 คัตเอาท์ และโปสเตอร์ จำนวน 5 แบบ พิมพ์เผยแพร่ไม่น้อยกว่าแบบละ 10,000 แผ่น 6) โครงการรณรงค์และประกวดด้านอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 77 ล้านบาท โดยมีกิจกรรมดังนี้ การจัดงาน "พลังงานก้าวไกลประเทศไทยก้าวหน้า" วงเงิน 30 ล้านบาท โดยจัดนิทรรศการแสดงผลสำเร็จของเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทน โดยจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 100,000 คน การจัดกิจกรรมสัญจรเพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนในเขต กทม. และจังหวัดต่างๆ ใน 4 ภูมิภาค วงเงิน 10 ล้านบาท โดยจัดนิทรรศการแสดงผลสำเร็จด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โครงการ Thailand Energy Awards โดยจัดประกวด วงเงิน 15 ล้านบาท คัดเลือกโรงงาน อาคาร องค์กร บุคลากร ตลอดจน องค์กรสื่อมวลชนที่ส่งเสริมและสนับสนุนการ อนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โครงการประกวดบ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ปี 2551 วงเงิน 12 ล้านบาท โดยจัดประกวดบ้านจัดสรรที่มีการอนุรักษ์พลังงานดีเด่น และจะมีการเผยแพร่ผ่านทางสื่อ การจัดกิจกรรมการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทนตามสถานการณ์ วงเงิน 8 ล้านบาท โดยนำสื่อมวลชนดูงานด้านการพัฒนาพลังงานทดแทน จัดสัมมนาระหว่างผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงานของ พพ. กับ สื่อมวลชน การจัดนิทรรศการพลังงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่มูลนิธิสิรินธรอ.ชะอำ จ.เพชรบุรี วงเงิน 2 ล้านบาท โดยจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านพลังงาน ภายในอาคารมูลนิธิสิรินธร 7) โครงการให้บริการด้านข้อมูล และคำปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน วงเงิน 10 ล้านบาท โดยให้บริการด้านข้อมูลและคำปรึกษา ผ่านหน่วยลูกค้าสัมพันธ์ และศูนย์ที่ปรึกษาการประหยัดพลังงาน 8) โครงการการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน วงเงิน 25.5 ล้านบาท โดยจะทำการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อใช้ในการ ประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วย การจัดทำฐานข้อมูล เผยแพร่องค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบรายละเอียดของโครงการตามที่ พพ. ได้จัดทำเสนอเพิ่มเติมมา รวม 6 โครงการ (ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ 3.3 ) เว้นโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ที่ พพ. จะต้องจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้มีความชัดเจนถึงวิธีการบริหารจัดการและแนวทางในการบริหารกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
2. เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการตามแผนงานของทั้ง 6 โครงการ (ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ3.3) โดยให้ใช้เงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 ได้อนุมัติให้ พพ. ไว้แล้ว เว้นแต่โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ที่ พพ. จะต้องจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้มีความชัดเจนถึงวิธีการบริหารจัดการและแนวทางในการบริหารกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 42) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2549 แผนพลังงานทดแทน งานศึกษา วิจัย และพัฒนาด้านเทคนิค ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย" ในวงเงิน 76,828,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้ กฟภ. ต้องดำเนินการจัดหาผู้ติดตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินจากกองทุนฯ (28 กันยายน 2549) สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1) กฟภ. จะทำการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย ขนาด 1.5 เมกกะวัตต์ แบบไม่มีเฟืองทด (Gearless) จำนวน 1 ชุด ก่อสร้างระบบจำหน่ายเพื่อเชื่อมโยงและจ่ายไฟขนานเข้าระบบจำหน่ายของ กฟภ. ในพื้นที่ บ้านพังเสม็ด ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ซึ่งได้สำรวจศักยภาพพลังงานลมแล้วและมีความเหมาะสมที่จะดำเนินการ คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 2.6 ล้านหน่วยต่อปี
2) ฝึกอบรมบุคลากรในการใช้งาน ดูแลบำรุงรักษาระบบ จัดเก็บและรวบรวมข้อมูลการจ่ายไฟเพื่อวิเคราะห์และประเมินผลการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมที่ทำการติดตั้ง และวิเคราะห์เปรียบเทียบเทคโนโลยีระหว่างกังหันลมแบบมีเฟืองทด (Gear Box) และกังหันลมแบบไม่มีเฟืองทด
2. กฟภ. ได้จัดประกวด จ้างเหมาก่อสร้างสถานีกังหันลมผลิตไฟฟ้าสทิงพระ จังหวัดสงขลา ในวงเงินเริ่มต้นที่ 90.5 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่สนใจซื้อซองเอกสารประกวดราคา จำนวน 5 บริษัท แต่เมื่อครบกำหนดยื่นซอง ไม่มีผู้มายื่นซองตามกำหนด ซึ่ง กฟภ. ได้สอบถามบริษัทเอกชนเพื่อขอทราบเหตุผลที่ไม่ยื่นซองประกวดราคา ส่วนใหญ่แจ้งว่างบประมาณที่ตั้งไว้ต่ำเกินไป จึงไม่สามารถเสนอราคาได้ โดยแต่ละบริษัทได้จัดทำงบประมาณเสนอให้ กฟภ. พิจารณา อยู่ในช่วง 120-137 ล้านบาท และจากการศึกษาข้อมูลในต่างประเทศ กฟภ. พบว่ากังหันลมแบบไม่มีเฟืองทดมีผู้ผลิตน้อยราย มีราคาสูงกว่ากังหันลมชนิดมีเฟือง ประมาณร้อยละ 30-40 ประกอบกับโครงการดังกล่าวเป็นการจัดหากังหันลมเพียง 1 ตัว เท่านั้น ทำให้ค่าติดตั้ง ค่าฐานราก ของกังหันลมมีราคาสูง
3. กฟภ. ได้ขอปรับแผนงานโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
3.1 ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้า โดยเพิ่มจากวงเงิน 76,828,000 บาท เป็น 105,000,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
รายการ | งบประมาณเดิม | งบประมาณใหม่ | เพิ่ม/(ลด) |
1) เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ประกอบด้วยค่าระบบอุปกรณ์กังหันลมผลิตไฟฟ้าค่าขนส่งอุปกรณ์ในประเทศและระหว่างประเทศค่าภาษีนำเข้า | 76,828,000 บาท (75.78%) |
105,000,000 บาท (71.42%) |
28,172,000 บาท |
2) เงินสมทบของ กฟภ. ประกอบด้วย ค่าบริหารและค่าตอบแทน ค่าก่อสร้างฐานรากและระบบจำหน่าย ค่าสัมมนาและประชาสัมพันธ์ ค่าครุภัณฑ์ | 24,551,900 บาท (24.22%) |
42,018,000 บาท (28.58%) |
17,466,100 บาท |
งบประมาณโครงการรวมทั้งสิ้น | 101,379,900 บาท | 147,018,000 บาท | 45,638,100 บาท |
3.2 ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จจากเดิม ภายใน 1 ปี เป็น 1 ปี 8 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินจากกองทุนฯ และขอขยายระยะเวลาโครงการฯ จากเดิม 39 เดือน เป็น 54 เดือน และขอปรับงวดการเบิกจ่ายเงินและการรายงานความก้าวหน้าเป็นดังนี้
งวด | แผนงานที่ขอปรับใหม่ | |
จำนวนเงิน | เงื่อนไข | |
งวดที่ 1 | 10,000,000 | หลังจากลงนามในหนังสือยืนยัน |
งวดที่ 2 | 15,000,000 | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 ภายใน 9 เดือน |
งวดที่ 3 | 75,000,000 | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 2 ภายใน 22 เดือน |
งวดที่ 4 | 5,000,000 | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 3 ภายใน 42 เดือน |
งวดที่ 5 | - | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 4 ภายใน 48 เดือน |
งวดที่ 6 | - | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 5 ภายใน 54 เดือน |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ กฟภ. ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จจากเดิม ภายใน 1 ปี เป็น 1 ปี 8 เดือน และให้ขยายระยะเวลาโครงการฯ จากเดิม 39 เดือนเป็น 54 เดือน โดย เห็นควรให้ กฟภ. เป็นผู้จัดหางบลงทุนที่ขอสนับสนุนเพิ่มเติมจำนวน 28,172,000 บาท ดังกล่าวเอง
เรื่องที่ 5 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 16 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 11 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพในการจัดการน้ำเสียในโรงงานแป้งมันสำปะหลังเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม | มูลนิธิสถาบันก๊าซชีวภาพ | พฤศจิกายน 2550 | กรกฎาคม 2551 |
(2) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | พฤษภาคม 2550 | มีนาคม 2551 |
(3) | โครงการศึกษาอิทธิพลการบังเงาต่อการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังทึบ | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ | เมษายน 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
(4) | โครงการศึกษาการถ่ายเทความร้อนและปริมาณแสงผ่านกระจกสองชั้นชนิดต่างๆ | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ | เมษายน 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
(5) | โครงการ Ceramic Coating | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ | เมษายน 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
(6) | โครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนด ค่ามาตรฐานการจัดการใช้พลังงานของส่วนราชการ | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | มกราคม 2551 | มิถุนายน 2551 |
(7) | โครงการลดการสูญเสียพลังงานจากการเดินรถบรรทุกเที่ยวเปล่า | กรมการขนส่งทางบก | กันยายน 2549 | กุมภาพันธ์ 2551 |
(8) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 ทุน | สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | - | - |
(9) | โครงการสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักศึกษา ระดับอุดมศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | - | - |
(10) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 16 ราย | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
(11) | โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) | กรมทางหลวง | มกราคม 2550 | 1 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 5 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ระยะที่ 3 : ส่วนที่ 3 : แผนงานเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานศูนย์แห่งความเป็นเลิศ | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | ขอปรับระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จากเดิม เป็น ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 - มีนาคม 2552 และ ขอปรับรายละเอียดแผนการเบิกจ่ายงบประมาณ |
(2) | โครงการลดใช้พลังงานในภาครัฐ ในหน่วยงานภาครัฐขนาดเล็ก | สำนักงานพลังงานภูมิภาค ที่ 1 | ขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและรายละเอียดงบประมาณขอสนับสนุนจากกองทุนฯ |
(3) | โครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร | มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามความเหมาะสมเช่น การต่อประปาเทศบาลเข้าค่ายฝึกอบรม การสร้างถังเก็บน้ำสำรองไว้ การติดตั้งมุ้งลวด เหล็กดัด และผ้าม่านอาคารที่พักของผู้เข้ารับการอบรม |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 1 ทุน | สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | ขออนุมัติย้ายสถานศึกษา ของ นายเฉลิมพล เปล่งสะอาด จาก Oregon State University ไปที่ University of Wisconsin at Madison และขอขยายระยะเวลาการศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ออกไปอีก 1 ปีการศึกษา ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2550 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2551 |
(5) | โครงการสนับสนุนทุนวิจัยแก่ นักศึกษาระดับอุดมศึกษา จำนวน 1 หน่วยงาน |
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | ขอเปลี่ยนแปลงผู้วิจัยในโครงการทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ปี 2550 เรื่อง"การศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไบโอเอทานอลจากของเหลือใช้ทางการเกษตร" จากเดิมนางสาวอภิรดี เสียงสืบชาติ เป็น นางสาวธนัญชนก ไชยรินทร์ |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 1.1 (1)-(10) และ ข้อ 1.2 (1)-(5) รวม 15 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทำหนังสือหารือไปยังกรมบัญชีกลาง เกี่ยวกับระเบียบพัสดุ เรื่องการเบิกจ่ายเงินระหว่างกรมทางหลวงและบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ในกรณีที่ไม่มีการทำสัญญาเรื่องการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางยกระดับ ระหว่างกรมทางหลวง กับบริษัททางยกระดับฯ นั้น กรมทางหลวงสามารถจ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้กับบริษัททางยกระดับฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีได้หรือไม่ แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
กอ. ครั้งที่ 38 - วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2547
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 38)
วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2547 เวลา 14.00 น
ณ ห้อง 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
3. ขออนุมัติโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2
4. ขออนุมัติวงเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับอาคารควบคุม
5. ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
7. ขอปรับปรุงโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
รองนายกรัฐมนตรี (ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ว่ามีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2547 จำนวน 11,187.90 ล้านบาท และได้รายงานงบการเงินที่กรมบัญชีกลางส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 ว่ามี หนี้สินและเงินทุน จำนวน 11,925,041,828.02 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงินรวม 750 ล้านบาท และในการประชุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2545 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการประชาสัมพันธ์ ให้ สนพ. เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2546 ในวงเงิน 200 ล้านบาท โดย สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2546 ไปแล้ว 9 กิจกรรม โดยใช้จ่ายเงินไปรวม 104,219,881.40 บาท และมีงบประมาณคงเหลือ 95,780,118.60 บาท
2. สนพ. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเมินผลงานโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2546 สรุปได้ว่ากิจกรรมรณรงค์ภายใต้โครงการรวมพลังหารสองผ่านสื่อประเภทต่างๆประสบความสำเร็จในการสร้างนิสัยประหยัดพลังงานให้กับคนไทยและควรดำเนินการต่อไป โดยที่ปรึกษาฯ ได้มีข้อเสนอแนะที่สำคัญของการประเมินในครั้งนี้คือ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต ควรเน้นเนื้อหาการปลูกจิตสำนึกในการใช้พลังงานอย่างประหยัด สร้างความรู้สึกให้เห็นคุณค่าในการอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมโดยเนื้อหาที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ควรเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน หรืออาจจัดทำเป็นเพลงโฆษณาประหยัดพลังงานเปิดตามสถานีวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำ และควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพิ่มเวลาและความถี่ในการออกอากาศเพื่อดึงดูดให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจการประหยัดพลังงาน
3. สนพ. ได้จัดทำ "แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547" และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 เพื่อขออนุมัติจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงานตามแผน ในวงเงิน 310 ล้านบาท (สามร้อยสิบล้านบาทถ้วน) โดยคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า มีบางกิจกรรมที่เริ่มดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ 2548 ซึ่งเกินกว่าระยะเวลาการใช้จ่ายเงินตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ สนพ. ปรับแผนงานโดยเป็นแผนงานเฉพาะที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ 2547 แล้วเวียนให้คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายคงเหลือเพียงในวงเงิน 261 ล้านบาท (จากเดิม 310 ล้านบาท) และเวียนขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา "แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547" โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในปี 2547 มีเป้าประสงค์ตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงาน ที่จะลดสัดส่วนอัตราเติบโตของการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จาก 1.4 : 1 เป็น 1:1 ภายในปี พ.ศ. 2551 โดยมุ่งเน้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกับกลุ่มเป้าหมาย และประชาชนทั่วประเทศกว่า 60 ล้านคน ภายใต้แนวคิด "60 ล้านไทย ลดใช้พลังงาน" โดยมีประเด็นหลักในการสื่อสาร คือ
(1) ความสำคัญของการร่วมกันประหยัดพลังงานของคนไทยทั่วประเทศกว่า 60 ล้านคน ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีง่ายๆ โดยพร้อมเพรียงกันและต่อเนื่อง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและช่วยเศรษฐกิจของตนเอง ของชุมชน และของประเทศชาติ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
(2) "กระทรวงพลังงาน" เป็นองค์กรที่ดูแลรับผิดชอบในด้านพลังงานของชาติ เป็น "พลังที่อยู่คู่คนไทยทุกเวลา" สร้างประโยชน์สูงสุดให้ประชาชน พัฒนาพลังงาน ก้าวไปข้างหน้า สร้างประเทศไทยเป็นผู้นำด้านพลังงานในอาเซียน ซึ่งเป็น "พลังขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย"
3.2 แนวทางดำเนินงาน เพื่อสร้างกระแสอย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดการตระหนักถึงการประหยัดพลังงานอย่างกว้างขวางพร้อมกันทั่วประเทศ มีดังนี้
(1) สร้างกระแสการประหยัดพลังงานทั่วประเทศ ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และจังหวัด โดยกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน
(2) เน้นการประชาสัมพันธ์กลุ่มเป้าหมาย ในภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง บ้านที่อยู่อาศัย และทำการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเยาวชนอย่างต่อเนื่อง
(3) ประชาสัมพันธ์ผลงานของกองทุนฯ ที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงาน
(4) จัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และสื่อสนับสนุนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง
3.3 รูปแบบการดำเนินงาน
ลำดับ | กิจกรรมและรายละเอียด | (ล้านบาท) |
1. | โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้น และปลูกจิตสำนึก 1.1 กิจกรรม "ผู้ว่า CEO กับบทบาทการอนุรักษ์พลังงาน" (ระยะที่ 1) เป็นการสร้างกระแสเพื่อกระตุ้นและเตรียมความพร้อมให้จังหวัดต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรมแข่งขันประหยัดไฟฟ้าและน้ำ ระหว่างจังหวัด โดยคาดว่าจะมีจังหวัดเข้าร่วมโครงการฯ อย่างน้อย 20 จังหวัด - แคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อรณรงค์สร้างกระแสและเผยแพร่ข้อมูล - จัดกิจกรรมเสริมเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ นิทรรศการสัญจรให้ความรู้เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน 1.2 กิจกรรมบ้านประหยัดพลังงาน - แคมเปญประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร - จัดกิจกรรม "สัปดาห์บ้านประหยัดพลังงาน" 1.3 กิจกรรมลดใช้รถ ลดใช้น้ำมัน - แคมเปญประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อบอกวิธีขับรถประหยัดพลังงาน - จัดสัมมนาเกี่ยวกับการขับรถอย่างถูกวิธี เพื่อประหยัดพลังงาน "Smart Drive" |
115 |
2. | กิจกรรมประชาสัมพันธ์ (PR Event) 2.1 กิจกรรมเยาวชน (1) ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา เข้าถึง 100,000 คนทั่วประเทศ - กิจกรรมละคร Edutainment - กิจกรรมค่ายครึ่งวัน (Half day camp) (2) ระดับอุดมศึกษา กิจกรรมช่วงปิดเทอม อาทิ กิจกรรมล้างแอร์ 2.2 กิจกรรมความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนในภาคคมนาคม อุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย 2.3 กิจกรรมตามวันสำคัญของชาติ และสอดคล้องกับสถานการณ์ |
28 |
3. | โครงการประชาสัมพันธ์โดยศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหารสอง | 7 |
4. | กิจกรรมประชาสัมพันธ์อื่นๆ เพื่อสนับสนุนโครงการ 4.1 ผลิตและเผยแพร่สื่อสนับสนุน - เผยแพร่บทความผ่านสื่อสิ่งพิมพ์อย่างต่อเนื่อง - ผลิตและเผยแพร่สื่อสนับสนุนอาทิ คู่มือเอกสารเผยแพร่ ของที่ระลึก ฯลฯ |
8 |
5. | การประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการรักษ์พลังงานของชาติ 5.1 แคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อแนะนำและสร้างความน่าสนใจในการประชาสัมพันธ์ 5.2 สารคดี นำเสนอในเชิงสาระความรู้ ชวนให้ติดตามชม 5.3 งานข่าว ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านเครือข่ายของสำนักข่าวไทยของ อ.ส.ม.ท. |
100 |
6. | การประเมินผลกิจกรรมประชาสัมพันธ์ | 3 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 261 |
หมายเหตุ : โดยประเด็นที่จะสื่อสารในปี 2547 สนพ. ได้มีการปรับปรุงโดยคำนึงถึง นโยบายของรัฐ แผนยุทธศาสตร์กระทรวงฯ กระแสสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจของประเทศ พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของกลุ่มเป้าหมายผลการประเมินในปีที่ผ่านมา และความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณราชการสูงสุด
3.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
(1) เกิดกระแสการมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อช่วย เศรษฐกิจของตนเองและประเทศ
(2) เกิดความร่วมมือและมีส่วนร่วมของชุมชนและจังหวัดในการประหยัดพลังงาน
(3) ปลูกฝังความรู้พื้นฐานด้านพลังงานแก่เยาวชน สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฎิบัติได้จริง
(4) ประชาชนรับรู้ผลงานของรัฐและกองทุนฯ อย่างทั่วถึง
(5) เกิดการลดใช้พลังงานของประเทศ โดยเฉพาะในภาคคมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรมและ บ้านอยู่อาศัย อย่างต่อเนื่อง และขยายผลไปสู่การประหยัดพลังงานในด้านอื่นๆ
(6) เกิดแนวทางในการบูรณาการยุทธศาสตร์ด้านพลังงานกับยุทธ์ศาสตร์จังหวัดทั่วประเทศเพื่อ ความยั่งยืน
4. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ไว้ในวงเงินรวม 750 ล้านบาท สนพ. ได้มีการใช้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 707,153,607.97 บาท และมีวงเงินคงเหลือเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ในปี 2547 เป็นเงินจำนวน 42,846,392.03 บาท แต่ในปี 2547 ตามแผนงานที่ สนพ. เสนอจำเป็นต้องใช้งบประชาสัมพันธ์ เป็นเงินจำนวน 310,000,000 บาท ดังนั้น สนพ. จำเป็นต้องขอขยายวงเงินประชาสัมพันธ์ปี 2547 เป็นเงินจำนวน 267,153,607.97 บาท โดยขอโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับมาสมทบ 267,153,607.97 บาท เนื่องจากแผนภาคงานบังคับ มีวงเงินงบประมาณคงเหลืออยู่ในกรอบของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม และคาดว่า พพ. จะใช้ไม่ทันภายในปีงบประมาณ 2547 สนพ. จึงขอโอนเงินดังกล่าว จำนวน 218,153,607.97 บาท มาสมทบวงเงินคงเหลือ (จำนวน 42.8 ล้านบาท) ในแผนงานสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547 และให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ต่อไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 104,219,881.40 บาท ตามรายงานผลการดำเนินงานของ สนพ. ที่เสนอ
2. อนุมัติแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547 และงบประมาณในการดำเนินงานตามแผน ในวงเงิน 261 ล้านบาท (สองร้อยหกสิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2547 และอนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
3. อนุมัติให้โอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 218,153,607.97 บาท เพื่อนำมาสมทบวงเงินคงเหลือ (จำนวน 42.8 ล้านบาท) ในแผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะอนุกรรมการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า คาดว่าปริมาณการใช้ไฟในปี 2547 นี้ จะอยู่ที่ระดับ 126,811 ล้านหน่วย และมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) อยู่ที่ระดับ 19,600 เมกะวัตต์ โดยสาเหตุหลักนอกจากอากาศจะร้อนแล้ว ยังเกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอีกด้วย ในขณะที่ปริมาณสำรองไฟฟ้าอยู่ในสัดส่วน 24% กระทรวงพลังงานจึงเห็นสมควรนำโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" มาดำเนินการอีกครั้ง เพื่อจูงใจประชาชนทุกครัวเรือนอนุรักษ์พลังงานภายในครัวเรือน
สนพ. จึงได้จัดประชุมหารือกับผู้แทนจาก กฟน. และ กฟภ. เพื่อประสานความร่วมมือดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ซึ่งที่ประชุมได้นำด้านดีและด้านเสียของการดำเนินโครงการฯ ในช่วงเดือนกันยายน 2544 ถึงสิงหาคม 2545 มาพิจารณา แล้วเห็นว่าการกำหนดฐานคำนวณจากการเฉลี่ยหน่วยไฟฟ้าในเดือนมิถุนายน 2544 ถึงสิงหาคม 2544 นั้นยังไม่สะท้อนต่อพฤติกรรมการประหยัดไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง เนื่องจากมีผลของการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการใช้ไฟฟ้าตามฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง และเห็นว่าหากจะดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป ควรใช้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเดือนที่จะเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในปีที่ผ่านมาเป็นฐานการคิดส่วนลด ส่วนในกิจกรรมอื่นๆ นั้น ที่ประชุมเห็นว่าควรให้คงลักษณะเดิมไว้ โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ในช่วงเดือนมิถุนายน 2547-พฤษภาคม 2548 พร้อมทั้งให้ กฟน. และ กฟภ. เร่งจัดทำข้อเสนอและประมาณการค่าใช้จ่าย ยื่นไว้กับ สนพ. เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
2. กฟน. และ กฟภ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 เสนอต่อ สนพ. เรียบร้อยแล้ว โดยสรุปได้ดังนี้
"ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 | กฟน. | กฟภ. |
กลุ่มเป้าหมาย "ประเภทบ้านอยู่อาศัย" | 688,400 ครัวเรือน | 3,394,305 ครัวเรือน |
คิดเป็นร้อยละของผู้ใช้ไฟฟ้า | 35 % | 30 % |
ประมาณการเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | 544 ล้านบาท | 1,306 ล้านบาท |
- เงินส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า | 538 ล้านบาท | 1,300 ล้านบาท |
- เงินค่าประชาสัมพันธ์และฝึกอบรมพนักงาน | 6 ล้านบาท | 6 ล้านบาท |
3. เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับทราบถึงนโยบายและเข้าใจรายละเอียดการเข้าร่วมโครงการฯ โดยทั่วถึง ก่อให้เกิดพฤติกรรมการประหยัดไฟอย่างจริงจัง สนพ. จึงได้เสนอที่จะจัดทำ โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 เพื่อแนะนำวิธีประหยัดไฟหลากหลายวิธี ด้วยวิธีง่ายๆ ผ่านสื่อต่างๆ โดยผลิตและเผยแพร่สารคดี จัดรายการพิเศษ ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลิตและแจกเอกสารแนะนำวิธีการประหยัดไฟให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ จัดทีมรณรงค์ออกไปเผยแพร่ โดยขออนุมัติใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 55 ล้านบาท
4. สนพ. ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 เพื่อพิจารณา และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าว และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ ในประเด็นดังนี้
4.1 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ กฟน. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟน. รับผิดชอบ ในวงเงิน 600.83 ล้านบาท
4.2 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ กฟภ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟภ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 1,286.24 ล้านบาท
4.3 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงิน 55,000,000 บาท
4.4 อนุมัติโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 942.07 ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบ ในแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงินรวม 1,942.07 ล้านบาท ตามข้อ 4.1-4.3
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ กฟน. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟน. รับผิดชอบ ในวงเงิน 600.83 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น (1) ส่วนลดค่าไฟฟ้า ในวงเงิน 594.83 ล้านบาท และ (2) ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 6 ล้านบาท
2. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ กฟภ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟภ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 1,286.24 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น (1) ส่วนลดค่าไฟฟ้า ในวงเงิน 1280.24 ล้านบาท และ (2) ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 6 ล้านบาท
3. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ สนพ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงิน 55,000,000 บาท และอนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
4. อนุมัติโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 942.07 ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบ ในแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงินรวม 1,942.07 ล้านบาท ตามข้อ 1-3 ของมติที่ประชุม ในวงเงินรวม 1,942,070,000 บาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รับข้อเสนอโครงการจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยอาคารทั้ง 2 ราย ได้ดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียด และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาระดับการใช้พลังงานในส่วนของระบบการถ่ายเทความร้อนรวม ระบบแสงสว่าง และระบบปรับอากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับกับเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงแล้ว มีศักยภาพที่จะปรับปรุงให้ระดับการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
2. พพ. ได้วิเคราะห์และกลั่นกรองมาตรการอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมทั้ง 2 ราย ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว และเห็นควรให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของแต่ละมาตรการ ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
หน่วยงาน/มาตรการ | เงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) | |
1. | มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยขอนแก่น | 117,742,879 |
1.1 มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | ||
