มติกพช. (131)
กพช. ครั้งที่ 85 - วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 85)
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2544 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
2.สถานการณ์พลังงานของไทยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544
3.การลดค่าไฟฟ้าจากการลดค่าก๊าซธรรมชาติ
4.รายงานการศึกษาของคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
5.ความคืบหน้าในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP SPP และโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน
6.ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544
8.แนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินในประเทศ
9.ราคาจำหน่ายไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้าน
10.ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
11.แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544-2554
12.การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม
รองนายกรัฐมนตรี นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าร่วมประชุม ในครั้งนี้ว่า เพื่อติดตามผลการดำเนินงานด้านพลังงานในเรื่องต่างๆ ดังนี้ คือ
1.พลังงานทดแทนที่เกี่ยวกับผลผลิตทางเกษตรบางชนิดที่มีผลกระทบต่อการมองภาพรวมราคาสินค้าทางเกษตร
2.ความก้าวหน้าของการรณรงค์ในการประหยัดพลังงาน
3.น้ำมันเถื่อน
4.ประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้ผลิตพลังงานที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิตที่ส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
5.ผลกระทบของการปรับเปลี่ยนเวลาในประเทศไทยที่มีต่อกิจกรรมด้านพลังงาน
6.เรื่องค่าไฟฟ้าสาธารณะเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความสัมพันธ์กับค่า Ft
เรื่องที่ 2 สถานการณ์พลังงานของไทยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาพรวมการใช้ การผลิต การส่งออกและนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ มีดังนี้
1.1 การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 1,205 พันบาร์เรล น้ำมันดิบ/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นในส่วนของการใช้ ก๊าซธรรมชาติ และการใช้ลิกไนต์/ถ่านหิน ขณะที่การใช้น้ำมันปิโตรเลียมลดลง การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประกอบด้วย น้ำมันปิโตรเลียมร้อยละ 47.0 ก๊าซธรรมชาติร้อยละ 36.2 ลิกไนต์และถ่านหินร้อยละ 14.1 ไฟฟ้าพลังน้ำและนำเข้าร้อยละ 2.8
1.2 การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 592 พันบาร์เรล น้ำมันดิบ/วัน ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2543 โดยลดลงในส่วนของการผลิตก๊าซธรรมชาติ และการผลิตลิกไนต์ ขณะที่การผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ประกอบด้วย ก๊าซธรรมชาติร้อยละ 58.7 ลิกไนต์ร้อยละ 18.2 น้ำมันดิบร้อยละ 10.0 คอนเดนเสทร้อยละ 8.1 และไฟฟ้าพลังน้ำร้อยละ 5.0
1.3 ปริมาณการนำเข้า (สุทธิ) พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 744 พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 สาเหตุสำคัญจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่าเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนั้น การนำเข้าถ่านหินและน้ำมันดิบก็มีอัตราการเพิ่มในระดับที่สูงเช่นเดียวกัน และยังคงมีการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเนื่องจากการผลิตสูง กว่าความต้องการใช้
2. สถานการณ์พลังงานแต่ละชนิด มีดังนี้
2.1 การใช้ก๊าซธรรมชาติในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 2,425 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.2 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาในปีนี้สูงขึ้นมากทำให้ กฟผ. ลดการใช้น้ำมันเตาลงและใช้ ก๊าซธรรมชาติแทน นอกจากนั้นยังมีโรงไฟฟ้าจากโครงการ IPP ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเริ่มผลิตไฟฟ้าจ่ายเข้าระบบของ กฟผ. ส่วนปริมาณการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2543 เล็กน้อย
2.2 ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในช่วงครึ่งแรกของปี 2544 มีจำนวน 59 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 แหล่งผลิตที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งเบญจมาศ แหล่งสิริกิติ์ และแหล่งทานตะวัน ปริมาณการผลิตภายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 7.8 ของความต้องการน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่น จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวน 706 พันบาร์เรล/วัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 146,400 ล้านบาท
2.3 การผลิตลิกไนต์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 9.0 ล้านตัน ผลิตจากเหมือง แม่เมาะของ กฟผ. ร้อยละ 79 ที่เหลือร้อยละ 21 ผลิตจากเหมืองเอกชน ลิกไนต์ที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าจำนวน 7.5 ล้านตัน (ร้อยละ 83) ที่เหลือนำไปใช้ในโรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานกระดาษ โรงทอผ้าและอื่นๆ นอกจากนั้นมีการนำเข้าถ่านหินจำนวน 2.4 ล้านตัน มาใช้ในโรงไฟฟ้าของ SPP และโรงงานอุตสาหกรรม ดังกล่าว
2.4 การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในครึ่งแรกของปี 2544 ชะลอตัวลง โดยมีปริมาณการใช้ 593 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2543 โดยการใช้น้ำมันเตา น้ำมันเบนซินและดีเซลลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง แต่การใช้น้ำมันเครื่องบินและ LPG เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้ LPG เพิ่มขึ้นสูงในรถแท๊กซี่ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ LPG เพราะรัฐบาลยังคงอุดหนุนราคา LPG สำหรับกำลังการกลั่นรวมของประเทศในปี 2544 อยู่ที่ระดับ 995 พันบาร์เรล/วัน โดยการผลิตยังคงสูงกว่าความต้องการภายในประเทศทำให้มีการส่งออก (สุทธิ) จำนวน 106 พันบาร์เรล/วัน
2.5 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 รัฐบาลมีรายได้ภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 33,000 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 70 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2544 ติดลบประมาณ 13,603 ล้านบาท
3. สถานการณ์ไฟฟ้า มีดังนี้
3.1 กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าของ กฟผ. และการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนและนำเข้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 22,335 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตติดตั้งของ กฟผ. จำนวน 15,116 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67.7 รับซื้อจาก IPP จำนวน 5,266 เมกะวัตต์ และ SPP 1,613 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนโดยรวมร้อยละ 30.8 และนำเข้าจาก สปป.ลาว 340 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.5 ในขณะที่ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในระดับ 16,126 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.1 และอัตราสำรองไฟฟ้า (Reserved Margin) อยู่ในระดับ 31.0
3.2 ปริมาณการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 51,951 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในอัตราร้อยละ 6.3 โดยเป็นการผลิตจาก กฟผ. ร้อยละ 60 และรับซื้อจากเอกชนและนำเข้าร้อยละ 40
3.3 ปริมาณการใช้ไฟฟ้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 46,169 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 7.3 โดยสาขาธุรกิจและอุตสาหรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 บ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 และภาคเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 ในขณะที่ทางด้านลูกค้าตรง กฟผ. ลดลงร้อยละ 2.4 โดยแบ่งเป็น การใช้ไฟฟ้าในเขตนครหลวง มีจำนวน 16,946 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 และการใช้ไฟฟ้าเขตภูมิภาค มีจำนวน 28,336 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง มีดังนี้
4.1 ราคาน้ำมันดิบตั้งแต่ช่วงต้นปี 2544 เป็นต้นมา ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $3-4 ต่อบาร์เรล จากการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปค 3 ครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน และกันยายน รวม 3.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ทำให้ความต้องการใช้ในปีนี้ไม่สูงเท่าที่ควร กลุ่มโอเปคจึงลดกำลังการผลิตลงเพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้ลดต่ำลงมาก น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ช่วงก่อนเดือนเมษายนราคาปรับตัวสูงขึ้นจาก ช่วงต้นปีประมาณ $6-8 ต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ในฤดูร้อน หลังจากนั้นจึงปรับตัวลดลงประมาณ $10 ต่อบาร์เรล จากปริมาณสำรองที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ไม่สูงเท่าที่ประมาณการไว้ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงต้นปีประมาณ $2-3 ต่อบาร์เรล จากปริมาณสำรองที่ค่อนข้างต่ำ
4.2 ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงจากระดับ 43 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในช่วงต้นปีมาอยู่ที่ระดับ 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนน้ำมันเพิ่มขึ้น 36 สตางค์/ลิตร ราคาขายปลีกของไทยปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบ โดยเบนซินปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 บาท/ลิตร จากช่วงต้นปีถึงปลายเดือนเมษายน หลังจากนั้น จึงปรับตัวลดลงประมาณ 1.50 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วจากช่วงต้นปีถึงปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1 บาท/ลิตร ค่าการการตลาดโดยรวมของประเทศอยู่ที่ระดับประมาณ 1.20 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 0.50-1.00 บาท/ลิตร ($1.80-3.60 ต่อบาร์เรล)
4.3 แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 4 ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $2-3 ต่อ บาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ราคาเบนซินจะปรับตัวลดลงหลังเดือนกันยายน ส่วนราคาดีเซลหมุนเร็วจะปรับตัวสูงขึ้นหลังเดือนตุลาคมไปแล้ว จากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในฤดูหนาว ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยเบนซินออกเทน 95 91 และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 15-16 14-15 และ 15-16 บาท/ลิตร ตามลำดับ
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อสังเกตต่อที่ประชุมว่า การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าการนำเข้าและส่งออกของพลังงานในประเทศ ควรคำนวณเป็นหน่วยของดอลลาร์สหรัฐด้วย เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของงบดุลการค้าด้านพลังงานของ ประเทศ และได้สอบถามถึงปริมาณสำรองลิกไนต์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันที่เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ว่าจะใช้ได้อีกเป็นระยะเวลานานเท่าไร และผลการดำเนินงาน ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ขณะนี้มีความก้าวหน้าระดับใด
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าปริมาณสำรองลิกไนต์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันที่ เหมืองแม่เมาะ จะใช้งานได้อีกประมาณ 70 ปี และได้มีการดำเนินการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้า แม่เมาะหน่วยที่ 4 - 13 แล้วเสร็จ ส่วนหน่วยที่ 1 - 3 จะไม่มีการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซฯ ทั้งนี้จะนำข้อมูลต่างๆ มานำเสนอในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานของประเทศ ในวันที่ 12 กันยายน 2544 ด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การลดค่าไฟฟ้าจากการลดค่าก๊าซธรรมชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2544 ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ดำเนินการเจรจาเพื่อขอเกลี่ยราคาก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งทบทวนดัชนีราคาในสูตรราคากับผู้รับสัมปทาน และพิจารณาความเป็นไปได้ในการลดค่าดำเนินการ (Margin) ให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ปัจจุบัน
2. ปตท. ได้ดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตก๊าซฯ แหล่งบงกช 3 ราย คือ ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท โททาลฟีน่าเอลฟ์ เอ็กซ์พลอเรชั่น ประเทศไทย จำกัด และบริษัท บริติช ก๊าซ เอเซียแปซิฟิค จำกัด ให้ลดราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. ซื้อเกินจากที่ทำสัญญาไว้ในช่วงเดือนสิงหาคม - พฤษภาคม 2545 รวม 8 เดือน จำนวน 31.14 พันล้านลูกบาศก์ฟุต โดยผู้ผลิตก๊าซฯ แหล่งบงกชได้ให้ส่วนลดค่าก๊าซฯ จากก๊าซฯ ส่วนเกินที่ ปตท. ซื้อคิดเป็นเงินจำนวน 863 ล้านบาท และส่วนลดราคาก๊าซฯ ที่ได้มา ทำให้ ปตท. ต้องรับก๊าซฯ จากแหล่งบงกชซึ่งมีราคาแพงกว่าแหล่งยูโนแคลเพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 535 ล้านบาท ดังนั้น ผลประโยชน์สุทธิที่ได้รับจะมีเพียง 328 ล้านบาท ปตท. จึงเสนอให้นำมาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่มีรายได้น้อย
3. การนำเงินส่วนลดค่าก๊าซฯ ทั้งจำนวน 863 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยประเภท 1.1 จะส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอื่นต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นผ่านค่า Ft ประมาณ 2 สตางค์/หน่วย เนื่องจากราคาก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้น คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการลดค่าไฟฟ้าตามแนวทางดังนี้
3.1 ให้นำส่วนลดค่าก๊าซธรรมชาติสุทธิจำนวน 328 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า บ้านอยู่อาศัยประเภท 1.1 (บ้านอยู่อาศัยที่ใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน และติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าขนาดไม่เกิน 5 แอมแปร์) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 8.78 ล้านราย เพียงเดือนเดียว ในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนสิงหาคม 2544 โดยยกเว้นค่าบริการรายเดือน 8.76 บาท/ราย (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และลดค่า พลังงานไฟฟ้า เท่ากับ 45.06 สตางค์/หน่วย (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าเมื่อหักส่วนลดแล้วจะไม่ ต่ำกว่าศูนย์
3.2 การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าตามข้อ 3.1 ให้แสดงเป็นรายการพิเศษในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้า และให้ กฟน. และ กฟภ. ส่งใบเรียกเก็บเงินการจ่ายส่วนลดที่จ่ายจริงไปยัง ปตท. โดยตรง
3.3 เงินที่เหลือซึ่งมีอีกจำนวนประมาณ 535 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย (ถ้ามี) ให้ ปตท. นำมาลดค่าก๊าซฯ ให้แก่ กฟผ. เพื่อบรรเทาผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของค่า Ft ในรอบต่อไป (ต.ค. 2544 - ม.ค. 2545)
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึง การใช้ไฟฟ้า 5 หน่วย/เดือน ว่าจะมีอุปกรณ์ไฟฟ้าประเภทใดบ้างและผู้ใช้ไฟฟ้าในชุมชนแออัด ที่มีการใช้ไฟส่องสว่าง 2 -3 ดวง จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเท่าใด ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 5 หน่วย/เดือน ส่วนใหญ่จะเป็นห้องแถวหรือบ้านอยู่อาศัยที่ไม่มีผู้พักอาศัยอยู่ ซึ่งไม่มีการใช้ไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟส่องสว่าง 2 -3 ดวง จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 30 หน่วย/เดือน ทั้งนี้ บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยประมาณ 67 หน่วย/เดือน ซึ่งบ้านอยู่อาศัยประเภทนี้ จะไม่มีเครื่องปรับอากาศ
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่นำส่วนลดค่าก๊าซฯ มาลดค่าไฟฟ้าเพียงเดือนเดียว เนื่องจากจะทำให้เห็นผลจากการลดค่าไฟฟ้าได้มาก และหากการลดค่าก๊าซฯ มีระยะเวลานานไป จะส่งผลกระทบต่อโครงการประหยัดไฟกำไรสองต่อ ซึ่งจะเริ่มโครงการในเดือนกันยายน 2544 ทำให้ไม่สามารถเห็นผลจากการประหยัดที่ชัดเจน
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ในฐานะประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดย อัตโนมัติ (Ft) เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) ซึ่งคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ได้พิจารณาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่า Ft และมีข้อเสนอ ข้อสังเกต รวมทั้งความเห็นในการแก้ไขปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่า Ft ดังนี้
1.1 เห็นควรให้ ปตท. เร่งเจรจาปรับปรุงสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กับผู้ขายก๊าซฯ พร้อมกับให้ลดค่าดำเนินการลง รวมทั้ง อัตราผลตอบแทน Equity IRR ของค่าผ่านท่อที่มีอัตราสูงเกินไป ส่วนภาระ Take-or-Pay ไม่ควรผลักภาระให้แก่ผู้บริโภคมากเกินไป และควรเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น
1.2 ในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเห็นควรให้ กฟผ. รับไปเจรจาราคารับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และควรมีการทบทวนความเหมาะสมของการส่งผ่านผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในโครง สร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ SPP รวมทั้งควรทบทวนความเหมาะสมของอัตราผลตอบแทนการ ลงทุนของบริษัทผลิตไฟฟ้าในเครือของ กฟผ. ซึ่งในเรื่องของการทบทวนอัตราผลตอบแทนการลงทุนดังกล่าว บางหน่วยงานเห็นว่าอาจเกิดผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นและนโยบายการแปรรูปในอนาคต
1.3 ด้านประสิทธิภาพของการไฟฟ้า เห็นควรกำหนดมาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) และมาตรฐานค่าความสูญเสีย (Loss Rate) ของระบบไฟฟ้า และให้ สพช. รับไปพิจารณาการชะลอแผนการลงทุนของการไฟฟ้าว่าจะสามารถทำให้ลดค่าไฟฟ้าได้ หรือไม่โดยเร่งด่วน
1.4 อัตราเงินนำส่งรัฐควรเป็นไปตามเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด ส่วนโบนัสและเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสม
1.5 ไม่ควรยกเลิกค่า Ft เพราะจะทำให้การไฟฟ้าประสบปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง และควรให้ค่า Ft เปลี่ยนแปลงตามต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อภาระหนี้ของการไฟฟ้า และผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อในค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ค่าเชื้อเพลิง (Non-Fuel Cost) ทั้งนี้ การไฟฟ้าควรมีอิสระในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของตนเองในระดับหนึ่ง
1.6 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐาน ควรกำหนดส่วนลดค่าไฟฟ้าเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟได้ เป็นการชั่วคราว และควรเร่งจัดหามิเตอร์ประเภท TOU ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย รวมทั้ง ควรหาแนวทางลดภาระค่ามิเตอร์ให้แก่ผู้ใช้ไฟ
2. เครือข่ายคณะทำงานติดตามตรวจสอบค่า Ft ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้ยกเลิกการเก็บค่า Ft และให้ยกเลิกการคิดค่าบริการ โดยให้มีการทบทวนโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน และรัฐบาลควรเร่งผลักดันให้มี องค์กรอิสระผู้บริโภค ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดเตรียมข้อมูลตอบข้อร้องเรียนดังกล่าวเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงานแล้ว
3. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 และได้พิจารณาเรื่องผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ แล้วมีมติดังนี้
3.1 เห็นชอบในหลักการข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ โดยให้นำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดย อัตโนมัติ (Ft) ในรอบเดือนตุลาคม 2544-มกราคม 2545 และให้นำข้อสังเกตของที่ประชุมในส่วนที่มีความเห็นแตกต่างกันไปเจรจาให้ได้ข้อยุติต่อไป
3.2 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ไปดำเนินการ โดยให้มีการจัดทำรายละเอียดในส่วนที่สามารถดำเนินการได้และในส่วนที่เป็น ปัญหาอุปสรรค และให้ สพช. เป็นผู้ดำเนินการเร่งรัดติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตาม มาตรการดังกล่าว และรายงานให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานทราบภายใน 1 เดือน
3.3 ให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าตามสูตรการ ปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ให้ประชาชนได้รับทราบและมีความเข้าใจมากขึ้น โดยผ่านสื่อต่างๆ
3.4 ให้ สพช. กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการคัดเลือกตัวแทนผู้บริโภครายย่อยเป็นอนุกรรมการในคณะ อนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และปรับปรุงคำชี้แจงข้อร้องเรียนของเครือข่ายคณะทำงานติดตามตรวจสอบค่า Ft ให้มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นว่า การคัดเลือกตัวแทนผู้บริโภครายย่อยเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการ กำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ควรคัดเลือกจากผู้บริโภครายย่อยที่มีความรู้ ความเข้าใจในสูตร Ft ไม่ใช่เป็นบุคคลที่เป็นนักเคลื่อนไหว ทั้งนี้ ในการกำกับดูแลควรพิจารณาถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของการไฟฟ้าและให้การ ไฟฟ้ามีรายได้เพียงพอในการดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วย
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เรียนที่ประชุมทราบเพิ่มเติมถึงปัญหาของการไฟฟ้าในการบริหารอัตราแลก เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของการไฟฟ้า เช่นในกรณี กฟผ. มีภาระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศสูงถึงร้อยละ 57 ของหนี้เงินกู้ทั้งหมด หรือประมาณ 141,200 ล้านบาท ซึ่ง กฟผ. วางแผนที่จะลดสัดส่วนหนี้เงินกู้ต่างประเทศลงให้เหลือร้อยละ 20 ภายในระยะเวลา 3 ปี แต่เนื่องจาก กฟผ. ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งประธานที่ประชุมฯ ได้ขอให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาให้การไฟฟ้ามีอิสระในการบริหารหนี้ต่าง ประเทศเพิ่มขึ้น ในกรณีที่เป็นการดำเนินการจากสภาพคล่องของการไฟฟ้า มิใช่เป็นการกู้เงินในประเทศเพื่อมาชำระหนี้เงินตราต่างประเทศ
3.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสมบัติ อุทัยสาง) เรียนต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กฟน. ได้เร่งรัดการดำเนินการจัดหาเครื่องวัดโดยอัตโนมัติ (AMR) ซึ่งเป็นการดัดแปลงเครื่องวัดฯ เดิม ให้เป็น TOU สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย คาดว่าผู้ใช้ไฟฟ้าจะสามารถเลือกใช้อัตรา TOU ได้ในราวเดือนมกราคม 2545 ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่เลือกใช้อัตรา TOU ที่อัตราค่าพลังงานไฟฟ้าในช่วง Off-Peak (เวลา 22.00 - 9.00 น. ของวันจันทร์ - วันศุกร์ และวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดราชการปกติทั้งวัน) จะถูกกว่าในช่วง Peak (เวลา 9.00 - 22.00 น. ของวันจันทร์ - วันศุกร์) มาก จะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ในช่วง Off-Peak ได้รับการลดค่าไฟฟ้าลงได้ ในเรื่องนี้ ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าควรมีการดูแลเรื่องการกำหนด คุณลักษณะเฉพาะของมิเตอร์ ให้มีความโปร่งใส เพื่อมิให้เกิดการร้องเรียนจากผู้ผลิตมิเตอร์ภายในประเทศ
4.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงการดูแลค่าความสูญเสียในระบบของการไฟฟ้า ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงว่า ค่าความสูญเสียในระบบของการไฟฟ้า มีการดูแลใน 2 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าไฟฟ้าฐาน จะมีการ ดูแลเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของการไฟฟ้า หรือค่า X ไว้แล้ว โดยให้กิจการผลิต กิจการระบบส่ง และ กิจการระบบจำหน่ายและกิจการบริการลูกค้า ต้องปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงซึ่งรวมถึงการสูญเสียในระบบในอัตรา ร้อยละ 5.8 2.6 และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ และ (2) กำหนดให้ค่าความสูญเสียในระบบของ การไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมีผลต่อการปรับเงินเดือน โบนัสของพนักงานการไฟฟ้าอีกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าน่าจะนำมาตรฐานอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นเกณฑ์ในการวัดด้วย รวมทั้ง ควรมีการวิเคราะห์ และรายงานผลทุกไตรมาส เพื่อจะได้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง และให้การไฟฟ้าอธิบายถึงสาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีในข้อ 4 เกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานทุกไตรมาส
สรุปสาระสำคัญ
1. การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers : IPP) ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 ปัจจุบันมีความคืบหน้าสรุปได้ดังนี้ คือ
1.1 โครงการ IPP ที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้วมี 2 โครงการ คือ โครงการ Tri Energy Co., Ltd. (TECO) และโครงการ Independent Power (Thailand) Co., Ltd. (IPT) โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 15 สิงหาคม 2543 ตามลำดับ
1.2 โครงการ Eastern Power & Electric Co., Ltd. (EPEC) และโครงการ Bowin Power Co.,Ltd. อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและระบบสายส่งเชื่อมโยง
1.3 โครงการ IPP 2 โครงการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง คือ บริษัท Gulf Power Generation Co., Ltd. และบริษัท Union Power Development Co., Ltd. ประสบปัญหาความ ล่าช้า เนื่องจากต้องจัดให้มีการประชาพิจารณ์ก่อน และได้ขอเลื่อนกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการตามแผนงาน
1.4 โครงการ BLCP อยู่ระหว่างการศึกษาการขุดลอกร่องน้ำเพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือขนถ่ายถ่าน หิน ในส่วนสิทธิการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ซึ่งเป็นสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้า อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกรม เจ้าท่า
2. การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration รวมทั้ง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนในระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของรัฐลง ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้าแล้วรวม 61 ราย ในจำนวนนี้เป็น SPP ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว 45 ราย มีปริมาณไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบรวม 1,863 เมกะวัตต์
3. การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีความคืบหน้าสรุปได้ดังนี้
3.1 ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โครงการผลิตไฟฟ้าที่ สปป.ลาว เสนอจะขายไทยมี 8 โครงการ รวมกำลังการผลิต 3,596 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่ง กฟผ. และกลุ่มผู้ลงทุนโครงการได้ลงนาม MOU ไปแล้วเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2543 และเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2544 นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย และได้ร้องขอให้ฝ่ายไทยเร่งดำเนินการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 เพื่อนำไปสู่การลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในเดือนตุลาคม 2544 ซึ่งฝ่ายไทยรับจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด ส่วนโครงการอื่นๆ ให้ชะลอการเจรจารับซื้อไว้ก่อน โดยรัฐบาลจะประเมินความต้องการใช้ ไฟฟ้าในประเทศอีกครั้ง
3.2 ประเทศสหภาพพม่า โครงการผลิตไฟฟ้าที่สหภาพพม่าเสนอจะขายให้ไทยมี 4 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำกก (42 เมกะวัตต์) โครงการฮัจยี (300 เมกะวัตต์) โครงการท่าซาง (3,500 เมกะวัตต์) และโครงการคานบวก (1,500 เมกะวัตต์) กำลังการผลิตรวม 5,342 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน กฟผ. ได้ดำเนินการศึกษาความเป็น ไปได้ของระบบสายส่งที่จะขายไฟฟ้าเข้าระบบของพม่าในปริมาณ 100 - 150 เมกะวัตต์ โดยจะส่งไฟจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังเมือง Bago (หงสาวดี) แต่ขณะนี้ได้หยุดชะงักลงเนื่องจากปัญหาทางด้าน การเมือง
3.3 ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย - จีน ได้ลงนามในความ ตกลงเรื่อง "การร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ระหว่างกลุ่มผู้ลงทุนไทย - จีน" เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 โดย กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการนี้ในปี 2556 และอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ในปี 2557 และได้ตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC ส่งไฟฟ้าจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ โดยมีแนวสายส่งผ่านพื้นที่ สปป.ลาว นอกจากนั้น ได้เห็นชอบให้โรงไฟฟ้า พลังน้ำยูนนานจิงหง เข้าร่วมการซื้อขายไฟฟ้าในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) ของไทยด้วย
3.4 ประเทศกัมพูชา คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย - กัมพูชา ได้มีการหารือที่จะรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ในปริมาณ 25 - 30 เมกะวัตต์ เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัดของกัมพูชา ได้แก่ บันเทอมีนเจย เสียมราฐ และพระตะบอง โดยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ที่ผ่านมา คณะกรรมการฝ่ายไทยได้มีมติเห็นชอบให้ กฟผ. ใช้สายส่งของ กฟภ. ส่งไฟฟ้าจากสถานีวัฒนานครไปยังชายแดนไทย ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อัตราค่าไฟฟ้าที่จะจำหน่ายให้แก่กัมพูชา ณ จุดส่งมอบเท่ากับผลบวกของอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกประเภทกิจการขนาดใหญ่ (115 kV) รวมกับค่าเฉลี่ยเงินชดเชยรายได้ที่ กฟภ. ได้รับจาก กฟน. เท่ากับ 0.1459 บาท/หน่วย และค่าไฟฟ้าผันแปร โดยบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ก่อสร้างสายส่งช่วงต่อจากชายแดนไทย ไปยัง 3 จังหวัดของกัมพูชาและคาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าให้แก่กัมพูชาได้ในปี 2547
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งฝ่าย เลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า รัฐบาลสามารถสั่งการให้หยุดหรือดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ เพียงแต่ว่าการสั่งยกเลิกโครงการนั้น รัฐจะต้องจ่ายค่าปรับ ยกเว้นกรณีที่โครงการไม่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะไม่ สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในการขอใบอนุญาตได้ซึ่งในกรณีนี้รัฐไม่ต้องเสียค่า ปรับ อย่างไร ก็ตาม ประธานที่ประชุมฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) เห็นว่า การ ตัดสินใจให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปจะต้องกระทำอย่างรอบคอบ เนื่องจากต้องระมัดระวังในเรื่องของมลภาวะที่จะเกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ประเด็นปัญหามลภาวะไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากรัฐได้มีการกำหนด มาตรการป้องกันมลภาวะที่เข้มงวดอยู่แล้ว รวมทั้งโครงการจะต้องได้รับอนุมัติรายงานการศึกษาผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม (EIA) ด้วย และเจ้าของโครงการ IPP เองยังได้จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือประชาชนในบริเวณใกล้เคียงที่อาจได้รับ ผลกระทบจากการผลิตไฟฟ้าอีกด้วย
2.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า หากราคารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านไม่สูงกว่าต้นทุน ที่ผลิตไฟฟ้าใช้เองในประเทศ ก็สมควรที่จะรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือประเทศเหล่านั้น ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เป็นแนวทางที่ได้นำมาปฏิบัติอยู่แล้ว
3.เนื่องจาก กฟผ. จะต้องเตรียมการจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประธานที่ประชุมฯ จึงมีความเห็นว่า กฟผ. ควรกำหนดแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในอนาคตให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะการพิจารณาลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ เนื่องจากศักยภาพในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในประเทศมีข้อจำกัด ซึ่งผู้แทน กฟผ. รับที่จะไปหารือกับ สพช. ต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในอนาคตเมื่อมีการแปรรูป กฟผ. ออกเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว บริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ก็สามารถลงทุนในต่างประเทศได้เช่นเดียวกับโครงการของบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีการลงทุนในโครงการน้ำเทิน 2 ใน สปป. ลาว
4.ประธานที่ประชุมฯ มีข้อห่วงใยในเรื่องการจัดหาปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองว่า นอกจากจะต้องจัดหาให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศแล้ว จะต้องไม่อยู่ในระดับสูงเกินไป และในขณะเดียวกันก็ควรคำนึงถึงการประหยัดและการใช้พลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพมากที่สุดโดยไม่ควรมองเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
5.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) ได้สอบถามถึงความคืบหน้าในการดำเนินโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว ซึ่งผู้แทนจาก กฟผ. ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการเจรจาโครงการน้ำเทิน 2 ให้สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเบื้องต้น (Initial Power Purchase Agreement : Initial PPA) ได้ภายในเดือนตุลาคม 2544 ส่วนโครงการอื่นๆ ที่เหลือได้ชะลอ การเจรจารับซื้อไว้ก่อนเนื่องจากจะต้องประเมินความต้องการใช้ในประเทศอีก ครั้ง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ประเทศยังมีความจำเป็นที่จะต้องการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าซึ่ง จะมีผลต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ลดความเสี่ยง และสร้างอำนาจการต่อรองราคาพลังงานของประเทศด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขต ต่อเนื่อง โดยได้มอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมทะเบียนการค้า และกรมสรรพากร รับไปดำเนินการออกระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าว รวมทั้งเพื่อให้มีการยกเว้นภาษีอากรต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันในโครงการถูกลง สามารถแข่งขันได้
2. โครงการฯ นี้ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการได้ปีต่อปีเท่านั้น โดยในปีแรกจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2544 และกำหนดให้มีการประเมินผลปลายปี โดยในทางปฏิบัติ สพช. ได้จัดให้ผู้ค้าน้ำมันในประเทศ ซึ่งเป็นผู้สูญเสียผลประโยชน์เป็นผู้ประเมิน หากผลการประเมินพบว่าได้ผลดีก็จะได้รับการต่ออายุโครงการต่อไป แต่หากไม่ได้ผลดี โครงการนี้ก็ต้องยุติล้มเลิกไป นอกจากนั้น ยังจัดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการนี้ โดยมีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมเจ้าท่า กรมทะเบียนการค้า กรมประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ สพช. เป็นคณะกรรมการ เพื่อให้การพิจารณาอนุญาตและการตรวจสอบควบคุมกระทำกันเป็นหมู่คณะ
3. โครงการฯ นี้ได้เริ่มจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตต่อเนื่องตั้งแต่ 30 เมษายน 2544 จนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น 7 เที่ยวเรือ ปริมาณน้ำมันที่จำหน่าย 14.8 ล้านลิตร จำหน่ายให้กับเรือประมง 1,236 ลำ โดยมีบริษัทมายื่นความประสงค์ขอจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจนถึงขณะนี้ รวมทั้งสิ้น 8 บริษัท มีจำนวนเรือสถานีบริการ 13 ลำ และคาดว่าเมื่อกฎหมายของกรมสรรพากรมีผลในการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็จะทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการมากขึ้นอีก โดยมีเป้าหมายจะขยายให้ครอบคลุมทั้งฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งจะทำให้ชาวประมงได้รับบริการอย่างทั่วถึง
4. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้สั่งการให้ สพช. รับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับข้อเสนอการอนุญาตให้เรือต่างชาติเข้ามาร่วมโครงการฯ ได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนเรือไทย เพื่อเป็นการเร่งรัดการขยายโครงการให้กว้างขวางครอบคลุมชายฝั่งทะเลได้เร็ว ขึ้น ซึ่ง สพช. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมเจ้าท่า และกรมสรรพากร และตัวแทนสมาคมเรือไทย เพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ และข้อดี ข้อเสียตามข้อเสนอดังกล่าว และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่วมกันดังนี้
4.1 กรณีค่าใช้จ่าย ค่าภาษี และค่าจดทะเบียนเรือไทยซึ่งผู้ประกอบการอ้างว่าต้องใช้จ่ายจำนวนสูงมากนั้น ในข้อเท็จจริงเรือบรรทุกน้ำมันต่างชาติส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดมีขนาดเกินกว่า 1,000 ตันกรอส ซึ่งจะเสียภาษีในอัตราศูนย์จึงไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ของมูลค่าเรือนั้น ที่ประชุมเห็นว่าอยู่ในวิสัยที่ผู้ประกอบกิจการรับได้
4.2 ประเด็นเรื่องจำนวนเรือบรรทุกน้ำมันที่จดทะเบียนเรือไทยจะไม่เพียงพอ ไม่ใช่ประเด็นปัญหา โดยขณะนี้จำนวนเรือบรรทุกน้ำมันที่จดทะเบียนเรือไทย ที่มีขนาดเกินกว่า 500 ตันกรอส มีจำนวนถึง 154 ลำ และมีเรือต่างชาติที่เตรียมจะจดทะเบียนเรือไทยอีกจำนวนหนึ่ง ในขณะที่ความต้องการใช้เรือของโครงการนี้อยู่ในระดับ 60 ลำขึ้นไป ดังนั้นควรยึดระเบียบหลักเกณฑ์เดิมที่รัฐกำหนด คือต้องเป็นเรือไทยเท่านั้น โดยหากเรือต่างชาติสนใจจะเข้าร่วมโครงการจะต้องยื่นจดทะเบียนเรือไทยก่อน
4.3 สาเหตุที่เรือเข้าโครงการน้อยในขณะนี้มิใช่เกิดจากจำนวนเรือไม่เพียงพอ แต่เป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่จำหน่ายยังสูงกว่าน้ำมันที่มาจากต่างประเทศ เนื่องจากการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่มีผลบังคับใช้ จึงทำให้ต้นทุนสูงกว่าราคาที่ควรจะเป็น ประมาณลิตรละ 60 สตางค์ ทำให้แข่งขันไม่ได้เต็มที่ สำหรับความ คืบหน้าของร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ขณะนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2544
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงความชัดเจนของวัตถุประสงค์ของโครงการและรูปแบบของน้ำมันเถื่อน ในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งรองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงว่ารูปแบบดั้งเดิมจะมีเพียงการลักลอบนำเข้าทางทะเลเท่านั้น แต่ปัจจุบันจะมีรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การขอคืนภาษีของรัฐโดยมิชอบ และการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีไปปลอมปนลงในน้ำมันเชื้อ เพลิง ซึ่งวิธีนี้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอีกวิธีหนึ่ง
2.นอกจากนี้ ประธานที่ประชุมฯ ได้เสนอว่าควรมีการนำข้อมูลการผลิต จำหน่าย และส่งออกมาเชื่อมโยงกันให้เป็นระบบ เพื่อให้ทราบว่าปริมาณน้ำมันนำเข้าและส่งออกที่ถูกต้องควรเป็นเท่าไร แล้วนำไป เปรียบเทียบกับข้อมูลการเก็บภาษีและคืนภาษี ก็จะเห็นได้ทันทีว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันเข้าใจว่า ยังไม่มีการดำเนินการเช่นนี้ ทำให้เป็นจุดอ่อนของรัฐให้เกิดการทุจริตขึ้นได้
มติของที่ประชุม
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาว ประมงในเขตต่อเนื่อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีในข้อ 2
เรื่องที่ 7 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยปลูกจิตสำนึกและรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อให้เกิดผลในการ ใช้ พลังงานทุกชนิดอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเสนอแนะวิธีการอนุรักษ์พลังงานที่เข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่ายให้แก่ ประชาชนทั่วไป โดยการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2544 สพช. ได้เน้นกิจกรรมรณรงค์ที่เปิดโอกาสให้ ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวและยังเป็นการช่วยชาติอีกทางหนึ่ง โดยมีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ดังนี้
1) กิจกรรมด้านการประหยัดไฟฟ้าในครัวเรือน : เป็นชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า"
2) กิจกรรมด้านการประหยัดน้ำมันในพาหนะส่วนบุคคล : ประกอบด้วย ชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน" และ ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91"
3) กิจกรรมปลูกจิตสำนึกสำหรับประชาชนทั่วไปและประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. กิจกรรมชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า" มีเป้าหมายให้แต่ละครัวเรือนแข่งขันกับตนเองในการประหยัดไฟฟ้าแต่ละเดือน และหากสามารถประหยัดได้ร้อยละ 10 ขึ้นไปของจำนวนหน่วยไฟฟ้าฐานเฉลี่ยของบ้านตนเองใน 3 เดือน คือ มิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 20 ของจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ลดลงได้ในเดือนนั้น โดยระยะเวลาการให้ส่วนลดจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
3. กิจกรรมชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน" เป็นการรณรงค์เพื่อ ส่งเสริมให้ผู้ใช้รถขับรถอย่างถูกวิธีและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ โดย สพช. จะจัดทำคู่มือขับรถอย่างถูกวิธีออกแจกให้ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ จากนั้นให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือ ส่วนกิจกรรมชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91" เป็นกิจกรรมสานต่อเพื่อสร้างความมั่นใจผ่านสื่อต่างๆ โดย สพช. ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงความจำเป็นในการช่วยกันประหยัดพลังงาน และแจ้งกิจกรรมที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมให้ทราบโดยผ่าน สื่อมวลชน รวมทั้งผลิตคู่มือในการประหยัดพลังงานในบ้าน และในการเดินทางขนส่ง แจกให้ประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะข้าร่วมโครงการการแข่งขันประหยัดไฟฟ้าและ น้ำมัน
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับประชาชนทั่วไป ปีงบประมาณ 2545 มีโครงการที่จะขยายผลต่อจากปี 2544 และต้องการที่จะรณรงค์สร้างจิตสำนึกและความเข้าใจถึงวิกฤตเศรษฐกิจ ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ โดยการใช้พลังงานอย่างประหยัดโดยมีประเด็นหลักคือ โครงการสร้างเสริมความเข้าใจถึงผลของการประหยัดพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจของ ประเทศ โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ (ระยะที่ 2) และโครงการรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน (ระยะที่ 2) เป็นต้น
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อที่ประชุมเกี่ยวกับโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานว่า ควรเน้นที่เด็กนักเรียนโดยดำเนินการให้มีการแข่งขันประหยัดน้ำมันรถยนต์ใน โรงเรียนขึ้น เพื่อส่งผลสืบเนื่องไปยังผู้ปกครองของนักเรียน นอกจากนั้น ในเวลากลางคืนควรมีการหรี่หรือปิดไฟในถนนบางสายโดยเฉพาะถนนของการทางพิเศษ แห่งประเทศไทย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและให้ สพช. รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี ไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 8 แนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินในประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2530 เห็นชอบแนวทางในการพัฒนาลิกไนต์และได้มีมติเกี่ยวกับผลการสำรวจเบื้องต้นว่า หากกรมทรัพยากรธรณีสำรวจเบื้องต้นพบว่าแหล่งลิกไนต์ในพื้นที่ใดเหมาะสมแก่ การผลิตไฟฟ้าก็ให้กันพื้นที่ไว้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่วนพื้นที่ที่เหลือให้นำไปประมูลคำขออาชญาบัตรพิเศษเพื่อให้เอกชนดำเนินการ ต่อไป
2. ในระหว่างปี 2531 - 2533 กรมทรัพยากรธรณีได้ดำเนินการสำรวจและประเมินศักยภาพถ่านหินในพื้นที่รวม 13 แอ่ง ในจำนวนนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กรมทรัพยากรธรณีกันพื้นที่แอ่งสิน ปุน แอ่ง เวียงแหง และแอ่งงาว ให้ กฟผ. ไว้ใช้ผลิตไฟฟ้า แต่เนื่องจากผลการศึกษาการพัฒนาแหล่งถ่านหินเวียงแหงเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าในขณะ นั้นพบว่ายังไม่เป็นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 ให้ กฟผ. คืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงให้กรมทรัพยากรธรณี และมีมติให้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์วิธีการให้อาชญาบัตรและประทานบัตรว่าถ้า พื้นที่ใดมีถ่านหินก็ให้กรมทรัพยากรธรณีเปิดประมูลการขออาชญาบัตรพิเศษ ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510
3. ต่อมาในปี 2541 กฟผ. ได้ทบทวนแผนการศึกษาความเหมาะสมของแหล่งเวียงแหงเพื่อนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าที่ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เพื่อช่วยลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากถ่านหินที่แอ่งเวียงแหงมีกำมะถันต่ำประมาณ 0.3 - 2.8% กฟผ. จึงนำเสนอต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ขอ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 ขอคืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงเพื่อพัฒนานำมาใช้กับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่ง สลค. ได้มีหนังสือถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ข้อสรุปว่าควรให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อคืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงให้ กฟผ. โดยมีเงื่อนไขว่า กฟผ. จะต้องศึกษาความเหมาะสมของโครงการทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในรายละเอียด ให้ชัดเจน และมีการจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนการอนุมัติให้ดำเนินโครงการ แต่หลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลง รัฐบาล
4. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 84) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2544 ได้มีมติมอบหมายให้ สพช. รับไปหารือร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี และ กฟผ. เกี่ยวกับแหล่งถ่านหินเวียงแหง งาว สินปุน และกระบี่ เพื่อพิจารณาให้มีการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2544 สพช. ได้มีการประชุมหารือกับกรมทรัพยากรธรณี และ กฟผ. เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินดังกล่าว โดย สพช. และ กฟผ. มีข้อเสนอให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อคืนแหล่งถ่านหินวียงแหงและแหล่งสะบ้าย้อยให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล แต่ให้ กฟผ. คืนแหล่งงาว และแหล่งสินปุน ให้แก่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อนำไปเปิดประมูลต่อไป
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ผู้แทนกรมทรัพยากรธรณี (กทธ.) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า กทธ. เห็นชอบกับหลักการตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ แต่ทั้งนี้ ขอให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันจัดแผนการใช้ถ่านหินของแหล่งเวียงแหงและ สะบ้าย้อยให้มีความชัดเจนขึ้น
2.ผู้แทนจาก กฟผ. ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า กฟผ. จำเป็นต้องใช้ถ่านหินจากแหล่งเวียงแหงประมาณ ร้อยละ 10 มาผสมกับถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะเพื่อช่วยลดมลภาวะที่เกิดขึ้น เนื่องจากถ่านหินที่แหล่งเวียงแหงมีคุณภาพดีกว่าที่เหมืองแม่เมาะ และขณะนี้กำลังดำเนินการขออนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะ สามารถนำถ่านหินจากแหล่งเวียงแหงมาใช้ได้ประมาณกลางปี 2548 ซึ่งจะใกล้เคียงกับช่วงที่สัญญาซื้อขายถ่านหินจากเอกชนที่นำมาใช้ผสมที่แม่ เมาะจะสิ้นสุดลงภายใน 3 - 5 ปีข้างหน้า
3.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับลักษณะการลงทุนพัฒนาในแหล่งเวียงแหง และการเปลี่ยนเชื้อเพลิงอื่นสำหรับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ รวมทั้งความคืบหน้าในการติดตั้งเครื่องจำกัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งผู้แทน กฟผ. ได้ชี้แจงว่า การลงทุนเพื่อดำเนินการที่แหล่งเวียงแหงเป็นการลงทุนร่วมระหว่าง กฟผ. กับเอกชน ส่วนเครื่องผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะเป็นเครื่องที่ใช้ได้เฉพาะถ่านหิน เท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น เชื้อเพลิงชนิดอื่นได้ โดยขณะนี้มีเครื่องผลิตไฟฟ้าจำนวนรวม 13 หน่วย และการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ติดตั้งครบทุกหน่วยแล้ว ยกเว้นหน่วยที่ 1 - 3 ซึ่งได้ปิดดำเนินการแล้ว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อกันแหล่ง ถ่านหินเวียงแหงและแหล่งสะบ้าย้อยให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล แต่ให้ กฟผ. คืนแหล่งงาว และแหล่งสินปุน ให้แก่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อนำไปเปิดประมูลต่อไป
2.เห็นชอบให้กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งกำหนดหลักเกณฑ์ให้เอกชนเข้ามาเปิดประมูลการขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ใน พื้นที่ที่สำรวจพบถ่านหินเบื้องต้นตามมาตรา 6 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510
เรื่องที่ 9 ราคาจำหน่ายไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้พิจารณาเรื่อง การจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้ สปป.ลาว และที่จะจำหน่ายแก่ประเทศเพื่อนบ้านใน แต่ละจุดเป็นอัตราที่อยู่ในระดับเดียวกันกับอัตราที่จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ ไฟฟ้าในประเทศตามโครงสร้างประเภท ผู้ใช้ไฟฟ้าของ กฟภ. ทั้งนี้ให้ กฟภ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจาและกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้า ในลักษณะที่อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทยได้ภายใต้หลักการดัง กล่าว
2. กฟภ. ได้จำหน่ายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านเมื่อเดือนกรกฎาคม 2544 รวม 6.86 ล้านหน่วย มีมูลค่า 16.4 ล้านบาท โดยขายให้สหภาพพม่า จำนวน 1.83 ล้านหน่วย ณ จุดเขตชายแดนบริเวณจังหวัดเชียงราย ตาก และกาญจนบุรี ขายให้ สปป. ลาว จำนวน 0.79 ล้านหน่วย ณ จุดชายแดน ที่จังหวัดเชียงรายและเลย และขายให้กัมพูชา จำนวน 4.24 ล้านหน่วย ที่จุดชายแดนจังหวัดสระแก้ว ตราด และสุรินทร์
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2543 รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามความตกลงในโครงการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า ระหว่างไทย - กัมพูชา เพื่อสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง 2 ประเทศ โดยไทย จะขายไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัดของกัมพูชา จำนวน 25 - 30 เมกะวัตต์ และให้ความร่วมมือในการวางแผนและก่อสร้างระบบสายส่งเชื่อมโยงกัน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการและการฝึกอบรมแก่กัมพูชา
4. ในการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับ กัมพูชาฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ที่ประชุมได้มีมติในส่วนขององค์ประกอบค่าไฟฟ้าที่จะขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ได้ราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ประเทศเพื่อนบ้านตามมติคณะ รัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นยังไม่ได้รวมเงินชดเชยรายได้จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติ ให้บวกส่วนที่เป็นเงินชดเชยรายได้จาก กฟน. ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 0.1459 บาท/หน่วย เข้าไปในอัตราค่าไฟฟ้าที่จะขายให้กัมพูชา ดังนั้นค่าไฟฟ้ารวมจึงเท่ากับ ค่าไฟฟ้าอัตราตามช่วงเวลาของการใช้ (TOU) ขายให้ผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ รวมค่าชดเชยรายได้ต่อหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. (0.1459 บาท/หน่วย) บวกกับค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม (0)
การพิจารณาของที่ประชุม
1.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) มีความเห็นว่า หากพิจารณาในด้านการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว การจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ สปป.ลาว สหภาพพม่าและ-กัมพูชาในอัตราเดียวกันกับที่จำหน่ายไฟฟ้าในประเทศจะเป็นการ ช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านวิธีหนึ่ง เช่น เดียวกับการมอบเงินช่วยเหลือเพื่อสร้างถนนและสาธารณูปโภคต่างๆ
2.ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านควรแยกระหว่างการค้า กับความช่วยเหลือออกจากกันอย่างชัดเจน ในกรณีของการจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านน่าที่จะพิจารณาในด้านการค้า เนื่องจากราคาค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านจะต้องสะท้อนถึงต้น ทุนตามที่เป็นจริง ซึ่งจะสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้ราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ กฟภ. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านในแต่ละจุดเท่ากับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารวมกับค่าชดเชยรายได้ต่อหน่วยจำหน่ายของ กฟภ.
2.ทั้งนี้ ให้ กฟภ. และ กฟผ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจา และกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้า ในลักษณะที่อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทยได้ภายใต้หลักการดัง กล่าว เช่น อาจกำหนดเป็นอัตราคงที่ (Flat Rate) เป็นต้น
เรื่องที่ 10 ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 เห็นชอบ แนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ดังนี้ 1) ให้ทยอยปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กิโลกรัม โดยให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาดำเนินการในช่วงเวลาที่ เหมาะสม 2) ให้กรมการค้าภายในรับไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปรับราคาขาย ปลีกก๊าซหุงต้ม และ 3) มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานรับไปพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา โครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2544 เห็นชอบการปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กิโลกรัม และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) เป็นผู้กำกับดูแลการเปลี่ยนแปลงราคาขายส่ง โดยความเห็นชอบของประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อทำการศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว
3. คณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว ได้จัดทำข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกในเดือนกันยายน 2544 ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 224 $/ตัน ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG อยู่ในระดับ 9.22 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 2.78 บาท/กก. หรือ 430 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มราคาก๊าซ LPG ในไตรมาส 3 ปี 2544 จะเคลื่อนไหวในระดับ 230 - 260 $/ตัน อัตราเงินชดเชยอยู่ในระดับ 3.30 - 4.50 บาท/กก. หรือ 508 - 690 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 882 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายชดเชยราคาก๊าซ LPG ในระดับ 430 ล้านบาท/เดือน กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าสุทธิ 452 ล้านบาท/เดือน ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ ติดลบในระดับ 14,483 ล้านบาท
3.2 กพง". ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ให้เท่ากับราคาปิโตรมิน - 16 $/ตัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2544 เป็นต้นมา คณะทำงานฯ จึงเสนอให้มีการกำหนดราคารับประกันระดับราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซ LPG ต่ำสุดในระดับ 200 $/ตัน โดยให้มีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงตามราคาก๊าซธรรมชาติทุก 6 เดือน
3.3 ในการปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซ LPG คณะทำงานฯ ได้มอบหมายให้ สพช. ขอความเห็นจากประธาน กพง. เพื่อปรับขึ้นราคาขายส่งก๊าซ LPG ในระดับที่ทำให้ราคาขายปลีกรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นรวม 1 บาท/กก. และแจ้งให้กรมการค้าภายในทราบเพื่อดำเนินการออกประกาศเปลี่ยนแปลงราคาขาย ปลีกก๊าซหุงต้มให้สอดคล้องต่อไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือนกันยายนนี้
3.4 คณะทำงานฯ ได้เสนอให้ใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือการปรับราคาโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ใหม่ ที่อาจเกิดจากความผันผวนของราคาตลาดโลก ซึ่งคณะทำงานฯ เสนอทางเลือกการดำเนินการ ดังนี้ 1) ปรับราคาขายส่งและขายปลีกขึ้น 1 บาท/กก. ในเดือนกันยายน 2544 แล้วให้ดำเนินการยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกโดยใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" 2) ให้ยกเลิกควบคุมราคาขายปลีก โดยใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" ทันที เมื่อราคาตลาดโลกปรับตัวขึ้น จึงค่อยปรับราคาขึ้น 3) ยังคงใช้ระบบควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG การปรับราคาขายส่งและขายปลีกตามมติ กพช. ให้ปรับขึ้นได้ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กก. ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
3.5 ควรลดภาระรายจ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยลดการใช้ LPG และการให้ความ ช่วยเหลือผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม การควบคุมการส่งออกก๊าซ LPG การลดรายจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนงบปราบปรามน้ำมันเถื่อน ให้มีแผนการชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในจำนวนที่แน่นอนในแต่ละเดือน ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นลงสู่ระดับต่ำสุด ภายในปี 2547 และควรแยกบัญชีรายรับ/รายจ่ายกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ออกจากน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นเมื่อฐานะกองทุนน้ำมันฯ เป็นบวก และชำระหนี้หมด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.การแก้ปัญหาหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับผู้ค้าก๊าซฯไม่สามารถทำได้เนื่องจากกองทุน น้ำมันฯ ไม่ใช่นิติบุคคล รัฐจึงต้องมีแผนชัดเจนในการชำระหนี้ โดยเฉพาะหนี้ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำนวน 8,960 ล้านบาท หากรัฐไม่มีความชัดเจนจะเป็นอุปสรรคต่อการแปรรูปของ ปตท. ได้ โดยนักลงทุนไม่มีความมั่นใจ ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นและรายได้จากการแปรรูปของปตท. ลดลง
2.ในการแก้ปัญหาหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รัฐควรแยกประเด็นการช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนออกมาจากระบบการค้าและราคา เพื่อมิให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างราคาและระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งจะมุ่งไปสู่ระบบการค้าสากลและเสรี และทำให้การช่วยเหลือประชาชนมีความชัดเจน นอกจากนี้ การใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่มีความเหมาะสมกับภาวะ ปัจจุบัน เพราะจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงของคณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวในระยะยาว ตามข้อ 3
2.เห็นชอบการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" และมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาทางเลือกการ ดำเนินการในการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือ การปรับราคาโดยอัตโนมัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 เห็นชอบแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เร่งรัดการจัดทำประเด็นนโยบายให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนด และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแปรรูป ปตท. ตามขั้นตอนการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1.1 การดำเนินการในประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การเร่งการดำเนินการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและการจัดทำแผน การใช้หนี้เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว การจัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และการจัดทำแนวทางความร่วมมือระหว่างบริษัทบางจากฯและบริษัท ไทยออยล์ฯ และการถือหุ้นในบริษัท บางจากฯ ของ ปตท. ได้มีการ ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือการกำกับดูแลอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติในระยะสั้น ซึ่ง สพช. อยู่ระหว่างดำเนินการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลที่ ชัดเจนและโปร่งใส ซึ่งจะสามารถนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบได้ในการ ประชุมครั้งต่อไป ภายในเดือนกันยายน 2544 นี้
1.2 ความก้าวหน้าในการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย มีดังนี้
(1) หลังจากคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแปรรูป ปตท. คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทฯ ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับ บมจ. ปตท. ที่จะจัดตั้งขึ้นโดยการเปลี่ยนทุนของ ปตท. เป็นหุ้นของ บมจ. ปตท. ได้แก่ การกำหนดกิจการ สิทธิ หน้าที่ความรับผิดชอบ สินทรัพย์ ทุนจดทะเบียน รวมทั้ง เรื่องพนักงาน โครงสร้างการบริหารงาน หนังสือบริคณห์สนธิ และข้อบังคับบริษัทซึ่งอยู่ระหว่างรอสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และผู้เกี่ยวข้องจากคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการ แปลงสภาพ ปตท. เพื่อประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้ง บมจ.ปตท. และนำเสนอ กนท. และ คณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติการจัดตั้ง บมจ. ปตท. ในส่วนของการทำงาน คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. มีหน้าที่กำกับดูแลการจัดโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่จะใช้ในการระดมทุน กำกับดูแลการประเมินทรัพย์สินของบริษัท และกำหนดแนวทางในการระดมเงินทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
(2) โดยที่ภาครัฐกำหนดให้ ปตท. ดำเนินการแปรรูปให้แล้วเสร็จภายในปี 2544 จึงมี ผลให้การดำเนินการในเรื่องเกี่ยวกับแผนการซื้อขายหุ้นต้องเร่งพิจารณา พร้อมกับการดำเนินการแปลงสภาพ ปตท. เป็นบริษัท ตามพระราชบัญญัติทุนฯ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปเรื่องทั้งหมดได้ พร้อมเสนอ กนท. และคณะรัฐมนตรีในวันที่ 20 และ 25 กันยายน 2544 ตามลำดับ ส่วนแผนและแนวทางการเสนอขายหุ้น ปตท. ควรนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่ออนุมัติภายในเดือนกันยายน 2544
2. แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวของ ปตท. มีดังนี้
2.1 ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตของกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ คาดว่าจะมีประมาณ 2,444 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 และเพิ่มเป็น 3,914 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559 โดยสามารถแยกกลุ่มผู้ใช้ได้เป็นดังนี้
(1) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในกรณีมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) 15% ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ในปี 2545 อยู่ในระดับ 1,289 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และจะลดลงเล็กน้อยอยู่ในระดับ 900-1,166 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงปี 2556-2559 สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP และ SPP) ความต้องการจะเพิ่มจากระดับ 648 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 เป็น 2,024 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559
(2) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง ปริมาณการใช้ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นจาก 190 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 เป็น 360 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559
(3) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในโรงแยกก๊าซฯ ปตท. มีแผนขยายโรงแยกก๊าซฯ ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2556
2.2 การจัดหาก๊าซธรรมชาติในครึ่งแรกของปี 2544 ที่ผ่านมา ปตท. ได้จัดหาก๊าซธรรมชาติจากสัญญาซื้อก๊าซธรรมชาติในแหล่งก๊าซธรรมชาติต่างๆ ในประเทศประกอบด้วย แหล่งเอราวัณ ไพลิน บงกช ทานตะวัน/เบญจมาศ และน้ำพอง รวม 1,821 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากสหภาพพม่า ประกอบด้วย แหล่งยาดานาและแหล่งเยตากุนในปริมาณ 487 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพื่อให้การจัดหาเพียงพอกับความต้องการในอนาคต ปตท. จะจัดหาก๊าซฯ จากแหล่งใหม่ 390 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2550 เป็นต้นไป
3. แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544 - 2554 มีดังนี้
3.1 จากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตของผู้ใช้ก๊าซฯ กลุ่มต่างๆ ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขีดความสามารถของระบบท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลในปัจจุบันไม่สามารถรองรับกับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ ภายในปี 2549 ได้ ประกอบกับเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ในการเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติตามนโนบายของรัฐ โดยการเปิดให้มีการให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่บุคคลที่สามได้ ปตท.จึงได้ทบทวนแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฯ เพื่อให้แผนดังกล่าวมีความสมบูรณ์และ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยมีโครงการดังนี้
โครงการ กำหนดแล้วเสร็จ
1. โครงการติดตั้ง Compressor กาญจนบุรี พ.ศ. 2546
2. โครงการระบบท่อส่งก๊าซฯรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล พ.ศ. 2547
3. โครงการติดตั้ง Compressor ที่ราชบุรี พ.ศ. 2547
4. โครงการก่อสร้างแท่นผลิตแห่งใหม่(ERP2) พร้อมติดตั้ง Compressorและวางท่อส่งก๊าซฯ จาก ERP2 ไปยัง KP.475 พ.ศ. 2548
5. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยัง ERP- บางประกง พ.ศ. 2548
6. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ.2549/2552
7. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยังจังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2551
8. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากท่อเส้นที่ 3 ไปอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553
3.2 การดำเนินการตามแผนแม่บทดังกล่าวข้างต้น จะต้องมีการลงทุนในวงเงินรวม 93,060 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาท / เหรียญสหรัฐฯ) โดยจะมีการกระจายการลงทุนไปตามช่วงเวลาที่เหมาะสม และเงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นส่วนของทุนที่มาจากรายได้ของ ปตท. และส่วนของเงินกู้ที่มาจากแหล่งเงินกู้ทั้งภายในและต่างประเทศในสัดส่วน 25:75
4. สพช. พร้อมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมทรัพยากรธรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และ ปตท. ได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2544-2554 แล้ว เห็นด้วยกับข้อเสนอของ ปตท. โดยมีข้อสังเกตว่า ถ้าหากโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว และโครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหินมีความล่าช้าจากแผนเดิมก็จะทำให้ปริมาณความต้องการก๊าซฯ มีมากกว่าปริมาณการจัดหา แต่หากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ความต้องการก๊าซฯ อาจจะต่ำกว่าแผนฯ ดังนั้นจึงเห็นควรให้ ปตท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อทบทวนและปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับ สถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้เพื่อให้การจัดหาก๊าซฯ และการลงทุนในระบบท่อก๊าซฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นว่าหลังการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แล้ว แม้รัฐฯ จะถือหุ้นในบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกินกว่า 70% ในการค้ำประกันการ ลงทุนของบริษัท ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไปบริหารการลงทุนเอง เพื่อเป็นตัวอย่างให้รัฐวิสาหกิจอื่นที่จะแปรรูปต่อไป สำหรับภาระหนี้สินที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพค้างชำระอยู่กับ ปตท. นั้น ควรที่จะมีการ แก้ไขโดยเร็วเพื่อไม่ให้กระทบกับฐานะทางการเงินของ ปตท. ก่อนที่จะมีการแปรรูปและการกำหนดมูลค่าหุ้นต่อไป
2.ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ชี้แนะเกี่ยวกับขั้นตอนการนำเสนอและขออนุมัติโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่ใช้เงินกู้ว่าไม่ควรนำเรื่องเสนอ สศช. แต่ควรเสนอกระทรวงการคลังโดยตรง เนื่องจาก ปตท. กำลังจะเปลี่ยนเป็นบริษัทเอกชนในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะช่วยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในระบบราชการให้น้อยลงด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544-2554 ตามที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนการก่อสร้างระบบท่อโดยมีโครงการที่จะอนุมัติใน ช่วงปี 2544-2554 จำนวน 8 โครงการ มีวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 93,060 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ)
2.เห็นชอบให้ใช้แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติตามมติของที่ประชุมตามข้อ 1 เป็นกรอบของการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการในช่วงปี พ.ศ. 2544-2554 โดยไม่ต้องเสนอขออนุมัติในระดับนโยบาย อีกยกเว้นโครงการที่มีประเด็นนโยบายพิเศษ โดยมีโครงการที่จะขออนุมัติดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2544-2554 ดังนี้คือ
- โครงการ กำหนดแล้วเสร็จ
1.โครงการติดตั้ง Compressor กาญจนบุรี พ.ศ. 2546
2.โครงการระบบท่อส่งก๊าซฯรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล พ.ศ. 2547
3.โครงการติดตั้ง Compressor ที่ราชบุรี พ.ศ. 2547
4.โครงการก่อสร้างแท่นผลิตแห่งใหม่(ERP2) พร้อมติดตั้ง Compressorและวางท่อส่งก๊าซฯ จาก ERP2 ไปยัง KP.475 พ.ศ. 2548
5.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยัง ERP- บางประกง พ.ศ. 2548
6.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ.2549/2552
7.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยังจังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2551
8.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากท่อเส้นที่ 3 ไปอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553
3.เห็นชอบกับขั้นตอนการนำเสนอ และขออนุมัติโครงการ ดังนี้
3.1 ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เสนอรายละเอียดของโครงการแต่ละโครงการที่จะดำเนินการในช่วงปี 2544-2554 ดังกล่าวข้างต้น ต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) โดยให้ สศช. รับพิจารณาเฉพาะโครงการที่อยู่ในแผนแม่บทฯ ที่ได้รับความเห็นชอบ
3.2 ให้ ปตท. จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อขอความเห็นชอบไปยังสำนักนโยบาย และแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535
3.3 หากไม่มีประเด็นนโยบายที่สำคัญและเป็นโครงการที่กำหนด ให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการเองแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ เพื่อทราบ
3.4 หากเป็นโครงการที่มีประเด็นนโยบายที่สำคัญให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
4.ให้กระทรวงการคลังรับไปจัดหาเงินกู้และค้ำประกันหนี้ให้แก่องค์กรขนส่ง มวลชนกรุงเทพ เพื่อชำระหนี้ค่าน้ำมันให้แก่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยทำความตกลงกับ กระทรวงการคลังถึงวิธีการจัดหาเงินกู้ดังกล่าว
เรื่องที่ 12 การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำและถดถอยตั้งแต่ปี 2540 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ เนื่องจากกำลังการกลั่นของประเทศมีมากเกินความต้องการ และส่งผลให้โรงกลั่นทุกโรงประสบภาวะการขาดทุน โดยเฉพาะบริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจาก สถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากสัดส่วนในการผลิตน้ำมันเตาซึ่งปกติมีราคาที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ สูงมากถึงร้อยละ 32 ของน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตได้ ค่าการกลั่นที่ได้รับจึงต่ำที่สุด ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบปัญหาการ ขาดทุนมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา นอกจากนั้น โรงกลั่นน้ำมันบางจากฯ มีภาระผูกพันในการจ่ายชำระคืนเงินกู้ในจำนวนที่สูง และบริษัทฯ มีความต้องการเงินทุนหรือเงินกู้ยืมโดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเพิ่มขึ้น ทุกปี
2. เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2544 รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ได้เชิญประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาแก้ไข ปัญหาของโรงกลั่นบางจากฯ ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดรูปแบบและโครงสร้างความร่วมมือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท บางจากฯ และบริษัทไทยออยล์ฯ ทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว โดยมีกำหนดระยะเวลาในการ ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
3. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 ได้เห็นชอบแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยเห็นชอบประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดแนวทางการแปรรูปในประเด็น การบริหารจัดการบริษัทในเครือในภาคธุรกิจการกลั่นของ ปตท. ในส่วนของบริษัทบางจากฯ นั้นควรจะต้องมีความชัดเจนในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่น น้ำมันของประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัทบางจากฯ กับบริษัทไทยออยล์ฯ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ก่อนกำหนดการที่จะนำ ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 นี้
4. สพช. เป็นแกนกลางในการประชุมหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสรุปแนวทางได้ดังนี้
4.1 ในระยะสั้น บริษัทบางจากฯ และบริษัท ไทยออยล์ฯ จะร่วมมือกันในลักษณะ Technical Synergy ดังนี้คือ 1) การใช้เรือขนส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางร่วมกัน : โดยเริ่มดำเนินการประมาณกลางเดือนกันยายน 2544 ซึ่งจะได้ประโยชน์จากค่าขนส่งที่ลดลง 2) การนำน้ำมันเตาจากบางจากฯ ไปแปรรูปเป็นน้ำมันชนิดอื่นที่มีราคาสูงกว่า (Cracking) ที่ บริษัท ไทยออยล์ฯ : โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2544 3) การใช้ท่าเรือและคลังน้ำมันของบริษัท ไทยออยล์/ปตท. หรือคลังอื่นเป็นที่เก็บน้ำมันดิบแทนเรือเก็บน้ำมันดิบ Floating Storage Unit (FSU) 4) การนำแนฟทาจากบริษัทบางจากฯ ไปเข้าหน่วยเพิ่มคุณภาพที่บริษัทไทยออยล์ฯ และ 5) การทำ Operation Synergy : ทั้งสองบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนงาน
4.2 ในระยะยาว จะต้องมีการร่วมมือกันอย่างจริงจังในระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ บางจากฯ ไทยออยล์ฯ และ ปตท. โดยให้โรงกลั่นไทยออยล์ฯ เป็นโรงกลั่นหลักในการสนับสนุนภาคการตลาดของธุรกิจ น้ำมันของ ปตท. และให้การดำเนินธุรกิจน้ำมันของ ปตท. เป็นลักษณะครบวงจร (Integrated refinery & marketing) และ ปตท. จะต้องถอนตัวออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทบางจากฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางธุรกิจ และเพื่อส่งเสริมให้มีการแข่งขันในระดับการค้าปลีกอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยขายหุ้น ให้แก่ประชาชน/นักลงทุนหรือกระทรวงการคลัง เมื่อโอกาสเอื้ออำนวย
5. การปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อลดต้นทุนของโรงกลั่นน้ำมัน กรมสรรพสามิตได้มีการปรับปรุงกฎหมาย โดยออกกฎกระทรวงตามมาตรา 101 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2543 ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจร่างของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนั้นในปัจจุบันกฎหมายว่าด้วยภาษีศุลกากรและสรรพสามิตของประเทศไทยได้ จำกัดวัตถุดิบของโรงกลั่นน้ำมันไว้แค่น้ำมันดิบและคอนเดนเสทเท่านั้น โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้มาจากการกลั่นแยกน้ำมันดิบ ทุกชนิด ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวจึงควรมีการขยายขอบเขตของวัตถุดิบให้ ครอบคลุมถึง Feedstock และ Blend stock ได้หลายชนิด ซึ่งจะช่วยเสริมให้โรงกลั่นในประเทศสามารถลดต้นทุนจากราคาวัตถุดิบได้
6. การดำเนินการตามแนวทางในข้อ 4 ดังกล่าวข้างต้นจะสามารถทำให้โรงกลั่นบางจากฯ และ ไทยออยล์สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้ประมาณ 900-1,100 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่การปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐตามข้อ 5 จะทำให้โรงกลั่นต่างๆ สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้จากการมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง และสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนได้มากขึ้น โรงกลั่นจึงมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยไม่ได้ทำให้ประเทศต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันแต่อย่างใด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นดังต่อไปนี้
1.1 หากภายหลังดำเนินการแก้ไขปัญหาตามแนวทางทั้งหมดแล้ว ผลประกอบการของบริษัท บางจากฯ โดยดูสถานะของรายได้ก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ยังเป็นลบก็จำเป็นต้องหาแนวทางที่จะยุติปัญหาที่สั่งสมให้ได้ในทันที
1.2 ในการพิจารณาขยายประเภทวัตถุดิบที่นำเข้ามากลั่นโดยไม่ต้องเสียภาษีนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการโดยให้ครอบ คลุมอุตสาหกรรม ทั้งหมด มิใช่เฉพาะแก้ปัญหาบริษัท บางจากฯ
1.3 การขายหุ้นบริษัท บางจากฯ ของ ปตท. ให้ ปตท. รับไปพิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาการเงินถึงแนวทางที่จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อ การเแปรรูป ของ ปตท.
2.กรรมการผู้จัดการบริษัท บางจากฯ (นายณรงค์ บุณยสงวน) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทมี EBITDA ติดลบประมาณ 900 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นที่ได้นำเสนอนั้นจะทำให้ EBITDA ของบริษัทฯ ไม่ติดลบในปี 2545 และจะเป็นบวกในปี 2546 เป็นต้นไป และการร่วมมือกันในลักษณะ Technical Synergy นั้นจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางความร่วมมือกันระหว่างบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด ในระยะสั้นในลักษณะ Technical Synergy ตามข้อ 4
2.เห็นชอบแนวทางในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด โดยให้ ปตท. ถอนตัวจากการเป็นผู้ถือหุ้น ในบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด โดยขายหุ้นให้แก่ประชาชน/นักลงทุน หรือ กระทรวงการคลังเมื่อโอกาส เอื้ออำนวย
3.เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตเร่งรัดการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 101 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2543 ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ให้มีการบังคับใช้โดยเร็ว
4.มอบหมายให้ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติร่วมกับโรงกลั่นน้ำมัน รับไปดำเนินการพิจารณาการขยายประเภทวัตถุดิบที่นำเข้ามากลั่นโดยไม่ต้องเสีย ภาษีให้มีขอบเขตครอบคลุมประเภทของวัตถุดิบกว้างขวางขึ้น
กพช. ครั้งที่ 84 - วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 84)
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
3.ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
4.แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
5.การทบทวนมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83)
6.แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
7.การสนับสนุนการใช้น้ำมันจากพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล
8.แผนการลงทุนของการไฟฟ้านครหลวงในช่วงปีงบประมาณ 2545-2550
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนพฤษภาคม 2544 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.5-2.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามราคาน้ำมันเบนซินที่สูงขึ้นเนื่องจากมีปริมาณสำรองต่ำ รวมทั้งการที่อิรักขู่จะหยุดส่งออกน้ำมันดิบ ในเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 3.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ที่แล้วประมาณ 17.0 ล้านบาร์เรล ส่วนราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจร สิงคโปร์ เดือนพฤษภาคมมีการปรับตัวลดลง 6.0-7.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจากค่าการกลั่นที่เพิ่ม สูงขึ้นทำให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการกลั่นประกอบกับปริมาณสำรองของน้ำมัน เบนซินในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น ส่วนในเดือนมิถุนายน ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 4.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อันเนื่องจากปริมาณสำรองทางการค้าเพิ่มมากขึ้น สำหรับราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.8-1.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ผลมาจากแรงซื้อในตลาดและปัญหาของโรงกลั่นในคูเวต ส่วนราคาน้ำมันเตาปรับตัวลดลง 2.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณสำรองในภูมิภาคค่อนข้างสูงและความต้องการใช้ยังไม่เพิ่มขึ้น
2. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยเดือนพฤษภาคม น้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 80 สตางค์/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลราคาไม่เปลี่ยนแปลง และในเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวลดลงรวม 1.10 บาท/ลิตร น้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 40 สตางค์/ลิตร ซึ่งมีสาเหตุจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงและค่าเงินบาท ที่แข็งตัวขึ้น ส่วนค่าการตลาดในเดือนพฤษภาคมได้เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.30 - 1.50 บาท/ลิตร เนื่องจากราคาขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลงช้ากว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก เดือนมิถุนายนค่าการตลาดได้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.00 บาท/ลิตร สำหรับค่าการกลั่นในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงต่ำกว่า 50 สตางค์/ลิตร (1.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) แต่ในเดือนมิถุนายนได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.00 บาท/ลิตร (3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
3. แนวโน้มราคาน้ำมันในไตรมาส 3 ของปี 2544 คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นตาม ฤดูกาล แต่ปริมาณสำรองยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ระดับ 26-29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และเบรนท์จะอยู่ที่ระดับ 27-30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันสำเร็จรูป เบนซินจะอยู่ที่ระดับ 30-34 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 32-36 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาขายปลีกของไทย น้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ที่ระดับ 16-17 บาท/ลิตร น้ำมันเบนซินออกเทน 91 และดีเซลอยู่ที่ระดับ 15-16 บาท/ลิตร
4. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกเดือนพฤษภาคมปรับตัวสูงขึ้น 8 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 265 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ราคาก๊าซฯ หน้าโรงกลั่นอยู่ที่ระดับ 11.57 บาท/ก.ก. อัตราเงินชดเชยจาก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ระดับ 6.07 บาท/กก. แนวโน้มของราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกในช่วง ไตรมาส 3 จะอยู่ที่ระดับ 275-285 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งจะทำให้อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ระดับ 6.55-7.01 บาท/กก. หรือ 1,002-1,072 ล้านบาท/เดือน กรมบัญชีกลางได้รายงานยอดเงินคงเหลือของกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2544 มีจำนวน 3,489 ล้านบาท มีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 15,955 ล้านบาท ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบ 12,466 ล้านบาท โดยมีรายรับ 882 ล้านบาท/เดือน และรายจ่าย 928 ล้านบาท/เดือน ทำให้มีเงินไหลออกสุทธิ 46 ล้านบาท/เดือน
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 19 พ.ศ. 2544 ปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้น 0.8500 บาท/กก. ทำให้ราคาขายปลีกเมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็น 11.61 บาท/กก. มีผลตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคา น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นโดยมีความก้าวหน้าในแต่ละมาตรการสรุปได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้
1.1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับโครงการลดต้นทุนการผลิตและ สนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงานในจังหวัดต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการจำนวน 109 ราย และอยู่ระหว่างการประสานงานให้ที่ปรึกษาด้านพลังงานเข้าไปตรวจวัดพลังงาน เบื้องต้นในโรงงานที่ร่วมโครงการ นอกจากนี้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้ให้เงินสนับสนุนในการ ดำเนินโครงการสาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs ให้ แก่กรมโรงงานอุตสาหกรรมในวงเงิน 9.8 ล้านบาท รวมทั้ง ยังมีโครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงาน และโครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและ ขนาดย่อม ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
1.2 การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้ดำเนินโครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) เสร็จสิ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2543 มีรถเข้าร่วมโครงการ 14,453 คัน คิดเป็นร้อยละ 85 ของเป้าหมายโครงการคาดว่าจะช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงให้แก่รถที่เข้าร่วม โครงการคิดเป็นเงินประมาณ 13 ล้านบาท
1.3 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ออกประกาศให้ทุนสนับสนุนเทศบาลทั่วประเทศเพื่อจัดทำแผนสร้างทางจักรยาน และรณรงค์ขี่จักรยานแบบครบวงจรในระดับเทศบาล ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2544
1.4 สพช. ได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้เบนซินที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับ เครื่องยนต์ ในช่วงที่ผ่านมาทำให้สัดส่วนการใช้เบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยร้อยละ 27 ในปี 2541 เป็นเฉลี่ยร้อยละ 33 49 55 ในปี 2542 2543 และ 2544 ตามลำดับ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้รวม 2,653 ล้านบาท
2. มาตรการช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันเป็นรายสาขามีดังนี้
2.1 ปตท. ได้ลดราคาเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรลิตรละ 25 สตางค์ และน้ำมันหล่อลื่น ลิตรละ 2 บาท รวมทั้ง ได้ลดราคาน้ำมันดีเซลให้กลุ่มประมงลิตรละ 42-77 สตางค์ และลดราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ลิตรละ 15 สตางค์และ 7 สตางค์ ตามลำดับ ตั้งแต่ปี 2543 และจะขยายความช่วยเหลือจนถึงสิ้นปี 2544
2.2 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใช้เงินของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่ครัวเรือนเกษตรกรปริมาณ 15 ลิตร/เดือน/ครัวเรือน อัตราลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2543 มีเกษตรกรขอเบิกเงินชดเชยรวม 58,525 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 1 ของจำนวนครัวเรือนเป้าหมาย ปริมาณน้ำมัน 2.2 ล้านลิตร เป็นจำนวนเงินชดเชย 6.5 ล้านบาท และกรมประมงใช้เงิน คชก. ชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่เรือประมงขนาดเล็กในอัตราไม่เกินลิตรละ 3 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2543 ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินโครงการในระยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2544
2.3 กรมการขนส่งทางบก ได้ช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งในอัตราเฉลี่ย 40 ลิตร/คัน/วัน อัตราลิตรละ 1.20 บาท โดยจัดทำเป็นคูปองน้ำมันมีระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2543 รวมเป็นเงินจ่ายชดเชย 133 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการช่วยเหลือชดเชยแก่ผู้ประกอบการขนส่งในช่วงเดือน มิถุนายน - สิงหาคม 2544 โดยจะจ่ายเป็นเช็คเงินสดให้ผู้ประกอบการใน แต่ละเดือนๆ ละ 48 บาท/วัน/คัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาคูปองน้ำมันปลอม
3. มาตรการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงาน
3.1 ปตท.ได้สนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติในยานยนต์โดยการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซ ธรรมชาติ ให้แก่รถแท๊กซี่อาสาสมัคร จำนวน 100 คันแล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2544 และอยู่ระหว่างดำเนินการขยายการติดตั้งอุปกรณ์ให้แก่รถแท๊กซี่อีก 1,000 คัน โดยในแผนระยะที่ 2 จะขยายการติดตั้งอุปกรณ์ให้แก่รถแท็กซี่อีก 10,000 คัน ภายใน 5 ปี รวมทั้งมีแผนที่จะก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการให้บริการ แก่รถยนต์ที่ใช้ก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 30 สถานี ภายในปี 2548
3.2 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยง สัตว์รายย่อยทั่วประเทศในการสร้างบ่อผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อใช้เป็น พลังงานทดแทนก๊าซหุงต้ม จนถึงปัจจุบันได้มีการก่อสร้างบ่อผลิตก๊าซชีวภาพแล้ว 1,054 บ่อ ได้ก๊าซชีวภาพปีละ 2.9 ล้านลบ.ม. ทดแทนก๊าซหุงต้มได้ 1.25 ล้านกิโลกรัม นอกจากนี้ กองทุนฯ จะให้การอุดหนุนราคารับซื้อไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อ เพลิง เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยคาดว่าจะออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการภายในเดือนกรกฎาคม 2544 และจะพิจารณาคัดเลือกโครงการภายในเดือนธันวาคม 2544
4. การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐ ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 25 เป็นปริมาณการจัดหาในปี 2543 รวม 132,660 บาร์เรล/วัน และในไตรมาสที่ 1 ของปี 2544 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5 เป็นปริมาณ 145,890 บาร์เรล/วัน ซึ่งราคาที่นำเข้าตามสัญญานี้จะต่ำกว่าราคาในตลาดจร 81 เซ็นต์สหรัฐ/บาร์เรล
5. การเร่งสำรวจแหล่งพลังงานภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน
5.1 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนยื่นขอรับสัมปทานเพื่อการ สำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 ที่ผ่านมา เป็นแปลงสำรวจรวม 87 แปลง มีพื้นที่รวม 450,000 ตารางกิโลเมตร ขณะนี้มีผู้สนใจยื่นขอรับสัมปทานรวม 6 แปลง นอกจากนี้ยังได้เตรียมร่างประกาศกระทรวงเพื่อให้มีการยื่นขออาชญาบัตรพิเศษ เพื่อการสำรวจและพัฒนาถ่านหิน โดยเฉพาะในแหล่งที่กรมทรัพยากรธรณีได้มีการสำรวจและประเมินไว้แล้ว ซึ่งพร้อมจะเปิดให้เอกชนประมูลได้โดยเร็ว จำนวน 7 แห่ง คือ แหล่ง แม่ทะ เสริมงาม แจ้ห่ม-เมืองปาน เวียงเหนือ เชียงม่วน แม่ระมาด และเคียนซา รวมปริมาณสำรอง 672 ล้านตัน
5.2 การสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) ได้มีการเจาะสำรวจพื้นที่ตามสัญญาแล้ว 29 หลุม พบปิโตรเลียม 15 แหล่ง เป็นปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วของก๊าซธรรมชาติ 5.16 ล้านล้านลบ.ฟ. ก๊าซธรรมชาติเหลว 112 ล้านบาร์เรล และน้ำมันดิบ 10 ล้านบาร์เรล ปัจจุบันองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ได้เห็นชอบให้มีการทำสัญญาจ้างเหมางานก่อสร้างแท่นผลิตและเจาะหลุมผลิตในแห ล่งก๊าซ Cakerawala คาดว่าจะส่งมอบก๊าซได้ในปลายปี 2545 หรือต้นปี 2546
5.3 นายกรัฐมนตรีได้เยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 และได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อวางกรอบแนวทางในการเจรจาแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาในอ่าวไทย เพื่อให้มีการสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
2.มอบหมายให้ สพช. หารือร่วมกับ กรมทรัพยากรธรณี และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับแหล่งถ่านหินที่เวียงแหง งาว สินปุน และกระบี่ เพื่อพิจารณาให้มีการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป
เรื่องที่ 3 ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2534 เห็นชอบให้มีการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) เพื่อให้อัตราค่าไฟฟ้าสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง และลดผลกระทบของความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงที่มีต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้า โดยให้มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จริงและอยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้เรียกเก็บค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2535 โดยการนำค่า Ft ที่คำนวณได้ไปรวมกับค่าไฟฟ้าตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปกติ และค่า Ft จะเปลี่ยนแปลงเป็นรายเดือน ต่อมาได้มีการร้องเรียนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเนื่องจากไม่ต้องการให้ค่า Ft มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เกินไปจึงมีการพิจารณาใช้ค่าเฉลี่ย 4 เดือน
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบให้มีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ได้เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
3. สูตร Ft ใหม่ ได้มีการปรับปรุงรายละเอียดของสูตรให้มีความชัดเจนโปร่งใสยิ่งขึ้น โดยนำค่าใช้จ่ายในการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ออกจากสูตร Ft และให้การไฟฟ้าร่วมรับภาระความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วย จึงส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่คำนวณตามสูตร Ft ใหม่ต่ำกว่าค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft เดิม ซึ่งค่า ไฟฟ้าตามสูตร Ft ใหม่จะเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหลัก ดังนี้
3.1 ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และค่าซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยเปลี่ยนไปจากค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าฐานที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้าง อัตราค่าไฟฟ้า
3.2 ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในการชำระคืนเงินกู้และดอกเบี้ยต่างประเทศของการไฟฟ้า โดยการคำนวณค่า Ft ตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นไป การไฟฟ้าจะต้องรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยในระดับหนึ่ง กล่าวคือ การไฟฟ้าจะต้องรับภาระ 5% แรก หากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงจากอัตรา แลกเปลี่ยนฐาน และมีการกำหนดเพดานให้ปรับค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft ได้ไม่เกิน 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ และหากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน ให้การไฟฟ้าคืนผลประโยชน์ให้ประชาชน ผ่านสูตร Ft ทั้งหมด
3.3 รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไปของการไฟฟ้า (MR) เนื่องจากราคาขาย เปลี่ยนแปลงไปจากที่ประมาณการฐานะการเงิน ยังคงให้มีการปรับ MR ในช่วง 6 เดือนแรก เพื่อเป็นการประกันว่าค่าไฟฟ้าขายปลีกจะลดลงร้อยละ 2.11 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวให้นำ MR ออกจากสูตร Ft
3.4 การเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของการไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่ค่า เชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า (Non-Fuel Cost) ซึ่งจะมีการปรับตามอัตราเงินเฟ้อ และหน่วยจำหน่ายที่เปลี่ยนแปลงไป จากฐานที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน ทั้งนี้ ได้มีการดูแลเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจการไฟฟ้าด้วยแล้วในการกำหนด โครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน โดยการไฟฟ้าจะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายในกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่ายในอัตราร้อยละ 5.8, 2.6 และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ
4. ในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2544 ได้พิจารณาค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนมิถุนายน-กันยายน 2544 และมีมติเห็นชอบให้มีการปรับค่า Ft เพิ่มขึ้น 2.69 สตางค์/หน่วย จาก 24.44 สตางค์/หน่วย เป็น 27.13 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ เรียกเก็บจากประชาชนเพิ่มขึ้นจาก 2.45 บาท/หน่วย เป็น 2.48 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.10 ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับค่า Ft เพิ่มขึ้นครั้งนี้มาจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าส่งผลให้ ค่า Ft เพิ่มขึ้นประมาณ 4 สตางค์/หน่วย แต่จากอัตราเงินเฟ้อในช่วงดังกล่าวต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณการไว้และ การลดสัดส่วนการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าลง รวมทั้งการใช้ พลังน้ำเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ค่า Ft ลดลง 1.31 สตางค์/หน่วย นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ ได้มีมติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระต้นทุนการทดสอบการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยให้ ส่งผ่านเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงซึ่งเสมือนว่าโรงไฟฟ้าราชบุรีดำเนิน การในกรณีปกติ ทำให้สามารถลด ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้ประมาณ 40 ล้านบาท ซึ่งได้นำมาลดค่า Ft ในครั้งนี้ด้วยแล้ว
5. นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ ได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนฐานอยู่ที่ 38 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น หากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ระหว่าง 38-40 บาท/เหรียญสหรัฐฯ การไฟฟ้าจะเป็นผู้รับภาระ และหากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับ 40-45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ประชาชนจะเป็นผู้รับภาระ หากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเกินกว่า 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ การไฟฟ้าจะเป็นผู้รับภาระ แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าน้อยกว่า 38 บาท/เหรียญสหรัฐฯ การไฟฟ้าต้องส่งผลประโยชน์ทั้งหมดให้ประชาชน และจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงเกินกว่า 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2544 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งต้องรับภาระของอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 327.6 ล้านบาท ในการปรับค่า Ft ครั้งนี้
6. คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ซึ่งมีนายพรายพล คุ้มทรัพย์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนายวิชิต หล่อจีระชุณห์กุล เป็นรองประธานอนุกรรมการ ร่วมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนผู้บริโภค และนักวิชาการเป็นอนุกรรมการ ได้มีการศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ตลอดจนพิจารณารายละเอียดทางเทคนิคที่สำคัญ อาทิ ต้นทุนการผลิตและการดำเนินงาน ราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) การกำหนดมาตรฐานค่าความร้อน การกำหนดอัตราความสูญเสียในระบบ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการประชุมไปแล้วจำนวน 5 ครั้ง และคณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ ได้พิจารณาข้อเสนอเบื้องต้นของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ แล้ว สรุปได้ดังนี้
6.1 การเกลี่ยราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน เพื่อให้ราคารับซื้อไฟฟ้าลดลงในช่วงแรกนั้น จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ โดยหากมีการเกลี่ยราคารับซื้อไฟฟ้าในลักษณะดังกล่าว ประชาชนจะจ่ายค่าไฟฟ้าลดลงเพียง 1.76 สตางค์ต่อหน่วย แต่จะเสียประโยชน์คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันประมาณ 94,000 ล้านบาท เนื่องจากการเกลี่ยราคารับซื้อไฟฟ้าจะคำนวณบนอัตราส่วนลด (Discount Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับร้อยละ 8-12 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 3 เท่านั้น
6.2 การทบทวนภาระอัตราแลกเปลี่ยนในสูตรราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน มีความเป็นไปได้ในการดำเนินการ ซึ่งจะช่วยลดภาวะความผันผวนของค่าไฟฟ้าในอนาคตลงได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ ได้มอบหมายให้ กฟผ. ไปดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนต่อไป
6.3 การกำหนดมาตรฐานค่าความร้อน (Heat Rate) ของโรงไฟฟ้าของ กฟผ. คณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ เห็นด้วยในหลักการ เพื่อให้การดำเนินงานของ กฟผ. มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้มีการกำหนดค่ามาตรฐานความร้อนเป็นรายโรงไฟฟ้า ในลักษณะเดียวกันกับที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบแผนประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2544 ในส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ (สพช.) รับผิดชอบ โดยอนุมัติงบประมาณดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 137,351,329.70 บาท
2. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2544 ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศเกิดความภาคภูมิใจที่ได้ เข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน โดยการใช้น้ำมันและไฟฟ้าแบบประหยัดด้วยวิธีการที่สามารถปฏิบัติได้ในชีวิต ประจำวันและเห็นผลชัดเจน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรมหลัก ดังนี้
2.1 กิจกรรมด้านการประหยัดไฟฟ้าในครัวเรือน ประกอบด้วย ชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัด ไฟฟ้า" เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนประหยัดไฟฟ้า โดยมีหลักเกณฑ์ว่าหากครอบครัวใดสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ร้อยละ 10 ของเดือนที่ผ่านมาหรือในเดือนเดียวกันของปีที่แล้วก็จะได้รับ "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" ในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ และหากโครงการประสบผลสำเร็จคาดว่าจะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้า คิดเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยกองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 800 ล้านบาท เพื่อจ่ายให้ การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทนผู้ใช้ไฟซึ่งได้รับ "ส่วนลดค่าไฟฟ้า"
2.2 กิจกรรมด้านการประหยัดน้ำมันในพาหนะส่วนบุคคล ประกอบด้วย
(1) ชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธี เพื่อประหยัดน้ำมัน" เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้ รถยนต์ขับรถอย่างถูกวิธีและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ โดย สพช. จะจัดทำคู่มือขับรถอย่างถูกวิธี ออกแจกจ่ายให้ กับผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือและทำการวัดประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน 2-3 ครั้ง แล้วส่งผลการวัดประสิทธิภาพให้ สพช. ซึ่ง สพช. จะได้ให้คำแนะนำในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน รวมทั้ง จะมีการประชาสัมพันธ์อื่นๆ ที่เหมาะสมเพื่อเป็นแรงจูงใจต่อไป
(2) ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91" เป็นกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจผ่านสื่อต่างๆ และได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันหรือการเข้ามามีส่วนร่วมกับ โครงการ โดยการใช้แรงจูงใจเป็นรางวัล อาทิ อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน หรือรางวัลอื่นที่เหมาะสม
2.3 กิจกรรมปลูกจิตสำนึกสำหรับประชาชนทั่วไปและประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนฯ เป็นกิจกรรมรณรงค์ปลูกจิตสำนึก และเผยแพร่วิธีการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งจะเป็นกิจกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความสำเร็จของโครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในช่วงที่ผ่านมา
3. การดำเนินงานในระยะต่อไป สพช. จะทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงความจำเป็นในการช่วยกันประหยัด พลังงาน และกิจกรรมที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมผ่านทางสื่อมวลชน รวมทั้งผลิตคู่มือการประหยัดพลังงานในบ้านและการเดินทางขนส่ง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมโครงการการแข่งขันประหยัดไฟฟ้าและน้ำมัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การทบทวนมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83)
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ได้เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งมติดังกล่าวได้นำรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและถือเป็นมติคณะรัฐมนตรี ต่อไป ต่อมาในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2544 ได้มีมติให้ถอนเรื่องดังกล่าวคืนไปก่อน โดยให้นำความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ไปพิจารณาทบทวนใน 2 ประเด็น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
2. ประเด็นที่ให้พิจารณาทบทวนมีดังนี้
2.1 การเปลี่ยนหลักการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง โดยอิงราคาก๊าซธรรมชาติแทนการอ้างอิงราคาน้ำมันเตาอาจมีผลกระทบต่ออัตราค่า ไฟฟ้า
2.2 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานควรมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ พลังงานมากกว่าส่งเสริมการผลิตเพราะแนวทางการส่งเสริม SPP ที่ถูกต้องควรใช้วิธีการลดต้นทุนซึ่งจะทำให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพ มากกว่าการใช้เงินกองทุนสนับสนุนการผลิต
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ชี้แจงเหตุผลในแต่ละประเด็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติดังนี้
3.1 การเปลี่ยนหลักการกำหนดโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าของสัญญาระยะยาวมีอายุ ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป (Firm) และสัญญาระยะสั้นมีอายุน้อยกว่า 5 ปี (Non-firm) จากการอิงราคาน้ำมันเตามาอิงราคาก๊าซ ธรรมชาติ จะทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงสอดคล้องกับต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เป็นจริงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจะทำให้โครงสร้างราคาสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันเตาจะปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ก๊าซธรรมชาติจะอิงราคาน้ำมันเตาประมาณ ร้อยละ 30 ดังนั้น การอิงราคาก๊าซธรรมชาติจะมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าน้อยกว่าการอิงราคาน้ำมันเตา
3.2 ราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตามสัญญา Firm และ Non-firm ในเดือนเมษายน 2544 พบว่าราคารับซื้อที่เปลี่ยนมาอิงราคาก๊าซธรรมชาติจะต่ำกว่าราคารับซื้อซึ่ง อิงราคาน้ำมันเตา โดยสัญญา Firm ที่อิงราคาก๊าซธรรมชาติจะลดลงจากที่อิงราคาน้ำมันเตา 23 สตางค์/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เหลือ 2.29 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง และสัญญา Non-firm จะลดลง 41 สตางค์/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เหลือ 1.65 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ดังนั้น การ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าโดยอิงราคาก๊าซธรรมชาติจะทำให้ภาระการ รับซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลง และจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าของประชาชนลดลงตามไปด้วย
3.3 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานแล้วยังมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้มีการนำพลังงาน หมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาใช้อย่างแพร่หลาย ดังนั้น การสนับสนุน SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจึงเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ นอกจากนี้ ศักยภาพชีวมวลในประเทศไทยที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้ายังมีอีกจำนวนมาก โดยในปี 2541 มีปริมาณชีวมวลถึง 18.8 ล้านตัน เป็นชีวมวลที่ยังไม่ได้นำไปใช้ 5.7 ล้านตัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,003 เมกะวัตต์ และการอุดหนุนราคารับซื้อไฟฟ้าเป็นการอุดหนุนเฉพาะในส่วนที่เป็นผลต่างทาง ด้านต้นทุนสิ่งแวดล้อมของก๊าซธรรมชาติและชีวมวลในอัตราสูงสุด 36 สตางค์/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ทั้งนี้ เนื่องจากต้นทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้าที่ใช้ชีวมวลจะต่ำกว่าโรง ไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ แต่มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่สูงกว่า เพื่อเป็นการชดเชยในส่วนต้นทุนการผลิตของโรงไฟฟ้าชีวมวลที่สูงกว่าเป็นระยะ เวลา 5 ปี เพื่อจูงใจให้เกิดผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมากขึ้น
มติของที่ประชุม
ให้ยืนยันมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83) เรื่องอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ดังนี้
1.เห็นชอบหลักการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer : SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติแทนการอ้างอิงราคาน้ำมันเตา
2.เห็นชอบโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงาน หมุนเวียนโดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติ และสูตรการคำนวณ รวมทั้งค่าตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าตามที่ได้มีการปรับปรุง ใหม่
3.โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ใหม่ ให้มีผลบังคับใช้กับ SPP ดังต่อไปนี้
3.1 SPP ที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ SPP รายเดิม ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เฉพาะกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม ให้โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่นี้มีผลบังคับใช้เฉพาะส่วนของกำลังการผลิต ส่วนเพิ่ม
3.2 SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนประเภท Firm โครงการใหม่ และ SPP ประเภท Non-firm ที่จะยื่นขอขายไฟฟ้าใหม่กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. และ SPP ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเดิมสามารถเจรจาขอเปลี่ยนโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้า ใหม่ได้
เรื่องที่ 6 แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ที่ประชุมได้รับทราบผลการประชุมการระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนา ตลาดทุน โดยเห็นชอบแผนเตรียมความพร้อมในการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในการประชุมดังกล่าวเห็นชอบให้นำการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างช้าภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันหารือถึงการกำหนดโครงสร้างและขั้นตอนใน การแปรสภาพ ปตท. เป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) โดยอาศัยพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลดังกล่าว
2. นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดแนวทางการแปรรูป ปตท. มีดังนี้
2.1 นโยบายการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ในช่วงที่ผ่านมา ปตท. มีบทบาทในฐานะกลไกของรัฐเพื่อสนองนโยบาย ทำให้รัฐต้องกำหนดให้ ปตท. มีสิทธิพิเศษและสิทธิผูกขาดในบางเรื่อง จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนสิทธิพิเศษและสิทธิผูกขาด รวมทั้งภาระผูกพันของ ปตท. เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุง โครงสร้างของ ปตท. ทั้งในด้านของการแยกก๊าซธรรมชาติ และบทบาทของ ปตท. ในเชิงธุรกิจ
2.2 โครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยในระยะยาว การแปรสภาพ ปตท. เป็น บมจ. ปตท. จะต้องคำนึงถึงโครงสร้างกิจการก๊าซฯ เพื่อให้มีการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ จึงควรเร่งรัดให้มีการดำเนินการดังนี้ 1) แยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติออกจากกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ในลักษณะการแบ่งแยกตามบัญชี (Account Separation) ก่อนนำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งในลักษณะการแบ่งแยกตามกฎหมาย (Legal Separation) หลังการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 1 ปี 2) จัดทำแผนการลงทุนระยะยาวของระบบท่อส่งก๊าซฯ โดยคำนึงถึงการทบทวนแผนแม่บทระบบ ท่อส่งก๊าซฯ ฉบับที่ 2 3) เปิดให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access) ตามหลักการที่ กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมทรัพยากรธรณี) ได้ทำการศึกษาและยกร่าง 4) ในการกำกับดูแลในระยะสั้นให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ อัตราค่าบริการผ่านท่อ คุณภาพการให้บริการ การลงทุนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งส่งเสริมและขจัดข้ออุปสรรคในการแข่งขัน โดยให้ดำเนินการเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ ขึ้นมา 5) ในการกำกับดูแลในระยะยาว เมื่อมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระแล้วเสร็จ ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... การดำเนินการกำกับดูแลต่างๆ จะเป็นหน้าที่ขององค์กรกำกับดูแลอิสระ
3. แนวทางการแปรรูป ปตท. ในหลักการของการจัดโครงสร้างเพื่อการแปรรูป ปตท. จะอาศัยพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 โดยกำหนดให้นำ ปตท. (รัฐวิสาหกิจทั้งองค์กร) แปลงสภาพเป็นบริษัท ปตท. จำกัด ซึ่งมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดในขั้นต้น ก่อนที่จะแปรสภาพเป็น บมจ. ปตท. เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะต่อไป
4. เมื่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบและคณะรัฐมนตรี รับทราบหลักการการแปรรูป ปตท. ดังกล่าวข้างต้นตามลำดับแล้ว จำเป็นต้องเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติทุนรัฐ วิสาหกิจฯ การดำเนินการตามขั้นตอนการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัดและบริษัทจำกัด มหาชน รวมทั้งขั้นตอนกฎหมายที่เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นและจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์ฯ ต้องจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชน ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด และ ปตท.
5. ในการดำเนินการแปรรูป ปตท. ก่อนที่จะสามารถนำ ปตท. เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้นั้น จำเป็นต้องดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวกับการแปรรูป การดำเนินการแปรสภาพ ปตท. เป็น บริษัทฯ ตามพระราชบัญญัติทุนฯ และการเสนอขายหุ้น ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดแนวทางการแปรรูปการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ดังรายละเอียดข้อ 2.1-2.2 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2 และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นแกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการจัดทำ ประเด็นนโยบาย ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ดังรายละเอียดในข้อ 2.3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2 ดังนี้ คือ
1.1 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เร่งรัดการดำเนินการในประเด็นการยกเลิกการควบคุมราคากาซปิโตรเลียมเหลว
1.2 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับ กค. และผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 เร่งรัดการจัดทำแผนการใช้หนี้เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว
1.3 มอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการแยกกิจการท่อก๊าซธรรมชาติ ออกจากกิจการจัดหาและจำหน่าย รวมทั้งจัดทำแผนการลงทุนระยะยาวของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้เห็นชอบให้ ปตท. คงการถือหุ้นในกิจการดังกล่าวในสัดส่วนร้อยละ 100
1.4 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และ ปตท. เร่งดำเนินการเปิดให้บริการขนส่งก๊าซฯ ทางท่อแก่บุคคลที่สาม และเปิดให้มีการแข่งขันในแหล่งก๊าซฯ และตลาดก๊าซฯ ใหม่
1.5 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับ อก. และ ปตท. ดำเนินการกำกับดูแลอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ ในระยะสั้น
1.6 มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการปฏิบัติการกับบริษัทไทยออยล์ จำกัด ในลักษณะ Integrated Refinery & Marketing
1.7 มอบหมายให้ สพช./กค./ปตท./บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท. กับบริษัทบางจากฯ ในประเด็นการขายหุ้นของ ปตท. ในบริษัทบางจากฯ รวมทั้งดำเนินการลดการลงทุนในบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด และบริษัทสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด
1.8 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับ กค. บริษัทบางจากฯ และบริษัทไทยออยล์ฯ เร่งดำเนินการจัดทำแนวทางความร่วมมือกันระหว่างบริษัทบางจากฯ และบริษัทไทยออยล์ฯ
1.9 มอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างหนี้และทุนของบริษัทในเครือ เช่น การเพิ่มทุน การลดทุน การเปลี่ยนแปลงมูลค่า (PAR) ต่อหุ้น และอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายมหาชน และระเบียบวิธีปฏิบัติของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบริษัทในเครือและเพิ่มความพร้อมในงานการ แปรรูปของ ปตท.
1.เห็นชอบแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ดังรายละเอียดข้อ 2.2 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2 โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สพช. ปตท. รวมทั้งคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทเร่งดำเนินการตามขั้นตอนการแปรสภาพรัฐ วิสาหกิจของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 รวมทั้ง
2.1 มอบหมายให้คณะกรรมการระดมทุนจากภาคเอกชน เร่งดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นและจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ดังรายละเอียดในข้อ 2.3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2 ต่อไป
2.2 ในการระดมทุนหรือขายหุ้นให้กับภาคเอกชนข้างต้น ให้ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่าย กิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
2.3 ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับงานแปรรูป ปตท. ให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวกในการขอรับอนุมัติ การทำสัญญา การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่จำเป็นสำหรับงานการแปรรูปของ ปตท.