(1) การบุฉนวนใต้หลังคา | 415,222 | |
(2) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง | 48,568,959 | |
(3) การปรับปรุงระบบแสงสว่าง | 3,967,057 | |
1.2 มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน | ||
(1) การปรับปรุงระบบแสงสว่าง | 64,791,641 | |
2. | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับอาคารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อาคารฝั่งตะวันออก) | 69,243,908 |
2.1 มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | ||
(1) การปรับปรุงฉนวนหลังคา | 24,977,628 | |
(2) การใช้หลอด Compact Flurescent | 86,355 | |
(3) การใช้แผ่นเคลือบสารสะท้อนแสง | 3,082,240 | |
(4) การใช้บัลลาสต์ Low Watt Loss | 6,932,250 | |
(5) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง | 27,465,500 | |
2.2 มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน | ||
(1) การใช้หลอด Compact Flurescent | 276,735 | |
(2) การใช้แผ่นเคลือบสารสะท้อนแสง | 845,600 | |
(3) การใช้บัลลาสต์ Low Watt Loss | 5,577,600 | |
รวมเงินลงทุนเงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน แก่อาคารทั้ง 2 ราย | 186,986,787 |
3. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในการประชุมครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547 และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการทั้ง 2 อาคาร เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการทั้ง 2 อาคาร เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2 ตามที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้มีมติเห็นชอบ
2. สำหรับอาคารราชการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว พพ. ควรประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อหาแนวทางในการปรับลดงบประมาณในส่วนของค่าสาธารณูปโภคลง
3. พพ. ต้องดำเนินการติดตามประเมินผลการประหยัดพลังงานของอาคารดังกล่าวที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปแล้ว อาคารดังกล่าวสามารถลดการใช้พลังงานได้ตามที่กำหนดไว้ในข้อเสนอมากน้อยเพียงไร แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
4. พพ. ควรจะพิจารณาทบทวนถึงแหล่งที่มาของเงินลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จากเดิมที่ใช้เงินกองทุนฯ นั้นควรจะเปลี่ยนไปใช้เงินจากงบประมาณประจำปี ของสำนักงบประมาณ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าขอถอนเรื่องที่ 4.4 เรื่อง ขออนุมัติโครงการพัฒนาศูนย์วิจัยและอบรมการออกแบบอาคารราชการและ เอกชนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และเรื่องที่ 4.8 เรื่อง ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 ฝ่ายเลขานุการฯ ออกจากการพิจารณาในการประชุมครั้งนี้
เรื่องที่ 5 ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด พร้อมทั้งประเมินผลการดำเนินงานโครงการและเสนอข้อพิจารณาประกอบรายงานการประเมินผล แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
2. ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 4/2545 ลงวันที่ 2 กันยายน 2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมีนายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการดังกล่าว และเนื่องจาก ศ.ดร. เทียนฉาย กีระนันทน์ มีภารกิจมากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้อย่างเต็มที่ จึงขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ
นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้เสนอให้เรียนเชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงานและด้านเศรษฐศาสตร์เข้าร่วมในคณะอนุกรรมการฯ เพิ่มเติมจำนวน 2 ท่าน ได้แก่ ศ.ดร. จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ รศ.ดร. ธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ์ โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม โดยมีองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ คือ นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการฯ นายปิยะวัติ บุญ-หลง นายมานิจ ทองประเสริฐ นายศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ นายธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ์ เป็นอนุกรรมการ และมีผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามที่คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ เสนอในข้อ 2 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า ปัจจุบันกรมบัญชีกลางเป็นผู้เก็บรักษาเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยฝากเงินไว้กับธนาคารกรุงไทย ซึ่งได้ดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในอัตราร้อยละ 0.75 บาท และบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน ในอัตราร้อยละ 1.00 บาท ขณะนี้มีเงินคงเหลือตามประมาณการจำนวน 9,223.12 ล้านบาท ดังนั้นสถาบันบริหารกองทุนพลังงานได้เสนอความเห็นว่าหากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสามารถนำเงินจำนวนหนึ่งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เพื่อส่งมอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็จะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านดอกเบี้ยลงได้ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เพิ่มขึ้น โดยอาจใช้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเป็นอัตราอ้างอิง
2. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรขอแก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ใน ข้อ 6 กำหนดให้ กรมบัญชีกลางเปิดบัญชีเงินฝาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ หรือเงินฝากประจำกับสถาบันการเงินที่เป็นของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง โดยเพิ่มข้อความ "และให้สามารถนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ไปหาประโยชน์ในรูปอื่นๆ ได้มากขึ้น โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฯ" เพื่อ เปิดโอกาสให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสามารถนำเงินกองทุนฯ ไปให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานกู้ยืมได้ เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในรูปดอกเบี้ยและในส่วนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ในการแก้ไขระเบียบดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจในการดำเนินการได้ตามข้อ 4 ซึ่งกำหนดว่า หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายและการพัสดุที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
มติที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการที่จะให้แก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ตามที่ ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยให้กรมบัญชีกลางร่วมกับฝ่ายเลขานุการฯ ไปดำเนินการยกร่างการแก้ไขระเบียบดังกล่าว ในแต่ละประเด็นที่ต้องการแก้ไขให้มีความชัดเจน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 7 ขอปรับปรุงโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
1. ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 มีมติให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ดำเนินการ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ภายในวงเงิน 2,000 ล้านบาท โดยให้ พพ.ปรับปรุงวิธีการปฏิบัติในการใช้เงินหมุนเวียนและมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรนำหลักเกณฑ์เงินหมุนเวียนไปใช้สนับสนุนกับโรงงานและอาคารที่สนใจจะลงทุนทางด้านอนุรักษ์พลังงาน แต่มิได้เป็นโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมด้วย
2. เมื่อ พพ. เปิดตัวโครงการฯ มีโรงงานควบคุม/อาคารควบคุมให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 300 ราย โดยติดต่อสอบถามข้อมูลผ่านทางสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่ง และ พพ. โดยมีโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ส่งข้อเสนอโครงการฯ มาจำนวน 29 แห่ง สถาบันวิจัยพลังงานและ พพ. ได้ดำเนินการพิจารณาข้อเสนอโครงการดังกล่าว นำเสนออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาและได้อนุมัติเงินให้การสนับสนุนแล้ว จำนวน 26 แห่ง ในวงเงิน 567,128,938 บาท โดยสามารถประหยัดพลังงานได้รวมเป็นเงิน 311,826,420 บาทต่อปี
3. เนื่องจากสถาบันการเงินและผู้ประกอบการด้านอนุรักษ์พลังงาน ได้แจ้งว่ามีผู้สนใจที่ไม่ได้เป็นโรงงาน/อาคารควบคุม ต้องการจะขอเข้าร่วมโครงการฯ โดยแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม พพ. และกรณีที่ 2 บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงาน/อาคาร แต่เป็นผู้ลงทุนดำเนินการติดตั้งมาตราการ/เทคโนโลยีอนุรักษ์ พลังงานให้แก่เจ้าของโรงงานและอาคาร ซึ่งตามหลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนั้น สถาบันการเงินจะต้องปล่อยกู้ให้แก่โรงงานควบคุม/อาคารควบคุม โดยเจ้าของโรงงานควบคุม/อาคารควบคุมเป็นผู้กู้ ทำให้ผู้ต้องการลงทุนอนุรักษ์พลังงานทั้ง 2 กรณี ดังกล่าวไม่สามารถขอรับการสนับสนุนจากโครงการฯ นี้ได้ ทั้งๆ ที่การอนุรักษ์พลังงานทั้ง 2 กรณี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและควรได้รับการสนับสนุนเหมือนกับการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ซึ่งลงทุนโดยเจ้าของโรงงาน/อาคารเอง
4. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของ พพ. แล้ว เห็นว่า การขยายขอบเขตโครงการฯ เป็นการเปิดกว้างกลุ่มเป้าหมายและวิธีการการสนับสนุนให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) ในการนำหลักเกณฑ์เงินหมุนเวียนไปใช้กับโรงงานและอาคารที่สนใจ แต่มิได้เป็นโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมด้วย อีกทั้งการขยายขอบเขตการสนับสนุน เป็นการพัฒนารูปแบบการสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงาน (Model Development) ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบการสนับสนุนที่ยั่งยืนของกองทุนฯ ต่อไป จึงมีมติเห็นชอบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ขยายขอบเขตโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) โดยให้ พพ. สนับสนุนแก่โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุมตามกรณีที่ 1 และบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) ตามกรณีที่ 2 รวมทั้งให้ครอบคลุมการให้การสนับสนุนแก่โครงการชีวมวลผลิตพลังงานและการใช้พลังงานทดแทนจากวัตถุดิบการเกษตรเพื่อผลิตพลังงาน ด้วย
2. อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติเงิน โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน สนับสนุนให้แก่โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) โดยใช้หลักเกณฑ์และวิธีการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานคณะอนุกรรมการฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 14 - วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม 2551
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2551 (ครั้งที่ 14)
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2551 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบรายละเอียดโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
2. ขอความเห็นชอบแนวทางจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน"
3. ขอความเห็นชอบ โครงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตปาล์มน้ำมัน เพื่ออุตสาหกรรมไบโอดีเซลชุมชนเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ปลูกใหม่
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ขอความเห็นชอบรายละเอียดโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 ได้พิจารณาโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนแล้ว และมีมติอนุมัติในหลักการ ให้ พพ. ดำเนินโครงการฯ ในวงเงิน 525 ล้านบาท ประกอบด้วย ส่วนของการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 500 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการโครงการ 25 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. จัดทำรายละเอียดแผนงานและวิธีการดำเนินงานโครงการ เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
2. พพ. ได้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดของโครงการดังกล่าว ตามความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยจัดทำรายละเอียดแผนงานและวิธีการดำเนินโครงการส่งเสริมการลงทุนฯ เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 13) เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ซึ่งที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นควรให้ พพ. ตรวจสอบ พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และระเบียบการใช้จ่ายเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ด้วย ว่ารูปแบบการใช้เงินในลักษณะ ESCO Fund นั้น เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินกองทุนฯ และให้ พพ. จัดทำรายละเอียดของแนวทางบริหารจัดการกองทุน ESCO Fund โดยเฉพาะองค์ประกอบของคณะกรรมการการลงทุน (Investment Committee) แล้วเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง ซึ่ง พพ. ได้ดำเนินการตามมติดังกล่าวแล้ว โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1 การบริหารจัดการกองทุนเพื่อร่วมลงทุนฯ ESCO Fund
1) ในประเด็นข้อกฎหมายว่า กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสามารถร่วมลงทุนได้หรือไม่ นั้น ขอชี้แจงว่า โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน เป็นการอุดหนุนการลงทุน ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 25 ที่ระบุว่า เงินทุนสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์เป็นเงินอุดหนุนสำหรับการลงทุนและดำเนินการในการอนุรักษ์พลังงาน หรือแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงานของเอกชน ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ
การสนับสนุนของโครงการเป็นการอุดหนุนการลงทุน ซึ่งเปรียบเสมือนเงินช่วยเหลือให้เปล่า โดยมีเงื่อนไขว่าหากมีผลประโยชน์หรือผลตอบแทนจากการดำเนินการ ผู้ได้รับการอุดหนุนจะต้องส่งคืนผลตอบแทนตามอัตราส่วนของการอุดหนุนคืนให้แก่กองทุนฯ และทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการนั้น เมื่อสิ้นสุดโครงการจะต้องนำส่งคืนกองทุนฯ ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปที่กองทุนฯ สามารถกำหนดเงื่อนไขได้อยู่แล้ว จึงถือได้ว่า เป็นการดำเนินการตามข้อกำหนดตามพระราชบัญญัติฯ และระเบียบกองทุนฯ
2) ผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) จะมีการดำเนินงานในด้านการศึกษา การฝึกอบรม การเผยแพร่ข้อมูล และการประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะเป็นไปตามมาตรา 25 (3) ของ พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 นั้น โดยในส่วนนี้เงินช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนนั้น สามารถให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชน ซึ่งในมาตรา 26 ได้ระบุว่า องค์กรเอกชนที่มีสิทธิ์ได้รับเงินช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนตามมาตรา 25 (3) ต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทย หรือกฎหมายต่างประเทศ ที่มีกิจกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงกับการอนุรักษ์พลังงาน หรือการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน และมิได้มีวัตถุประสงค์ในทางการเมือง หรือ มุ่งค้ากำไรจากการประกอบกิจกรรมดังกล่าว
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 25 (3) และมาตรา 26 ของ พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ดังนั้นผู้จัดการกองทุน จะต้องมีสถานภาพเป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือเอกชนที่มิได้มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง หรือมุ่งค้ากำไร พพ. ได้หารือและทาบทามหน่วยงานองค์กรที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 26 ของ พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มูลนิธิอนุรักษ์พลังงาน สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) สำนักส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
3) ด้านองค์ประกอบของคณะกรรมการการลงทุน เห็นควรให้มีหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้มีการวางนโยบายการลงทุน การกำกับการดำเนินโครงการ เป็นไปตามเป้าประสงค์ และเจตนารมณ์ และสอดคล้องกับตลาดการลงทุน อีกทั้งสามารถแก้ปัญหาการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานของภาคเอกชนได้อย่างเป็นรูปธรรม พพ. ได้จัดทำร่างองค์ประกอบคณะกรรมการการลงทุน ไว้ดังนี้
- อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ประธานกรรมการ
- ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการ
- ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม กรรมการ
- ผู้แทนสภาอุตสาหกรรม กรรมการ
- ผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่าน กรรมการ
- ผู้อำนวยการสำนักกำกับและอนุรักษ์พลังงาน เลขานุการ
2.2 การสรรหาผู้จัดการกองทุน (Fund Manager)
1) พพ. จะจัดสรรเงินจำนวน 500 ล้านบาท (ห้าร้อยล้านบาทถ้วน) ที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 ให้กับผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) ซึ่งเป็นหน่วยงานหรือองค์กรที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 26 ของ พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มูลนิธิอนุรักษ์พลังงาน สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน สำนักส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม เป็นต้น เพื่อนำไปส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนตามกรอบและเงื่อนไขที่กำหนดไว้
2) การพิจารณาคัดเลือกผู้จัดการกองทุนและการจัดสรรเงินกองทุนฯ จำนวน 500 ล้านบาท ตามข้อ 2.1 พพ. จะเสนอคณะกรรมการการลงทุน (Investment Committee) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนการดำเนินการ
3) ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ในช่วงเวลาดำเนินการ 24 เดือน
- เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนกว่า 1,250 ล้านบาท
- เกิดผลประหยัดพลังงานไม่น้อยกว่า 10 ktoe หรือมีมูลค่ากว่า 250 ล้านบาทต่อปี
- มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ไม่น้อยกว่า 20 โครงการ
3. พพ. ขอแก้ไขวาระการประชุมในส่วนประเด็นเพื่อพิจารณา ในส่วนของค่าใช้จ่ายโครงการฯ จาก 500 ล้านบาท เป็น 525 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นส่วนของการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 500 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการโครงการ 25 ล้านบาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบรายละเอียดของโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ตามที่ พพ. เสนอมา และให้ พพ. ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ จำนวน 525 ล้านบาท ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 ได้อนุมัติให้ พพ. ไว้แล้ว จัดสรรให้กับผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) ที่ พพ. จะดำเนินการคัดเลือกตามแนวทางที่เสนอไว้
เรื่องที่ 2 ขอความเห็นชอบแนวทางจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน"
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2551 ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในวงเงิน 300 ล้านบาท เพื่อไว้ใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการตาม "โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน" ซึ่งเป็นงานวิจัย พัฒนา รวมถึงงานสาธิตอื่นๆ เพื่อทราบศักยภาพ พิสูจน์ความเหมาะสมหรือความเป็นไปได้ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นในการนำมาใช้งาน ที่หน่วยงาน สถาบันการศึกษา หรือเอกชน ต้องการความช่วยเหลือสนับสนุนการดำเนินการ โดยมีแนวทางการสนับสนุน 2 แนวทาง ดังนี้
แนวทางที่ 1 สนพ. รับคำขอรับการสนับสนุนจากเจ้าของโครงการ และสรุปความเห็นเสนอผู้มีอำนาจเห็นชอบ พิจารณาเป็นรายๆ
แนวทางที่ 2 สนพ. ประกาศหัวข้อศึกษา วิจัย พัฒนาเพื่อสรรหาผู้ที่มีความเหมาะสมเป็นผู้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ
2. ข้อเสนอของ สนพ. สำหรับ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน"
2.1 การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน เป็นทิศทางที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐสนับสนุนเต็มที่ โดยกระทรวงพลังงานได้สนับสนุนในรูปแบบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้ขยะเป็นเชื้อเพลิงแล้ว ในอัตรา 2.50 บาท/หน่วย ในขณะที่จากข้อมูลของงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศพบว่าขยะพลาสติกที่ตกค้างอยู่ในกองขยะสามารถนำมาผลิตเป็นน้ำมันมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับน้ำมันดิบ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาขยะที่นับวันจะมีจำนวนมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ด้วย
2.2 กระบวนการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นวิธีที่หลายประเทศก็ทำอยู่แล้ว ซึ่งบางประเทศก็ให้ความสำคัญและบางประเทศก็มองข้ามไปเนื่องจากไม่คุ้มทุน แต่บางประเทศก็สามารถผลิตน้ำมันจากพลาสติกเป็นน้ำมันเบนซินได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ โดยรัฐบาลได้ให้ความช่วยเหลือบริษัทเอกชนในการลงทุน ขณะที่ประเทศไทยก็มีปัญหาทางด้านขยะและปัญหาด้านการหาพลังงานทดแทนด้านน้ำมัน และมีนักวิจัยแปรรูปขยะอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ความสามารถในการใช้งานได้จริงให้ประจักษ์ในประเทศ จึงยังไม่ทราบต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงความคุ้มค่าการลงทุนทั้งทางเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม ประกอบกับมีทฤษฏีความเป็นไปได้ที่หลากหลาย สนพ. จึงเห็นควรเปิดโอกาสให้หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา มูลนิธิองค์กรที่ไม่มุ่งค้าหากำไร หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด ยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" ที่เป็นการเผาในภาวะไร้อากาศจนได้น้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยมีการใช้ขยะเศษพลาสติกเป็นวัตถุดิบ โดยมีแนวทางการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน ดังต่อไปนี้
(1) การกำหนดส่วนเพิ่ม (Adder) ราคารับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ เป็นมาตรการจูงใจด้านราคาแก่ผู้สนใจลงทุนแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน
(2) การสนับสนุนงานศึกษาวิจัยพัฒนาและสาธิต "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" เพื่อเป็นโครงการนำร่อง
3. การกำหนดส่วนเพิ่ม (Adder) ราคารับซื้อน้ำมันดิบ
3.1 เทศบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือผู้ประกอบการเกี่ยวกับการจัดการขยะ มีภาระในการบริหารจัดการขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่รับผิดชอบ กระบวนการแปรรูปขยะเป็นพลังงานซึ่งมีผลตอบแทนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐศาสตร์ จึงเป็นทางเลือกที่หน่วยงานและองค์กรให้ความสนใจ แต่เนื่องจากผลตอบแทนการลงทุนยังมีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งด้านเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้มีการลงทุนจริงและราคาของผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบที่ผลิตได้ก็ยังมีระยะเวลาคืนทุนนาน 5-10 ปี และเพื่อเร่งให้มีการตัดสินใจลงทุนนำเทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันมาใช้ จึงเห็นควรเพิ่มแรงจูงใจให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้ในการช่วยเหลืออุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ
3.2 จากการประเมินเงินลงทุนการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันซึ่งประกอบด้วย (1) ค่าลงทุนระบบจัดการ คัดแยะ และผลิต RDF จากขยะพลาสติก และ (2) ค่าลงทุนเครื่องจักรในกระบวนการ Pyrolysis Depolymerization ที่สามารถรองรับขยะพลาสติกได้ 6 ตัน/วัน พบว่ามีค่าลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท หากสามารถจำหน่ายน้ำมันที่ผลิตได้ในราคา 22 บาท/ลิตร จะทำให้ระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี
3.3 ราคาน้ำมันดิบในวันที่ 14 มกราคม 2551 (อัตราแลกเปลี่ยน 33.2618 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ) เป็นดังนี้
ดอลลาร์สหรัฐ/บาเรล | บาท/ลิตร | |
ทาปิส | 96.65 | 20.22 |
โอมาน | 88.12 | 18.44 |
ดูไบ | 86.92 | 18.18 |
เบรนท์ | 92.90 | 19.44 |
เวสต์ เท็กซัส | 94.23 | 19.71 |
3.4 สำหรับหลักการในการคำนวณอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันที่ได้จากแปรรูปขยะนั้น ใช้ราคาน้ำมันดิบดูไบที่มีคุณภาพต่ำที่สุดเป็นเกณฑ์ ซึ่งปัจจุบันมีราคา 18.18 บาท/ลิตร เมื่อเทียบกับการราคาน้ำมันที่ได้จากแปรรูปขยะตามข้อ 3.2 ในระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 5 ปี อัตราเงินอุดหนุนหรือเงินส่วนเพิ่มควรเริ่มตั้งแต่ 4 บาท/ลิตร ขึ้นไป แต่เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการตัดสินใจลงทุนในช่วงแรกและช่วยบรรเทาภาระความเสี่ยงของหน่วยงานหรือองค์กรที่จะลงทุนในด้านของเทคโนโลยีและคุณภาพของน้ำมันที่จะได้รับ สนพ. จึงเห็นควรกำหนดราคาส่วนเพิ่มที่อัตรา 7 บาท/ลิตร ซึ่งจะทำให้ระยะเวลาคืนทุนลดลงเหลือเพียง 4 ปี
3.5 ในการส่งเสริมการลงทุนการแปรรูปขยะเป็นน้ำมันให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการดังนี้
(1) สนพ. เสนอ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดิบให้โรงกลั่นที่รับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตรา 7 บาท/ลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยน้ำมันดิบที่โรงกลั่นรับซื้อและจะนำมาขอเงินอุดหนุนดังกล่าวจะต้องมีคุณภาพไม่ต่ำกว่าคุณภาพของน้ำมันดิบดูไบ
(2) สนพ. ออกประกาศ กบง. กำหนดอัตราเงินอุดหนุนราคาน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ
(3) ให้กรมสรรพสามิตและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินอุดหนุนให้โรงกลั่นสำหรับการรับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ โดยให้กรมสรรพสามิตเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการรับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะ และให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินอุดหนุนให้โรงกลั่น
4. การสนับสนุนงานศึกษาวิจัยพัฒนาและสาธิต "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน"
สนพ. จะขอใช้เงินจากกองทุนฯ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน "โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน" ปีงบประมาณ 2551 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรให้ สนพ. ไว้แล้ว ตามข้อ 1 นำมาจัดสรรเพื่อใช้ส่งเสริมและสาธิตเทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน ในวงเงินรวม 105 ล้านบาท โดยการประกาศเชิญชวนเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทุนจัดทำแผนงานและเสนอต่อ สนพ. เพื่อขอรับการสนับสนุน โดยมีกรอบแนวทางดำเนินงานดังต่อไปนี้
4.1 แนวทางในการให้การสนับสนุน
เป็นเงินช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน สำหรับการลงทุนดำเนินการเกี่ยวกับการส่งเสริมการผลิตพลังงานแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน
4.2 ข้อกำหนดด้านคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอ
(1) เป็นหน่วยงานที่เข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังต่อไปนี้ ราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา องค์กรเอกชนไม่มุ่งค้าหากำไร
(2) เป็นหน่วยงานที่ได้รับความร่วมมือและอนุญาตให้จัดการขยะในพื้นที่ท้องถิ่นนั้น
(3) มีความพร้อมด้านงบประมาณสนับสนุนการจัดสร้างระบบฯ
4.3 แนวทางจัดทำข้อเสนอโครงการฯ
"เจ้าของโครงการ" จะต้องจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยมีข้อกำหนดด้านเทคนิคดังนี้
(1) เป็นระบบที่มีสามารถในการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่ต่ำกว่า 3,500 ลิตร/วัน
(2) น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผลิตได้ต้องมีค่าความร้อนไม่น้อยกว่า 34.5 MJ/ลิตร (ร้อยละ 95ของค่าความร้อนของน้ำมันดิบ)
(3) มีวัตถุดิบเพียงพอกับความต้องการของกระบวนการผลิต
(4) มีระบบคัดแยกขยะพลาสติก
(5) มีความพร้อมด้านสถานที่ก่อสร้างโรงงาน
4.4 ประเภทของค่าใช้จ่ายที่จะได้รับการสนับสนุน
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ 105 ล้านบาท (หนึ่งร้อยห้าล้านบาทถ้วน) นำมาเป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าในสัดส่วน 32% แต่ไม่เกิน 35 ล้านบาทต่อราย ดังนี้
กระบวนการ | เงินลงทุน (ล้านบาท) |
เงินสนับสนุนสูงสุด | สัดส่วน |
(1) เงินลงทุนในส่วนระบบจัดการและคัดแยกขยะ * | 35 | 10 | 28% |
(2) เงินลงทุนสำหรับระบบแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน ** | 65 | 15 | 23% |
(3) ค่าที่ปรึกษาออกแบบระบบและบริหารจัดการ | 10 | 10 | 100% |
รวม | 110 | 35 | 33% |
* เงินลงทุนระบบจัดการคัดแยะเทศบาลระยองซึ่งรองรับขยะขนาด 60 ตัน/วัน มีสัดส่วนขยะพลาสติกไม่เกิน 10 ตัน/วัน (คิดจากสัดส่วนขยะพลาสติกเฉลี่ยของประเทศไทยที่ 16.83%) และเครื่องผลิต RDF อ้าอิงจากเครื่องผลิต RDF ชีวมวลจากการประเมินของ ม.สุรนารี 3 ล้านบาท
** ข้อเสนอโครงการนำร่องการแปรรูปขยะเป็นพลังงานน้ำมันซึ่งรองรับขยะได้ 6 ตัน/วัน
4.5 การจ่ายเงินสนับสนุน
งวดจ่ายเงิน | ร้อยละของวงเงินที่ขอรับการสนับสนุน | เงื่อนไข |
งวดที่ 1 | ร้อยละ 30 | เมื่อออกแบบรายละเอียดระบบแล้วเสร็จ |
งวดที่ 2 | ร้อยละ 40 | เมื่อก่อสร้างระบบและติดตั้งอุปกรณ์แล้วเสร็จ |
งวดที่ 3 | ร้อยละ 15 | เมื่อเริ่มต้นเดินระบบและนำขยะเข้าระบบได้ 50% |
งวดที่ 4 | ร้อยละ 15 | เมื่อเดินระบบได้เต็มกำลังผลิตและสามารถผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีค่าความร้อนไม่น้อยกว่า 34.5 MJ/ลิตร |
4.6 วิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุน
ขั้นตอนที่ 1 สนพ. ออกประกาศเชิญชวนผู้สนใจเพื่อจัดทำแผนและรายละเอียดของโครงการตามที่กำหนดไว้ เสนอต่อ ผอ.สนพ. ภายในเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ออกประกาศ
ขั้นตอนที่ 2 หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุน (หน่วยงานเจ้าของโครงการ) ยื่นข้อเสนอโครงการต่อ สนพ.
ขั้นตอนที่ 3 คณะผู้เชี่ยวชาญร่วมพิจารณาวิเคราะห์และกลั่นกรองให้ความเห็นตามเกณฑ์การพิจารณาที่กำหนด และจัดเรียง ลำดับตามคะแนนแต่ละโครงการที่ได้รับ ผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 3 อันดับแรก จะได้รับการเสนอ ผอ.สนพ. เพื่อพิจารณา
ขั้นตอนที่ 4 โครงการที่ ผอ.สนพ. ให้ความเห็นชอบแล้ว สนพ. จะแจ้งมติให้เจ้าของโครงการทราบ และลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับเจ้าของโครงการ การเบิกจ่ายเงินงวดแรกให้ "เจ้าของโครงการ" เป็นไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือยืนยันหรือสัญญา
ขั้นตอนที่ 5 เจ้าของโครงการ ดำเนินโครงการตามแผนงาน/สัญญา และรายงานผลให้ สนพ. ทราบทุกระยะ
ขั้นตอนที่ 6 เมื่อต้องมีการจ่ายเงินตามงวดในหนังสือยืนยันหรือสัญญา สนพ. จะดำเนินการเบิกเงินจากที่เก็บรักษาเงินกองทุนฯ เพื่อนำมารอจ่ายให้แก่เจ้าของโครงการ ในการจ่ายเงินนี้ สนพ. ต้องพิจารณาตรวจสอบให้เจ้าของโครงการดำเนินการตามหนังสือยืนยันหรือสัญญาก่อนจึงจ่ายเงินได้
ขั้นตอนที่ 7 สนพ. รายงานความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ เป็นระยะๆ รวมถึงติดตามประเมินผลโครงการด้วย
4.7 คณะผู้เชี่ยวชาญเพื่อร่วมพิจารณาวิเคราะห์และกลั่นกรอง ข้อเสนอโครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน ประกอบด้วย (1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ (2) รศ.ดร.สมรัฐ เกิดสุวรรณ และ (3)ผศ.ดร.วีระชัย อาจหาญ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทางส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันด้วยการจูงใจด้านราคา โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาช่วยอุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันดิบที่ผลิตได้จากการแปรรูปจากขยะ ในอัตรา 7 บาทต่อลิตร ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในข้อ 3 และให้ สนพ. เสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อพิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบแนวทางส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมันด้วยการสนับสนุนงานวิจัยและสาธิตเป็นโครงการนำร่อง โดยให้ สนพ. จัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษาวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2551 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2551 ได้จัดสรรให้ สนพ. ไว้แล้ว มาใช้สำหรับ "โครงการส่งเสริมการแปรรูปจากขยะเป็นน้ำมัน" ในวงเงิน 105 ล้านบาท ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบวาระ 3.2.1
1. ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานต่อที่ประชุมว่า มูลนิธิชัยพัฒนา กระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัท ปตท. จำกัด กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้ร่วมกันจัดตั้ง "โครงการจัดตั้งศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนด้วยไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร" เป็นการร่วมมือกันอย่างจริงจังทั้งด้านเงินทุนในการเพาะปลูก ความรู้เกี่ยวกับพันธุ์ปาล์ม และการดูแลจัดการสวนปาล์มน้ำมันที่เหมาะสม รวมทั้งการลงทุนในอุตสาหกรรมโรงสกัดน้ำมันปาล์มและโรงงานไบโอดีเซลที่จะรับซื้อเป็นวัตถุดิบต่อไป เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีจากนี้ไปเมื่อมีความมั่นใจว่าพื้นที่ทุ่งรังสิตสามารถผลิตปาล์มน้ำมันเชิงพาณิชย์ได้ จะมีเกษตรกร และนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาลงทุนปลูกปาล์มน้ำมัน ซึ่งหมายความว่าสวนส้มร้างก็จะมีการนำมาพัฒนาใช้ประโยชน์ของดินได้อีกครั้ง ทั้งนี้เครื่องจักรและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในโครงการนี้ จะทูลเกล้าถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โดยส่งมอบให้มูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการต่อไป โดยมีกิจกรรมภายใต้ "โครงการจัดตั้งศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนด้วยไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร " ดังนี้
1) การบริหารจัดการและกำกับติดตามงาน โดยมูลนิธิชัยพัฒนา
2) การจัดการแปลงปลูกปาล์มน้ำมัน จำนวนประมาณ 5,300 ไร่ ประกอบด้วย (1) จำนวน 1,000 ไร่ โดย บริษัท ปตท. จำกัด (2) จำนวน 4,000 ไร่ เป็นพื้นที่สมัครใจของเกษตรกรเจ้าของพื้นที่หรือผู้เช่าที่ดิน (3) จำนวน 100 ไร่ บนพื้นที่โครงการฯ บริเวณคลอง 9 หรือ คลอง 11 จ.ปทุมธานี โดย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อศึกษาวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการปลูก และ (4) จำนวน 200 ไร่ โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศึกษาพัฒนาเพื่อปรับปรุงพันธุ์ปาล์มน้ำมัน ในพื้นที่โครงการปลูกป่า ชัยพัฒนา-แม่ฟ้าหลวง ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
3) การรับซื้อผลผลิตปาล์มน้ำมัน โดยกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์
4) เครื่องจักรสกัดน้ำมัน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกับ บริษัท เกรท อะโกร จำกัด กลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์
5) เครื่องจักรผลิตน้ำมันไบโอดีเซล B100 กำลังการผลิต 1,000-2,000 ลิตรต่อวัน รับผิดชอบโดย บริษัท ปตท. จำกัด เพื่อแปรรูป CPO ที่จะได้จากเครื่องจักรสกัดของ สวทช. และ บริษัท เกรท อะโกร จำกัด
6) การจัดการของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ในส่วนของทะลายปาล์มสด โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จะใช้ระบบผลิตไฟฟ้าจากก๊าซเชื้อเพลิงชีวมวลแบบ 3 ขั้นตอน ขนาดกำลังการผลิต 100 kW กิโลวัตต์
7) การฝึกอบรม ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ โดยมูลนิธิชัยพัฒนา
2. ประมาณการค่าใช้จ่ายของทั้งโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 75,481,000 บาท โดยแต่ละหน่วยงานจะจัดหาจากแหล่งเงินทุนต่างๆ โดยในส่วนของ "โครงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตปาล์มน้ำมันเพื่ออุตสาหกรรมไบโอดีเซลชุมชนเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ปลูกใหม่" ที่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร จะทำการศึกษาวิจัยพัฒนาสายพันธุ์ปาล์ม ตลอดจนการเขตกรรม การให้ปุ๋ย การให้น้ำ การดูแลวัชพืชและศัตรูพืช ในพื้นที่วิจัยทั้ง 2 แห่ง คือ บริเวณคลอง 9 หรือ คลอง 11 จ.ปทุมธานี ประมาณ 100 ไร่ และในพื้นที่โครงการปลูกป่า ชัยพัฒนา-แม่ฟ้าหลวง ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประมาณ 150 ไร่ รวม 250 ไร่ นั้น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานในวงเงินรวม 33,140,000บาท (สามสิบสามล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถ้วน) โดยสรุปสาระสำคัญของโครงการฯ ได้ดังนี้
2.1 วัตถุประสงค์
1) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility) ทั้งด้านสถานภาพของระบบการปลูก การผลิตพืชน้ำมันที่มีศักยภาพในพื้นที่ที่มีสภาพดินกรดจัดบริเวณคลองรังสิต จ.ปทุมธานี จำนวน 100 ไร่ และในพื้นที่โครงการปลูกป่า ชัยพัฒนา-แม่ฟ้าหลวง ต.หนองพลับ อ.หัวหิน จ. ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 150 ไร่
2) เพื่อศึกษากระบวนการเขตกรรมขนาดพอเหมาะแก่ชุมชน เพื่อทำน้ำมันไบโอดีเซล ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม
3) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์เรียนรู้ชุมชน (Model Farm) ใน "ศูนย์ศึกษาพัฒนาและสาธิตพลังงานทดแทนด้วยไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันแบบครบวงจร" ที่มีแบบจำลอง Process-base ของปาล์มน้ำมันเพื่อการปลูกและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร
2.2 แนวทางดำเนินโครงการฯ
1) คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมันที่เหมาะสมสำหรับปลูกในพื้นที่บริเวณคลองรังสิต จ.ปทุมธานี ได้แก่ พันธุ์ลูกผสมสุราษฎร์ธานี 1, 2 และ 3 รวมถึงพันธุ์อื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศที่ได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตรอีกจำนวนประมาณ 2 สายพันธ์ มาทดลองปลูกในพื้นที่แปลงสาธิต เพื่อศึกษาความเหมาะสมและความคุ้มค่าการผลิตปาล์มน้ำมันในแต่ละ Scale
2) ศึกษาเทคโนโลยีการผลิตปาล์มน้ำมันครบวงจรในพื้นที่บริเวณคลองรังสิต จ.ปทุมธานี และในพื้นที่โครงการปลูกป่าชัยพัฒนา-แม่ฟ้าหลวง อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ การวิจัยสายพันธุ์ การวิจัยการปลูกพืชเซมในสวนปาล์มเพื่อเพิ่มรายได้ชุมชน การควบคุมการปลูกโดยจัดสรรและจัดการน้ำแบบต่างๆ การศึกษาการจัดการและระดับการให้ปุ๋ยในปาล์มน้ำมัน การควบคุมการจัดการโรคและวัชพืชในปาล์มน้ำมัน การควบคุมและบังคับการออกดอกตัวเมียในปาล์มน้ำมัน การพัฒนาการเก็บเกี่ยวทะลายปาล์มสดเพื่อให้ได้น้ำมันปาล์มที่ได้ปริมาณและคุณภาพสูงสุด
3) ศึกษาผลที่มีต่อเศรษฐกิจ สังคม และสภาพแวดล้อมของการผลิตปาล์มน้ำมัน
4) ถ่ายทอดเทคโนโลยีและข้อมูลพื้นฐานของระบบฐานข้อมูลของผลงานวิจัยแก่ชุมชนและนักส่งเสริมในรูปแบบของ Research and extension (R&E)
2.3 งบประมาณ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 33,140,000 บาท ประกอบด้วย
รายการ | ปี 2551 | ปี 2552 | ปี 2553 | ปี 2554 | ปี 2555 | รวม 5 ปี |
1. ค่าจ้าง | 960,000 | 960,000 | 960,000 | 960,000 | 960,000 | 4,800,000 |
2. ค่าตอบแทน | 600,000 | 600,000 | 600,000 | 600,000 | 600,000 | 3,000,000 |
3. ค่าใช้สอย | 2,850,000 | 2,750,000 | 2,750,000 | 3,000,000 | 3,000,000 | 14,350,000 |
4. ค่าวัสดุ | 1,750,000 | 1,550,000 | 1,550,000 | 1,550,000 | 1,550,000 | 7,950,000 |
5. ค่าบริหารโครงการ | 616,000 | 586,000 | 586,000 | 626,000 | 626,000 | 3,040,000 |
รวมแต่ละปี | 6,776,000 | 6,446,000 | 6,446,000 | 6,736,000 | 6,736,000 | 33,140,000 |
2.4 ระยะเวลาโครงการ 60 เดือน นับตั้งแต่ลงนามในหนังสือยืนยันกับ สนพ.
3. ฝ่ายเลขานุการมีความคิดเห็นว่า โครงการนี้มีวัตถุประสงค์และแนวทางดำเนินโครงการฯ อยู่ในกรอบแผนงานและหลักเกณฑ์ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ดำเนินงาน "โครงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตปาล์มน้ำมันเพื่ออุตสาหกรรม ไบโอดีเซลชุมชนเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ปลูกใหม่" โดยขอเสนอแต่งตั้ง ดร.สมเจตน์ ประทุมมินทร์ กรมวิชาการเกษตร และนายรังสรรค์ สโรชวิกสิต กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นผู้เชี่ยวชาญพิจารณารายละเอียดของโครงการฯ และเมื่อมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ปรับปรุงแผนงานของโครงการฯ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 ท่านเรียบร้อยแล้ว ให้เสนอ ผอ.สนพ. พิจารณาและลงนามในหนังสือยืนยันการให้ทุนฯ กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ สนพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษาวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2551 ให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตปาล์มน้ำมันเพื่ออุตสาหกรรมไบโอดีเซลชุมชนเชิงพาณิชย์ในพื้นที่ปลูกใหม่" ในวงเงิน 33,140,000 บาท (สามสิบสามล้านหนึ่งแสนสี่หมื่นบาทถ้วน) ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบวาระ 3.3.1 และแต่งตั้ง ดร.สมเจตน์ ประทุมมินทร์ และนายรังสรรค์ สโรชวิกสิต เป็นผู้เชี่ยวชาญพิจารณาโครงการฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในข้อ 2 โดยใช้เงินส่วนที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2551 ได้จัดสรรให้ สนพ. ไว้แล้ว
อนุ กอ. ครั้งที่ 15 - วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2551
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2551 (ครั้งที่ 15)
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 เวลา 09.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานฐานะการเงินและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. รายงานผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำปีบัญชี 2550
3. ข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน
4. ผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551 และขอความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
5. ขอความเห็นชอบนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฝากธนาคารของรัฐ
6. ขอความเห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2551
7. ขอความเห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 3 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 4
8. ขอความเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
9. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานฐานะการเงินและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานฐานะการเงินและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ต่อคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมาเพื่อโปรดทราบ ดังนี้
1. รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำเดือนกันยายน 2551 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2551 ซึ่งสรุปได้ดังนี้
หน่วย : บาท
ยอดยกมา (ณ 1 กันยายน 2551) | 6,355,019,354.22 |
บวก รายรับ | 1,381,743,397.25 |
รวม | 7,736,762,751.47 |
(หัก) รายจ่าย | (513,007,164.83) |
คงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 | 7,223,755,586.64* |
* ประกอบด้วย | |
1) เงินฝากธนาคารกรุงไทย - ออมทรัพย์ สาขาสะพานขาว | 7,148,086,336.39 |
2) เงินฝากธนาคารกสิกรไทย - ออมทรัพย์ สาขากิ่งเพชร | 75,669,250.25 |
2. งบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กรมบัญชีกลาง ประจำปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550, 2549 และ 2548 สรุปได้ดังนี้
2.1 เงินสดคงเหลือในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคาร อาคารสงเคราะห์ ประกอบด้วย
หน่วย : ล้านบาท
ปี 2550 | ปี 2549* | ปี 2548* | |
เงินสดคงเหลือต้นงวด | 980.15 | 602.10 | 296.50 |
บวก รายรับ | 2,528.39 | 4,664.24 | 5,027.67 |
รวม | 3,508.54 | 5,266.34 | 5,324.17 |
(หัก) รายจ่าย | (2,753.77) | (4,286.19) | (4,722.07) |
เงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 ก.ย. | 754.77 | 980.15 | 602.10 |
บวก | |||
1) เงินฝากธนาคารกรุงไทย - ประจำ 3 เดือน | 2.19 | 2.13 | 2,515.56 |
2) เงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ - ประจำ 3 เดือน | 3,747.41 | 3,934.06 | - |
3) เงินฝากธนาคารอาคารสงเคราะห์ - ประจำ 12 เดือน | - | - | 4,000.00 |
รวมคงเหลือทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 ก.ย. | 4,504.37 | 4,916.34 | 7,117.66 |
หมายเหตุ * งบการเงินฯ ปี 2548 และ 2549 สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบรับรองเรียบร้อยแล้ว
โดย สตง. ได้ให้ข้อสังเกตว่า มีเงินกองทุนฯ ที่ สนพ. เบิกมาจาก กรมบัญชีกลางและค้างจ่ายอยู่ ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 184,476,648.16 บาท เพื่อรอจ่ายให้กับผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ หรือคู่สัญญา สตง. ได้แนะนำให้ สนพ. เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินตามโครงการต่างๆ ที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หากโครงการใดมีปัญหาอุปสรรคที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนงานเดิม ก็ควรส่งเงินจำนวนนั้นคืนกองทุนฯ ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการตามคำแนะนำของ สตง. แล้ว เมื่อ 20 ธันวาคม 2550 พร้อมทั้งแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามคำแนะนำของ สตง. โดยเคร่งครัดด้วย
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ รายงานฐานะการเงินและงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำปีบัญชี 2550
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง (บก.) ในปีประจำบัญชี 2549 โดยมีประธานกรรมการกองทุน ฯ เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) กับกระทรวงการคลัง โดย บก. ได้มอบหมายให้ บริษัท ไทยเรตติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด (ทริส; TRIS) เป็นผู้ดำเนินการประเมิน
2. ในปีบัญชี 2550 กรมบัญชีกลางได้มอบหมายให้บริษัททริส เป็นผู้ดำเนินการประเมิน โดยได้มีการกำหนดเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน รวม 7 ตัวชี้วัด โดยตัวชี้วัดด้านที่ 1 และด้านที่ 2 มีเกณฑ์วัดและน้ำหนักเท่ากันทุกปี โดยผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550 คะแนนอยู่ในระดับ 2.843 ซึ่งสามารถสรุปได้ ดังนี้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ ผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานต่อที่ประชุมว่า คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้มีหนังสือ เรียน รองนายกรัฐมนตรี (นายสหัส บัณฑิตกุล) ประธานกรรมการกองทุนฯ เรื่อง ข้อเสนอเพื่อพิจารณาทบทวนปรับปรุงการบริหารจัดการกองทุนฯ ซึ่งประธานกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว และมีบัญชาให้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งข้อเสนอแนะดังกล่าวสรุปได้ ดังนี้
(1) มีโครงการจำนวนมากที่ดำเนินการช้ากว่าแผนและข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา
ข้อเสนอแนะ ควรมีบทลงโทษหรือบทปรับในสัญญาหากดำเนินการล่าช้า และการทำสัญญาควร ทำกับนิติบุคคลเพื่อเอาผิดกับผู้ดำเนินโครงการได้
(2) โครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการหลายปี ในระหว่างดำเนินการอาจประสบปัญหาทางด้านเทคโนโลยีหรือสภาวะแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่คาดไว้
ข้อเสนอแนะ ควรระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องมีการทบทวน (Review) และประเมินโครงการเมื่อ สิ้นสุดการดำเนินงานปีแรก ก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการต่อไป
(3) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงการ
ข้อเสนอแนะ ควรมีการตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ (Steering Committee) เพื่อพิจารณาให้ ความเห็นกลั่นกรอง ก่อนอนุมัติโครงการ
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รับข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ตามข้อ 1 และจะนำไปพิจารณาเพื่อปรับปรุงวิธีปฏิบัติงานให้เข้มข้นมากขึ้นจากแนวทางปฏิบัติเดิมที่ใช้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 ซึ่งก็มีความใกล้เคียงกับข้อเสนอแนะดังกล่าวอยู่แล้ว ดังนี้
2.1 กรณีโครงการจำนวนมากที่ดำเนินการช้ากว่าแผนและข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญา
วิธีที่ใช้ปฏิบัติกรณีที่ 1 เป็นการให้ทุนเพื่อ สนับสนุน ช่วยเหลือ เป็นเงินอุดหนุน ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชน (มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีกิจกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงกับการอนุรักษ์พลังงาน และมิได้มีวัตถุประสงค์ในทางการเมืองหรือมุ่งค้าหากำไร) เพื่อนำไปใช้จ่ายดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ที่กำหนดในข้อ 25 และข้อ 26 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
ซึ่งในกรณีนี้ จะทำเป็น "หนังสือยืนยันการรับทุน" ที่ไม่ได้กำหนดบทปรับไว้ อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันการละทิ้งงานและเสียประโยชน์ของกองทุนฯ สนพ. ได้กำหนดเงื่อนไขไว้ใน "หนังสือยืนยันการรับทุน" ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2538 ตามข้อความดังนี้
ข้อ 5. "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" จะดำเนินโครงการตาม ข้อ 3 โดยมีกำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการฯ ภายในระยะเวลา ------ วัน นับตั้งแต่วันที่ ---- /---- /------
หาก "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ไม่ได้ดำเนินการให้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง หรือตามที่กำหนดในเอกสารแนบท้ายหนังสือยืนยันหมายเลข 4 โดยไม่ยื่นเรื่องเพื่อชี้แจงต่อ "ผู้เบิกเงินกองทุน" ด้วยเหตุผลอันสมควร "ผู้เบิกเงินกองทุน" สงวนสิทธิ์ในการปฏิบัติตาม ข้อ 13 และจะออกหนังสือแจ้งเวียนไปยังหน่วยงานที่สามารถให้ทุนสนับสนุนในโครงการต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ นั้น ระงับหรือยกเว้นมิให้การสนับสนุน "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ต่อไป
ข้อ 13. การระงับงานชั่วคราวและการระงับการให้การสนับสนุน
13.1 "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ยินยอมให้ "ผู้เบิกเงินกองทุน" ระงับงานชั่วคราว หรือระงับการให้การสนับสนุนตามหนังสือยืนยันฉบับนี้ได้ หาก "ผู้เบิกเงินกองทุน" เห็นว่า "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้นี้ โดย "ผู้เบิกเงินกองทุน" จะมีหนังสือแจ้งให้ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ทราบ ล่วงหน้า 60 วัน ก่อนการระงับงานชั่วคราวหรือการระงับการให้การสนับสนุน
13.2 เมื่อมีการระงับการให้การสนับสนุนตาม ข้อ 13.1 "ผู้เบิกเงินกองทุน" จะจ่ายเงินให้แก่ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ในสัดส่วนที่เหมาะสมตามผลการดำเนินโครงการที่ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ได้ดำเนินการไว้ตามข้อเสนอโครงการตาม ข้อ 3.และ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" จะต้องคืนเครื่องมือเครื่องใช้และวัสดุอุปกรณ์ทั้งหลายที่ "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" ได้จัดซื้อด้วยเงินที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนให้แก่ "ผู้เบิกเงินกองทุน" ทั้งหมด
แนวทางปฏิบัติที่ สนพ. ใช้ดำเนินการอยู่ คือ การแจ้งเตือนล่วงหน้าไปยัง "ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน" และการแจ้งเตือนเมื่อเลยกำหนดเวลา เพื่อให้ปฏิบัติตามข้อความที่ปรากฏในหนังสือยืนยัน
วิธีที่ใช้ปฏิบัติกรณีที่ 2 เป็นการว่าจ้างให้ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชน หรือเอกชน ดำเนินการศึกษา วิจัย หรือดำเนินการในเรื่องนั้นๆ โดยปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ.2535
ซึ่งในกรณีนี้จะทำเป็น "สัญญาว่าจ้าง" ตามแบบที่คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ กำหนดเรื่อง "ค่าปรับ" ไว้ และเป็นเรื่องที่ทุกส่วนราชการต้องถือปฏิบัติโดยเคร่งครัดอยู่เป็นปกติอยู่แล้ว
2.2 กรณีโครงการต่อเนื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการหลายปี ควรระบุไว้ในสัญญาว่าจะต้องมีการทบทวน (Review) และประเมินโครงการเมื่อสิ้นสุดการดำเนินงานปีแรก ก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการต่อไป
วิธีที่ใช้ปฏิบัติ หลักการของการพิจารณาของกองทุนฯ ที่จะให้เงินช่วยเหลือ อุดหนุนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชนไปดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 โดยบางโครงการได้สนับสนุนเป็นโครงการระยาวที่ใช้เวลาดำเนินการเกินกว่า 2 ปี ทั้งนี้เพื่อความต่อเนื่องของงานที่ต้องการเห็นผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจัง หรือเป็นงานที่ต้องใช้เวลาในการศึกษาวิจัยดูการพัฒนาเป็นขั้นตอน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการอนุมัติไว้ในหลักการเพื่อให้ผู้วิจัยพัฒนามีความเชื่อมั่นของการทำงานในระยะยาว ที่มีการควบคุมประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน โดยมีเงื่อนไขให้เจ้าของโครงการรายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นประจำทุกปี ก่อนที่จะจัดสรรเงินสำหรับการดำเนินงานปีต่อไป เช่น
- โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่
- โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ
- โครงการพัฒนาบัณฑิตศึกษาและงานวิจัยด้านเทคโนโลยีพลังงานและสิ่งแวดล้อม
2.3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโครงการ ควรมีการตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ (Steering Committee) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นกลั่นกรอง ก่อนอนุมัติโครงการ