2.4 ในเรื่องของกำหนดเวลาที่จะระดมทุนจากตลาดภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ให้คำนึงถึงสภาวะตลาดหุ้น และสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ ปตท. สามารถเตรียมการแปรรูปให้มีความพร้อมและสามารถระดมทุนในมูลค่าที่สูงหรือ เหมาะสม
1.เพื่อให้สามารถนำ ปตท. เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อย่างช้าภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 ตามนโยบายรัฐบาล เมื่อคณะกรรมการนโยบายทุนฯ รับทราบมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบแนวทางการ แปรรูป ปตท. โดยการแปลงทุนของ ปตท. เป็นหุ้นทั้งหมดในคราวเดียวกันแล้ว ให้คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งของ ปตท. ตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. ทุนฯ เร่งดำเนินการได้ ก่อนการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ต่อไป
2.ให้ ปตท. และ/หรือบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 50 และ/หรือ บริษัทที่ ปตท. และหน่วยงานของรัฐถือหุ้นร่วมกันมากกว่าร้อยละ 50 บริหารงานในรูปแบบบริษัทเอกชน โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตาม คำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจทั่วไป
เรื่องที่ 7 การสนับสนุนการใช้น้ำมันจากพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วงปี 2543-2544 เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น และได้มีกระแสเรื่องการนำน้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าวมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาอย่างแพร่หลายและขยายตัวอย่างรวดเร็วในเชิงพาณิชย์ ขณะที่พืชผลของปาล์มและมะพร้าวมีราคาตกต่ำและรัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือแทรก แซงราคาเพื่อแก้ไขปัญหา โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 คณะอนุกรรมการติดตามการปฏิบัติราชการด้านเศรษฐกิจซึ่งมีนายเสนาะ เทียนทอง เป็นประธาน ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตปาล์มและน้ำมันมะพร้าว ด้วยการแทรกแซงราคาน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว โดยจะประกันราคารับซื้อผลผลิตและประกันราคารับซื้อน้ำมันพืชทั้ง 2 ชนิดไปใช้เป็นไบโอดีเซล
2. เนื่องจากปัญหาผลผลิตของปาล์มน้ำมันปี 2544 มีการผลิต 3.4 ล้านตัน แต่มีความต้องการใช้ ภายในประเทศเพียง 3.29 ล้านตัน จึงคาดว่าจะมีสต๊อกปาล์มน้ำมันสูงกว่าปกติ 50,000 ตัน ทำให้รัฐต้อง แทรกแซงราคาโดยการประกันราคาผลปาล์มสด 1.80 บาท/กิโลกรัม โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) จะรับซื้อ น้ำมันปาล์ม 50,000 ตัน เพื่อส่งออกนอกประเทศ โดยใช้เงิน 150 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีปัญหาผลผลิตของมะพร้าวปี 2544 มีการผลิต 1.4 ล้านตัน ราคาเนื้อมะพร้าวแห้งที่ทับสะแก อยู่ระหว่าง 4.20-4.50 บาท/กิโลกรัม โดย อคส. จะต้องรับซื้อเนื้อมะพร้าวแห้ง 6 บาท/กิโลกรัม จำนวน 20,000 ตัน โดยใช้เงินประมาณ 125 ล้านบาท
3. นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าการแทรกแซงราคารับซื้อปาล์มน้ำมันและเนื้อมะพร้าวแห้ง ดังกล่าว ควรจะนำไปทำน้ำมันบริสุทธิ์สำหรับผสมน้ำมันดีเซลและใช้ในเครื่องยนต์เพื่อ ช่วยลดปริมาณการใช้ น้ำมันดีเซล โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) รับซื้อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 50,000 ตัน ในราคาลิตรละ 12.65 บาท และรับซื้อน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ จำนวน 20,000 ตัน ในราคาลิตรละ 13.28 บาท แทน อคส. เพื่อ ปตท. จะได้นำไปผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลขายให้แก่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และหากมีเหลือจึงจะนำมาขายให้แก่ประชาชนทั่วไป พร้อมทั้ง ได้มอบหมายให้กรมทะเบียนการค้ากำหนดมาตรฐานของไบโอดีเซลเพื่อให้ถูกต้องและ สามารถใช้ได้ทั่วประเทศ และให้กรมสรรพสามิตงดเก็บภาษีน้ำมัน ไบโอดีเซล แต่คงเก็บภาษีในส่วนของน้ำมันดีเซลตามเดิม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบ
4. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้เสนอเรื่อง "โครงการไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นๆ" ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นในปี 2543 เป็นการสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นๆ ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 เพื่อทำหน้าที่วางแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและงเสริมการใช้ไบโอดีเซลภายใน ประเทศ ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้จัดทำข้อเสนอโครงการฯ เสนอต่อคณะ รัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการไบโอดีเซลแห่งชาติ อยู่ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจหน้าที่ในการวางแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีพึ่ง ตนเองในการผลิตไบโอดีเซลจากผลิตผลเกษตร กำหนดมาตรฐานคุณภาพ กำหนดอัตราการผสมไบโอดีเซลกับเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ กำหนดประเภทและปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไบโอดีเซล และส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซล
4.2 ขอความเห็นชอบในหลักการให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลเพื่อ ใช้เป็นเชื้อเพลิง ภายใต้ข้อกำหนดของคณะกรรมการไบโอดีเซลแห่งชาติ
4.3 ขอความเห็นชอบในหลักการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการส่งเสริมด้าน ภาษี เพื่อจูงใจผู้ผลิตและผู้ใช้ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิง
4.4 ให้มีการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลภายในประเทศ
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง ประกอบด้วย กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กรมทะเบียนการค้า กรมควบคุมมลพิษ กรมสรรพสามิต กระทรวงอุตสาหกรรม ปตท. และผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการศึกษา โดยมีข้อสรุปแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาและสนับสนุนการนำน้ำมันจากพืชมาใช้ เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
5.1 เห็นควรกำหนดชื่อส่วนผสมของน้ำมันพืชที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อเป็นการสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน ดังนี้
(1) ไบโอดีเซล คือ น้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันพืชซึ่งถูกแปรสภาพเป็น Methyl หรือ Ethyl ester
(2) ดีเซลปาล์มดิบ/ดีเซลมะพร้าวดิบ คือ น้ำมันปาล์มดิบ/น้ำมันมะพร้าวดิบผสมหรือไม่ ผสมน้ำมันปิโตรเลียม แล้วใช้ในเครื่องยนต์ดีเซล
(3) ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์/ดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ น้ำมันปาล์ม/น้ำมันมะพร้าวที่กลั่นบริสุทธิ์ผสม หรือไม่ผสมน้ำมันปิโตรเลียม แล้วใช้ในเครื่องยนต์ดีเซล
5.2 เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดกับเครื่องยนต์จากการนำดีเซลปาล์มดิบ และดีเซลมะพร้าวดิบมาใช้ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติ ดังนี้
5.2.1 มาตรการระยะสั้น
(1) ให้ ปตท. รับซื้อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่กลั่นได้จาก ผลปาล์มสดจำนวน 50,000 ตัน ตามที่ อคส. จะรับซื้อเพื่อแทรกแซงราคา และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่กลั่นได้จากเนื้อมะพร้าวแห้งจำนวน 20,000 ตัน ที่ อคส. จะรับซื้อเพื่อแทรกแซงราคา โดยให้นำมาผสมกับน้ำมันดีเซลในสัดส่วนไม่เกิน 10% (โดยปริมาตร) และทดลองจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปในระยะแรก ทั้งนี้ น้ำมันดีเซลปาล์มบริสุทธิ์/ดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ดังกล่าว จะต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลสำหรับใช้กับเครื่อง ยนต์ดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์
(2) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดกับเครื่องยนต์จากการนำดีเซลปาล์มดิบ และดีเซลมะพร้าวดิบมาใช้ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติ ดังนี้
(2.1) กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมัน
- ให้ ปตท. เร่งทำการวิจัยเพื่อหาส่วนผสมดีเซลปาล์มบริสุทธิ์และดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่มีคุณภาพไม่ต่ำกว่ามาตรฐานคุณภาพ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดแล้วขายให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
- ให้ ปตท. ทำการวิจัยเพื่อหาส่วนผสมดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ และดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่มีคุณภาพไม่ต่ำกว่ามาตรฐานคุณภาพ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วสำหรับใช้กับเรือประมง ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ประกาศกำหนดแล้วผลิตเพื่อขายให้เรือประมง และเรือขนส่งสินค้า
(2.2) ให้ ปตท. สถาบันวิจัย และสถาบันการศึกษา ที่มีผลการวิจัยเกี่ยวกับการนำน้ำมันพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิง และผู้ประกอบการรถยนต์ เร่งประชาสัมพันธ์ร่วมกับ สพช. ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
- การใช้ดีเซลมะพร้าวดิบและดีเซลปาล์มดิบในเครื่องยนต์ดีเซลหมุนเร็วอาจมีปัญหาต่อเครื่องยนต์ได้
- ดีเซลมะพร้าวดิบและดีเซลปาล์มดิบเหมาะสมที่จะใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลความ เร็วรอบต่ำ ที่ใช้กับเครื่องจักรกลการเกษตร เรือประมง และเรือขนส่งสินค้าอื่นๆ
- ชี้แจงและแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาเครื่องยนต์ การต่อเติมหรือปรับแต่งเครื่องยนต์ และข้อควรระวังในการใช้ดีเซล ปาล์มดิบและดีเซลมะพร้าวดิบ
- ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์และดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ที่ผลิตโดย ปตท. มีมาตรฐานคุณภาพเดียวกับน้ำมันดีเซลที่ใช้ทั่วประเทศ จึงสามารถใช้ในเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไปได้
- ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงนโยบายของรัฐต่อ การใช้น้ำมันพืชในเครื่องยนต์ดีเซล
(2.3) ให้กระทรวงการคลังยกเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในส่วนของ น้ำมันพืชหรือ Ester ที่ผลิตจากน้ำมันพืช ในอัตราส่วนที่ผสมในน้ำมันดีเซล โดยเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตเฉพาะในส่วนของน้ำมันดีเซลเท่านั้น
(2.4) ให้ยกเว้นเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินเก็บเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนของน้ำมันพืช หรือ Ester ที่ผลิตจากน้ำมันพืช ในอัตราส่วนที่ผสมใน น้ำมันดีเซล
5.2.2 มาตรการระยะยาว ให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมโดยใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
(1) วิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้กับเครื่องจักรกลการเกษตรและเครื่อง ยนต์ดีเซลหมุนช้าเพื่อให้ใช้ดีเซลมะพร้าวดิบและดีเซลปาล์มดิบได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
(2) วิจัยเพื่อกำหนดมาตรฐานคุณภาพดีเซลปาล์มบริสุทธิ์และดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่ไม่มีผลเสียต่อเครื่องยนต์ และให้มลพิษไม่มากกว่าการใช้น้ำมันดีเซล
(3) ศึกษาผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมจากเครื่องยนต์ที่ใช้ดีเซลปาล์มและดีเซลมะพร้าว ทั้งชนิดบริสุทธิ์และดิบ และไบโอดีเซล
(4) ศึกษา วิจัย เพื่อกำหนดมาตรฐานไบโอดีเซลของไทย
(5) วิจัยเพื่อหาวิธีการบำรุงรักษา ต่อเติม หรือปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้ดีเซลปาล์มดิบและดีเซลมะพร้าวดิบ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
(6) ศึกษา วิจัย เพื่อลดค่าใช้จ่ายตลอดขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การปลูกและผลิต น้ำมันจากพืช ไปจนถึงการผลิตดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ ดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ และไบโอดีเซล
(7) ศึกษา วิจัย เพื่อหาพืชน้ำมันชนิดอื่นที่ประชาชนไม่ใช้บริโภค เช่น สบู่ดำ และน้ำมันพืชใช้แล้ว มาใช้เป็นเชื้อเพลิง
(8) ศึกษา วิจัย เพื่อกำหนดนโยบายการใช้น้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งต้องครอบคลุมถึงผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
5.3 เห็นควรแต่งตั้งองค์กรขึ้นมากำกับดูแลในเรื่องการสนับสนุนการใช้น้ำมันจาก พืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งปรับปรุงจากคณะกรรมการไบโอดีเซลแห่งชาติที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้เสนอไว้ โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้น้ำมันจากพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ ดีเซล" เพื่อความเป็นเอกภาพในการกำหนดนโยบายและประสานงานเพื่อนำนโยบายไปสู่การ ปฏิบัติ โดยมีองค์ประกอบ หน้าที่ความรับผิดชอบและแนวทางดำเนินงานเช่นเดียวกับที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้เสนอไว้ โดยมีผู้แทนของ สพช. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการสนับสนุนการใช้น้ำมันจากพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซลตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ในข้อ 5.1 และ 5.2
2.มอบหมายให้ สพช. ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมของหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลรับผิดชอบในเรื่อง การนำน้ำมันจากพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ทั้งนี้ ให้นำเอาเรื่องการผลิตแอลกอฮอล์จากพืชเพื่อใช้เป็น เชื้อเพลิง (Ethanol) มาร่วมพิจารณาด้วย
เรื่องที่ 8 แผนการลงทุนของการไฟฟ้านครหลวงในช่วงปีงบประมาณ 2545-2550
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสมบัติ อุทัยสาง) ได้รายงานแผนการลงทุนของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2550 ให้ที่ประชุมทราบ โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. กฟน. ได้จัดทำแผนการลงทุนเพื่อเป็นแผนงานหลักในการดำเนินงาน ประกอบด้วย 2 แผน คือ แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 9 ปีงบประมาณ 2545-2550 และแผนการพัฒนา ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศปีงบประมาณ 2545-2550 ซึ่งได้จัดทำขึ้นเพื่อให้บริการความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างเพียงพอ มีคุณภาพ และเสริมความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า รวมทั้งคำนึงถึงนโยบายการปรับโครงสร้าง และแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศในอนาคต
2. แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 9 ประกอบด้วย 7 แผนงาน คือ 1) แผนงานพัฒนาระบบสถานีต้นทางและสถานีย่อย 2) แผนงานพัฒนาระบบสายส่งพลังไฟฟ้า 3) แผนงานพัฒนาระบบจ่ายไฟแรงดันกลางและต่ำ 4) แผนงานเปลี่ยนระบบสายป้อนอากาศเป็นสายป้อนใต้ดิน 5) แผนงานประสานงานสาธารณูปโภค 6) แผนงานเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าจาก 12 เป็น 24 เควี และ 7) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพในการจ่ายไฟฟ้า โดยแผนงานดังกล่าวใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 53,490 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินตราต่างประเทศ 17,452 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.6 และเงินตราในประเทศ 36,038 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67.4 ซึ่งเงินลงทุนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นจากแผนฯ ฉบับที่ 8 (ปีงบประมาณ 2540-2544) จำนวน 14,413 ล้านบาท
3. ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2550 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 2,090 เมกะวัตต์หรือเฉลี่ย ร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งคาดว่าจากการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าตามแผนของ กฟน. นี้ จะช่วยเพิ่มระดับความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในเขต กฟน. ได้ดียิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายจำนวนไฟฟ้าดับถาวร (เกิน 1 นาที) และระยะเวลาไฟฟ้าดับถาวร ณ ปีสุดท้ายของแผนฯ 9 เท่ากับ 3.11 ครั้ง/ปี/ราย และ 65.11 นาที/ปี/ราย ตามลำดับ
4. ในส่วนของแผนการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (แผน IT) ซึ่งดำเนินการตามนโยบายการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในระดับค้าปลีก จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,015 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนภายในประเทศทั้งหมด ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ 1) โครงการปรับกระบวนงานและพัฒนาระบบงานเพื่อการบริหารงานภายใน 2) โครงการพัฒนาระบบงานเพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าผ่านตลาดกลาง และ3) โครงการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบ เพื่อทดแทนเครื่องที่หมดอายุและเพิ่มให้เพียงพอต่อการใช้งาน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 9 (ปีงบประมาณ 2545 - 2550) ในวงเงิน 53,489.924 ล้านบาท ตามที่ กฟน. เสนอ ทั้งนี้ เห็นควรให้ กฟน. จะต้องมีการบริหารจัดการภาระหนี้ต่างประเทศเพื่อลดผลกระทบของอัตรแลกเปลี่ยน
2.เห็นชอบในหลักการแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ กฟน. ปีงบประมาณ 2545 - 2550 โดยให้นำความเห็นของ สพช. ไปดำเนินการปรับปรุงแผนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนี้
2.1 การลงบัญชีการลงทุนในด้านการค้าปลีกของแต่ละกิจกรรม เช่น การวัดหน่วยไฟฟ้า การเรียกเก็บเงิน และการชำระเงินค่าไฟฟ้า เป็นต้น จะต้องแยกเป็นอิสระจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้การคิดอัตราค่าบริการของแต่ละกิจกรรมมีความชัดเจน โปร่งใส ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันในระดับค้าปลีก และทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้า มีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้ามากขึ้น
2.2 รายละเอียดของแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าวยังไม่เพียงพอ ทำให้ยากต่อการพิจารณาแผนการลงทุนว่าจะสามารถรองรับการปรับโครงสร้างกิจการ ไฟฟ้าได้หรือไม่ ดังนั้นจึงเห็นควรให้ กฟน. จัดทำรายละเอียดของแผนฯ เพิ่มเติม
กพช. ครั้งที่ 83 - วันพุธที่ 11 เมษายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83)
วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานความก้าวหน้ามาตรการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
2.อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
3.แนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการปรับโครงสร้าง
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงนโยบายของรัฐบาลที่เร่งรัดให้มีการนำรัฐวิสาหกิจ เข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยขอให้ผู้แทนกระทรวงการคลังรายงานให้ที่ประชุมทราบ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2544 ได้มีการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนา ตลาดทุนไทยระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และที่ประชุมได้เห็นชอบแผนการเตรียมความพร้อมในการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำหรับรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และจะลดสัดส่วนการถือหุ้นของภาครัฐลงในปี 2544 - 2546 จำนวน 16 แห่ง ในจำนวนนี้มีการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความประสงค์จะให้ ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างช้าภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 แต่เนื่องจากเรื่องการแปรรูป ปตท. จะต้องผ่านการ พิจารณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และมีระยะเวลาเหลืออยู่ไม่มากนักสำหรับการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องให้มี ความชัดเจนก่อนที่จะมีการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ นโยบายการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติ นโยบายการค้ำประกันเงินกู้ เป็นต้น กระทรวงการคลังจึงขอให้ที่ประชุมได้มีการพิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้ให้ทัน ภายในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้
2. ในวันที่ 19 เมษายน 2544 คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ซึ่งดูแลเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งหมด จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการแต่ละชุดเพื่อดูแลเรื่องการระดมทุนของรัฐวิสาหกิจ แต่ละแห่งให้เป็นไปตามเป้าหมายและเป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งระบบ ในด้านของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจและได้รับความ ร่วมมือพอสมควร แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องชี้แจงทำความเข้าใจต่อไป
3. แผนการเตรียมความพร้อมนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง สามารถดำเนินการ ไปพร้อมกันได้ เพราะขั้นตอนการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งก็มีอยู่แล้วในแผนแม่บท ซึ่งการนำรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มมูลค่าในตลาดทุนและจะ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก เมื่อรัฐบาลได้ประกาศนโยบาย เรื่องนี้ไปแล้ว หากไม่ได้มีการดำเนินการหรือดำเนินการไม่ทันตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้นักลงทุน ขาดความมั่นใจได้
เรื่องที่ 1 รายงานความก้าวหน้ามาตรการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนเพื่อเปิดรับฟังความเห็นให้กว้างขวาง และประมวลมาตรการเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งต่อไป
2. สพช. ได้เตรียมการประชุมกลุ่มย่อยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเป้าหมายและแนวทาง ใน การ ส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เห็นผลโดย เร็วที่สุด พร้อมทั้งรวบรวมปัญหาและอุปสรรคเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาแก้ไขให้การดำเนินงานของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องเป็นไปตามเป้าหมาย การแบ่งกลุ่มย่อยเป็นการแบ่งตามกิจกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและ เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่สมควรได้รับการสนับสนุนซึ่งแบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม และได้เริ่มการประชุมกลุ่มย่อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2544 และจะจบสิ้นในวันที่ 20 เมษายน 2544 หลังจากนั้น สพช. ได้กำหนดให้มีการสัมมนาเพื่อเปิดรับฟังความเห็นจากสาธารณชนในวงกว้างเกี่ยว กับเป้าหมาย แนวทางการส่งเสริมและการแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานให้เกิดการ อนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2544 เพื่อสรุปเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
3. ผลการประชุมกลุ่มย่อยครั้งแรกที่จัดขึ้น เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 เป็นการประชุมกลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิด้านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการตลาด เพื่อรวบรวมความเห็นเกี่ยวกับมาตรการประชาสัมพันธ์ โดยที่ประชุมได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะดังนี้
3.1 การประชาสัมพันธ์โครงการรวมพลังหารสองที่ผ่านมา บรรลุเป้าหมายด้านการสร้างความรับรู้และทำให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความ สำคัญของการประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า แต่ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานให้ลดลงได้ ซึ่งตรงกับผลการประเมินได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนไว้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
3.2 ที่ประชุมมีข้อเสนอแนะว่า ควรที่จะดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และให้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติด้านพลังงาน เพื่อให้องค์กรที่เกี่ยวข้องทุกองค์กรให้ความสำคัญและร่วมมือในการพยายาม ผลักดันในทุกด้านเพื่อผลสำเร็จในการสร้างสำนึกด้านการอนุรักษ์ พลังงานของทุกคน และให้เน้นการ "ประหยัดช่วยชาติ" พร้อมทั้งเสนอให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างต่อ เนื่อง และควรจัดให้มีการทำแผนรณรงค์ประชาสัมพันธ์เป็นแผนที่ครบวงจร หรือจัดทำแผนรวม คือ มีทั้งแผนรณรงค์ประชาสัมพันธ์ การสร้างกิจกรรม การกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อความสำเร็จของแผนงาน และในอนาคต สพช. ควรทำหน้าที่เป็นเพียงองค์กรกลางประสานและกระตุ้นจิตสำนึกของประชาชน ส่วนการสร้างกิจกรรมมีส่วนร่วมให้เป็นหน้าที่ขององค์กรอื่น ทั้งภาครัฐและเอกชน
3.3 นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เสนอแนะกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน ได้แก่
(1) ให้ยังคงกิจกรรมเก่าที่ทำแล้ว เช่น Car Pool Car Free Day โดยในส่วนของ Car Free Day เสนอแนะให้ทำการแยกเป็นเขต หรือพื้นที่บางถนน และผสมผสานแนวความคิดของ Walking Street เข้าไปด้วยกัน
(2) โครงการประกวดโรงแรม อาคารสำนักงานและศูนย์การค้าประหยัดพลังงานโดยมุ่งเน้นการประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่องของธุรกิจเหล่านี้
(3) ประกวดการประหยัดไฟฟ้าในระดับโรงเรียนหรือชุมชนทั่วประเทศ โดยใช้ใบเสร็จค่าไฟฟ้า ที่ประหยัดในแต่ละเดือน ตลอดระยะเวลารณรงค์เป็นเครื่องมือในการพิจารณาให้รางวัล
(4) จัดการประกวดโครงการประหยัดน้ำมันขององค์กรราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน โดย มุ่งเน้นในการให้ความรู้ ความเข้าใจกับบุคลากรในองค์กรนั้นๆ โดยมีการพิจารณาให้รางวัลแก่หน่วยงานที่สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้
(5) โครงการปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเมื่อไม่ได้ใช้ เช่น แอร์ โทรทัศน์ วิทยุ กระติกน้ำร้อน หม้อหุงข้าว ฯลฯ
(6) การรณรงค์ปิดน้ำ ปิดไฟ เมื่อไม่ได้ใช้
(7) โครงการรณรงค์การใช้รถยนต์ขนาดเล็ก (ขนาด CC ของเครื่องยนต์)
4. สพช. มีความเห็นเพิ่มเติมว่าควรมีการดำเนินการในเรื่องการประหยัดพลังงาน ดังนี้
4.1 การเรียกร้องผ่านสื่อทุกแขนงให้ประชาชนทุกคนทำการประหยัดไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ โดยให้ส่งมาตรการประหยัดที่ได้ทำมาแล้วมายัง สพช. และ สพช. จะจัดส่งเครื่องหมายซึ่งอาจจะใช้ธงสัญลักษณ์ เพื่อแสดงว่าผู้ได้ลงมือปฏิบัติเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกอบกู้เศรษฐกิจของ ประเทศ
4.2 จัดส่งมาตรการประหยัดที่ทำได้ง่าย เช่น การถอดปลั๊กทีวีที่ใช้รีโมทคอนโทรล และเครื่องทำน้ำร้อน น้ำเย็น เมื่อเลิกใช้แล้ว ผ่านสื่อต่างๆ ให้กว้างขวางที่สุด เพื่อเป็นแนวทางในการให้ประชาชนประหยัด
4.3 สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันด้านการประหยัดไฟฟ้า ผ่านทางโรงเรียนทั่วประเทศ โดยขอความร่วมมือจากครูประจำชั้นในการรวบรวมใบเสร็จค่าไฟฟ้าจากนักเรียนใน ห้องเรียนเพื่อใช้ในการคำนวณการประหยัดไฟฟ้าของครอบครัวของนักเรียนทั้ง โรงเรียน โรงเรียนที่ร่วมโครงการจะได้รับการยกย่องจากสังคมผ่านทางสื่อมวลชนและรัฐบาล ส่วนโรงเรียนที่ชนะการแข่งขันจะได้รับรางวัลทุนการศึกษาจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
4.4 สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันด้านการประหยัดน้ำมันของหน่วยงานของรัฐและเอกชน โดยให้ ส่งผลการประหยัดน้ำมันมายัง สพช. เพื่อรวบรวมเปรียบเทียบหาผู้สมควรได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชนและ รัฐบาล และผู้ชนะการแข่งขันจะได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบรายงานความก้าวหน้ามาตรการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทด แทน และเห็นชอบให้ดำเนินมาตรการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนที่ได้ดำเนินการ อยู่แล้วต่อไป
เรื่องที่ 2 อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 เห็นชอบให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้า
2. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา ได้กำหนดโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP โดยใช้หลักการต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ (Avoided Cost) กล่าวคือ SPP ที่ขายไฟฟ้าในลักษณะสัญญา Firm ที่มีระยะเวลาสัญญามากกว่า 5 ถึง 25 ปี จะได้รับค่าพลังไฟฟ้า (Capacity Payment) และค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payment) ซึ่งกำหนดจากค่าลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า ค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ค่าดำเนินการและค่าบำรุงรักษา ที่ กฟผ. สามารถหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต (Long Run Avoided Cost) ส่วน SPP ที่ขายไฟฟ้าในลักษณะสัญญา Non-Firm และ SPP ประเภทสัญญา Firm ที่มีระยะเวลาสัญญา น้อยกว่า 5 ปี จะได้รับเฉพาะค่าพลังงานไฟฟ้า ซึ่งกำหนดจากค่าเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ค่าดำเนินการและค่าบำรุงรักษาของโรงไฟฟ้าที่ กฟผ. สามารถหลีกเลี่ยงได้ในระยะสั้น (Short Run Avoided Energy Cost)
3. โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm จะแตกต่างกันตามประเภทเชื้อเพลิง คือ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเตา โดย SPP ที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบเป็นเชื้อเพลิง ราคารับซื้อไฟฟ้าเป็นไปตามโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง ในส่วนของโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภท Non-Firm กำหนดค่าพลังงานไฟฟ้ารับซื้อฐานเท่ากับ 0.87 บาทต่อหน่วย ซึ่งกำหนดจากต้นทุน ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในระยะสั้น (Short Run Avoided Cost) ของโรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงในปี 2534 ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงเมื่อราคาน้ำมันเตาที่ กฟผ. รับซื้อเปลี่ยนแปลงจากราคาฐาน (2.7681 บาทต่อลิตร) เกินกว่า 5 สตางค์
4. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้ารวม ทั้งสิ้น 101 ราย แต่มีบางรายที่ถูกปฏิเสธและบางรายที่ขอถอนข้อเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากค่าเงินบาทลอยตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 59 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 51 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจา 8 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จ และสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 2,285 เมกะวัตต์
5. ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2544 มี SPP 44 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว มีปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 1,799 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง 16 โครงการ จำนวน 1,203 เมกะวัตต์ โครงการที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง 4 โครงการ จำนวน 196 เมกะวัตต์ โครงการที่ใช้ถ่านหินและพลังงานนอก รูปแบบเป็นเชื้อเพลิง 3 โครงการ จำนวน 190 เมกะวัตต์ โครงการที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง 1 โครงการ จำนวน 9 เมกะวัตต์ โครงการที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบเป็นเชื้อเพลิง 19 โครงการ จำนวน 156 เมกะวัตต์ และโครงการที่ใช้เชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า 1 โครงการ จำนวน 45 เมกะวัตต์
6. ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ SPP ตั้งแต่ปี 2537 จนถึงเดือนธันวาคม 2543 คิดเป็นปริมาณรวม 23,770 ล้านหน่วย มูลค่าการรับซื้อไฟฟ้า 39,754 ล้านบาท ราคารับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ย 1.01-1.75 บาทต่อหน่วย โดยหากพิจารณาราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Non-Firm ในปี 2543 จะสูงกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าประเภทสัญญา Firm เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันเตาในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น กล่าวคือ ราคาน้ำมันเตาเฉลี่ยปี 2543 เท่ากับ 25.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเตาเฉลี่ยปี 2542 ซึ่งมีค่าประมาณ 16.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคารับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยจาก SPP ประเภท Non-Firm ซึ่งอิงราคา น้ำมันเตา สูงกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภท Firm แสดงให้เห็นว่าสูตรการคิดค่าไฟฟ้าที่ใช้ในขณะนี้ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ ปัจจุบัน กฟผ. จึงเสนอให้มีการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาเชื้อเพลิง และต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ของโรงไฟฟ้า กฟผ. ที่เปลี่ยนแปลงไป
7. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 ได้พิจารณาเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน สามารถสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
7.1 การปรับโครงสร้างอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งจากเดิมอ้างอิงราคาน้ำมันเตาเปลี่ยนมาเป็นการอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติ เป็นการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ราคาเชื้อเพลิง ในปัจจุบัน และต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ของ กฟผ. ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสูตรการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้ายังคงกำหนดตามโครงสร้างราคาของ SPP ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งกำหนดในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นว่า กฟผ. ควรปรับปรุงค่าตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าให้สอดคล้องกับ ข้อมูลในปัจจุบันด้วย
7.2 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบหลักการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตราย เล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติแทนการอ้างอิงราคาน้ำมันเตาในปัจจุบัน และเห็นชอบสูตรอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ทั้งสัญญาประเภท Firm และ Non-Firm ทั้งนี้ ให้ กฟผ. ดำเนินการปรับปรุงค่าตัวแปรในสูตรอัตรารับซื้อไฟฟ้าตามความเห็นของที่ประชุม โดยโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ใหม่ ให้มีผลบังคับใช้กับที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงาน ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่จะยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าใหม่กับ กฟผ. รวมถึง SPP ประเภท Non-Firm เดิมที่จะต่ออายุสัญญาใหม่ ทั้งนี้ SPP ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเดิมสามารถเจรจาขอเปลี่ยนสูตรโครงสร้างราคาไฟฟ้าใหม่ ได้
7.3 กฟผ. ได้ดำเนินการตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว และได้เสนอสูตรการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ใหม่ ทั้งประเภท Non-Firm และ Firm ที่ได้มีการปรับปรุงค่าตัวแปรในโครงสร้างราคารับซื้อใหม่ตามความเห็นของคณะ อนุกรรมการฯ แล้ว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบหลักการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producer : SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติแทนการอ้างอิงราคาน้ำมันเตา
2.เห็นชอบโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติ และสูตรการคำนวณ รวมทั้ง ค่าตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าทั้งประเภท Non-Firm และ Firm ที่ได้มีการปรับปรุงใหม่ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานใน อนาคตของการไฟฟ้า
3.โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ใหม่ ให้มีผลบังคับใช้กับ SPP ดังต่อไปนี้
3.1 SPP ที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ SPP รายเดิมที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เฉพาะกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม ให้โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่นี้ มีผลบังคับใช้เฉพาะส่วนของกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม
3.2 SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่จะยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าใหม่กับ กฟผ. รวมถึง SPP ประเภท Non-Firm เดิมที่จะต่ออายุสัญญาใหม่
ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. และ SPP ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเดิมสามารถเจรจาขอเปลี่ยนโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้า ใหม่ได้
เรื่องที่ 3 แนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2543 ให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทุกภาคการใช้จนถึงสิ้นปี 2543 และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) รับไปพิจารณาความเหมาะสมของการปรับลดการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ ปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ทั้งระบบ
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2543 และมีมติเห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาก๊าซ ปิโตรเลียมเหลว โดยให้ใช้ 2 แนวทางประกอบกัน ได้แก่ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซินและดีเซล มีเพดานสูงสุดของอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนฯ ไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร และการทยอยปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซLPG เพิ่มขึ้นในระดับ ไม่เกินร้อยละ 10 ในแต่ละไตรมาส โดยมีเป้าหมายให้อัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG ลดลงครึ่งหนึ่งภายใน 2 ปี และเป็นศูนย์ในที่สุด ซึ่ง สพช. ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซินและดีเซลสู่ระดับเพดานสูงสุดเรียบร้อยแล้ว
3. ต่อมาคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 เห็นชอบการ แก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบ โดยให้ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคา นำเข้าก๊าซ LPG เป็นการชั่วคราว เท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน -10$/ตัน และให้มีการประกันราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าต่ำสุด นอกจากนั้น ได้เห็นชอบในหลักการว่าควรจะมีการปรับเพิ่มราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซ LPG เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบ โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณา
4. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนเมษายนปรับตัวลดลง มาอยู่ในระดับ 261 $/ตัน ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG อยู่ในระดับ 11.19 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนฯ 6.53 บาท/กก.หรือ 1,020 ล้านบาท/เดือน ประมาณการฐานะกองทุนฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2544 ติดลบอยู่ในระดับ 11,378 ล้านบาท และหากไม่มีการดำเนินการใดๆ คาดว่าฐานะกองทุนฯ จะติดลบในระดับ 13,000 ล้านบาท ในช่วงสิ้นปี 2544
5. โครงสร้างราคาและค่าการตลาดที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ได้ก่อให้เกิดปัญหาในระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ส่งผลต่อเนื่องถึงผู้ บริโภค และการชดเชยราคาในระดับสูงเป็นสาเหตุทำให้ฐานะกองทุนฯ ติดลบในระดับสูงมาก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบและปัญหาในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) ผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศ 2) ผลกระทบต่อผู้ผลิตก๊าซและประชาชน และ 3) การลักลอบส่งออกก๊าซหุงต้มและนำไปใช้ในรถยนต์และภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น
6. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนฯ โดยให้เป็นการรับภาระร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ 1) ผู้ผลิต โดยการปรับลดราคา ณ โรงกลั่น 2) กองทุนฯ โดยการ ปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันชนิดอื่น 3) ผู้บริโภค โดยการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ซึ่งในข้อ 1) และ 2) ได้ดำเนินการไปแล้ว ทำให้สามารถบรรเทาปัญหาได้เพียงระดับหนึ่ง แต่การปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีก ยังจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหาทั้งหมด และจะเป็นการส่งสัญญาณที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบถึงต้นทุนราคาก๊าซที่ แท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การปรับราคาควรจะปรับเพิ่มในระดับเดียวกันทั้งก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือน และก๊าซสำหรับรถยนต์และ อุตสาหกรรม เพราะการกำหนดราคาแตกต่างกันจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เช่น ก่อให้เกิดปัญหาการลักลอบถ่ายเทก๊าซ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการร้องเรียนของผู้ขับรถรับจ้าง ปัญหาการปลอมแปลงเอกสารต้นทุนการผลิต เป็นต้น
7. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอแนวทางการปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซ LPG โดยให้ทยอย ปรับขึ้นครั้งละไม่เกิน 1 บาท เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคมากนัก โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาดำเนินการในช่วงที่เหมาะสม และมอบหมายให้กรมการค้าภายในรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วย ราคาสินค้าและบริการ เพื่อให้สามารถปรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้สอดคล้องและพร้อมกับการเปลี่ยน แปลงราคาขายส่งของคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน นอกจากนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว ใน 2 แนวทาง ได้แก่
(1) แนวทางการดำเนินการกรณียังคงการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยรัฐควรมีวัตถุประสงค์ ที่ชัดเจนในการจ่ายชดเชยราคาก๊าซเฉพาะกลุ่ม เช่น เกษตรกรหรือผู้มีรายได้น้อย การส่งเสริมการใช้ก๊าซหุงต้มเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่า กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป โดยอาจมีการจัดตั้งกองทุนเฉพาะสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว แนวทางนี้มีข้อดีเพียงการชะลอปรับราคาออกไป ส่วนข้อเสีย คือ การปรับราคายังคงเกิดขึ้น เมื่อกองทุนฯ ไม่สามารถรับภาระได้และทำให้ราคาไม่มีเสถียรภาพในระยะยาว รวมทั้ง ระดับค่าการตลาดที่ไม่เหมาะสม ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันและการพัฒนาตลาดก๊าซ LPG
(2) แนวทางมุ่งสู่การยกเลิกการควบคุมราคาหรือการเปิดเสรีตลาดก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งเป็นแนวทางตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้ยกเลิกการควบคุมราคาขายส่งและขายปลีก ซึ่งข้อเสียมีเพียงประการเดียว คือ ประชาชนต้องรับภาระตามต้นทุนราคาที่เพิ่มขึ้นทันที แต่จะทำให้ผู้บริโภคและตลาดปรับตัวได้ ส่วนข้อดี คือ กลไกตลาดทำงานได้เต็มที่ ราคาปรับตามต้นทุน ไม่เกิดการบิดเบือนในการใช้ พลังงานของประเทศ มีการใช้ก๊าซ LPG อย่างมีประสิทธิภาพ และภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนที่รัฐไม่แทรกแซงระบบการค้าเสรี
มติของที่ประชุม
1.รับทราบการดำเนินการปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวเท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน ลบ 10 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เป็นการชั่วคราว และให้มีการรับประกันราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าต่ำสุด โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2544 เป็นต้นมา
2.เห็นชอบแนวทางการปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยทยอยปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวครั้งละไม่เกิน 1 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคมากนัก โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานจะเป็นผู้พิจารณาดำเนินการในช่วงระยะเวลา ที่เหมาะสมต่อไป
3.ให้กรมการค้าภายในรับไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการออก ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เพื่อให้สามารถปรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้สอดคล้องและพร้อมกับการเปลี่ยน แปลงราคาขายส่งของคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
4.ให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานรับไปพิจารณากำหนดรายละเอียดและ ขั้นตอนในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวในระยะยาวแล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
กพช. ครั้งที่ 82 - วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 82)
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2544 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์พลังงานของไทยในปี 2543
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.งานนโยบายพลังงานต่อเนื่อง
1.โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโครงการโรงแยกก๊าซฯ ไทย-มาเลเซีย
2.โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
3.การปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
4.การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
5.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
6.สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4.มาตรการอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2544
5.การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงในส่วนของภาษีและกองทุน
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานของไทยในปี 2543
สรุปสาระสำคัญ
1. สภาพเศรษฐกิจของไทยปี 2543 ยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัวต่อเนื่องจากปลายปี 2542 จนถึงช่วงครึ่งแรกของปีแต่ในช่วงครึ่งหลังของปีมีการชะลอตัวลง ดัชนีผลผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในปีนี้มีการขยายตัวเพียงร้อยละ 3 ส่วนอุตสาหกรรมหมวดยานยนต์และวัสดุก่อสร้างยังคงขยายตัวตามแผนการผลิตเพื่อ การส่งออก ในขณะที่ ความต้องการภายในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวไม่มากเท่าที่ควร
2. ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ของประเทศในปี 2543 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.7 โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ส่วนการใช้น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป รวมทั้งลิกไนต์และถ่านหินมีปริมาณการใช้ลดลง สำหรับการผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 การนำเข้าพลังงานสุทธิเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.8 เมื่อเทียบกับปี 2542 ส่งผลให้สัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากระดับร้อยละ 58.5 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 62.5 ในปี 2543
3. สถานการณ์พลังงานแต่ละชนิดในปี 2543 มีดังนี้
3.1 ก๊าซธรรมชาติ ปริมาณการผลิตและการใช้ก๊าซธรรมชาติของปี 2543 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านมลภาวะน้อยกว่า เชื้อเพลิงชนิดอื่น รัฐบาลจึงสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนเชื้อเพลิงอื่นในการผลิต ไฟฟ้า ประกอบกับน้ำมันสำเร็จรูปมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้อุตสาหกรรมที่ใช้ น้ำมันเตาหรือ LPG เป็นเชื้อเพลิงได้เปลี่ยนมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทน การผลิตและนำเข้าก๊าซธรรมชาติในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 1,954 และ 214 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ตามลำดับ รวมเป็น 2,168 ล้าน ลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.8 นอกจากนี้ มีการนำเข้าจากแหล่งยาดานาและเยตากุนจากสหภาพพม่า
3.2 น้ำมันดิบ ปริมาณการผลิตในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 58 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70.8 แหล่งผลิตที่สำคัญได้แก่ แหล่งเบญจมาศสามารถผลิตได้เต็มที่ในปี 2543 ที่ระดับ 24 พันบาร์เรล/วัน รองลงมาได้แก่ แหล่งสิริกิติ์และทานตะวัน ปริมาณการผลิตในปีนี้คิดเป็นร้อยละ 7.9 ของความต้องการน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่น จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวน 675 พันบาร์เรล/วัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 285,862 ล้านบาท
3.3 ลิกไนต์/ถ่านหิน ปริมาณการผลิตลิกไนต์ในปี 2543 มีจำนวน 17.8 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 2.6 โดยร้อยละ 77 ผลิตจากเหมืองแม่เมาะของ กฟผ. ที่เหลือร้อยละ 23 ผลิตจากเหมืองเอกชน ลิกไนต์ที่ผลิตได้นำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแม่เมาะจำนวน 14.1 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 79 ที่เหลือใช้ในภาคอุตสาหกรรม อัตราการใช้ลิกไนต์ในประเทศลดลงเนื่องจากมีการใช้ถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้น เพราะมีคุณภาพสูงและราคาถูกลงทำให้สามารถแข่งขันกับลิกไนต์ในประเทศได้
3.4 น้ำมันสำเร็จรูป การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในปี 2543 ได้ชะลอตัวลง โดยปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 603 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 4.2 ขณะที่การผลิตมีจำนวน 710 พันบาร์เรล/วัน ซึ่งสูงกว่าการใช้ ค่อนข้างมากทำให้มีการส่งออกสุทธิ จำนวน 83 พันบาร์เรล/วัน โดยมีรายละเอียดน้ำมันสำเร็จรูปแต่ละชนิดมีดังนี้
(1) น้ำมันเบนซิน ปริมาณการใช้ในปี 2543 อยู่ในระดับ 116.5 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 3.8 การใช้น้ำมันเบนซินพิเศษลดลงร้อยละ 26.8 ในขณะที่การใช้น้ำมันเบนซินธรรมดาเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.2 ทั้งนี้ เป็นผลจากการรณรงค์ให้มีการใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนให้เหมาะสมกับประเภทรถ และราคาที่แตกต่างกันระหว่างออกเทน 95 กับออกเทน 91 จำนวน 1 บาท ทำให้มาตรการดังกล่าวได้รับการตอบรับจากประชาชนด้วยดี ส่วนปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินยังคงสูงกว่าความต้องการใช้จึงมีการส่งออก สุทธิ 20.8 พันบาร์เรล/วัน
(2) น้ำมันดีเซล ปริมาณการใช้ในปี 2543 อยู่ในระดับ 258 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 2.0 การใช้ในช่วงครึ่งแรกของปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีมีการปรับตัวลดลงสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมัน ดีเซลที่สูงขึ้นมาก สำหรับปริมาณการผลิตอยู่ในระดับ 277.5 พันบาร์เรล/วัน ทำให้มีการส่งออกน้ำมันดีเซล (สุทธิ) เป็นจำนวน 17.8 พันบาร์เรล/วัน
(3) น้ำมันเตา ปริมาณการใช้ในปี 2543 อยู่ในระดับ 109.8 พันบาร์เรล/วัน ลดลง ร้อยละ 19.6 ทั้งนี้เนื่องจากการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรมลดลง ปริมาณการผลิต น้ำมันเตาจึงสูงกว่าความต้องการใช้เป็นผลให้มีการส่งออกน้ำมันเตา (สุทธิ) จำนวน 2.6 พัน บาร์เรล/วัน
(4) น้ำมันเครื่องบิน ปริมาณการใช้ของปี 2543 อยู่ในระดับ 60.2 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ในขณะที่ผลิตได้ 74.9 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 ปริมาณการผลิตสูงกว่าความต้องการใช้ภายในประเทศ เป็นผลให้มีการส่งออกสุทธิ จำนวน 14.1 พันบาร์เรล/วัน
(5) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ปริมาณการใช้ในครัวเรือน อุตสาหกรรม และ รถยนต์ ในปี 2543 อยู่ในระดับ 58.2 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 โดยการใช้ LPG ในรถยนต์เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากรถแท๊กซี่ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ LPG เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกกว่าเบนซิน รวมทั้งการใช้เพื่อเป็น วัตถุดิบของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการผลิตยังสูงกว่าความต้องการใช้จึงมีการส่งออกสุทธิเป็นจำนวน 21.4 พันบาร์เรล/วัน
4. สถานการณ์ไฟฟ้าในปี 2543 มีดังนี้
4.1 กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าของ กฟผ. และกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าอื่นเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ของ กฟผ. ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2543 มีจำนวนทั้งสิ้น 22,735 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งของ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 77.0 ของเอกชนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.5 และการรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.5
4.2 ปริมาณการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศในปี 2543 มีจำนวน 98,469 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในอัตราร้อยละ 6.5 ในขณะที่ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในระดับ 14,918.3 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.8 จึงมีผลทำให้ค่าตัวประกอบการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย (Load Factor) อยู่ในระดับร้อยละ 75.2 ซึ่งต่ำกว่าปีที่ผ่านมา และอัตราสำรองไฟฟ้า (Reserved Margin) อยู่ในระดับร้อยละ 30 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ในปีนี้ ประกอบด้วย ไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติร้อยละ 61.9 จากถ่านหิน/ลิกไนต์ร้อยละ 19.2 จากน้ำมันเตาร้อยละ 9.8 จากไฟฟ้าพลังน้ำร้อยละ 6 จากการนำเข้าและอื่นๆ ร้อยละ 3.1
4.3 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในปี 2543 มีจำนวน 87,597 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 8.4 โดยสาขาธุรกิจและอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 บ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 ลูกค้าตรงของ กฟผ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และการใช้ของภาคเกษตรกรรมลดลงร้อยละ 6.1 โดยเขตนครหลวง การใช้ไฟฟ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ส่วนเขตภูมิภาคการใช้ไฟฟ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในปี 2543 ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 32-36 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงปลายปี เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบทางการค้าของโลกลดต่ำลงมากและภาวะเศรษฐกิจของ โลกเริ่มฟื้นตัวในปี 2544 โดยช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคมราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากการคาดการณ์การลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปค ซึ่งผลการประชุมของกลุ่ม โอเปคได้ลดกำลังการผลิตลง 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน เหลือ 26.2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยไม่รวมอิรัก มีผลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ในเดือนกุมภาพันธ์ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น 2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากการเก็งกำไรของกองทุนทางการเงิน และปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงจากการลดปริมาณการผลิตของโอเปค แต่ช่วงหลังของเดือนราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลงจากการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัว ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคมราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากแนวโน้มการลดปริมาณการผลิตของโอเปคในไตรมาส 2 ที่จะส่งผลให้การเพิ่มสำรองเป็นไปได้ยาก
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในปี 2543 ราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตา ปรับตัวสูงขึ้น 11, 13 และ 9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบ และภาวะตลาดตึงตัว เนื่องจากปริมาณสำรองทางการค้าอยู่ในระดับต่ำ และโรงกลั่นลดกำลังการผลิตเพราะค่าการกลั่นตกต่ำ ในขณะที่มีโรงกลั่น หลายแห่งปิดเนื่องจากอุบัติเหตุ ในเดือนมกราคม 2544 น้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น 0.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและโรงกลั่นในสหรัฐอเมริกาปิดซ่อมแซมประจำปี สำหรับน้ำมันก๊าด ดีเซล และเตาปรับตัวลดลง 3, 1 และ 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากปริมาณน้ำมันออกสู่ตลาดมีมาก เดือนกุมภาพันธ์ราคาน้ำมันสำเร็จรูปโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และความต้องการใช้ที่เริ่มสูงขึ้น แต่ดีเซลราคา ลดลง เนื่องจากมีน้ำมันออกสู่ตลาดมาก ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคมราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบโดยในวันที่ 9 มีนาคม 2544 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 92 ก๊าด ดีเซล และเตา อยู่ที่ระดับ 31.7, 30.1, 29.4, 27.4 และ 22.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามลำดับ
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยปี 2543 น้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 บาท/ลิตร ดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 บาท/ลิตร มาอยู่ที่ระดับ 16 และ 14 บาท/ลิตรตามลำดับ เดือนมกราคม 2544 เบนซินปรับขึ้นและลงในระดับเดียวกันจำนวน 30 สตางค์/ลิตร ดีเซลปรับ 20 สตางค์/ลิตร เดือนกุมภาพันธ์ เบนซินปรับขึ้น 90 สตางค์/ลิตร และปรับลง 30 สตางค์/ลิตร ดีเซลปรับขึ้น 50 สตางค์/ลิตร และปรับลง 70 สตางค์/ลิตร ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคม น้ำมันเบนซินและดีเซลปรับขึ้น 30 สตางค์/ลิตร ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทย ณ วันที่ 12 มีนาคม 2544 เบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 16.59, 15.59, 15.17 และ 13.24 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดน้ำมันสำเร็จรูปของไทยโดยรวมในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 0.5-1.5 บาท/ลิตร ส่วนค่า การกลั่นในช่วงไตรมาส 1-2 เคลื่อนไหวในระดับ 0.5-1.0 บาท/ลิตร (3-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) และในไตรมาส 3 อยู่ในระดับ 1.5-2.0 บาท/ลิตร (5-8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) หลังจากนั้นลดลงมาอยู่ในระดับ 0.5-1.0 บาท/ลิตร ส่วนปี 2544 ค่าการตลาดโดยรวมของประเทศเดือนมกราคมปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1.0 บาท/ลิตร หลังจากนั้น จึงปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.2-1.4 บาท/ลิตร และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม ค่าการกลั่นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.4-0.6 บาท/ลิตร (1.5-2.0 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล) ในขณะที่จุดคุ้มทุนอยู่ที่ระดับ 3-4 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
5. แนวโน้มของราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 2 ความต้องการใช้จะลดลงหลังช่วงฤดูหนาว และมีการ คาดการณ์กันว่าภาวะเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกจะชะลอตัวลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกไม่เพิ่มสูงขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้เดิม ในด้านปริมาณการผลิตหากกลุ่มโอเปคลดปริมาณการผลิตลง จะทำให้ปริมาณการผลิตและความต้องการใช้น้ำมันของโลกอยู่ในภาวะสมดุล ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 จะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน โดยน้ำมันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 24-25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ระดับ 25-27 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 3 และ 4 ความต้องการใช้จะสูงขึ้นตามฤดูกาล แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะไม่เพิ่มสูงขึ้นมากนัก และหากน้ำมันจากนอกกลุ่มโอเปคเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้ระดับราคาน้ำมันดิบสูง ขึ้นเพียง 3 - 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 26-29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และเบรนท์อยู่ที่ระดับ 27 - 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง งานนโยบายพลังงานต่อเนื่อง
เรื่องที่ 3-1 โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโครงการโรงแยกก๊าซฯ ไทย-มาเลเซีย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2542 อนุมัติการร่วมทุนระหว่าง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และ เปโตรนาส ในโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโครงการโรงแยกก๊าซฯ ไทย-มาเลเซีย และให้มีการลงนามในสัญญาภายหลังผ่านความเห็นชอบจากกรมอัยการแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2542 ปตท. และเปโตรนาสได้มีการลงนามในสัญญา 4 ฉบับ คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง A-18 สัญญาผู้ ถือหุ้น สัญญาการให้ยืมคืน และสัญญาแม่บทการร่วมทุน
2. เมือวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2543 ได้มีการจัดตั้ง บริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้น มีทุนจดทะเบียน 940 ล้านบาท เพื่อดำเนินการโครงการท่อส่งก๊าซฯ และโครงการโรงแยกก๊าซฯ รวมทั้งได้มีการจ้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ดำเนินการศึกษาและจัดทำรายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งรายงาน EIA ดังกล่าว ได้ส่งให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้วเมื่อกลางปี 2543
3. ต่อมา เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณาโครงการฯ ขึ้นโดยมีพลเอก จรัล กุลละวณิชย์ เป็นประธาน และได้ดำเนินการจัดให้มีการประชุมประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2543 และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2543 รวมทั้งเปิดรับความ คิดเห็นเพิ่มเติมทางลายลักษณ์อักษรอีกจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2543 โดยได้มีการรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบความคืบหน้าเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ดำเนินการประชาพิจารณ์โครงการต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้พิจารณาดำเนินการ โดยไม่ต้องกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีอีก
4. เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543 กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือสอบถามความเห็นไปยังสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดทำประชาพิจารณ์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือถึงคณะรัฐมนตรีชี้แจงสถานะของ บริษัทร่วมทุนว่าเป็นเอกชน ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำประชาพิจารณ์ แต่ตามมติคณะรัฐมนตรีในการอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ได้ให้ข้อสังเกตว่าสมควรให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์ด้วย ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการฯ ขึ้น ฉะนั้น เมื่อมีผลการทำประชาพิจารณ์แล้วหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถนำผลจากการ ประชาพิจารณ์ไปประกอบการดำเนินงานได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 และเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 คณะผู้ชำนาญการได้มีการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของ โครงการฯ และได้ขอให้จัดทำ ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
5. ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาผลการประชาพิจารณ์โครงการท่อก๊าซธรรมชาติ ไทย-มาเลเซีย โดยมีเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานฯ ได้พิจารณาผลการประชุมประชาพิจารณ์แล้วมีความเห็นว่าจากผลการประชุมประชา พิจารณ์ของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ฯ ทั้ง 2 ครั้งดังกล่าวข้างต้น มีข้อมูลและเหตุผลหลายประการที่ชี้ให้เห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการ โครงการฯ ต่อไป แต่ควรจะต้องให้ความสำคัญกับประเด็นข้อเสนอแนะของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ ตลอดจนข้อกฎหมายต่างๆ ที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องนำไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและทัน การ โดยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2544 กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้ ปตท. พิจารณาดำเนินการตามความเห็นของคณะทำงานฯ โดยให้ ปตท. นำรายงานผลการประชาพิจารณ์โครงการฯ ของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการและให้จัดส่งรายงาน ผลการประชาพิจารณ์ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตทั้งหมดไปพิจารณาดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปประกอบการพิจารณาวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมให้มีความครอบคลุมครบถ้วน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
6. เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 คณะกรรมการ ปตท. รับทราบสถานภาพโครงการฯ และมีมติอนุมัติให้ ปตท. ส่งเรื่องผลการประชาพิจารณ์ฯ และนำข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินการฯ ของคณะทำงานพิจารณาผลการประชาพิจารณ์ฯ พร้อมข้อคิดเห็น/ข้อสังเกตของคณะทำงาน ปตท. ให้แก่บริษัท ทรานส์ ไทย- มาเลเซียฯ พิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งการดำเนินการโครงการฯ ขั้นต่อไปขึ้นอยู่กับบริษัทร่วมทุนฯ จะสามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนกฎหมายครบถ้วนหรือไม่ เช่น การขออนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะผู้ชำนาญการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และการทำความเข้าใจกับผู้ คัดค้านโครงการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-2 โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชน ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2537 เป็นต้นมา โดยมีผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ผ่านการคัดเลือกและได้มีการลงนามสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้ากับ กฟผ. รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ ในจำนวนนี้มีโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอกของบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด และโครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด ของบริษัท ยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงได้รับการคัดค้านและต่อต้านจากประชาชนใน พื้นที่
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2541 มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือร่วมกันจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
3. ต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 เพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยได้มีการจัดทำประชา พิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก เมื่อวันที่ 10-11 กันยายน 2542 และจัดทำประชาพิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด เมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ 2543 โดยมีประเด็นของผู้คัดค้านเกี่ยวกับระบบนิเวศทางทะเลและการประมง มลพิษทางอากาศ และผลกระทบต่อสังคมการเมือง ความมั่นคงและผลได้ผลเสียต่อสาธารณะ
4. คณะกรรมการประชาพิจารณ์ฯ ได้พิจารณาผลการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง และมีข้อสังเกตเป็น 3 กรณี ดังนี้
4.1 กรณีรัฐบาลตัดสินใจให้ดำเนินโครงการต่อไป รัฐบาลจะต้องแก้ไข ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายเห็นด้วยกับฝ่ายคัดค้าน โดยใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยและประนีประนอม และต้องมีมาตรการป้องกันและ แก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจัดให้มี "คณะกรรมการร่วมไตรภาคี" เพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว
4.2 กรณีที่รัฐบาลระงับการดำเนินโครงการ หน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายหลังตาม สัญญาที่ได้กระทำไว้กับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้า เพื่อกำหนดแนวทางการเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับบริษัทต่อไป และรักษาภาพลักษณ์ของรัฐบาล เกี่ยวกับการส่งเสริมการระดมทุนจากต่างประเทศ
4.3 กรณีที่รัฐบาลพิจารณาชะลอหรือเลื่อนเวลาดำเนินโครงการ รัฐบาลจะต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชน องค์กรปกครองท้องถิ่นทั้งในพื้นที่โครงการและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างต่อ เนื่องภายใต้เงื่อนไข การป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ รวมทั้ง ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และหน่วยงานของรัฐต้องศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายหลังตามสัญญาที่ได้กระทำ ไว้กับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าหากต้องมีการชะลอโครงการออกไป
5. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2543 รับทราบรายงานผลการจัดทำประชาพิจารณ์ โครงการดังกล่าว และให้ยังคงนโยบายให้เอกชนลงทุนและการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนตามข้อผูกพัน เดิม รวมทั้ง การกระจายประเภทของพลังงานเพื่อผลิตไฟฟ้าและการใช้พลังงานถ่านหิน และเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ จึงให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วย ผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ และผู้แทนบริษัทผู้ประกอบการเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว
6. ต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2543 แต่งตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้าใจกับประชาชนในโครงการก่อสร้างโรง ไฟฟ้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (กสป.) โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้าใจฯ ได้มีการจัดประชุมครั้งแรกเมื่อ วันที่ 6 ธันวาคม 2543 เพื่อรับทราบข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้มีการประชุมครั้งที่สองเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 เพื่อพิจารณาจัดทำแผนประชาสัมพันธ์เพื่อให้มีการดำเนินการ ต่อไป
7. อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรียังคงมีปัญหาอุปสรรค โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความชัดเจนของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2543 และมีหนังสือถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงยังไม่ได้ออกใบอนุญาต ประกอบกิจการโรงงานให้โรงไฟฟ้าบ่อนอก นอกจากนี้ประชาชนบางส่วนในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ยังคงมีท่าทีต่อ ต้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง 2 โรง อยู่ จนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 ตัวแทนกลุ่มผู้คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้าพบรัฐบาล ณ ห้องสีเทา ตึก 44 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาลรับฟังปัญหาจากตัวแทนกลุ่มผู้คัดค้าน
การพิจารณาของที่ประชุม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-3 การปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2534 เห็นชอบให้มีการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) เพื่อให้อัตราค่าไฟฟ้าสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง และลดผลกระทบของความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้เรียกเก็บค่า Ft รายเดือนตั้งแต่การเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2535 เป็นต้นมา โดยค่า Ft จะเปลี่ยนแปลงเป็นรายเดือน ต่อมามีการร้องเรียนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ไม่ต้องการให้ค่า Ft มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป จึงมีการพิจารณาให้ใช้ค่า Ft เฉลี่ย 4 เดือน