วิธีที่ใช้ปฏิบัติ ในกระบวนการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ที่จะให้เงินช่วยเหลือ อุดหนุนแก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชนไปดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 นั้น สนพ. จะมีการตั้งคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ครั้งละ 2-5 คน เพื่อพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอและให้ความเห็น ก่อนการพิจารณาอนุมัติ อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเลขานุการฯ จะรับข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ตามที่เสนอ และจะได้แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พพ. สป.พน. เป็นต้น เพื่อรับทราบและนำไปปรับปรุงวิธีปฏิบัติงานให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการกำกับดูแลและการใช้จ่ายเงินของกองทุนฯ อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ ข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ
ประธานฯ ได้เสนอที่ประชุมว่า กระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการจัดทำแผนพลังงานทดแทน 15 ปี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 จึงขอให้เลื่อนการพิจารณาวาระดังกล่าวออกไปก่อน เพื่อจะได้ทำการบูรณาการแผนพลังงานทดแทน 15 ปี เข้ากับแผนงานประจำปี 2552 ที่เสนอมา
เรื่องที่ 5 ขอความเห็นชอบนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฝากธนาคารของรัฐ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมว่า พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มโดย พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 24 ได้กำหนดให้จัดตั้งกองทุนหนึ่งเรียกว่า "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในกระทรวงพลังงาน เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงาน และมาตรา 24/1 กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงิน จาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในกระทรวงการคลัง" ไปเป็นของ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน"
2. "กรมบัญชีกลาง" ได้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงิน ของ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ข้างต้นให้ "กระทรวงพลังงาน" เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 โดยปลัดกระทรวงพลังงานเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินงานในช่วงเปลี่ยนผ่านนั้น มีความต่อเนื่องและถูกต้อง จึงมอบหมายให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้รับโอนงาน โดย สนพ. ได้นำเงินกองทุนฯ ฝากไว้กับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานขาว ประเภทออมทรัพย์ และด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฯ ในคราวการประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 สนพ. ได้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กิ่งเพชร) สำหรับรองรับการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเบิกจ่ายเงิน และโอนเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุน และผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุน
3. ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 กำหนดเรื่องการเปิดบัญชีเงินฝาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ไว้ในหมวด 1 การรับเงินกองทุน ข้อ 6 ให้เปิดบัญชีเงินฝาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์หรือเงินฝากประจำกับสถาบันการเงินที่เป็นของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
4. ณ วันที่ 30 กันยายน 2551 กองทุนฯ มีเงินรวมประมาณ 7,224 ล้านบาท โดยเป็นเงินรอจ่ายให้กับผู้เบิกเงินกองทุนฯ คือ สนพ. และ พพ. นำไปใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินประมาณ 4,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนจำนวนเงินที่เหลืออยู่ประมาณ 3,000 ล้านบาท จะเก็บอยู่ใน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานขาว ประเภทออมทรัพย์ และเกิดดอกผลในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ร้อยละ 0.75 บาทต่อปี ทำให้กองทุนฯ เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูงจากเงินฝากที่มีอยู่ 3,000 ล้านบาท ดังนั้น สนพ. (ในฐานะผู้เก็บรักษาเงินของกองทุนฯ) เห็นว่า ถ้าสามารถจัดสรรเงินโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของกองทุนฯ และนำเงินส่วนที่เกินความจำเป็นใช้ตามช่วงเวลานั้นๆ ไปฝากกับสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประเภทฝากประจำ 3 เดือน, 6 เดือน หรืออื่นๆ เหมือนดังที่ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้เคยปฏิบัติไว้ ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่การบริหารเงินของกองทุนฯ เกิดประโยชน์มากขึ้น
มติที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้ สนพ. ในฐานะผู้เก็บรักษาเงินของกองทุนฯ สามารถบริหารเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับการเบิกจ่ายเงินตามภาระผูกพันโดยการนำไปฝากธนาคารของรัฐ ที่ให้ผลตอบแทนกับกองทุนฯ ในระดับสูง โดย "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" มีอำนาจพิจารณาเห็นสมควร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และเมื่อ สนพ. ดำเนินการแล้ว ให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ รับทราบต่อไป และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
ฝ่ายเลขานุการได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมบัญชีกลาง (บก.) ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อให้นำเรื่อง เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2551เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอให้ประธานคณะกรรมการฯ ลงนาม บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานฯ และส่งคืนกรมบัญชีกลางภายในวันที่ 16 พฤษภาคม 2551 โดยใน ปีบัญชี 2551 จะมีการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน 4 ด้าน 9 ตัวชี้วัด ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
(1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (น้ำหนักร้อยละ 15)
ตัวชี้วัดที่ 1.1 | ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุน (น้ำหนักร้อยละ 8) |
ตัวชี้วัดที่ 1.2 | ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและผูกพันเทียบกับงบประมาณ (น้ำหนักร้อยละ 7) |
(2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (33%)
ตัวชี้วัดที่ 2.1 | ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงานต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน (น้ำหนักร้อยละ 16)
- แผนพลังงานทดแทน - แผนเพิ่มประสิทธิภาพ - แผนบริหารทางกลยุทธ์ |
ตัวชี้วัดที่ 2.2 | ร้อยละความสำเร็จของจำนวนโครงการที่ผูกพันและดำเนินงานได้ตามแผนภายในปีบัญชี 2551 ต่อจำนวนโครงการที่ผูกพันและมีแผนดำเนินงานภายในปีบัญชี 2551(น้ำหนักร้อยละ 17)
- แผนพลังงานทดแทน - แผนเพิ่มประสิทธิภาพ - แผนบริหารทางกลยุทธ์ |
(3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (15%)
ตัวชี้วัดที่ 3.1 | การสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประจำปีบัญชี 2551 (น้ำหนักร้อยละ 5) |
ตัวชี้วัดที่ 3.2 | การจัดทำแผนการปรับปรุงการให้บริการจากผลสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประจำปีบัญชี 2551 (น้ำหนักร้อยละ 10) |
(4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (37%)
ตัวชี้วัดที่ 4.1 | การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปีบัญชี 2550 (น้ำหนักร้อยละ 15) |
ตัวชี้วัดที่ 4.2 | การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (น้ำหนักร้อยละ 12) |
ตัวชี้วัดที่ 4.3 | การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2552 (น้ำหนักร้อยละ 10) |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้นำเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2551 (เอกสารประกอบวาระ 4.3) เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอต่อประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง ต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (มิถุนายน 2548-มิถุนายน 2553) โดยมีเป้าประสงค์ดังนี้
(1) ศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility) ทั้งด้านสถานภาพของระบบการปลูก การผลิตพืชน้ำมัน ที่มีศักยภาพในชุมชนภาคเหนือ
(2) ศึกษากระบวนการสกัดแปรรูปน้ำมันดิบของโรงงานขนาดพอเหมาะแก่ชุมชน เพื่อทำน้ำมันไบโอดีเซล ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม
(3) จัดทำศูนย์เรียนรู้ชุมชน (Farm model) ที่มีแบบจำลอง Process-based ของปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ เพื่อการปลูกและผลิตไบโอดีเซลครบวงจร
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการฯ ปีที่ 1 และอนุมัติเงินกองทุนฯ ในวงเงินรวม 40 ล้านบาท ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของโครงการฯ สำหรับปีที่ 2-5 โดยให้ มช. เสนอผลการดำเนินงานแต่ละปีให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ทราบและเห็นชอบก่อน สนพ. จะจัดสรรเงินดำเนินการปีที่ 3-5
3. ผลการดำเนินโครงการฯ ปีที่ 3
3.1 มช. ได้ดำเนินโครงการศึกษาวิจัยฯ ต่อเนื่องจากงานปีที่ 2 ที่ได้คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น และได้นำไปลงปลูกในแปลงวิจัยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 แห่ง รวม 386 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 350 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 36 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% การควบคุมวิธีการให้น้ำทั้ง 2 แห่ง ด้วยระบบชลประทานน้ำหยด การคลุมด้วยวัสดุต่างๆ ปริมาณการให้น้ำ ระยะเวลาการให้น้ำ ที่เหมาะสม การจัดการปุ๋ย ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย ฟอสเฟต ปุ๋ยคอก และการตัดแต่งกิ่ง วิจัยผลกระทบต่อปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ ที่เกิดจากการจัดการวัชพืชด้วยวิธีต่างๆ วิธีปลูกพืชแซมที่ไม่กระทบต่อปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ
3.2 ในปีที่ 3 ได้เก็บข้อมูลวิจัยการเจริญเติบโตปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ ในแปลงวิจัยทั้ง 2 แห่ง
1) สบู่ดำ อายุ 31 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2551) เจริญเติบโตได้ดี มีการให้ผลผลิตของสบู่ดำในปีที่ 2 เฉลี่ย 357 กิโลกรัม/ไร่ โดยพันธุ์ชัยภูมิให้ผลผลิตมากที่สุด คือ 430.71 กิโลกรัม/ไร่/ปี ส่วนสบู่ดำพันธุ์สตูล ให้ผลผลิตน้อยที่สุด คือ 281.95 กิโลกรัม/ไร่/ปี โดยสรุปกรรมวิธีที่ให้ผลผลิตสูงที่สุด คือการใช้ระยะปลูก 3x3 เมตร ให้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 10 กก./ไร่ ผสมกับ ขี้วัว ในอัตรา 500 กก./ ไร่ ฤดูแล้งให้น้ำในอัตรา 20 ลิตร/ต้น ทุก 14 วัน และงดให้น้ำในฤดูฝน ทำการตัดแต่งกิ่ง 1 ครั้งหลังปลูกได้ความสูง 25 เซนติเมตร สำหรับผลปีที่ 3 จะทราบผลในรายงานความก้าวหน้าครั้งต่อไป
แหล่งที่มาของพันธุ์ | ผลผลิตสบู่ดำปีที่ 1 (กก./ไร่/ปี) |
ผลผลิตสบู่ดำปีที่ 2 (กก./ไร่/ปี) |
สตูล | 187.43 | 281.95 |
กำแพงแสน | 182.96 | 300.01 |
กาญจนบุรี | 185.65 | 360.09 |
ปราจีนบุรี | 181.36 | 360.32 |
ชัยภูมิ | 218.96 | 430.71 |
ตากฟ้า | 230.45 | 409.32 |
นอกจากนั้นได้พัฒนานำผลพลอยได้ที่ได้จากสบู่ดำมาใช้ประโยชน์ ประกอบด้วย การนำเปลือกและเนื้อลำต้นสบู่ดำ เปลือกผลสบู่ดำ กากเมล็ดสบู่ดำหลังการสกัดน้ำมัน นำไปอัดแท่งสำหรับเป็นเชื้อเพลิง พบว่ามีค่าร้อน 4,000 kcal/kg ซึ่งสูงกว่าค่าความร้อนของแกลบ และได้ทดลองนำลำต้นและกิ่งของสบู่ดำหลังการตัดแต่งกิ่งไปผลิตเป็นกระดาษจากต้นสบู่ดำ นอกจากนี้ยังได้นำกากสบู่ดำไปผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ สำหรับใช้ในแปลงวิจัยต่อไป
2) ปาล์มน้ำมัน อายุ 31 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2551) เจริญเติบโตดี มีความสูงเฉลี่ย 398.14 เซนติเมตร จำนวนทางใบเฉลี่ย 47 ทางใบ การให้ดอกของปาล์มน้ำมัน พบว่า ปาล์มน้ำมันพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 ให้ดอกมากที่สุด มีจำนวนต้นที่ให้ดอกสูงสุด 322 ต้น คิดเป็นร้อยละ 63 ของจำนวนต้นทั้งหมด และ ปาล์มน้ำมันพันธุ์สุราษฎร์ธานี 1 มีการให้ดอกต่อต้นสูงที่สุด 1.95 ดอกต่อต้นที่ให้ดอก โดยจะทราบว่าปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตหรือไม่ ต้องรอให้ปาล์มน้ำมันมีอายุประมาณ 36 เดือน หรือประมาณเดือนพฤศจิกายน 2551
พันธุ์ | จำนวนต้น ทั้งหมด |
จำนวนต้น ที่ให้ดอก |
จำนวนดอกเพศผู้ | จำนวนดอกเพศเมีย | จำนวนดอกรวม | จำนวนดอกต่อต้น |
สุราษฎร์ธานี1 | 481 | 176 (37%) | 267 | 76 | 343 | 1.95 |
สุราษฎร์ธานี2 | 508 | 322 (63%) | 336 | 152 | 488 | 1.52 |
ไนจีเรีย | 354 | 209 (59%) | 175 | 139 | 314 | 1.50 |
เดลี่ ลาเม่ | 422 | 152 (36%) | 69 | 85 | 154 | 1.01 |
3.3 มช. ได้ศึกษาออกแบบพัฒนาเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำ เครื่องหีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก และเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาด 300 ลิตรต่อครั้ง ดังนี้
1) พัฒนาออกแบบเครื่องกะเทาะเปลือกผลสบู่ดำ อัตรากำลังการผลิต 600 กิโลกรัมสบู่ดำสด/ชั่วโมง ใช้แรงงานคนหมุนล้อกำลัง ที่ราคา 15,000 บาทต่อเครื่อง
2) พัฒนาออกแบบเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำแบบสกรู ขนาด 5-6 กิโลกรัมต่อชั่วโมง หีบน้ำมันได้ไม่ต่ำกว่า 31% ของเมล็ดสบู่ดำ ที่ราคา 65,000 บาทต่อเครื่อง
3) พัฒนาออกแบบเครื่องหีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก กำลังการผลิต 50 กิโลกรัมผลปาล์มสดต่อชั่วโมง หีบน้ำมันปาล์มดิบได้ 19-20% ของทลายปาล์มสด ที่ราคา 300,000 บาทต่อเครื่อง ในเบื้องต้นประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องสกัดน้ำมันปาล์ม ยังไม่สมบูรณ์ดี เนื่องจากอาจมีการคำนวณรอบของสกรูน้อยเกินไป ทำให้จำนวนรอบการหีบน้ำมันค่อนข้างช้า จึงต้องทำการปรับแก้ไข โดยผลการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องหีบน้ำมันปาล์มจะรายงานผลในรายงานความก้าวหน้าครั้งต่อไป
4) ร่วมกับกรมอู่ทหารเรือพัฒนาออกแบบ และสร้างเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาด 300 ลิตรต่อครั้ง (ผลิต 3 ครั้งต่อวัน) สามารถผลิตไบโอดีเซลได้จาก น้ำมันพืชใช้แล้ว สบู่ดำ และปาล์มน้ำมัน ที่ราคา 500,000 บาทต่อเครื่อง
3.4 มช. ได้ศึกษาการพัฒนาการเพิ่มผลผลิตสบู่ดำ โดยใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม โดยได้ติดต่อกับมหาวิทยาลัยภายในประเทศไทย 5 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยสุรนารี และต่างประเทศจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ 1.University of Hawaii at Manoa 2.University of Harper-Adam,England 3.University of Hohenheim,Germany เพื่อขอความร่วมมือทางด้านวิชาการด้านการใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมในการเพิ่มผลผลิตสบู่ดำ พบว่า สำหรับหน่วยงานภายในประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานใดที่จะตกลงความร่วมมือดำเนินงานวิจัยร่วมกับโครงการฯ ทั้งนี้ เนื่องจากแต่ละสถาบันยังมีข้อมูลไม่เพียงพอ โดยให้เหตุผลในทางเดียวกันว่าการพัฒนางานวิจัยดังกล่าวจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี จึงจะได้คำตอบในเบื้องต้น ประกอบกับต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง ในการตรวจหาสายพันธุ์ DNA ที่เป็นสายพันธุ์เด่นและให้ผลผลิตสูงของสบู่ดำ รวมทั้งต้องศึกษาเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเรื่องเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม ดังนั้นจึงต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินวิจัยนานพอสมควรและสำหรับสถาบันในต่างประเทศ ทั้ง 3 แห่งที่ได้แจ้งไว้ข้างต้น พบว่า University of Hawaii at Manoa ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ทำการคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำจากแปลงวิจัยที่ให้ผลผลิตสูง เพื่อใช้ในงานพัฒนาการเพิ่มผลผลิตสบู่ดำ โดยอาศัยเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมต่อไป
4. แผนการดำเนินงาน ปีที่ 4
แผนงานส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องการศึกษาวิจัยการเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมัน และต้นสบู่ดำ ทั้งในแปลงวิจัย และแปลงสาธิต โดยในปีที่ 3 จะเป็นปีที่ต้นปาล์มน้ำมันในแปลงวิจัยครบรอบของการให้ผลผลิตในครั้งแรก ซึ่งจะทราบโอกาสและความเป็นไปได้ของการปลูกปาล์มในภาคเหนือ และจะเริ่มพัฒนาสายพันธุ์สบู่ดำด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรม (GMO) ร่วมกับ University of Hawaii at Manoa เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ด้วย โดย มช. ประมาณการรายจ่ายสำหรับปีที่ 4 ในวงเงิน 11,886,000 บาท ดังรายละเอียดแผนงานและค่าใช้จ่ายของโครงการฯ โดยสรุปขอบเขตงานได้ดังนี้
4.1 งานด้านเกษตรกรรม
(1) ดำเนินการวิจัย เก็บข้อมูล และวิเคราะห์ผลการเจริญเติบโตปาล์มและสบู่ดำต่อเนื่องจากปีที่ 3 ประกอบด้วย การเปรียบเทียบสายพันธุ์และเทคโนโลยีการปลูก ด้วยการจัดการชลประทาน การจัดการปุ๋ย การจัดการวัชพืช ที่แตกต่างกัน ของปาล์มน้ำมันและสบู่ดำ
(2) พัฒนาสายพันธุ์สบู่ดำให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น โดยใช้เทคโนโลยี และการพัฒนาระบบเขตกรรม
(3) พัฒนาสายพันธุ์ด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ เพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมันในเมล็ดสบู่ดำ และพัฒนาให้สบู่ดำให้ผลผลิตพร้อมกัน
(4) พัฒนาเทคนิคการบังคับการออกดอก และการผสมเกสรปาล์มน้ำมันที่เหมาะสมในสวนปาล์มน้ำมันเขตพื้นที่ภาคเหนือ
4.2 งานด้านวิศวกรรม
(1) จัดทำโรงงานผลิตไบโอดีเซลจากปาล์มน้ำมันและสบู่ดำต้นแบบ ซึ่งจะเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ชุมชนและเกษตรกรจะเข้ามาเรียนรู้ได้อย่างครบวงจร
(2) ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องหีบน้ำมันปาล์ม และสาธิตใช้งานในเครื่องยนต์การเกษตร
(3) พัฒนาระบบการใช้ประโยชน์จากกลีเซอรีน
4.3 งานด้านเศรษฐกิจ สังคมและ สารสนเทศ (ICT)
(1) เก็บและจัดทำข้อมูลด้านสภาพแวดล้อม การเจริญเติบโต และการให้ผลผลิตพืช ต่อเนื่องจากปีที่ 2 เพื่อทำแบบจำลอง Process-based ตลอดจนการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ และสังคม
(2) จัดตั้งศูนย์ให้บริการแนะนำส่งเสริมและแก้ปัญหาการปลูกปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ ในสวนครบวงจร
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 3 ตามที่ มช. เสนอมา
2. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ในปีที่ 4 ตามแผนงานที่เสนอมา ในวงเงินรวม 11,886,000 บาท (สิบเอ็ดล้านแปดแสนแปดหมื่นหกพันบาทถ้วน) โดยใช้เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ปีงบประมาณ 2550 โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจร ในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติไว้แล้ว
ประธานฯ ได้เสนอขอให้ถอนการพิจารณาวาระดังกล่าวออกไปก่อน เพื่อพิจารณารายละเอียดอีกครั้ง
เรื่องที่ 9 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาและอนุมัติไว้ รวมจำนวน 95 โครงการ โดยตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินฯ ตามข้อ 1.3 (2) หมวด 3 ข้อ 24 กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาเหตุผลและรายละเอียดที่เจ้าของโครงการฯ ทั้ง 95 โครงการ ได้แจ้งขอเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยจำแนกเรื่องที่ขอเปลี่ยนแปลงออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
2.1 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 49 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้กับ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จำนวน 36 ข้อเสนอ และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จำนวน 13 ข้อเสนอ โดยคู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรได้ส่งงาน/รายงานตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว แต่การตรวจรับงานของ พพ. และ สนพ. พบว่าผลงานยังไม่สมบูรณ์ตามข้อตกลง เช่น ขาดรายละเอียด ขาดข้อมูลหรือเอกสารอ้างอิง ขาดประเด็นสำคัญ ฯลฯ และให้คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรเงินนั้น ดำเนินการให้รายงานฉบับนั้นๆ ซึ่งการปรับปรุงรายงานได้ใช้เวลาระยะหนึ่ง ที่ส่งผลให้เลยกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาหรือหนังสือยืนยันการรับทุน พพ. และ สนพ. จึงได้เสนอขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ
การปฏิบัติข้างต้น เป็นการดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 16 ที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายเงินกองทุนไว้ "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ กรณีผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นๆ ให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ ต่อไปได้ ภายในสาม (3) เดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา"
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขยายเวลาของทั้ง 49 ข้อเสนอดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 49 ข้อเสนอดังกล่าว ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายแต่ละรายการ ได้ตามที่เสนอมา โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายออกไปได้อีก 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติ
2.2 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการฯ จำนวน 27 ข้อเสนอ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้กับ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) จำนวน 4 ข้อเสนอ และกับ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จำนวน 23 ข้อเสนอ (เป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก จำนวน 5 ข้อเสนอ เป็นทุนวิจัยในระดับอุดมศึกษา 11 ข้อเสนอ เป็นโครงการวิจัยพัฒนา 11 ข้อเสนอ) แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น ต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ การรอเวลาเพื่อนำผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ทั้งในและต่างประเทศ การทำงานวิจัยแล้วผลการทดลองมีความคลาดเคลื่อนไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จำเป็น ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ผลการทดลองเพิ่มเติม เป็นต้น
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขยายเวลาของทั้ง 27 ข้อเสนอดังกล่าว เห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ได้รับทุน และการเปลี่ยนแปลงแต่ละรายการไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 27 ข้อเสนอดังกล่าว ขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
2.3 ขอเปลี่ยนแปลง รายละเอียดโครงการ จำนวน 19 ข้อเสนอ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของการบริหารของโครงการ บางโครงการมีลักษณะเป็นการร่วมทุน เมื่อเศรษฐกิจมีความชะลอตัว โครงการจึงต้องหาผู้เข้าร่วมโครงการรายใหม่ จำเป็นต้องขอเปลี่ยนตัวผู้ร่วมทุน และขยายเวลาโครงการ หรือบางโครงการก็มีผู้เข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมจากที่เคยเสนอกองทุนฯ ไว้ เป็นต้น
ความเห็นของฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของทั้ง 19 ข้อเสนอดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ได้รับทุน และการเปลี่ยนแปลงแต่ละรายการไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 19 ข้อเสนอดังกล่าว ขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 2.1 ข้อ 2.2 และ 2.3 รวม 95 โครงการ (ตามรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.6) ขยายระยะเวลาดำเนินงาน และปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณามอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจในการอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการจัดสรรเงินกองทุนให้แก่กิจการ แผนงาน หรือโครงการได้เท่าที่ไม่เกินจากวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนจัดสรรให้ แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 34 วรรค 2
กอ. ครั้งที่ 39 - วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2547
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2547 (ครั้งที่ 39)
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2547 เวลา 14.00 น.