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และรายละเอียดใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ได้เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่า ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว ซึ่งได้มีการปรับฐานค่า Ft ใหม่โดยกำหนดให้เท่ากับ 0 เป็นระยะเวลา 4 เดือน (ตุลาคม 2543-มกราคม 2544) และจะมีการปรับค่า Ft ใหม่ ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2544
3. สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ใหม่ ได้มีการปรับปรุงรายละเอียดของสูตรให้มีความชัดเจนโปร่งใสยิ่งขึ้น โดยนำค่าใช้จ่ายในการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ออกจากสูตร Ft และให้การไฟฟ้าร่วมรับภาระความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่คำนวณตามสูตร Ft ใหม่จะต่ำกว่าค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft เดิม โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหลัก ดังนี้
3.1 ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และค่าซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าฐานที่ใช้ในการกำหนดโครง สร้างอัตราค่าไฟฟ้า
3.2 ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในการชำระคืนเงินกู้และดอกเบี้ยต่างประเทศของการ ไฟฟ้า เนื่องจากการไฟฟ้ายังไม่มีอิสระในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างแท้จริง โดยในช่วง 6 เดือนแรกคือ ตุลาคม 2543-มีนาคม 2544 ให้การไฟฟ้าสามารถปรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงที่แตกต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน ฐาน ณ 38 บาท/เหรียญสหรัฐ ผ่านสูตร Ft ได้ทั้งหมด ส่วนการคำนวณค่า Ft ที่ใช้เรียกเก็บตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นไป การไฟฟ้าจะต้องรับภาระความเสี่ยง 5% แรก หากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน และมีการกำหนดเพดานให้ปรับค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft ได้ไม่เกิน 45 บาท/เหรียญสหรัฐ และหากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน ให้การไฟฟ้าคืนผลประโยชน์ให้ประชาชนผ่านสูตร Ft ทั้งหมด
3.3 รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไปของการไฟฟ้า (MR) เนื่องจากราคาขายเปลี่ยนแปลงไปจากที่ประมาณการฐานะการเงิน ยังคงให้มีการปรับ MR ในช่วง 6 เดือนแรก เพื่อเป็นการประกันว่าค่าไฟฟ้าขายปลีกจะลดลงร้อยละ 2.11 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวให้นำ MR ออกจากสูตร Ft
3.4 การเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของการไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่ค่า เชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า (Non-Fuel Cost) ซึ่งจะมีการปรับตามอัตราเงินเฟ้อ และหน่วยจำหน่ายที่เปลี่ยนแปลงไปจากฐานที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้า ฐาน ทั้งนี้ ได้มีการดูแลเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจการไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าจะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายในกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่ายในอัตราร้อยละ 5.8 2.6 และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ
4. คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544 ได้มีมติเห็นชอบค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2544 เท่ากับ 24.44 สตางค์ ต่อหน่วย โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของค่า Ft คือ
4.1 ค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2543-มกราคม 2544 โดยราคา ก๊าซธรรมชาติได้ปรับตัวสูงขึ้น 23.07 บาทต่อล้านบีทียู จากราคาฐาน 115.20 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 138.27 บาทต่อล้านบีทียู นอกจากนี้ราคาน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.66 และ 1.05 บาทต่อลิตร เป็น 7.36 บาทต่อลิตร และ 10.73 บาทต่อลิตร ตามลำดับ จากราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเพิ่มขึ้นด้วย ผลกระทบจากค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากราคาฐาน คิดเป็นร้อยละ 94 ของค่า Ft ที่เพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขึ้น 22.99 สตางค์ต่อหน่วย
4.2 อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนตัวลงจากระดับ 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ ณ ระดับ 43 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มีผลกระทบต่อภาระการชำระหนี้ของ 3 การไฟฟ้า ส่งผลให้ค่า Ft เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4.34 สตางค์ต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม จากภาวะอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อฐาน ณ ระดับร้อยละ 2.83 ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของการไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่ค่าเชื้อเพลิง (Non-fuel cost) ลดลง ส่งผลให้ค่า Ft ลดลง 2.19 สตางค์ต่อหน่วย นอกจากนี้ รายได้ของการไฟฟ้าที่สูงกว่าประมาณการตามแผน (MR) ส่งผลให้ค่า Ft ลดลงอีก 0.70 สตางค์ต่อหน่วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-4 การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบข้อเสนอและแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า และการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนการดำเนินงานฯ และให้กระทรวงการคลังนำแผนการดำเนินงานดังกล่าวใช้เป็นหลักเกณฑ์หนึ่งในการ ประเมินผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นผู้เตรียมการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน โดยให้ดำเนินการยกร่างกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ซึ่งต่อมาคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้แต่งตั้งคณะทำงาน จำนวน 5 คณะ เพื่อช่วยให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ คณะทำงานพิจารณาร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า คณะทำงานศึกษา ต้นทุนและหนี้สินติดค้าง คณะทำงานเตรียมการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า คณะทำงานเตรียมการด้านกฎหมายและการกำกับดูแล และคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ
2. ภายใต้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคต การแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่ผู้ผลิตไฟฟ้าจำนวนหลายรายจะเสนอราคาขายและปริมาณ ไฟฟ้าเข้าไปแข่งขันเพื่อประมูลขายไฟฟ้าในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งจะมีการจัดตั้งขึ้นในปลายปี 2546 ประกอบด้วย 3 หน่วยงานหลัก คือ ศูนย์ควบคุมระบบอิสระ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน ในระดับการค้าปลีกจะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการจัดหาและค้าปลีกไฟฟ้า คือบริษัทระบบสายจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้า (REDCo) และบริษัทค้าปลีกไฟฟ้า โดยกิจการสายส่ง บริษัทระบบสายจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้าจะถูกกำกับดูแลโดยรัฐ ส่วนบริษัทค้าปลีกไฟฟ้าจะประกอบธุรกิจที่มีการแข่งขัน โดยจะทำการซื้อบริการในการจัดหาไฟฟ้าจาก REDCo และอาจให้บริการเสริมต่างๆ แก่ผู้ใช้ไฟ ในระยะยาวศูนย์ควบคุมระบบควรเป็นอิสระอย่างแท้จริง และต้องไม่มีความเกี่ยวพันกับบริษัทผลิตไฟฟ้าและบริษัทระบบสายส่งไฟฟ้า
3. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะมีการปรับโครงสร้างภายใน เพื่อดำเนินการเข้าสู่โครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่มีการแข่งขัน โดยจะมีการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี แปรสภาพบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และบริษัทผลิตไฟฟ้า 2 ให้เป็นบริษัทในเครือ มีการแยกกิจกรรมต่างๆ ออกเป็นหน่วยธุรกิจ ส่วนการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะดำเนินการแยกกิจกรรมที่มิใช่ธุรกิจหลักออกไป และแบ่งแยกการ ดำเนินงานของฝ่ายจัดหาไฟฟ้าและฝ่ายสายจำหน่ายใน REDCo โดย กฟน. ยังคงเป็น 1 REDCo แต่ กฟภ. จะปรับโครงสร้างองค์กรออกเป็นหน่วยธุรกิจโครงข่ายไฟฟ้าที่มีระดับแรงดัน มากกว่า 22 กิโลโวลต์ ออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจ และ REDCo ที่มีระดับแรงดันน้อยกว่า 12 กิโลโวลต์ ออกเป็น 12 REDCo
4. แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้า ครอบคลุมถึงประเด็นต่างๆ ได้แก่ การจัดทำกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Market Rules) การดำเนินการยกร่าง พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... การดำเนินการยกร่างกฎหมายรองภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง (Stranded Cost) การ ดำเนินการทางด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟผ. การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟน. และ กฟภ. และการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งในช่วงแรก จะมอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตลาดกลางฯ ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ ให้มีการโอนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ พนักงาน และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของตลาดกลางฯ จาก กฟผ. ไปเป็นของตลาดกลางฯ ภายใน 3 ปีนับจากวันที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงานมีผลบังคับใช้
5. สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินกิจกรรมตามแผนการดำเนินงานฯ ที่ได้รับมอบหมาย ตามมติคณะรัฐมนตรี สรุปความคืบหน้าได้ดังนี้
5.1 สพช. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาเรื่องกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง และการดำเนินการด้านกฎหมายและการกำกับดูแล
5.2 กฟผ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาในการจัดเตรียมความพร้อมของศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO)
5.3 กฟน. และ กฟภ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อการพัฒนากระบวนงานทางธุรกิจ และเตรียมองค์กรและระบบข้อมูลสื่อสารสำหรับการซื้อขายไฟฟ้าผ่านตลาดกลาง
5.4 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ร่วมกันว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำร่างข้อกำหนดการเชื่อมโยง การใช้บริการ ระบบโครงข่ายและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Grid Code และ Distribution Code)
5.5 คณะทำงานพิจารณาร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าได้พิจารณาร่างกฎตลาดกลางฯ ร่างที่ 1 และได้เสนอข้อคิดเห็นเพื่อให้ที่ปรึกษานำไปจัดทำร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ร่างที่ 2 ให้แล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2544
5.6 คณะทำงานศึกษาต้นทุนและหนี้สินติดค้าง ได้พิจารณาประเด็นหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประมาณการเบื้องต้นของมูลค่าต้นทุนและหนี้สินติดค้าง กลไกในการชดเชยต้นทุนและหนี้สินติดค้าง และ แนวทางการจัดตั้งหน่วยงานจัดการหนี้สิน
5.7 คณะทำงานเตรียมการด้านระบบส่งและระบบจำหน่าย ได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการกำหนดขอบเขตที่เหมาะสมระหว่างระบบส่งและระบบ จำหน่ายไฟฟ้าในอนาคต
5.8 คณะทำงานปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ได้พิจารณาแนวทางการปรับปรุงสัญญาต่างๆ ของ กฟผ. เพื่อให้สอดคล้องกับกฎตลาดกลางฯ และลดภาระต้นทุนและหนี้สินติดค้าง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-5 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ โดยมีมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 5 มติ ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เห็นชอบ แนวทางการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะยาว มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 เห็นชอบแนวทางการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบ กิจการพลังงาน พ.ศ. ... แล้ว เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนจะ นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
2. ในการปรับโครงสร้างกิจการพลังงานที่มีการผูกขาดโดยธรรมชาติจำเป็นต้องมีการ กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพควบคู่กันไป พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงานจึงมีความสำคัญ ดังนี้คือ
2.1 เพื่อกำกับกิจการพลังงานที่มีลักษณะผูกขาด ได้แก่ กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการอื่นที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติ (กกพ.) ซึ่งมีหน้าที่ออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน ส่งเสริมการแข่งขัน ป้องกันการใช้อำนาจการผูกขาด โดยมิชอบ และให้การคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน
2.2 จะมีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติ (สกพ.) ขึ้น เป็น หน่วยงานของรัฐซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของ กกพ. เพื่อให้ กกพ. สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.3 จะมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยขึ้น โดยมีคณะกรรมการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้กิจการไฟฟ้ามีการแข่งขัน ให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้า และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การกำกับดูแลกิจการพลังงานมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ เพื่อส่งเสริมให้มีบริการด้านพลังงานอย่างเพียงพอ ส่งเสริมการแข่งขันและป้องกันการใช้อำนาจในทางมิชอบ ส่งเสริมให้บริการของระบบโครงข่ายพลังงานเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและไม่มีการ เลือกปฏิบัติ ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้พลังงาน และป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการพลังงาน
4. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ประกอบด้วย 10 หมวด ได้แก่ บททั่วไป องค์กรกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน การกำกับการประกอบกิจการพลังงาน การคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน การใช้อสังหาริมทรัพย์ ตลาดซื้อขายไฟฟ้า การพิจารณาข้อพิพาทและการอุทธรณ์ พนักงานเจ้าหน้าที่ การบังคับทางปกครอง และบทกำหนดโทษ
5. ประโยชน์ที่จะได้รับจากพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการแปรรูป กิจการพลังงาน โดย จะทำให้การกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานของประเทศมีเอกภาพ มีการแยกอำนาจระหว่างการกำหนดนโยบายด้านพลังงานออกจากการกำกับดูแลอย่าง ชัดเจน ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ ช่วยปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้พลังงาน และทำให้การจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยมีผลสำเร็จเป็นรูปธรรม
6. ปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างของสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา หลังจากนั้นก็จะนำเสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ในปี 2545 และในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐสภา งานที่จะต้องดำเนินการพร้อมกันไปคือการยกร่างกฎหมายลำดับรอง เพื่อใช้ในการกำกับดูแลกิจการพลังงาน ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานขององค์กรกำกับดูแลอิสระ ซึ่งจะจัดตั้งในปี 2545
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-6 สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก ปี 2543 ปรับสูงขึ้นมากตามราคาน้ำมันดิบ อยู่ในระดับ 250-345 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 9.50-15 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 5-10 บาท/กก. หรือ 700-1,700 ล้านบาท/เดือน
2. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนมีนาคม 2544 ลดลง 20 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ในระดับ 316 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 13.63 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 8.97 บาท/กก. หรือ 1,391 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มราคาก๊าซ LPG ใน ไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 จะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 280-300 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG อยู่ในระดับ 12-13 บาท/กก. และอัตราเงินชดเชยจะอยู่ในระดับ 7.50-8.50 บาท/กก. หรือ 1,200-1,300 ล้านบาท/เดือน
3. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 อยู่ในระดับ 2,164 ล้านบาท โดยมี ยอดเงินชดเชยค้างชำระที่อยู่ระหว่างรอการเบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 อยู่ในระดับ 11,298 ล้านบาท ประมาณการฐานะกองทุนฯ สุทธิติดลบในระดับ 9,134 ล้านบาท กองทุนฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 882 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซ LPG ในระดับ 1,391 ล้านบาท/เดือน กองทุนฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 509 ล้านบาท/เดือน
4. จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ในปี 2544 คาดว่าจะเคลื่อนไหวในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ระดับ 230 - 330 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งหากไม่มีการปรับราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซ LPG แล้ว คาดว่าฐานะกองทุนฯ ในเดือนธันวาคม 2544 จะติดลบเพิ่มขึ้นในระดับ 12,000 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 มาตรการอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2535 โดยมีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมให้เกิดวินัยในการอนุรักษ์พลังงาน และให้มีการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคาร ซึ่งการประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว มีผลให้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนด โรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และได้มีการออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดวิธีการอนุรักษ์พลังงานให้โรงงานควบคุม และอาคารควบคุมต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด รวมทั้งกำหนดให้มีการจัดตั้ง "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้น เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีหน่วยงานหลัก 2 หน่วยงานเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงาน คือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)
2. สพช. และ พพ. ได้เริ่มดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 เมื่อเดือนเมษายน 2538 และได้เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2542 ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 โดยมอบหมายให้ สพช. และ พพ. รับไปดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแผนฯ ซึ่งมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานมาเป็นลำดับ
3. ประเทศไทยได้ผ่านปัญหาวิกฤติการณ์ด้านพลังงานมาแล้วหลายครั้ง เช่น ในปี 2516 ซึ่งเกิด วิกฤติการณ์น้ำมันทำให้น้ำมันดิบที่หาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง และมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย ก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ดังนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศ จึงได้มีการตราพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ขึ้น โดยให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงนั้นได้มีการกำหนดมาตรการต่างๆ ไว้ เช่น กำหนดเวลาปิด - เปิดโรงงาน โรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง สถานบริการต่างๆ เป็นต้น
4. เมื่อภาวะการจัดหาน้ำมันได้เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ในกลางปี 2534 นายกรัฐมนตรี (นายอานันท์ ปันยารชุน) จึงได้ยกเลิกคำสั่งต่างๆ ดังกล่าว และได้มีการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของประเทศให้ชัดเจนขึ้น โดยเน้นเรื่องความมั่นคงในการจัดหาพลังงานของประเทศในระยะยาว ซึ่งต้องจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการ มีคุณภาพ ในระดับราคาที่เหมาะสม มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและการกระจายแหล่งพลังงานไว้อย่างพอเพียง เพื่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดไว้ อย่างชัดเจน โดยมีการตราพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานขึ้นในปี 2535 เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำหนดมาตรการกำกับดูแลและส่งเสริมให้มีการใช้ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ในภาวการณ์ปัจจุบัน ประเด็นปัญหาด้านพลังงานของประเทศไทย มิใช่เรื่องการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเช่นในอดีตที่ผ่านมา แต่เกิดจากการที่ประเทศไทยมิได้มีแหล่งพลังงานเชิงพาณิชย์ภายในประเทศมาก เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ ทำให้รัฐสูญเสียเงินตราต่างประเทศปีละเป็นจำนวนมาก ดังนั้น แนวทางในการพัฒนาพลังงานของประเทศในระยะหลัง จึงไม่ได้นำมาตรการกำหนดเวลา ปิด-เปิดกิจการต่างๆ ดังกล่าวกลับมาใช้อีก เพราะผลที่ได้รับไม่ใช่ผลของการประหยัดพลังงานได้ในภาพรวม
6. ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาภาวะการขาดดุลการค้าของประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ในปริมาณมาก ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำเสนอมาตรการประหยัดพลังงานที่มีความเหมาะสมกับภาวการณ์ปัจจุบันซึ่ง เป็นมาตรการรณรงค์เชิงรุกและกระตุ้นจิตสำนึกของผู้ใช้พลังงานให้เกิดความ ร่วมมือในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดที่ได้ผลในระยะยาว ประกอบด้วยมาตรการดังต่อไปนี้
6.1 มาตรการเร่งด่วนที่ต้องทำทันที มีดังนี้
(1) ให้ สพช. เร่งติดตามให้หน่วยงานราชการระดับกรมและรัฐวิสาหกิจ เคร่งครัดการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 เรื่อง แนวทางการรณรงค์เพื่อประหยัดน้ำมัน ที่ให้หัวหน้าส่วนราชการเป็นประธานคณะทำงานรับผิดชอบในการกำหนดแผนงานและ เป้าหมายในหน่วยงานของตนให้ลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงอย่างน้อย 5% ของปริมาณการใช้เดิม และให้ สพช. ประสานงานกับ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. เพื่อหารือในความเป็นไปได้ที่จะนำงบประมาณรายจ่ายที่หน่วยงานสามารถประหยัด การใช้พลังงานลงได้นั้น มาใช้เป็นรางวัลตอบแทนข้าราชการ/ลูกจ้างของหน่วยงานนั้น
(2) ให้ สพช. เร่งนำเทคนิค Cleaner Technology และ Value Engineering มาใช้ในโรงเรียน
(3) ให้สำนักงานคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (สจร.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) เร่งจัดทำโครงข่ายเส้นทางจักรยานในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีเป้าหมายแล้วเสร็จ ภายใน 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีมติ และให้ปรับผิวจราจรในเขตพื้นที่ที่จะทดลองใช้จัดทำโครงข่ายเส้นทางจักรยาน โดยทันที
(4) ให้ สจร. กทม. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทดลอง ปิดถนนบางสายในบางเวลา เช่น ถนนสีลม ถนนข้าวสาร และถนนบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ ในเย็นวันอาทิตย์ ระหว่างเวลา 16.00 น. ถึง 24.00 น. และสร้างกิจกรรมต่างๆ เพื่อจูงใจให้มีการสัญจรถนนสายนั้นด้วยการเดินเท้า และหลังจากการประเมินผลแล้วหากมีผลตอบรับที่ดี จึงขยายเวลาหรือพื้นที่ปิดถนนให้มากขึ้น
(5) ให้ สพช. เร่งรณรงค์โครงการ Car Free Day ให้มีความต่อเนื่องจากปี 2543 โดยออกประกาศให้วันพฤหัสบดี เป็น Car Free Day ของทุกสัปดาห์ และให้วันที่ 22 เป็น Car Free Day ของทุกเดือน และให้วันที่ 22 กันยายน เป็น Car Free Day ของทุกปี
(6) ให้ สพช. การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และกรมประชาสัมพันธ์ พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้หากนำมาตรการกำหนดวัน เวลา และเงื่อนไขในการดำเนินงานหรือกิจการต่างๆ เกี่ยวกับสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และมาตรการประหยัดไฟฟ้าสำหรับสถานีโทรทัศน์กลับมาบังคับใช้ในภาวการณ์ ปัจจุบัน
6.2 มาตรการเร่งด่วนที่ต้องทำให้แล้วเสร็จในปี 2544 มีดังนี้
(1) ให้ พพ. เร่งให้การปฏิบัติงานภายใต้แผนงานภาคบังคับเกิดผลอย่างจริงจัง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคาร ควบคุม
(2) ให้ พพ. เร่งสนับสนุนให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในส่วนของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ที่เป็นของรัฐ โดยเร่งดำเนินการโครงการเร่งด่วนที่เรียกว่า "Fast Track" โดยให้มีการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ เพื่อเข้าไปช่วยกระทรวง ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ให้สามารถดำเนินการอนุรักษ์พลังงานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น
(3) ให้ พพ. และ สพช. เร่งสนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทั้งในด้านการขนส่ง อุตสาหกรรม ธุรกิจการพาณิชย์ บ้านอยู่อาศัย และสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น
มติของที่ประชุม
1.รับทราบมาตรการอนุรักษ์พลังงานตามที่ สพช. เสนอ และเห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรการที่ได้กำหนดไว้แล้วให้เกิดผลโดยเร็ว
2.มอบหมายให้ สพช. รับไปประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นให้กว้างขวางและประมวลมาตรการเกี่ยวกับกับการ อนุรักษ์พลังงานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงในส่วนของภาษีและกองทุน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2543 เห็นชอบในหลักการแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็น เชื้อเพลิง โดยมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) รับไปพิจารณาเรื่องโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ซึ่งต่อมา กพช. ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2543 และมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำประเด็นการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เสนอต่อคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติพิจารณาผลกระทบที่มีต่อผู้ผลิตรถยนต์ ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภคด้วย
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2544 และได้มีการ พิจารณาเรื่องภาษีสรรพสามิตและนโยบายการกำหนดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งมติของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2544 เพื่อรับทราบดังนี้
(1) ให้ยกเว้นภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงาน (0.05 บาท/ลิตร)
(2) ให้กำหนดสัดส่วนการผสมเอทานอล 10% คงที่ในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และยกเว้นภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในเนื้อน้ำมัน
(3) ให้กำหนดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ประมาณ 1 บาท/ลิตร (เท่ากับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91) ในระยะ 3 ปีแรก โดยยกเว้นภาษีสรรพสามิตของเอทานอล และน้ำมันแก๊สโซฮอล์เฉพาะส่วนของเอทานอล รวมทั้งลดหย่อนหรือยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(4) กำหนดให้มีกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทานอล
3. กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบในการยกเว้นภาษีสรรพสามิตเอทานอลหน้าโรงงานที่นำไปผสมใน น้ำมันเชื้อเพลิง (0.05 บาท/ลิตร) และยกเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในส่วนของเอทานอล 10% ที่เติมในน้ำมันเบนซิน โดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์เป็น 90% ของภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินในปัจจุบัน ซึ่งสัดส่วนปริมาณของเอทานอลที่ผสมในน้ำมันเบนซินต้องอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10%
4. เนื่องจากราคา MTBE ลอยตัวตามราคาน้ำมันในตลาดโลก คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติจึงต้องการให้ราคาเอทานอลคงที่ เพื่อเป็นหลักประกันที่จะทำให้โรงงานผลิตเอทานอลสามารถกำหนดราคาหรือประกัน ราคารับซื้อวัตถุดิบจากชาวไร่ได้ และเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงเสนอให้จัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทา นอล เพื่อเก็บเงินเข้ากองทุนจากกำไรที่สูงกว่าปกติ และจ่ายชดเชยให้กับโรงงานเอทานอลในเวลาที่ราคาเอทานอลสูงกว่า MTBE เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีความมั่นใจว่า ราคาเอทานอลจะไม่สูงกว่าราคา MTBE แน่นอน อย่างไรก็ดี การใช้กองทุนรักษาระดับราคาเอทานอล จะต้องคำนึงถึงการตั้งราคาเอทานอล ณ โรงงาน ที่เหมาะสม โดยจะต้องเป็นราคาที่ไม่สูงกว่าราคาเฉลี่ยของสาร MTBE มิฉะนั้นแล้วกองทุนจะต้องจ่ายเงินชดเชยมากกว่าการเก็บเงินเข้ากองทุนจนทำให้ เงินไหลออกจากกองทุนจนหมด
5. สพช. ได้จัดทำข้อเสนอขอยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจากแก๊สโซฮอล์ในส่วนของเอทานอล 10% และลดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเหลือ 0.30 บาท/ลิตร ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 90% โดยอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ของแก๊สโซฮอล์จะเท่ากับ 0.27 บาท/ลิตร และ 0.036 บาท/ลิตร ตามลำดับ รวมทั้ง ให้มีการ จัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทานอลตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอ ลแห่งชาติ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ประสานกับคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ในการกำหนดระยะเวลาในการยกเว้นภาษีสรรพสามิตและกองทุนฯ ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้มีผลกระทบตามมาในภายหลังต่อเกษตรกร และผู้ลงทุนโดยให้จัดทำรายละเอียดของโครงการและแผนปฏิบัติการ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
กพช. ครั้งที่ 81 - วันพุธที่ 27 ธันวาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 11/2543 (ครั้งที่ 81)
วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2543 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อมโรงไฟฟ้าบางปะกง
3.รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม
4.รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติ
5.แนวทางการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน)
6.แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
7.การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในเดือนพฤศจิกายน ตลาดน้ำมันดิบอยู่ในภาวะสมดุล จากการเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปค ซึ่งเป็นไปตามกลไกการรักษาระดับราคา ทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ในระดับ 29-34 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ต่อมาในเดือนธันวาคมราคาน้ำมันดิบได้ลดลงกว่า 6 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบมีมากกว่าความต้องการของตลาด ทั้งนี้ เพราะปริมาณน้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปคออกสู่ตลาดมากขึ้น ในขณะที่ความต้องการไม่เพิ่มสูงมาก เนื่องจากอากาศไม่หนาวเย็นมาก ทำให้ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 19.3-25.8 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
2. น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในเดือนพฤศจิกายน ราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุจากปริมาณสำรองในตลาดอยู่ในระดับต่ำ ส่วนน้ำมันดีเซลลดลง 4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นผลจากโรงกลั่นต่างๆ ในย่านเอเซียเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้น ทำให้ปริมาณน้ำมันออกสู่ตลาดมากขึ้น ในเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซลและเตา ลดลง 2, 6, 4 และ 4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปต่างๆ ออกสู่ตลาดเพิ่ม มากขึ้น
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยได้ปรับตัวตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาด จรสิงคโปร์และ ค่าเงินบาท โดยในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันเบนซินทุกชนิดปรับเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวม 60 สตางค์/ลิตร ปรับลดลง 6 ครั้ง รวม 1.80 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับเพิ่มขึ้น 3 ครั้ง รวม 90 สตางค์/ลิตร ปรับลดลง 10 ครั้ง รวม 2.80 บาท/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 26 ธันวาคม 2543 อยู่ในระดับ 15.89, 14.89, 13.14 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ในเดือนพฤศจิกายนค่าการตลาดเฉลี่ยของประเทศอยู่ที่ระดับปกติ 1.00 บาท/ลิตร ส่วนค่าการกลั่น ลดลงมาอยู่ในระดับจุดคุ้มทุนที่ 3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (0.79 บาท/ลิตร) เนื่องจากปริมาณน้ำมันดีเซลออกสู่ตลาดมาก ต่อมาในเดือนธันวาคม ราคาน้ำมันสำเร็จรูปอ่อนตัวลงอย่างรวดเร็วและผู้ค้าน้ำมันทยอยปรับลดราคาลง ตามต้นทุน ทำให้ค่าการตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 1.40 บาท/ลิตร และค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 1.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (1.40 บาท/ลิตร)
5. จากการคาดการณ์ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้าคาดว่าจะ มีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ หลังพ้นช่วงฤดูหนาวแล้วความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะลดลง รวมทั้ง การเพิ่มปริมาณการผลิตของโอเปคตามกลไกการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และการเพิ่มปริมาณการผลิตของประเทศนอกกลุ่มโอเปคอันเนื่องจากราคาน้ำมันที่ สูงขึ้น จะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบเพียงพอกับความต้องการของโลก ในช่วงต้นปี 2544 ราคาน้ำมันจะทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับปลายปีนี้ โดยแนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในปี 2544 น้ำมันดิบดูไบจะอยู่ในระดับ 20 - 22 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์ 22 - 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล โดยเฉลี่ย ทั้งปีอยู่ในระดับ 22 และ 24 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
6. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนธันวาคม 2543 ลดลง 10 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ในระดับ 335 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 14.62 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 9.96 บาท/กก. หรือ 1,337 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มราคาก๊าซ LPG ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2544 จะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 300 - 330 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ทำให้อัตราเงินชดเชยจะอยู่ ในระดับ 8.50- 10.00 บาท/กก. หรือ 1,140 - 1,340 ล้านบาท/เดือน
7. ในเดือนธันวาคม 2543 ได้มีการปรับขึ้นอัตรากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบจำนวน 2 ครั้ง คือปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซินและดีเซลเพิ่มขึ้นรวม 0.05 บาท/ลิตร และ 0.45 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น 612 ล้านบาท/เดือน เป็น 867 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 491 ล้านบาท/เดือน ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2543 อยู่ในระดับ 1,252 ล้านบาท เงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2543 อยู่ในระดับ 5,143 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานคุณภาพสิ่งแวดล้อมโรงไฟฟ้าบางปะกง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 ได้รับทราบเรื่อง แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ 2543-2554 (PDP99-02) โดยมีข้อสังเกตของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายพินิจ จารุสมบัติ) เกี่ยวกับผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อแม่น้ำบางปะกงอันเกิดจากโรงไฟฟ้าบางปะกง และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รายงานผลการดำเนินการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมจากผลกระทบ ที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าบางปะกงให้ที่ประชุมทราบในการประชุมครั้งต่อไป
2. กฟผ. ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รายงานผลการดำเนินงานตามแผนการฟื้นฟูแม่น้ำบางปะกงมาเพื่อให้นำเสนอต่อคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ สรุปได้ดังนี้
2.1 โครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาน้ำระบายความร้อนโดยก่อสร้างหอหล่อเย็น (Helper Cooling Tower) จำนวน 6 ชุด แล้วเสร็จในปี 2539 การติดตั้งเครื่องมือวัดอุณหภูมิที่กระชังปลาของเกษตรกรเพื่อตรวจสอบผลกระทบ ของอุณหภูมิน้ำตลอด 24 ชั่วโมง การแก้ปัญหาเขม่าควันจากปล่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อน โดยการก่อสร้างเครื่องดักจับฝุ่นไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Precipitator) ที่โรงไฟฟ้า พลังความร้อนทั้ง 4 โรง แล้วเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคม 2542 การนำระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมตาม มาตรฐาน ISO 14001 มาใช้ตั้งแต่ต้นปี 2541 การปล่อยพันธุ์ปลากระพง จำนวน 29,999 ตัว ในแม่น้ำบางปะกงเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2543
2.2 โครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ประกอบด้วย การติดตามตรวจสอบและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพน้ำในแม่น้ำบางปะกงปีละ 4 ครั้ง การป้องกันน้ำมันหกรั่วไหลและมีบ่อแยกน้ำมัน (Oil Seperator) ออกจากน้ำทิ้ง การควบคุมและบำบัดน้ำเสียทางชีวภาพจากอาคารสำนักงาน การปลูกป่าชายเลนบริเวณท่าเรือรับน้ำมัน และการศึกษาผลกระทบของสัตว์น้ำในแม่น้ำบางปะกง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เร่งโครงการสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ให้เร็วขึ้น และเริ่มทดลองในรถแท็กซี่ก่อน
2. ปตท. ได้คัดเลือกแท็กซี่อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซ ธรรมชาติใน รถยนต์จำนวน 100 คัน และสำรองอีกจำนวน 27 คัน โดยเริ่มทำการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2543 ปัจจุบันแล้วเสร็จ จำนวน 10 คัน แต่ได้มีการชะลอการติดตั้งออกไป ทั้งนี้ เพื่อรอให้สถานีบริการก๊าซฯ รังสิต สามารถเปิดบริการให้กับรถแท็กซี่ในโครงการฯ ได้
3. ปตท. ได้จัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องการใช้ก๊าซธรรมชาติในยานยนต์ แก่ผู้ประกอบการรถแท็กซี่และผู้สนใจ ณ กรมการขนส่งทางบก ทุกวันศุกร์ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม - 22 ธันวาคม 2543 ซึ่งมีผู้ สนใจเข้าร่วมสัมมนาเป็นจำนวนมาก และ ปตท. ได้เปิดรับสมัครแท็กซี่ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการนำร่องการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ ก๊าซธรรมชาติในรถแท็กซี่อาสาสมัคร จำนวน 1,000 คัน โดยไม่จำกัดยี่ห้อและอายุการใช้งานของรถแท็กซี่ ซึ่งได้ขยายเวลาเปิดรับสมัครไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2544 คาดว่าจะสามารถเริ่มการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ ให้กับรถแท็กซี่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2544
4. การขยายจำนวนสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ปตท. อยู่ระหว่างการปรับปรุงสถานีบริการก๊าซฯ ของ ปตท. ที่มีอยู่เดิม ณ สถานีควบคุมก๊าซที่ 11 ถ. ปู่เจ้าสมิงพราย จ. สมุทรปราการ เพื่อสามารถให้บริการรถแท็กซี่ในโครงการฯ เพิ่มเติม คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในกลางเดือนมกราคม 2544
5. แผนการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซฯ เพิ่มเติม เพื่อรองรับการให้บริการรถแท็กซี่ในโครงการนำร่องฯ จำนวน 1,000 คัน ในระยะแรกจะทำการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซฯ แบบลูก (Daughter Station) ในสถานีบริการน้ำมันของ ปตท.จำนวน 3 สถานี คือ สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาดอนเมือง ถ. พหลโยธิน (ใกล้สี่แยกอนุสรณ์สถาน หลักสี่) สถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาห้างหุ้นส่วนศรีเจริญภัณฑ์ ถ. พหลโยธิน และสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขา ถ. กำแพงเพชร 2 ใกล้สถานีขนส่งสายเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยในช่วงแรกจะใช้สถานีบริการก๊าซฯ ที่รังสิต และสถานีควบคุมก๊าซที่ 11 เป็นสถานีแม่ (Mother Station) และคาดว่าการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซฯ ดังกล่าวจะเริ่มทยอยแล้วเสร็จประมาณปลายไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 สำหรับสถานีบริการก๊าซฯ แบบแม่ จำนวน 1 สถานี และสถานีบริการก๊าซฯ แบบลูกอีกจำนวน 2 สถานี ในสถานที่แห่งอื่น จะได้กำหนดที่ตั้งที่เหมาะสมต่อไป
6. ปตท. ได้ประสานงานกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในการขออนุญาตให้เปิดสถานีบริการก๊าซฯ รังสิต เพื่อให้บริการรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่ง ขสมก. ได้อนุมัติในหลักการแล้วเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 และอยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาอนุมัติรายละเอียดขั้นตอนการให้บริการเติม ก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2543 นอกจากนี้ ขสมก. อยู่ระหว่างพิจารณาอนุญาตให้ ปตท. ติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในสถานีบริการก๊าซฯ ที่รังสิต เพื่อใช้เป็นสถานีบริการแม่
7. ปตท. ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเรื่องการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์และได้มีการดำเนินการ ดังนี้
7.1 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และกรมศุลกากร ในการพิจารณายกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าของอุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ ในรถยนต์และในสถานีบริการก๊าซฯ รวมถึงรถยนต์ใช้ก๊าซฯ ซึ่งกรมศุลกากรได้จัดทำการกำหนดพิกัดอัตราภาษีของอุปกรณ์ต่างๆ แล้วเสร็จและอยู่ระหว่างนำเสนอ สศค. เพื่อพิจารณาดำเนินการ ยกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าของอุปกรณ์ดังกล่าว
7.2 กรมการขนส่งทางบกในการขอผ่อนผันให้รถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการฯ สามารถวิ่งใช้งานบนท้องถนนได้เป็นการชั่วคราว ซึ่งกรมการขนส่งทางบกได้เห็นชอบในหลักการ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2543 และ จะร่วมดำเนินการกับ ปตท. ในการปรับปรุงกฎ ระเบียบ และมาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติให้ทันสมัยต่อไป
7.3 กรมโยธาธิการในการพิจารณาข้อกำหนดเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกรมโยธาธิการได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างข้อกำหนดในการควบคุมสถาน ประกอบกิจการก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้เป็นมาตรฐานความปลอดภัย
7.4 กรมทะเบียนการค้าในการจัดทำระเบียบและขั้นตอนการตรวจรับรองมิเตอร์ของตู้ จ่ายก๊าซฯ ในสถานีบริการก๊าซฯ ซึ่งอยู่ระหว่างการประสานงาน
7.5 กระทรวงอุตสาหกรรมในการประสานงานกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ภายใน ประเทศในการศึกษาผลกระทบของการยกเว้น/ลดหย่อนอากรขาเข้าของรถยนต์ใช้ก๊าซฯ ต่อผู้ประกอบการดังกล่าว และการส่งเสริมให้มีการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ใช้ก๊าซฯ ให้มากขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานความก้าวหน้าการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบแนวทางในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับผู้ใช้ และอัตราค่าผ่านท่อ โดยในประเด็นราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ให้แยกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ Pool 1 สำหรับโรงแยกก๊าซฯ Pool 2 สำหรับการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) Pool 3 สำหรับ IPP/SPP/อุตสาหกรรม และ Pool 4 สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี ทั้งนี้ เมื่อ ปตท. เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯจากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้ว ก๊าซฯ จาก Pool 4 (ยาดานา)และ Pool 2 (อ่าวไทยและเยตากุน) จะถูกนำมาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน และต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดราคาค่าก๊าซฯโดยเฉลี่ยรวม Pool 2 กับ Pool 4 เข้าด้วยกัน หลังจาก โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อยแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการ จ่ายก๊าซฯได้จริงใน วันที่ 1 มกราคม 2544
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้อง การ ซึ่งประกอบด้วย แนวทางการลดขนาดของปัญหาภาระ Take or Pay แนวทางการจัดสรรภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay กลไกการจัดการกับภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ปตท. และ กฟผ. ร่วมกันจัดทำรายละเอียดวิธีคำนวณ และการบันทึกบัญชีภาระ Take or Pay เพื่อถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
3. สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินงานตามแนวทางและขั้นตอนดังกล่าวข้าง ต้น ซึ่งมีความก้าวหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
3.1 ความก้าวหน้าในการดำเนินการตามแนวทางการลดขนาดของปัญหาภาระ Take or Pay สรุปได้ดังนี้
(1) มาตราการเร่งรัดแผนการใช้ก๊าซฯทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม ภาคการ ขนส่ง รวมทั้งการปรับแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ มีความก้าวหน้าดังนี้
ก) ภาคการผลิตไฟฟ้า โรงไฟฟ้าราชบุรีและโรงไฟฟ้าของบริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด (TECO) ได้มีการรับก๊าซฯเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าแล้ว โครงการท่อราชบุรี - วังน้อยแล้วเสร็จสามารถระบายก๊าซฯจากสหภาพพม่าไปที่โรงไฟฟ้าวังน้อย และการเร่งรัดการใช้ก๊าซฯ โดยมีการปรับแผนพัฒนากำลังการผลิต ไฟฟ้าของ กฟผ. จาก PDP99-01 เป็น PDP99-02 เพื่อให้มีการใช้ก๊าซฯทดแทนการใช้น้ำมันเตาที่โรงไฟฟ้า พระนครใต้และโรงไฟฟ้าบางปะกง
ข) ภาคอุตสาหกรรม อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Ring Gas Pipeline Project) โดยคาดว่าจะก่อสร้าง แล้วเสร็จปลายปี 2545
ค) ภาคคมนาคมขนส่ง เร่งรัดแผนงานสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการ ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถยนต์โดยสารรับจ้างหรือรถแท็กซี่โดยมีการทำ โครงการทดลองในระยะแรกจำนวน 100 คัน
ง) การปรับปรุงแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ การลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของการใช้ก๊าซฯ ในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคการขนส่ง
(2) มาตราการลดข้อผูกพันปริมาณการซื้อขายก๊าซฯตามสัญญาฯ มีความก้าวหน้าดังนี้
ก) ปตท. อยู่ระหว่างการเจรจาตามแนวทางที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 โดยปรับลดปริมาณก๊าซฯต่อวันตามสัญญา (DCQ) ลงชั่วคราวและรับก๊าซฯเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยในภายหลัง
ข) สัญญายาดานา ผู้ขายก๊าซฯ สนับสนุนแนวทางแก้ไขปัญหาตามวิธีการปรับลดปริมาณต่อวันตามสัญญา (DCQ) ลงชั่วคราวและรับก๊าซเพิ่มขึ้นเพื่อชดเชยในภายหลัง (Reschedule DCQ) ซึ่งผู้ขายก๊าซฯมีข้อเสนอเพิ่มเติมโดยการขอเพิ่มปริมาณต่อวันตามสัญญา (DCQ) ใหม่ในอนาคต เพื่อชดเชยกับการลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซฯ โดย ปตท. กำลังพิจารณาข้อเสนอของผู้ขายก๊าซฯทั้งในเรื่องปริมาณและราคาสำหรับก๊าซฯ ส่วนเพิ่ม
ค) สัญญาเยตากุน ผู้ขายก๊าซฯกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอของ ปตท. ที่จะขอเลื่อนการรับก๊าซฯ ส่วนเพิ่ม
3.2 กลไกการจัดการกับภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay ในขณะนี้ สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้ร่วมกันจัดทำรายละเอียดดังกล่าวแล้วเสร็จ โดยมีสาระสำคัญคือ การกำหนดขั้นตอนการปฏิบัติงานในแต่ละปี สกุลเงินและอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้คำนวณ Take or Pay และ Make-up value การคำนวณอัตรา ดอกเบี้ย การคำนวณกำไร/ขาดทุนจากการ Make-up และการใช้ประโยชน์ การจ่าย/รับเงิน และหลักการเกลี่ยราคา (Levelized price)
3.3 ความก้าวหน้าในการนำก๊าซฯ จาก Pool 2 และ Pool 4 มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกันและการกำหนดราคาค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติใหม่ ซึ่ง สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้ร่วมกันจัดทำรายละเอียดแล้วเสร็จ โดยกำหนดให้ใช้ราคาค่าก๊าซฯเฉลี่ย Pool 2 กับ Pool 4 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป และกำหนดให้ใช้อัตราค่าผ่านท่อส่วนของ Demand Charge ใหม่ คือ 1) ในส่วนของ Zone 1+Zone 3 เป็น 19.4029 บาท ต่อล้านบีทียู และ 2) ในส่วนของ Zone 2 เป็น 14.2177 บาทต่อล้านบีทียู ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2544 เป็นต้นไป โดยกำหนดให้มีการพิจารณาทบทวนข้อสมมุติฐานในประเด็นการชำระคืนเงินต้นและการ ลงทุนเพิ่มเติมของ โครงการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 สำหรับอัตราค่าผ่านท่อในส่วนของ Commodity Charge ให้ใช้อัตราปัจจุบัน โดยกำหนดให้มีการพิจารณาทบทวนข้อสมมุติฐานในประเด็นสูตรการคำนวณให้แล้ว เสร็จภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2544 ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 แนวทางการแก้ไขปัญหาของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือลงวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อขอให้ดำเนินการหาข้อยุติเกี่ยวกับปัญหาการประกอบกิจการของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน (Lubebase Oil) หนึ่งในสองโรงที่มีอยู่ปัจจุบันในประเทศไทย โดยกรมสรรพสามิตมีความเห็นว่า บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ไม่ถือเป็น "โรงกลั่นน้ำมัน" ตามนัยของประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 31) ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2535 จึงไม่มีสิทธิได้รับยกเว้นภาษีตามประกาศกระทรวงดังกล่าว
2. บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากการไม่ได้รับยกเว้นภาษีดังนี้
2.1 ผลกระทบทางตรง คือ วัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานไม่สามารถขอยกเว้นภาษี สรรพสามิตได้ และจะต้องวางเงินค้ำประกันในการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นจำนวนเงิน ที่สูงอย่างต่อเนื่อง โดยมิได้กำหนดระยะเวลาทวงคืนเงินค้ำประกันที่ชัดเจน ทำให้เกิดความเสียเปรียบต่อผู้ประกอบ อุตสาหกรรมประเภทเดียวกัน คือ บริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคัลไทย (TPI) ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีวัตถุดิบเพราะเป็นโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานที่รวม อยู่เป็นส่วนหนึ่งของโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงของ TPI ในขณะที่บริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) เป็นกิจการแยกออกต่างหากจากโรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์
2.2 ผลกระทบทางอ้อม คือ น้ำมันดิบส่วนเบา (Reduced Crude) ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิต น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมีราคาซื้อขายตลอดจนคุณภาพและคุณสมบัติสูงกว่าน้ำมัน เตาที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง หากต้องเสียภาษีสรรพสามิตจะได้รับผลไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ และหากไม่มีข้อยุติเกี่ยวกับภาษีสรรพสามิตจะส่งผลต่อแผนการปรับปรุงโครง สร้างหนี้ของบริษัทฯ รวมทั้ง การวางเงินประกันนำเข้าวัตถุดิบทำให้มีผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัทฯ และทำให้บริษัทฯ มีต้นทุนการผลิตสูง จึงทำให้การแข่งขันไม่ได้อยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน กับบริษัทอื่นๆ นอกจากนี้ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะสูญเงินลงทุนในบริษัทฯ หากบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ และการตีความที่ขัดกันระหว่างกรมสรรพสามิตและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะมีผลให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศขาดความเชื่อมั่นในระบบ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม
3. ปตท. ซึ่งได้รับความเห็นชอบให้เข้าร่วมลงทุนในบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2535 ได้มีหนังสือขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาความหมายของ "โรงกลั่นน้ำมัน" ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ซึ่งผลจากการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่า คำว่า "โรงกลั่นน้ำมัน" ที่ปรากฏในบัญชีท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษี สรรพสามิต (ฉบับที่ ๓๑) ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ย่อมหมายถึง โรงกลั่นน้ำมันตามความหมายทั่วไป อันเป็นคำที่มีความหมายชัดเจนในตัวเอง ซึ่งไม่ต้องอาศัยการตีความตามเจตนารมณ์แต่อย่างใด และเมื่อข้อ เท็จจริงปรากฏว่าโรงกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานของบริษัท ไทยลู้บเบส จำกัด (มหาชน) เป็นโรงกลั่นน้ำมัน ตามความหมายทั่วไป จึงต้องถือเป็นโรงกลั่นน้ำมันตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๓๑) ลงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๖
4. สพช. มีความเห็นว่า การกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานมิได้เป็นการกลั่นจากน้ำมันดิบโดยตรง แต่จะเป็นการรับน้ำมันที่เหลือจากขบวนการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปมากลั่นซ้ำ เพื่อผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานสำหรับนำไปปรุงแต่งเป็นน้ำมันหล่อลื่นสำเร็จ รูปต่อไป ทำให้วัตถุดิบดังกล่าวจะต้องผ่านขั้นตอนการกลั่นหรือการผลิตเพื่อแยกเอา ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มิใช่น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานออกไป ดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นการผลิตตามความหมายของโรงกลั่นน้ำมัน จึงควรมีการยกเว้นภาษีอากรสำหรับวัตถุดิบที่นำมาผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน มิฉะนั้นแล้วจะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงกว่าบริษัทที่ได้รับการยกเว้นภาษีสรรพ สามิต และไม่สามารถแข่งขันได้กับน้ำมันหล่อลื่น นำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการแข่งขันในการจัดตั้งกิจการกลั่นน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานขึ้นใน ประเทศ ได้อย่างกว้างขวางและสามารถแข่งขันกันบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน จึงควรเปิดโอกาสให้ได้รับยกเว้นภาษีสรรพสามิตเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเลือกจัดตั้งกิจการเป็นส่วนหนึ่งของโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือ เป็นกิจการแยกต่างหากจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาให้การยกเว้นภาษีสรรพสามิตตาม ประกาศกระทรวงคลัง (ฉบับที่ 31) ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2536 มีผลบังคับใช้กับโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่นเป็นการ ทั่วไป โดยเร็วที่สุด
เรื่องที่ 6 แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีหนังสือลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2543 มายังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เรื่อง แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบแนวทางในการแปรรูป ปตท. ซึ่งได้มีการ ปรับปรุงใหม่ และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ปตท. แล้ว เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2543
2. แนวทางการแปรรูปของ ปตท. ที่ได้ปรับปรุงใหม่ สรุปได้ดังนี้
2. 1 โครงสร้างเพื่อการแปรรูป มีดังนี้
(1) นำกิจการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมาจัดตั้งเป็นบริษัท ปตท. จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติครบวงจร (Integrated Oil and Gas Business) ในลักษณะเป็น Operating Holding Structure โดยมี ปตท. รัฐวิสาหกิจ (ปตท.) เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดในขั้นต้น โดยเมื่อตลาดทุนเอื้ออำนวยจึงจะแปรสภาพเป็น บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป โดยใน ระยะยาว ปตท. จะคงสัดส่วนการถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51
(2) นำหุ้นบริษัทในเครือที่มีความเกี่ยวเนื่องและเสริมสร้างมูลค่า (Value Chain) ต่อการดำเนินธุรกิจก๊าซฯ และน้ำมัน ซึ่งไม่เป็นภาระทางการเงินโอนไปยัง บมจ. ปตท.
(3) สำหรับหุ้นของบริษัทในเครืออื่นๆ อันได้แก่บริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นน้ำมัน ซึ่งยังมีภาระทางการเงินทั้งระยะสั้นและระยะกลาง จะคงไว้ที่ ปตท. เพื่อรอปรับปรุงมูลค่า
(4) ทั้งนี้ ปตท. อาจจะทำสัญญาให้สิทธิ (Option) แก่ บมจ. ปตท. ในการซื้อหุ้นบางบริษัทที่มีความสำคัญต่อการดำเนินการของ บมจ. ปตท. จาก ปตท. ในอนาคต ในราคาตามมูลค่าทางบัญชี
(5) สำหรับกิจการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติจะแยกออกมาจัดตั้งเป็นบริษัท ปตท. ท่อส่ง ก๊าซธรรมชาติ จำกัด ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 โดยมี บมจ. ปตท. เป็นผู้ถือหุ้น ร้อยละ 100
(6) นอกจากนี้ ปตท. เห็นควรจัดตั้งบริษัท ปตท. ท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด เพื่อให้ สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ในการขยายการจำหน่ายก๊าซฯ เพิ่มขึ้นด้วย
2.2 การเลือกใช้กฎหมายเพื่อดำเนินการจัดตั้งบริษัท ทางเลือกกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งบริษัท คือ การใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) เนื่องจากในด้านองค์กรจะมีความ สอดคล้องกับกลยุทธ์และสนับสนุนการจัดโครงสร้างได้ดีกว่า พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ โดย ปตท. สามารถนำเงินจากการขายหุ้นใน บมจ. ปตท. และเงินปันผลจาก บมจ. ปตท. มาสนับสนุนกิจการที่เหลือเพื่อลดภาระของภาครัฐได้ นอกจากนั้นการใช้ ป.พ.พ. ยังสามารถควบคุมกระบวนการจัดตั้งบริษัทให้มีการดำเนินการได้เร็วตามแผนที่ กำหนด และในส่วนของพนักงาน ทั้ง ป.พ.พ. และ พ.ร.บ. ทุนฯ จะไม่มีประเด็นแตกต่างกัน
2.3 โครงสร้างการบริหารภายในและกลไกกำกับดูแล
(1) ปตท. รัฐวิสาหกิจ (ปตท.) จะไม่มีการดำเนินธุรกิจใดๆ ยกเว้นเป็นผู้ถือหุ้นใน บมจ. ปตท. และบริษัทในเครือ เช่น บริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่น โดยยังคงอำนาจหน้าที่และสิทธิตาม พ.ร.บ. ปตท. และจะเป็นผู้ทำการว่าจ้าง บมจ. ปตท. ให้เป็นผู้บริหารและจัดการ
(2) ในระยะยาว ปตท. จะยังคงถือหุ้นใน บมจ. ปตท. เกินร้อยละ 50 เพื่อให้ยังคงสถานภาพ การเป็นรัฐวิสาหกิจและเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทในเครือที่มีความเกี่ยวเนื่อง กับธุรกิจก๊าซฯ และน้ำมัน รวมทั้งมีหน้าที่รับจ้าง ปตท. บริหารจัดการบริษัทในเครือของ ปตท. โดย ปตท. ได้จัดทำหลักเกณฑ์และรูปแบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance and Management) เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจของ ปตท. รวมทั้ง บมจ. ปตท. และบริษัทในเครือ
2.4 การจัดโครงสร้างเงินทุนเพื่อการแปรรูป
(1) บมจ. ปตท. จะต้องจัดให้มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่เหมาะสม เพื่อให้มีความสามารถในการกู้ยืมเงินด้วยต้นทุนทางการเงินต่ำ และมีความสามารถในการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ย ในระดับใกล้เคียงกับบริษัทอ้างอิงในอุตสาหกรรม เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนักลงทุน
(2) จำนวนหนี้สินของ ปตท. ที่จะโอนไปยัง บมจ. ปตท. จริงจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ความสนใจที่จะลงทุนของนักลงทุน ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของ ปตท./บมจ. ปตท. รวมทั้งผลการเจรจากับเจ้าหนี้เงินกู้ ณ เวลาที่ทำการแปรรูป และเพื่อให้ ปตท. สามารถจัดการกับภาระหนี้ ในส่วนที่ไม่สามารถโอนไป บมจ. ปตท. ได้ทั้งหมด รวมทั้งเพื่อให้ ปตท. มีเงินสำรองการบริหารงานและการให้การสนับสนุนทางการเงินแก่บริษัทในเครือที่ มีปัญหาตามสัญญาการให้การสนับสนุนทางการเงิน จึงมีความจำเป็นต้องขายหุ้นใน บมจ. ปตท. จำนวนหนึ่ง รวมทั้งเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. ปตท. โดยขออนุมัติการเก็บกำไรจากการเสนอขายหุ้นเก่าไว้ทั้งจำนวนโดยไม่นำส่งรัฐ
2.5 การดำเนินการจัดตั้งบริษัทและการโอนธุรกิจให้ บมจ. ปตท.
(1) ปตท. จะจัดตั้งบริษัท ปตท. จำกัด ตาม ป.พ.พ. และจะแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด ในภายหลัง โดย ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด และกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต้น 100 ล้านบาท
(2) ปตท. จะจัดตั้งบริษัท ปตท. ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จำกัด และบริษัท ท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด ขึ้น โดยมี บมจ. ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดทั้ง 2 บริษัท และกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต้นบริษัทละ 1 ล้านบาท
(3) ปตท. จะโอนสินทรัพย์กิจการก๊าซฯ และน้ำมัน รวมทั้งหุ้นของบริษัทในเครือที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก๊าซฯ และน้ำมันให้ บมจ. ปตท. ยกเว้นหุ้นบริษัทในเครือที่ยังไม่มีความพร้อม ส่วนสินทรัพย์ที่ไม่สามารถโอนได้ให้คงไว้ที่ ปตท. โดยราคาสินทรัพย์ที่จะโอนไปจะใช้ราคาตามบัญชีสุทธิ ณ วันสิ้นงวดไตรมาส ล่าสุดก่อนวันที่มีการโอน
2.6 การโอนย้ายพนักงาน จะไม่มีการเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากการแปรรูป และให้โอนพนักงานของ ปตท. ทั้งหมดไป บมจ. ปตท. โดยยังคงสิทธิประโยชน์ ทั้งนี้ พนักงานที่โอนย้ายไปบริษัท ปตท. จำกัด จะอยู่ภายใต้ระบบการให้ผลตอบแทนเดียวกัน และ ปตท. จะให้พนักงานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อคิดเห็น/การพิจารณาร่วมกันในขั้น ตอนการดำเนินงานด้านการแปรรูปที่สำคัญ นอกจากนั้น ปตท. ยังมีนโยบายที่จะให้สิทธิพิเศษแก่พนักงานในการซื้อหุ้นของ บมจ. ปตท.
2.7 แผนการดำเนินงาน เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแนวทางการแปรรูป ปตท. แล้ว (อนุมัติครั้งที่ 1) ปตท. จะดำเนินการจัดตั้งบริษัท ปตท. จำกัด ตามขั้นตอนของ ป.พ.พ. ในช่วงเดือนมกราคม 2544 ส่วนการเตรียมการโอนธุรกิจ รวมทั้ง เตรียมการแปรสภาพเป็น บมจ. ปตท. และเตรียมการแปรรูป บมจ. ปตท. โดยการเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น ปตท. จะนำเสนอรายละเอียดดังกล่าวเพื่อขออนุมัติการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี (อนุมัติครั้งที่ 2) ให้เสร็จภายในไตรมาส 2 ของ ปี 2544 ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนำหุ้น บมจ. ปตท. เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณเดือนกันยายน 2544 หากสภาวะตลาดมีความเหมาะสม
3. กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีข้อเสนอขอความเห็นชอบแนวทางการแปรรูป ปตท. ดังนี้
3.1 การจัดโครงสร้างองค์กรเพื่อการแปรรูป
(1) ขออนุมัติให้ ปตท. จัดตั้ง บริษัท โดยอาศัยมาตรา 7 (11) ของพระราชบัญญัติการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2521 และบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยมีชื่อว่า "บริษัท ปตท. จำกัด" (ภายหลังแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด) ให้ ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 100 และให้ บริษัท ปตท. จำกัด จัดตั้งบริษัทในเครือขึ้น 2 บริษัท คือ "บริษัท ปตท. ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ จำกัด" และ "บริษัท ปตท. ท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด" และมี บริษัท ปตท. จำกัด ถือหุ้นร้อยละ 100 ทั้ง 2 บริษัท โดยมิต้องนำระเบียบว่าด้วยงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2522 มาใช้บังคับกับการลงทุนใน 3 บริษัทดังกล่าว และให้ ปตท. ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทมหาชนจำกัด เหลือไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51 และเพื่อเป็นการให้ความมั่นใจกับผู้ลงทุนในหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด ขอให้คณะรัฐมนตรีมีนโยบายให้บริษัท ปตท. จำกัดไม่ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ปตท. ท่อส่งก๊าซธรรมชาติจำกัด และบริษัท ปตท. ท่อจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด ลงในอนาคต ยกเว้นกรณีที่บริษัท ปตท. จำกัด เห็นสมควรและเหมาะสม
(2) ขอความเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับการเตรียมการเพื่อโอนกิจการ สินทรัพย์ หนี้สิน หุ้นของ ปตท. ให้กับบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่
(3) ให้พนักงาน ปตท. /พนักงาน บริษัท ปตท. จำกัด/กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของพนักงาน ปตท. และพนักงาน บริษัท ปตท. จำกัด มีส่วนร่วมในการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่จะเสนอขายให้แก่นักลงทุน ทั่วไปเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของกิจการ และให้ ปตท. โอนพนักงานของ ปตท. ทั้งหมด ไปเป็นพนักงานของ บริษัท ปตท. จำกัด โดยไม่มีการเลิกจ้าง
3.2 การดำเนินการของบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ให้บริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นดังกล่าวข้างต้น สามารถบริหารงานในรูปแบบของบริษัทเอกชนทั่วไป และมีระเบียบข้อบังคับที่ใช้ปฏิบัติงานต่างๆ ของตนเอง รวมทั้งได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจทั่วไป ยกเว้นระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528 และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ยังคงต้องปฏิบัติต่อไป
3.3 ให้ส่วนราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และ กฟผ. ถือเป็นนโยบายที่จะต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุน โดยนำไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างจริงจังต่อไป
4. สพช. ได้มีการพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นแล้วเห็นว่า เนื่องจากการพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบข้อเสนอแนวทางการแปรรูป ปตท. จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานควบคู่กันไปด้วย โดยเฉพาะในประเด็นแนวทางการแปรรูป ปตท. การจัดโครงสร้างองค์กรเพื่อการแปรรูป และการจัดการด้านบุคลากร ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จึงเห็นควรให้ สพช. เป็นแกนกลางในการดำเนินการและแต่งตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้แทนจาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ปตท. เป็นต้น เพื่อ ทำหน้าที่จัดทำแนวทางการแปรรูป ปตท. โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องและนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาต่อไป
มติของที่ประชุม
1.ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าแนวทางการแปรรูป ปตท.
2.มอบหมายให้ สพช. รับเป็นแกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณา เพิ่มเติมในประเด็น 1) รูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสม 2) การใช้กฎหมาย 3) การที่จะขอยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามกฎ ระเบียบต่างๆ 4) แนวทางของแผน ระยะเวลา และเงื่อนไข และ 5) ประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การแปรรูปดังกล่าวเกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้ ให้นำเสนอผลการพิจารณาต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีต่อไป
เรื่องที่ 7 การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
กระทรวงอุตสาหกรรมได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบดังนี้
1. เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงที่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการ ใช้เอทานอลต่อคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันอังคารที่ 26 ธันวาคม 2543 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาในเรื่องการยกเว้นการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
2. วัตถุประสงค์ของโครงการนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาในเรื่องราคาน้ำมันที่เพิ่มสูง ขึ้น และราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ โดยการผลิตเอทานอลจะผลิตจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย กากน้ำตาล มันสำปะหลัง ฯลฯ และใช้ผสมในน้ำมันเบนซินแทนสาร MTBE ในสัดส่วนร้อยละ 10 เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผลกระทบด้านเทคนิคต่อรถยนต์ที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
3. ขนาดกำลังการผลิตเอทานอลที่เหมาะสมควรมีกำลังการผลิตที่ระดับ 500,000 ลิตรต่อวัน ใช้เงิน ลงทุนประมาณ 2,700 ล้านบาท ถ้าราคาอ้อยอยู่ที่ 550 บาทต่อตัน และกากน้ำตาลราคา 1,250 บาทต่อตัน ราคาขายเอทานอลเท่ากับ 11.00 บาทต่อลิตร จะมีผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 7.6 และถ้าราคาหัวมันสดอยู่ที่ 1.10 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายเอทานอลเท่ากับ 11.00 บาทต่อลิตร จะมีผลตอบแทนการลงทุนร้อยละ 6.5
4. การวิเคราะห์โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เอทานอลผสมในสัดส่วนร้อยละ 10 สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ราคาขายปลีกจะอยู่ที่ระดับ 15.38 บาทต่อลิตร และกรณีที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ได้รับการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต แต่ไม่ได้รับการยกเว้นการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ราคาขายปลีกจะอยู่ที่ระดับ 14.94 บาทต่อลิตร และกรณีที่ได้รับการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและได้รับการยกเว้นการเรียกเก็บ เงินเข้ากองทุนฯ ราคาขายปลีกจะอยู่ที่ระดับ 14.37 บาทต่อลิตร ทั้งนี้ จากการหารือกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ขัดข้องในเรื่องการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต โดยจะเรียกเก็บเฉพาะภาษี สรรพสามิตในส่วนของเนื้อน้ำมันเท่านั้น
5. ประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการนี้ก็คือ สามารถลดการนำเข้าสาร MTBE และลดการใช้น้ำมันเบนซินลงได้ปีละประมาณ 8,000 ล้านบาท ลดค่าใช้จ่ายในการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปีละ 760 ล้านบาท รวมทั้ง ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน ช่วยยกระดับพืชผลทางเกษตร และช่วยลดมลพิษทางอากาศด้วย
มติของที่ประชุม
1.ให้กระทรวงอุตสาหกรรมแจ้งให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติพิจารณา เพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการยกเว้นการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อ เพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ทั้งนี้ ขอให้พิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อผู้ผลิตยานยนต์ ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภคด้วย แล้วจึงนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
กพช. ครั้งที่ 80 - วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 10/2543 (ครั้งที่ 80)
วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2543 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ....