ณ ห้อง 603 อาคาร 7 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
4. รายงานผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2538-2547
5. สรุปประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
10. ขอรับการสนับสนุนโครงการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศเก่าในอาคารของรัฐเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานประจำไตรมาสที่ 4 ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ถึง 30 กันยายน 2547 ว่ามีเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 เป็นจำนวนเงิน 9,856.20 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรับรองเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาเพื่อโปรดทราบ รวม 2 ฉบับ คือ รายงานงบการเงินประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 และ 2544 และ รายงานงบการเงินประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 และ 2545
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุม ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 38) เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2547 ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้แก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ในหมวด 1 เรื่อง การรับเงินกองทุน เพื่อให้กองทุนฯ สามารถนำเงินจำนวนหนึ่งให้ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์กรมหาชน)" กู้ในอัตราดอกเบี้ยไม่ต่ำกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยลงได้ และขณะเดียวกันกองทุนฯ ก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ในการแก้ไขระเบียบดังกล่าว จะต้องขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังด้วย
2. กรมบัญชีกลาง ได้นำเรื่องดังกล่าวหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และได้รับแจ้งผลการพิจารณาสรุปได้ว่า กระทรวงการคลังในฐานะผู้เก็บรักษาเงินหรือทรัพย์สินของกองทุนฯ ไม่มีอำนาจนำเงินกองทุนฯ ออกให้ "สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน" กู้ยืม เนื่องจากการใช้จ่ายเงินดังกล่าวไม่ได้อยู่ในขอบเขตตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 2535 ด้วยเหตุผลดังกล่าว กระทรวงการคลังจึงไม่สามารถให้ความเห็นชอบระเบียบดังกล่าวได้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2538-2547
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการดำเนินตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2538-2547 ว่าได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ไปรวมทั้งสิ้น 23,776 บาท แบ่งเป็นงบลงทุน 16,778 ล้านบาท ค่าพัฒนาบุคลากร 2,054 ล้านบาท ค่าประชาสัมพันธ์ 1,701 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ 3,243 ล้านบาท ผลงานโดยรวมเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเกิดผลลดความต้องการพลังไฟฟ้าลง 883 MW ทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 5,447 ล้านหน่วยต่อปี ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง 430 ล้านลิตรน้ำมันดิบต่อปี คิดเป็นความสามารถในการอนุรักษ์พลังงาน 20,891 ล้านบาท/ปี สรุปได้ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานตามแผนงานภาคบังคับ
1.1 กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) มีแผนงานที่จะดำเนินการให้โรงงานและอาคารที่เข้าข่ายควบคุม มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2538-2547 พพ. ได้ประมาณการงบลงทุนในอาคารของรัฐ อาคารควบคุม โรงงานควบคุม และโรงงาน/อาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ในวงเงินรวม 34,033 ล้านบาท เพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีเป้าหมายที่จะลดความต้องการพลังไฟฟ้าลง 626 MW ทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 2,540 ล้านหน่วยต่อปี ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง 391 ล้านลิตรน้ำมันดิบต่อปี หรือคิดเป็นความสามารถในการอนุรักษ์พลังงาน 7,719 ล้านบาท/ปี โดย พพ. มีค่าบริหารจัดการตามแผนงานฯ ตลอดระยะเวลา 10 ปี ในวงเงิน 3,432 ล้านบาท
1.2 เมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 พพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ไปรวมทั้งสิ้น 10,541 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนให้กับอาคาร/โรงงาน 8,476 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ 2,064 ล้านบาท มีผลงานไม่ถึงเป้าหมาย ที่กำหนดไว้ โดยเกิดผลลดความต้องการพลังไฟฟ้าลง 232 MW ทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 656.11 ล้านหน่วยต่อปี ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง 48.48 ล้านลิตรน้ำมันดิบต่อปี คิดเป็นความสามารถในการอนุรักษ์พลังงาน 1,809.46 ล้านบาท/ปี
2. ผลการดำเนินงานตามแผนงานภาคความร่วมมือ
2.1 สนพ. มีแผนงานที่จะส่งเสริมและร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน ที่จะมีผลทำให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อย มาใช้อย่างแพร่หลาย โดยในช่วงปี 2538-2547 สนพ. ได้ประมาณการงบลงทุนในส่วนแผนงานภาคความร่วมมือไว้ในวงเงินรวม 9,203 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายจะลดความต้องการพลังไฟฟ้าลง 29 MW ทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 4,482 ล้านหน่วยต่อปี ทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง 93 ล้านลิตรน้ำมันดิบต่อปี คิดเป็นความสามารถในการอนุรักษ์พลังงาน 5,151 ล้านบาท/ปี โดย สนพ. มีค่าบริหารจัดการตามแผนงานภาคความร่วมมือ (รวมถึงการบริหารแผนงานสนับสนุนภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร และโครงการประชาสัมพันธ์ด้วย) ตลอดระยะเวลา 10 ปี ในวงเงินรวม 1,285 ล้านบาท
2.2 เมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 สนพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ไปรวมทั้งสิ้น 9,474 ล้านบาท แบ่งเป็นงบส่งเสริมและร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน รวม 304 โครงการ (เฉพาะเจ้าของโครงการไม่รวมเอกชนผู้เข้าร่วมโครงการ) รวมเป็นเงิน 8,302 ล้านบาท และค่าบริหารจัดการฯ 1,172 ล้านบาท โดยก่อให้เกิดผลงานลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ โดยสามารถทดแทนพลังงานไฟฟ้าได้ 4,791 ล้านหน่วย/ปี คิดเป็นเงิน 13,945 ล้านบาท/ปี และทดแทนเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ คิดเป็นเงิน 5,137 ล้านบาท/ปี นอกจากนี้ยังสามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าได้ 651 MW โดยผลจากการดำเนินงานตามแผนดังกล่าวก่อให้เกิดผลงานลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 19,082 ล้านบาท/ปี
3. ผลการดำเนินงานตามแผนงานสนับสนุน
3.1 โครงการพัฒนาบุคลากร
สนพ. มีแผนงานที่จะสนับสนุนบุคลากรของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงบุคคลทั่วไป ให้มีความรู้ มีความเข้าใจ ด้านพลังงาน มีการพัฒนาทักษะเพิ่มขีดความสามารถ ก่อเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาพลังงานของประเทศ โดยในช่วงปี 2538-2547 สนพ. ได้ประมาณการงบพัฒนา บุคลากรของประเทศไว้ ในวงเงินรวม 3,012 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ พพ. จะนำไปจัดทำคู่มือและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของโรงงาน/อาคาร 440 ล้านบาท และ สนพ. จะนำงบส่วนที่เหลือ 2,572 ล้านบาท ไปสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ เพื่อพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน โดยครอบคลุมตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงอุดมศึกษา รวม 3 หลักสูตร และช่วยสนับสนุนเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ให้กับบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานหมุนเวียน ด้วยการฝึกอบรม สัมมนาและการดูงานทั้งในและต่างประเทศ และยังมีเป้าหมายในการช่วยส่งเสริมการสร้างทรัพยากรบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้านพลังงานให้มีวุฒิการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรี โท และ เอก ประมาณ 45 ทุนต่อปี โดยเมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 สนพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้โครงการพัฒนาบุคลากร ไปรวมทั้งสิ้น 2,054 ล้านบาท
3.2 โครงการประชาสัมพันธ์
(1) สนพ. มีแผนงานที่จะประชาสัมพันธ์ไปที่สาธารณชนทั่วไป ให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมในแผนอนุรักษ์พลังงาน ด้วยการรณรงค์ ปลูกจิตสำนึก ถ่ายทอดความรู้ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงาน ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อให้ทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการอนุรักษ์พลังงานเกิดการใช้อย่างรู้คุณค่า และเห็นถึงความสำคัญที่รัฐพยายามที่จะส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วงปี 2538-2547 สนพ. ได้ประมาณการที่จะใช้เงินกองทุนฯ สำหรับการทำประชาสัมพันธ์ไว้ 1,431 ล้านบาท โดยกำหนดเป็นปีแห่งบ้านประหยัดพลังงาน ปีสนับสนุนการใช้อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง ปีแห่งการรณรงค์ประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง ปีแห่ง Reuse และ Recycle และปีแห่งการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ติดฉลากประหยัดพลังงาน
โดยเมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 สนพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งสิ้น 1,409 ล้านบาท
(2) พพ. มีแผนงานที่จะประชาสัมพันธ์ไปที่กลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับแผนอนุรักษ์พลังงานโดยตรง ได้แก่ เจ้าของและผู้รับผิดชอบด้านพลังงานของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ผู้ผลิตอุปกรณ์ เครื่องจักรและวัสดุที่ใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน จัดประกวดองค์กรดีเด่นด้านการอนุรักษ์พลังงาน และการจัดสัมมนาต่างๆ เพื่อให้เกิดจิตสำนึกในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในโรงงานและอาคาร โดยในช่วงปี 2538-2547 พพ. ได้ประมาณการที่จะใช้เงินกองทุนฯ สำหรับการทำประชาสัมพันธ์ไว้ 840 ล้านบาท
โดยเมื่อสิ้นสุดแผนฯ ในปี 2547 พพ. ได้ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้โครงการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งสิ้น 257 ล้านบาท นอกจากนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการประชาสัมพันธ์ด้วย โดยใช้เงินจากกองทุนฯ 35 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และเห็นชอบผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2538-2547
เรื่องที่ 5 สรุปประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า สนพ. ได้ว่าจ้าง "บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด" ทำการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547 สำหรับผลการประเมินแผนอนุรักษ์พลังงานครั้งล่าสุด คือในช่วงปีงบประมาณ 2543-2544 ที่คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้มอบหมายให้กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา คือ บริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด และบริษัท แม็กซิม ยูนิกรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ดำเนินการนั้น โดยใช้วิธีวิเคราะห์เชิงระบบตามรูปแบบของ CIPPA MODEL และเป็นแบบ Bottom-up Evaluation with Objective Benchmarking มีผลสรุปที่เป็นประเด็นสำคัญและนำไปสู่การปรับกระบวนทัศน์ของแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2538-2554 ดังนี้
(1) อาคาร/โรงงาน และอาคารของรัฐ ควรเกิดผล โดยมีข้อมูลมาตรฐานในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าการลงทุน
(2) พลังงานหมุนเวียน ควรได้รับการสนับสนุนการวิจัยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตพลังงาน
(3) ขนส่ง อุตสาหกรรม ควรเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญ
(4) ฐานข้อมูล ควรจัดทำขึ้น เพื่อพัฒนาพลังงานแต่ละสาขา
(5) การพัฒนาพลังงาน เลือกที่มีศักยภาพสูงและพร้อมใช้งานจริง เป็นลำดับแรก
(5) มาตรฐานประสิทธิภาพขั้นต่ำสำหรับอุปกรณ์ที่ใช้งาน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งกำหนด
(6) มาตรฐานการประหยัดพลังงาน ควรเร่งศึกษาและมีห้องทดสอบ และเร่งรัดการใช้ฉลากประหยัดพลังงานเป็นมาตรฐานเดียว
(7) เร่งรัดงานวิจัยสนับสนุนการผลิตเครื่องมือ/อุปกรณ์ภายในประเทศ โดยรัฐอุดหนุนบางส่วนเพื่อลดต้นทุนการผลิต สร้างแรงจูงใจทั้งด้านการผลิตและการใช้พลังงาน
(8) จัดทำดัชนี Energy Intensity ทั้งระดับภาพรวมของประเทศและระดับรายภาคเศรษฐกิจ
2. กระบวนการดำเนินงานโดยรวม ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลกระทบค่อนข้างดี แต่ประสิทธิผลด้านการทดแทนเชื้อเพลิงและลดใช้พลังงานค่อนข้างต่ำ โดยมีแนวทางการปรับปรุงแผนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
(1) ปรับแนวทางดำเนินงานโดยเน้นผลลัพธ์มากกว่าขั้นตอนกระบวนการ
(2) ให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมทั้งด้านปฏิบัติงาน สนับสนุน ส่งเสริมโดยรัฐเป็นผู้ชี้นำผลักดัน
(3) กำหนดประเภทโครงการที่จะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ
(4) ผลักดันให้เกิดธุรกิจด้านอนุรักษ์พลังงานอย่างครบวงจร
(5) พัฒนาบุคลากรในทุกระดับให้พอกับความต้องการของแผนงาน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบผลการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2545-2547
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา กรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 เนื่องจากแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ซึ่งดำเนินการมาในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ตามที่ กพช. ได้เห็นชอบไว้เมื่อเดือนกันยายน 2542 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2547 โดยสรุปได้ดังนี้
1. หลักการและเหตุผล : การจัดทำเป้าหมายและกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 มีหลักการดังนี้
1.1 กำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล (ด้านพลังงาน) ที่ต้องการให้การใช้พลังงานของประเทศได้มีการพัฒนาการใช้โดยมีประสิทธิภาพ สมดุลกับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ และลดการพึ่งพาแหล่งพลังงานจากต่างประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบเป้าหมายและยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานของประเทศตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ โดยในปี 2550 กำหนดเป้าหมายที่จะควบคุมสัดส่วนความต้องการใช้พลังงานต่อรายได้ประชาชาติ (GDP) ให้ลดลง จาก 1.4 : 1 เหลือ 1 : 1 และในปี 2554 จะพัฒนาพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น จากร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8
1.2 การจัดทำกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 เป็นการประมาณการภาพรวมของภาระงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ระยะ 3-7 ปี มีลักษณะเป็น Rolling Plan ปรับแผนงาน/โครงการและประมาณการรายจ่ายทุกปี เนื่องจากอาจมีการเปลี่ยนแปลงในปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบาย/ยุทธศาสตร์ใหม่ที่รัฐบาลกำหนด สภาพการณ์ทาง เศรษฐกิจและสังคม ผลการดำเนินงาน เป็นต้น แผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ประกอบด้วย 3 แผนงาน และมีลำดับความสำคัญดังนี้
แผนงาน | งาน |
1. แผนพลังงานทดแทน 50% | 1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค 70% 1.2 งานส่งเสริมและสาธิต 20% 1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ 10% |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพ 35% การใช้พลังงาน |
2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค 30% 2.2 งานส่งเสริมและสาธิต 50% 2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ 20% |
3. แผนงานบริหาร 15% ทางกลยุทธ์ |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ 33% 3.2 งานบริหารจัดการ 33% 3.3 งานอื่นๆ 34% |
1.3 เนื่องจาก ได้มีการจัดตั้ง "กระทรวงพลังงาน" ขึ้น ในเดือนตุลาคม 2545 ดังนั้น เพื่อให้ "กระทรวงพลังงาน" ได้มีบทบาทในการบริหารงานกองทุนฯ จึงเสนอขอยกเลิก "คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" และขอตั้ง "คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน มีบทบาทในการตัดสินใจระดับนโยบายและให้คำแนะนำที่จะช่วยให้การบริหารจัดการแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นไปตามทิศทางที่สอดคล้องกับนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานให้ดียิ่งขึ้น มีการวางแผนและการจัดลำดับความสำคัญของงาน/โครงการภายใต้เป้าหมายยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยรายงานผลเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นรายไตรมาส
2. เป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2548-2554
2.1 เป้าหมาย
(1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ณ ปี 2554 จาก 91,877 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เหลือ 81,523 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือลดการใช้พลังงานโดยไม่เกิดประโยชน์ได้ประมาณ 12.7 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 10,354 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ
(2) พัฒนาพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น โดย ณ ปี 2554 จะมีการใช้พลังงานอื่นๆ ในสัดส่วน 9.2% ของความต้องการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย หรือทดแทนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประมาณ 7,530 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ
2.2 องค์ประกอบของแผนอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย 3 แผนงาน
(1) แผนพลังงานทดแทน เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษา วิจัยพัฒนา และส่งเสริมเพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม บ้านอยู่อาศัย ได้แก่ แสงอาทิตย์ น้ำ ลม ชีวมวล ชีวภาพ เอทานอล ไบโอดีเซล เซลล์เชื้อเพลิง ฯลฯ
งานสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานด้านพลังงานทดแทน ได้แก่ การประชุมเชิงวิชาการ สัมมนา ฝึกอบรม ดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก
งานเผยแพร่ข้อมูล สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อรู้จักพลังงานทดแทนและสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐ
(2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษา วิจัยพัฒนา และส่งเสริมเพื่อก่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรม ธุรกิจ บริการ เกษตรกรรม และภาคบ้านอยู่อาศัย
งานสร้างและพัฒนาศักยภาพของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้แก่ การประชุมเชิงวิชาการ สัมมนา ฝึกอบรม ดูงาน ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการให้ทุนการศึกษาระดับปริญญาตรี โท เอก
งานสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อให้มีการใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่า
(3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ เป็นแผนงานเกี่ยวกับ
งานศึกษาวิจัยเชิงนโยบายเพื่อเป็นข้อเสนอแนะ ทางเลือก หรือภาพรวมของสถานการณ์ที่ผสมผสานทั้งมิติด้าน การผลิตและการใช้พลังงาน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สำหรับใช้ประกอบการตัดสินใจพัฒนาแผนพลังงานทดแทน หรือแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ให้เหมาะสม ทันต่อสถานการณ์ เป็นเครื่องมือนำทางสำหรับจัดลำดับความสำคัญของงานและการจัดสรรงบประมาณ
งานด้านบริหารเพื่อจัดการให้แผนอนุรักษ์พลังงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
งานช่วยเหลือส่งเสริมการดำเนินงานอื่นๆ เป็นเรื่องเฉพาะกิจ ที่สำคัญหรือมีความเร่งด่วน
2.3 หลักเกณฑ์ แนวทาง เงื่อนไข และการจัดลำดับความสำคัญของแผนอนุรักษ์พลังงาน
(1) หลักเกณฑ์สนับสนุน
ผู้มีสิทธิที่จะได้รับการสนับสนุน เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ สถาบันการศึกษาหรือองค์กรเอกชนที่ไม่มุ่งค้ากำไร ตามเจตนาของ พรบ.ฯ มาตรา 25 และ 26
การสนับสนุนค่าใช้จ่าย
เป็นเงินช่วยเหลือให้เปล่าเพื่อการศึกษา วิจัย พัฒนา หรือการสาธิตขนาดเล็ก
เป็นเงินสนับสนุนงานวิจัยพัฒนาให้กับหน่วยงานรัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ในลักษณะร่วมทุน (Co-Funding หรือ Venture Funding) ในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ จะกำหนดข้อตกลงในสิทธิการแบ่งผลประโยชน์ที่เกิดจากผลงานวิจัย
เป็นเงินอุดหนุนภาระดอกเบี้ยจากการลงทุน สำหรับ "ผู้ร่วมโครงการ" เพื่อให้ผลตอบแทนทางการเงิน (Financial Internal Rate of Return, FIRR) ของแต่ละมาตรการเพิ่มขึ้นจนเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำสุดสำหรับลูกค้ารายย่อยของธนาคารกรุงไทย (Minimum Retail Rate, MRR ของธนาคารกรุงไทย เฉลี่ยในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา) + 5%
(2) แนวทางและเงื่อนไข
สนพ. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจะจัดทำเป้าหมายและรายละเอียดแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อแสดงภาพให้เห็นถึงภาระงานในอนาคต 3-7 ปีข้างหน้า ทั้งแผนพลังงานทดแทน แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ พร้อมแสดงตัวเลขประมาณการรายจ่ายล่วงหน้าของแต่ละแผนงาน ภายใต้งบประมาณที่มีจำกัดในวงเงินที่คณะกรรมการบริหารฯ (กบอ.) เห็นสมควร
กบอ. จะพิจารณาความเหมาะสม ความสำคัญ และอนุมัติงบประมาณสำหรับปีเดียว ซึ่งจะต้องมีการปรับประมาณการรายจ่ายล่วงหน้าทุกปี เมื่อเริ่มต้นจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีถัดไป โดยสามารถตัดสินใจเพิ่มหรือลดวงเงินงบประมาณในแต่ละปีให้สอดคล้องกับเป้าหมาย
หน่วยงานที่รับจัดสรรเงินไปจากกองทุนฯ จะทำสัญญาหรือหนังสือยืนยันกับ สนพ. เพื่อเป็นข้อผูกพันที่จะดำเนินงานให้ได้ผลตามเป้าหมายที่ กบอ. กำหนด และ สนพ. มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหากหน่วยงานนั้นไม่สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย
กรณีที่แผนงานใดเปิดโอกาสให้ผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือ หรืออุดหนุน ตามมาตรา 25 ที่ พรบ. กำหนดไว้ สามารถยื่นคำร้องขอการสนับสนุนได้ และอยู่ในกรอบแผนงานที่ กบอ. กำหนด มอบให้หัวหน้าหน่วยงานที่รับจัดสรรเงินนั้นเป็นผู้พิจารณาในวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท และมอบให้คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนฯ เป็นผู้พิจารณาในวงเงินเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท และมอบให้ กบอ. เป็นผู้พิจารณาในวงเงินเกิน 50 ล้านบาท ขึ้นไป รวมถึงงาน/โครงการที่ไม่อยู่ในกรอบแผนงานที่กำหนดไว้ด้วย
กรณีที่ผู้มีสิทธิรับเงินช่วยเหลือ หรืออุดหนุน ตามมาตรา 25 ยื่นคำร้องขอสนับสนุนซึ่งไม่อยู่ในกรอบที่ กบอ. กำหนดไว้ ให้ สนพ. พิจารณาให้ความเห็นและเสนอ กบอ. พิจารณาเป็นรายๆ
สนพ. ติดตามผลการดำเนินงานของโครงการ และรายงาน กพช. กทอ. และ กบอ. เป็นประจำทุกไตรมาส
2.4 ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน
การดำเนินงานให้สำเร็จลงตามเป้าหมายและกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 คาดว่าอาจต้องใช้เงินลงทุนเกือบ 133,488 ล้านบาท (ร้อยละ 98 เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมวลชน) โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานอาจต้องช่วยเหลือสนับสนุนด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งจากการประมาณการรายรับของกองทุนฯ ในอนาคต คาดว่าจะมีรายรับประมาณ 2,000-2,800 ล้านบาท/ปี และจากสถิติการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ที่ผ่านมา อยู่ในวงเงินเฉลี่ยประมาณ 1,300-1,700 ล้านบาท/ปี เมื่อนำมาเป็นพื้นฐานการจัดทำงบประมาณรายจ่ายของกองทุนฯ ล่วงหน้าแต่ละปี ในระยะเวลา 7 ปี โดยพิจารณาจากประมาณการรายได้ ประมาณการภาระหนี้ และด้วยนโยบายงบประมาณเกินดุล จึงสรุปแนวทางจัดสรรเงินกองทุนฯ และกรอบการใช้เงินจากกองทุนฯ ตามลำดับความสำคัญดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ปีงบประมาณ | 2548 | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 9,856 | 7,064 | 6,536 | 6,261 | 6,774 | 9,467 | 10,818 | 9,856 |
2. ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 2,089 | 2,293 | 2,269 | 2,354 | 2,501 | 2,652 | 2,811 | 16,970 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืนจาก พพ. | - | - | - | - | 2,000 | - | - | 2,000 |
รวมรับ | 11,945 | 9,357 | 8,805 | 8,615 | 11,275 | 12,119 | 13,629 | 28,826 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 3,581 | 1,521 | 1,244 | 541 | 509 | - | - | 7,397 |
4.2 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 1,300 | 9,100 |
รวมจ่าย | 4,881 | 2,821 | 2,544 | 1,841 | 1,809 | 1,300 | 1,300 | 16,497 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 7,064 | 6,536 | 6,261 | 6,774 | 9,467 | 10,818 | 12,329 | 12,329 |
ประมาณการรายจ่าย 1,300 ล้านบาทต่อปี ตามข้อ 2.4 ประกอบด้วย (: ล้านบาท) | |
(1) แผนพลังงานทดแทน 50% | 650 |
1) งานศึกษาวิจัยเชิงเทคนิคและวิชาการ 70% | |
(เชื้อเพลิงชีวภาพ แสงอาทิตย์ ลม น้ำ ชีวมวล ก๊าซชีวภาพ และอื่นๆ) | |
2) งานพัฒนาและสาธิตเทคโนโลยี 20% | |
3) งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ 10% | |
(2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 35% | 455 |
1) งานศึกษาวิจัยเชิงเทคนิคและวิชาการ 30% | |
(ขนส่ง อุตสาหกรรม บ้านอยู่อาศัย และอื่นๆ) | |
2) งานพัฒนาและสาธิตเทคโนโลยี 50% | |
3) งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ 20% | |
(3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ 15% | 195 |
1) งานศึกษาเชิงนโยบายและกลยุทธ์ 33% | |
2) งานบริหารจัดการ 33% | |
3) งานอื่นๆ 33% |
2.5 สรุปผลที่คาดว่าจะได้รับ
(1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ณ ปี 2554 จาก 91,877 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ เหลือ 81,523 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือลดการใช้พลังงานโดยไม่เกิดประโยชน์ได้ประมาณ 12.7 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 10,354 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จำแนกเป็นภาคคมนาคมขนส่ง 21% ภาคอุตสาหกรรม 9% ภาคบ้านอยู่อาศัย 4%
(2) พัฒนาพลังงานทดแทนให้มีสัดส่วนการใช้เพิ่มขึ้น โดย ณ ปี 2554 จะมีการใช้พลังงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 9.2% ของความต้องการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย หรือทดแทนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประมาณ 7,530 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ จำแนกเป็น ภาคคมนาคมขนส่ง ภาคอุตสาหกรรมและบ้านอยู่อาศัย มีการใช้พลังงานทดแทน 8% 14% และ 2% ตามลำดับ โดยใช้ Biodiesel แทนน้ำมันดีเซล ใช้ Ethanol แทน Gasoline ใช้ชีวมวล น้ำท้ายเขื่อนชลประทาน แสงอาทิตย์ แรงลม และพลังงานทดแทนอื่นๆ ในการผลิตไฟฟ้า และทำความร้อน
(3) มีผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น 400 คน ช่วยเสริมการทำงานด้านพลังงาน มีการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านพลังงานในโรงเรียนระดับประถมและมัธยมทั่วประเทศ อย่างน้อย 30,000 โรงเรียน มีการพัฒนาหลักสูตรอุดมศึกษาที่ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมโดยมีเป้าหมายในการผลิตบุคลากรที่มีทักษะด้านพลังงานในภาคอุตสาหกรรม จำนวน 1,400 คน ผู้ชำนาญการด้านพลังงานสาขาต่างๆ ในระดับท้องถิ่นได้รับการพัฒนาทักษะ 500 คน
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2538-2547 และผลประเมินการดำเนินงานภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และรับทราบวงเงินของกองทุนฯ ที่เป็นภาระผูกพันต้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินกับโครงการฯ ตามสัญญาหรือหนังสือยืนยัน ในวงเงินรวมประมาณ 7,397 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งจะได้รับคืนเนื่องจากเป็นทุนหมุนเวียน 2,000 ล้านบาท โดยในส่วนเงินผูกพันภายใต้แผนงานภาคบังคับ ที่เป็นเงินลงทุนกับหน่วยงานภาครัฐและยังไม่ได้มีการลงทุนภายในระยะเวลาที่ พพ. กำหนด ที่ประชุมมีมติให้ยกเลิกการสนับสนุน
2. เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอตามข้อ 1 และ ข้อ 2 โดยให้มีผู้แทนภาคเอกชนร่วมอยู่ในคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ด้วย เพื่อเพิ่มบทบาทภาคเอกชนในการเสนอแนะแนวทางดำเนินงานอนุรักษ์พลังงาน
3. เห็นชอบการจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับใช้จ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) ภายในวงเงินรวม 28,826 ล้านบาท และให้คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ภายในวงเงินรวมดังกล่าว
4. เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับผู้ได้รับจัดสรรเงินไปแล้วภายใต้ แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน และยังมีภาระผูกพันตามสัญญาหรือหนังสือยืนยันที่กองทุนฯ ต้องดำเนินการเบิกจ่ายเงินกับโครงการฯ อยู่เป็นจำนวนมาก จึงให้ความเห็นชอบดังต่อไปนี้
ค. การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ให้ "คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบ สำหรับกรณีวงเงินต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้อยู่ในความเห็นชอบของผู้อำนวยการ สนพ. หรือ อธิบดี พพ. ตามประเภทโครงการ
ข. ให้อธิบดี พพ. เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงข้อเสนอ รวมถึงสามารถอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ ได้ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ทั้งนี้ จนกว่าโครงการนั้นจะเสร็จสมบูรณ์
ก. ให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้พิจารณาเห็นชอบการปรับปรุงข้อเสนอ รวมถึงอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือหรือแผนงานสนับสนุน ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง ทั้งนี้ จนกว่าโครงการนั้นจะเสร็จสมบูรณ์
- 5. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอแผนอนุรักษ์พลังงาน แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2548-2554) เสนอ กพช. เพื่อพิจารณา
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการบริหารงานตามกฎหมาย ให้ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย สนพ. พพ. และกรมบัญชีกลาง (บก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในระหว่างปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงินรวม 3,024.15 ล้านบาท ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
หมวดรายจ่าย | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม |
สนพ. | ||||||
- ค่าจ้างชั่วคราว | 2.63 | 3.54 | 4.09 | 4.01 | 4.48 | 18.75 |
- ตอบแทนใช้สอย วัสดุ | 10.54 | 8.64 | 13.34 | 10.82 | 18.14 | 61.48 |
- ค่าสาธารณูปโภค | 2.42 | 2.07 | 2.98 | 2.50 | 2.00 | 11.97 |
- ค่าครุภัณฑ์ | 6.13 | 7.42 | 5.10 | 3.10 | 2.44 | 24.19 |
- รายจ่ายอื่น | 90.33 | 121.74 | 124.30 | 78.43 | 126.88 | 541.68 |
รวมงบจัดสรร-สนพ. | 112.05 | 143.41 | 149.81 | 98.86 | 153.94 | 658.07 |
รวมรายจ่ายจริง-สนพ. | 101.57 | 123.89 | 83.81 | 69.13 | 81.80 | 460.20 |
พพ. | ||||||
- ค่าจ้างชั่วคราว | 21.04 | 23.86 | 24.62 | 25.55 | 25.44 | 120.51 |
- ตอบแทนใช้สอย วัสดุ | 23.85 | 29.15 | 25.71 | 28.93 | 35.51 | 143.15 |
- ค่าสาธารณูปโภค | 5.24 | 5.37 | 5.90 | 7.75 | 8.10 | 32.36 |
- ค่าครุภัณฑ์ | 20.80 | 18.40 | 16.45 | 24.61 | 22.53 | 102.79 |
- รายจ่ายอื่น | 413.18 | 481.85 | 332.85 | 324.20 | 411.52 | 1,963.60 |
รวมงบจัดสรร-พพ. | 484.11 | 558.63 | 405.53 | 411.04 | 503.10 | 2,362.41 |
รวมรายจ่ายจริง-พพ. | 409.08 | 369.51 | 257.95 | 271.77 | 343.52 | 1,651.83 |
บก. | ||||||
- ค่าจ้างชั่วคราว | 0.46 | 0.46 | 0.41 | 0.49 | 0.33 | 2.15 |
- ตอบแทนใช้สอย วัสดุ | 0.16 | 0.18 | 0.42 | 0.15 | 0.14 | 1.05 |
- ค่าครุภัณฑ์ | 0.12 | - | 0.14 | - | 0.21 | 0.47 |
รวมงบจัดสรร-บก. | 0.74 | 0.64 | 0.97 | 0.64 | 0.68 | 3.67 |
รวมรายจ่ายจริง-บก. | 0.61 | 0.51 | 0.67 | 0.61 | 0.57 | 2.97 |
รวมงบจัดสรรทั้งสิ้น | 596.90 | 702.68 | 556.31 | 510.54 | 657.72 | 3,024.15 |
รวมรายจ่ายจริงทั้งสิ้น | 511.26 | 493.91 | 342.43 | 341.51 | 425.89 | 2,115.00 |
2. สนพ. และ บก. ได้จัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2548 เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 62,568,020 บาท สรุปได้ดังนี้
หน่วย : บาท
หมวดรายจ่าย | สนพ. | บก. | รวม | ร้อยละ |
1. ค่าจ้างชั่วคราว | 4,481,400 | 552,600 | 5,034,000 | 8% |
2. ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 11,581,390 | 340,630 | 11,922,020 | 19% |
3. ค่าสาธารณูปโภค | 920,000 | - | 920,000 | 1% |
4. ค่าครุภัณฑ์ | 1,754,000 | 300,000 | 2,054,000 | 3% |
5. รายจ่ายอื่น | 40,638,000 | 2,000,000 | 42,638,000 | 68% |
รวม | 59,374,790 | 3,193,230 | 62,568,020 | 100% |
ร้อยละ | 95% | 5% | 100% |
3. พพ. ได้จัดทำงบค่าใช้จ่ายในการบริหารงานปีงบประมาณ 2548 ทั้งในส่วนกลางและสำนักงานเขต 12 เขตในภูมิภาค เรียบร้อยแล้ว รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 55 ล้านบาท
หมายเหตุ
(1) ให้ สนพ. บก. สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้
(2) รายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวด
ไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท
ส่วนของ สนพ. และ บก. ให้เสนอผู้อำนวยการ สนพ. พิจารณาอนุมัติ
ส่วนของ พพ. ให้เสนออธิบดี พพ. พิจารณาอนุมัติ
เกินรายการละ 10 ล้านบาท แต่ไม่เกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการบริหารฯ พิจารณาอนุมัติ
เกินรายการละ 50 ล้านบาท ขึ้นไป ให้เสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2548 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ของ สนพ. ในวงเงิน 59,374,790 บาท (ห้าสิบเก้าล้านสามแสนเจ็ดหมื่นสี่พันเจ็ดร้อยเก้าสิบบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจาก งานบริหารกองทุน แผนงานบริหารทางกลยุทธ์
2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2548 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ของ บก. ในวงเงิน 3,193,230 บาท (สามล้านหนึ่งแสนเก้าหมื่นสามพันสองร้อยสามสิบบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจาก งานบริหารกองทุน แผนงานบริหารทางกลยุทธ์
3. อนุมัติงบค่าใช้จ่ายในการบริหารงานปีงบประมาณ 2548 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานจัดการของ พพ. ในวงเงิน 55,000,000 บาท (ห้าสิบห้าล้านบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจาก งานบริหารแผนงาน แผนพลังงานทดแทน ในวงเงิน 32,500,000 บาท (สามสิบสองล้านห้าแสนบาทถ้วน) และเบิกจ่ายจาก งานบริหารแผนงาน แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ในวงเงิน 22,500,000 บาท (ยี่สิบสองล้านห้าแสนบาทถ้วน)
โดยให้ทั้ง 3 หน่วยงาน สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ได้ตามที่เสนอมาในข้อ 2 และข้อ 3 ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 โดยให้เบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ ได้ ภายหลังที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2548-2554 แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า พพ. ได้ยื่นข้อเสนอ "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" เพื่อขอรับสนับสนุนทุนวิจัยจากกองทุนฯ ในวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อการวิจัยเชิงประยุกต์ของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ Vanadium Redox Flow เทคโนโลยีการเก็บสำรองพลังงานไฟฟ้าด้วยเซลล์ไฟฟ้าเคมี ที่บริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเอกชนของไทยเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคด้านเทคนิคและต้นทุน การยอมรับจากผู้ใช้ และแนวทางพัฒนาในเชิงพาณิชย์และการผลิตในระบบอุตสาหกรรมต่อไป โดยทำงานวิจัยภายในเวลา 1 ปี 2 เดือน และแบ่งออก เป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่
(1) งานวิจัยพัฒนาการสร้างแบตเตอรี่ขนาด 1-3 kW 3-10 kW 30 kW และ 100 kW และสร้างระบบลดกำลังไฟฟ้าสูงสุดขนาด 100 kw ที่จัดเก็บและจ่ายไฟฟ้าจากระบบสายส่งได้ 100 kw-1 ชม. พร้อมทั้งทดสอบติดตั้งใช้งานจริงในอาคารมหานครยิปซั่ม ที่ตั้งของบริษัทเซลเลนเนียม กทม. (ขอรับการสนับสนุน 100% ในวงเงิน 60 ล้านบาท)
(2) งานวิจัยพัฒนาและสร้างเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท ที่ทำงานร่วมกับ Vanadium Electrolyte ขนาด 100 W ที่เปลี่ยนน้ำตาลสำเร็จรูป (refined suger) เป็นไฟฟ้าโดยตรง โดยประสิทธิภาพที่ 40% เพื่อศึกษาขบวนการทำงาน ปัญหาอุปสรรค สำหรับการพัฒนาขั้นต่อไป (ขอรับการสนับสนุน 100% ในวงเงิน 65 ล้านบาท)
(3) งานวิจัยพัฒนาและสร้างแบตเตอรี่ขนาด 10 kW พร้อมระบบ Inductionless inverter ที่เป็นนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า inverter มาตรฐาน รับไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ที่ความถี่ที่แตกต่างกันได้ และจ่ายไฟฟ้าออกจากแบตเตอรี่ที่ความถี่คงที่ 50 Hz นำระบบดังกล่าวติดตั้งทดสอบใช้งานกับเครื่องยนต์ดีเซลผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (5 kW) เพื่อแสดงการปรับปรุงประสิทธิภาพและทดสอบการใช้งานที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี วิทยาเขตบางขุนเทียน (ขอรับการสนับสนุน 50% ในวงเงิน 20 ล้านบาท) เริ่มโครงการหลังจากพัฒนาแบตเตอรี่ขนาด 30 kW ในโครงการ (1) เรียบร้อยแล้ว
(4) งานวิจัยพัฒนาและสร้างแบตเตอรี่ขนาด 30 kW ทดสอบใช้งานกับรถประจำทางไฟฟ้าผสมผสานที่พัฒนาไว้เดิมแล้ว โดยกรมควบคุมมลพิษ ใช้ในเขต กทม. คาดว่าสามารถวิ่งได้ที่ความเร็วสูงถึง 60 กม./ชม. และระยะทางที่วิ่งได้ต่อครั้งของการประจุไฟฟ้าให้เป็นแบตเตอรี่คือ 100 กม. (ขอรับการสนับสนุน 50% ในวงเงิน 30 ล้านบาท) เริ่มโครงการหลังจากพัฒนาแบตเตอรี่ ขนาด 30 kW ในโครงการ (1) เรียบร้อยแล้ว
โดย พพ. จะร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (MTEC) และผู้ชำนาญการจากสถาบันการศึกษาในประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง ทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการวิจัย (โดยมีค่าใช้จ่ายในการติดตามผลที่จะขอสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 30 ล้านบาท) ทั้งนี้ ผลประโยชน์ที่เกิดจากการพัฒนาการวิจัยภายใต้โครงการดังกล่าวที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ จะได้สิทธิประโยชน์ จากบริษัทเซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด ในรูปของสัดส่วนหุ้นคืนกลับสู่กองทุนฯ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ต่อไป ดังนี้
ได้รับหุ้น 4.7% ของบริษัท เซลเลนเนียม (ประเทศไทย) จำกัด
ได้รับหุ้น 5% ของบริษัท เซลเลนเนียม USA
ได้รับหุ้น 3% ของบริษัท สคเวอเร็ล โฮลดิ้งส์
2. ผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมวิเคราะห์โครงการฯ เพื่อให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์สำหรับใช้ประกอบการพิจารณาให้การสนับสนุนโครงการนี้ ประกอบด้วย ศ.ดร.นักสิทธิ์ คูวัฒนาชัย จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย ศ.ดร.ถิรพัฒน์ วิลัยทอง จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ดร.วเรศ วีระสัย จากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีการประชุมพิจารณาโครงการฯ รวม 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547 และวันที่ 15 กันยายน 2547 สรุปว่า เห็นควรสนับสนุนโครงการ โดย พพ. ควรปรับรายละเอียดข้อเสนอโครงการฯ ให้ชัดเจนดังนี้
(1) ปรับปรุงโครงการย่อยที่ (2) จากงานวิจัยพื้นฐานการสร้างเซลล์เชื้อเพลิงที่ทำงานร่วมกับ Vanadium Electrolyte ขนาด 100 W ให้เป็นงานวิจัยต่อเนื่องไปจนถึงงานวิจัยเชิงประยุกต์ และนำไปสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์ รวมทั้งเพิ่ม Literature Review State of Arts Propose Design ผู้ทำการวิจัย และ Track Record ของ ผู้ทำการวิจัยด้วย
(2) ควรให้มีการใช้บุคลากรภายในประเทศให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดองค์ความรู้และพัฒนาบุคลากรในเทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศ
(3) ควรเพิ่มส่วนการประเมินผลภาพรวมของโครงการแยกจากส่วนการติดตามตรวจสอบและประเมินผลเดิม โดยให้ สนพ. จ้างผู้ประเมินภาพรวมดังกล่าว ในวงเงิน 5 ล้านบาท
3. คณะอนุกรรมการฯ ได้ประชุมพิจารณาโครงการฯ รวม 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2547 และเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2547 และมีมติเห็นชอบให้การสนับสนุน "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ตามที่ พพ. เสนอในวงเงินรวม 200,000,000 บาท และ เห็นชอบให้ สนพ. จ้างผู้ประเมินภาพรวมโครงการฯ ในวงเงิน 5 ล้านบาท รวมถึงรับทราบแนวทางการจัดการผลประโยชน์ที่ได้จากบริษัทฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ รายงาน ดังนี้
(1) กองทุนฯ สามารถรับผลประโยชน์/ทรัพย์สินจากเอกชนได้ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 มาตรา 24 (5)
(2) กองทุนฯ สามารถรับบริจาคทรัพย์สินในรูปหุ้นได้ในกรณีที่มีการชำระมูลค่าเต็มแล้ว (หุ้นบริจาคเป็นหุ้นที่มีการชำระมูลค่าหุ้นแล้ว) โดยการบริจาคทรัพย์สินดังกล่าวต้องบริจาคให้กับกระทรวงการคลัง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) โดยแยกบัญชีไว้เป็นการเฉพาะ และควรมีการทำสัญญา Share holder agreement ด้วยว่าบริษัทฯ จะไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากกระทรวงการคลัง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) ในฐานะผู้ถือหุ้นส่วนที่บริจาคแต่อย่างใด ในกรณีที่บริษัทฯ เกิดความเสียหาย
(3) การบริหารจัดการผลประโยชน์ที่ได้จากบริษัทฯ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 28 ได้มีการกำหนดอำนาจหน้าที่ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ตามข้อ (10) จะอนุโลมใช้เกี่ยวกับการบริหารจัดการผลประโยชน์/ทรัพย์สินที่กองทุนรับเข้ามาไว้ได้ ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ สามารถเสนอมอบอำนาจให้มีผู้ดูแลบริหารจัดการได้โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง เช่น สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เป็นต้น อย่างไรก็ดีตามประเด็นดังกล่าวข้างต้นนี้ยังไม่ชัดเจน เห็นควรให้ พพ. หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ชัดเจน
(4) การมอบหุ้นให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (กระทรวงการคลัง) นั้น ควรเป็นการบริจาคหุ้นโดยสมัครใจแบบไม่มีเงื่อนไข ไม่ใช่เป็นไปในลักษณะของการบริจาคตามเงื่อนไขของกองทุนที่ให้เงินสนับสนุนดำเนินโครงการ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการติดตามประเมินโครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ในวงเงินรวม 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) ดังรายละเอียดและขอบเขตงานจ้างที่ปรึกษาที่เสนอมา โดย สนพ. สามารถปรับรายละเอียดและขอบเขตงานจ้างที่ปรึกษาให้เหมาะสมมากขึ้นได้ โดยเบิกจ่ายจาก "งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค แผนพลังงานทดแทน"
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ในวงเงินรวม 200,000,000 บาท (สองร้อยล้านบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจาก "งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค แผนพลังงานทดแทน" และมีเงื่อนไขให้ พพ. ดำเนินการตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิ คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีความเห็นไว้
3. ให้การอนุมัติตามข้อ 1 และ 2 มีผลบังคับใช้เมื่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2548-2554 แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการประชุม ครั้งที่ 5/2546 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2546 ได้พิจารณาเรื่องการขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ของบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท ซึ่งที่ประชุมได้มีมติดังนี้
(1) เห็นชอบให้ สนพ. ประสานงานกับบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อขอหลักฐานและรายละเอียดการใช้จ่ายเงินเพิ่มเติม และเจรจาต่อรองกับบริษัทฯ ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายที่จะขอรับจากกองทุนฯ ตามข้อเสนอแนะของกรรมการกองทุนฯ แล้วส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุในการจ้างบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ
(2) เห็นชอบให้ สนพ. อาศัยข้อกำหนดแห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 "... ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ในการดำเนินการจัดจ้าง และการจ่ายเงินค่าจัดจ้างให้บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545
2. สนพ. ได้มีหนังสือถึงบริษัทฯ เพื่อขอหลักฐานเอกสารเพิ่มเติมประกอบการพิจารณาเบิกจ่ายเงินในการจัดกิจกรรมต่างๆ บนถนนสีลมในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 และมีหนังสือถึงการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เพื่อขอข้อมูลรายละเอียดกิจกรรมและค่าใช้จ่ายที่เบิกจ่ายให้กับบริษัทฯ ในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ธันวาคม 2545 เพื่อนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบ ดูความเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่บริษัทฯ แจ้งขอรับการสนับสนุน ซึ่งผลการตรวจสอบพบว่า ค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมใกล้เคียงกัน ดังนี้
(1) กิจกรรมปกติ มีค่าใช้จ่ายตามใบแจ้งหนี้ของบริษัทฯ โดยเฉลี่ยสัปดาห์ละ 502,365 บาท สูงกว่า ค่าใช้จ่ายที่ ททท. จ่ายให้บริษัทเฉลี่ยสัปดาห์ละ 487,524 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.95
(2) กิจกรรมพิเศษ มีค่าใช้จ่ายตามใบแจ้งหนี้ของบริษัทฯ เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2,381,565 บาท ต่ำกว่า ค่าใช้จ่ายที่ ททท. จ่ายให้บริษัทเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2,436,390 บาท คิดเป็นร้อยละ 2.25
สนพ. มีความเห็นว่า ค่าใช้จ่ายตามใบแจ้งหนี้ที่บริษัทฯ ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม จะมีความแตกต่างกันบ้างขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยของการจัดกิจกรรมในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งก็จะไม่แตกต่างกันมากนัก
3. สนพ. ได้มีหนังสือถึง นายประสาน หวังรัตนปราณี ที่ปรึกษาของอดีตรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) เพื่อขอความเห็นและคำรับรองการดำเนินกิจกรรมของบริษัทฯ ในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 เนื่องจากเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในคณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลม และได้ตรวจสอบควบคุมดูแลการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมในทุกๆ สัปดาห์ ซึ่งได้ให้คำรับรองว่ามีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เป็นประจำทุกสัปดาห์จริง
4. สนพ. ได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอความเห็นชอบยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษในการจัดจ้างและจ่ายเงินให้บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ และให้ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัท เป็นหลักฐานในการจ่ายเงิน ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว เห็นชอบให้ สนพ. ดำเนินการได้ตามที่ขอ โดยให้ใช้หลักฐานการจ่ายเงินที่บริษัทฯ ได้ใช้จ่ายไปเพื่อการดำเนินกิจกรรมในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 ที่คณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลมได้รับรองรายการค่าใช้จ่ายเป็นหลักฐานประกอบใบแจ้งหนี้ที่บริษัทฯ ขอรับเงินจากกองทุนฯ
เนื่องจากคณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลมได้ถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2545 จึงไม่สามารถรับรองค่าใช้จ่ายตามความเห็นของกระทรวงการคลังได้ สนพ. จึงได้มีหนังสือถึงกระทรวงการคลังขอความเห็นชอบสำหรับการจ่ายเงินให้บริษัทฯ ตามจำนวนเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควรอนุมัติ และให้ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัทฯ และมติคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นหลักฐานในการจ่ายเงิน ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแล้วเห็นควรให้ สนพ. จัดให้มี การตรวจสอบรายการและหลักฐานการจ่ายเงินที่บริษัทฯ นำมาใช้ประกอบการขอรับเงิน ตามใบแจ้งหนี้บริษัทฯ ในวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณาอนุมัติ
5. บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการการพลังงาน และนายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือคณะกรรมาธิการการพลังงาน ที่พิเศษ/2547 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2547 ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ เชาว์วิศิษฐ) พิจารณาเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาการเบิกจ่ายเงินค่าดำเนินโครงการปิดถนนสีลมของบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพราะเป็นเรื่องภายในที่สามารถแก้ไขได้ไม่จำเป็นต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการ เพราะจะทำให้มีปัญหาบานปลายตามมามากมาย อาจจะเป็นผลเสียต่อภาครัฐ
รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ เชาว์วิศิษฐ) ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ดำเนินการ ซึ่ง รมว.พน. ได้สั่งการให้ สนพ. นำเรื่องดังกล่าวบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
6. สนพ. ได้พิจารณาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายที่บริษัทฯ แจ้งขอรับการสนับสนุนกับค่าใช้จ่ายที่ ททท. จ่ายให้บริษัทฯ ในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมแล้ว เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่ขอรับการสนับสนุนมีความเหมาะสม และกระทรวงการคลังก็ได้เห็นชอบให้ยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษ โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ โดยจำนวนเงินที่จะจ่ายให้บริษัทฯ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควรอนุมัติ และให้ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัทและมติคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นหลักฐานในการจ่ายเงินต่อไป
สนพ. จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติให้ สนพ. เบิกจ่ายเงินจาก "หมวดพัฒนาบุคลากรระยะสั้นในประเทศ" ปีงบประมาณ 2548 เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท (สิบสองล้านสามแสนสองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบแปดบาทสี่สตางค์) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด สำหรับเป็นค่าดำเนินกิจกรรม "โครงการปิดถนนสีลมเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและส่งเสริมการท่องเที่ยว" ในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ หมวดงานอื่นๆ ปีงบประมาณ 2548 ให้ สนพ. เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท (สิบสองล้านสามแสนสองหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเจ็ดสิบแปดบาทสี่สตางค์) เพื่อนำไปจ่ายให้กับบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นค่าดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 โดยยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีพิเศษ ในการจัดจ้างและจ่ายเงินให้บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ และให้ใช้หลักฐานการจ่ายเงินที่บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้ใช้จ่ายไปเพื่อการดำเนินกิจกรรมในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 เป็นหลักฐานประกอบใบแจ้งหนี้