2.รายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม
4.ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
5.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79) เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 ได้พิจารณาเรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... และได้มีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทย และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จัดส่งข้อแก้ไขมายัง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และเวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะ รัฐมนตรีต่อไป
2. สพช. ได้มีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตาม มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติข้างต้น ได้แก่ กรมโยธาธิการ ปตท. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในการพิจารณาข้อแก้ไขและข้อคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... เพื่อนำไปปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป ซึ่งจากการหารือร่วมกันได้ข้อสรุปในการแก้ไขร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังนี้
2.1 กรมโยธาธิการ มีข้อแก้ไขดังนี้
(1) เพิ่มเติมมาตรา 7(6) โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติร่วมกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในการกำหนดขอบเขตการอนุญาตหรือการให้สัมปทาน ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 พ.ศ. 2515 และขอบเขตการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของกรมโยธาธิการและคณะกรรมการฯ เพื่อไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน
(2) เพิ่มเติมข้อความวรรค 5 ของมาตรา 43 เกี่ยวกับการขอรับใบอนุญาตของผู้ประกอบ กิจการพลังงานเป็นดังนี้ "การประกอบกิจการพลังงานใดซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตหรือรับสัมปทานตามกฎหมาย อื่น จะต้องได้รับอนุญาตหรือรับสัมปทานตามกฎหมายนั้นด้วย ยกเว้นการขออนุญาตการผลิตพลังงานควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริม พลังงาน และการขออนุญาตตามมาตรา 37 ตามกฎหมายว่าด้วยการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย"
(3) เพิ่มเติมข้อความในมาตรา 45 (16) โดยในส่วนของประเภทใบอนุญาตการประกอบ กิจการค้าปลีกก๊าซธรรมชาติ ให้เพิ่มเติมว่า "ยกเว้นการประกอบกิจการสถานีบริการก๊าซธรรมชาติสำหรับรถ"
(4) เพิ่มเติมข้อความในมาตรา 68 วรรคหนึ่ง โดยให้กระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำหนดมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัยและด้านเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้า
(5) แก้ไขมาตรา 172 โดยตัด " ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58" ออกจากข้อความเดิม
(6) มาตรา 176 เปลี่ยนแปลงถ้อยคำจาก "อนุญาตตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58" เป็น "สัมปทานตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58"
2.2 ปตท. ได้ขอเพิ่มเติมข้อความในมาตรา 174 วรรค 3 ดังนี้ "ในการออกใบอนุญาตตาม วรรคสองให้คณะกรรมการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึง ข้อผูกพันที่มีอยู่เดิมและ ประโยชน์ของประชาชนที่ได้รับบริการอยู่เดิม และการพัฒนาเพื่อให้มีการบริการที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพหรือการอื่นใด เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งพระราชบัญญัตินี้"
3. สพช. ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ตาม ความเห็นของหน่วยงานข้างต้น และได้เวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาแล้ว ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการ ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... โดยให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำหรือข้อความใน ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... ในขั้นตอนการพิจารณาตรวจร่างของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป
เรื่องที่ 2 รายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำ "ดอกผล" อันเกิดจากกองทุนฯ จำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับ บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด มาใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานด้านพลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหารงานกองทุนฯ
2. ระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำหน้าที่พิจารณา จัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินดอกผลของกองทุนฯ เป็นรายปีงบประมาณในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนแก่หน่วยงานที่ ปฏิบัติงานทางด้านพลังงานและปิโตรเลียม นอกจากนี้ยังกำหนดให้ สพช. จัดทำงบแสดงผลการรับ - จ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณและงบแสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันสิ้นปีงบประมาณให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณเพื่อรายงานต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดทำรายงานผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2543 ซึ่งได้อนุมัติเงิน กองทุนฯ ภายใต้กรอบของแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ อย่างเคร่งครัดสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งมีการอนุมัติตามความจำเป็นและหมาะสมเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานที่ ปฏิบัติงานด้านพลังงานและปิโตรเลียม เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ โดยสามารถสรุปแผนและผลการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ในรอบปีงบประมาณ 2543 ได้ดังนี้
หน่วย:ล้านบาท
หมวดค่าใช้จ่าย | แผนการใช้จ่าย | ผลการใช้จ่าย |
การค้นคว้า วิจัย และการศึกษา | 4.4 | 4.1 |
เงินทุนการศึกษา และฝึกอบรม | 4.6 | 4.6 |
การโฆษณา การเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ | 1.5 | 1.0 |
การเดินทางเพื่อศึกษาดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา | 6.5 | 6.2 |
การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน | 2.4 | 2.4 |
ค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน | 0.6 | 0.6 |
รวม | 20.0 | 18.9 |
4. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อมูลจากงบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ งบแสดงฐานะการเงินของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ งบประมาณผูกพันต่อเนื่องในช่วงปี 2544 ประกอบกับประมาณการรายรับของกองทุนฯ ที่คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของเงินกองทุนฯ ในช่วงสามปีข้างหน้าแล้ว ได้เสนอแผนการใช้จ่ายเงินในช่วงปีงบประมาณ 2544 - 2546 ภายในวงเงิน 66 ล้านบาท เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบ ภายใต้กรอบของหมวดรายจ่ายต่างๆ ดังนี้
(หน่วย:ล้านบาท)
หมวดรายจ่าย | ปีงบประมาณ | |||
2544 | 2545 | 2546 | รวม | |
การค้นคว้า วิจัย และการศึกษา | 4.00 | 4.00 | 4.00 | 12.00 |
เงินทุนการศึกษา และฝึกอบรม | 5.40 | 5.40 | 5.40 | 16.20 |
การโฆษณา การเผยแพร่ข้อมูล และประชาสัมพันธ์ | 3.00 | 3.00 | 3.00 | 9.00 |
การเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา | 5.00 | 5.00 | 5.00 | 15.00 |
การจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน | 4.00 | 4.00 | 4.00 | 12.00 |
ค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน | 0.60 | 0.60 | 0.60 | 1.80 |
รวม | 22.00 | 22.00 | 22.00 | 66.00 |
5. เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และมีความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายเงินในหมวดต่างๆ ตลอดระยะเวลา 3 ปี จึงเห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนฯ สามารถอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2544 - 2546 ตามแผนการใช้จ่ายเงินข้างต้นในวงเงินรวม 66 ล้านบาทได้ และให้คณะกรรมการ กองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินดังกล่าว โดยสอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ
6. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของกองทุนเงินอุดหนุนจาก สัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาและมีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543 รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2543 และเห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2544-2546
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 55) เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2539 ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้สนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ตั้งแต่ปี 2539 และจนถึงปี 2543 คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ซึ่งกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้อนุมัติงบประมาณจาก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1,746.0 ล้านบาท
2. ในปี 2544 หน่วยงานต่างๆ ได้จัดทำโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ ประกอบด้วย กรมศุลกากร 1 แผนงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 7 โครงการ กรมสรรพสามิต 9 โครงการ กรมทะเบียนการค้า 3 โครงการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ 1 โครงการ รวมทั้งสิ้น 21 โครงการ คิดเป็นจำนวนเงินขอรับการสนับสนุนรวมทั้งสิ้น 1,211.2 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2543 ซึ่งได้มีการดำเนินการและก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว และจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนในปีงบประมาณ 2544 คิดเป็นจำนวนเงิน 583.3 ล้านบาท และที่เหลือเป็นงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนใหม่จำนวน 627.9 ล้านบาท
3. เนื่องจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระในการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ทำให้การพิจารณา...จัดสรรงบประมาณภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าวจะต้องมีการพิจารณา อย่างรอบคอบ และจัดสรรให้เฉพาะส่วนที่ จำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ดังนั้น ในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานต่างๆ จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณา คือ พิจารณาเป็นรายหน่วยงาน/รายโครงการ และให้ความสำคัญโครงการที่มีลำดับความสำคัญ...ก่อน คือ โครงการที่มีการก่อหนี้ผูกพันไว้แล้วในปี 2543 โครงการที่ดำเนินการแล้วในปี 2543 และต้อง ดำเนินการต่อให้แล้วเสร็จในปี 2544 โครงการที่จำเป็นต้องดำเนินการเร่งด่วนเนื่องจากมีปัญหาค่อนข้างรุนแรง นอกจากนั้นจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเท่าที่เห็นว่าเหมาะสมจำเป็นเท่านั้น
4. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2543 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2543 ได้มีมติอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ดำเนินโครงการตามที่เสนอโดยอนุมัติจัดสรรงบประมาณประจำปี 2544 จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิงให้แก่หน่วยงานต่างๆ ตามโครงการที่เสนอในวงเงิน 861,756,567.22 บาท (แปดร้อยหกสิบเอ็ดล้านเจ็ดแสน ห้าหมื่นหกพันห้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทยี่สิบสองสตางค์) ซึ่งเป็นเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วในปี 2543 ยกมาขอใหม่ จำนวน 583,296,704.22 บาท และอนุมัติเพิ่มเติมในปี 2544 จำนวน 278,459,863.00 บาท ซึ่งสามารถแยก รายละเอียดตามหน่วยงาน ได้ดังนี้
หน่วย: บาท | |
กรมศุลกากร | 43,000,000.00 |
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง | 156,472,610.00 |
กรมสรรพสามิต | 621,351,024.22 |
กรมทะเบียนการค้า | 40,211,683.00* |
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ | 721,250.00 |
5. นอกจากนี้ คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มอบหมายให้หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรร งบประมาณดังกล่าวข้างต้น จัดทำรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้า น้ำมันเชื้อเพลิงในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา ให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบต่อไป ซึ่งขณะนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ อยู่ระหว่างรวบรวมและจัดทำสรุปการรายงานผล ดังกล่าว เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้รายงานให้คณะกรรมการฯ ทราบต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าดังนี้
1.1 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (ประกอบด้วย โครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จำนวน 3 โครงการ คือ 1) โครงการลดต้นทุน อุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ซึ่ง ขณะนี้ กสอ. ขอชะลอโครงการฯ ไว้ก่อนเพื่อรอแนวทางที่ชัดเจนและจะจัดทำข้อเสนอมาใหม่อีกครั้ง 2) โครงการปรึกษา แนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรม ขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการเบื้องต้นจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุนแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 โดย กสอ. อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติม และ3) โครงการกระตุ้นให้ เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อเสนอโครงการเบื้องต้นให้สมบูรณ์ก่อนจะนำ เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ มีโครงการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวน 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและโครงการ สาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs เป็นสารทำความเย็น ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาค ความร่วมมือแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และสำนักควบคุม วัตถุอันตรายอยู่ระหว่างการปรับข้อเสนอโครงการสาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่อง ปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs ส่วนโครงการที่สามคือโครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรม ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมีผล กระทบต่องบประมาณ จึงขอนำโครงการฯ กลับไปทบทวน เพื่อรอข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน
1.2 แผนการรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง ตามโครงการ " 22 กันยา จอดรถไว้บ้านช่วยกันประหยัดน้ำมัน" ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ สพช. จึงได้จัดทำแผนรณรงค์ประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง ปีงบประมาณ 2544 โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 การรณรงค์มีกิจกรรมหลักคือ แผนรณรงค์จอดรถไว้บ้านช่วยกันประหยัดน้ำมัน และมีกิจกรรมสนับสนุนอื่นๆ เช่น แผนรณรงค์การบำรุงรักษาเครื่องยนต์ แผนรณรงค์ขี่จักรยานและเดินเท้า การใช้อุปกรณ์สื่อสารแทนการเดินทาง การวางแผนก่อนเดินทางและขับรถอย่างถูกวิธี และกิจกรรมทางเดียวกันไปด้วยกัน นอกจากนี้ ได้มีการแต่งตั้ง "คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการประหยัดน้ำมันในสาขาขนส่ง" เพื่อร่วมกันกำหนดแผนรณรงค์ให้มีความชัดเจนและดำเนินการรณรงค์ให้บรรลุเป้า หมายที่ตั้งไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.3 โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานได้อนุมัติให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) ดำเนินโครงการสาธิตเทคโนโลยี ประสิทธิภาพพลังงาน ประกอบด้วย โครงการจัดตั้งศูนย์สาธิต 4 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร อยุธยา พิษณุโลก และเชียงใหม่ และจัดทีมรถนิทรรศการสาธิตเคลื่อนที่ไปอีก 22 จังหวัด รวมทั้งการจัดหาพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้งค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน ซึ่งได้มีการเปิดโครงการเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2543 ภายใต้ชื่อ "โครงการมหิดลรวมพลังหารสอง" ณ มหาวิทยาลัยมหิดล ภายในงานมีการบรรยาย พิเศษและนิทรรศการ สำหรับศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานในกรุงเทพฯ จัดสร้างขึ้นที่อาคารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ซึ่งได้เปิดให้เข้าชมแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม เป็นต้นมา
1. 4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้เริ่มดำเนินโครงการ Tune-up ระยะที่ 1 โดยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2543 ณ กรมการขนส่งทางบก ซึ่ง ปตท. ได้กำหนดแผนการให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม ถึง 29 ธันวาคม 2543 หน้าอาคาร 6 กรมการขนส่งทางบก และให้บริการแก่หน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กองบิน 6 ฐานทัพอากาศดอนเมือง กรมชลประทาน กรมพลาธิการทหารบก องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรมการขนส่งทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ การประปานครหลวง และการเคหะแห่งชาติ ในระหว่างวันที่ 1 - 25 ตุลาคม 2543 มีจำนวนรถที่เข้ารับบริการรวมทั้งสิ้น 3,435 คัน คิดเป็นร้อยละ 20 ของ แผนการให้บริการรถยนต์ทั้งหมด
2. มาตรการลดราคาน้ำมัน มีความก้าวหน้าดังนี้
2.1 ปตท. ได้ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) 0.25 บาทต่อลิตร และลดราคาน้ำมันหล่อลื่นอีกลิตรละ 2.00 บาท ต่อไปจนถึงธันวาคม 2543 โดยในช่วงมกราคม - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันให้เกษตรกรไปแล้วครอบคลุม 59 จังหวัด คิดเป็นปริมาณรวม 39 ล้านลิตร เป็นมูลค่าความช่วยเหลือ 8.8 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่ สูงขึ้น โดยชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่เกษตรกรรายครัวเรือนที่สังกัดสถาบัน/องค์กร เกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลในอัตราลิตรละ 3 บาท ในปริมาณ 15 ลิตรต่อเดือน โดยขณะนี้ ธกส. อยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อเกษตรกรที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ประสานไปยังผู้ค้าน้ำมันเพื่อให้สถานีบริการทั่วประเทศให้ความร่วมมือใน การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้ว
2.2 ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้แก่กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 134 แห่ง จนถึง สิ้นปี 2543 ในอัตราส่วนลดลิตรละ 0.42 บาท โดยในช่วงมกราคม - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันให้กลุ่มประมงไปแล้วรวม 92 ล้านลิตร เป็นมูลค่าส่วนลดรวม 53 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายและ มาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้อนุมัติเงินจ่ายขาดวงเงิน 321 ล้านบาท ให้กับกรมประมงเพื่อใช้ชดเชยการ ขาดทุนของกลุ่มผู้ประกอบการประมงโดยการลดราคาให้ในอัตราลิตรละไม่เกิน 3 บาท ให้กับเรือขนาดความยาวเกินกว่า 14 เมตร แต่ไม่เกิน 18 เมตร เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 จนถึงพฤศจิกายน 2543 มีชาวประมงเข้าเป็นสมาชิกโครงการฯ จำนวน 8,704 ราย และมีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันเข้าร่วม โครงการรวม 120 สถานีบริการ โดยมียอดจัดสรรน้ำมันที่ให้ส่วนลดไปแล้วรวม 39.8 ล้านลิตร
2.3 กระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของตามหลักเกณฑ์ ที่กระทรวงคมนาคมกำหนด โดยตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน ถึง 9 ตุลาคม 2543 มีจำนวนรถที่ได้รับการชดเชยไปแล้วทั่วประเทศประมาณ 31,799 คัน แยกเป็นกรุงเทพมหานคร 12,884 คัน และส่วนภูมิภาค 18,915 คัน โดยมีจำนวนคูปองที่จ่ายไปแล้วประมาณ 424,238 ใบ รวมเป็นเงิน 42,423,800 บาท ส่วนการเบิกจ่ายเงินให้กับ ปตท. ทางกรมการขนส่งทางบกกำลังรอแจ้งการโอนเงินจากกระทรวงการคลัง
2.4 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท โดยในช่วงเมษายน - กันยายน 2543 ได้จำหน่ายน้ำมันโดยให้ส่วนลดไปแล้วรวม 11 ล้านลิตร คิดเป็น มูลค่ารวม 0.83 ล้านบาท
3. ปตท. ได้ดำเนินโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบ Bi-fuel ในรถแท๊กซี่ อาสาสมัครจำนวน 100 คัน ซึ่งขณะนี้มีผู้แจ้งความจำนงเข้าร่วมโครงการจำนวน 150 คัน คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2543 นอกจากนี้ยังได้เปิดรับสมัครรถแท๊กซี่เข้าร่วมโครงการนำร่องการติดตั้ง อุปกรณ์ใช้ก๊าซฯ จำนวน 1,000 คัน ในปี 2544 แล้ว
4. ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 จำนวน 29 พันบาร์เรลต่อวัน รวมเป็นจำนวนที่นำเข้าในปี 2543 จำนวน 135.3 พันบาร์เรลต่อวัน การนำเข้าน้ำมันดิบดังกล่าวเป็นลักษณะสัญญา TERM ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่าตลาดจรประมาณ 0.08-0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2543 ได้นำเข้าน้ำมันดิบตามสัญญา Term เป็นจำนวน 48.2 ล้านบาร์เรล
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนตุลาคม 2543 ของแหล่งในตะวันออกกลางอยู่ในระดับทรงตัว ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดอยู่ในภาวะสมดุล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบชนิดเบาได้ลดลง 1-2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจากการที่สหรัฐอเมริกาได้นำน้ำมันดิบสำรองทางยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นชนิด เบาออกสู่ตลาด แต่เนื่องจากปริมาณสำรองทาง การค้าอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบมีความไวต่อข่าวที่มีผลต่อความต้องการใช้และการจัดหา (สภาพอากาศ และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง) โดยราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 29.57 - 34.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนตุลาคมได้ลดลง โดยน้ำมันเบนซินปรับตัวลงตามความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาลและปริมาณน้ำมันที่ มีมากในตลาด ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากค่าการกลั่นที่ดีขึ้น ทำให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการผลิตมีผลให้ปริมาณเพิ่มมากขึ้นในตลาด สำหรับน้ำมันก๊าด และเตา มีความต้องการเพื่อสำรองไว้ใช้สำหรับทำความอบอุ่นประกอบกับปริมาณที่มีอยู่ ในตลาดมีระดับต่ำทำให้ราคาสูงขึ้น 1.4 และ 1.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 32.8, 43.0, 38.5 และ 29.4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในเดือนตุลาคมได้ปรับขึ้น 2 ครั้ง ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล รวม 60 สตางค์/ลิตร เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงอีก 1 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศสูงขึ้นประมาณ 20 สตางค์/ลิตร ประกอบกับการตรึงราคาขายปลีก ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าอยู่ ในระดับติดลบ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2543 อยู่ในระดับ 16.79 , 15.79 และ 15.04 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดในเดือนตุลาคม ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินได้เริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับติดลบ ค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์ในเดือนตุลาคมอยู่ที่ระดับ 0.22 บาท/ลิตร และเนื่องจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่อ่อนตัวน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบ ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนตุลาคมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3 - 1.5 บาท/ลิตร) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.5 บาท/ลิตร เมื่อพิจารณารายได้รวมของธุรกิจน้ำมัน (ค่าการตลาดและค่าการกลั่น) เฉลี่ยอยู่ในระดับ 1.7 บาท/ลิตร
5. แนวโน้มของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และสภาพอากาศ หากอากาศหนาวเย็นกว่าปกติ และอิรัคลดการส่งออกเพื่อกดดันให้ยกเลิกการคว่ำบาตร ราคาน้ำมันอาจจะสูงขึ้นมาก รวมทั้งปริมาณสำรองน้ำมันในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ส่วนราคาน้ำมันเบนซินจะปรับตัวลดลงตามความต้องการที่จะลดลงในฤดูหนาว ส่วนราคาน้ำมันเพื่อความอบอุ่น (ก๊าด และดีเซล) ราคาจะสูงขึ้นตามความ ต้องการที่เพิ่มขึ้น คาดว่าราคาน้ำมันดีเซลในฤดูหนาวนี้จะไม่เกิน 45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนราคาขายปลีกของไทย ราคาน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มปรับลดลงตามราคาตลาดโลก ส่วนราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 15 -16 บาท/ลิตร
6. จากปัญหาความตึงเครียดในตะวันออกกลางซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศใน 2 ลักษณะ คือ กรณีการจัดหาไม่ถูกจำกัดเพียงราคาน้ำมันแพง และกรณีกระทบการจัดหาของประเทศ ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) จึงได้เสนอแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลางในการแก้ปัญหา ทั้ง 2 กรณี ดังนี้
6.1 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาน้ำมันราคาแพง ประกอบด้วย มาตรการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานเพื่อลดการใช้น้ำมัน มาตรการลดราคาน้ำมันเป็นรายสาขา และมาตรการอื่นๆ เช่น การส่งเสริมการใช้เบนซินให้ถูกชนิด เป็นต้น
6.2 มาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับในกรณีที่สถานการณ์ในตะวันออกกลางได้ลุกลาม และส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันของไทย ก่อให้เกิดการขาดแคลน ขึ้นในประเทศ ให้ใช้มาตรการและแนวทางการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยนายกรัฐมนตรี มีอำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 เพื่อออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีให้สามารถดำเนินการตามมาตรการรองรับ ซึ่งสรุปได้ดังนี้
(1) ด้านการจัดหาน้ำมัน รัฐบาลต้องเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานจากแหล่งในประเทศให้มากขึ้น ควบคุมการนำเข้าและส่งออกน้ำมัน และเร่งจัดหาน้ำมันโดยการเจรจากับต่างประเทศเพื่อขอซื้อน้ำมันในลักษณะของ การค้าต่างตอบแทน (Counter trade) ระหว่างภาครัฐกับภาครัฐ ( G to G) รวมทั้งการใช้ข้อ ตกลงระหว่างประเทศอาเซียนในความร่วมมือจัดหาน้ำมันในยามขาดแคลน และให้ผู้ค้าน้ำมันจัดหาจากบริษัทแม่และธุรกิจเครือข่ายในต่างประเทศ หากการจัดหาน้ำมันยังคงไม่เพียงพอ ก็อาจต้องมีการนำน้ำมันสำรองตามกฎหมายมาใช้ ตลอดจนการนำเข้าเชื้อเพลิงชนิดอื่นเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง
(2) การเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นที่ผลิตได้ในประเทศ ส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงการใช้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้ในประเทศ โดยรัฐต้องแก้ไขเพื่อผ่อนปรนกฎระเบียบเกี่ยวกับมาตรฐานการระบายมลพิษทาง อากาศจากการเผาเชื้อเพลิง
(3) มาตรการด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หากสามารถจัดหาน้ำมันได้เพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศ ให้การปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศสอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงของราคา น้ำมันที่สูงขึ้นทันที แต่หากเกิดวิกฤตการณ์การขาดแคลนน้ำมัน โดยไม่สามารถจัดหาน้ำมันได้เพียงพอกับความต้องการใช้ รัฐบาลจะต้องประกาศใช้ "ระบบการควบคุมราคา" เป็นการชั่วคราว เพื่อป้องกันการกักตุนและโก่งราคาขายเกินเหมาะสม
(4) มาตรการด้านการประหยัดพลังงานและการจัดการด้านการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง แบ่งได้ตามความรุนแรงของสถานการณ์เป็น 3 ระดับ คือ ระดับต้น เป็นการเตรียมการ เมื่อสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะเกิดการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยรัฐต้องให้ข้อมูลที่แท้จริงต่อประชาชน ระดับกลางเมื่อ เกิดการขาดแคลน น้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น โดยสามารถจัดหาน้ำมันได้ต่ำกว่าปริมาณการใช้ แต่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 จะต้องใช้มาตรการบังคับต่างๆ เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันลงอย่างจริงจัง ระดับร้ายแรง เมื่อมาตรการบังคับไม่สามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันลงมาอยู่ในระดับเดียวกับการจัดหา จำเป็นต้องมีการปันส่วนน้ำมัน
(5) มาตรการป้องกันการกักตุน การควบคุมการจำหน่าย และการปันส่วนน้ำมัน เป็น มาตรการเพื่อจัดสรรการใช้น้ำมันที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสูงสุด และลดความเดือดร้อนของประชาชนจากการขาดแคลนน้ำมันให้เหลือน้อยที่สุด โดยกำหนดขั้นตอนในการดำเนินการเป็น 3 ขั้นตอน คือ ระยะที่ 1 เมื่อการจัดหาเริ่มมีปริมาณต่ำกว่าความต้องการของประเทศเล็กน้อย ควบคุมผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 ให้จำหน่ายน้ำมันในปริมาณเท่าที่จำเป็น ควบคุมการจำหน่ายน้ำมันให้แก่เครื่องบินและเรือที่เดินทางออกนอกราชอาณาจักร ระยะที่ 2 เมื่อการจัดหาเริ่มลดต่ำกว่าความต้องการของประเทศมากยิ่งขึ้น ให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 6 จัดทำแผนการจำหน่าย เพื่อขอรับความเห็นชอบจากคณะกรรมการส่วนกลางที่จะมีการจัดตั้งขึ้นเป็นประจำ ทุกเดือน ระยะที่ 3 เมื่อการจัดหาเริ่มขาดแคลนมาก เริ่มใช้มาตรการในการปันส่วนน้ำมัน เพื่อให้การปันส่วนน้ำมัน การควบคุมการจำหน่าย และการป้องกันการกักตุนน้ำมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.เห็นชอบแผนเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และมาตรการและแนวทางในการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
3.มอบหมายให้ สพช. ติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลางและสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างใกล้ ชิด โดยให้ประเมินสถานการณ์และรายงานให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติทราบเป็นระยะๆ
4.หากสถานการณ์ในตะวันออกกลางลุกลาม และมีผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันของประเทศ ให้ สพช. หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ และผู้ค้าน้ำมัน เพื่อกำหนดมาตรการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงให้ เหมาะสมกับสถานการณ์ และเสนอผ่านประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อให้นายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ออกเป็นคำสั่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
กพช. ครั้งที่ 79 - วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 9/2543 (ครั้งที่ 79)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล
1.ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.ความคืบหน้าการดำเนินงานแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
3.แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02)
4.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
5.ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
6.โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.ความเห็นเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน
8.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
9.แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
10.การส่งเสริมนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
11.ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
12.การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
13.การกำหนดราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 ความคืบหน้าในการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับสาธารณรัฐประชาชนจีน
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาชนจีน โดยทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าใน สาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อจำหน่ายให้แก่ประเทศไทยจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2560 ต่อมา เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2543 คณะผู้แทนบริษัทไฟฟ้าแห่งรัฐและการไฟฟ้ายูนนานของสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาเยือนไทย เพื่อหารือในรายละเอียดของการรับซื้อไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) ซึ่งทั้ง 2 ฝ่าย ได้ข้อสรุปของผลการหารือที่สำคัญ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงจะเป็นโครงการแรกขนาด 1,500 เมกะวัตต์ ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 และโครงการที่เหลืออีก 1 โครงการในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 ทั้งนี้ กฟผ. จะบรรจุโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง และโครงการที่เหลือไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าในระยะยาวฉบับใหม่
2. คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย-จีน ได้มีการประชุมร่วมกันเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 4-5 กันยายน 2543 ณ เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีสาระสำคัญของผลการประชุมสรุปได้ดังนี้
2.1 ได้มีการเน้นย้ำถึงความร่วมมือในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าในสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ได้ตกลงกันไว้แล้วในเดือนมีนาคม 2543
2.2 การหารือถึงความตกลงในการลงทุนก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง และได้ลงนามในความตกลงเรื่อง "การร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงระหว่างกลุ่มผู้ ลงทุนไทย-จีน" เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543
2.3 การตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC แบบวงจรเดี่ยว (Single Pole) เพื่อส่งไฟฟ้าจำนวน 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการแรก ในปี 2556 และเพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อส่งไฟฟ้าอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ แบบสองวงจร (Bi Pole) ในปี 2557 โดยแนวสายส่งจากจีนมาไทยจะผ่านพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) และมีสถานีจุดเปลี่ยนกระแสไฟฟ้า (Coverter Station) อยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
2.4 เห็นชอบให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง เข้าร่วมการซื้อขายไฟฟ้าในตลาด Power Pool ของไทย โดยต้องอยู่บนหลักการของการแข่งขันด้านการซื้อขายไฟฟ้าอย่างยุติธรรม ทั้งนี้ฝ่ายไทยได้เสนอทางเลือกให้พิจารณา 2 ทางคือ ให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ส่งไฟฟ้าเข้าไปซื้อขายในตลาด Power Pool ของไทย โดยตรง หรือให้ซื้อขายไฟฟ้าผ่านบริษัทผู้ค้าไฟฟ้า (Energy Trader Company)
2.5 เห็นชอบกับแผนงานเบื้องต้นของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหงที่จะดำเนิน การในระยะต่อไป ได้แก่ การศึกษาความเป็นไปได้ของระบบสายส่ง การปรับปรุงสัญญาด้านการปฏิบัติการ ข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้า การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ รวมทั้งการจัดเตรียมและเริ่มงานก่อสร้าง โรงไฟฟ้าฯ อย่างเป็นทางการ ในปี 2549 เพื่อให้โครงการฯสามารถส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยได้ทันตามกำหนดในปี 2556
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าการดำเนินงานแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้กำหนดให้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุน จากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี (คณะกรรมการดำเนินการฯ) ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และผู้แทนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมเป็นกรรมการ เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประเมินราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำหนดอัตราค่า ไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำกับดูแลการจัดทำสัญญาทุกฉบับ กำหนดราคาหุ้น จำนวนหุ้น และวิธีการขายหุ้นของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง ให้กับประชาชนและพนักงาน กฟผ.
2. คณะกรรมการดำเนินการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2543 ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบจำนวนหุ้น วิธีการขายหุ้น วิธีการกำหนดราคาหุ้น และช่วงราคาหุ้น (Price Range) ของบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และได้นำเสนอมติคณะกรรมการดำเนินการฯ ต่อคณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุม เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2543 ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดำเนินการฯ แล้ว ดังนี้
2.1 จำนวนหุ้นสามัญของบริษัทราชบุรีโฮลดิ้งจำกัด (มหาชน) ทั้งหมดเท่ากับ 1,450 ล้านหุ้น จำนวนหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเท่ากับ 580 ล้านหุ้น โดยมีโครงสร้างการจัดจำหน่ายและการกระจายหุ้นคือ ให้มีการกระจายหุ้นส่วนหนึ่งให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ (Nationwide) ชำระเงินผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และส่วนที่เหลือให้กระจายหุ้นผ่านทางผู้จัดการการจัดจำหน่ายและ รับประกันการจำหน่าย (Lead Underwriter) ผู้ร่วมการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-Lead Underwriter) และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย (Co-Manager) ทั้งนี้ ให้กำหนดโดยคณะกรรมการบริษัทราชบุรีโฮลดิ้งฯ
2.2 วิธีการกำหนดราคาหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก จะใช้วิธี Book-building กับ นักลงทุนสถาบันการเงิน
2.3 ช่วงราคาหุ้นเพื่อทำ Book-building ราคาหุ้นละ 13-15 บาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2542-2554 ฉบับปรับปรุง (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ตาม ข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และได้มอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ช่วงปี พ.ศ. 2542-2554 เป็นระยะๆ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนสูง และให้ กฟผ. รับไปศึกษาเกณฑ์กำหนดปริมาณสำรองการผลิตไฟฟ้าของประเทศที่เหมาะสมต่อไป
2. ในช่วงปี 2542 โครงการโรงไฟฟ้าหลายโครงการได้ถูกชะลอออกไป และไม่เป็นไปตามแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ประกอบกับการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้จัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติชุดใหม่ ขณะนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศยังอยู่ระดับใกล้เคียงกับค่าพยากรณ์ความ ต้องการ ไฟฟ้ากรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง รวมทั้งสถานการณ์การรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนยังไม่แน่นอน กฟผ. จึงได้ปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า PDP 99-01 ใหม่เป็น PDP 99-02 โดยใช้แผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ตามเดิม แต่เปลี่ยนแปลงกำหนดแล้วเสร็จของโรงไฟฟ้าตามผลความก้าวหน้าของการก่อสร้าง และเปลี่ยนแปลงกำหนดจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเอกชนตามที่ร้องขอ ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้อนุมัติแล้ว
3. สาระสำคัญของแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. พ.ศ. 2543-2554 (PDP 99-02) สรุปได้ดังนี้
3.1 โครงการต่างๆ ที่บรรจุอยู่ในแผนฯ ฉบับนี้ (PDP 99-02) เป็นตัวโครงการที่ปรากฏในแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง) ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ โดยเฉพาะโครงการที่ กฟผ. ได้ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว ได้แก่ โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers : IPPs) 7 โครงการ จำนวน 5,943.5 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2543-2550 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producers : SPPs) 1,958.4 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2539-2546 โครงการรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 3,300 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2549-2551 ทั้งนี้ เนื่องจากแผนฯ ฉบับนี้ (PDP 99-02) ใช้ค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าชุดกรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวปานกลาง (MER) ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับที่ใช้ในแผนฯ ชุดเดิม (PDP 99-01 ฉบับปรับปรุง)
3.2 โครงการที่มีการเลื่อนกำหนดจ่ายไฟฟ้าออกไปจากแผนฯ เดิม ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPPs) ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด เลื่อนจากเดือนกันยายน 2542 เป็น เดือนมิถุนายน 2543, บริษัท อิสเทิร์นเพาเวอร์ จำกัด เลื่อนจากเดือนมกราคม 2545 เป็นเดือนกรกฎาคม 2545, บริษัท ยูเนียนเพาเวอร์ดีวีลอปเมนต์ จำกัด เครื่องที่ 1 และ 2 เลื่อนจากเดือนตุลาคม 2545 และมกราคม 2546 เป็นเดือนตุลาคม 2546 และมกราคม 2547, บริษัท กัลฟ์เพาเวอร์เจนเนอเรชั่น จำกัด เครื่องที่ 1 และ 2 เลื่อน จากเดือนตุลาคม 2545 และเมษายน 2546 เป็นเดือนตุลาคม 2546 และเมษายน 2547, และโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี กำลังผลิตรวม 3,645 เมกะวัตต์ เลื่อนออกไปประมาณ 1 ปี โดยปัจจุบันเริ่มเดินเครื่องโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมชุดที่ 1 กังหันแก๊สชุดที่ 1-2 แล้ว และคาดว่าจะเดินเครื่องได้เต็มที่ทั้งโครงการประมาณเดือนตุลาคม 2544
3.3 ได้เปลี่ยนแปลงกำหนดจ่ายไฟฟ้าตามแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ชุดใหม่ คือ เลื่อนโครงการแหล่งก๊าซใหม่จากฝั่งตะวันออกในบริเวณโครงการพัฒนาร่วม ไทย-มาเลเซีย (Joint Development Area : JDA) จากปี 2550 เป็นปี 2553
4. เนื่องจากความต้องการไฟฟ้าในปี 2543 ได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยในอัตราร้อยละ 7.3 ตามการ ขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจ ประกอบกับมีการชะลอบางโครงการออกไป จึงทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในปี 2543 ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงร้อยละ 43.5 ลดลงเหลือร้อยละ 19.1 และทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองในปีอื่นๆ ต่ำกว่าประมาณการที่ได้จัดทำไว้ในแผนฯ ชุดเดิม (99-01 ฉบับปรับปรุง)
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และมอบหมายให้ กฟผ. เสนอแนวทางฟื้นฟูสภาพแวดล้อมจากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโรงไฟฟ้าบางปะกงในการ ประชุมครั้งต่อไป รวมทั้ง ให้รับไปพิจารณาถึงการตั้งโรงไฟฟ้าในภาคอีสานเพื่อ การพัฒนาอุตสาหกรรมด้วย
เรื่องที่ 4 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนกันยายนได้เพิ่มขึ้น 3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แม้ว่าประเทศในกลุ่ม โอเปคจะตกลงเพิ่มปริมาณการผลิต 800,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ตลาดน้ำมันดิบก็ยังตึงตัว เพราะความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราการผลิตน้ำมันดิบ ประธานาธิบดีคลินตันแห่งประเทศสหรัฐอเมริกาจึงได้ประกาศให้มีการนำน้ำมัน สำรองทางยุทธศาสตร์ออกมาใช้จำนวน 30 ล้านบาร์เรล โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง และเพื่อกลั่นเป็นน้ำมันสำเร็จรูปเก็บสำรองไว้สำหรับฤดูหนาว ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ในระดับ 1 - 2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 25 กันยายน 2543 อยู่ในระดับ 29 - 32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเดือนกันยายนมีความผันผวนค่อนข้างสูง เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมัน ทางการค้าในสิงคโปร์และญี่ปุ่นอยู่ในระดับต่ำ และเกิดสภาวะตึงตัวจากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นหลายแห่ง อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งหลังของเดือนราคาน้ำมันสำเร็จรูปลดลงเนื่องจากปริมาณการซื้อลดลง ประกอบกับค่าการกลั่นที่สูง ทำให้โรงกลั่นในภูมิภาคนี้เพิ่มปริมาณการผลิตขึ้น นอกจากนี้ได้เริ่มมีการส่งออกจากอินเดีย ไทย และญี่ปุ่น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 25 กันยายน อยู่ในระดับ 31.8, 40.6, 36.8 และ 26.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกในเดือนกันยายน ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลง 1 ครั้ง จำนวน 25 สตางค์/ลิตร หลังจากนั้น การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้ปรับราคาน้ำมันดีเซลขึ้นรวม 1.0 บาท/ลิตร บางจากปรับขึ้น รวม 1.3 บาท/ลิตร และผู้ค้าเอกชนปรับขึ้นรวม 1.2 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ำมันเบนซินไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 กันยายน 2543 น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 16.49, 15.49 และ 14.48 บาท/ลิตร ตามลำดับ สำหรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของบางจาก และ ปตท. ต่ำกว่าผู้ค้าน้ำมันอื่นอยู่ 11 และ 20 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ โดย ปตท. ได้ใช้นโยบายตรึงราคาขายปลีก ทำให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันอยู่ในระดับต่ำมากหรือขาดทุน ทางกลุ่มผู้ค้าน้ำมันจึงได้มีหนังสือถึงประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อขอหารือกับฝ่ายรัฐ
4. จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น และผู้ค้าได้ชะลอการปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไว้ ทำให้ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคมถึงกลางเดือนกันยายนลดต่ำลงมากจนอยู่ในระดับ ติดลบ ค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์ในเดือนกันยายนอยู่ในระดับติดลบที่ 0.05 บาท/ลิตร และผลจากราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นกว่าราคาน้ำมัน ดิบ ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนกันยายนอยู่ในระดับสูงโดยเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3 - 1.6 บาท/ลิตร) เฉลี่ยอยู่ที่ 1.19 บาท/ลิตร
5. นักวิเคราะห์ด้านน้ำมันได้วิเคราะห์ว่า ปริมาณน้ำมันในตลาดจะไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นในฤดูหนาว แต่มีความเป็นไปได้ที่ประเทศในกลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิต เพื่อหยุดการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ณ ไตรมาสสุดท้ายจะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันเบนซินจะปรับลงตามความต้องการที่จะลดลง แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันเพื่อความอบอุ่น (ก๊าด และดีเซล) ที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลให้ราคาน้ำมันประเภทดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้น แต่ระดับของราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่เกิน 40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะจูงใจให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการผลิต จึงคาดว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปลายปีนี้จะไม่เกิน 45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาขายปลีกของไทย ราคาน้ำมันเบนซินมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามราคาตลาดโลก ส่วนราคาน้ำมันดีเซลในไตรมาสสุดท้าย คาดว่าจะเคลื่อนไหวในระดับ 15 - 16 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ตอบหนังสือกลุ่มผู้ค้า น้ำมัน เพื่อชี้แจงว่ารัฐบาลยังคงนโยบายการค้าเสรี โดยไม่ได้มีการเข้าไปแทรกแซงการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 5 ความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2542 จนถึงปัจจุบันเกี่ยวกับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมในแต่ละมาตรการ สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคาร ของรัฐ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้งอาคารของรัฐ ได้มีการอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ รวมเป็นเงิน 491.33 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯเพื่อว่าจ้างศึกษาการดำเนินการกับเครื่องปรับอากาศ เก่าที่ถูกถอดออกและการตรวจสอบการดำเนินงานของตัวแทนดำเนินการ รวมเป็นเงิน 2 ล้านบาท ส่วนโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์พลังงาน รวมเป็นเงิน 237.71 ล้านบาท นอกจากนี้ได้มีการอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเร่งรัดให้กระทรวง/ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโครงการเร่งด่วน (Fast Track) ให้แก่ทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกองทัพเรือแล้ว รวมเป็นเงิน 15.4 ล้านบาท และ ยังมีอาคารส่วนราชการยื่นขอรับการสนับสนุนอีกจำนวน 3 ราย คือ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และโรงพยาบาลอุดรธานี จำนวนเงิน 34.53 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการจัดทำข้อเสนออีกจำนวน 15 ราย จำนวนเงิน 45 ล้านบาท
1.2 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)ประกอบ ด้วย โครงการของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) จำนวน 3 โครงการ คือ 1) โครงการลดต้นทุน อุตสาหกรรมขนาดกลาง-ขนาดย่อมและสนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน (โครงการลดต้นทุน SMEs-ชดเชยอัตราดอกเบี้ย) ซึ่ง ขณะนี้ กสอ. ขอชะลอโครงการฯ ไว้ก่อนเพื่อรอแนวทางที่ชัดเจนของโครงการทดสอบนำร่องก่อนจัดทำข้อเสนอมาใหม่ อีกครั้ง 2) โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงานแก่โรงงาน อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการเบื้องต้นจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน สนับสนุนแล้ว เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และ 3) โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาด ย่อม ขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อเสนอโครงการเบื้องต้นให้สมบูรณ์ก่อนจะนำ เสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานสนับสนุนพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ มีโครงการของกรมโรงงานอุตสาหกรรมอีกจำนวน 3 โครงการ คือ โครงการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงานในภาคอุตสาหกรรมและโครงการ สาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs เป็นสารทำความเย็น ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้ผ่านการพิจารณาข้อเสนอโครงการจากคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาค ความร่วมมือแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ส่วนโครงการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้แจ้งว่าโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมซึ่งอาจมีผลกระทบต่องบประมาณ จึงขอนำโครงการฯ กลับไปทบทวน เพื่อรอข้อสรุปที่ชัดเจนก่อน
1.3 โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงาน ภาคความร่วมมือได้พิจารณาข้อเสนอโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทาง ไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าของกรมควบคุมมลพิษแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 และมีมติเห็นชอบให้กรมควบคุมมลพิษจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เพิ่มเติมก่อนนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาให้การสนับสนุนต่อไป
1.4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) โดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะเริ่มให้บริการปรับแต่งเครื่องยนต์ระยะที่ 1 ในเดือน ตุลาคม - ธันวาคม 2543 ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยจะตั้งศูนย์บริการประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก และจะมีศูนย์บริการเคลื่อนที่เพื่อให้บริการกับหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ รวม 10 แห่งๆ ละ ประมาณ 10 วัน และในระยะที่ 2 จะขยายการให้บริการตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ 16 จังหวัด รวมจุดบริการ 60 แห่ง ในระยะเวลา 3 ปี คาดว่าจะให้บริการรถยนต์ได้อย่างน้อย 49,000 คัน
1.5 โครงการรณรงค์ในวันคาร์ฟรีเดย์ (Car Free Day) คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 เห็นชอบให้คณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจร่วมรณรงค์ในวันคาร์ฟรีเดย์ในวันที่ 22 กันยายน 2543 โดยการปรับเปลี่ยนวิธีการเดินทางในแนวทางที่ประหยัด เช่น การใช้รถที่มีขนาดเล็กและ ไม่เปลืองน้ำมัน หรือเดินทางโดยรถสาธารณะ หรือจักรยาน หรืออาจใช้วิธีการใช้รถร่วมกัน (Car Pool) เพื่อให้เกิดการประหยัดน้ำมัน ผลการดำเนินโครงการดังกล่าวพบว่า การจราจรบนถนนเบาบางลงกว่าวันปกติทั่วไป ร้อยละ 5-10 ส่วนบนทางด่วนเบาบางลงร้อยละ 15-20 และจากการตรวจวัดปริมาณมลพิษ 2 ตัวหลัก โดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในช่วงเวลา 7.00-24.00 น. ปริมาณมลพิษรวมเมื่อเปรียบเทียบกับในวันที่ 21 กันยายน 2543 ลดลงร้อยละ 9 โดยก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ลดลงร้อยละ 2 และฝุ่นละอองขนาดเล็กลดลงร้อยละ 16 สำหรับการใช้บริการรถสาธารณะเมื่อเทียบกับวันที่ 21 กันยายน 2543 พบว่ามีผู้ใช้บริการรถ ขสมก. เพิ่มขึ้น 193,000 คน คิดเป็นร้อยละ 7 ผู้ใช้บริการรถไฟชานเมืองเพิ่มขึ้น 21,500 คน คิดเป็นร้อยละ 36 และผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มขึ้น 24,868 คน คิดเป็นร้อยละ 15
1.6 โครงการผลิตไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน การ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในวงเงิน 168 ล้านบาท ในการจัดสร้างโรงไฟฟ้าระบบเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 500 กิโลวัตต์ โดยจะดำเนินการก่อสร้างในเขตอำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน บนพื้นที่ขนาด 18,000 ตารางเมตร ใกล้โรงไฟฟ้าดีเซลของ กฟผ. เพื่อเสริมการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าดีเซล รวมทั้งจะใช้เป็นที่ศึกษาและอบรมนักศึกษา นักวิชาการ นักธุรกิจ เพื่อรองรับการขยายตัวด้านเซลล์แสงอาทิตย์ในอนาคต
1.7 โครงการศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานได้อนุมัติให้สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม (ประเทศไทย) ดำเนินโครงการสาธิตเทคโนโลยี ประสิทธิภาพพลังงานซึ่งประกอบด้วยโครงการจัดตั้งศูนย์สาธิต 4 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร อยุธยา พิษณุโลก และเชียงใหม่ และจัดทีมรถนิทรรศการสาธิตเคลื่อนที่ไปอีก 22 จังหวัด รวมทั้งการจัดหาพื้นที่ในจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อจัดตั้งค่ายฝึกอบรมถาวรด้านวิทยาศาสตร์และพลังงาน สำหรับศูนย์สาธิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพพลังงานในกรุงเทพฯ ได้จัดสร้างที่ชั้น 1 อาคารสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในเดือนตุลาคม ศกนี้
2. มาตรการลดราคาน้ำมัน ประกอบด้วย
2.1 ปตท. ได้ลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการ เกษตรและสหกรณ์การเกษตร 0.25 บาทต่อลิตร และลดราคาน้ำมันหล่อลื่นอีกลิตรละ 2.00 บาท เป็นการชั่วคราวตั้งแต่ 1 เมษายน - 30 กันยายน 2543 และจะพิจารณาขยายเวลาต่อไปอีก นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่สูง ขึ้น ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ทั้งนี้จะให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรรายครัวเรือนที่สังกัดสถาบัน/องค์กร เกษตรกรที่เป็นนิติบุคคลโดยชดเชยให้ครัวเรือนละ 15 ลิตรต่อเดือน ในอัตราลิตรละ 3 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม 2543
2.2 ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้แก่กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึง สิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดลิตรละ 0.60 บาท นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้อนุมัติเงินจ่ายขาดวงเงิน 321 ล้านบาท ให้กับกรมประมงเพื่อใช้ชดเชยการขาดทุนของกลุ่มผู้ประกอบการประมงโดยการลด ราคาให้ในอัตราลิตรละไม่เกิน 3 บาท ให้กับเรือขนาดความยาวเกินกว่า 14 เมตร แต่ไม่เกิน 18 เมตร เป็นระยะเวลา 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นมา โดยเปิดรับสมัครสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันภายใต้การควบคุมดูแลขององค์การ สะพานปลา และตั้งแต่วันที่ 1-19 กันยายน 2543 มีการสั่งซื้อน้ำมันดีเซลจาก ปตท. ผ่านองค์การสะพานปลาแล้ว จำนวน 7.904 ล้านลิตร
2.3 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 เห็นชอบในหลักการให้ชดเชยค่าน้ำมัน เชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วย รถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงคมนาคมกำหนด ซึ่งต่อมา ปตท. ได้จัดพิมพ์คูปองส่งให้กรมการขนส่งทางบกเพื่อนำไปจ่ายให้ผู้ประกอบการขนส่ง แล้วตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2543
2.4 ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมโดยให้ส่วนลดน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.15 บาท และน้ำมันเตาลิตรละ 0.07 บาท ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อเดือนมิถุนายน 2543 แต่เนื่องจากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ปตท. จึงได้ขยายระยะเวลาต่อไปอีกระยะหนึ่ง
3. การจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าราชบุรี ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กฟผ., ปตท. และ สพช. โดยมีประเด็นที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้เพียง 1 ประเด็น คือ ปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าผลการพิจารณาร่วมกันจะมีข้อยุติและสามารถจัดทำสัญญาได้ภายในเดือน ตุลาคม 2543
4. ปตท. ได้เร่งรัดการดำเนินมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติมากขึ้นทั้งในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม โดยการจัดทำโครงการ NGV Pre-marketing Project ซึ่งการประเมินผลและการจัดทำรายงานฉบับสมบูรณ์จะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม ศกนี้ ต่อจากนั้นจะนำผลการทดสอบ รวมทั้ง ข้อคิดเห็นเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานในการปรับปรุงรถของ ขสมก. และ กทม.ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ตลอดจนการสร้างสถานีบริการก๊าซฯ นอกจากนี้ยังมีโครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติระบบ Bi-fuel ในรถแท๊กซี่อาสาสมัคร จำนวน 100 คัน ใช้งบประมาณของ ปตท. วงเงินประมาณ 4 ล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2543 โดย ปตท. ได้กำหนดราคาขายก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ให้อยู่ในระดับร้อยละ 50 ของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเพื่อเป็นการจูงใจให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น
5. ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มเติมจากอิรัก ทำให้การจัดหาเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ได้รายงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ไปแล้วซึ่งมีปริมาณ 129.8 พันบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 135.3 พัน บาร์เรลต่อวัน โดยการจัดหาในปี 2543 เพิ่มขึ้นจากปี 2542 จำนวน 29 พันบาร์เรลต่อวัน การนำเข้าน้ำมันดิบ ดังกล่าวเป็นลักษณะสัญญา TERM ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่ำกว่าตลาดจรประมาณ 0.08-0.12 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
6. การแสดงความคิดเห็นในเวทีนานาชาติเพื่อสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนจากราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ) ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในกลุ่มเอเปค (ยกเว้นจีนไทยเป และฮ่องกง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ Indian Ocean Rim Association for Regional Economic Cooperation-IOR-ARC เพื่อขอให้ร่วมแสดงความห่วงกังวลต่อผลกระทบจากสถานการณ์ราคาน้ำมันไปยัง ประชาคมโลกโดยผ่านเวทีนานาชาติที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโอเปคเพื่อ เตือนให้ประเทศในกลุ่มโอเปคคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวจาก ความถดถอยของเศรษฐกิจโลก
ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายศุภชัย พานิชภักดิ์) ในฐานะประธานการประชุมอังค์ถัด ครั้งที่ 10 ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการอังค์ถัด เพื่อขอให้ร่วมแสดงความกังวลต่อ สถานการณ์ราคาน้ำมันโลกและร่วมส่งสัญญาณเตือนไปยังกลุ่มโอเปค และในการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ 3 (Third APEC Senior Officials Meeting) ณ ประเทศบรูไน ดารูซซาลาม ระหว่าง วันที่ 21-23 กันยายน 2543 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ในฐานะรัฐมนตรีพลังงาน ได้มีการนำประเด็นปัญหาเรื่องสถานการณ์ราคาน้ำมันขึ้นหารือ และในการประชุมผู้นำเอเปคครั้งที่ 8 APEC Economic Leaders Meeting ในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ก็จะนำปัญหาดังกล่าวขึ้นหารือเช่นกัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 โครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. สมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ได้เสนอขอให้มีการจัดตั้งสถานี (Tanker) จำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมงในเรื่องต้นทุนการทำประมง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันทางทะเล ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งระบบ การค้าน้ำมันกลางทะเลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติรับทราบผลการศึกษาดังกล่าว และมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบ ต่อไป
2. สพช. ได้จัดทำรายละเอียดแนวทางการดำเนินโครงการ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 โครงการดังกล่าวจะช่วยพัฒนาระบบการป้องกันและปราบปรามน้ำมันเถื่อนในทะเล จากการติดตามจับกุมเป็นการป้องกันมิให้มีการลักลอบนำน้ำมันขึ้นฝั่ง โดยประสานงานกับผู้จำหน่ายน้ำมันในทะเลและชาวประมง ทำให้จับกุมได้ง่ายและทันเวลา สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราม นอกจากนั้นยังช่วยให้เรือประมงได้ใช้น้ำมันคุณภาพดี ราคาต่ำ และสามารถเข้าทดแทนโครงการลดราคาน้ำมันเพื่อช่วยเหลือชาวประมงของกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ได้ ช่วยให้ลดภาระค่าใช้จ่ายในการอุดหนุน ได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งช่วยให้ผู้ค้าน้ำมันภายในประเทศสามารถจำหน่ายน้ำมันส่วนเกินของโรง กลั่นได้ ซึ่งคาดว่า จะมีปริมาณความต้องการน้ำมันดีเซลของกลุ่มเรือประมงในระดับ 120 ล้านลิตรต่อเดือน หรือมูลค่าประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อปี
2.2 คุณภาพของน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายในโครงการ มีค่ากำมะถันโดยน้ำหนักไม่เกิน 0.5% อุณหภูมิการกลั่นไม่เกิน 3700C และมีการเติมสาร Marker ตามข้อกำหนดของน้ำมันส่งออก รวมทั้งเติมสีน้ำเงิน เพื่อให้มีความแตกต่างจากน้ำมันที่ใช้ทั่วไป
2.3 ราคาที่จำหน่ายให้แก่เรือประมง จะเป็นราคาไม่รวมภาษีและกองทุนต่างๆ และหักค่าปรับลดคุณภาพน้ำมัน บวกด้วยค่าพรีเมี่ยมของโรงกลั่นและผู้จำหน่ายน้ำมันกลางทะเล ทำให้ราคาจำหน่ายจะต่ำกว่าปกติในระดับมากกว่า 2 บาท/ลิตร ขึ้นไป
2.4 การอนุญาตให้จำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่องเป็นอำนาจอนุมัติของอธิบดีกรม ศุลกากร โดยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเป็นไปตามที่ศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปราม การลักลอบกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (ศปปป.) กำหนด
2.5 เรือที่จำหน่ายน้ำมันต้องติดตั้งมิเตอร์จ่ายน้ำมันและมีมาตรฐานความปลอดภัย โดยให้ปฏิบัติ ตามระเบียบและมาตรฐานที่ทางราชการกำหนดไว้
2.6 มาตรการควบคุมการลักลอบนำเข้า จะดูแลโดย ศปปป. ซึ่งกำหนดให้โรงกลั่นน้ำมัน เรือจำหน่ายน้ำมัน และสมาคมประมงฯ ต้องรายงานข้อมูลการซื้อขายเป็นรายเดือน ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบ รวมทั้งสมาคมประมงฯ ต้องแจ้งปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของเรือประมงที่เป็นสมาชิกทุกลำ สำหรับผู้ค้าน้ำมันต้องแจ้งล่วงหน้าถึงข้อมูลการรับน้ำมันจากโรงกลั่น การขนส่งไปยังคลังทัณฑ์บนและขนส่งไปยังเรือจำหน่ายน้ำมัน สถานที่และเวลาการขนถ่ายน้ำมัน เพื่อที่ ศปปป. จะได้ตรวจสอบเปรียบเทียบปริมาณ น้ำมันที่รายงาน ซึ่งต้องสัมพันธ์กับของต้นทาง (โรงกลั่น/ผู้ค้าน้ำมัน) กลางทาง (เรือ Tanker) และปลายทาง (ผู้ซื้อคือเรือประมง) เพื่อนำมาวิเคราะห์ว่ามีการลักลอบนำเข้าหรือจัดซื้อน้ำมันจากต่างประเทศหรือ ไม่ นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบเรือประมงที่แล่นสู่ชายฝั่งทะเล ท่าเทียบเรือ แพปลา มิให้มีการสูบถ่ายน้ำมันจากเรือประมงออกจากถังนำมาจำหน่ายบนฝั่ง โดยการตรวจสอบสี และสาร Marker ในน้ำมันที่จำหน่ายในสถานีบริการชายฝั่งโดยหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขอความร่วมมือจากสมาคมประมงฯ เรือจำหน่ายน้ำมันและเรือประมงสมาชิกช่วยสอดส่องดูแล แจ้งเบาะแสการกระทำผิดให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐทราบ
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการและมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้
3.1 เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
3.2 ให้กรมสรรพสามิตพิจารณาดำเนินการยกเว้นภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันดีเซลและน้ำมันที่คล้ายกันที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมได้จำหน่ายไป ยังเรือจำหน่ายน้ำมันกลางทะเล (Tanker) ในเขตต่อเนื่อง (12-24 ไมล์ทะเล) โดยมีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายให้แก่ชาวประมง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเรือประมง ในทะเล ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติตามภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
3.3 ให้กรมศุลกากรพิจารณาอนุญาตให้เรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงใน เขต ต่อเนื่อง สามารถขนถ่ายสิ่งของใดๆ ได้ ตามมาตรา 37 ตรี แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 (แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 15) พ.ศ. 2540)
3.4 ให้กรมศุลกากรพิจารณากำหนดให้การส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงออกไปจำหน่ายในเขต ต่อเนื่อง ระบุจุดหมายปลายทางว่า "เขตต่อเนื่อง" รวมทั้ง พิจารณายกเว้นอากรขาเข้าสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชาวประมงซื้อในเขตต่อ เนื่อง และน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในถังใช้การปกติของยานพาหนะที่นำมาจากนอกราช อาณาจักร เพื่อใช้สำหรับยานพาหนะนั้นเท่านั้น
3.5 ให้กรมทะเบียนการค้าไปพิจารณาออกประกาศกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะส่ง ออกไปจำหน่ายในเขตต่อเนื่องให้สอดคล้องกับหลักการของโครงการฯ และเหมาะสมกับสภาพการใช้งานในทะเล
3.6 ให้กรมสรรพากรสนับสนุนโครงการฯ โดยการเร่งรัดการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เร็วที่สุด เพื่อให้ ผู้จำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ สามารถแข่งขันราคากับผู้จำหน่ายน้ำมันในต่างประเทศได้ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ ในการตรวจสอบความถูกต้องของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขอคืน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ ตามข้อ 3
เรื่องที่ 7 ความเห็นเกี่ยวกับการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม รับไปพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน ในกรณีที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอให้มีการพิจาณาผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมัน ดีเซลและเบนซิน เพื่อเป็นการลดระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง
2. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าควรคงข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันไว้ตามที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ทั้งนี้ เนื่องจากการผ่อนปรนคุณภาพน้ำมันดีเซล โดยการเพิ่มอุณหภูมิการกลั่นจาก 357oC เป็น 370oC และการเพิ่มปริมาณกำมะถันจากร้อยละ 0.05 เป็นร้อยละ 0.5 โดยน้ำหนัก จะมีผลโดยตรงต่อปริมาณฝุ่นละอองในไอเสียของรถยนต์ดีเซลที่จะเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในบรรยากาศที่อยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานอยู่ แล้วจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศและมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นอกจากนี้ ยังเห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและคุ้ม ค่า ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อ เนื่อง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบตามความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีความเห็นว่าประโยชน์ที่จะได้รับจากการผ่อนปรนคุณภาพน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาลดลงบ้างนั้นไม่คุ้มค่ากับความเสียหายต่อสุขภาพอนามัย และคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจากปัญหามลพิษที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการผ่อนปรนคุณภาพนั้น ดังนั้น จึงควรคงสภาพข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไว้ อนึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เห็นว่ามาตรการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมคือการใช้น้ำมันอย่างประหยัดและคุ้มค่า ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความสำคัญและมีความจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 8 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ โดยสาขาพลังงานได้กำหนดแนวทางการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกำหนดให้มีการวางกรอบการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ และให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงานขึ้นเป็นหน่วยงานอิสระ เพื่อรับผิดชอบในการกำกับดูแลกิจการพลังงานในอนาคต ต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงานเพื่อ ดำเนินการยกร่างกฎหมายให้แล้วเสร็จ และนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภาพิจารณาต่อไปตามลำดับ
2. คณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ได้ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยใช้กรอบของแนวทางในการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลฯ ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจและคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 และแนวทางในการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศในระยะยาวที่คณะ รัฐมนตรีได้ให้ความ เห็นชอบเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 รวมทั้งข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้าที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 มาใช้เป็นแนวทางหลักในการ ยกร่างกฎหมายดังกล่าว
3. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีสาระสำคัญ คือ
3.1 เพื่อกำกับดูแลกิจการพลังงานที่มีลักษณะผูกขาด ได้แก่ กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการอื่นที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติมีหน้าที่คือออกใบ อนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน ส่งเสริมการแข่งขัน ป้องกันการใช้อำนาจการผูกขาดโดย มิชอบ และให้การคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน
3.2 ให้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติขึ้น เป็นหน่วยงานของรัฐซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการเพื่อให้คณะกรรมการสามารถ ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.3 ให้มีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยขึ้น ทำหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมระบบส่งไฟฟ้าของประเทศ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน โดยมีคณะกรรมการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้กิจการไฟฟ้ามีการแข่งขัน ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือก ในการซื้อไฟฟ้า และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดการสัมมนาระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการ พลังงาน พ.ศ. ... เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2543 โดยได้เชิญผู้แทนจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ ผู้ใช้พลังงาน สถาบันการเงิน สถาบันการศึกษา และองค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมสัมมนา นอกจากนี้ ได้ประกาศเชิญชวนประชาชนผู้สนใจทั่วไปให้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ผ่านทางสื่อ ต่างๆ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมสัมมนาในครั้งนี้กว่า 500 คน ซึ่งคณะทำงานยกร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน ได้นำข้อคิดเห็นที่ได้รับจากการสัมมนาในหลายประเด็น มาใช้ในการปรับปรุงร่างกฎหมายตามความเหมาะสมแล้ว
5. เมื่อร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ได้รับความเห็นชอบในหลักการจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะ รัฐมนตรีแล้ว ก็จะนำพระราชบัญญัติฉบับนี้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อพิจารณาตรวจ ร่าง ก่อนนำเสนอรัฐสภาพิจารณาเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งคาดว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้จะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ประมาณกลางปี 2545
6. ในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐสภา สพช. จะเป็นแกนกลางในการประสานงานเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมาย ที่จะออกตามบทบัญญัติแห่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานของ องค์กรกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน โดยคาดว่าจะจัดตั้งขึ้นภายในปี 2545 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะช่วยให้การประกาศใช้กฎหมายรองรับ รวมทั้งกฎและระเบียบที่จะใช้ในการกำกับดูแลกิจการพลังงานสามารถดำเนินการได้ อย่างรวดเร็วหลังการจัดตั้งองค์กรกำกับการประกอบกิจการพลังงาน และวันเริ่มต้นที่พระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับ ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการดำเนินงานในการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่ง ประเทศไทยที่กำหนดภายในปี 2546
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดส่งข้อแก้ไขมายัง สพช. เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และเวียนคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
เรื่องที่ 9 แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้า โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว และหากมีประเด็น ที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
2. สพช. ได้จัดทำแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาด กลางซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งได้ปรับปรุงรายละเอียดแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับร่างพระราช บัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... โดยคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมบัญชีกลาง และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้มีมติเห็นชอบในหลักการของแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า และการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
3. แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้าที่คณะ อนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 สามารถสรุปสาระสำคัญ ได้ดังนี้
3.1 การจัดทำกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Market Rules) จะครอบคลุมถึงกฎเกณฑ์ กติกาในการซื้อขายไฟฟ้าและการกำหนดราคา ตลอดจนข้อปฏิบัติทางเทคนิคในการควบคุมความมั่นคงของระบบและตรวจวัดหน่วย ไฟฟ้าเพื่อชำระเงิน ในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว สพช. จะเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินงาน ทั้งนี้ คาดว่าการจัดทำร่างกฎตลาดกลางฯ จะแล้วเสร็จ และเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณาให้ความเห็นชอบได้ในราวเดือนตุลาคม 2544
3.2 การดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ดังกล่าวจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติเพื่อทำหน้าที่ กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน ได้แก่ กิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และคาดว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว จะผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และมีผลใช้บังคับประมาณกลางปี 2545
3.3 การดำเนินการยกร่างกฎหมายรองรับในช่วงที่ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวอยู่ ระหว่างการพิจารณาในสภาฯ สพช. จะเป็นแกนกลางในการจัดทำร่างกฎระเบียบ ข้อกำหนด ประกาศ ฯลฯ และรายละเอียดอื่นๆ ทางกฎหมายที่จำเป็นต่อการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระและการดำเนินการของ ตลาดกลางฯในอนาคต
3.4 การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง (Stranded Cost) สพช. เป็นแกนกลางในการดำเนินการและว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำแบบจำลองทาง การเงินเพื่อประเมินมูลค่าและเสนอมาตรการในการจัดการต้นทุนติดค้าง ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้ความเห็นชอบได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544
3.5 การดำเนินการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการ ร่วมกันเพื่อจัดทำข้อกำหนดการเชื่อมโยง การใช้บริการและการปฏิบัติการระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Grid Code and Distribution Code) และกำหนดขอบเขตระหว่างระบบส่ง และระบบจำหน่ายให้ชัดเจน ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จในปลายปี 2544
3.6 การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟผ. คาดว่าจะสามารถปรับหน่วยงานต่างๆ ภายในองค์กรออกเป็นหน่วยธุรกิจเชิงพาณิชย์ ภายในปลายปี 2544 โดยจะจัดตั้งบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ภายในเดือนตุลาคม 2545 และลดสัดส่วนการถือหุ้นภายในเดือนตุลาคม 2546 นอกจากนี้ กฟผ. จะดำเนินการเตรียมความพร้อมด้านระบบมิเตอร์และการสื่อสารให้เสร็จภายในสิ้น ปี 2545 และจะเริ่มการเตรียมระบบของศูนย์ ควบคุมระบบ (SO) ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (MO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA) โดยค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว กฟผ. ได้ดำเนินการขออนุมัติงบประมาณ ซึ่งจะรวมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการลงทุนระยะยาว และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ สศช. ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการได้แล้วเสร็จและตลาดกลางฯ สามารถเปิดดำเนินการได้ในเดือนธันวาคม 2546
3.7 การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟน. และ กฟภ. มีดังนี้
(1) การปรับโครงสร้างองค์กรภายใน กฟน. และ กฟภ. จะต้องปรับกิจการหลักเป็นการดำเนินการเชิงพาณิชย์ แยกธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกเป็นบริษัทในเครือ และลดสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งคาดว่าจะสามารถทำได้แล้วเสร็จก่อนเดือนธันวาคม 2546
(2) การเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี กฟน. และ กฟภ. จะดำเนินการพัฒนาระบบการวัดหน่วยไฟฟ้า ระบบเรียกเก็บเงิน ระบบชำระเงิน และลักษณะการใช้ไฟฟ้ารูปแบบต่างๆ (Load Profiles) เพื่อให้ระบบสามารถรองรับการซื้อขายไฟฟ้าที่มีการแข่งขันได้ภายในปี 2545
3.8 การจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า หลังจากที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีผลใช้บังคับ ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าจะมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ในช่วงแรกตลาดกลางฯ จะมอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตลาดกลางฯ ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ต้องมีการโอนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ พนักงาน และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของตลาดกลางฯ จาก กฟผ. ไปเป็นของตลาดกลางฯ ภายใน 3 ปี นับจากวันที่พระราชบัญญัติมีผลใช้บังคับ
4. ความคืบหน้าในการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปได้ดังนี้
4.1 คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้อนุมัติค่าใช้จ่ายให้ สพช. ในการ ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาในเรื่อง 1) การกำหนดกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า 2) การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง และ 3) การดำเนินการทางด้านกฎหมายและการกำกับดูแล ซึ่งขณะนี้ สพช. อยู่ระหว่างการพิจารณาคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ประมาณต้นเดือนพฤศจิกายน 2543
4.2 กฟผ. ได้เริ่มดำเนินการจัดเตรียมระบบศูนย์ควบคุมระบบอิสระโดยได้จัดทำขอบเขตการ ศึกษาสำหรับโครงการพัฒนาศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอด้านเทคนิคและ ข้อเสนอด้านราคาเพื่อคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา
4.3 กฟน. อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนา กฟน. โดยจะจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และแผนการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อการดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้แล้วเสร็จภาย ในเดือนพฤศจิกายน 2543
4.4 สพช. ได้ช่วยเหลือการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จัดทำขอบเขตการศึกษา 3 เรื่อง คือ 1) ข้อกำหนดการเชื่อมโยงการใช้บริการและการปฏิบัติการระบบส่งไฟฟ้า และระบบจำหน่ายไฟฟ้า 2) การจัดทำแผนการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยี และ 3) แผนการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อดำเนินการเชิงพาณิชย์ โดยการศึกษาในเรื่องแรก การไฟฟ้าทั้ง 3 จะดำเนินการร่วมกันเพื่อจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา โดยมี กฟผ. เป็นแกนนำ สำหรับการศึกษาใน 2 เรื่องที่เหลือ กฟภ. จะเป็นผู้ดำเนินการ
4.5 คณะอนุกรรมการประสานฯ เห็นชอบให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน จำนวน 5 คณะ คือ คณะทำงานพิจารณาร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า คณะทำงานศึกษาต้นทุนและหนี้สินติดค้าง คณะทำงานเตรียมการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า คณะทำงานเตรียมการด้านกฎหมายและการกำกับดูแล และคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบตามข้อเสนอแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการ จัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 3 และเอกสารแนบ 2 ของเอกสารแนบวาระ 4.4.1 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนการดำเนินงานฯ และให้กระทรวงการคลังนำแผนดังกล่าวไปใช้เป็นหลักเกณฑ์หนึ่งในการประเมินผล การดำเนินงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง
2.รับทราบการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการ ไฟฟ้า สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และมอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาตามขอบเขตการศึกษาที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะ อนุกรรมการประสานฯ รายละเอียดตามข้อ 3 ต่อไป
3.มอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินการจัดเตรียมความพร้อมของระบบตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์ควบคุมระบบ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน โดยให้มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดตั้งตลาดกลางฯ มีความเป็นกลางและเป็นไปอย่างราบรื่นตามแผน และให้ กฟผ. เป็นผู้ดำเนินการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในช่วงแรกไปก่อน ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการตลาดกลางฯ จากนั้นจึงทำการโอนระบบตลาดกลางฯ ออกจาก กฟผ. มาเป็นองค์กรอิสระ (ISO) เพื่อให้ศูนย์ควบคุมระบบเป็นอิสระจากกิจการระบบส่งภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี นับจากวันที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... มีผลใช้บังคับ
4.มอบหมายให้ สพช. เป็นผู้เตรียมการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน โดยดำเนินการ ยกร่างกฎระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
เรื่องที่ 10 การส่งเสริมนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
สรุปสาระสำคัญ
1. ระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (SPP) มีข้อกำหนดกระบวนการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ให้มีสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อการผลิต พลังงาน ทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี และมีสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานน้ำมันและ/หรือก๊าซ ธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
2. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอย ตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบมาตรการในการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก โดยเห็นชอบให้มีการผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่ใช้ในกระบวน การอุณหภาพจะต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 เป็นเวลา 3 ปี นับจากวันเริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา และผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่ง ของพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมัน และ/หรือก๊าซธรรมชาติ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 เป็นระยะเวลา 3 ปี นับจากวัน เริ่มต้นจ่ายไฟตามสัญญา ซึ่งมีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ขอผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP จำนวน 19 ราย โดยกำหนดวันสิ้นสุดของการได้รับผ่อนผันภายในปี 2546 จำนวนทั้งสิ้น 14 ราย ขอผ่อนผันเป็น Open Cycle จำนวน 10 ราย ขอผ่อนผันสัดส่วนพลังงานความร้อนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 จำนวน 14 ราย และขอผ่อนผันประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 จำนวน 9 ราย
3. สมาคมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ขอให้พิจารณายกเลิกเงื่อนไขการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่ใช้ใน กระบวนการอุณหภาพ และสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการ อุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมันและ/หรือก๊าซธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) เนื่องจาก SPP ได้พยายามผลิตไฟฟ้าให้เกิดการใช้พลังงานความร้อนในกระบวนการอุณหภาพให้สอด คล้องตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แต่ปัจจุบันลูกค้าอุตสาหกรรมที่ซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจและ การตลาด ทำให้ต้องชะลอการลงทุน ลดการลงทุน หรือยกเลิกโครงการ ส่งผลให้ SPP ไม่สามารถใช้พลังงาน ความร้อนได้ตามเงื่อนไข
4. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการกำหนดสัดส่วนการผลิตพลังงานความร้อนของผู้ผลิตไฟฟ้าราย เล็กแล้ว และมีมติ เห็นควรให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำ ไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี และสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่งของพลังงาน ความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมันและ/หรือก๊าซ ธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยเฉลี่ยในแต่ละปี สำหรับโครงการ SPP ที่กำหนดวันสิ้นสุดการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ภายในปี 2546 ให้เลื่อนออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2546 ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผันติดต่อกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นรายๆ ไป
5. นอกจากนี้ กรมโยธาธิการได้มีหนังสือถึง สพช. ขอให้พิจารณาสนับสนุนการดำเนินงานของโรง ไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต ในเรื่องการคิดอัตราค่าไฟฟ้าสรุปได้ดังนี้
5.1 โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต ของกรมโยธาธิการ ได้เคยยื่นคำร้องเสนอขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. ในปริมาณ 1 เมกะวัตต์ แต่เนื่องจากตามกฎหมายระบุว่ากรมโยธาธิการเป็นหน่วยงานราชการที่ไม่สามารถ ประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าได้ กรมโยธาธิการจึงไม่สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ ดังนั้น กฟผ. จึงได้แจ้งยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการดังกล่าว
5.2 แม้ว่าโครงการโรงไฟฟ้าขยะของกรมโยธาธิการจะไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าให้ กฟผ. ได้ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP แต่โครงการก็ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และส่งกระแสไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค (กฟภ.) โดยว่าจ้างบริษัทเอกชนดำเนินการ และมีแผนที่จะโอนโครงการดังกล่าวให้กับเทศบาลเมืองภูเก็ตเป็นผู้บริหารงาน ต่อไปประมาณปลายปี 2543 สำหรับการผลิตไฟฟ้าได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2542 เป็นต้นมา พลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะใช้ในโครงการและโรงบำบัดน้ำเสียของเทศบาล เมืองภูเก็ต ส่วนที่เหลือจะส่งเข้าระบบของ กฟภ. โดยไม่ได้รับค่าพลังงานไฟฟ้า อย่างไรก็ตามในช่วงที่โรงไฟฟ้าขยะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอกับความต้อง การใช้ไฟฟ้า โครงการฯ ก็จะซื้อไฟฟ้าจาก กฟภ. ในอัตราปกติประเภทกิจการขนาดกลาง โดยใช้เงินจากงบประมาณ
5.3 กรมโยธาธิการได้มีหนังสือถึง สพช. ขอให้พิจารณาสนับสนุนการดำเนินการของโรงไฟฟ้าขยะ โดยขอให้พิจารณาแลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งให้ กฟภ. และที่ซื้อจาก กฟภ. และของดหรือลดค่า ความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) จากการคิดค่าไฟฟ้าในอัตราปกติประเภทกิจการขนาดกลาง เพื่อเป็นการลดภาระของท้องถิ่นที่จะดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและอนุรักษ์พลังงานในการผลิตไฟฟ้า จากขยะมูลฝอย ตลอดจนเป็นการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมให้ดีขึ้น
5.4 คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติเห็นควรให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อ ไฟฟ้าจากโครงการ SPP ขนาดเล็ก โดยมอบให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 ร่วมกันดำเนินการ ต่อไป และเห็นควรให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต แลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบของ กฟภ. กับที่ซื้อจาก กฟภ. ได้ ในระหว่างที่ยังไม่โอนงานให้กับเทศบาลเมืองภูเก็ต โดยกรมโยธาธิการจะไม่คิด ค่าไฟฟ้าสำหรับปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบ กฟภ. เกินกว่าที่ซื้อจาก กฟภ. ทั้งนี้ เมื่อการโอนงาน แล้วเสร็จ เทศบาลเมืองภูเก็ต จะสามารถขอสัมปทานประกอบกิจการไฟฟ้าและยื่นคำร้องเพื่อเสนอขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ได้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการผ่อนผันคุณสมบัติของ SPP สำหรับโครงการ SPP ที่มีกำหนดวัน สิ้นสุดการผ่อนผันตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ภายในปี 2546 ออกไปอีกจนถึงสิ้นปี 2546 โดยคุณสมบัติของ SPP ที่ได้รับการผ่อนผันมีดังนี้
1.1 ผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพ นอกจากการผลิตไฟฟ้าต่อการผลิตพลังงานทั้งหมดไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
1.2 ผ่อนผันการกำหนดสัดส่วนของผลบวกระหว่างพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้และครึ่งหนึ่ง ของพลังงานความร้อนที่จะนำไปใช้ในกระบวนการอุณหภาพต่อพลังงานจากน้ำมัน และ/หรือก๊าซธรรมชาติ (โดยคิดจากค่าความร้อนต่ำ) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 โดยคิดเฉลี่ยในแต่ละปี
ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ประสงค์จะขอผ่อนผันติดต่อกับ กฟผ. เป็นรายๆ ไป
2.เห็นชอบให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อไฟฟ้า จากโครงการ SPP ขนาดเล็กเพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กาก หรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ก๊าซชีวภาพจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็ก ทั้งนี้ มอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการต่อไป
3.เห็นชอบให้โครงการโรงไฟฟ้าขยะ จังหวัดภูเก็ต แลกเปลี่ยนหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ส่งเข้าระบบของ กฟภ. ได้ในระหว่างที่โครงการดังกล่าวยังไม่ได้รับสัมปทาน ภายหลังจากที่ได้รับสัมปทานแล้วให้โครงการขาย ไฟฟ้าให้ กฟผ. ตามระเบียบ SPP
เรื่องที่ 11 ร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องการพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิต ไฟฟ้า โดยเห็นชอบให้นำเงื่อนไขหลักๆ ของสัญญาซื้อขายก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา มายกร่างสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยอัตราค่าผ่านท่อควรสะท้อนถึง การแบ่งภาระความเสี่ยงระหว่าง ปตท. และ กฟผ.
2. ต่อมาเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล โดยเฉพาะเมื่อมีการนำเข้าก๊าซฯจากสหภาพพม่า ปตท. จะเชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้วให้นำก๊าซฯ จากแหล่งยาดานา (Pool 4) กับก๊าซฯ จากอ่าวไทย และเยตากุน (Pool 2) มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน และเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบ ให้ กฟผ. ให้ความร่วมมือกับ ปตท. ในการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของสัญญาฯ ยาดานา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2537 และให้มีการลงนามในสัญญาโดยเร็ว
3. นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบแผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยในส่วนของการจัดหาเชื้อเพลิง (ก๊าซธรรมชาติ) มีประเด็นสำคัญๆ ดังนี้
3.1 บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีจะทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับ ปตท. โดยตรง (Gas Sales Agreement :GSA) ทั้งนี้ กฟผ. จะต้องทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ หลัก (Master Gas Sales Agreement :MGSA) กับ ปตท. ซึ่งจะระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระของ กฟผ. กรณีบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. ส่งให้ครบตามปริมาณที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Minimum Take Liability) ซึ่งเป็นรูปแบบ เดียวกันกับการจัดหาก๊าซของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในกรณีที่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กฟผ. จะเป็นผู้จัดหาก๊าซฯ ให้แก่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีเป็นการชั่วคราวจนกว่าบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จะลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กับ ปตท. ได้
3.2 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (GSA) ระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี กับ ปตท. ได้กำหนด เงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณและการจัดส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโดยจะใช้สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง บริษัท Tri Energy Company Limited (ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนซึ่งซื้อก๊าซธรรมชาติที่ ปตท. จัดหาจาก สหภาพพม่า) กับ ปตท. เป็นต้นแบบ
3.3 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลัก (MGSA) ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระรับผิดชอบของ กฟผ. กรณีบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. ส่งให้ครบตามปริมาณที่กำหนดในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ โดยอาจจะใช้สัญญาซื้อขายก๊าซฯ หลักตามโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก เอกชน (Master IPP Program Gas Sales Agreement) ระหว่าง กฟผ. กับ ปตท. เป็นต้นแบบ หรือแก้ไขสัญญาหลักดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมถึงบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี
4. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2543 และเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 รับทราบ รายงานผลการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรีระหว่าง ปตท. และ กฟผ. โดยให้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซฯ สำหรับโรงไฟฟ้าราชบุรี เพื่อให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว
5. ปตท. กฟผ. และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ดำเนินการจัดทำสัญญา ซื้อขายก๊าซธรรมชาติของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยคำนึงถึงหลักการการจัดทำสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรี ข้างต้นแล้วเสร็จ โดยแยกออกเป็น 2 สัญญา คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี (Gas Sales Agreement : GSA) ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับปริมาณและการจัดส่งก๊าซฯ ให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี และสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลักระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. (Ratchaburi Master Gas Sales Agreement : RMGSA) ที่กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับภาระความรับผิดชอบของ กฟผ. ในกรณีที่บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี ไม่สามารถรับก๊าซฯ ที่ ปตท. จัดหาให้ตามปริมาณที่กำหนดไว้ตามสัญญา GSA
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี (GSA) และร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติหลักระหว่าง ปตท. กับ กฟผ. (RMGSA) โดยเร่งรัดให้ ปตท. และ กฟผ. รวมทั้งบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด รับไปดำเนินการลงนามในสัญญาฯ ดังกล่าวต่อไป
เรื่องที่ 12 การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2541 เห็นชอบการออกพันธบัตรในตลาดทุนต่างประเทศของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รวมทั้ง เงื่อนไขของธนาคารโลกในการค้ำประกันเงินต้น และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ดำเนินการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่ง สพช. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา Pricewaterhouse Coopers (PwC) ทำการศึกษาในเรื่องดังกล่าว ซึ่งการศึกษาได้แล้วเสร็จ
2. คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งมีนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นประธาน ประกอบด้วยผู้แทนจาก สพช. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมบัญชีกลาง สำนักบริหารหนี้สาธารณะ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย นักวิชาการ และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้พิจารณาผลการศึกษาดังกล่าวจนได้ข้อยุติ
3. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าที่ได้มีการปรับปรุงตามความเห็นของคณะกรรมการกำกับการศึกษาฯ สรุปได้ดังนี้
3.1 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง มีดังนี้
(1) โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กำหนดเป็นโครงสร้างเดียวกัน โดยไม่มีการกำหนดส่วนเพิ่ม-ส่วนลดค่าไฟฟ้าขายส่งที่ กฟผ. ขายให้กับ กฟน. และ กฟภ. ดังเช่นปัจจุบัน แต่มีการชดเชยรายได้ระหว่าง กฟน. และ กฟภ. ในลักษณะเหมาจ่ายแทน
(2) ค่าไฟฟ้าขายส่งประกอบด้วยค่าผลิตไฟฟ้า และค่ากิจการระบบส่ง โดยค่าไฟฟ้าจะ แตกต่างกันตามระดับแรงดัน และช่วงเวลาของการใช้
(3) กำหนดบทปรับค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้า (Power Factor) ในระดับขายส่ง ระหว่าง กฟผ. กับ กฟน. และ กฟภ. หากค่าตัวประกอบกำลังไฟฟ้าต่ำกว่า 0.875 ในอัตรา 5 บาท/kVar/เดือน
(4) กำหนดค่าบริการการเชื่อมโยงระบบใหม่ ในอัตรา 50,000 บาท/MVA/ปี สำหรับผู้ เชื่อมโยงระบบ ณ ระดับแรงดัน 69 kV ขึ้นไป และ 100,000 บาท/MVA/ปี ณ ระดับแรงดันกลาง
(5) ราคาขายส่งเฉลี่ยจะลดลงจากค่าไฟฟ้าขายส่งปัจจุบันร้อยละ 2 ซึ่งสอดคล้องกับค่า ไฟฟ้าขายปลีกที่ลดลงในสัดส่วนเดียวกัน
3.2 ข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก มีดังนี้
(1) อัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกเฉลี่ยลดลงประมาณร้อยละ 2
(2) ลดการอุดหนุนระหว่างกลุ่มให้น้อยลงเท่าที่จะทำได้ โดยไม่ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มใดต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
(3) โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าจะมีการแยกให้เห็นอย่างชัดเจน สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก
(4) มีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแบบ Time of Use (TOU) ใหม่ เพื่อให้สะท้อนถึง ต้นทุนและลักษณะการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟ (Load Profile) ที่เปลี่ยนแปลงไปให้มากที่สุด
(5) ขยายขอบเขตการใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบ TOU ให้ครอบคลุมถึงผู้ใช้ไฟฟ้าในกลุ่มธุรกิจและอุตสาหกรรม ที่มีการใช้ไฟฟ้าเกินกว่า 250,000 หน่วย/เดือน หรือมีความต้องการพลังไฟฟ้าตั้งแต่ 1,000 กิโลวัตต์ ขึ้นไป นอกจากนี้ อัตรา TOU จะนำมาใช้เป็นอัตราเลือกสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยกิจการขนาด เล็ก และส่วนราชการ
(6) ปรับปรุงการจำแนกกลุ่มผู้ใช้ไฟใหม่ โดยกำหนดให้กลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดกลางที่มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเกิน กว่า 250,000 หน่วย หรือมีความต้องการพลังไฟฟ้าเกินกว่า 1,000 กิโลวัตต์ ขึ้นไป อยู่ในกลุ่มผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ทั้งหมด
(7) รวมค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ในปัจจุบันเท่ากับ 64.52 สตางค์/หน่วย เข้าไปในค่าไฟฟ้าฐาน และกำหนดค่า Ft ใหม่ ณ จุดเริ่มต้นเท่ากับ 0
(8) โครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่ค่าไฟฟ้าเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
3.3 ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าจะจำแนกรายละเอียดอัตราค่าไฟฟ้าตามประเภทกิจการ ไฟฟ้า ได้แก่ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่าย รวมทั้งแสดงการให้การอุดหนุนค่าไฟฟ้าระหว่างกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ใช้ไฟทราบถึงค่าไฟฟ้าในแต่ละกิจการไฟฟ้าอย่างแท้จริงและมูลค่า การอุดหนุนค่าไฟฟ้าของตน ทั้งนี้ ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าดังกล่าวจะนำมาใช้กับผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ ก่อน
3.4 คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าได้พิจารณาให้มีการ ปรับปรุงสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของบริษัทที่ปรึกษา PwC ดังนี้
(1) แยกค่า Ft ในแต่ละกิจการอย่างชัดเจน กล่าวคือ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก
(2) ปรับฐานค่า Ft ใหม่ (Rebase เพื่อให้ Ft เท่ากับ 0 ณ จุดเริ่มต้น) เนื่องจากตามข้อเสนอ โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกจะรวมค่า Ft ณ ระดับ 64.52 สตางค์/หน่วย ไว้แล้ว
(3) เนื่องจากการไฟฟ้ายังไม่มีอิสระในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างแท้จริง จึงเห็นควรให้การไฟฟ้านำผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อหนี้สินของการไฟฟ้า ปรับในค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft ได้ในช่วงแรก หากอัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากระดับ 38 บาท/เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ การคำนวณค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นไป ให้การไฟฟ้ารับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย โดยให้มีการปรับค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน (ซึ่งจะเป็นไปตามอัตราแลกเปลี่ยน ที่ใช้ในการคำนวณค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนเมษายน 2544) เกินกว่าร้อยละ 5 แต่ทั้งนี้ไม่เกิน 45 บาท/เหรียญสหรัฐ แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน ให้การไฟฟ้าคืนผลประโยชน์ให้ประชาชน ผ่านสูตร Ft ทั้งหมด
(4) รายได้ที่เปลี่ยนแปลงของ 3 การไฟฟ้า เนื่องจากราคาขายเปลี่ยนแปลงไปจากที่ประมาณการ (MR) ยังคงให้ปรับค่าไฟฟ้าผ่าน MR ในช่วง 6 เดือนแรก หลังปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ เพื่อให้การไฟฟ้ามีรายได้สอดคล้องกับราคาขายปลีกที่ลดลงร้อยละ 2 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวให้นำค่า MR ออกจากสูตร Ft
(5) ค่า Ft จะปรับตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ จากอัตราเงินเฟ้อที่ใช้ในการคำนวณฐานะการเงินของกิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย และกิจการค้าปลีก ทั้งนี้ ค่าตัววัดประสิทธิภาพ หรือค่า "X" สำหรับกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่าย ได้นำไปรวมไว้ในการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานแล้ว
(6) ค่าใช้จ่ายด้านการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ให้นำออกจากสูตรการคำนวณ Ft
3.5 การชดเชยรายได้ระหว่างการไฟฟ้า (Financial Tranfers) เนื่องจากการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายมีต้นทุนในการจัดหาไฟฟ้าที่แตกต่างกัน ในขณะที่โครงสร้างค่าไฟฟ้าขายปลีกเป็นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ ควรมีการชดเชยรายได้แบบเหมาจ่าย (Lump sum financial Transfer) จาก กฟน. ไปยัง กฟภ. แทนการชดเชยรายได้ผ่านส่วนเพิ่ม (ส่วนลด) ค่าไฟฟ้าขายส่งเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ กฟน. ต้องชดเชยรายได้ให้ กฟภ. ในระดับ 7,979-9,152 ล้านบาทต่อปี ในช่วงปี 2544-2546
4. คณะกรรมการฯ ได้ศึกษาผลกระทบของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ เปรียบเทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันแล้วพบว่า ผลกระทบโดยรวมค่าไฟฟ้าจะลดลงร้อยละ 2.11
มติของที่ประชุม
- เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และรายละเอียดใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า รายละเอียดตามข้อ 4.6.1-4.6.3 และเอกสารแนบ 8-9 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1 และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับการศึกษาการปรับปรุงโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รับไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป
- เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) รายละเอียดตามข้อ 4.7 และเอกสารแนบ 10 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1 ทั้งนี้ ให้มีการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติครั้งต่อไปใน เดือนกุมภาพันธ์ 2544 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไป ดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
- เห็นชอบในหลักการการชดเชยรายได้ระหว่าง กฟน. และ กฟภ. รวมทั้งกลไกในการปรับปรุงการ ชดเชยรายได้ รายละเอียดตามข้อ 4.8 ของเอกสารประกอบวาระ 4.7.1
เรื่องที่ 13 การกำหนดราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ บริษัท ไตรเอนเนอจี้ จำกัด
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบแนวทางในการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ การซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) กับผู้ใช้ และอัตราค่าผ่านท่อ ในประเด็นราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ให้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม (Pool) และเมื่อ ปตท. เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลักแล้ว ก๊าซฯ จาก Pool 4 (ยาดานา) และ Pool 2 (อ่าวไทย และ เยตากุน) จะถูกนำมาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้อง การ โดยเฉพาะมาตรการเร่งรัดโครงการท่อก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2543 เพื่อเชื่อมโยงระบบท่อส่งก๊าซฯ จาก สหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลัก เพื่อส่งก๊าซฯ จาก สหภาพพม่าไปที่โรงไฟฟ้าวังน้อย
2. ปตท. ได้ดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ (Gas Sales Agreement : GSA) กับผู้ใช้โดยเฉพาะผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPP) ทั้ง 4 ราย และโรงไฟฟ้าราชบุรี ในการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ดังกล่าว อยู่บนพื้นฐานการกำหนดราคาก๊าซฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 ที่กำหนดให้มีการ เชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อหลัก แล้วนำราคาก๊าซฯ จาก Pool 2 และ Pool 4 มาเฉลี่ยให้เป็นราคาเดียวกัน
3. จากการเชื่อมโยงระบบท่อก๊าซฯ จากสหภาพพม่าเข้ากับระบบท่อก๊าซฯ หลักตามโครงการก่อสร้างท่อก๊าซฯราชบุรี-วังน้อยซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จและ เริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯได้จริง (Commissioning) ในวันที่ 1 มกราคม 2544 ขณะที่โรงไฟฟ้า IPP จำนวน 2 รายคือ บริษัทไตรเอนเนอจี้ จำกัด (Tri Energy) และบริษัท ผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด (Independent Power) สามารถรับก๊าซฯ และผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กับ กฟผ. (Commercial Operation Date :COD) ได้แล้วตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 และ วันที่ 15 สิงหาคม 2543 ตามลำดับ
4. ปตท. ได้จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ 1) Tri Energy รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของเยตากุนเท่านั้น) และ Pool 4 (ยาดานา) แทนที่จะต้องรับและ จ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (อ่าวไทยและ เยตากุน) และ Pool 4 (ยาดานา) ตามสัญญาซื้อขายก๊าซ ธรรมชาติ และ 2) Independent Power รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของอ่าวไทยเท่านั้น) แทนที่จะต้องรับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (อ่าวไทยและ เยตากุน) และ Pool 4 (ยาดานา) ตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ
5. บริษัท Tri Energy ได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) แจ้งความเห็นของ กฟผ. ว่า กฟผ. ไม่ควรจะต้องจ่ายค่าก๊าซฯ ในราคาค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจากสหภาพพม่า (เยตากุน และ ยาดานา) โดยเห็นว่า Tri Energy ควรจะรับซื้อก๊าซฯ ในราคาค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 กับ Pool 4 ตามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติ
6. สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้ร่วมกันพิจารณาประเด็นปัญหาดังกล่าวแล้ว มีความเห็น ดังนี้
6.1 ในหลักการสมควรที่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้ง 1) ปตท. ในฐานะผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติ 2) IPP ในฐานะผู้รับซื้อก๊าซฯ จาก ปตท. และผู้ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. และ 3) กฟผ. ในฐานะผู้รับซื้อไฟฟ้าจาก IPP จำเป็นต้องอ้างถึงสัญญาต่างๆ ที่มีอยู่คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับ IPP (Gas Sales Agreement : GSA) ที่กำหนดให้ ปตท. จำหน่ายก๊าซฯ ให้ IPP ในราคาก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 และ Pool 4 และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับ IPP (Power Purchase Agreement : PPA) ที่กำหนดให้ราคาไฟฟ้าที่ IPP ขายให้ กฟผ. เป็นราคาส่งต่อ (Passthrough) ตามที่ ปตท. เรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP
6.2 อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงกำหนดแล้วเสร็จของโครงการท่อก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อยที่สามารถ เริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯ ได้จริง (Commissioning) ในวันที่ 1 มกราคม 2544 ซึ่งทำให้ ปตท. สามารถนำราคาก๊าซฯ Pool 4 (สหภาพพม่า) มาเฉลี่ยรวมกับราคาก๊าซฯ จาก Pool 2 ได้ จึงเห็นสมควรกำหนดให้ ปตท. จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ Tri Energy : รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของเยตากุนเท่านั้น) และ Pool 4 (ยาดานา) ส่วน Independent Power : รับและจ่ายค่าเนื้อก๊าซฯ เฉลี่ยจาก Pool 2 (เฉพาะในส่วนของอ่าวไทย เท่านั้น)
6.3 กำหนดให้ กฟผ. รับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก IPP ทั้งสองรายตามราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. เรียกเก็บ ตามที่ได้มีการปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคาที่ระบุใน Schedule 4 และ 5 ของสัญญา GSA ไปจนกว่าโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี-วังน้อย แล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการ จ่ายก๊าซฯ ได้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2544
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการกำหนดให้ ปตท. จัดหาก๊าซฯ และเรียกเก็บค่าก๊าซฯ จาก IPP ทั้ง 2 ราย คือ บริษัทไตรเอนเนอจี้ จำกัด และ บริษัทผลิตไฟฟ้าอิสระ (ประเทศไทย) จำกัด ตามข้อ 6.3 รวมทั้งกำหนดให้ กฟผ. รับซื้อกระแสไฟฟ้าจาก IPP ทั้ง 2 รายตามราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. เรียกเก็บจาก IPP ทั้ง 2 ราย ตามข้อ 6.3 โดยไม่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านราคาที่ระบุใน Schedule 4 และ 5 ของสัญญา GSA ไปจนกว่าโครงการท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย จะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินการจ่ายก๊าซฯ ได้จริงในวันที่ 1 มกราคม 2544
ปิดประชุมเวลา 13.00 น.
กพช. ครั้งที่ 78 - วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 8/2543 (ครั้งที่ 78)
วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3.แนวทางการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
4.มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในภาคขนส่ง
5.การศึกษาการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่น
6.การจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.ข้อเสนอการลดระดับราคาน้ำมันโดยการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
8.ข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากผลกระทบราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนสิงหาคมได้ปรับตัวสูงขึ้น 3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณ สำรองของสหรัฐอเมริกาลดลงต่ำสุดในรอบ 24 ปี ประกอบกับได้เริ่มมีการสำรองน้ำมันเพื่อใช้ในฤดูหนาว และกลุ่ม โอเปคมิได้เพิ่ม ปริมาณการผลิตขึ้นอีกโดยจะรอผลการหารือในการประชุมเดือนกันยายนที่กรุง เวียนนา นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่ซาอุดิอาระเบียจะลดการ ส่งออกลงในเดือนกันยายนนี้ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนสิงหาคมราคาน้ำมันเริ่ม ทรงตัว โดยราคาน้ำมันดิบในวันที่ 24 สิงหาคม 2543 อยู่ในระดับ 27.5-33.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปตลาดจรสิงคโปร์ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ดิบ และจากภาวะตลาดน้ำมันในเอเซียแปซิฟิคเกิดการตึงตัวจากการหยุดกลั่นของโรง กลั่นในคูเวต อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ทำให้มาเลเซีย อินโดนีเซีย และประเทศอื่นที่มีปริมาณสำรองต่ำ ต้องเข้ามาซื้อน้ำมันในตลาดจร ส่งผลให้การจัดหาน้ำมันสำเร็จรูปค่อนข้างตึงตัว ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงได้เพิ่มสูงกว่าราคาน้ำมันดิบ โดยราคาน้ำมันเบนซินช่วงครึ่งแรกของเดือนปรับตัวสูงขึ้น 3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่อมาเมื่อน้ำมันเบนซินเริ่มออกสู่ตลาด ทำให้ราคาลดลง 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนการจัดหาน้ำมันก๊าดและดีเซลถูกจำกัด ในขณะที่ความต้องการเริ่มสูงขึ้นเนื่องจากการเตรียมสำรองเพื่อใช้ในฤดูหนาว โดยราคาได้ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปลายเดือนก่อน 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และ 9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันเตาราคาปรับตัวสูงขึ้น 2.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2543 อยู่ในระดับ 37.7 , 36.4 , 42.0, 41.0 และ 25.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในเดือนสิงหาคมปรับขึ้น 3 ครั้ง รวม 90 สตางค์/ลิตร แต่เป็นการปรับขึ้นต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากผู้ค้าน้ำมันได้ชะลอการปรับราคาขายปลีกไว้ โดยราคาน้ำมัน ณ วันที่ 23 สิงหาคม 2543 น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 17.09, 16.09 และ 14.19 บาท /ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ต่ำกว่าผู้ค้ารายอื่นอยู่ 0.30 บาท/ลิตร โดยมีราคาอยู่ที่ 13.89 บาท/ลิตร ค่าการตลาดในเดือนสิงหาคมลดต่ำลงจนติดลบ โดยค่าการตลาดเฉลี่ยของทุกผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับ 0.1867 บาท/ลิตร และเนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูป ทำให้ค่าการกลั่นในเดือนสิงหาคมเคลื่อนไหวในระดับ 5 - 6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.3-1.6 บาท/ลิตร)
4. ราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงไตรมาส 4 คาดว่ายังคงมีความผันผวนต่อไปอีก เนื่องจากปริมาณ สำรองค่อนข้างตึงตัว ประกอบกับการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวทำให้ประเทศต่างๆ เริ่มสำรองน้ำมันเพื่อไว้ใช้ในฤดูหนาว ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น หากกลุ่มโอเปคเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีก ตลาดก็จะผ่อนคลาย ความตึงตัวลง โดยภาพรวมแล้วราคาน้ำมันในตลาดโลกจะยังคงอยู่ในระดับสูง ราคาน้ำมันเบนซินจะเริ่มอ่อนตัวลงแต่ดีเซลจะปรับตัวสูงขึ้นตามฤดูกาล ส่วนราคาน้ำมันในประเทศไทยนั้น เมื่อโรงกลั่นต่างๆ กลับมากลั่นตามปกติราคาก็จะอ่อนตัวลง
5. ในเดือนสิงหาคมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกทรงตัวอยู่ที่ระดับ 297 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนในประเทศอยู่ที่ระดับ 12.16 บาท/กก. ซึ่งอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ระดับ 7.5 บาท/กก. หรือ 1,026 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มของราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกจะอยู่ที่ระดับ 290-295 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน และจะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยในไตรมาส 4 ของปีที่แล้วราคาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 300-330 เหรียญสหรัฐฯ/ ตัน
6. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในเดือนสิงหาคม มีเงินคงเหลือ 1,860 ล้านบาท จากรายรับ 583 ล้านบาท/ เดือน และรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 1,026 ล้านบาท/เดือน ทำให้มียอดค้างชำระรอการ เบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2543 เท่ากับ 2,005 ล้านบาท ปัจจุบันกองทุนฯ จึงมีฐานะติดลบ 145 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 7/2543 ( ครั้งที่ 77) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ได้พิจารณาเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และมีความเห็นว่าเพื่อให้กองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงสามารถตรึงราคาก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือนออกไปจนถึงสิ้น ปี ประกอบกับนโยบายที่จะส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมและรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงเปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติแทน จึงมีมติให้ ยกเลิกการจ่ายเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ ใช้ในภาคอุตสาหกรรมและ รถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการกำหนดระเบียบปฏิบัติต่อไป
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ประกอบการเกี่ยวกับแนวทาง ปฏิบัติ และผลกระทบของการดำเนินการ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2543 สรุปผลการหารือ ได้ดังนี้
2.1 ผลกระทบที่เกิดจากราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่แตกต่างกัน 7.5 บาท/กก.หรือ 4.05 บาท/ลิตร จะทำให้มีการ ลักลอบการถ่ายเทก๊าซฯ จนอาจจะก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ หรืออาจมีการใช้ถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในครัวเรือนไปใช้ในรถยนต์โดยตรง
2.2 ต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมหลายประเภทจะเพิ่มสูงขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก การยกเลิกชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะทำให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นทันทีร้อย ละ 70 หรือ เกือบเท่าตัว
2.3 ในขณะที่ก๊าซปิโตรเลียมเหลวยังได้รับการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะทำ ให้ โรงงานอุตสาหกรรมเปลี่ยนไปใช้ก๊าซบรรจุถังสำหรับใช้ในครัวเรือนแทน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการขาดแคลนถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในครัวเรือนและทำ ให้ภาระการชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ลดลงไม่มากนัก
2.4 ระดับราคาที่แตกต่างกันมากจะจูงใจให้ผู้ค้าก๊าซฯ กระทำผิดในการลักลอบถ่ายเทหรือ ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และการตรวจสอบของหน่วยงานราชการอาจไม่ทั่วถึง
3. การยกเลิกจ่ายเงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและรถยนต์ จะต้องมีการกำหนดราคาขายส่งเป็นสองราคา ทำให้การซื้อขายในระดับขายส่งมีความยุ่งยาก เพราะผู้ขายส่งไม่สามารถทราบได้ว่าผู้ซื้อจะนำไปใช้เป็นก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่ใช้ในครัวเรือนหรือใช้ในอุตสาหกรรม ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดปัญหาดังกล่าว ผู้ค้าก๊าซฯ จึงได้เสนอให้เลื่อนการยกเลิกชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและ รถยนต์ออกไปก่อน และหากจำเป็นต้องปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวก็ให้ดำเนินการ เปลี่ยนแปลงในอัตราเดียวกันทั้งระบบ เพื่อป้องกันการใช้ผิดวัตถุประสงค์
4. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมโยธาธิการ กรมทะเบียนการค้า การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และ สพช. เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมของการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ ใช้ในอุตสาหกรรมและรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป สรุปความเห็นและ ข้อเสนอได้ดังนี้
4.1 การยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและรถยนต์สามารถ แบ่งเบาภาระของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงเล็กน้อย แต่จะทำให้เกิดการลักลอบถ่ายเทก๊าซฯ และใช้ก๊าซฯผิดวัตถุประสงค์ ซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
4.2 ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นทันทีจะส่งผลให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม่สามารถ ดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และผู้ประกอบการรถรับจ้างก็ไม่สามารถปรับอัตราค่าโดยสารขึ้นได้
4.3 รัฐได้ให้การชดเชยหรือลดราคาน้ำมันให้กับหลายภาคการผลิต ได้แก่ กลุ่มประมง เกษตรกร อุตสาหกรรมขนาดเล็ก รถบรรทุก เป็นต้น ดังนั้น ในภาคการผลิตที่ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิงก็ควรที่จะได้รับการ ช่วยเหลือเช่นกัน
4.4 ปตท. ซึ่งได้รับการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวรายใหญ่ได้ยินยอมให้กองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงชะลอการจ่ายเงินชดเชยให้ ปตท. ล่าช้าออกไป จนกว่ากองทุนฯ จะมีสถานะคล่องตัวจนสามารถจ่ายชำระหนี้ได้
4.5 การดำเนินนโยบายอุดหนุนราคาหรือยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ควรดำเนินการในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปและทำพร้อมกันทั้งระบบหรือทุกภาคการใช้ ก๊าซฯ โดยอาจทยอยปรับลดอัตราชดเชยหรือปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในอัตราร้อย ละ 10 ทุกไตรมาส หรือร้อยละ 10-15 ทุกครึ่งปี เป็นต้น
4.6 ควรส่งเสริมให้รถแท็กซี่หรือรถตุ๊กตุ๊กเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงและ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ไปใช้ก๊าซธรรมชาติแทน เนื่องจากหลังการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวแล้ว ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะสูงขึ้นมาก ในขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติจะมีราคาต่ำกว่า
มติของที่ประชุม
1.ให้ยกเลิกมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ที่ให้ยกเลิกการจ่ายชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในอุตสาหกรรมและรถ ยนต์ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 โดยให้คงการจ่ายชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไว้เช่นเดิม เพื่อเป็นการตรึงราคาจำหน่ายออกไประยะหนึ่งเช่นเดียวกับก๊าซปิโตรเลียมเหลว ที่ใช้ในครัวเรือน
2.ให้ ปตท. เร่งโครงการสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ให้เร็วขึ้น โดยอาจเริ่มทดลองใช้ในรถแท๊กซี่ก่อน
3.มอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปพิจารณา ความเหมาะสมของการปรับลดการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวทั้งระบบ โดยให้ใช้หลักการของการทยอยปรับ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถปรับตัวตามต้นทุนที่เปลี่ยนไปได้ โดยอาจใช้แนวทางของการปรับร้อยละ 10 ทุกไตรมาสหรือ ร้อยละ 10-15 ทุกครึ่งปี เป็นต้น
เรื่องที่ 3 แนวทางการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 ในการเร่งรัดการดำเนินมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันมาเป็นก๊าซ ธรรมชาติให้มากขึ้นทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และภาคการขนส่ง โดยมอบหมายให้ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ( ปตท.) เร่งดำเนินการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในลักษณะของ Compressed Natural Gas : CNG เพื่อใช้ในรถยนต์ (Natural Gas for Vehicle : NGV) และดำเนินโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล
2. เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติในเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยให้มีการจ่ายเงินชด เชยเฉพาะก๊าซที่ใช้ในการหุงต้ม โดยให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรมตั้งแต่ วันที่ 1 กันยายน 2543 ซึ่งจากการประเมินความเป็นไปได้ และผลกระทบจากการจ่ายเงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์และ อุตสาหกรรมดังกล่าว พบว่าระดับราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่เพิ่มสูงจะส่งผลกระทบต่อทั้งภาค อุตสาหกรรมและภาคการขนส่ง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรถแท๊กซี่ นอกจากนั้นผลต่างของราคาจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะส่งผลให้เกิดการลักลอบ ถ่ายเทนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับภาคหุงต้มไปใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีปัญหาด้านความปลอดภัยตามมา
3. เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2543 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอันได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) กรมโยธาธิการ กรมทะเบียนการค้า และ ปตท. ได้ร่วมกันพิจารณาแนวทางการลด ผลกระทบจากการจ่ายเงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวต่อผู้ใช้ก๊าซฯ ในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรมแล้ว เห็นควรให้มีการเร่งรัดการดำเนินมาตรการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมัน และก๊าซปิโตรเลียมเหลว มาเป็นก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้น โดยมีโครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม สรุปได้ ดังนี้
3.1 ปตท. ได้มีการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543 ในการเร่งรัดการดำเนินการปรับเปลี่ยนพลังงานจากการใช้น้ำมันเป็นก๊าซ ธรรมชาติ มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
(1) การขยายสถานีบริการก๊าซฯ 6 สถานี ในปี 2543 -2544 โดยจะจัดตั้งสถานีบริการก๊าซฯ ที่สำนักงานใหญ่ ปตท., ศูนย์ปฏิบัติการก๊าซฯ ชลบุรี, โรงแยกก๊าซฯ ที่ระยอง และสถานีบริการก๊าซฯ อีก 3 สถานี เพื่อให้บริการรถโดยสารประจำทางของ ขสมก. จำนวน 250-300 คัน รถจัดเก็บขยะของ กทม. จำนวน 350-400 คัน และรถยนต์ที่ใช้งานของ ปตท. จำนวน 200 คัน โดยรถยนต์ดังกล่าวจะต้องมีการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติและเปลี่ยน เครื่องยนต์เป็นระบบเชื้อเพลิงร่วม คาดว่าจะสามารถลดการใช้น้ำมันดีเซลได้ 30,000 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 11 ล้านลิตรต่อปี ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(2) การเร่งดำเนินโครงการท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Gas Ring Project) พร้อมการขยายสถานีบริการก๊าซฯ ตามแนวท่อดังกล่าว ซึ่งเป็นการขยายโครงการท่อส่ง ก๊าซฯ จากท่อราชบุรี-วังน้อย ไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ให้ครอบคลุมโรงไฟฟ้าพระนครเหนือและกลุ่มอุตสาหกรรมรอบกรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าจะนำเสนอขออนุมัติต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนตุลาคม 2543
3.2 โครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งเพื่อให้สอดคล้องกับ แนวทาง การทยอยปรับเพิ่มราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยเร่งดำเนินการปรับเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันและก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้เป็น ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นโดยมีแผนการดำเนินการดังนี้
(1) แผนงานระยะสั้น ปตท. จะเร่งดำเนินการ ดังนี้
- ขยายการให้บริการของสถานีก๊าซฯ ที่รังสิตให้แก่รถแท๊กซี่ พร้อมทั้งจัดทำ โครงการทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท๊กซี่อาสาสมัครจำนวน 100 คัน ใช้เงินลงทุน 4 ล้านบาทซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในเดือนพฤศจิกายน 2543 นอกจากนี้ได้มีการขอรับการสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน ในการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของรถโดยสารประจำทาง NGV ของ ขสมก. จำนวน 82 คัน ที่มีอายุการใช้งาน 7 ปี ให้เหมาะสมกับคุณภาพก๊าซฯ ในประเทศ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 65 ล้านบาท และเพิ่มจำนวนรถโดยสารประจำทาง NGV ที่สถานีรังสิต จำนวน 70 คัน ค่าใช้จ่ายประมาณ 400-420 ล้านบาท
- ในการขยายสถานีบริการก๊าซฯ จำนวน 6 สถานี ที่ดำเนินการอยู่จะเพิ่มการให้ บริการแก่กลุ่มแท๊กซี่และจัดหาสถานีบริการก๊าซฯ เคลื่อนที่ (Mobile Station) จำนวน 1 คัน รวมทั้งการจัดโครงการ ส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท๊กซี่โดยติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติแบบ ให้เปล่ากับรถแท๊กซี่ จำนวน 1,000 คัน ซึ่ง ปตท. จะขอรับการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว จากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 20 ล้านบาท ( คิดเป็นร้อยละ 50 ของเงินลงทุน)
(2) แผนงานระยะยาว ปตท.จะขยายสถานีบริการก๊าซฯ จำนวน 30 สถานี ภายในปี 2548/2549 ตามแนวท่อส่งก๊าซฯ ในเส้นทางสายเหนือ (กรุงเทพฯ - สระบุรี), สายตะวันออก ( กรุงเทพฯ - ระยอง), สายตะวันตก (กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี) และรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล และการดำเนินการส่งเสริมการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซธรรมชาติในรถโดยสารประจำ ทาง รถโดยสารระหว่างจังหวัด รถบรรทุกต่างๆ รถแท๊กซี่ และรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งต้องขอให้มีการสนับสนุนด้านการลงทุนโดยการจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการ
4. ปตท. ได้พิจารณากลยุทธการกำหนดราคาให้ดึงดูดความนิยมในการใช้รถยนต์ที่ใช้ก๊าซ ธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิง เพื่อเป็นการส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขน ส่งอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงของการส่งเสริมและในภาวะที่น้ำมันเชื้อเพลิงยังมีราคาสูง พร้อมกับการปรับราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยจะกำหนดราคาขาย NGV อยู่ที่ระดับร้อยละ 50 ของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ซึ่งจะไม่สูงกว่าราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
5. ในการจัดทำโครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งจำเป็นต้อง ขอรับการสนับสนุนและความร่วมมือจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการสนับสนุนด้านการเงิน กระทรวงการคลังในการสนับสนุนด้านการยกเว้นอากรนำเข้าและการจัดหาแหล่งเงิน กู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ กรมโยธาธิการในการเร่งจัดทำและแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมสถานี บริการก๊าซธรรมชาติ กรมการขนส่งทางบกในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมยานพาหนะที่ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการสนับสนุนการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนกับผู้ ประกอบธุรกิจ และการกำหนดเป็นนโยบายให้หน่วยงานของรัฐส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น เชื้อเพลิงในรถยนต์ของหน่วยงาน โดย เฉพาะในกลุ่มรถบริการสาธารณะ เช่น รถโดยสารประจำทาง และรถจัดเก็บขยะ เป็นต้น
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2543
2.เห็นชอบโครงการเร่งรัดการขยายการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่งตาม ระเบียบวาระข้อ 2.2 - 2.4 โดยมอบหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เรื่องที่ 4 มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในภาคขนส่ง
กระทรวงคมนาคม ได้รายงานต่อที่ประชุมสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. กระทรวงคมนาคม ได้มีการประชุมหารือกับผู้ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่ง สัตว์หรือสิ่งของเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม 2543, วันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2543 และวันพุธที่ 30 สิงหาคม 2543 เพื่อหามาตรการช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนส่งที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น
2. ผลการประชุมหารือได้มีการกำหนดมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการขนส่ง สรุปได้ดังนี้
2.1 ผู้ที่อยู่ในข่ายได้รับความช่วยเหลือได้แก่ ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์ หรือสิ่งของซึ่งมีจำนวน 2,258 ราย มีจำนวนรถรวมทั้งสิ้น 72,609 คัน
2.2 คุณสมบัติของผู้ขอรับการชดเชยต้องเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ ประจำทาง ด้วยรถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ โดยเป็นรถที่มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวรถนั้นเอง และบรรจุในบัญชี ขส.บ.11 พร้อมทั้งจดทะเบียนและชำระภาษีประจำปีอย่างถูกต้องครบถ้วน
2.3 การจ่ายชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้ชดเชยเฉลี่ย 40 ลิตรต่อวันต่อคัน ในอัตราลิตรละ 1.20 บาท ระยะเวลาในการชดเชยประมาณ 3 เดือน ทั้งนี้หากราคาน้ำมันลดลงต่ำกว่าลิตรละ 12 บาท ให้ยุติการชดเชยดังกล่าวทันที
2.4 วงเงินงบประมาณที่ต้องใช้ในการชดเชยประมาณวันละ 3.5 ล้านบาท หรือเท่ากับ 104.6 ล้านบาทต่อเดือน รวมระยะเวลา 3 เดือน เป็นเงิน 313.7 ล้านบาท
2.5 วิธีการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
(1) ผู้ประกอบการจะต้องแจ้งความจำนงขอรับความช่วยเหลือที่กรมการขนส่งทางบก หรือที่สำนักงานขนส่งจังหวัดที่ออกใบอนุญาตประกอบการขนส่ง ตามแบบแสดงความจำนงที่กำหนดไว้
(2) กรมการขนส่งทางบกตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับการชดเชย แล้วจึงจ่ายบัตรน้ำมันส่วนที่ 3 เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปใช้เติมน้ำมันจากสถานีบริการน้ำมันของ ปตท. ในราคาที่ต่ำกว่าราคาปกติตามมูลค่าที่ระบุในบัตรน้ำมัน
(3) กรมการขนส่งทางบกจัดทำรายงานการจ่ายบัตรน้ำมัน โดยบัตรน้ำมันส่วนที่ 2 ส่งให้ ปตท. เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบการขอคืนเงินส่วนลดของสถานีบริการน้ำมัน และส่วนที่ 1 ส่งให้หน่วยงานเจ้าของงบประมาณเพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบการขอคืนเงิน ส่วนลดของ ปตท. โดย ปตท. ต้องรวบรวมบัตรน้ำมันส่วนที่ 3 และส่วนที่ 2 เพื่อขอรับเงินส่วนลดคืนจากหน่วยงานเจ้าของงบประมาณ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการให้ชดเชยค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้ รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง ด้วยรถที่ใช้ขนส่งสัตว์หรือสิ่งของ ตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงคมนาคมกำหนดเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ขอรับการชดเชย อัตราการชดเชย ระยะเวลาการชดเชย และขั้นตอนการดำเนินงาน ดังมีรายละเอียดตามข้อ 2 โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแหล่งเงินเพื่อชดเชยค่าน้ำมันเชื้อ เพลิง ให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
เรื่องที่ 5 การศึกษาการกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่น
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 7/2543 ( ครั้งที่ 77) เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2543 ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการกำหนดราคาน้ำมัน ของประเทศ โดยมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เป็นประธานกรรมการ และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ( สพช.) เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งต่อมาได้มีการออกคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ 2/2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นไทย ลงวันที่ 18 สิงหาคม 2543 เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมติดังกล่าว
2. คณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นน้ำมันไทย ได้รายงานผลการศึกษาการกำหนดราคาน้ำมันของโรงกลั่น โดยมีความเห็นสรุป ดังนี้
2.1 การกำหนดราคาน้ำมันในประเทศ โดยอิงกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปตลาดจรสิงคโปร์เป็นหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมกับตลาด น้ำมันในประเทศไทยในปัจจุบัน เนื่องจากสิงคโปร์เป็นตลาดหรือศูนย์กลาง ซื้อขายน้ำมันของภูมิภาคเอเซีย ราคาน้ำมันที่ซื้อขายในสิงคโปร์จะเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับตลาดอื่นๆ และสะท้อนความสามารถในการจัดหา และความต้องการน้ำมันของภูมิภาคนี้ สิงคโปร์เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งสะท้อนต้นทุนการนำเข้าระดับต่ำสุดที่โรงกลั่นไทยต้องแข่งขัน โดยโรงกลั่นสิงคโปร์จะมีต้นทุนการกลั่นในระดับต่ำ เนื่องจากประสิทธิภาพในการกลั่น ความได้เปรียบเรื่องขนาดของโรงกลั่น การขนส่ง และระบบภาษีต่ำ การแข่งขันกับสิงคโปร์จะทำให้โรงกลั่นไทยต้องปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดต้น ทุนการผลิต
2.2 การกำหนดราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้หลักการของการกำหนดราคาตามต้นทุน (Cost plus basis) เป็นการประกันค่าการกลั่นให้โรงกลั่น การกำหนดราคาลักษณะนี้ไม่เป็นผลดีต่อประเทศ การที่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ มีความผันผวนสูงกว่าราคาน้ำมันดิบในช่วงระยะสั้น ๆ หลักการนี้เสมือนประเทศจะได้ประโยชน์ แต่ในภาวะราคาน้ำมันตลาดจรสิงคโปร์เป็นปกติ ค่าการกลั่นซึ่งอิงราคาสิงคโปร์จะอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าการกลั่นตามต้นทุน ดังนั้น หากให้โรงกลั่นใช้หลักการค่าการกลั่นตามต้นทุน ราคาน้ำมันในประเทศไทยจะสูงขึ้น และทำให้โรงกลั่นไม่ต้องแข่งขันในการปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุน นอกจากนี้ เนื่องจากค่าการกลั่นตามต้นทุนของโรงกลั่นแต่ละแห่งจะแตกต่างกัน หากใช้ค่าการกลั่นเฉลี่ยจะทำให้โรงกลั่นที่มีต้นทุนสูงต้องขาดทุน ทำให้ในที่สุดรัฐต้องกำหนดค่าการกลั่นตามต้นทุนสูงสุด เพื่อให้โรงกลั่นทุกโรงไม่ขาดทุน
2.3 ภาวะปัจจุบันราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์มีความผันผวน ความแตกต่างของ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูงกว่าปกติ อันมีสาเหตุมาจากปัญหาด้านการผลิตของโรงกลั่นหลายโรงในภูมิภาคนี้ ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าต้นทุนจริงของการผลิตของ โรงกลั่นทำให้ค่าการกลั่นของโรงกลั่นเพิ่มสูงขึ้นในช่วงนี้ แต่โดยปกติแล้วค่าการกลั่นจะมีการปรับตัวตามภาวะตลาด ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นจะทำให้น้ำมันออกสู่ตลาดมากขึ้นและกดค่าการกลั่นให้ ต่ำลง เมื่อค่าการกลั่นต่ำลงจะมีผลให้ปริมาณน้ำมันที่ออกสู่ตลาดลดลง ทำให้ค่าการกลั่นเพิ่มขึ้นภาวะที่ค่าการกลั่นสูงผู้ค้าน้ำมัน ก็จะมีการต่อรองส่วนลดจากโรงกลั่น ทำให้ตลาดสามารถปรับตัวสู่ภาวะที่เหมาะสม ดังนั้น รัฐจึงไม่ควรเข้าไปแทรกแซงในภาวะปกติ
2.4 ในภาวะที่ราคาในประเทศสูงผิดปกติและค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูง (5-7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) ควรมีการนำค่าการกลั่นส่วนหนึ่งมาช่วยในการตรึงหรือลดราคาน้ำมันภายในประเทศ เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค แต่จะต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายและภาระหนี้สินของโรงกลั่นด้วย เพราะในช่วงที่ผ่านมาโรงกลั่นประสบภาวะขาดทุน โดยหากพิจารณาค่าการกลั่นของโรงกลั่นไทยออยล์ ระดับค่าการกลั่นที่คุ้มทุน คือ 3 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และหากคำนึงถึงการจ่ายดอกเบี้ยและการชำระหนี้แล้ว โรงกลั่นจะต้องได้รับค่าการกลั่นในระดับ 4 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
2.5 ภาวะค่าการกลั่นที่สูงในปัจจุบัน จะปรับตัวลดลงตามกลไกตลาดสู่ระดับปกติในเวลา ต่อมา ดังนั้น การให้ส่วนลดราคาน้ำมันสำเร็จรูปดังกล่าว ควรจะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ โดยเป็นการบริหารเพื่อ ลดความผันผวนของตลาดเพียงชั่วคราว แต่หากความผันผวนของราคาน้ำมันสำเร็จรูป ยังคงดำเนินต่อไปเป็นระยะเวลานาน จนกลายเป็นแนวโน้มที่แน่นอนของราคา หรือเป็นภาวะปกติของตลาด การให้ส่วนลดดังกล่าว ก็ควรที่จะยกเลิกเช่นกัน เพราะมิฉะนั้นจะส่งผลต่อการจัดหาของประเทศ โดยโรงกลั่นจะส่งออกน้ำมันแทนการจำหน่ายในประเทศ ซึ่งอาจเกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันภายในประเทศขึ้นได้ ทำให้รัฐจะต้องเข้าไปแทรกแซงตลาดโดยการควบคุมการส่งออก
2.6 รัฐไม่มีนโยบายที่จะแทรกแซงตลาด โดยยังยึดหลักการของตลาดเสรี ดังนั้น การนำส่วนลดค่าการกลั่นเพื่อให้ส่วนลดราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศเป็น การชั่วคราว ในช่วงที่ราคาน้ำมันของประเทศอยู่ในระดับสูงนี้ รัฐไม่สามารถบังคับบริษัทเอกชนได้ คณะกรรมการฯ จึงเห็นสมควรให้ใช้การปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) และโรงกลั่นไทยออยล์ เป็นกลไกในการบริหารค่าการกลั่นและค่าการตลาดโดยให้นำส่วนลดค่าการกลั่นมา ช่วยตรึงหรือลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้สูงขึ้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชน ในช่วงที่ค่าการกลั่นอยู่ในระดับสูงเป็นการชั่วคราว
2.7 ในส่วนของผู้ค้าน้ำมันรายย่อยที่ไม่มีหุ้นในโรงกลั่น ซึ่งไม่ได้รับส่วนลดค่าการกลั่นในส่วนนี้ทำให้เกิดความเสียเปรียบ แต่ในช่วงที่ผ่านมา ภาวะราคาน้ำมันอยู่ในระดับปกติ ผู้ค้าน้ำมันกลุ่มนี้เคยได้เปรียบจากการที่สามารถเจรจาต่อรองกับโรงกลั่น เพื่อให้ได้ราคาต่ำสุด แทนการที่โรงกลั่นต้องส่งออก แต่คาดว่าสภาวะปัญหาค่าการกลั่นสูงจะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราว ระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
2.8 คณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาแนวทางอื่น ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนราคาน้ำมันในช่วงที่ประเทศประสบปัญหาเรื่องราคาน้ำมันแพง เช่น การตกลงราคาล่วงหน้า การปรับลดมาตรฐาน คุณภาพเป็นการชั่วคราว (การลดปริมาณ MTBE ในน้ำมันเบนซิน, การลดอุณหภูมิการกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว)
3. คณะกรรมการศึกษาฯ ได้เสนอว่าในช่วงที่ภาวะตลาดน้ำมันผิดปกติ ทำให้ค่าการกลั่นมีความผันผวนมาก ให้ ปตท. และโรงกลั่นไทยออยล์ ใช้หลักการบริหารค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยนำส่วนลดค่าการกลั่นมาช่วยตรึงหรือลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้ สูงขึ้น ซึ่งเป็นการบริหารความผันผวนของตลาด และเป็นการดำเนินการเพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนโรงกลั่นอื่นให้เป็นไปตามความสมัครใจ เมื่อค่าการกลั่นลดลงสู่ภาวะปกติ หรือหากความแตกต่างของราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงที่อยู่ในระดับสูง จนเป็นภาวะปกติของตลาดแล้ว มาตรการดังกล่าวก็ให้ยกเลิกไป
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความเห็นคณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นน้ำมันไทย ตามข้อ 2
2.เห็นชอบการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการศึกษาการกำหนดราคาจำหน่าย น้ำมันเชื้อเพลิงของโรงกลั่นไทย ซึ่งมีข้อเสนอว่าในช่วงที่ภาวะตลาดน้ำมันผิดปกติ ทำให้ค่าการกลั่นมีความผันผวนสูงขึ้นมากนี้ ให้ ปตท. และโรงกลั่นไทยออยล์ ใช้หลักการบริหารค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยนำส่วนลดค่าการกลั่นมาช่วยตรึงหรือลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงมิให้ สูงขึ้น ซึ่งเป็นการบริหารความผันผวนของตลาด และเป็นการ ดำเนินการเพียงชั่วคราวเท่านั้น ส่วนโรงกลั่นอื่นให้เป็นไปตามความสมัครใจ เมื่อค่าการกลั่นลดลงสู่ภาวะปกติ หรือหากความแตกต่างของราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงที่อยู่ในระดับสูง จนเป็นภาวะปกติของตลาดแล้ว มาตรการดังกล่าวก็ให้ยกเลิกไป
3.มอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปดำเนินการประชาสัมพันธ์เรื่องระบบราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน
เรื่องที่ 6 การจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้พิจารณาข้อเสนอของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ในการให้มีการจัดตั้งระบบการค้าน้ำมันกลางทะเลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยการจัดตั้งสถานี (Tanker) จำหน่ายน้ำมันกลางทะเลโดยบริษัท ผู้ค้าน้ำมัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของชาวประมง ในเรื่องต้นทุนการทำประมง และการเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันทาง ทะเล และเห็นว่าจะเกิดผลดีต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม จึงได้ขอความเห็นชอบในหลั กการต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดตั้งระบบการค้าน้ำมันกลางทะเลอย่างถูกต้อง ตามกฎหมาย ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ สพช. ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินงานและประสานงานกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง
2. ผลการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้คือ
2.1 การดำเนินการดังกล่าวเป็นการช่วยให้ชาวประมงซื้อน้ำมันในราคาต่ำที่สุด โดยไม่มีการเก็บภาษีและกองทุนต่างๆ รวมทั้งยกเว้นข้อกำหนดคุณภาพของน้ำมันบางประการ ซึ่งไม่จำเป็นสำหรับการใช้ ในทะเล
2.2 เป็นการช่วยให้เรือจำหน่ายน้ำมันเข้ามาใกล้ชายฝั่งมากขึ้น คือ สามารถจำหน่ายน้ำมันในเขตต่อเนื่อง แต่น้ำมันที่จำหน่ายแก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องต้องเป็นน้ำมันที่ผลิตใน ประเทศไทยเท่านั้น
2.3 เพื่อเป็นการคุ้มครองผลประโยชน์ของชาวประมง ควรจัดให้มีการควบคุมการจำหน่าย น้ำมันที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เครื่องยนต์เรือ ควบคุมมิเตอร์ให้ปริมาณจำหน่าย และเรือจำหน่ายน้ำมันต้องมีอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อความปลอดภัยแก่เรือประมง และไม่เกิดมลภาวะในทะเล
2.4 ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบขนน้ำมันเถื่อนเข้าสู่ฝั่งให้มีการเติม สีน้ำมัน ให้แตกต่างจากน้ำมันที่ใช้บนบก และเติมสาร Marker
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบให้ศึกษาการจัดตั้งระบบการจำหน่ายน้ำมัน สำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง เมื่อการศึกษาแล้วเสร็จให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อ ไป
เรื่องที่ 7 ข้อเสนอการลดระดับราคาน้ำมันโดยการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การดำเนินการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทาง อากาศที่เกิดขึ้นจากการใช้รถยนต์ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2535 โดยมีการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลและเบนซิน ดังนี้
1.1 น้ำมันดีเซล ได้มีการลดอุณหภูมิการกลั่น จาก 370 องศาเซลเซียล เป็น 357 องศาเซลเซียล ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 เพื่อลดปัญหาควันดำของรถบรรทุก รถโดยสาร และรถขนส่งทั่วไป นอกจากนี้ได้มีการลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันดีเซลจากร้อยละ 1 จนปัจจุบันเหลือเพียงร้อยละ 0.05 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยเฉพาะฝุ่นที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ไมครอน ซึ่งมีผลเสียต่อ สุขภาพอนามัยของประชาชน
1.2 น้ำมันเบนซิน ได้มีการลดสารเบนซีนจากเดิมไม่สูงกว่าร้อยละ 5 โดยปริมาตรเหลือไม่เกินร้อยละ 3.5 โดยปริมาตรตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 และลดปริมาณสารอะโรมาติกจากเดิมที่กำหนดไว้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2537 มีปริมาณไม่สูงกว่าร้อยละ 50 โดยปริมาตร ให้ลดลงเป็นไม่สูงกว่าร้อยละ 35 โดยปริมาตร ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543 ทั้งนี้ เนื่องจากสารอะโรมาติกโดยเฉพาะสารเบนซีนซึ่งจัดว่าเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) ที่ทางองค์การอนามัยโลกกำหนดเป็นสารมลพิษในบรรยากาศให้มีปริมาณน้อยที่สุด หรือไม่มีเลย
2. ข้อเสนอการลดระดับราคาน้ำมัน โดยการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง
-น้ำมันดีเซลเพิ่มอุณหภูมิการกลั่นจาก 357 องศาเซลเซียส เป็น 370 องศาเซลเซียส จะทำให้ราคาปรับตัวลดลงประมาณ 0.20 บาท/ ลิตร
-น้ำมันดีเซลเพิ่มปริมาณกำมะถันจาก 0.05% เป็น 0.5% จะทำให้ราคาปรับตัวลดลง ประมาณ 0.30 บาท/ลิตร
-น้ำมันเบนซินเพิ่มปริมาณสารอะโรมาติกจากร้อยละ 35 เป็นร้อยละ 50 โดยปริมาตร จะทำให้ราคาปรับตัวลดลงประมาณ 0.20 บาท/ ลิตร
3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกรมทะเบียนการค้า และกรมควบคุมมลพิษ มีความเห็นเกี่ยวกับข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นสรุปความเห็นได้ดังนี้
3.1 น้ำมันดีเซล มีผลการศึกษาวิจัยที่ประกอบความเห็นดังนี้
(1) จากการศึกษาในต่างประเทศโครงการ The European Programme on Emissions, Fuels, and Engine Technologies ปี ค. ศ. 1995 พบว่าการลดความหนาแน่น Polyaromatic อุณหภูมิการกลั่น และปริมาณกำมะถันในน้ำมันดีเซล มีส่วนช่วยในการลดปริมาณฝุ่นละออง (PM) ในไอเสียของเครื่องยนต์ โดยการลดอุณหภูมิการกลั่น (T95 จาก 370 องศาเซลเซียส เป็น 325 องศาเซลเซียส) พบว่ามีส่วนช่วยในการลดปริมาณฝุ่นละอองในไอเสียโดยเฉพาะรถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ประมาณ 6.9% นอกจากนี้ จากผลการทดสอบของ Japan Clean Air Program ปี ค.ศ. 1996-1998 พบว่าการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดที่มีอุณหภูมิการกลั่นเพิ่มขึ้นจาก 330 องศาเซลเซียลเป็น 350 องศาเซลเซียส มีผลทำให้ปริมาณฝุ่นละอองในไอเสียของรถยนต์ดีเซลขนาดเล็กและขนาดใหญ่เพิ่ม ขึ้นเฉลี่ย 14.6% และ 8.7% ตามลำดับ
(2) ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2535 -2542 พบว่าปัญหาฝุ่นละอองยังคงเป็นปัญหาหลักของกรุงเทพมหานคร โดยมีการตรวจพบปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM-10) ซึ่งมีแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่มาจากยานพาหนะอยู่ในระดับเกินเกณฑ์มาตรฐานมา ตั้งแต่ปี 2536 และเพิ่มระดับความรุนแรงเรื่อยมาจนถึงปี 2539 ซึ่งมีความรุนแรงมากที่สุด การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลจึงเป็นมาตรการที่สำคัญประการหนึ่งในการลด ปริมาณการระบายฝุ่นละอองในไอเสียของเครื่องยนต์
(3) จากการวิจัยเรื่องผลกระทบของฝุ่นละอองต่อสุขภาพอนามันในเขตกรุงเทพมหานคร โดยวิทยาลัยการสาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับบริษัท Hagler Bailly พบว่าการลดระดับค่าเฉลี่ยรายปีของฝุ่นละอองขนาดเล็กลงทุก 10 ug/m3 จะช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย ซึ่งคิดเป็นเงินจะมีค่าประมาณ 35,000 - 88,000 ล้านบาทต่อปี การเพิ่มอุณหภูมิการกลั่นน้ำมันดีเซล (T90) จาก 357 องศาเซลเซียส เป็น 370 องศาเซลเซียส ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลลดลงได้ประมาณ 0.25 บาท/ ลิตร เมื่อคิดจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลทั่วประเทศในปี 2542 ประมาณ 42 ล้านลิตรต่อวัน จะประหยัดเงินได้เพียง 10.5 ล้านบาทต่อวัน คิดเป็นเงินประมาณ 3,832.5 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น เมื่อคิดเปรียบเทียบกันแล้วไม่คุ้มกับสุขภาพอนามัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งคำนวณเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้นที่จะต้องเสียไปถึง 35,000-88,000 ล้านบาทต่อปี
3.2 น้ำมันเบนซิน มีผลการศึกษาวิจัยประกอบความเห็นดังนี้
(1) จากผลการศึกษาวิจัยเรื่อง "Toxic Air Pollution Exhaust Emission with Reformulated Gasoline" ในปี 2543 พบว่าการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเบนซินโดยการลดปริมาณสารอะโรมาติกจากร้อยละ 45 ลงเหลือร้อยละ 20 จะมีผลทำให้ปริมารสารมลพิษในไอเสียของรถยนต์มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ สารเบนซีน ลดลงร้อยละ 30.9+/-6.2
(2) ผลการวิจัยที่ดำเนินการโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ( ปตท.) ในปี 2542 พบว่าการปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงโดยการลดปริมาณสารอะโรมาติกมีผลทำ ให้ปริมาณสารมลพิษใน ไอเสียของรถยนต์เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ กรณีสารอโรมาติกลดลงจากร้อยละ 45 ลงเหลือร้อยละ 35 มีผลให้ปริมาณสารเบนซีนลดลงร้อยละ 16 และกรณีสารอะโรมาติกลดลงจากร้อยละ 45 ลงเหลือร้อยละ 20 มีผลให้สารเบนซีนลดลงร้อยละ 36.3 ปริมาณก๊าซไฮโดรคาร์บอนรวม (THC) ลดลงร้อยละ 7.5 และปริมาณก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนลดลงร้อยละ 14.2
มติของที่ประชุม
1.รับทราบข้อเสนอการลดระดับราคาน้ำมันโดยการผ่อนปรนข้อกำหนดคุณภาพน้ำมัน เชื้อเพลิงว่ามีความเป็นไปได้ในทางเทคนิค แต่การดำเนินการต้องมีความระมัดระวังรอบคอบ โดยมอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รับไปพิจารณาถึงผลกระทบที่จะมีต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชน
2.เห็นชอบให้มีการปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันดีเซลจาก 25 สตางค์ /ลิตร เหลือ 0 สตางค์/ ลิตร เป็นการชั่วคราว โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป และเมื่อราคาน้ำมันลดลงและเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมให้พิจารณาปรับเพิ่มอัตรา การเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลใหม่
เรื่องที่ 8 ข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรจากผลกระทบราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอนุรักษ์ จุรีมาศ) ได้หารือต่อที่ประชุม เกี่ยวกับการพิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับผลผลิตทางการเกษตรล้นตลาดและมีราคาตกต่ำ กระทรวงเกษตรฯ จึงได้มีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเห็นว่าควรจะมีมาตรการ ให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเกษตรทุกสาขาโดยรวมด้วย และเนื่องจากการ พิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายสินค้าอาจไม่มีข้อมูลรายละเอียดเพียงพอ จึงพิจารณาว่าควรให้ความช่วยเหลือเป็นภาคครัวเรือนเกษตรซึ่งมีประมาณ 5.6 ล้านครัวเรือน ส่วนจะพิจารณาให้ความช่วยเหลืออย่างไรอยากขอให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายก รัฐมนตรี ( นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รับไปพิจารณาหาแนวทางให้ด้วย และขอให้ที่ประชุมให้ความเห็นชอบในหลักการว่าควรให้ความช่วยเหลือแก่ภาค เกษตรในระดับครัวเรือน
การพิจารณาของที่ประชุม
1.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) มีความเห็นว่าในหลักการแล้วคณะกรรมการฯ นี้เห็นชอบที่จะให้ความช่วยเหลือเป็นรายภาคอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสาขาขนส่ง ประมง และเกษตร ส่วนแต่ละภาคการผลิตต้องการให้พิจารณาช่วยเหลืออย่างไร ควรเป็นหน้าที่ของแต่ละกระทรวงซึ่งดูแลเรื่องนี้โดยตรงเป็นผู้จัดทำข้อเสนอ เข้ามา เช่นเดียวกับที่กระทรวงคมนาคมทำข้อเสนอเข้ามาให้ที่ประชุมนี้พิจารณา อย่างไรก็ตาม การยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลใน วันนี้ก็เป็นการช่วยเหลือทุกภาคการผลิต รวมทั้งภาคเกษตรด้วย แต่ถ้าจะให้พิจารณาช่วยเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่เห็นว่ายังคงมีความจำเป็นอยู่ก็ขอให้ทำข้อเสนอเข้ามา
2.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอนุรักษ์ จุรีมาศ) เสนอให้ที่ประชุม เห็นชอบในหลักการก่อนว่าควรให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเกษตรโดยรวม และให้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาวิธีปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกรต่อไป เนื่องจากครัวเรือนเกษตรที่มีอยู่ 5.6 ล้านครัวเรือน ใช้น้ำมันในภาคเกษตรเฉลี่ยครัวเรือนละ 15 ลิตร/เดือน หรือประมาณ 180 ลิตร/ปี/ครัวเรือน โดยอาจพิจารณาให้ความช่วยเหลือระยะหนึ่งประมาณ 4 เดือน
3.ประธานฯ ได้ขอให้ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบในหลักการในการให้ความช่วยเหลือแก่เกษตรกร ในระดับครัวเรือน โดยให้กระทรวงเกษตรฯ ร่วมกับกระทรวงการคลัง และ สพช. รับไปพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือต่อไป ซึ่งในหลักการกระทรวงการคลังก็ไม่ขัดข้องที่จะจัดหาแหล่งเงินสนับสนุน อย่างไรก็ตาม ขอให้มีการชี้แจงด้วยว่าคณะกรรมการฯ ได้มีการพิจารณาช่วยเหลือเกษตรกรอยู่แล้วโดยผ่านทาง ธกส. โดยการลดราคาน้ำมันให้ 25 สตางค์/ลิตร แต่ขอให้มีการเร่งรัดการขยายสถานีบริการจาก 300 สถานี ให้ ครอบคลุม 1,500 สถานี โดยเร็ว และจากการปรับลดอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในวันนี้ 25 สตางค์/ลิตร ก็เป็นการให้ความช่วยเหลือแก่ภาคเกษตรรวมทั้งหมด 50 สตางค์/ลิตร
มติของที่ประชุม
1.ให้เร่งขยายโครงการจำหน่ายน้ำมันราคาถูกของ ปตท. ให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ให้ครอบคลุม 1,500 สถานีโดยเร็ว
2.เห็นชอบในหลักการให้พิจารณาหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรในระดับครัวเรือน ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการคลัง และ สพช. รับไปพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
กพช. ครั้งที่ 77 - วันพุธที่ 16 สิงหาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 7/2543 (ครั้งที่ 77)
วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบ
2.ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
3.การแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
4.การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ แทนเลขาธิการคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนกรกฎาคม ปรับตัวลดลงเฉลี่ย 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 24 - 27 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามกระแสข่าวการประกาศเพิ่มปริมาณการผลิตของประเทศซาอุดิอาระเบีย 500,000 บาร์เรล/วัน แต่ในเดือนสิงหาคมราคาได้ปรับตัวสูงขึ้น 1-2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยมีสาเหตุจากปริมาณการผลิตของประเทศซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้นเพียง 250,000 บาร์เรล/วัน และปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐอเมริกาที่ลดลง ทำให้ราคาน้ำมันดิบ ณ วันที่ 11 สิงหาคม อยู่ในระดับ 26.4 - 30.8 เหรียญสหรัฐฯต่อ บาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในเดือนกรกฎาคม ไม่ได้อ่อนตัวตามราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากปัญหาปริมาณน้ำมันในตลาดค่อนข้างตึงตัว จากการปิดซ่อมแซมของโรงกลั่นในภูมิภาคนี้และอุบัติเหตุของโรงกลั่นคูเวต ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าดและดีเซล ปรับตัวสูงขึ้น 3, 2 และ 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันเตาปรับตัวลดลง 4 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ หยุดซื้อ และในเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ยังคงปรับตัวสูงขึ้นและอยู่ในระดับสูง เป็นผลจากสภาพตลาดที่ตึงตัว โดยราคาน้ำมันเบนซิน ก๊าด ดีเซลและเตา ณ วันที่ 11 สิงหาคม อยู่ในระดับ 39.4, 35.9, 35.3 และ 22.9 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในเดือนกรกฎาคม ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและการอ่อนตัวของค่าเงินบาท โดยต้นทุนราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลสูงขึ้น 1.05 และ 0.55 บาท/ลิตร แต่ผู้ค้า น้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกเพียง 1 ครั้ง ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ออกเทน 91และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 13 สิงหาคม อยู่ที่ 16.49, 15.49 และ 13.59 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. จากการที่ราคาตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินบาทอ่อนตัวลง แต่การปรับราคาขายปลีกไม่ได้ ชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด จึงส่งผลให้ค่าการตลาดของผู้ค้าน้ำมันในเดือนกรกฎาคม อยู่ในระดับ 0.81 บาทต่อลิตร และในเดือนสิงหาคมอยู่ในระดับ 0.49 บาทต่อลิตร ส่วนค่าการกลั่น จากการที่ราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ค่าการกลั่นปรับสูงขึ้นมาเคลื่อนไหวในระดับ 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล (1.0 - 1.3 บาทต่อลิตร)
5. สถาบัน EIA (Energy Information Administration) ได้คาดการณ์แนวโน้มของราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปี 2543 ว่า ราคาน้ำมันดิบในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เมื่อเทียบกับระดับปลายเดือนมิถุนายน ราคาจะอ่อนตัวลงในระดับ 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบ WTI จะอยู่ในระดับ 27 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (เทียบเท่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ 26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) ส่วนการคาดการณ์จากแหล่งอื่น นักวิเคราะห์โดยรวมคาดว่าครึ่งปีหลังราคามันดิบจะอ่อนตัวลงจากระดับกลางปี 4 - 5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยภาพรวมราคาน้ำมันดิบจะยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปคาดว่า น้ำมันเบนซินจะ ลดลงหลังฤดูร้อน และหากการเพิ่มปริมาณสำรองสำหรับฤดูหนาวของน้ำมันดีเซลไม่ทันการณ์ ราคาน้ำมันดีเซลอาจปรับตัวสูงขึ้นมากเหมือนราคาน้ำมันเบนซินในฤดูร้อนที่ ผ่านมา ส่วนราคาขายปลีกของไทยในช่วงระยะสั้น มีปัจจัยที่น่าจะมีผลต่อราคามากที่สุดคือ การเพิ่มปริมาณการผลิตของโรงกลั่นที่ต่ำกว่ากำลังการกลั่นจริง และการกลับมาผลิตตามปกติของโรงกลั่นที่ปิดซ่อมแซม ซึ่งหากผลิตได้จะทำให้ราคาลดลงในระดับหนึ่ง
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และรายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
6.1 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้รายงานว่าการประเมินผลกระทบในครั้งนี้ไม่แตกต่างจากที่ได้รายงานต่อที่ ประชุมในครั้งที่แล้ว เนื่องจากได้มีการวิเคราะห์กรณีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ที่ระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ไว้แล้ว และขณะนี้ราคาน้ำมันดิบยังไม่สูงถึงราคาที่คำนวณไว้ สศช. จึงยังคงใช้การประเมินผลกระทบเดิม คือ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2543 จะอยู่ในระดับร้อยละ 5 เนื่องจากปริมาณการส่งออกใน รูปดอลล่าร์สหรัฐฯ ของปี 2543 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 12.1 สูงกว่าที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 6.5 อย่างไรก็ดี หากราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ในระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนทั้งปีอยู่ในระดับ 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ จะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 0.31 คือ ลดจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 4.69"
6.2 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากราคาน้ำมันดีเซล ที่ปรับสูงขึ้น ณ วันนี้ที่ลิตรละ 13.59 บาท เปรียบเทียบกับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเมื่อเดือนมิถุนายน 2542 คือที่ระดับราคา 8.30 บาท/ลิตร ปรากฏว่ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้า 53 รายการ สินค้ามีต้นทุนสูงขึ้นร้อยละ 67.35 โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบสูงสุดถึงร้อยละ 9.21 คือ ปูนซีเมนต์ รองลงมาคือ ตะปู และกระเบื้อง ได้รับผลกระทบประมาณร้อยละ 4 ส่วนการปรับค่าไฟฟ้ามีผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าร้อยละ 5.23 ได้แก่ สินค้าแคลเซี่ยมคาร์ไบด์ เยื่อกระดาษ และปูนซีเมนต์ สินค้าที่ได้มีการปรับราคาไปแล้ว คือ ปูนซีเมนต์ สำหรับน้ำมันหล่อลื่นยังอยู่ระหว่างการพิจารณา
6.3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะขอส่งรายงานการประเมินผลกระทบและการดำเนินการชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาว ประมง จากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทราบ ภายในสัปดาห์นี้
6.4 กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ณ วันที่ 8 สิงหาคม 2543 เปรียบเทียบกับราคาน้ำมันเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2542 ปรากฏว่า ปูนซีเมนต์ ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีสัดส่วนต้นทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.37 รองลงมาคือ อุตสาหกรรมสิ่งทอและฟอกย้อม ส่วนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตเพื่อส่งออกมีกำลังผลิตมากขึ้น ดังนั้นชิ้นส่วนยานยนต์หล่อโลหะจะได้รับผลกระทบมากขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์และจักรยานยนต์ได้รับผลกระทบน้อย
6.5 กระทรวงคมนาคม ได้ให้คณะกรรมการควบคุมขนส่งกลางพิจารณาผลกระทบจากราคา น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น แต่เนื่องจากการขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำมีความหลากหลาย จึงอยู่ระหว่างการเร่งรัดจัดทำรายละเอียดให้มากขึ้น
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และการประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจและต้นทุนสินค้าและบริการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการกำหนดราคาน้ำมัน สำเร็จรูปของประเทศ ประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เป็นประธาน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายและแผนพลังงาน เป็นฝ่ายเลขานุการ เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์ การกำหนดราคาและโครงสร้างราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่เหมาะสมของประเทศ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวดำเนินการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ และให้แจ้งผลการศึกษาให้คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติทราบต่อไป
3.มอบหมายให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยรับไปเจรจากับโรงกลั่นไทยออยล์ ขอปรับลดราคา ณ โรงกลั่นลง เพื่อเป็นโครงการนำร่องสำหรับโรงกลั่นอื่น ๆ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
ความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่ม สูงขึ้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในช่วงที่ผ่านมา สรุปได้ดังนี้
1. การดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน มีความก้าวหน้าสรุปได้ดังนี้
1.1 การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ซึ่งอยู่ ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2542 - 7 สิงหาคม 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานและว่าจ้าง ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐไปแล้วจำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงและว่าจ้าง ควบคุมงานติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐจำนวน 160 แห่ง รวมเป็นเงิน 45.31 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมรวม 148 แห่ง และโรงงานควบคุม 256 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์ การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมรวม 121 แห่ง รวมเป็นเงิน 204.32 ล้านบาท ในส่วนของ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี สถาบันราชภัฏสวนดุสิต และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา รวม 5 แห่ง ในวงเงิน 6.45 ล้านบาท
1.2 การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวม 3 โครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2543-2547) รวมวงเงิน 258,447,440 บาท ประกอบด้วย โครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดย่อม โครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหาร จัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และโครงการต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม นอกจากนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ในการนำพลังงานที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1,000 กิโลวัตต์ จำนวน 50 แห่ง เป็นเงิน 160 ล้านบาท และการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู สมุทรปราการ เป็นเงิน 300 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ โครงการดังกล่าวได้ผ่านการกลั่นกรองของคณะผู้เชี่ยวชาญกลั่นกรองโครงการแผน งานภาคความร่วมมือใน เบื้องต้นเพื่อให้มีการปรับข้อเสนอให้ชัดเจนแล้วเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 และจะมีการพิจารณากันอีกครั้งในวันที่ 24 สิงหาคม นี้
1.3 การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้ พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภทแล้วเสร็จ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพค ฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษานี้ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการของอุปกรณ์แต่ละประเภทด้วยแล้ว สพช. จึงได้จัดทำร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ ไฟฟ้า 6 ประเภทดังกล่าว เพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมวันนี้ เพื่อให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนำไปดำเนินการให้อุปกรณ์ไฟฟ้า ทั้ง 6 ประเภท เป็นอุปกรณ์ควบคุมมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำต่อไป
1.4 โครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up)
การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเป็นค่าใช้ จ่ายในการดำเนินโครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อการประหยัดพลังงาน คาดว่าจะเริ่มโครงการได้ประมาณกลางเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะตั้งศูนย์บริการตามสถานที่ราชการเพื่อให้บริการแก่รถยนต์ของส่วนราชการ รวมทั้ง ตั้งศูนย์บริการให้แก่ประชาชนทั่วไปที่กรมการขนส่งทางบก คาดว่าจะสามารถให้บริการแก่รถยนต์ได้ประมาณ 17,000 คัน ในระยะเวลา 6 เดือน นอกจากนี้ ปตท. ได้ยื่นข้อเสนอ โครงการระยะที่ 2 ซึ่งจะสามารถขยายการให้บริการ Tune-up ครอบคลุมพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด คาดว่าจะสามารถให้บริการแก่รถยนต์ได้ประมาณ 49,000 คัน ในระยะเวลา 3 ปี
1.5 โครงการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด
กรมควบคุมมลพิษ ได้เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินโครงการสาธิตการใช้งานรถโดยสารประจำทางไฮบริดที่ขับเคลื่อนด้วย ไฟฟ้า ในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยกรมควบคุมมลพิษ จะร่วมกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) นำรถเก่าเครื่องยนต์ดีเซล จำนวน 20 คัน มาดัดแปลงเป็นระบบรถไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid Buses) ซึ่ง สพช. จะเร่งพิจารณาแผนเบื้องต้นของโครงการ และนำเสนอคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือตามขั้นตอนต่อไป
2. การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ สพช. ได้ดำเนินมาตรการจูงใจเพื่อให้ประชาชนที่สามารถใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น โดยปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร และลดค่าการตลาดของเบนซินออกเทน 91 ลง 20 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2543 เป็นต้นมา ผลของการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏว่า สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เพิ่มขึ้นตามลำดับจากร้อยละ 33 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 37, 38, และ 51 ในเดือนมกราคม มีนาคม และมิถุนายน 2543 ตามลำดับ
3. การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในเดือนสิงหาคมทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเดือน กรกฎาคม ที่ระดับ 297 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระต้อง ชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว 7.57 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 1,036 ล้านบาทต่อเดือน โดยคาดว่ากองทุนฯ จะสามารถชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้จนถึงสิ้นปี 2543
4. มาตรการลดราคาน้ำมัน
4.1 กลุ่มเกษตรกร ปตท. ได้ลดราคาเบนซินและดีเซลจากเดิมลดลง 0.15 บาทต่อลิตร เพิ่มเป็น 0.25 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 1 เมษายน 2543 - 30 กันยายน 2543 ให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยการจำหน่ายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ครอบคลุม 64 จังหวัด และพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการน้ำมันทั่วทุกจังหวัด
4.2 กลุ่มประมง ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลด 0.60 บาทต่อลิตร นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) อนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุน ช่วยเหลือเกษตรกรในวงเงิน 321 ล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดทุนให้แก่ชาวประมงที่ร่วมโครงการเป็นระยะเวลา 4 เดือน
4.3 กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม ปตท. ได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบ อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมที่จดทะเบียนขอรับส่วนลดจากกรมส่งเสริม อุตสาหกรรมรวมทั้งหมด 305 ราย จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลดเพิ่มเติมจากส่วนลดการค้าปกติสำหรับน้ำมันดีเซล 15 สตางค์ต่อลิตรและน้ำมันเตา 7 สตางค์ต่อลิตร โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2543 มีผู้ประกอบการได้รับการลดราคาน้ำมันแล้ว 21 ราย แยกเป็นความต้องการใช้น้ำมันดีเซล 61,500 ลิตรต่อเดือน และน้ำมันเตา 1,367,000 ลิตรต่อเดือน นอกจากนี้ เป็นการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขนส่ง 247 ราย โดยผู้ประกอบการสามารถเติมน้ำมันจากสถานีบริการที่ใช้บริการ Synergy Card เพื่อรับส่วนลดผ่านบริการดังกล่าวทุกสิ้นเดือน
5. มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
5.1 ภาคคมนาคมขนส่ง ปตท. ได้ดำเนินโครงการก่อนการขยายตลาดยานยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติv(NGV Pre-marketing Project) ซึ่งจะทำการประเมินผลโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะนำผลการทดสอบโครงการดังกล่าวv และข้อคิดเห็นของ ขสมก. และ กทม. มาประกอบการจัดทำ ข้อเสนอแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงานvเพื่อปรับปรุงรถของ ขสมก. และ กทม. ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้ ตลอดจนสร้างสถานีบริการก๊าซฯ ของ ปตท. นอกจากนี้vกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีคำสั่งที่ 237/2543 ลงวันที่ 31vกรกฎาคม 2543 แต่งตั้งคณะกรรมการศึกษาความเป็นไปได้โครงการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อ เพลิงแทนน้ำมันในรถยนต์โดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรถจักรดีเซลของการรถไฟแห่งประเทศไทย
5.2 การเร่งรัดสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง การยื่นคำขอสัมปทานปิโตรเลียมสำหรับแปลงสำรวจบนบก ในทะเลอ่าวไทย และในทะเลอันดามัน ลงวันที่ 11 กรกฎาคม 2543 เพื่อเปิดให้ผู้ที่ประสงค์จะขอสัมปทานปิโตรเลียม ยื่นคำขอสัมปทานพร้อมเอกสารการขอสัมปทานต่อกรมทรัพยากรธรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันออกประกาศ เชิญชวนให้ยื่นขอสัมปทานฉบับนี้ หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง และจะปิดรับใบคำของวดแรกในวันที่ 15 สิงหาคม 2543 นี้
6. โครงการเสริม
สพช. ได้ดำเนินโครงการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ วิธีการประหยัดพลังงานในบ้านอยู่อาศัยและการใช้ยานพาหนะผ่านทางสื่อต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ประชาชนรู้จักใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ มากขึ้น ดังนี้
6.1 โครงการออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้ให้การสนับสนุนแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการดำเนินโครงการบ้านประหยัดพลังงาน เพื่อศึกษาหลักการและแนวทางการประหยัดพลังงานในที่อยู่อาศัย และพัฒนาแนวทางเลือกต้นแบบบ้านประหยัดพลังงานให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใน ภูมิภาค ตลอดจนเสนอแบบบ้านและจัดทำคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงาน เพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องการประหยัดพลังงานในที่พักอาศัยสู่สาธารณะ ซึ่งในขณะนี้การจัดทำแบบบ้านรวมทั้งหมด 4 แบบ และคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงานได้แล้วเสร็จ และได้โฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และ Website ของ สพช. เพื่อจำหน่ายให้แก่ผู้สนใจในราคาถูก และในระยะต่อไป สพช. จะจัดทำเฉพาะคู่มือการอยู่อาศัยประหยัดพลังงานเป็นเอกสารเผยแพร่โดยไม่คิด ค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนทั่วไปด้วย
6.2 โครงการรณรงค์วิธีประหยัดน้ำมัน สพช. อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำแผ่นพับเสนอวิธีประหยัดน้ำมัน จำนวน 300,000 ชุด เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆ ด้วยตัวเองสำหรับ ผู้ใช้รถทุกประเภท คาดว่าจะผลิตเสร็จและพร้อมแจกประมาณปลายเดือนสิงหาคม ศกนี้ โดยมีจุดแจกจ่ายตามด่านเก็บเงินทางด่วน สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 สื่อมวลชนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมทั้ง การเผยแพร่ผ่านทาง Website ของ สพช.
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
2.มอบหมายให้ สพช. ติดตามเร่งรัดการพิจารณาสนับสนุนเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานในโครงการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ของกระทรวงอุตสาหกรรมให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว
3.มอบหมายให้ส่วนราชการต่างๆ พิจารณากำหนดมาตรการประหยัดการใช้ไฟฟ้าในสถานที่ราชการ และมอบหมายให้กรมทางหลวงพิจารณาดับไฟถนนบางสายและบางจุดที่จะไม่ก่อให้เกิด อันตรายแก่ผู้ใช้เส้นทาง ดังกล่าว รวมทั้งให้ขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาคเอกชนในการร่วมมือกันประหยัดพลังงาน ในช่วงเวลาที่ ไม่จำเป็น เพื่อลดการใช้พลังงานลง
เรื่องที่ 3 การแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนสิงหาคม ทรงตัวอยู่ในระดับ 297 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 12.23 บาท/กก. โดยมีอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 7.57 บาท/กก. หรือ 1,036 ล้านบาท/เดือน และคาดว่าในไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2543 ราคาก๊าซฯ ในตลาดโลกจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 315-330 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน อัตราเงินชดเชยจะอยู่ในระดับ 7.9 - 8.5 บาท/กก. หรือ 1,050 - 1,150 ล้านบาท/เดือน
2. ฐานะการเงินตามบัญชีของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 3 สิงหาคม 2543 อยู่ในระดับ 1,860 ล้านบาท รายรับจากน้ำมันชนิดอื่นในระดับ 583 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว 1,036 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 453 ล้านบาท/เดือน และมีหนี้เงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวค้างชำระในระดับ 2,005 ล้านบาท ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 145 ล้านบาท แต่หากไม่คำนึงถึงหนี้เงินชดเชยค้างชำระ กองทุนน้ำมันฯ จะสามารถตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเลวได้อีกประมาณ 3 เดือน หรือจนถึงเดือนกันยายน 2543
3. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ประธานคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน โดยได้รับมอบหมายจากประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ให้นโยบายและแนวทางในการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
3.1 ให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวจนถึงสิ้นปี 2543 เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของประชาชน ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงปรับตัวสูงขึ้นมาก ได้ส่งผลให้ราคาสินค้าอื่นๆ ปรับสูงขึ้นตาม การปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในช่วงนี้ จึงยังไม่ควรดำเนินการ
3.2 ให้ใช้นโยบายบริหารฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ให้อยู่ในระดับ 1,500 ล้านบาท โดยอาจจะมีการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวล่าช้าบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับการไหลเข้าของกองทุนฯ จากน้ำมันชนิดอื่น
3.3 ให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและ ดีเซล 0.05 และ 0.25 บาท/ลิตร ตามลำดับ เพื่อเพิ่มรายรับของกองทุนฯ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ เพดานสูงสุดของอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ ไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร
3.4 ให้จ่ายเงินชดเชยเฉพาะก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในการหุงต้ม โดยลดหรือยกเลิกการจ่ายเงิน ชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาก๊าซที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรมปรับสูงขึ้น โดยให้ สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบ การกำหนดระเบียบและขั้นตอนปฏิบัติ ซึ่งจะช่วยลดภาระการจ่ายชดเชยของกองทุนน้ำมันฯ ได้ประมาณ 25% หรือ 260 ล้านบาท/เดือน
3.5 ในปี 2544 เมื่อราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงในระดับที่ไม่ก่อให้เกิดภาระต่อประชาชน ให้ทยอยปรับเพิ่มราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 10% ของราคาขายปลีก
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2.เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ตามข้อ 3 โดยให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้ในรถยนต์และ อุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นต้นไป โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปกำหนดระเบียบปฏิบัติต่อไป
เรื่องที่ 4 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. กลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิค (Asia Pacific Economic Cooperation: APEC) ในการประชุมระหว่างวันที่ 28-29 สิงหาคม 2539 ณ นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ได้มีข้อตกลงความร่วมมือด้านพลังงาน ซึ่งมีเรื่องการจัดทำกรอบมาตรฐานด้านพลังงานเพื่อยกระดับประสิทธิภาพด้าน พลังงานและลดต้นทุนของภาคธุรกิจและเศรษฐกิจรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 เห็นชอบแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยแนวทางหนึ่งได้เร่งรัดให้มีการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้น ต่ำ การติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และส่งเสริมให้มีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบประสิทธิภาพพลังงานที่มีมาตรฐาน ซึ่งจะส่งผลต่อการลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความเหมาะสมใน เชิงเศรษฐศาสตร์
2. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จ้าง ERM-Siam, Co Ltd. ดำเนินการศึกษาแนวนโยบายในการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าของประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2540 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำ (Minimum Efficiency Performance Standards: MEPs) ของอุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อเสนอแนะมาตรฐานในการทดสอบและรับรองอุปกรณ์ให้มีความสอดคล้องในระบบ สากล รวมทั้งการพิจารณาผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งการศึกษาได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และ สพช. ได้นำเสนอผลการศึกษา โดยการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการแต่ละอุปกรณ์ แล้ว ซึ่งที่ประชุมได้ให้การยอมรับและจะร่วมมือสนับสนุนการดำเนินการตามผลการ ศึกษานี้
3. แนวทางการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท สรุปได้ ดังนี้
3.1 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำเป็นการกำหนดบังคับให้ อุปกรณ์ไฟฟ้า 6 ประเภท ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลูออเรสเซนต์ ที่ผลิตและนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศ (ไม่รวมถึงสินค้าที่ผลิตเพื่อการส่งออก) จะต้องมีการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างน้อยที่สุดให้ได้ตาม มาตรฐานกำหนด ซึ่งมาตรการนี้จะช่วยจัดการให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพต่ำ ออกไปจากตลาด และผลักดันให้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงเข้าสู่ระบบการตลาดมากขึ้น ซึ่งจะ ส่งผลให้เกิดการประหยัดพลังงานในภาพรวมของประเทศ
3.2 มาตรการในการดำเนินการเพื่อให้มีผลบังคับใช้มาตรฐานขั้นต่ำได้มีการกำหนดไว้ เป็นขั้นตอน โดยอุปกรณ์ประเภทแสงสว่าง ประกอบด้วย บัลลาสต์ หลอดฟลูออเรสเซนต์ และหลอดคอมแพคฟูลออเรสเซนต์ สามารถดำเนินการให้มีผลบังคับใช้ได้ในปี 2546 ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และมอเตอร์ จะเริ่มให้มีผลบังคับใช้ได้ในปี 2547 และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรฐานทุกๆ 3 ปี เพื่อให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานที่รับผิดชอบได้มีช่วงเวลาในการเตรียมความ พร้อมก่อนมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำจะมีผลบังคับใช้ และ สพช. จะมีการประเมินผลเป็นระยะๆ เพื่อปรับปรุงแนวทางการดำเนินการ
3.3 สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เป็นหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าทั้ง 6 ประเภทดังกล่าวเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีการควบคุมมาตรฐานการใช้ประสิทธิภาพขั้น ต่ำ โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
3.4 รัฐควรส่งเสริมและสนับสนุนเพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคมีการใช้อุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานมากขึ้น เช่น การสนับสนุนด้านการตลาด การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเห็นประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้อุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพ ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยผลักดันให้ผู้ผลิตหันมาผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่มี ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และรัฐควรสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถของศูนย์ทดสอบต่างๆ ในการทดสอบและการรับรองประสิทธิภาพได้ตามมาตรฐานสากล
4. ผลวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์พบว่าประโยชน์โดยรวมที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการ ประหยัดไฟฟ้าหากมีการดำเนินการตามกรอบแผนงานการกำหนดบังคับใช้มาตรฐาน ประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ 6 ประเภทดังกล่าว ระหว่างปี 2547-2554 คิดเป็นมูลค่าปัจจุบัน ณ ปี 2547 ในช่วงเวลา 8 ปี จะมีศักยภาพในการลดความต้องการพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 3,200 กิกกะวัตต์-ชั่วโมง หรือ 660 เมกะวัตต์ และประหยัดค่าไฟฟ้าของผู้บริโภคได้ทั้งสิ้น 3 หมื่นล้านบาท
5. นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตตู้เย็นของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้มีการลงนามร่วมกันเพื่อสนับสนุน สพช. ในการดำเนินงานตามแผนการกำหนดมาตรฐานดังกล่าว และขอให้ สพช. ทำการศึกษาวิจัยโดยละเอียดในเรื่องผลกระทบด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับตู้เย็นประสิทธิภาพสูง เช่น ด้านการตลาดภายในประเทศ การส่งออก ด้านต้นทุนการผลิต ด้านสิ่งแวดล้อม และให้ สพช. จัดทำตู้เย็นต้นแบบตามที่ได้เสนอแนะไว้ให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2544 เพื่อกลุ่มผู้ผลิต ตู้เย็นจะได้นำผลการศึกษาไปปรับปรุงระบบการผลิต และเตรียมความพร้อมก่อนที่จะมีการประกาศใช้มาตรฐานขั้นต่ำจริง ซึ่ง สพช. ได้ดำเนินการให้ตามที่กลุ่มผู้ผลิตตู้เย็นได้ร้องขอมาดังกล่าว ซึ่งจะทราบผลภายในเดือนตุลาคม 2543
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า 6 ประเภท ประกอบด้วย เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น มอเตอร์ บัลลาสต์ หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์ และหลอดฟลู ออเรสเซนต์ ตามผลการศึกษาในเอกสารประกอบวาระการประชุมที่ 4.1.1 ตามที่ สพช. เสนอ
2.มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รับผลการศึกษาไปเร่งดำเนินการกำหนดให้อุปกรณ์ไฟฟ้าทั้ง 6 ประเภทดังกล่าว เป็นอุปกรณ์ควบคุมมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าขั้นต่ำ
กพช. ครั้งที่ 76 - วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม 2543
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 6/2543 (ครั้งที่ 76)
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และการประเมินผลกระทบ
2.การนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาทำเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียว
3.การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโครงการห้วยเฮาะจากกรณี Change in Law Claim
4.ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ
5.การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
6.แผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
7.ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
8.การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
10.ปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
11.แนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้องการ
12.รายงานการศึกษาโครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิง
นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และการประเมินผลกระทบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ผลการประชุมของกลุ่มโอเปค เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา กลุ่มโอเปคได้มีการประชุม ณ กรุงเวียนนา โดยผลการประชุมได้ตกลงที่จะเพิ่มเพดานการผลิตอีก 708,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 25.4 ล้าน บาร์เรลต่อวัน และประเทศนอกกลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิตอีก 200,000 บาร์เรลต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการของตลาด จึงทำให้ราคาน้ำมันดิบยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับ 28-32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบอ้างอิงของกลุ่มโอเปคเคลื่อนไหวในระดับ 29 - 30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามซาอุดิอาระเบียได้ออกมาประกาศว่าหากราคาน้ำมันดิบไม่ลดลงซา อุดิอาระเบียจะหารือกลุ่มโอเปค เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีก 500,000 บาร์เรลต่อวัน โดยซาอุดิอาระเบียมีเป้าหมายราคาน้ำมันดิบอ้างอิงอยู่ในระดับ 25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากประกาศดังกล่าวทำให้ตลาดน้ำมันมีภาวะผ่อนคลาย ราคาน้ำมันดิบในช่วง ต้นเดือนกรกฎาคม จึงได้ปรับตัวลดลง 1.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล มาอยู่ในระดับ 27 - 31 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในเดือนมิถุนายนมีการปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากโรงกลั่นประสบปัญหาค่าการกลั่นตกต่ำจึงได้ลดกำลังการกลั่นลง แต่ในช่วงปลายเดือนโรงกลั่นน้ำมันในคูเวตได้เกิดอุบัติเหตุต้องปิดเพื่อซ่อม แซมเป็นเวลา 6 เดือน ทำให้ปริมาณน้ำมันสำเร็จรูปหายไป 450,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในสิงคโปร์ราคาสูงขึ้นในเดือนนี้ ราคาน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.2 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนนี้สูงขึ้น 2.6 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเตาราคาสูงขึ้น 1.8 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตามน้ำมันสำเร็จรูปที่หายไปส่วนหนึ่งสามารถทดแทนจากการ ส่งออกของเกาหลีใต้ และไต้หวัน และแนวโน้มการเพิ่มปริมาณการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน และดีเซล ลดลง ณ ต้นเดือนกรกฎาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 92 และดีเซลอยู่ในระดับ 34.5, 33.0 และ 31.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยในเดือนมิถุนายน น้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 ครั้ง รวม 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 ครั้ง รวม 1.17 บาทต่อลิตร ลดลง 1 ครั้ง 0.20 บาทต่อลิตร โดยในวันที่ 6 กรกฎาคม 2543 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ในระดับ 15.89, 14.89, 14.47 และ 12.99 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. จากภาวะต้นทุนราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นตลอดในช่วงเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกในสัดส่วนที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลก ทำให้ค่าการตลาดเฉลี่ยของผู้ค้าน้ำมัน เคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 0.90 - 1.00 บาทต่อลิตร ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน ในขณะที่ค่าการกลั่นอยู่ในระดับ 0.36 - 0.44 บาทต่อลิตร แต่หลังจากโรงกลั่นน้ำมันในคูเวตหยุดเพื่อซ่อมแซม ตลาดน้ำมันมีภาวะตึงตัว ราคาน้ำมันสำเร็จรูปจึงสูงขึ้น ทำให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับ 0.62 บาทต่อลิตร
5. มาตรการบรรเทาผลกระทบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 และเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2543 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ โดยมีความก้าวหน้าเพิ่มเติมจากเดิมสรุปได้ ดังนี้
5.1 มาตรการอนุรักษ์พลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
1) การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุม อาคารควบคุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ และมีหน้าที่กำกับดูแลการอนุรักษ์พลังงานในโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบ คุม รวมทั้ง อาคารของรัฐ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2542 - พฤษภาคม 2543 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการเพื่อบริหารงานและว่าจ้าง ตรวจวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารของรัฐไปแล้วจำนวน 200 แห่ง และเพื่อบริหารการปรับปรุงและว่าจ้างควบคุมงานติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์ พลังงานในอาคารของรัฐจำนวน 160 แห่ง รวมเป็นเงิน 43.31 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้นในอาคาร ควบคุมรวม 121 แห่ง และโรงงานควบคุม 227 แห่ง และการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียดในอาคารควบคุมรวม 99 แห่ง รวมเป็นเงิน 178.78 ล้านบาท ในส่วนของโครงการ โรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง ได้มีการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตตรัง และวิทยาเขตสุราษฎร์ธานี สถาบันราชภัฏสวนดุสิต และโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา รวม 5 แห่ง ในวงเงิน 6.45 ล้านบาท
2) การส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการศึกษาการกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้ พลังงานขั้นต่ำในอุปกรณ์ 6 ประเภทแล้วเสร็จ ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ มอเตอร์ หลอดคอมแพค ฟลูออร์เรสเซนต์ หลอดฟลูออร์เรสเซนต์ และบัลลาสต์ ผลการศึกษานี้ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องและกลุ่มผู้ประกอบการของอุปกรณ์แต่ละประเภทด้วยแล้ว สพช. จึงได้จัดทำร่างกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์ ไฟฟ้า 6 ประเภทดังกล่าว เพื่อเสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป
3) โครงการขยายการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน สถาบันวิจัยและเทคโนโลยี การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้จัดทำข้อเสนอโครงการขยายการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในวงเงิน ประมาณ 24 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการกอง ทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาต่อไป โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายดำเนินการให้กับผู้ใช้ยานยนต์ทั้งในขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในเขตภูมิภาคให้ครบ 60 แห่ง ภายในระยะเวลา 3 ปี โดยจะดำเนินการปรับแต่งเครื่องยนต์ที่ใช้ทั้งน้ำมันเบนซินและดีเซล ซึ่งคาดว่าจะมีรถเข้าร่วมโครงการอย่างน้อย 49,000 คัน ผลจากการดำเนิน โครงการคาดว่าจะสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหลังการปรับแต่ง เครื่องยนต์ได้ประมาณร้อยละ 5-10 ต่อคัน
4) การอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน รวม 3 โครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี (2543-2547) รวมวงเงิน 258,447,440 บาท ประกอบด้วย โครงการกระตุ้น ให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม โครงการปรึกษาแนะนำและสร้าง ผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการพลังงานแก่โรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และโครงการลดต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
5) โครงการประหยัดพลังงานโดยการใช้ประโยชน์จากความร้อนที่เหลือจากการผลิต กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ในการนำพลังงานที่เหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ ในโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานต่ำกว่า 1,000 กิโลวัตต์ จำนวน 50 แห่ง เป็นเงิน 160 ล้านบาท และการติดตั้งหม้อไอน้ำสำหรับเตาเผากากอุตสาหกรรมที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู สมุทรปราการ เป็นเงิน 300 ล้านบาท
6) โครงการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่าง การประสานงานและจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่ง เสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานประมาณ 10 ปี จำนวน 440 เครื่อง
5.2 การส่งเสริมการใช้น้ำมันเบนซินให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์ สพช. ได้ดำเนินมาตรการจูงใจเพื่อให้ประชาชนที่มีรถยนต์ซึ่งสามารถใช้น้ำมันเบนซิน ออกเทน 91 ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 มากขึ้น โดยปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร และลดค่าการตลาดของเบนซินออกเทน 91 ลง 20 สตางค์ต่อลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2543 เป็นต้นมา ผลของการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏว่า สัดส่วนการใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้เพิ่มขึ้นตามลำดับจากร้อยละ 33 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 37, 38, 45, และ 47 ในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ เมษายน และพฤษภาคม 2543 ตามลำดับ
5.3 การตรึงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวใน เดือนกรกฎาคม 2543 เพิ่มสูงขึ้นอีก 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตันมาอยู่ในระดับ 296 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้ต้องมีการชดเชยราคาที่สูงขึ้นอีก 135 ล้านบาทต่อเดือน เป็น 955 ล้านบาทต่อเดือน การปรับอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนฯ สำหรับเบนซินออกเทน 95 เพิ่มขึ้น 20 สตางค์ต่อลิตร ทำให้ฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีรายรับเพิ่มขึ้น 78 ล้านบาท ซึ่งสามารถชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวได้ถึงดือนสิงหาคม 2543
5.4 มาตรการลดราคาน้ำมัน ปตท. ได้ลดราคาเบนซินและดีเซลจาก 0.15 บาทต่อลิตร เป็น 0.25 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 1 เมษายน 2543 - 30 มิถุนายน 2543 ให้แก่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยการจำหน่ายน้ำมันผ่านเครือข่ายสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ครอบคลุม 55 จังหวัด และพร้อมที่จะขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมสถานีบริการน้ำมันทั่วทุกจังหวัด นอกจากนี้ ปตท. ได้ขยายระยะเวลาขายน้ำมันราคาถูกให้กลุ่มประมงผ่านจุดจ่าย 100 แห่ง จนถึงสิ้นปี 2543 โดยให้ส่วนลด 0.60 บาทต่อลิตร และได้จำหน่ายน้ำมันราคาถูกให้แก่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม ที่จดทะเบียนขอรับส่วนลดจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมรวมทั้งหมด 305 ราย โดยให้ ส่วนลดเพิ่มเติมจากส่วนลดการค้าปกติสำหรับน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา โดยแยกเป็นความต้องการใช้น้ำมันดีเซล 5,956,971 ลิตรต่อเดือน และน้ำมันเตา 13,073,683 ลิตรต่อเดือน
5.5 มาตรการปรับเปลี่ยนพลังงาน สรุปความก้าวหน้าได้ดังนี้
1) ภาคการผลิตไฟฟ้า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีจนถึงปัจจุบัน ว่า โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 1 ได้จ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์แล้วเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ส่วนโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรีเครื่องที่ 2 อยู่ระหว่างการทดสอบเครื่องทางด้านเทคนิค คาดว่าจะจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ประมาณเดือนกันยายน 2543 สำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรีชุดที่ 1-3 ที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันก๊าซคาดว่าจะจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ ประมาณปลายปี 2543 และส่วนที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากังหันไอน้ำจะสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าเชิง พาณิชย์ได้ครบทุกชุดประมาณไตรมาสที่สองของปี 2545 นอกจากนี้ ได้มีการพิจารณาหาข้อยุติการลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง กฟผ. และ ปตท. เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าราชบุรี ซึ่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กฟผ. ปตท. และ สพช. ในบางประเด็น คือ วันบังคับใช้สัญญา ปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ และข้อกำหนดเรื่องคุณภาพของก๊าซฯ ซึ่งคาดว่าผลการพิจารณาร่วมกันจะมีข้อยุติและสามารถจัดทำสัญญาดังกล่าวได้ ภายในเดือนกรกฎาคม 2543
2) ภาคคมนาคมขนส่ง ปตท. อยู่ระหว่างการทดสอบสมรรถนะและตรวจวัดมวลไอเสียของเครื่องยนต์ที่ได้ปรับ ปรุงเป็นรถใช้ก๊าซธรรมชาติตามโครงการก่อนการขยายตลาดยานยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ (NGV Pre-marketing Project)คาดว่าจะประเมินผลโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2543 โดย ปตท. จะนำผลการทดสอบโครงการดังกล่าวและข้อคิดเห็นของ ขสมก. และ กทม. มาประกอบการจัดทำ ข้อเสนอแผนงานโครงการเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงาน เพื่อปรับปรุงรถของ ขสมก. และกทม. ให้ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงได้ ตลอดจนสร้างสถานีบริการก๊าซฯ ของ ปตท. นอกจากนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แจ้งผลการพิจารณารายการอากรนำเข้าเครื่องจักร เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ไม่มีการผลิตในประเทศว่าได้มีการปรับลดลงเหลือร้อย ละ 3 แล้วตามประกาศกระทรวงการคลังที่ ศก. 13/2542 อย่างไรก็ตามยังมีอุปกรณ์บางรายการในประเภทพิกัดย่อยไม่อยู่ในระบบฮาร์โมไน ซ์ 1996 ซึ่ง ปตท. จะประสานงานกับกรมศุลกากรในการกำหนดพิกัดภาษีให้ถูกต้อง เพื่อส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นอากรนำเข้าต่อไป
3) ภาคอุตสาหกรรม ปตท. ได้จัดจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Ring Gas Pipeline Project) รวมทั้งจัดทำการออกแบบเบื้องต้นทางด้านวิศวกรรมและการประเมินผลสิ่งแวดล้อม เบื้องต้น (Initial Environment Evaluation) แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายน 2543 และจะเสนอขออนุมัติการดำเนินโครงการต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ภายในเดือนตุลาคม 2543
4) การเร่งรัดสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการเตรียมการออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนยื่นขอ สัมปทานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศสำหรับแปลงสำรวจจำนวน 87 แปลง ประกอบด้วย แปลงบนบก 75 แปลง ในอ่าวไทย 8 แปลง และทะเลอันดามัน 4 แปลง รวมพื้นที่ 460,000 ตารางกิโลเมตร คาดว่าจะประกาศได้ในเดือนกรกฎาคม 2543 นอกจากนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเปิดให้มีการยื่นขออาชญาบัตรพิเศษในการสำรวจและพัฒนาถ่านหินในพื้นที่ ประกาศตามมาตรา 6 ทวิ ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 คาดว่าจะดำเนินการประกาศให้ยื่นขออาชญาบัตรพิเศษได้ภายในปี 2543 นี้
5.6 การทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลัก ปตท. ได้ทบทวนแผนแม่บทการลงทุนขยายโครงข่ายท่อก๊าซธรรมชาติหลักของ ปตท. แล้วเสร็จ และได้บรรจุไว้ในแผนวิสาหกิจ ปตท. ประจำปี 2544-2548 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ เพื่ออนุมัติงบลงทุนประจำปี 2544 ต่อไป
5.7 การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐ ปตท. ได้ดำเนินการจัดหาน้ำมันดิบเพิ่มจากอิรักอีกประเทศหนึ่งเป็นจำนวน 5.5 พันบาร์เรลต่อวัน ทำให้การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มขึ้นจาก 124.3 พันบาร์เรลต่อวัน เป็น 129.8 พันบาร์เรลต่อวัน ซึ่งการจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐในปี 2543 เพิ่มขึ้น 24 พันบาร์เรลต่อวัน จากปี 2542 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22
6. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประเมินผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และรายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
6.1 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจส่วนรวม โดยเปรียบเทียบกรณีสูงซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปี 2543 อยู่ที่ระดับ 29 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 40 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ กับกรณีฐานซึ่งราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยตลอดปีอยู่ที่ระดับ 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ณ อัตราแลกเปลี่ยน 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ พบว่า กรณีสูงจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการ ขยายตัวร้อยละ 5 ลดลงเหลือร้อยละ 4.69 หรือลดลงร้อยละ 0.31 อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อร้อยละ 2 เพิ่มเป็นร้อยละ 2.25 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.25 และการบริโภคของภาคเอกชนจะลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการบริโภคร้อยละ 5 ลดลงเหลือร้อยละ 4.79 หรือลดลง ร้อยละ 0.21 ส่วนปริมาณการส่งออกลดลงจากกรณีฐานซึ่งมีอัตราการส่งออกร้อยละ 11 ลดลงเหลือร้อยละ 10.96 หรือลดลง 0.04 โดยสรุปแล้วราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังไม่ทำให้ระดับราคาสินค้าปรับตัวสูง ขึ้นมากจนทำให้ความต้องการสินค้าและภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่พึ่งพาการนำ เข้าน้ำมัน รวมทั้งการส่งออกอ่อนไหวต่อการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเท่าใดนัก นอกจากนี้แรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อยังไม่น่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม ควรเร่งรัดให้มีการปรับโครงสร้างการใช้น้ำมันใน เชิงพาณิชย์ให้สอดคล้องและสนับสนุนการประหยัดพลังงานให้เห็นผลในทางปฏิบัติ
6.2 กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้วิเคราะห์โครงสร้างต้นทุนของสินค้าในการกำกับดูแลของกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 73 รายการ เมื่อเปรียบเทียบราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลเมื่อเดือนมิถุนายน 2542 เฉลี่ยลิตรละ 8.30 บาท กับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในปัจจุบันเฉลี่ยลิตรละ 12.99 บาท พบว่าสินค้าที่ได้รับผลกระทบโดยตรงร้อยละ 56.51 มีจำนวน 53 รายการ โดยมีผลกระทบอยู่ระหว่างร้อยละ 0.03 - 7.72 โดยแบ่งผลกระทบออกเป็น 3 กลุ่มสินค้า คือ สินค้าที่ได้รับผลกระทบในอัตราต่ำกว่าร้อยละ 1 ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าส่วนใหญ่มีจำนวน 40 รายการ สินค้าที่ได้รับผลกระทบในอัตราร้อยละ 1 - 3 มีจำนวน 10 รายการ และสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากกว่าร้อยละ 3 มีจำนวน 3 รายการ คือ กระเบื้องคอนกรีตมุงหลังคา ตะปู และปูนซีเมนต์ สำหรับสินค้าที่ได้รับอนุมัติให้ปรับราคาเนื่องจากผลกระทบจากราคาน้ำมันมี เพียงชนิดเดียวคือ ปูนซีเมนต์ โดยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายทางการเงินด้วย
6.3 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ให้ความช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันให้แก่ชาวประมง โดยใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการ ช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จำนวน 420 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2539 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบันนี้ได้ใช้จ่ายเงินจำนวนนี้หมดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือโดยจะให้องค์การสะพาน ปลาเรียกประชุมสมาคมประมงก่อนนำไปหารือใน คชก. ต่อไป สำหรับภาคเกษตรได้รับผลกระทบในเรื่องราคาค่าขนส่งและปัจจัยการผลิต อย่างไรก็ตาม ต้องมีการประมวลผลกระทบอีกครั้ง แต่ผลกระทบที่ชัดเจนในปัจจุบันก็คือผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม โดยเฉพาะในภาคอีสาน สำหรับพื้นที่เพาะปลูกคาดว่าเกษตรกรก็จะต้องช่วยเหลือ ตัวเองและต้องใช้น้ำมันมากขึ้น
6.4 กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการประเมินผลกระทบต่อต้นทุนสินค้าจากการที่ราคา น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น พบว่ามีผลเช่นเดียวกับที่กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานไปแล้ว โดยสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ ปูนซีเมนต์ นอกจากนั้นได้รับผลกระทบไม่มากนัก
6.5 กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างการศึกษาอัตราค่าขนส่งที่เหมาะสม และสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งหากกระทรวงคมนาคมเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะต้องปรับอัตราค่าขนส่งก็ สามารถออกประกาศได้เอง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรมาทำเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2539 อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้กลุ่มพัฒนาพลังงานจาก ไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในวงเงิน 1,853,540 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยการนำวัสดุ เหลือใช้จากการเกษตร หรืออุตสาหกรรมการเกษตรต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในรูปของพลังงานทดแทนฟืนและถ่าน โดยเฉพาะสำหรับประชาชนในชนบท เนื่องจากประเทศไทยมีสิ่งสูญเสียและสิ่งเหลือใช้จากโรงงาน อุตสาหกรรมเกษตร เช่น แกลบ ขี้เลื่อย ซังข้าวโพด กะลามะพร้าวสับ เปลือกมะพร้าว ใบไม้ ชานอ้อย เน่าเปื่อย ซึ่งถูกปล่อยทิ้งให้เป็นปุ๋ยหรือรอการเผาทำลายอยู่เป็นปริมาณมาก และประชาชนในชนบทยังนิยมใช้ฟืนและถ่านในการหุงต้ม โดยมิได้มีการปลูกทดแทนให้เพียงพอ
2. กรมป่าไม้ได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อนำวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรืออุตสาหกรรมการเกษตร เช่น ชานอ้อยเน่าเปื่อย วัชพืช หรือใบไม้ มาอัดเป็นแท่งเชื้อเพลิงเขียวด้วยเทคโนโลยีแบบง่ายๆ คือกระบวนการ อัดเย็นจากเครื่องอัดแท่งแบบสกรูที่ทำจากสแตนเลสและขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 2 แรงม้า เมื่อนำไป ตากแดดให้แห้งจะได้แท่งเชื้อเพลิงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร ที่สามารถใช้แทนฟืนและถ่านได้เป็นอย่างดี ซึ่งกรมป่าไม้ได้ทดลองเผยแพร่ความรู้และสาธิตการใช้แท่งเชื้อเพลิงเขียว รวมทั้ง อบรมวิธีการผลิตโดยการสนับสนุนเครื่องมือการผลิตแท่งเชื้อเพลิงเขียวให้ ประชาชนในหมู่บ้านสามารถผลิตเองได้ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ราษฎรมีงานทำและมีรายได้ร่วมกันในหมู่บ้าน รวมถึงเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้เป็นพลังงาน ทดแทนการใช้ฟืนและถ่าน ซึ่งจะช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่ามาทำเป็นฟืนและเผาถ่าน และช่วยสร้างจิตสำนึกและปลูกฝังให้ประชาชนร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ใน บริเวณรอบๆ ไว้ให้ชนรุ่นหลัง
3. โครงการนี้ได้ให้การสนับสนุนราษฎรในชนบทไม่ต่ำกว่า 1,000 ครัวเรือน ได้รู้จักและนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ด้วยการแปรรูปอัดเป็น แท่งเชื้อเพลิงเขียวที่เป็นเชื้อเพลิงที่มีราคาถูกแทนการใช้ฟืนและถ่านในการ หุงต้ม ซึ่งจะสามารถลดการใช้ฟืนได้ปีละไม่น้อยกว่า 300.6 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6.4 ล้านบาท และลดถ่านไม้ปีละไม่น้อยกว่า 151.56 ตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4.7 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และกรมป่าไม้กำลังประเมินผลการใช้งานของเครื่องอัดแท่งเชื้อเพลิงเขียว ที่ได้นำไปสาธิตใช้งานในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี รวมทั้ง ได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลความต้องการใช้ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการขยายผล ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโครงการห้วยเฮาะจากกรณี Change in Law Claim
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ร่วมกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการห้วยเฮาะ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2540 โดยมีเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าไฟฟ้าเป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ จำนวน 50% และเงินบาทจำนวน 50% ใช้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ณ ราคา 25.82 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ตลอดอายุสัญญาของโครงการ 30 ปี ต่อมารัฐบาลไทยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นระบบลอยตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 จึงเป็นสาเหตุให้กลุ่มผู้ลงทุนฯ อ้างว่า การประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตรา แลกเปลี่ยนเป็น Thai Change in Law ตามเงื่อนไขในสัญญาฯ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีการชดเชยรายได้โดยการปรับสูตรค่าไฟฟ้าในส่วนที่ กฟผ. จ่ายเป็นเงินบาท
2. คณะทำงาน กฟผ. ได้นำประเด็นข้อเรียกร้องของโครงการห้วยเฮาะเข้าเรียนปรึกษาเลขาธิการคณะ กรรมการกฤษฎีกา (นายชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์) และได้รับคำแนะนำว่า ตามข้อกำหนดเรื่อง Change in Law Claim ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า กลุ่มผู้ลงทุนฯ มีสิทธิได้รับการชดเชยรายได้ส่วนที่สูญเสียไป กฟผ. จึงควรใช้ การเจรจาประนีประนอมมากกว่าการเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ (Arbitration)
3. คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) และคณะทำงาน กฟผ. ได้เจรจากับกลุ่มผู้ลงทุนฯ จนได้ข้อยุติในเรื่องหลักการและเงื่อนไขการปรับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะต้องจ่าย ให้แก่กลุ่มผู้ลงทุนฯ เฉพาะในส่วนของเงินบาทที่อิงกับเงินเหรียญสหรัฐ (Baht Indexation) จากระดับ 89% ลงมาเหลือ 62.5% ซึ่งทั้งสองฝ่ายพอใจและเห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสม
4. ในการประชุมคณะกรรมการ กฟผ. เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติให้ กฟผ. ดำเนินการปรับอัตราค่าไฟฟ้าของโครงการห้วยเฮาะตามหลักการและเงื่อนไขที่ คปฟ-ล. และ กฟผ. ได้เจรจา ตกลงไว้กับกลุ่มผู้ลงทุนฯ และอนุมัติให้ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยลงนามในเอกสารเรื่อง การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับกลุ่มผู้ลงทุนฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า (ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับ)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2536 ได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับสำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อมาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้จัดตั้งคณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า และตั้งคณะทำงานย่อยอีกหลายคณะ เพื่อดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับดังกล่าว
2. ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 ได้กำหนดเป้าหมายจำนวนไฟฟ้าดับและ ระยะเวลาไฟฟ้าดับในเขต กฟน. และ กฟภ. โดยกำหนดจำนวนไฟฟ้าดับต่อผู้ใช้ไฟฟ้าหนึ่งรายในรอบปี ในเขต กฟน. เป็น 5.42 ครั้ง และ 3.72 ครั้ง ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ ส่วนในเขต กฟภ. เป็น 19.10 ครั้ง และ 17.50 ครั้ง ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ และกำหนดระยะเวลาไฟฟ้าดับต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งรายในรอบปี ในเขต กฟน. เป็น 132.93 นาที และ 99.65 นาที ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ ส่วนในเขต กฟภ. เป็น 1,719.00 นาที และ 1,050.00 นาที ในปี 2539 และปี 2544 ตามลำดับ
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ประสานงานกับคณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า เพื่อรายงานผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ 2542 สามารถสรุป ผลการดำเนินงานได้ดังนี้
3.1 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับในเขต กฟน. ในปีงบประมาณ 2542 ผู้ใช้ไฟฟ้าในเขต กฟน. ประสบปัญหาจำนวนไฟฟ้าดับถาวรเฉลี่ย 3 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 6.4 คิดเป็นระยะเวลาไฟฟ้าดับประมาณ 72 นาทีต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 27.0 ส่วนเขตอุตสาหกรรมจำนวนไฟฟ้าดับลดลงในอัตราที่สูงมากถึงร้อยละ 41.0 แต่หากพิจารณาเป็นรายเขตพบว่า เขตบางใหญ่ มีนบุรี และบางพลี จำนวนไฟฟ้าดับยังมีมาก ปัญหาไฟฟ้าดับส่วนใหญ่มีสาเหตุจากอุปกรณ์ชำรุด คน/สัตว์/รถยนต์และต้นไม้ ส่วนสาเหตุอื่นๆ ส่วนใหญ่ได้แก่ ไฟไหม้โดยไม่ทราบสาเหตุ การดับไฟฉุกเฉิน การใช้ไฟเกิน และการรับไฟจากสายป้อน สายส่ง และสถานีอื่น เขตที่มีปัญหาไฟฟ้าดับมาก ได้แก่ เขตบางใหญ่ มีนบุรี บางพลี บางกะปิ และบางเขน เขตดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเขตของบ้านอยู่อาศัย ส่วนเขตคลองเตยที่มีปัญหาไฟฟ้าดับเพิ่มขึ้น สาเหตุมาจากสายส่งของตัวสถานีในเขตคลองเตยขัดข้อง
3.2 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับในเขต กฟภ. ในช่วงปีงบประมาณ 2542 ผู้ใช้ไฟฟ้าเขต กฟภ. ประสบปัญหาจำนวนไฟฟ้าดับถาวรเฉลี่ย 17 ครั้งต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย คิดเป็นระยะเวลาไฟฟ้าดับประมาณ 1,298 นาทีต่อผู้ใช้ไฟหนึ่งราย ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 8.6 และ 16.3 ตามลำดับ ปัญหาไฟฟ้าดับ ในเขตเมืองและธุรกิจ และเขตชานเมืองดีขึ้นตามลำดับ ส่วนเขตอุตสาหกรรมมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจาก กฟภ. กำลังเร่งปรับปรุงระบบจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นสามารถแข่งขันคุณภาพ ไฟฟ้ากับผู้ผลิตไฟฟ้า รายเล็ก (SPP) ได้ จึงมีการขอดับไฟเพื่อปฏิบัติงานมากขึ้น สาเหตุใหญ่ของปัญหาไฟฟ้าดับถาวรในเขต กฟภ. เป็นเพราะระบบของ กฟภ. ขัดข้อง คิดเป็นร้อยละ 70 ของสาเหตุไฟฟ้าดับถาวรทั้งหมด ซึ่งมีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ชำรุด คน/สัตว์/รถยนต์ และต้นไม้ เขตที่มีปัญหาไฟฟ้าดับมากยังคงเป็นเขตทางภาคใต้ โดยเฉพาะ กฟต.2 (นครศรีธรรมราช) อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาความรุนแรงของปัญหาไฟฟ้าดับโดยเฉลี่ยพบว่าปัญหา ไฟฟ้าดับลดน้อยลงจากปีที่แล้วคิดเป็นร้อยละ 15.0 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะภาคเหนือ
3.3 ปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับจากระบบ กฟผ. ในช่วงปีงบประมาณ 2542 กฟผ. มีเหตุการณ์ไฟฟ้าดับ 201 ครั้ง และมีระยะเวลาที่พลังไฟฟ้าสูงสุดหยุดจ่าย (System-Minutes) ประมาณ 18.69 นาที ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 3.31 สาเหตุของไฟฟ้าดับส่วนใหญ่เกิดจากสายส่งและสถานีไฟฟ้าแรงสูง โดยกว่าครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเกิดจากคน/สัตว์/อุปกรณ์ขัดข้อง และการซ่อมบำรุง-ปรับปรุงระบบ
4. จากสถิติไฟฟ้าดับของการไฟฟ้า สพช. มีความเห็นว่า ปัญหาไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นในปัจจุบันสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ตามแผนฯ 8 แสดงว่าปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับ ได้ แต่ในความรู้สึกของผู้ใช้ไฟฟ้าหลายรายเห็นว่าปัญหาไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับยังมีอยู่ โดยมีข้อ ร้องเรียนมา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับจะต้องเชื่อถือได้และสามารถตรวจสอบได้ สพช. จึงได้ ว่าจ้างสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาวิธีการเก็บข้อมูล วิธีการคำนวณ และการวิเคราะห์ที่มาของข้อมูลไฟฟ้าตกไฟฟ้าดับตามรายงานของการไฟฟ้าข้างต้น คาดว่าจะสามารถสรุปการศึกษานี้ได้ภายในปีงบประมาณ 2544 และเพื่อให้การจัดทำดัชนีความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้ามีความน่าเชื่อถือยิ่ง ขึ้น จึงควรเสนอให้มีผู้แทน สพช. และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมในคณะทำงานประเมินระดับความเชื่อถือได้ของระบบ ไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันมีเฉพาะผู้แทนของ 3 การไฟฟ้าเป็นคณะทำงานฯ เท่านั้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและเห็นชอบให้มีผู้แทน สพช. และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมในคณะทำงานประเมินความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า ภายใต้คณะกรรมการปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า
เรื่องที่ 5 การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 4 สาขา รวมทั้ง สาขาพลังงาน โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการศึกษาในรายละเอียด เพื่อเป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว สพช. ได้ดำเนินการว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" โดยบริษัทที่ปรึกษาได้จัดทำรายงานการศึกษาฉบับสุดท้าย (Final Report) เสร็จสมบูรณ์ ต่อมาคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าได้พิจารณาแนวทาง การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า และได้มีมติเห็นชอบในหลักการของผลการศึกษาดังกล่าวแล้ว
2. สพช. ได้นำผลการศึกษาเรื่อง "การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า" ของกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา และข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เสนอรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้คณะกรรมการการ ไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พิจารณาให้ความเห็นก่อนนำเสนอ กพช. ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 และ 22 มิถุนายน 2543 มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาด กลางซื้อขายไฟฟ้า โดยมีข้อสังเกตและความเห็นเพิ่มเติม
3. ข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า สามารถสรุปได้ดังนี้
3.1 โครงสร้างกิจการไฟฟ้าและหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ ในกิจการไฟฟ้า (Market Structure) ประกอบด้วย
(1) ภายใต้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคต การแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่การผลิตไฟฟ้า โดยผู้ผลิตไฟฟ้าหรือบริษัทผลิตไฟฟ้า (Generation Companies : GenCos) จะแข่งขันเสนอราคาขายและปริมาณ ไฟฟ้าที่ตนจะผลิตเข้าสู่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) โดยมีศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (Independent System Operator : ISO) เป็นหน่วยงานในตลาดกลางที่คัดเลือกโรงไฟฟ้าที่เสนอราคาต่ำที่สุดให้เดิน เครื่องก่อนตามลำดับ จนกระทั่งได้ปริมาณไฟฟ้าตามความต้องการในแต่ละช่วงเวลา
(2) จะมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) ประกอบด้วย 3 หน่วยงานหลัก คือ ศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) เป็นผู้สั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าและควบคุมระบบไฟฟ้าโดยรวม ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (Market Operator : MO) ดำเนินการร่วมกับ ISO ทำหน้าที่ในส่วนของการตลาดที่จะกำหนดราคาค่าไฟฟ้าในตลาดกลาง (Spot Price) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (Settlement Administrator : SA) ดูแลทางด้านการเงินและบัญชี และการชำระเงินค่าซื้อขายไฟฟ้า
(3) ในส่วนของการจัดหาไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟส่วนใหญ่จะซื้อไฟฟ้าจากบริษัทระบบสายจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้า (Regulated Electricity Delivery Company : REDCo) ซึ่งเป็นกิจการที่ถูกกำกับดูแลโดยรัฐ (ในปัจจุบัน REDCos ก็คือ การไฟฟ้านครหลวง. และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค)
(4) ผู้ใช้ไฟยังมีทางเลือกที่จะใช้บริการไฟฟ้าจากบริษัทค้าปลีกไฟฟ้า (Retail Company: RetailCo) ที่ต้องการเข้ามาแข่งขัน โดยอาจจะให้บริการเสริมต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการจำหน่ายไฟฟ้าหรือทำสัญญากับผู้ใช้ไฟฟ้าในการประกันค่าไฟฟ้า (Hedging)
(5) ผู้ค้าไฟฟ้า หรือ Trader เป็นหน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ กฟผ. ทำไว้กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ได้แก่ IPP, SPP และโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะดำเนินการขาย ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าเสมือนว่าสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเหล่านั้นเป็น โรงไฟฟ้าโรงหนึ่ง
3.2 การจัดการกับข้อผูกพันในระบบไฟฟ้าในปัจจุบัน มีดังนี้
(1) ต้นทุนติดค้าง (Stranded Cost) : ได้กำหนดให้มีการเรียกเก็บค่าการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบการแข่งขัน (Competition Transition Charge : CTC) จากผู้ใช้ไฟฟ้าทุกราย
(2) สัญญาควบคุม (Vesting Contract) และสัญญาการจ่ายส่วนต่าง (Contract for Differences : CfD) : สัญญาควบคุม (Vesting Contract) เป็นสัญญาที่จะช่วยควบคุมความเสี่ยงในด้านราคาระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้ากับคู่ สัญญา ซึ่งสัญญาควบคุมจะอยู่ในรูปแบบของสัญญาการจ่ายส่วนต่าง (Contract for Differences : CfD) เมื่อใดก็ตามที่ราคาไฟฟ้าในตลาดกลางสูงกว่าราคาตามสัญญา บริษัทผลิตไฟฟ้าจะต้องจ่ายเงินนี้คืนแก่คู่สัญญา ในขณะเดียวกันถ้าราคาตลาดกลางต่ำกว่าราคาตามสัญญา บริษัทผลิตไฟฟ้าจะได้รับเงินส่วนต่างนั้นคืนจากคู่สัญญา
(3) หน่วยงานจัดการหนี้สิน (DebtCo) : เป็นองค์กรที่จะจัดการหนี้สินที่ติดค้างมาจาก กิจการไฟฟ้าเดิม โดยคณะที่ปรึกษาเสนอให้หน่วยงานจัดการหนี้สินนี้เป็นส่วนหนึ่งของ กฟผ. เนื่องจากผู้ที่รับภาระหนี้สินติดค้างในขณะนี้อยู่แล้วก็คือ กฟผ.
3.3 โครงสร้างค่าไฟฟ้าที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายจะประกอบด้วย 1) ค่าไฟฟ้าในตลาดกลาง (Spot Price) 2) ค่าสายส่งและสายจำหน่าย (Wire Charges) 3) ค่าบริการในการจัดหาไฟฟ้า (Gray Area Services) และ 4) ค่าการเปลี่ยนเข้าสู่ระบบที่มีการแข่งขัน (CTC) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแล
3.4 การจัดกลุ่มโรงไฟฟ้าที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กฟผ. คณะที่ปรึกษามีข้อเสนอว่า โรงไฟฟ้าที่มีอยู่เดิมของ กฟผ. ควรแยกออกเป็น 4 กลุ่ม คือ บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี (กำลังผลิต 3,645 เมกะวัตต์) บริษัทผลิตไฟฟ้า 1 (Power Gen 1) (กำลังผลิต 5,999 เมกะวัตต์) บริษัทผลิตไฟฟ้า 2 (Power Gen 2) (กำลังผลิต 4,600 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (กำลังผลิต 3,384 เมกะวัตต์)
3.5 การปรับโครงสร้าง กฟผ. เพื่อเตรียมการเข้าสู่โครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่มีการแข่งขัน โดย กฟผ. จะต้องมีการปรับโครงสร้างภายในเพื่อดำเนินการเข้าสู่โครงสร้างกิจการไฟฟ้า ที่มีการแข่งขัน มีการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี แปรสภาพบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และบริษัทผลิตไฟฟ้า 2 ให้เป็นบริษัทในเครือ มีการแยกกิจกรรมต่าง ๆ ออกเป็นหน่วยธุรกิจ ได้แก่ กิจการระบบสายส่งไฟฟ้า (GridCo) กิจการไฟฟ้าพลังน้ำ หน่วยงานด้านบริหาร พลังงาน (Energy Management Agency) หน่วยงานในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (MO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA)
3.6 การปรับโครงสร้างองค์กรของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะมี การปรับโครงสร้างองค์กรโดยจะมีการแบ่งแยกบัญชีระหว่างหน่วยงานด้านสาย จำหน่าย (Distribution) และหน่วยงานด้านการจัดหาไฟฟ้า (Supply) รวมทั้งแยกหน่วยงานที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกเป็นหน่วยธุรกิจ ส่วนการ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะมีการปรับโครงสร้างองค์กรโดยหน่วยงานด้านสายจำหน่าย ณ ระดับแรงดัน 22 กิโลโวลต์ขึ้นไป จะปรับโครงสร้างออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจ ในขณะที่ธุรกิจสายจำหน่ายแรงดันต่ำกว่า 22 กิโลโวลต์ และธุรกิจด้านการจัดหาไฟฟ้าจะปรับโครงสร้างออกเป็นบริษัทระบบสายจำหน่ายและ จัดหาไฟฟ้า 12 แห่ง
3.7 การอนุรักษ์พลังงาน (Energy Conservation) ให้จัดตั้งหน่วยงานด้านบริหารพลังงาน (Energy Management Company) โดยรวมสำนักงานการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSMO) ของ กฟผ. กับสำนักงานวิจัยและพัฒนาของ กฟผ. เพื่อเป็นหน่วยงานปฏิบัติการหลักในการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยในช่วงแรกเป็นหน่วยงานภายใน กฟผ. แต่ต่อไปให้หน่วยงานนี้แยกออกเป็นอิสระจาก กฟผ. และให้จัดสรร งบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงาน
4. แผนการดำเนินงาน (Implementation Action Plan) และการกำกับดูแล มีดังนี้
4.1 คณะที่ปรึกษาได้นำเสนอแผนการดำเนินงานในส่วนของ สพช. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. ในช่วงปี 2543 - 2546 เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีระบบ โดยมีการแบ่งแยกบทบาทและหน้าที่การดำเนินงานอย่างชัดเจน
4.2 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าโดยรวม สพช. จะเป็นผู้ออก ค่าใช้จ่าย กิจกรรมใดที่เกี่ยวข้องกับการไฟฟ้าใดเป็นหลัก การไฟฟ้านั้นควรเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จากการประมาณการค่าใช้จ่ายเบื้องต้น กิจกรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สพช. มีค่าใช้จ่ายประมาณ 400 ล้านบาท โดย สพช. จะทำการขออนุมัติงบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
4.3 การกำกับดูแลการดำเนินงานปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคตนั้น เห็นควรให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า คงบทบาทและหน้าที่ในการพิจารณาให้ความ เห็นชอบ พร้อมทั้งกำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ทั้งนี้ หากมีประเด็นที่หาข้อยุติไม่ได้ ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
5. คณะกรรมการ กฟผ. มีข้อสังเกตเพิ่มเติม ให้ กฟผ. ปรับโครงสร้างธุรกิจระบบส่งไฟฟ้าโดยการจัดตั้งเป็นบริษัทควบคุมระบบและสาย ส่งไฟฟ้า (TransCo) ซึ่งมีศูนย์ควบคุมระบบ (SO) และศูนย์บริหารการชำระเงิน (SA) รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้ กฟผ. พร้อมที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างของธุรกิจผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ให้เป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า และลดสัดส่วนการถือหุ้นของ กฟผ. ลงให้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 50 ภายในปี 2547
6. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ผู้เชี่ยวชาญอิสระจากธนาคารโลก ชมรมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และ สพช. เห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมการ กฟผ. แต่ทั้งนี้ในส่วนของการจัดตั้ง TransCo มีความเห็นเพิ่มเติม ดังนี้
6.1 ในระยะยาว ควรแยกศูนย์ควบคุมระบบออกมาจัดตั้งเป็นศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) และแยกการผลิตไฟฟ้าออกจากการส่งไฟฟ้าโดยสิ้นเชิง
6.2 ในระยะปานกลาง อาจยอมให้กิจการผลิตไฟฟ้า ส่งไฟฟ้า และศูนย์ควบคุมระบบไฟฟ้า มีความสัมพันธ์ทางด้านการถือหุ้นได้บ้าง โดย
(1) หาก กฟผ. ยังคงถือหุ้นในบริษัทผลิตไฟฟ้า ศูนย์ควบคุมระบบควรแยกออกมาเป็นอิสระ (ISO)
(2) หาก กฟผ. สามารถแยกกิจการผลิตไฟฟ้าออกจากระบบสายส่งไฟฟ้า (GridCo) ได้อย่างสิ้นเชิงก่อนการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าปี 2546 ศูนย์ควบคุมระบบอาจรวมอยู่กับระบบสายส่งไฟฟ้า เป็นบริษัทควบคุมระบบและสายส่งไฟฟ้า (TransCo) ได้
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบข้อเสนอการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อ ขายไฟฟ้า โดยให้นำข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า คณะผู้เชี่ยวชาญอิสระจากธนาคารโลก คณะกรรมการ กฟผ. ชมรมผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และความเห็นของ สพช. ไปใช้ประกอบการพิจารณาในการดำเนินการตามแผนต่อไป ทั้งนี้ ให้ สพช. เร่งรัดการยกร่างกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยนำผลการพิจารณาของที่ประชุมประกอบในการยกร่างกฎหมายให้มีความชัดเจนใน ประเด็นของการกำหนดให้ศูนย์ควบคุมระบบต้องเป็นศูนย์ควบคุมระบบอิสระในที่สุด และการลงทุนในระบบสายส่งต้องไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน
2.มอบหมายให้ สพช. กฟผ. กฟน. กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย เพื่อให้การปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า บังเกิดผลเป็นรูปธรรม
3.มอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าเป็นผู้ กำกับดูแล การดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์การปรับโครงสร้าง กิจการไฟฟ้าและสอดคล้องกับแผนการดำเนินงาน หากมีประเด็นที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้นำเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงาน เพื่อตัดสินชี้ขาด
เรื่องที่ 6 แผนระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ได้มีมติเห็นชอบแผนระดมทุนจาก ภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เสนอ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับเรื่องการจัดสรรหุ้นพนักงาน และเรื่องการจัดสรรกำไรที่ได้จากการขายหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีไป พิจารณาดำเนินการ นอกจากนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้ แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรี (คณะกรรมการดำเนินการฯ) ซึ่งมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นประธาน ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักนายกรัฐมนตรี บริษัทราชบุรีโฮลดิ้ง และมีผู้แทนจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิต แห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการประเมินราคาทรัพย์สินที่ กฟผ. จะขายให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด และกำกับดูแลการ จัดทำสัญญาทุกฉบับที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามแผนระดมทุนฯ
2. คณะกรรมการดำเนินการฯ ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย และได้นำมติ คณะกรรมการดำเนินการฯ เสนอต่อคณะกรรมการ กฟผ. ในการประชุมเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2543 ซึ่งคณะกรรมการ กฟผ. ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการดำเนินการฯ ให้ กฟผ. นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอนุมัติในประเด็นต่างๆ ดังนี้
2.1 การกำหนดราคาทรัพย์สินของโรงไฟฟ้าราชบุรี
2.2 การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. จะรับซื้อจากโรงไฟฟ้าราชบุรี
2.3 ร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี และร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.4 การให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.5 การให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
2.6 การให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีความเห็นเพิ่มเติมว่าการดำเนินการขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปภายใต้ สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน การตอบสนองของประชาชนทั่วไปและนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์อาจมีค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงควรเร่งรัดให้มีการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้าราชบุรีให้ ประชาชนทั่วไปทราบ เพราะการดำเนินการประชา สัมพันธ์ที่ดีจะทำให้การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ประสบความสำเร็จได้ โดยเห็นควรมอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรง ไฟฟ้าราชบุรีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบราคาทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีที่ กฟผ. จะขายและโอนให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 56,772.950 ล้านบาท ตามที่กำหนดในสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับ โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี โดยแบ่งเป็น
- (1) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อน หน่วยที่ 1-2 ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกัน ที่ดินทั้งหมด (รวมที่ดินสาธารณะที่เพิกถอนสภาพแล้ว) ครุภัณฑ์ ฯลฯ เป็นเงินจำนวน 30,472.492 ล้านบาท
- (2) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ชุดที่ 1-2 ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันระหว่างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ครุภัณฑ์ ฯลฯ เป็นเงินจำนวน 18,715.965 ล้านบาท
- (3) ราคาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ชุดที่ 3 เป็นเงินจำนวน 7,584.494 ล้านบาท
2.เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ดังนี้
- (1) อัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี ซึ่งคำนวณแบบ Levelized Price ตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 1.832 บาทต่อหน่วย
- (2) อัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ซึ่งคำนวณแบบ Levelized Price ตลอดอายุสัญญา เท่ากับ 1.459 บาทต่อหน่วย
- ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี ดังกล่าวข้างต้นกำหนดตามสมมติฐานในแบบจำลองทางการเงิน (Financial Model) ที่จัดทำขึ้น เพื่อใช้ในการคำนวณอัตราค่าไฟฟ้า โดยมีอัตราผลตอบแทนผู้ลงทุนเท่ากับ 19% ภายหลังหากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้บรรลุข้อตกลงกับ สถาบันการเงินซึ่งให้ผลประโยชน์สูงสุด และได้มีการทดสอบสมรรถนะโรงไฟฟ้า (Performance Test) แล้ว ก็ให้ กฟผ. กับบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าใหม่เพื่อให้อัตราผล ตอบแทนผู้ลงทุนเท่าเดิม (19%) โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่กำหนดใหม่จะต้องไม่สูงกว่าอัตราที่คณะรัฐมนตรีได้ อนุมัติ ในหลักการไว้เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2542 ซึ่งกำหนดให้อัตราค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าราชบุรี จะต้องไม่สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
3.เห็นชอบร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ราชบุรี และโรงไฟฟ้า พลังความร้อนร่วมราชบุรี จำนวน 2 ฉบับ ร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี จำนวน 2 ฉบับ และร่างสัญญาปฏิบัติการและบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าราชบุรี จำนวน 1 ฉบับ ทั้งนี้ให้ กฟผ. สามารถลงนามสัญญาดังกล่าวได้เมื่อผ่านการตรวจของสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว
4.ให้ กฟผ. ขายและโอนทรัพย์สินของโครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินสำหรับโรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
5.ให้ กฟผ. ซื้อไฟฟ้าจากบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ได้ตามร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตจาก โรงไฟฟ้าพลังความร้อนราชบุรี และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
6.ให้บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด สามารถลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบการก่อหนี้ของประเทศ พ.ศ. 2528 ทั้งนี้การเบิกถอนเงินกู้ให้ดำเนินการได้เมื่อบริษัทผลิต ไฟฟ้าราชบุรี จำกัด ไม่มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ
7.มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในโครงการโรงไฟฟ้า ราชบุรีรับไปดำเนินการเร่งรัดให้มีการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้า ราชบุรีให้ประชาชนทราบ และกำกับดูแลการประชาสัมพันธ์การขายหุ้นโรงไฟฟ้าราชบุรีให้กับประชาชนทั่วไป รวมทั้ง ดำเนินการขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็น ไปตามกำหนดในเดือนตุลาคม 2543
เรื่องที่ 7 ร่างบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2
สรุปสาระสำคัญ
1. ภายใต้บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) เรื่อง ความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว ซึ่งได้ลงนามแล้วระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) ในปริมาณ 3,000 เมกะวัตต์ ในปัจจุบันมีโครงการใน สปป. ลาว ที่ได้จำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แล้ว จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน-หินบุน และโครงการห้วยเฮาะ สำหรับโครงการลำดับต่อไปที่ สปป. ลาว ได้มีการเจรจาซื้อขายไฟฟ้ากับฝ่ายไทยแล้ว ได้แก่ โครงการน้ำเทิน 2 ซึ่งมีวันกำหนดจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date : COD) เข้าระบบ กฟผ. ในเดือนธันวาคม 2549
2. คณะกรรมการประสานความร่วมมือพัฒนาไฟฟ้าใน สปป. ลาว (คปฟ-ล.) และ กฟผ. ได้ดำเนินการเจรจาอัตราค่าไฟฟ้าและรายละเอียดของร่างบันทึกความเข้าใจการรับ ซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ในด้านกฎหมาย พาณิชย์ และเทคนิค กับ คณะกรรมการพลังงานแห่งชาติลาว (Lao National Committee for Energy : LNCE) และกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 จนสามารถได้ข้อยุติและในการเดินทางเยือน สปป. ลาว อย่างเป็นทางการของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และคณะในระหว่างวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2543 กฟผ. และกลุ่มผู้ลงทุนฯ จึงได้ มีการร่วมลงนามใน Covering Letter ของบันทึกความเข้าใจเรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ฉบับที่ได้ มีการลงนามชื่อย่อเพื่อผูกพันเบื้องต้น (Initial) ณ กรุงเวียงจันทน์ สปป. ลาว
3. ต่อมา คปฟ-ล. และคณะกรรมการ กฟผ. ได้ให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2543 และวันที่ 29 มิถุนายน 2543 ตามลำดับ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว มีอายุ 18 เดือนนับจากวันลงนาม และได้กำหนดเป้าหมายการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement : PPA) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2543 ทั้งนี้ โครงการน้ำเทิน 2 มีอายุสัญญา 25 ปี แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วง 13 ปีแรก กฟผ. จะรับประกันราคาค่าไฟฟ้าและเงื่อนไขการรับซื้อ และช่วง 12 ปีหลัง กฟผ. จะเป็นผู้เลือกว่าจะยังคงใช้เงื่อนไขการซื้อขายไฟฟ้าเดิมในช่วงที่สองของ อายุสัญญาหรือเลือกที่จะให้กลุ่มผู้ลงทุนขายไฟฟ้าจากโครงการผ่านระบบ Power Pool โครงการนี้มีกำลังการผลิตไฟฟ้า ณ จุดส่งมอบ เท่ากับ 920.4 เมกะวัตต์ มีจำนวนพลังงานไฟฟ้าส่วนที่ประกันการรับซื้อเฉลี่ยเท่ากับ 5,354 ล้านหน่วยต่อปี และมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยคงที่ตลอดอายุสัญญา (Levelized Price) เท่ากับ 4.219 เซนต์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบกับร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 ฉบับที่ได้มีการลงนาม ชื่อย่อเพื่อผูกพันเบื้องต้น (Initial)
2.อนุมัติให้ กฟผ. นำร่างบันทึกความเข้าใจฯ ที่ได้รับความเห็นชอบแล้วในข้อ 1 ไปลงนามร่วมกับกลุ่มผู้ลงทุนโครงการน้ำเทิน 2 ต่อไป
เรื่องที่ 8 การกำหนดมาตรฐานประสิทธิภาพการใช้พลังงานขั้นต่ำของอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
ประธานฯ ขอให้นำระเบียบวาระดังกล่าวไปพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นชอบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2543 มอบหมายให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิง (ศปนม.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อ เพลิง และการหลีกเลี่ยงภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงทางบกและทางทะเล รวมทั้งให้ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิง (ศปนม). จัดทำโครงข่ายการประสานการปฏิบัติงานของ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ร่วมกับหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อ เพลิงเพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ต่อไป
2. ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.) ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาการจัดทำโครงข่ายการประสานงานการปฏิบัติงานในการ ป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรวม 2 ครั้ง ซึ่งผลประชุมสัมมนาดังกล่าวได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งคณะกรรมการประสานงาน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (คปปป.) ประกอบ ด้วยผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อทำหน้าที่พิจารณาเสนอความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและแผนงานใน การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม รวมทั้งติดตาม กำกับดูแล และประสานงานให้หน่วยงานต่างๆ ปฏิบัติภารกิจตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย รวมทั้งประเมินผลงานของหน่วยงานต่างๆ ด้วย และให้มีศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (ศปปป.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการฯ ดังกล่าว
3. ดังนั้น ศปนม. จึงได้จัดทำโครงข่ายการประสานการปฏิบัติงานของ ศปนม. ร่วมกับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง โดยได้จัดทำร่างคำสั่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ที่ .../2543 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม เพื่อนำเสนอขอความเห็นชอบ ให้มีการตั้งคณะกรรมการฯ ตามร่างคำสั่งดังกล่าว
มติของที่ประชุม
ให้มีการตั้งคณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม (คปปป.) โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็น กรรมการ และให้มีศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (ศปปป.) เพื่อทำหน้าที่ฝ่าย เลขานุการฯ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคณะทำงาน
เรื่องที่ 10 ปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
ประธานฯ ขอให้นำระเบียบวาระดังกล่าว ไปพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติครั้งต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นชอบ
เรื่องที่ 11 แนวทางการแก้ไขปัญหาภาระจากการจัดหาก๊าซธรรมชาติที่มากกว่าความต้องการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรี และโครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อย ล่าช้าไปกว่ากำหนดการแล้วเสร็จ ทำให้ไม่สามารถรับก๊าซฯ จากสหภาพพม่าในปี 2541-2543 ได้ครบจำนวนตามสัญญาฯ และมีภาระผูกพันต้องจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้าไปก่อน (Take or Pay) โดยสามารถเรียกรับก๊าซฯ ตามปริมาณที่ชำระไปแล้วคืนได้ในอนาคต (Make up) โดยไม่ต้องจ่ายเงินอีก
2. ภาระ Take or Pay ที่เกิดขึ้นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหา Take or Pay ต่อสัญญา ทั้งหมดด้วยโดยการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จะต้องจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้าตามสัญญาไปก่อน เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 25,067 ล้านบาท โดยมีภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ณ มูลค่าปัจจุบันที่ร้อยละ 8 จำนวน 6,475 ล้านบาท หรือที่ร้อยละ 6 จำนวน 4,391 ล้านบาท
3. ในช่วงระหว่างวันที่ 24 เมษายน 2543 ถึงวันที่ 5 กรกฎาคม 2543 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ปตท. ได้ประชุมร่วมกัน เพื่อพิจารณาแนวทางการลดขนาดของปัญหา โดยมีมาตรการต่างๆ ดังนี้
3.1 มาตรการเร่งรัดแผนการใช้ก๊าซฯ ทั้งในภาคการผลิตไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่ง รวมทั้งการปรับแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ
3.2 มาตรการการลดข้อผูกพันปริมาณการซื้อขายก๊าซฯ
4. สพช. กฟผ. และ ปตท. ได้พิจารณาประเด็นแนวทางการจัดสรรภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากปัญหาภาระ Take or Pay และกลไกการจัดการกับภาระดอกเบี้ยสรุปได้ ดังนี้
ช่วงที่ 1: ระหว่างปี 2541-2543 ภาระ Take or Pay เป็นผลอันเนื่องมาจาก
ก) โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าราชบุรีล่าช้าไปกว่ากำหนดแล้วเสร็จ
ข) โครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซฯ ราชบุรี-วังน้อยช้าไปกว่ากำหนดการแล้วเสร็จ
ค) ภาวะทางเศรษฐกิจที่มีความต้องการใช้ก๊าซฯ และการใช้ไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ ลดลงต่ำกว่าประมาณการที่ได้พยากรณ์ไว้ ซึ่งเป็นประมาณการที่ ปตท. ใช้เป็ ข้อสมมติฐาน ในการจัดทำสัญญากับผู้ผลิต
ช่วงที่ 2: ระหว่างปี 2544 เป็นต้นไป ภาระ Take or Pay เป็นผลอันเนื่องมาจากภาวะทางเศรษฐกิจที่มีความต้องการใช้ก๊าซฯ โดยรวมของประเทศลดลงต่ำกว่าประมาณการจัดหาที่ ปตท. ได้ทำสัญญากับผู้ผลิตไว้แล้ว
5. ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากภาระ Take or Pay สามารถแบ่งภาระความรับผิดชอบตามสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ดังนี้
5.1 ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในส่วนของ ปตท. ในสัดส่วนร้อยละ 11.4 และ กฟผ. ในสัดส่วนร้อยละ 12.8 จะต้องอยู่ในความรับผิดชอบของ ปตท. และ กฟผ. ตามลำดับ โดยจะต้องไม่ถูกจัดสรรด้วยการส่งผ่าน เข้าไปในราคาค่าก๊าซฯ หรือราคาค่าไฟฟ้าซึ่งจะเป็นภาระกับผู้บริโภค
5.2 ภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในส่วนของรัฐบาลในสัดส่วนร้อยละ 27.8 และเศรษฐกิจในสัดส่วน ร้อยละ 48 รวมทั้งสิ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 75.8 สามารถถูกจัดสรรด้วยการส่งผ่านเข้าไปในราคาก๊าซฯ จะมีผล ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 0.35 สตางค์ต่อหน่วย (กรณีฐาน) หรือลดลงในกรณีที่มีมาตรการเร่งรัดการใช้ก๊าซฯ และในกรณีที่มีมาตรการเร่งรัดการใช้ก๊าซฯ พร้อมกับมาตรการลดข้อผูกพันด้วยปริมาณก๊าซฯ ในช่วงระหว่างปี 2544-2554
6. ภาระ Take or Pay ที่เกิดขึ้นแล้วระหว่าง ปตท. กับผู้ผลิต เป็นการจ่ายเงินค่าก๊าซฯ ล่วงหน้า ตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน โดย ปตท. สามารถเรียกรับก๊าซฯ ตามปริมาณที่ชำระไปแล้วคืนได้ ในอนาคต (Make up) ซึ่งภาระ Take or Pay ในปี 2541 และปี 2542 มีดังนี้
6.1 ปี 2541 (ปีปฏิทิน) ค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้ามีมูลค่าเทียบเท่า 50.47 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,898 ล้านบาท) ปตท. ได้ชำระให้ทางผู้ผลิตไปแล้ว เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2542
6.2 ปี 2542 (ปีปฏิทิน) ค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้ามีมูลค่าเทียบเท่า 282.71 ล้านเหรียญสหรัฐ (10,744 ล้านบาท) ปัจจุบัน ปตท. ยังไม่ได้ชำระให้ทางผู้ผลิต
7. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2543 เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา สพช. ปตท. และ กฟผ. ได้เข้าพบ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) เพื่อหาข้อสรุปการอ้างเหตุสุดวิสัยซึ่งสามารถสรุปแยกออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ 1) การพิจารณาตามสัญญายังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ปตท. จะอ้างเหตุสุดวิสัยตามสัญญาได้หรือไม่ และ 2) การพิจารณาตามผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับมีความชัดเจนว่าถ้า ไม่อ้างเหตุสุดวิสัย และยอมจ่ายเงินตามสัญญาโดยมีการเจรจาประนีประนอม เพื่อลดภาระ Take or Pay ลง ปตท. รวมทั้งประเทศจะได้รับประโยชน์มากกว่า ทั้งประโยชน์โดยตรงจากการลดภาระ Take or Pay และ ผลประโยชน์ทางอ้อมในด้านต่างๆ ที่ยังไม่สามารถประเมินได้ เช่น ความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุน โดยเฉพาะการประมงระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่า ชื่อเสียงและภาพพจน์ของประเทศ รวมทั้งชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของ ปตท. ในการดำเนินธุรกิจในอนาคต
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการลดขนาดของปัญหาภาระ Take or Pay และแนวทางการจัดสรรภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากปัญหาภาระ Take or Pay โดยมอบหมายให้ สพช. ปตท. และ กฟผ. รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2.เห็นชอบให้ ปตท. ใช้วิธีไม่อ้างเหตุสุดวิสัย แต่ให้มีการเจรจาประนีประนอมเพื่อบรรเทาปัญหาภาระ Take or Pay และมอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการชำระค่าก๊าซฯ ที่ต้องจ่ายล่วงหน้าสำหรับปี 2542 ให้กับ ผู้ผลิตต่อไป
3.รับทราบผลการดำเนินการจัดทำสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. และ กฟผ. (โรงไฟฟ้าราชบุรี) โดยเร่งรัดให้ ปตท. และ กฟผ. ลงนามในสัญญาดังกล่าวโดยด่วนต่อไป
เรื่องที่ 12 รายงานการศึกษาโครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิง
นายอลงกรณ์ พลบุตร ในฐานะประธานกรรมการโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังและพืชอื่นๆ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบสรุปได้ดังนี้
1. โครงการผลิตเอธานอลเป็นพลังงานเชื้อเพลิงเป็นการดำเนินงานของกระทรวงวิทยา ศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการผลิตแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลังและพืชอื่นๆ (โครงการเอธานอล) เมื่อเดือนมกราคม 2543 โครงการนี้เป็นโครงการที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2533 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะนำเอธานอล หรือแอลกอฮอล์มาทดแทนการใช้น้ำมันของประเทศ ซึ่งมีการพึ่งพาน้ำมันจากต่างประเทศถึงร้อยละ 90
2. การรายงานต่อที่ประชุมในครั้งนี้เป็นการรายงานในเบื้องต้น ซึ่งผลการศึกษาอย่างสมบูรณ์คาดว่ากระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาได้ประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ศกนี้ สำหรับการศึกษาจะครอบคลุม 3 ประเด็น คือ
2.1 การใช้แอลกอฮอล์ผสมกับเบนซินและดีเซลในอัตราที่เหมาะสมจะสามารถใช้ได้ดีหรือ ไม่ ซึ่งผลการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศพบว่าสามารถใช้ได้ดี
2.2 การผลิตแอลกอฮอล์ในเกรดเอธานอลโดยใช้เทคโนโลยีภายในประเทศสามารถทำได้หรือ ไม่ ซึ่งผลการศึกษาพบว่าสามารถทำได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
2.3 ต้นทุนและวัตถุดิบของไทยขณะนี้มีการส่งออกเอธานอลไปยังญี่ปุ่นในราคาเฉลี่ย 10 ปี ลิตรละ 9 บาท ซึ่งตรงกับราคา F.O.B ของบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก วัตถุดิบของไทยมีอยู่มากจนล้นตลาด ได้แก่ มันสำปะหลัง อ้อย ข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าว จึงทำให้ราคาพืชผลทางการเกษตรของไทยตกต่ำ โครงการนี้จึงเป็นพลังงานทางเลือกใหม่ที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนการนำเข้า และยังเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรด้วย
3. หากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบโครงการนี้ก็จะสามารถดำเนินการได้ทันทีจากจำนวน โรงงานที่มี อยู่แล้วอย่างน้อย 22 โรง ซึ่งภายใน 6 เดือนจะสามารถเพิ่มหอกลั่นเพื่อปรับแอลกอฮอล์จากเกรด 95 เป็น 99 ขึ้นไป ขณะเดียวกันโรงงานน้ำตาลก็พร้อมที่จะขยายหอกลั่นแอลกอฮอล์ส่วนนี้ด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และหากมีการดำเนินการในอนาคตขอให้มีการประสานกับคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติด้วย