เรื่องที่ 10 ขอรับการสนับสนุนโครงการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศเก่าในอาคารของรัฐเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าประธานกรรมการกองทุนฯ (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) ได้มีหนังสือ ที่ นร 0411/ลร6/16498 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ถึง สนพ. เพื่อเสนอโครงการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศเก่าในอาคารของรัฐเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ เป็นวงเงิน 25 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ความเป็นมา
ปัจจุบันเครื่องปรับอากาศเป็นอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในหน่วยงานต่างๆ ที่มีอัตราส่วนมากถึง 70-80% ของค่าไฟฟ้าของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งการใช้เครื่องปรับอากาศนับวันจะเพิ่มปริมาณขึ้นเนื่องจากภาวะอากาศของประเทศไทยที่ร้อนขึ้นเป็นลำดับ ปัจจุบันได้มีเทคโนโลยีของการควบคุมเครื่องปรับอากาศด้วยอินเวอร์เตอร์ที่สามารถประยุกต์ใช้กับเครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งใช้งานอยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถลดการใช้พลังงาน ไฟฟ้าลงได้ 30-40% จากการใช้งานปกติของเครื่องปรับอากาศ
2. เทคโนโลยีการควบคุมด้วยอินเวอร์เตอร์ของเครื่องปรับอากาศ
ระบบการควบคุมของเครื่องปรับอากาศที่ใช้ในปัจจุบันจะใช้การควบคุมแบบตัดต่อ (On-Off Control) ซึ่งจะต่อคอมเพรสเซอร์เมื่ออุณหภูมิห้องสูงกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ที่เทอร์โมสตัดและจะตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์เมื่ออุณหภูมิห้องต่ำกว่าอุณหภูมิที่ตั้งไว้ที่เทอร์โมสตัด การควบคุมโดยใช้เทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์จะเป็นการปรับอัตราการไหลของสารทำความเย็นให้เหมาะสมกับการระบายความร้อนของห้องตลอดเวลา โดยการควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์แทนการควบคุมแบบตัดต่อ ซึ่งวิธีการควบคุมความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์นี้จะสามารถปรับการใช้พลังงานไฟฟ้าลดลงเมื่อเทียบกับแบบเดิมที่ใช้การควบคุมแบบตัดต่อได้ถึง 30-40%
นอกจากนี้ระบบการควบคุมเครื่องปรับอากาศด้วยอินเวอร์เตอร์ยังสามารถควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำกว่าแบบใหม่นี้อยู่ในช่วงบวกลบ 0.2 องศา เมื่อเทียบกับระบบเดิมจะอยู่ในช่วงบวกลบ 2 องศา
3. การขอรับการสนับสนุนโครงการ
เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในเครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งแล้วอย่างเป็นธรรม ทางโครงการขอรับการสนับสนุนเป็นโครงการนำร่องในการปรับปรุงเครื่องปรับอากาศเก่าในอาคารของรัฐโดยจะขอติดตั้งกับอาคารของรัฐในส่วนราชการของศาลากลางจังหวัดทั้ง 4 ภาค จำนวน 7 จังหวัด และหน่วยงานกรมการพลังงานทหารกระทรวงกลาโหม เพื่อให้มีความหลากหลายกับสภาวะของอากาศในแต่ละภูมิภาคโดยแต่ละหน่วยงานมีเครื่องปรับอากาศ 200 เครื่อง อินเวอร์เตอร์ ราคาประมาณ 15,000 บาท/เครื่อง รวม 1,600 เครื่อง เป็นเงินทั้งสิ้น 24 ล้านบาท คาดว่าจะประหยัดพลังงานได้ 30% คิดเป็น 12,856,320 บาท/ปี
มติที่ประชุม
มอบหมายให้ พพ. ประสานงานกับบริษัทเพื่อทำการทดสอบเทคโนโลยีดังกล่าว และรายงานผลการประหยัดพลังงานให้กรรมการกองทุนฯ รับทราบ ต่อไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 16 - วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2552
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2552 (ครั้งที่ 16)
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2552 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552
2. รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 และ 2549 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
3. การบริหารงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550
4. ขอความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2552 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
5. แผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ปีที่ 2
6. เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2552
7. โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)
8. การขอปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
9. การขอขยายระยะเวลาการผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 สำหรับโครงการของ พพ.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
ประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า นายปิยะวัติ บุญ-หลง อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามหนังสือที่ นร 6809/0146/2552 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2552 และ กรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามหนังสือที่ นร 6809/0143/2552 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2552 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไป เนื่องจากจะครบกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
เรื่องที่ 1 รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552 ให้ที่ประชุมทราบว่า มีเงินคงเหลือ จำนวน 10,347,785,551.73 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1. เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 5,281,138,838.67 บาท
2. เงินโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง 5,066,646,713.06 บาท
รวมเป็นเงิน 10,347,785,551.73 บาท
ประกอบด้วย
1) เงินฝากธนาคารกรุงไทย - ออมทรัพย์ 10,271,891,211.73 บาท
2) เงินฝากธนาคารกสิกรไทย - ออมทรัพย์ 75,894,340.00 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบฐานะการเงินกองทุนฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 20 มีนาคม 2552 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
1. ระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 30 กำหนดให้กรมบัญชีกลางจัดทำรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนฯ และเงินคงเหลือบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นรายไตรมาส และส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อทราบ และให้จัดทำงบการเงินประจำปีให้ สตง.ตรวจสอบรับรอง แล้วรายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบต่อไป
2. กรมบัญชีกลางได้รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 และ 2549 โดย สตง. ซึ่งมีข้อเสนอแนะให้กองทุนฯ ดำเนินการ ดังนี้
2.1 ให้ สนพ. นำเงินสนับสนุนทุนการศึกษา ทุนวิจัย ทุนฝึกอบรม และเงินพัฒนาหลักสูตร สื่อการเรียนการสอน ที่เบิกจากกองทุนฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2543-2549 ที่ค้างอยู่ที่ สนพ. จำนวน 14,083,873.77 บาท ส่งคืนกองทุนฯ ในการนี้ สนพ. ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวแล้ว โดยจ่ายเงินให้แก่ผู้ได้รับสนับสนุนทุนไปแล้ว จำนวน 459,158.33 บาท และได้นำเงินส่งคืนกองทุนฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 จำนวน 13,624,715.44 บาท เรียบร้อยแล้ว
2.2 ให้ตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถดำเนินการตามแผนงานหรือการดำเนินงานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และหาแนวทางแก้ไข เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ บรรลุวัตถุประสงค์ตาม พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ข้อ 25 ในการนี้ สนพ. ได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะแล้ว โดยตรวจสอบและติดตามผู้ได้รับเงินทุนสนับสนุนในโครงการต่างๆ โดยให้เร่งเบิกจ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับการสนับสนุน และหากดำเนินการตามโครงการเสร็จสิ้น หรือมิได้ดำเนินการตามแผนงานที่กำหนดไว้ ให้นำเงินที่เหลือและดอกผลทั้งหมดส่งคืนกองทุนฯ
2.3 ให้เรียกเงินคืนจาก กทม. ในส่วนที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ และมิได้ดำเนินการตามแผนงานที่กำหนด ตามโครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 45,500,000 บาท พร้อมดอกผลนำส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว ในการนี้ สนพ. ได้เรียกเงินคืนพร้อมดอกผลจาก กทม. แล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนดำเนินการส่งเงินคืนกองทุนฯ
2.4 ให้ พพ. นำเงินค่าปรับจำนวน 1,149,457.80 บาท และเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2545-2549 ที่สถาบันการเงินส่งคืนรวมทั้งดอกเบี้ย ส่งคืนกองทุนฯ จำนวน 1,283,204,374.89 บาท ในการนี้ พพ. ได้ดำเนินการส่งคืนเงินรวมทั้งดอกเบี้ยจำนวนดังกล่าว เรียบร้อยแล้ว
2.5 ให้นำเสนอผลการตรวจสอบของ สตง. ให้คณะกรรมการกองทุนฯ รับทราบปัญหา อุปสรรค ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาสั่งการให้มีการปฏิบัติตามแผนงานที่กำหนด และให้การดำเนินงานโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ โดยถือปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 30 โดยเคร่งครัด
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 และ 2549 ของ สตง. และมีข้อสังเกตเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติสำหรับโครงการที่ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงาน และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ควรนำโครงการมาพิจารณาและทบทวนแผนการดำเนินงานและความเหมาะสมในการสนับสนุนทุนโครงการต่อไปหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อมิให้มีจำนวนเงินค้างจ่ายในบัญชีผู้เบิกเงินกองทุนฯ มากเกินความจำเป็น
เรื่องที่ 3 การบริหารงานตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550
1. พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2551 โดยมีมาตราที่เกี่ยวข้องกับงานบริหารกองทุนฯ ดังนี้
1.1 จัดตั้ง "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในกระทรวงพลังงาน เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และให้กระทรวงพลังงานเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนและดำเนินการเบิกจ่ายเงินกองทุนตาม พรบ.นี้
1.2 ให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในกระทรวงการคลัง ไปเป็นของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1.3 กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนฯ ขึ้น 1 คณะ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพลังงาน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม อธิบดีกรมบัญชีกลาง อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นายกสภาวิศวกร นายกสภาสถาปนิก และผู้ทรงคุณวุฒิ 7 ท่าน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ให้เป็นไปตามมาตรา 28 ใน พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535
1.4 ให้คณะกรรมการกองทุนมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนมอบหมาย
ในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการตามมาตรา 28 (2) คณะกรรมการกองทุนอาจมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการมีอำนาจในการอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการจัดสรรเงินกองทุนให้แก่กิจการ แผนงาน หรือโครงการได้เท่าที่ไม่เกินจากวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนจัดสรรให้ ทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการกองทุนกำหนด
2. ปัจจุบันการบริหารงานกองทุนฯ ประธานกรรมการได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการกองทุนฯ 2 คณะ คือ (1) คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามคำสั่ง ที่ 1/2548 ลงวันที่ 7 กันยายน 2548 ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองให้ความเห็นต่อแผนอนุรักษ์พลังงาน หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ และ (2) คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามคำสั่งที่ 1/2550 ลงวันที่ 16 มกราคม 2550 ทำหน้าที่ประเมินผลการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ
3. เพื่อให้การบริหารงานกองทุนฯ ของคณะอนุกรรมการ สอดคล้องกับมาตรา 34 แห่ง พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 และ พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 จึงควรเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ในการพิจารณาอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการจัดสรรเงินกองทุนให้แก่กิจการ แผนงาน หรือโครงการได้เท่าที่ไม่เกินจากวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบ/อนุมัติไว้แล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ในการพิจารณาอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงการจัดสรรเงินกองทุนให้แก่กิจการ แผนงาน หรือโครงการได้เท่าที่ไม่เกินจากวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบ/อนุมัติไว้แล้ว โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ ดำเนินการปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ และร่างคำสั่งคณะกรรมการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 4 ขอความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2552 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 ได้รับทราบแผนอนุรักษ์พลังงานและเป้าหมาย ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2554 ตามที่ กพช. เสนอ โดยมีเป้าหมายและการดำเนินการจะลดปริมาณการใช้พลังงานลง 7,820 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 10.8 ของความต้องการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศในปี 2554 และกำหนดเป้าหมายการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้แทนพลังงานเชิงพาณิชย์ 8,858 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 12.2 ของความต้องการใช้พลังงาน ในปี 2554
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ จำนวน 89,848,165,183 บาท เพื่อนำไปช่วยเหลือ อุดหนุน หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนดังกล่าว เป็นรายจ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 18,881 ล้านบาท และงบประมาณรอจ่ายสำหรับ โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง จำนวน 70,967 ล้านบาท โดยอนุมัติจำนวนเงินจำแนกตามแผนงานรายปี ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม 5 ปี |
1. แผนพลังงานทดแทน | 4,838 | 1,190 | 1,315 | 880 | 1,110 | 9,332 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 12,549 | 15,927 | 17,940 | 17,116 | 16,736 | 80,267 |
- ดำเนินการตามแผนอนุรักษ์ฯ | 5,838 | 2,356 | 428 | 351 | 328 | 9,300 |
- ลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง | 6,711 | 13,571 | 17,512 | 16,765 | 16,408 | 70,967 |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 249 | 249 | ||||
รวม (ล้านบาท) | 17,635 | 17,116 | 19,255 | 17,996 | 17,846 | 89,848 |
รวม (ล้านบาท) ไม่รวมขนส่ง | 10,924 | 3,545 | 1,743 | 1,231 | 1,438 | 18,881 |
3. ความคืบหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ในงาน/โครงการต่างๆ เป็นไปตามแผนฯ โดยงบประมาณปี 2551 จำนวน 10,924 ล้านบาท มีการเบิกจ่าย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 จำนวน 2,393 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22 และเป็นเงินส่งคืนกองทุนฯ จำนวน 924 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 โดยรายจ่ายผูกพันของงบประมาณปี 2551 จำนวน 7,607 ล้านบาท โดยสรุปผลการดำเนินงานได้ ดังนี้
(1) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงานภาคอุตสาหกรรม
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. การดำเนินการตาม พรบ. * | - | - | 25 | 50 | 100 | 211 |
2. การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี | 52 | 134 | 232 | 341 | 454 | 570 |
3. การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ | 75 | 200 | 300 | 400 | 500 | 600 |
4. ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ ESCO | 12 | 49 | 97 | 153 | 224 | 300 |
5. การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม | 47 | 100 | 200 | 300 | 400 | 551 |
6. การสาธิตเทคโนโลยีระดับสูง | - | 9 | 25 | 50 | 100 | 200 |
7. DSM Bidding+โรงแรม | 75 | 149 | 149 | 149 | 149 | |
8. นโยบาย CoGen | 311 | 358 | 406 | 500 | 608 | |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 186 | 878 | 1,387 | 1,849 | 2,427 | 3,190 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 2551 1,345 |
(2) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงาน ด้านการจัดการ
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. มาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้า | ||||||
กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) | 7 | 36 | 63 | 93 | 134 | 179 |
กำหนดมาตรฐานขั้นสูง (Labeling) | 70 | 77 | 81 | 100 | 120 | 158 |
2. มาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ความร้อน | ||||||
กำหนดมาตรฐานขั้นสูง เตา LPG | 3 | 6 | 8 | 11 | 14 | |
3. มาตรฐานสำหรับยานยนต์ | 4 | 8 | 40 | 100 | 140 | |
4. มาตรฐานสำหรับอาคาร | 1 | 1 | 1 | |||
5. ส่งเสริมการใช้งานอุปกรณ์ | 1 | 10 | 19 | 28 | ||
6. ส่งเสริมการใช้เตาถ่านประสิทธิภาพสูง | 6 | 17 | 28 | 46 | 68 | |
7. ส่งเสริม CFL | 2 | 17 | 31 | 46 | 46 | |
8. ส่งเสริม T5 | 18 | 56 | 148 | 260 | 408 | |
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
9. รณรงค์สร้างจิตสำนึก/ราชการ | 49 | 79 | 111 | 140 | 172 | 176 |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 126 | 225 | 360 | 599 | 908 | 1,217 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 2551 223 |
(3) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงาน ภาคขนส่ง
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน | 127 | 136 | 144 | 153 | 1,441 | 1,554 |
2. ปรับปรุงระบบจัดการจราจร | 25 | 34 | 45 | 60 | 80 | 106 |
3. ส่งเสริมธุรกิจ LOGISTIC DEPOTและ ICD | 100 | 100 | 450 | 800 | 1,150 | 1,450 |
4. สร้างเครือข่ายระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ | 155 | 167 | 180 | 180 | 180 | 180 |
5. นโยบาย ECO CAR | 0 | 0 | 0 | 26 | 66 | 123 |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 407 | 437 | 819 | 1,219 | 2,917 | 3,413 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 2551 | 445 |
(4) เป้าหมายและผลลดการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
ประเภท | ผล | เป้าหมาย | ผล | เป้าหมาย | ตามแผน 15 ปี | หน่วย |
ปี 2550 | ปี 2551 | ปี 2551 | ปี 2554 | ปี 2554* | ||
1. การผลิตไฟฟ้า | ||||||
(1) พลังงานแสงอาทิตย์ | 32 | 34 | 36 | 45 | 55 | MW |
(2) พลังงานลม | 0.96 | 16 | 3.1 | 115 | 150 | MW |
(3) พลังงานน้ำ | 50 | 59 | 66 | 156 | 165 | MW |
(4) พลังงานชีวมวล | 1,507 | 1,807 | 1,655 | 2,800 | 2,800 | MW |
(5) ขยะ | 4.25 | 14.3 | 4.25 | 100 | 60 | MW |
(6) ก๊าซชีวภาพ | 29.2 | 34.2 | 68.8 | 60 | 100 | MW |
2. การใช้ความร้อน | ||||||
(7) พลังงานชีวมวล | 2,345 | 2,645 | 2,406 | 3,660 | 3,544 | ktoe/ปี |
( 8)ก๊าซชีวภาพ | 79 | 140 | 144 | 370 | 540 | ktoe/ปี |
(9) พลังงานแสงอาทิตย์ | 0.3 | 0.9 | 0.3 | 5 | 17 | ktoe/ปี |
3. การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ | ||||||
(8) เอทานอล | 0.55 | 1.3 | 0.8 | 2.4 | 3 | ล้านลิตร/วัน |
(9) ไบโอดีเซล | 0.07 | 1.2 | 1.3 | 3 | 3 | ล้านลิตร/วัน |
4. กระทรวงพลังงาน มีการพิจารณาจัดสรรเงิน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2552 เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้มีงบประมาณสำหรับใช้จ่ายเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนสำหรับการลงทุน และดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานตาม มาตรา 25 แห่ง "พรบ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยมี "คณะทำงานพิจารณากลั่นกรองงบประมาณประจำปี 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ที่ประธานคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แต่งตั้ง ทำหน้าที่กลั่นกรองงบประมาณและแผนการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ที่จะขอจัดสรรจากกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2552 ซึ่งคณะทำงานฯ ได้ยึดตามภารกิจสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
(1) ภารกิจตามข้อกำหนดและกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(2) ภารกิจตามยุทธศาสตร์ระดับชาติ นโยบายรัฐบาล และกระทรวงพลังงาน
(3) ภารกิจตามเจตนารมณ์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554
คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อยแล้ว สรุปผลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ของกองทุนฯ เป็นจำนวนไม่เกิน 2,405,004,804 บาท โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็น 2 หน่วยงานผู้เบิกเงินกองทุนฯ คือ พพ. จำนวน 1,549,388,680 บาท และ สนพ. จำนวน 855,616,124 บาท ซึ่งสรุปงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 (จำแนกตามแผนอนุรักษ์พลังงาน) ได้ดังนี้
จำแนกตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | รวม | ร้อยละ | จำแนกตามหน่วยผู้เบิก (บาท) | |
พพ. | สนพ. | |||
1. แผนพลังงานทดแทน | 959,012,560.00 | 39.88% | 421,388,680.00 | 537,623,880.00 |
1.1 งานศึกษาวิจัยพัฒนา | 221,540,000.00 | 9% | 71,540,000.00 | 150,000,000.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 275,895,680.00 | 11% | 275,895,680.00 | - |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 435,276,880.00 | 18% | 47,653,000.00 | 387,623,880.00 |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 26,300,000.00 | 1% | 26,300,000.00 | - |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 1,329,700,000.00 | 55.29% | 1,128,000,000.00 | 201,700,000.00 |
2.1 งานศึกษาวิจัยพัฒนา | 93,500,000.00 | 4% | 58,500,000.00 | 35,000,000.00 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,011,500,000.00 | 42% | 1,011,500,000.00 | - |
2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 202,200,000.00 | 8% | 35,500,000.00 | 166,700,000.00 |
2.4 งานบริหารแผนงาน | 22,500,000.00 | 1% | 22,500,000.00 | |
3. แผนบริหารเชิงกลยุทธ์ | 116,292,244.00 | 5.22% | - | 116,292,244.00 |
3.1 งานศึกษาวิจัยเชิงนโยบาย | 15,000,000.00 | 1% | - | 15,000,000.00 |
3.2 งานบริหารแผนงาน | 101,292,244.00 | 4% | - | 101,292,244.00 |
รวมงบประมาณ กทอ. ปี 2552 | 2,405,004,804.00 | 100% | 1,549,388,680.00 | 855,616,124.00 |
เนื่องด้วย พพ. และ สนพ. มีงานบริหารเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานที่ต้องดำเนินงานต่อเนื่อง เช่น การเบิกจ่ายเงินให้หน่วยงาน โครงการ ตามข้อผูกพันสัญญาฯ การประสานหน่วยงาน โรงงาน อาคาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายอนุรักษ์พลังงาน การให้คำแนะนำกับประชาชนในเรื่องวิธีประหยัดพลังงาน ฯลฯ จึงมีรายจ่ายประจำที่จำเป็นเพื่อการบริหารงานที่เกิดขึ้นแล้ว เช่น ค่าจ้างพนักงานราชการ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปให้ความรู้ ความเข้าใจ การร่วมประชุมให้ความเห็น ค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเห็นชอบให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ของกองทุนฯ งานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551
มติที่ประชุม
เห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 จำนวน 2,405,004,804 บาท (สองพันสี่ร้อยห้าล้าน สี่พันแปดร้อยสี่บาทถ้วน) โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็น 2 หน่วยงานผู้เบิกเงินกองทุนฯ ดังนี้
(1) พพ. จำนวน 1,549,388,680 บาท (หนึ่งพันห้าร้อยสี่สิบเก้าล้านสามแสนแปดหมื่นแปดพันหกร้อยแปดสิบบาทถ้วน)
(2) สนพ. จำนวน 855,616,124 บาท (แปดร้อยห้าสิบห้าล้านหกแสนหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยยี่สิบสี่บาทถ้วน)
นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551 โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 5 แผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ปีที่ 2
1. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ได้พิจารณากรอบ แนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับดำเนินการตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในช่วง 3 ปีแรก พร้อมทั้งจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. จำนวน 250 ล้านบาท/ปี รวม 750 ล้านบาท เพื่อไว้ใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการตามแผนดังกล่าว และคณะกรรมการกองทุนฯ และ กพช. ได้รับทราบประมาณการรายจ่ายสำหรับกิจกรรมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งคาดว่าจะใช้จ่ายเงินประมาณ 450 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 1,350 ล้านบาท ประกอบด้วย 7 แผนงานดังนี้
แผนงาน | งบประมาณ (ล้านบาท) | ||
ปี 2551 | ปี 2552 | ปี 2553 | |
1. แผนงานด้านกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ | 30.0 | 30.0 | 30.0 |
2. แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ | 10.0 | 10.0 | 10.0 |
3. แผนงานด้านการถ่ายทอด พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ | 65.0 | 65.0 | 65.0 |
4. แผนงานด้านความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม | 30.0 | 30.0 | 30.0 |
5. แผนงานด้านการสื่อสารสาธารณะ และการยอมรับของประชาชน | 205.0 | 205.0 | 205.0 |
6. แผนงานด้านการการวางแผนการดำเนินการโครงการไฟฟ้านิวเคลียร์ | 85.0 | 85.0 | 85.0 |
7. การจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (NPPDO) | 25.0 | 25.0 | 25.0 |
รวมค่าใช้จ่ายรายปี | 450.0 | 450.0 | 450.0 |
รวมค่าใช้จ่ายรวม 3 ปี | 1,350.00 |
คณะกรรมการกองทุนฯ และ กพช. ได้เห็นชอบให้ สนพ. เพิ่มเติมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2551-2554) ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 และอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ สนพ. ในวงเงินประมาณ 250 ล้านบาท/ปี ไว้ใช้สำหรับช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับกิจกรรมตามแผนงานที่ 1-7 ที่มีความเร่งด่วนต้องเริ่มดำเนินการและมีกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรี
2. กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2550 ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะกรรมการประสานงานเพื่อเตรียมการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์" ขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางและ ให้ความเห็นชอบโครงการตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์รวมถึงกำกับดูแล ติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ
3. สำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (สพน.) ได้ขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ รวม 14 โครงการ ในวงเงินรวม 122,000,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานตามแผนงานปีที่ 2 โดยได้นำเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการประสานงานเพื่อเตรียมการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์แล้ว ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2552 ประกอบด้วย
โครงการ | งบประมาณ |
แผนงานด้านกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ | 10,000,000 |
1. โครงการศึกษา และปรับปรุงกฎหมายด้านความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ระดับสากล พันธกรณีทางนิวเคลียร์ต่างๆ เปรียบเทียบ กับกฎหมายไทยในปัจจุบัน | 10,000,000 |
แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ | 5,000,000 |
1. โครงการศึกษาและจัดทำแผนงาน ด้านโครงสร้างอุตสาหกรรม และการพาณิชย์ | 5,000,000 |
แผนงานด้านการถ่ายทอด พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ | 21,000,000 |
1. โครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มกฎหมายและการกำกับดูแล | 10,000,000 |
2. โครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ กลุ่มสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน | 11,000,000 |
แผนงานด้านความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม | 15,000,000 |
1. โครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและผลกระทบเชิงพื้นที่ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ | 5,000,000 |
2. โครงการจัดหาที่ปรึกษาเพื่อศึกษาแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อรองรับการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ | 10,000,000 |
แผนงานด้านการสื่อสารสาธารณะ และการยอมรับของประชาชน | 46,000,000 |
1. โครงการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ | 5,000,000 |
2. โครงการพัฒนาเว็ปไซด์เพื่อส่งเสริมการให้ความรู้ด้านพลังงานนิวเคลียร์ | 1,000,000 |
3. โครงการผลิตข่าวสารนิวเคลียร์ | 4,000,000 |
4. โครงการส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมสื่อมวลชนสัมพันธ์ กลุ่มรัฐกิจ ธุรกิจสัมพันธ์ และกลุ่มสตรี แม่บ้าน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านพลังงานนิวเคลียร์ | 8,000,000 |
5. โครงการจัดทำสื่อเพื่อการรณรงค์และเผยแพร่องค์ความรู้ความเข้าใจด้านพลังงานนิวเคลียร์ | 15,000,000 |
6. โครงการสร้างความรู้ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมประชาชน โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ปีที่ 2 | 3,000,000 |
7. โครงการส่งเสริมและสนับสนุน การเผยแพร่ความรู้ด้านพลังงาน นิวเคลียร์ร่วมกับองค์กรเอกชน และองค์กรสาธารณะต่างๆ | 10,000,000 |
การจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (NPPDO) | 25,000,000 |
1 โครงการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ปีที่ 2 | 25,000,000 |
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2552 ให้ สำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 122,000,000 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการภายใต้แผนงาน "โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์" โดยใช้เงินส่วนที่ สนพ. ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550
เรื่องที่ 6 เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2552
1. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 มีมติอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ ถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณ ที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามผลการดำเนินการ และกรมบัญชีกลางเริ่มใช้ระบบประเมินผลทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2547 โดยกองทุนฯ เป็นทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานตั้งแต่ ปีบัญชี 2549
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประชุมเพื่อหารือระหว่างผู้ถูกประเมิน (กองทุนฯ) กับผู้ประเมิน คือ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) เพื่อจัดทำร่างเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552 และตัวชี้วัดที่จะต้องทำการประเมินที่เหมาะสม ถูกต้อง ตามสภาพความเป็นจริงของการดำเนินงานตามแผนการอนุรักษ์พลังงาน
3. กรมบัญชีกลาง ได้มีหนังสือเรื่อง "การลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552" เพื่อให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานฯ และส่งคืนกรมบัญชีกลางภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือเวียนถึง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผล การดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน)" โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน เพื่อขอความเห็นชอบร่างเกณฑ์การประเมินผลฯ แล้ว และมีมติเห็นชอบร่างเกณฑ์การประเมินผลฯ ตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 โดยจะประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน 4 ด้าน 10 ตัวชี้วัด สรุปได้ ดังนี้
1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (ร้อยละ 15)
ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ (ร้อยละ 10)
ตัวชี้วัดที่ 1.2 ค่าใช้จ่ายบริหารที่เกิดขึ้นจริงและผูกพันเทียบกับงบประมาณ (ร้อยละ 5)
2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (ร้อยละ 33)
ตัวชี้วัดที่ 2.1 ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงานต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน (ร้อยละ 16)
- แผนพลังงานทดแทน
- แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- แผนบริหารทางกลยุทธ์
ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละความสำเร็จของจำนวนโครงการที่ผูกพันและดำเนินงานได้ตามแผนภายในปีบัญชี 2552 ต่อจำนวนโครงการที่ผูกพันและมีแผนดำเนินงานภายในปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 17)
- แผนพลังงานทดแทน
- แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
- แผนบริหารทางกลยุทธ์
3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ร้อยละ 15)
ตัวชี้วัดที่ 3.1 การจัดทำแผนการปรับปรุงการให้บริการจากผลสำรวจความพึงพอใจและการดำเนินงานตามแผนการปรับปรุงฯ ประจำปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 15)
4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (ร้อยละ 37)
ตัวชี้วัดที่ 4.1 การทบทวนแผนกลยุทธ์กองทุนฯ (ร้อยละ10)
ตัวชี้วัดที่ 4.2 การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2553 (ร้อยละ 7)
ตัวชี้วัดที่ 4.3 การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 8)
- การศึกษาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลสารสนเทศและโปรแกรมสำเร็จรูปของกองทุนฯ
- การพัฒนาบุคลากรกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552
ตัวชี้วัดที่ 4.4 การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ร้อยละ 7)
ตัวชี้วัดที่ 4.5 บทบาทของผู้บริหารกองทุนฯ (ร้อยละ 5)
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้นำเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552 เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอต่อประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลังต่อไป
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 เห็นชอบในการแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ปรับลดราคาค่าผ่านทางของทางยกระดับตลอดสาย เป็นระยะเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548) ในอัตราค่าผ่านทาง 20 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์ไม่เกิน 4 ล้อ และไม่เกิน 50 บาทต่อคัน สำหรับรถยนต์ ที่เกินกว่า 4 ล้อ ทั้งนี้ กรณีที่รายได้จากค่าผ่านทางของบริษัททางยกระดับฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐจะต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัททางยกระดับฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยให้กองทุนฯ สนพ. กระทรวงพลังงาน จัดสรรเงินชดเชยให้ ส่วนกรณีรายได้สูงกว่าที่คาดหมายไว้ ก็เห็นควรแบ่งรายได้กันคนละครึ่ง อย่างไรก็ตามการจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเป็นอำนาจของคณะกรรมการกองทุนฯ จึงให้ขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วย
2. กรมทางหลวง ได้มีหนังสือขอให้ สนพ. ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในส่วนที่รัฐต้องชดเชย ค่าผ่านทางยกระดับอุตราภิมุขตลอดสาย เนื่องจากรายได้จากค่าผ่านทางของบริษัททางยกระดับฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัททางยกระดับฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 30,603,845 บาท
3. สนพ. ได้เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 เพื่อพิจารณา ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าโครงการนี้สามารถจัดอยู่ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ในช่วงปี 2548-2554 แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง ที่กำหนดเป้าหมายการลดใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ในสาขาขนส่งในปี 2554 จาก 36,203 ktoe เหลือ 29,934 ktoe โดยกำหนดมาตรการดำเนินการไว้หลายด้าน และแนวทางหนึ่ง คือการจัดระบบจราจรอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงานอันเนื่องจากการจราจรติดขัด
แต่การจ่ายเงินชดเชยค่าผ่านทางให้กับบริษัททางยกระดับฯ ไม่สามารถบรรเทาปัญหาการขาดรายได้ของบริษัททางยกระดับฯ ในระยะยาวได้ ดังนั้นแนวทางการให้ความช่วยเหลือบริษัททางยกระดับฯ ในระยะต่อไป กระทรวงคมนาคมควรเร่งดำเนินตามที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 คือ ภายหลังจากการทดลองศึกษา จะพิจารณาปรับค่าผ่านทางในราคาที่เหมาะสมและจะพิจารณาช่วยเหลือในรูปแบบอื่น เช่น การขยายระยะเวลาสัมปทานให้กับบริษัท การช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือบริษัท และเป็นการแก้ปัญหาจราจรได้ในระยะยาว ในการนี้คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 42) จึงมีมติ
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 30,603,845 บาท ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)
(2) ให้กรมทางหลวงรวบรวมเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ครบถ้วนตามจำนวนเงิน 30,603,845 บาท พร้อมรับรองความถูกต้องในเอกสารที่ขอเบิกทุกฉบับ แล้วส่งให้ สนพ. เพื่อใช้เบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ
(3) ให้กรมทางหลวงคำนวณผลประหยัดพลังงานและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ในช่วงดังกล่าวส่งให้ สนพ. ด้วย
4. กรมทางหลวง ได้ลงนามในหนังสือยืนยันการขอรับทุนสนับสนุน จากกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน "โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน)" ไว้กับ สนพ. เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2549 ในวงเงิน 30,603,845 บาท โดยมีเงื่อนไขให้ กรมทางหลวง ต้องรายงานผลประหยัดและการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ ภายใน 4 เดือน นับตั้งแต่ลงนามในหนังสือยืนยันการขอรับทุนฯ ซึ่งกรมทางหลวงได้แจ้งให้ สนพ. ทราบว่าการคำนวณผลประหยัดพลังงานและประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ ต้องตรวจสอบจากข้อมูลที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และต้องใช้เวลาในการดำเนินงานมากกว่าแผนงานที่กำหนดไว้ จึงขอขยายระยะเวลาโครงการฯ ออกไป 1 เดือน เป็นสิ้นสุดในเดือน กุมภาพันธ์ 2550
5. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 ไม่มีข้อขัดข้องในประเด็นการขอขยายระยะเวลาโครงการฯ เพราะกรมทางหลวงมีเหตุผลที่จำเป็นในการรวบรวมข้อมูลย้อนหลัง ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2547 ถึง 21 มีนาคม 2548 และกระบวนการตรวจสอบรับรองความถูกต้องของข้อมูลก่อนนำมาประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินโครงการฯ และเพื่อความรอบคอบในการพิจารณา ที่ประชุมมีมติให้กรมทางหลวงจัดส่งสัญญาที่กรมทางหลวงได้จัดทำกับบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อนำเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาในรายละเอียด ก่อนเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาโครงการฯ
6. กรมทางหลวงแจ้งว่า ไม่มีสัญญาเรื่องการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางกับบริษัททางยกระดับฯ มีเพียงรายงานการประชุมร่วมกันระหว่างกรมทางหลวงและบริษัททางยกระดับฯ และยืนยันว่ากรมทางหลวง ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 แล้ว โดยมิได้ดำเนินการจัดส่งสัญญาที่กรมทางหลวงได้จัดทำกับบริษัททางยกระดับฯ ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ซึ่งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 มีมติให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือไปยังกรมบัญชีกลาง เกี่ยวกับระเบียบพัสดุฯ เรื่องการเบิกจ่ายเงินระหว่างกรมทางหลวงและบริษัททางยกระดับฯ ในกรณีที่ไม่มีการทำสัญญาเรื่องการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางยกระดับ ระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัททางยกระดับฯ นั้น กรมทางหลวงสามารถจ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้กับบริษัททางยกระดับฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีได้หรือไม่
7. กรมบัญชีกลาง ได้แจ้งความเห็นในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
(1) เนื่องจากสัญญาระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) เป็นการทำสัญญาสัมปทานทางหลวง ซึ่งเป็นการจัดหาหรือดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ตามสัญญาสัมปทาน ดังนั้น คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ กรมบัญชีกลาง จึงไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกี่ยวกับการจ่ายเงินตามสัญญาสัมปทานในกรณีดังกล่าวได้
(2) การเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้กับกรมทางหลวงนั้น ต้องดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 26 ซึ่งกำหนดให้นำวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันตามข้อ 17 และวิธีการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายเงินและการพัสดุ ของส่วนราชการผู้เบิกเงินกองทุน ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบนี้ตามข้อ 21 มาใช้บังคับโดยอนุโลมกับผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ด้วย แต่เนื่องจากระเบียบดังกล่าวมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินไว้ กรณีจึงเป็นไปตามนัยข้อ 4 ของระเบียบฯ ซึ่งต้องพิจารณาตามระเบียบของทางราชการโดยอนุโลม และตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง การเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลัง พ.ศ. 2551 ข้อ 31 กำหนดให้การจ่ายเงินให้กระทำเฉพาะที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง กำหนดไว้ หรือมติคณะรัฐมนตรี อนุญาตให้จ่ายได้ ดังนั้น การที่กรมทางหลวงจะจ่ายเงินให้กับบริษัทฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีจึงสามารถกระทำได้ตามนัยระเบียบดังกล่าวข้างต้น
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางได้ให้ข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า เนื่องจากสัญญาระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัท ทางยกระดับฯ เป็นสัญญาสัมปทานที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ดังนั้น หากเงื่อนไขข้อตกลงตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 ที่เห็นชอบในการแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้บริษัท ทางยกระดับฯ ปรับลดค่าผ่านทางของทางยกระดับตลอดสายเป็นระยะเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 ถึงวันที่ 21 มีนาคม 2548) กรณีที่รายได้จากค่าผ่านทางของบริษัทฯ ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐจะต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัทฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยให้กองทุนฯ กระทรวงพลังงาน จัดสรรเงินชดเชยให้ ส่วนกรณีรายได้สูงกว่าที่คาดหมายไว้ ก็ให้แบ่งรายได้กันคนละครึ่งดังกล่าว ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของสัญญาสัมปทานระหว่างกรมทางหลวงและบริษัทฯ กรมทางหลวงควรดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้กรมทางหลวงขยายระยะเวลาโครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทาง ในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ตามที่กรมทางหลวงเสนอมา โดยให้สามารถเบิกจ่ายเงินได้ภายใน 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติ
เรื่องที่ 8 การขอปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาและอนุมัติไว้ รวมจำนวน 51 โครงการ โดยตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินฯ ตามข้อ 1.3 (2) หมวด 3 ข้อ 24 กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการ ไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาเหตุผลและรายละเอียดที่เจ้าของโครงการฯ ทั้ง 51 โครงการ ได้แจ้งขอเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยจำแนกเรื่องที่ขอเปลี่ยนแปลงออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
2.1 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 17 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุน ไว้กับ พพ. จำนวน 10 ข้อเสนอ และ สนพ. จำนวน 7 ข้อเสนอ โดยคู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรได้ส่งงาน/รายงานตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว แต่การตรวจรับงานของ พพ. และ สนพ. พบว่าผลงานยังไม่สมบูรณ์ตามข้อตกลง เช่น ขาดรายละเอียด ขาดข้อมูลหรือเอกสารอ้างอิง ขาดประเด็นสำคัญ ฯลฯ และให้คู่สัญญาหรือผู้ได้รับจัดสรรเงินนั้น ดำเนินการให้รายงานฉบับนั้นๆ เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการปรับปรุงรายงานได้ใช้เวลาระยะหนึ่ง ที่ส่งผลให้เลยกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาหรือหนังสือยืนยันการรับทุน พพ. และ สนพ. จึงได้เสนอขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ
การปฏิบัติข้างต้น เป็นการดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 16 ที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายเงินกองทุนไว้ "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ กรณีผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นๆ ให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ ต่อไปได้ ภายในสาม (3) เดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา"
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า การขยายเวลาของทั้ง 17 ข้อเสนอดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 17 ข้อเสนอดังกล่าว ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายแต่ละรายการ ได้ตามที่เสนอมา โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายออกไปได้อีก 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติ
2.2 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการฯ จำนวน 25 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้กับ พพ. และ สนพ. จำนวน 25 โครงการ แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น ต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ การรอเวลาเพื่อนำผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ทั้งในและต่างประเทศ การปรับรายละเอียดการดำเนินกิจกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่เป้าหมาย การทำงานวิจัยแล้วผลการทดลองมีความคลาดเคลื่อนไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จำเป็นต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ผลการทดลองเพิ่มเติม เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาการขยายเวลาของทั้ง 25 โครงการดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ได้รับทุน และการเปลี่ยนแปลงแต่ละรายการไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 25 โครงการดังกล่าว ขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
2.3 ขอเปลี่ยนแปลง รายละเอียดโครงการ จำนวน 9 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดกิจกรรมย่อยให้มีความหลากหลายและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น หรือเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารของโครงการ และการขอโอนย้ายหน่วยงานในการชดใช้ทุนของผู้ได้รับทุนการศึกษา เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของทั้ง 9 โครงการดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ได้รับทุน และการเปลี่ยนแปลงแต่ละรายการไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 9 โครงการดังกล่าว เปลี่ยนแปลงรายละเอียดการดำเนินงาน และขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 2.1 ข้อ 2.2 และ 2.3 รวม 51 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงาน และปรับรายละเอียดโครงการฯ ได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 9 การขอขยายระยะเวลาการผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 สำหรับโครงการของ พพ.
1. พพ. ได้ขออนุมัติขยายระยะเวลาการผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการของ พพ. จำนวน 9 โครงการ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ พบว่า การดำเนินงานโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2551 สำหรับโครงการของ พพ. 9 โครงการ ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ในข้อ 16 ซึ่งระบุไว้ว่า "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ"
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เชิญผู้แทนจาก พพ. กรมบัญชีกลาง และนิติกรของกระทรวงพลังงาน ร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2551 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาตามข้อกำหนดของระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่า ไม่มีข้อกำหนดหรือวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ผู้เบิกเงินกองทุนฯ ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และจากข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ในข้อ 4 ซึ่งระบุไว้ว่า "หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายเงินและการพัสดุ ที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ที่ประชุมจึงเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยให้ พพ. พิจารณาทบทวนถึงความจำเป็นในการขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันของโครงการทั้ง 9 โครงการ พร้อมทั้งชี้แจงปัญหาอุปสรรคของโครงการ เสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ
3. พพ. ได้ชี้แจงว่ามีโครงการที่จำเป็นต้องขอก่อหนี้ผูกพัน เนื่องจากเป็นโครงการที่ดำเนินการประกวดราคาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 5 โครงการ ดังนี้
3.1 โครงการปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลม พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 25,000,000 บาท โดยแยกการดำเนินงานเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าบริหารโครงการ 850,000 บาท (2) ค่าปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลม ส่วนการจัดทำโครงสร้างเสาวัดลมพร้อมติดตั้ง 15,000,000 บาท และ (3) ค่าปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพลม ส่วนการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องวัดลมและบันทึกข้อมูลพร้อมอุปกรณ์ประกอบ 9,150,000 บาท
3.2 โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมขนาดใหญ่ จ.ปัตตานี พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 125,000,000 บาท โดยแยกการดำเนินงานเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าจ้างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม 1,500,000 บาท (2) ค่าอำนวยการและบริหาร 3,500,000 บาท และ (3) ค่ากังหันลมพร้อมติดตั้งและทดสอบ 120,000,000 บาท
3.3 โครงการรณรงค์และประกวดด้านอนุรักษ์ พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 77,000,000 บาท
3.4 โครงการพัฒนาเซลล์แสงแดดไทยสู่ความเป็นเลิศ ระยะที่ 2 ปีที่ 1 พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท
3.5 โครงการส่งเสริมการผลิต และการใช้พลังงานชีวมวล ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงศูนย์ภูฟ้าพัฒนา พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 13,211,000 บาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการผูกพันรายจ่ายและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 สำหรับโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมขนาดใหญ่ จ.ปัตตานี โครงการรณรงค์และประกวดด้านอนุรักษ์พลังงาน สำหรับการจัดงาน "พลังงานก้าวไกล ประเทศไทยก้าวหน้า" และ โครงการพัฒนาเซลล์แสงแดดไทย สู่ความเป็นเลิศ ระยะที่ 2 ปีที่ 1 ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป