Super User
กพช. ครั้งที่ 90 - วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2545 (ครั้งที่ 90)
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2545 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
1.1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
1.2 สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
4.การผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรม
5.การทบทวนการคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
7.สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้ากัมพูชา
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่อง สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 1-1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือนกรกฎาคม - ต้นเดือนกันยายน 2545 ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงไตรมาสที่ 2 ประมาณ 1.5 - 2.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 และความวิตกกังวลว่าจะเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก รวมทั้ง ความไม่ชัดเจนว่ากลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิตหรือไม่ โดยซาอุดิอาระเบียมีความเห็นว่า ควรเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีก 800,000 - 900,000 บาร์เรล/วัน แต่คูเวต เวเนซุเอล่า และอิหร่าน ไม่ต้องการให้เพิ่มปริมาณการผลิต ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบและ เบรนท์ ณ วันที่ 11 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 27.0 และ 28.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในช่วงเดือนกรกฎาคม - ต้นเดือนกันยายน ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบทุกผลิตภัณฑ์ โดยน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 เล็กน้อย น้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการสำรองไว้ใช้ในฤดูหนาว น้ำมันเตาได้ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศจีน ราคาน้ำมัน ออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 11 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 30.4, 29.1, 33.8, 30.8 และ 27.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย ช่วงเดือนกรกฎาคม - ต้นเดือนกันยายน โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 ได้ปรับตัวลดลงจากช่วงไตรมาสที่ 2 รวม 33 สตางค์/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 21 สตางค์/ลิตร ทั้งนี้ เป็นการปรับตัวตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 15.69, 14.69 และ 13.69 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.21 บาท/ลิตร และค่าการกลั่นได้ปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 0.57 บาท/ลิตร (2.2 เหรียสหรัฐต่อบาร์เรล)
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 - 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้ที่จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งภาวะอุปทานที่ถูกจำกัดจากโควต้าการผลิตของโอเปคที่อยู่ในระดับต่ำ โดยภาวะสงครามที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักเป็นปัจจัยเสริมที่ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 27 - 28 และ 29 - 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ ระดับ 29 - 31 และ 31 - 33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ราคาขายปลีกของไทยน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วจะ เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 16 - 17, 15 - 16 และ 14 - 15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาอิรักว่า หากเกิดสงครามขึ้นในอ่าวเปอร์เซีย ผลกระทบจะเกิดได้ใน 2 กรณี คือ สงครามจำกัดเขตเฉพาะกับอิรัก จะทำให้ น้ำมันดิบในตลาดโลกหายไปประมาณ 2.2 - 2.3 ล้านบาร์เรล และถ้าสงครามขยายตัวครอบคลุมพื้นที่ ตะวันออกกลาง จะทำให้น้ำมันดิบหายไปจากตลาดโลกประมาณ 19 ล้านบาร์เรล/วัน ความเป็นไปได้มากที่สุดคือกรณีแรก ส่วนผลกระทบต่อประเทศไทย คาดว่าจะเป็นผลกระทบด้านราคาเป็นส่วนใหญ่ โดยราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้น 35 - 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยปรับตัวสูงขึ้น 3 - 4 บาท/ลิตร โดยเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเวียนเร็วอยู่ที่ระดับ 19 และ 17 บาท/ลิตร ตามลำดับ
6. ภาครัฐได้มีมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อ รองรับสถานการณ์ หากเกิดสงครามขึ้นในอ่าวเปอร์เซียไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1) การจัดหาน้ำมันดิบ รัฐบาลจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ในประเทศให้มากขึ้น ควบคุมการนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบอย่างรัดกุม เจรจากับมิตรประเทศเพื่อขอซื้อน้ำมันในลักษณะการค้าต่างตอบแทน และนำน้ำมันสำรองตามกฎหมายมาใช้
2) มาตรการด้านราคา จะให้ราคาน้ำมันในประเทศเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยรัฐจะกำกับดูแลการกำหนดราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้ บริโภค และนำระบบการควบคุมราคามาใช้ หากมีการขาดแคลนอย่างรุนแรง
3) การเปลี่ยนแปลงไปใช้เชื้อเพลิงอื่นที่ผลิตในประเทศ โดยส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้ในประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนและลดการนำเข้า รวมทั้งส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงทดแทน เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล เป็นต้น
4) มาตรการประหยัดพลังงานและการจัดการด้านการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นของการประหยัดน้ำมันและการบริหารปริมาณน้ำมันให้เพียงพอกับความต้องการใช้
5) มาตรการป้องกันการกักตุน การควบคุมการจำหน่าย และการปันส่วนน้ำมัน สำหรับกรณีสถานการณ์รุนแรง เป็นการจัดสรรน้ำมันการใช้น้ำมันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 1-2 สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนกันยายน 2545 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 258 เหรียญสหรัฐ/ตัน และราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ที่ 10.25 บาท/กิโลกรัม โดยอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ 2.98 บาท/กิโลกรัม ส่วนกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมัน ชนิดอื่น 878 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ สุทธิ 372 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มของราคาก๊าซ LPG ช่วงไตรมาสที่ 4 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 260-300 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้อัตราเงินชดเชยอยู่ในระดับ 3.07 -5.62 บาท/กก. หรือ 520-947 ล้านบาท/เดือน
2. กรมบัญชีกลาง ได้รายงานยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2545 อยู่ในระดับ 5,170 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2545 รวม 10,872 ล้านบาท ฐานะกองทุน น้ำมันฯ สุทธิติดลบ 5,702 ล้านบาท และกรมสรรพสามิต ได้รายงานการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ของเดือนสิงหาคม 2545 เป็นจำนวนเงิน 730 ล้านบาท ยอดหนี้ตามข้อตกลง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2545 เท่ากับ 9,855 ล้านบาท
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานถึงมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบผู้ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว จากราคาก๊าซฯ ที่จะสูงขึ้นภายหลังการยกเลิกควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ดังนี้
1) กลุ่มอุตสาหกรรม ส่งเสริมให้เปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในแนวระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ วงแหวนรอบ กทม. (Bangkok Gas Ring) ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2550 ให้ เปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาต่ำกว่าก๊าซ LPG รวมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพเตาเผาหรือเตาอบของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง เพื่อให้เกิดการประหยัด ลดปริมาณการใช้ โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2) กลุ่มรถแท็กซี่ ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท็กซี่ (NGV) โดยติดตั้งอุปกรณ์สำหรับใช้ก๊าซ NGV จำนวน 1,000 คัน ภายใน 5 ปี ซึ่ง สพช. ร่วมกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) จะจัดหาโครงการเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้ง ส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งสถานีบริการจำหน่ายก๊าซ NGV โดย สพช. จะใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนค่าใช้จ่ายบาง ส่วนแก่ ปตท. และภาคเอกชนอื่นในการจัดตั้งสถานีจำหน่ายก๊าซฯ ให้ทั่วถึงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รับทราบมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบผู้ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มรถแท็กซี่ ดังต่อไปนี้
2.1 มาตรการส่งเสริมให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในพื้นที่แนวระบบท่อส่งก๊าซ ธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Gas Ring) ให้เปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาต่ำกว่าก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.2 มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพเตาเผาหรือเตาอบของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง เพื่อให้เกิดการประหยัด ลดปริมาณการใช้ โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อ ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2.3 มาตรกาส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท็กซี่ (NGV) โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการและวิธีการส่งเสริมให้ เกิดการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท็กซี่ รวมถึง มาตรการและแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งสถานีบริการจำหน่าย NGV ให้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และภาคเอกชนอื่นๆ เช่น ร่วมกับสถาบันการเงินจัดทำโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและชำระคืนเงินต้นระยะ ยาว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ให้แก่ผู้ประกอบการแท็กซี่ เป็นต้น ทั้งนี้ การให้การสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะต้องสอดคล้องกับระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เรื่องที่ 2 การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เห็นชอบในหลักการให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรง งานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ต่อไป
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ขอให้ สพช. ดำเนินการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ตามมติคณะรัฐมนตรี
3. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ น้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่ากับ 0.27 บาท/ลิตร โดยให้มีผลบังคับใช้พร้อมกับประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง อัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซ ฮอล์
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เสนอให้กำหนดอัตราเงินส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยใช้หลักการเดียวกับภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คือให้ยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วน ของเอทานอล 10% โดยอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊ส โซฮอล์ จะเท่ากับ 0.036 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้เท่ากับ 0.036 บาท/ลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 55) ให้นำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการของหน่วย งานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) ให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและ มาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนสำนัก งานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)
3. ในงบประมาณปี 2545 คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 830.9 ล้านบาท เป็นงบผูกพันจากปี 2544 จำนวน 552.2 ล้านบาท และงบอนุมัติใหม่ 278.7 ล้านบาท หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณได้รายงานผลการใช้เงินในปี 2545 ให้ทราบ ซึ่งทุกหน่วยงานมีภาระหนี้ผูกพันในการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันในปีงบประมาณ 2545 เป็นจำนวนเงินรวม 579,639,450.94 บาท ซึ่งประกอบด้วย
3.1 กรมศุลกากร จำนวนเงิน 38,580,002.16 บาท (สามสิบแปดล้านห้าแสนแปดหมื่นสองบาทสิบหกสตางค์) สำหรับแผนป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้านำมันเชื้อเพลิงทางทะเล
- หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ เป็นเงิน 27,338,502.16 บาท
- หมวดครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เป็นเงิน 11,241,500 บาท
3.2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนเงิน 29,843,550 บาท (ยี่สิบเก้าล้านแปดแสนสี่หมื่น สามพันห้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน)
- หมวดครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง
1) โครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นเงิน 21,963,000 บาท
2) โครงการป้องกันและปราบปรามการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงทางทะเลโดยฉ้อฉลภาษี ของรัฐ เป็นเงิน 7,880,550 บาท
3.3 กรมสรรพสามิต จำนวนเงิน 489,442,349.78 บาท (สี่ร้อยแปดสิบเก้าล้านสี่แสนสี่หมื่น สองพันสามร้อยสี่สิบเก้าบาทเจ็ดสิบแปดสตางค์)
- หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ จำนวนเงิน 20,428,323 บาท
1) โครงการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ส่งออก และเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลที่นำไปจำหน่ายให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร (Tanker) เป็นเงิน 19,260,000 บาท
2) โครงการการติดตั้งระบบควบคุมรายรับ - จ่าย ณ คลังน้ำมันชายฝั่งพร้อม เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูล เป็นเงิน 369,000 บาท
3) โครงการปรับปรุงพัฒนาระบบมาตรวัดพร้อมอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพ เป็นเงิน 799,323 บาท
- หมวดครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จำนวนเงิน 469,014,026.78 บาท
1) โครงการการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ส่งออก และการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลที่นำไปจำหน่ายให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร (TANKER) เป็นเงิน 39,395,773.12 บาท
2) โครงการการติดตั้งระบบควบคุมรายรับ - จ่าย ณ คลังน้ำมันชายฝั่งพร้อม เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูล เป็นเงิน 427,077,003.66 บาท
3) โครงการจัดซื้อวัสดุวิทยาศาสตร์ เพื่อจัดซื้อเครื่องหาความหนืดของน้ำมัน เป็นเงิน 2,541,250 บาท
3.4 กรมทะเบียนการค้า (หรือกรมธุรกิจพลังงานในการปรับโครงสร้างปี 2546) จำนวนเงิน 1,860,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนหกหมื่นบาทถ้วน)
- หมวดครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ ในการประเมินผลในการปฏิบัติงาน เพื่อจัดซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเงิน 1,860,000 บาท
3.5 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จำนวนเงิน 19,913,549 บาท (สิบเก้าล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยสี่สิบเก้าบาทถ้วน)
- หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ โครงการประชาสัมพันธ์ เป็นเงิน 14,975,499 บาท
- หมวดค่าใช้จ่ายอื่นโครงการจัดจ้างที่ปรึกษาพัฒนาระบบการป้องกันและปราบปราม การปลอมปนของสารละลายไฮโดรคาร์บอน (Solvent) เป็นเงิน 4,938,050 บาท
โดยค่าใช้จ่ายของกรมศุลกากรและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นค่าซ่อมแซมเรือ ตรวจการณ์ กรมสรรพสามิตเป็นค่าใช้จ่ายโครงการติดตั้งมิเตอร์ โครงการเติมสาร Marker เป็นหลัก กรมทะเบียนการค้าเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และ สพช. เป็นค่าใช้จ่ายในการทำประชาสัมพันธ์และ จัดจ้างที่ปรึกษา
4. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 39) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 ได้พิจารณา เรื่อง การขอทบทวนการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันในการป้องกันและปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม มีความเห็นดังนี้
4.1 การดำเนินการในโครงการที่ก่อหนี้ผูกพันเป็นโครงการใหญ่จำเป็นที่จะต้องเตรี ยมการอย่างรัดกุม จึงทำให้ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างล่าช้า นอกจากนี้ การดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ยังต้องใช้เวลานาน จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2545 โดยปกติในการดำเนินการทุกปีจะมีหนี้ผูกพัน และจะนำไปตั้งของบประมาณของปีถัดไปเพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการใช้จ่ายเงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินสามารถเบิกจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณได้ หากมีหนี้ผูกพันค้างระหว่างปีงบประมาณ
4.2 แม้จะเป็นการดำเนินการตามปกติ แต่เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 การนำงบผูกพันไปตั้งเป็นงบประมาณปี 2546 ตามระเบียบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แม้จะไม่ได้เป็นการอนุมัติงบใหม่เพิ่มเติม แต่อาจจะเป็นการขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี
5. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน จึงเสนอให้มีการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ครอบคลุมการใช้จ่ายในส่วนของ หนี้ผูกพัน โดยนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อขอ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าการให้ยุติการนำเงินจาก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไปนั้น มิให้หมายความรวมถึง การสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนของหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2545 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถเบิกจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณ 2546 ได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นการจัดสรรงบประมาณใหม่แต่อย่างใด
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ในประเด็นการให้ยุติการนำเงิน จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปี งบประมาณ 2546 เป็นต้นไปนั้น ให้ยกเว้นการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของหนี้ ผูกพันที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2545 ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเบิกจ่ายหนี้ผูกพันเหลื่อมปี งบประมาณ 2546 ได้
เรื่องที่ 4 การผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 เรื่อง การผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ สำหรับ ผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรม โดย (1) เห็นชอบให้ปรับปรุงลักษณะการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ โดยให้คำนวณจากความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน) คำนวณเฉพาะค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเดือนที่ระบบมีความต้องการ ใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Month) คือ ระหว่างเดือนมีนาคม - มิถุนายน และ (2) เห็นชอบให้ผ่อนผันหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเป็นการชั่วคราว จากร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้าที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตามหลักเกณฑ์ในข้อ (1) เหลือเพียงร้อยละ 0 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้ หากต่อไปในอนาคตกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองต่ำกว่าระดับมาตรฐาน ให้พิจารณาเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 เรื่อง การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยในส่วนของการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ กำหนดให้อัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุดในแต่ละเดือนต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน) ทั้งนี้ ให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าขั้นต่ำตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 จนถึงเดือนกันยายน 2545
3. การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เนื่องจากการไฟฟ้าต้องลงทุนในด้านกำลังการผลิต ระบบสายส่ง และสายจำหน่าย เพื่อพร้อมจ่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา แม้ว่าผู้ใช้ไฟฟ้าจะใช้ไฟฟ้าเพียงระยะเวลาสั้นๆ ในเดือนใดเดือนหนึ่ง กล่าวคือ หากผู้ใช้ไฟฟ้าขอใช้ไฟฟ้าในระดับ 1,000 กิโลวัตต์ การไฟฟ้าก็จะลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า ระบบสายส่ง และระบบสายจำหน่าย เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าในระดับ 1,000 กิโลวัตต์ แม้ว่าต่อมาความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงเหลือเพียง 500 กิโลวัตต์ การไฟฟ้ายังคงพร้อมจ่ายกระแสไฟฟ้าในระดับเดิม โดยไม่สามารถลดขนาดของโรงไฟฟ้า ระบบสายส่ง และระบบสายจำหน่ายลงได้ ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ จะเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ และกิจการเฉพาะอย่างที่มีความต้องการพลังไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาที สูงสุดตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ขึ้นไป โดยคิดอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน)
4. เนื่องจากการผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำที่จะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2545 ทำให้มีผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวนหนึ่ง ได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค และชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดปัตตานี ร้องเรียนมายังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ขอให้พิจารณาขยายระยะเวลาผ่อนผันการคิดค่า ไฟฟ้าขั้นต่ำออกไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่ง คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติเห็นควรให้มีการขยายระยะเวลาการผ่อนผันการคิดค่า ไฟฟ้าขั้นต่ำออกไปอีก 1 ปี จนถึงเดือนกันยายน 2546 โดยมอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เสริมสร้างความเข้าใจต่อผู้ใช้ไฟฟ้า ถึงแนวนโยบายในการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ ตลอดจนแนวทางที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถร้องขอต่อการไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหาการคิด ค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เช่น การตัดฝาก"มิเตอร์ ในเดือนที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้า เพื่อมิให้เกิดปัญหาการร้องเรียนขอขยายระยะเวลาการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันในเดือนกันยายน 2546
5. การขยายระยะเวลาการผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ จากร้อยละ 70 เหลือร้อยละ 0 ต่อไปอีก 1 ปี จะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีลักษณะการใช้ไฟฟ้าเป็นฤดูกาล หรือผู้ใช้ไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ เช่น ศูนย์นิทรรศการและการประชุม โรงแรมที่จัดการประชุมใหญ่เป็นครั้งคราว อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง อุตสาหกรรมน้ำตาล เป็นต้น ได้ประโยชน์ ในขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะมีรายได้ลดลงประมาณ 21 ล้านบาท/เดือน หรือ 254 ล้านบาท/ปี กล่าวคือ รายได้ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะลดลงประมาณ 36 ล้านบาท/ปี และรายได้ของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะลดลงประมาณ 218 ล้านบาท/ปี
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการขยายระยะเวลาการผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำออกไปอีก 1 ปี จนถึงเดือนกันยายน 2546
2.เห็นชอบให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เสริมสร้างความเข้าใจต่อผู้ใช้ไฟฟ้า ถึงแนวนโยบายในการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ ตลอดจนแนวทางที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถร้องขอต่อการไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหาการคิด ค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เช่น การตัดฝากมิเตอร์ ในเดือนที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้า เพื่อมิให้เกิดปัญหาการร้องเรียนขอขยายระยะเวลาการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเมื่อ สิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันในเดือนกันยายน 2546
เรื่องที่ 5 การทบทวนการคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศ รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือ เศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากขึ้น รวมทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้า
2. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 108 ราย แต่มีบางรายที่ถูกปฏิเสธและขอถอนข้อเสนอ ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อ ไฟฟ้ารวม 65 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 60 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจา 5 ราย ถ้าหากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นสูงถึง 2,240 เมกะวัตต์
3. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP SPP ประเภท Firm จะต้องยื่นหลักค้ำประกันให้กับ กฟผ. ดังนี้
3.1 หลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ โดยยื่นพร้อมคำร้องการขายไฟฟ้าในวงเงินเท่ากับ 500 บาทต่อกิโลวัตต์ ตามปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย โดย กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอให้แก่ SPP ที่ ไม่ได้รับการคัดเลือกภายใน 30 วัน หลังแจ้งผลการคัดเลือก สำหรับ SPP ที่ได้รับการคัดเลือก กฟผ. จะคืน หลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอในวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
3.2 หลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ โดยยื่นในวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในวงเงิน-เท่ากับร้อยละ 5 ของมูลค่าปัจจุบันของค่าพลังไฟฟ้าที่จะได้รับทั้งหมดตามสัญญา โดยใช้อัตราส่วนลด (Discount Rate) เท่ากับอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากประจำ 12 เดือน ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ เมื่อ -SPP ได้เริ่มปฏิบัติตามสัญญาฯ ถูกต้องครบถ้วนโดยสมบูรณ์แล้ว
3.3 หลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ โดยยื่นก่อนวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาฯ ในวงเงินเท่ากับร้อยละ 10 ของค่าพลังไฟฟ้าที่ SPP จะได้รับในระยะเวลา 5 ปีแรกของสัญญาฯ โดยจะคืนหลัก ค้ำประกันดังกล่าวเมื่ออายุสัญญาสิ้นสุด หรือเมื่อการไฟฟ้าได้เรียกเงินค่าพลังไฟฟ้าครบถ้วนในกรณีที่สัญญาถูกยกเลิก ก่อนครบอายุสัญญาฯ
4. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2540 เรื่องมาตรการการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตรายเล็ก โดยให้ กฟผ. แจ้งให้ SPP ยืนยันความประสงค์จะดำเนินโครงการ หาก SPP รายใดไม่ประสงค์จะดำเนินโครงการต่อไป ให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันให้แก่ SPP ดังกล่าว โดยการเลื่อนหรือยกเลิกโครงการในช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ โดยรวม เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศลดลงอย่างมาก และมีปริมาณพลังไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) อยู่ในระดับสูง แต่เพื่อให้การยกเลิกของ SPP มีความ เป็นไปได้จึงมีการพิจารณาคืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ด้วย ทั้งนี้ กฟผ. ได้ดำเนินการตามมติดังกล่าว โดย คืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่แจ้งยกเลิกโครงการรวม 7 ราย
ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 เห็นชอบตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2543 เรื่องการคืนหลักค้ำประกันของ SPP โดยมอบหมายให้ สพช. และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการ SPP โดยครอบคลุมถึงการเลื่อนกำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และการยกเลิกโครงการของ SPP ด้วย และให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการ โดยมีโครงการ SPP ที่ยกเลิกโครงการ และ กฟผ. ได้คืนหลักค้ำประกันแล้วจำนวน 3 ราย
5. กฟผ. ได้มีหนังสือถึง สพช. แจ้งว่าการคืนหลักค้ำประกันตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด รวมทั้งสถานการณ์ในปัจจุบัน กฟผ. ยังคงเปิดรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงาน หมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง และปรากฏว่ายังคงมีผู้มีความสามารถในการลงทุนและสนใจเสนอขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ในลักษณะสัญญาประเภท Firm ซึ่งต้องมีหลักค้ำประกันต่างๆ อย่างต่อเนื่อง การให้การช่วยเหลือเรื่องการคืนหลักค้ำประกันดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมกับ สถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มทรงตัวได้แล้ว และผู้เสนอโครงการสามารถวิเคราะห์ความเหมาะสมโครงการบนพื้นฐานของสภาวะ เศรษฐกิจปัจจุบันได้อยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อให้เป็นการปฏิบัติตามระเบียบ SPP ปัจจุบัน กฟผ. จึงขอให้พิจารณาทบทวนยกเลิกการคืนหลักค้ำประกันให้กับผู้ที่ยกเลิกโครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้มีผลบังคับใช้ภายหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2545 เพื่อเปิดโอกาสให้ SPP สามารถพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการต่อไป หรือยกเลิกโครงการก่อนถึงกำหนดที่มีผลบังคับใช้ใหม่นี้
6. สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันเริ่มทรงตัว ประกอบกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 ส่งผลกระทบต่อ กฟผ. เนื่องจากโครงการที่ยื่นข้อเสนอหรือลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ถูกกำหนดไว้ ในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่งเป็นแผนที่ใช้ในการวางแผนการจัดหาไฟฟ้า และการคำนวณปริมาณกำลังการผลิตสำรองของประเทศ จึงเห็นควรยกเลิกการคืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกการคืนหลักค้ำประกันให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ที่ยกเลิกโครงการ โดยให้มีผลบังคับใช้ภายหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2545 เพื่อเปิดโอกาสให้ SPP สามารถพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการต่อไป หรือยกเลิกโครงการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบคำแถลงนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าสำหรับการจัด ตั้งตลาดซื้อขายไฟฟ้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (Policy Statement on Regional Power Trade) ตามมติ ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง GMS ครั้งที่ 9 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2543 โดยกำหนดให้จัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการซื้อขายไฟฟ้าและการสร้างเครือข่าย สายส่งระหว่างรัฐบาล 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (Inter-Governmental Agreement: IGA) เพื่อเป็นแนวทางในการจัดตั้งตลาดซื้อขายไฟฟ้า และการพัฒนาระบบเครือข่ายสายส่งเชื่อมโยงระหว่าง 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต
2. คณะทำงานด้านการเชื่อมโยงเครือข่ายสายส่งและการซื้อขายไฟฟ้า 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (EGP) ธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank) ได้ร่วมจัดทำและพิจารณาสาระสำคัญในรายละเอียดจนได้ร่าง IGA ขั้นสุดท้าย ซึ่งได้รับความเห็นชอบในการประชุม คณะทำงานด้านพลังงานของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 6 และการประชุมคณะทำงานระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 8 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อเดือนธันวาคม 2544 และการประชุมดังกล่าวมีมติให้ นำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบในการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 11 โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ที่ประเทศกัมพูชา ก่อนที่จะมีการลงนามร่างความ ตกลงฯ ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ GMS (GMS Summit) ครั้งที่ 1 ในเดือนพฤศจิกายน 2545
3. ร่างความตกลงฯ ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามคำแถลงนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าที่รัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ให้การรับรองร่วมกัน โดยจะมีการจัดตั้งองค์กรกลางให้ทำหน้าที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์-กำกับดูแลและ ประสานงานซื้อขายไฟฟ้าของกลุ่มประเทศ GMS ได้อย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งด้านการลดต้นทุนการผลิต การใช้วัตถุดิบและการจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพออย่างเต็มศักยภาพ และพิจารณาแบ่งสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม โดยมีสาระสำคัญดังนี้
3.1 จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานการซื้อขายไฟฟ้า (Regional Power Trade Coordination Committee : RTPCC) มีภารกิจสำคัญคือการจัดทำข้อตกลงปฏิบัติการทางเทคนิคและทางธุรกิจเพื่อ ดำเนินการซื้อขายไฟฟ้าในภูมิภาคให้แก่ประเทศภาคีต่างๆ (Regional Power Trade Operating Agreement: PTOA) และกำหนดขั้นตอนที่จำเป็นของการดำเนินงานซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งแนวทางการบริหารจัดการทางการเงิน
3.2 ความตกลงจะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อผ่านกระบวนการให้สัตยาบันของแต่ละประเทศ ภาคี และนับตั้งแต่วันที่ได้แลกเปลี่ยนเอกสารการให้สัตยาบันจากประเทศภาคีอย่าง น้อย ประเทศ สำหรับช่วงระยะเวลาของความตกลงนี้จะมีผลใช้บังคับอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมี การปรับปรุงใหม่หรือยกเลิกโดยประเทศภาคีเดิม ทั้งหมด และสามารถจะถอนตัวได้ภายหลัง 2 ปี นับจากวันเริ่มบังคับใช้ โดยต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนล่วงหน้า 1 ปี
3.3 ความสัมพันธ์กับข้อตกลงอื่นๆ ที่รัฐบาลประเทศ GMS กระทำขึ้นจะไม่ถูกปิดกั้น หาก ประเทศหนึ่งประเทศใดจะทำข้อตกลงซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นภาคี GMS ในขณะที่ข้อตกลงหรือสัญญาใหม่ๆ จะต้องสอดคล้องกับ PTOA
3.4 การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทให้ทำโดยสันติวิธี สามารถดำเนินการผ่านการประชุมหารือในกรณี ที่มีความเห็นแตกต่างในด้านการตีความ หรือการดำเนินงานตามความตกลงฯ นี้ หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้ส่งให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเป็นผู้ตัดสิน
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) พิจารณาแล้วเห็นควรให้การสนับสนุนร่างความตกลงฯ เนื่องจากร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ได้จัดทำขึ้นหลังจากรัฐบาลของประเทศสมาชิกใน GMS ได้ให้ความเห็นชอบใน Policy Statement ร่วมกันแล้ว และภายหลังจากที่มีการลงนามในร่างความตกลงฯ ร่วมกันแล้ว ก็จะนำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานซื้อขายไฟฟ้า (Regional Power Trade Coordination Committee: RPTCC) และการจัดทำข้อตกลงด้านเทคนิคในการซื้อขายไฟฟ้า (Regional Power Trade Operating Agreement: PTOA) เพื่อให้การจัดตั้งตลาดซื้อขายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายสายส่ง ระหว่างประเทศสมาชิกเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมต่อไป
นอกจากนี้ ร่างความตกลงฯ ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะทำงานระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของ GMS ในการประชุม The Subregional Electric Power Forum ครั้งที่ 8 ที่จัดขึ้น ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียตนาม เมื่อเดือนธันวาคม 2544 โดยร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาตรวจแก้ไขจากหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่พิจารณา กฎหมายและความตกลงระหว่างประเทศของแต่ละประเทศแล้ว ทั้งนี้ การสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้ บังเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมจะส่งผลดีทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจ การจัดหาพลังงานไฟฟ้าและการขยายความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการซื้อขายไฟฟ้าและการสร้างเครือข่ายสายส่งระหว่างรัฐบาล 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะและรับผิดชอบในการ เดินทางไปประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 11 โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ที่ประเทศกัมพูชา นำร่างความตกลงฯ ที่ได้รับความเห็นชอบแล้วนี้ไปนำเสนอในที่ประชุมดังกล่าว ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย แต่ทั้งนี้หากจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างความตกลงฯ ดังกล่าวในรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญ เห็นควรให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายสามารถพิจารณาแก้ไขได้ โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติอีก ครั้ง
3.มอบหมายให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านนโยบายพลังงาน เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ที่ได้รับความเห็นชอบในการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 11 ตามข้อ 2 เป็นผู้ไปร่วมลงนามความตกลงฯ ในฐานะ ผู้แทนรัฐบาลไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำ GMS (GMS Summit) ครั้งที่ 1 ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2545 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
เรื่องที่ 7 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้ากัมพูชา
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้มีการลงนามในบันทึกความตกลงโครงการความร่วมมือด้าน พลังงาน ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2543 ที่จะสนับสนุนให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะการ เข้าร่วมและการรับซื้อไฟฟ้าในตลาดซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งจะร่วมมือกันวางแผนและก่อสร้างระบบส่งเชื่อมโยงไทย - กัมพูชา เพื่อนำไปสู่การขายไฟฟ้ากับประเทศที่สามในอนาคต ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อประสานความร่วมมือให้เป็นไปตาม สาระสำคัญของข้อตกลงดังกล่าว โดยฝ่ายไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่าง ไทยกับกัมพูชา (Thai Power Cooperation Committee : TPCC) ซึ่งมีผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธาน ฝ่ายกัมพูชาได้แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการความร่วมมือด้านพลังงานของกัมพูชา (Cambodia Power Cooperation Committee : CPCC) ซึ่งมีนายอิฐ ปรัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงาน เป็นประธาน
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบ ในหลักการให้ราคาค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ). และ กฟผ. จำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ในแต่ละจุดเท่ากับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รวมกับค่าชดเชยรายได้ต่อหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. ทั้งนี้ ให้ กฟภ. และ กฟผ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจาและกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้าในลักษณะที่ อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศได้ภายใต้หลักการดังกล่าว
3. TPCC ได้นำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เสนอต่อฝ่ายกัมพูชาและได้รับความเห็นชอบตามที่ฝ่ายไทยเสนอ โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าร่วมกันจนได้ข้อยุติ กฟผ. จึงได้จัดทำสัญญาฯ ฉบับลงนามขึ้น โดยสัญญาฯ ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กฟผ. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 และผ่านการพิจารณาตรวจร่างจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2545
4. เนื่องจากจังหวัดเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเร่งด่วน ฝ่ายกัมพูชาจึงเร่งให้มีการลงนามสัญญาฯ โดยเร็ว กฟผ. จึงได้ลงนามสัญญาฯ กับฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2545 โดยมีเงื่อนไขว่า สัญญาฯ ฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หลังจากได้รับความเห็นชอบจาก กพช. แล้ว โดย ในช่วงนี้จะยังไม่มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันจนกว่าจะถึงกำหนดแล้วเสร็จของ ระบบส่งเชื่อมโยงไทย - กัมพูชา คือ ประมาณปี พ.ศ. 2547
5. สาระสำคัญของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ากัมพูชา สรุปได้ดังนี้
5.1 อายุสัญญา 12 ปีนับจากวันที่ กฟผ. เริ่มขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้ากัมพูชา โดยมีจุดส่งมอบ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
5.2 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเป็นแบบคิดตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Rate) โดย ค่าพลังไฟฟ้า เท่ากับ 74.14 บาท/กิโลวัตต์/เดือน ค่าพลังงานไฟฟ้า ช่วง Peak เท่ากับ 2.7595 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง และช่วง Off Peak เท่ากับ 1.3185 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับค่าบริการ เท่ากับ 228.17 บาท/เดือน และจะทำการทบทวนอัตราค่าไฟฟ้าทุกๆ 4 ปีนับจากวันที่ กฟผ. เริ่มขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้ากัมพูชา
5.3 การระงับข้อพิพาท หากมีข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น ให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งผู้แทนเพื่อพิจารณาร่วมกัน หากไม่สามารถยุติข้อพิพาทได้ภายใน 60 วันให้ใช้กระบวนการพิจารณาของอนุญาโต ตุลาการ การพิจารณาคดีดำเนินการในประเทศสิงคโปร์ ใช้ภาษาอังกฤษและกฎหมายอังกฤษบังคับ ทั้งนี้ คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการให้ถือเป็นที่สุด
5.4 การแก้ไขสัญญาฯ หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามสัญญาฯ เกิดขึ้นในประเทศคู่สัญญา ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบสามารถร้องขอให้มีการเจรจาแก้ไขเกี่ยวกับรายละเอียดและ เงื่อนไขในสัญญาฯ โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมกันพิจารณาให้ได้ข้อยุติภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับการ ร้องขอ หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ภายในช่วงเวลาที่กำหนด ให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ขั้นตอนการระงับข้อพิพาท
6. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เห็นว่า เนื่องจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับการไฟฟ้ากัมพูชา จะเป็นประโยชน์ร่วมของทั้ง 2 ประเทศ โดยกัมพูชาสามารถจัดหาไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัด ได้ในราคาที่ต่ำกว่าที่กัมพูชาจะผลิตเอง ขณะที่ไทยสามารถขายไฟฟ้าในปริมาณ 20 - 30 เมกะวัตต์ ได้ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองส่วนเกินในระยะ 5 ปีข้างหน้าได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ สัญญาดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กฟผ. และการพิจารณาตรวจร่างจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว จึงเห็นควรให้ความเห็นชอบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว เพื่อให้มีผลบังคับใช้และ กฟผ. สามารถจ่ายไฟฟ้าให้แก่ 3 จังหวัดของกัมพูชาในปี 2547 ต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้ากัมพูชา
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 12-18 ตุลาคม 2558
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 16-22 มิถุนายน 2557
กพช. ครั้งที่ 89 - วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 89)
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.ความคืบหน้าของการซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
3.การพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
4.ข้อเสนอปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลราคาน้ำมันและแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 2 ของปี 2545 ได้ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือนเมษายน เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันกลางระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ และการที่อิรักหยุดการส่งออกน้ำมันดิบเป็นเวลา 1 เดือนเพื่อประท้วงสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุน อิสราเอล อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบได้เริ่มปรับตัวอ่อนลง เป็นผลจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางได้ผ่อนคลายลง และอิรักได้กลับมาส่งออกน้ำมันดิบอีกครั้งหนึ่ง สำหรับเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลงอีกครั้ง จากการที่ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกได้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรัสเซียเพิ่มปริมาณการส่งออก และกลุ่มโอเปคผลิตเกินโควต้าถึง 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันดิบดูไบ และเบรนท์ ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2545 อยู่ที่ระดับ 24.2 และ 25.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยทุกผลิตภัณฑ์ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือนเมษายน โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ และความต้องการใช้ในภูมิภาคที่ลดลง ราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2545 อยู่ที่ระดับ 27.8, 26.8, 26.8, 27.2 และ 23.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย ช่วงไตรมาสที่ 2 ได้ปรับตัวตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยเดือนเมษายนราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลปรับตัวสูงขึ้น 2 ครั้ง จำนวน 60 สตางค์/ลิตร เดือนพฤษภาคม น้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับลง 1 ครั้ง จำนวน 30 และ 20 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ และเดือนมิถุนายน เบนซินและดีเซลได้ปรับลง 2 ครั้ง จำนวน 60 และ 50 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2545 อยู่ที่ระดับ 15.19, 14.19 และ 12.79 บาท ต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดในไตรมาสที่ 2 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 1.5 บาทต่อลิตร ค่า การกลั่นอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 0.4371 บาทต่อลิตร (1.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล)
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจของโลก ที่ฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกเพิ่มขึ้น และประเทศต่างๆ เริ่มสะสม น้ำมันไว้ใช้ในช่วงฤดูหนาว ส่วนอุปทานของน้ำมันดิบถูกจำกัดจากปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปค ซึ่งคาดว่าราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 - 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไปอยู่ที่ระดับ 26 - 27 และ 27 - 28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 28 - 30 และ 30 - 32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาขายปลีกของไทยน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 15 - 16, 14 - 15 และ 13 - 14 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก เดือนกรกฎาคม 2545 อยู่ในระดับ 221 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคา LPG ณ โรงกลั่น อยู่ในระดับ 8.58 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 1.32 บาทต่อกก. คิดเป็นเงิน 226 ล้านบาทต่อเดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจาก น้ำมันชนิดอื่น 878 ล้านบาทต่อเดือน จึงมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ สุทธิ 652 ล้านบาทต่อเดือน
6. กรมบัญชีกลาง ได้รายงานยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2545 อยู่ในระดับ 4,226 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2545 รวม 11,367 ล้านบาท แยกเป็นเงินค้างชำระของกรมสรรพสามิต 11,311 ล้านบาท และมีหนี้เงินกองทุนคืนของกรมศุลกากรอีก 56 ล้านบาท และฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 7,141 ล้านบาท
7. กรมสรรพสามิต ได้รายงานการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ของไตรมาสที่ 1 และ ที่ 2 ของปี 2545 ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวตามข้อตกลง เป็นจำนวนเงิน 1,236 และ 1,278 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้ยอดหนี้ตามข้อตกลงลดลงเหลือ 10,585 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2545
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าของการซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับแรกเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2536 เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย จำนวน 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2543 และต่อมาได้มีการร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับที่สองเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 เพื่อขยายการรับซื้อไฟฟ้าให้ได้ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 ในปัจจุบันโครงการที่จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย (กฟผ.)แล้วมีจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน - หินบุน ขนาดกำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 187 เมกะวัตต์ และโครงการห้วยเฮาะ ขนาดกำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 126 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ โครงการในลำดับถัดไปที่จะมีการส่งมอบไฟฟ้าคือ โครงการน้ำเทิน 2 ขนาดกำลังผลิต 920 เมกะวัตต์ โครงการนี้ได้มีการลงนามขั้นต้น (Initial) ในร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2545 ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาโครงการน้ำเทิน 2 ได้ประมาณเดือนกันยายน 2545 และสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. ได้ในเดือนตุลาคม 2551 สำหรับโครงการอื่นๆ ได้แก่ โครงการลิกไนต์หงสา น้ำงึม 3 และน้ำงึม 2 คปฟ-ล. จะพิจารณาการจัดลำดับความสำคัญของโครงการและวันที่เหมาะสมในการจ่ายไฟฟ้า เข้าระบบของ กฟผ. โดยจะจัดทำเป็นแผนการซื้อขายไฟฟ้าไทย-ลาว ต่อไป
2. การซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศสหภาพพม่า รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่า ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2540 โดยจะส่งเสริมและ ร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าในสหภาพพม่า เพื่อขายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2553 ปัจจุบันพม่าได้เสนอโครงการผลิตไฟฟ้าที่จะขายให้ไทยพิจารณาจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการฮัจยี กำลังการผลิตติดตั้ง 300 เมกะวัตต์ โครงการท่าซาง กำลังการผลิตติดตั้ง 3,600 เมกะวัตต์ และโครงการคานบวก กำลังการผลิตติดตั้ง 1,500 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสหภาพพม่าประสบปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าอย่างมาก จึงได้แสดงความประสงค์ที่จะขอซื้อไฟฟ้าจากไทยในปริมาณ 100 - 150 เมกะวัตต์ โดยขอให้ กฟผ. ส่งไฟฟ้าผ่านจุดเชื่อมโยงจากสถานีไฟฟ้าแรงสูงฝั่งไทย ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงฝั่งพม่าที่เมือง Bago (หงสาวดี) ซึ่งคาดว่าไทยจะสามารถส่งไฟฟ้าให้แก่ สหภาพพม่าได้ประมาณปี 2547 - 2548
3. การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาชนจีน จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2560 โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง จะเป็น โครงการแรกขนาด 1,500 เมกะวัตต์ จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 และอีก 1 โครงการในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 ปัจจุบันกลุ่มผู้ลงทุนไทย - จีนได้ลงนามความตกลงในการลงทุนก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง แล้วเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 โดยแบ่งการลงทุน ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายจีนจะมีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 30 และฝ่ายไทยร้อยละ 70 นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC แบบวงจรเดี่ยว (Single Pole) เพื่อส่งไฟฟ้าจำนวน 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ในปี 2556 และเพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อส่งไฟฟ้าอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ แบบสองวงจร (Bi Pole) ในปี 2557 โดยแนวสายส่งจากจีนมาไทยจะผ่านพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และมีสถานีจุดเปลี่ยนกระแสไฟฟ้า (Converter Station) อยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
4. การซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศกัมพูชา รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเรื่องโครงการความ ร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2543 โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะสนับสนุนให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะการซื้อขายในตลาดไฟฟ้าซึ่งจะจัดตั้งขึ้นในอนาคต ปัจจุบันคณะกรรมการโครงการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงที่จะให้ไทยขายไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัดของประเทศกัมพูชา ได้แก่ จังหวัดบันเทอมีนเจย เสียมราฐ และพระตะบอง ประมาณ 20 - 30 เมกะวัตต์ โดยได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในเดือนกรกฎาคม 2545 และคาดว่าหลังจากการก่อสร้างสายส่งแล้วเสร็จ ไทยจะสามารถขายไฟให้แก่ 3 จังหวัดของกัมพูชาได้ในปี 2547
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยได้เห็นชอบในหลักการ ดังนี้ 1) ให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพ สามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป 2) การกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่าราคาจำหน่ายน้ำมันเบนซินออก เทน 95 โดยความแตกต่างของราคาอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 บาทต่อลิตร เช่น 0.50 - 0.70 บาทต่อลิตร 3) การลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 4) การกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ขึ้นเป็นการเฉพาะ 5) การใช้กลไกด้านการตลาดที่ได้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่า น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ซึ่งจะทำให้เกิดการเลิกใช้ MTBE โดยอัตโนมัติ 6) การจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาเอทานอล 7) การส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์การใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง เพื่อรณรงค์ให้ ประชาชนได้รับความรู้ความเข้าใจและร่วมกันใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีเอทานอ ลเป็นส่วนผสม 8) การขอจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง และ 9) มาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมอื่นๆ
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ เรื่องการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยแจ้งว่าคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะ กรรมการพิจารณากลั่นกรองการอนุญาตตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อ เพลิง ในการขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงของผู้ยื่นเอกสารครบ ถ้วนแล้วจำนวน 8 ราย ดังนี้
2.1 บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป เทรดดิ้ง จำกัด โดยจะผลิตเอทานอลวันละไม่เกิน 25,000 ลิตร ใช้กากน้ำตาลประมาณ 30,000 ตันต่อปี หรือมันสำปะหลังประมาณ 48,000 ตันต่อปี เป็นวัตถุดิบ กรณี ที่กากน้ำตาลมีราคาสูงมาก
2.2 บริษัท ที.เอส.บี เทรดดิ้ง จำกัด (บริษัท ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด) มีขนาดกำลังการผลิตประมาณวันละ 150,000 ลิตร ใช้กากน้ำตาลประมาณ 191,000 ตันต่อปีเป็นวัตถุดิบ
2.3 บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แก๊สโซฮอล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 500,000 ลิตรต่อวัน ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ประมาณ 916,700 ตันต่อปี
2.4 บริษัท แสงโสม จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 100,000 ลิตรต่อวัน ใช้กากน้ำตาลเป็น วัตถุดิบตั้งต้น ประมาณ 127,050 ตันต่อปี
2.5 บริษัท ไทยง้วน เมทัล จำกัด (บริษัท ไทยง้วน เอทานอล จำกัด) ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 130,000 ลิตรต่อวัน ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ประมาณ 231,000 ตันต่อปี
2.6 บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 85,000 ลิตรต่อวัน ใช้กากน้ำตาลประมาณ 98,100 ตันต่อปี หรือมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ในกรณีกากน้ำตาลไม่เพียงพอ
2.7 บริษัท อัลฟ่า เอ็นเนอร์จี จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 212,000 ลิตรต่อวัน ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบประมาณ 354,000 ตันต่อปี
2.8 บริษัท ไทยเนชั่นแนล พาวเวอร์ จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 300,000 ลิตรต่อวัน ใช้ มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบประมาณ 231,000 ตันต่อปี และมันเส้นประมาณ 165,000 ตันต่อปี
มติของที่ประชุม
1.อนุมัติการขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงของ ผู้ประกอบการจำนวน 8 ราย ตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ดังนี้
1.1 ให้บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป เทรดดิ้ง จำกัด ทำการติดตั้งหน่วยผลิตเพิ่มเติม ในบริเวณโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ที่มีอยู่เดิมที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดอยุธยา เพื่อผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 25,000 ลิตรต่อวัน และใช้กากน้ำตาลหรือมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบตั้งต้น
1.2 ให้บริษัท ที.เอส.บี เทรดดิ้ง จำกัด (บริษัท ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด) จัดตั้งโรงงานผลิต เอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีขนาดกำลังผลิต ไม่เกิน 150,000 ลิตรต่อวัน และใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ
1.3 ให้บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แก๊สโซฮอล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ในเขตชุมชนอุตสาหกรรมนครินทร์-อินดัสเตรียลปาร์ค อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 500,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
1.4 ให้บริษัท แสงโสม จำกัด ทำการติดตั้งหน่วยผลิตเพิ่มเติมในโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ที่มี อยู่เดิมที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 100,000 ลิตรต่อวัน และใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบตั้งต้น
1.5 ให้บริษัท ไทยง้วน เมทัล จำกัด (บริษัท ไทยง้วน เอทานอล จำกัด) จัดตั้งโรงงานผลิต เอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% บริเวณจังหวัดชัยภูมิหรือขอนแก่น โดยมีขนาดกำลัง การผลิตไม่เกิน 130,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
1.6 ให้บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด จัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 85,000 ลิตรต่อวัน และใช้กากน้ำตาลหรือมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
1.7 ให้บริษัท อัลฟ่า เอ็นเนอร์จี จำกัด จัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ที่อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 212,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
1.8 ให้บริษัท ไทยเนชั่นแนล พาวเวอร์ จำกัด จัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ในนิคมอุตสาหกรรมสยาม อีสเทอร์น อินดัสเตรียลปาร์ค อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 300,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
2.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้
2.1 ในการอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง เห็นควรให้กำหนดเงื่อนไขในการกำกับดูแลและตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะระบบการจัดการน้ำเสียและกลิ่นที่ปล่อยจากโรงงานให้เป็นไปตามกฎหมาย อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
2.2 เห็นควรให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง บริเวณนิคม อุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม ชุมชนอุตสาหกรรม หรือบริเวณที่ตั้งซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนและ ชุมชน
2.3 เห็นควรกำหนดแนวทางการจัดจำหน่ายหุ้นของแต่ละโรงงานให้กับเกษตรกรตามข้อเสนอ ของผู้ประกอบการให้ชัดเจน เพื่อให้เกษตรกรมีโอกาสซื้อหุ้นได้ในราคาที่เป็นธรรม
เรื่องที่ 4 ข้อเสนอปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลราคาน้ำมันและแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2545 ได้มีมติมอบหมายให้ สพช. รับไปศึกษาความเป็นไปได้ในแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้ระบบการกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด
2. สพช. ได้จัดทำข้อเสนอแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้ระบบการกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 หลักการ การกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด เป็นมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันใน ประเทศให้เคลื่อนไหวในระดับที่คาดว่าระบบเศรษฐกิจของไทยจะสามารถรองรับได้ หากราคาน้ำมันสูงหรือต่ำกว่าระดับราคาที่กำหนดไว้จะปรับลดหรือเพิ่มอัตรา เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ระดับราคาขายปลีกอยู่ในช่วงที่กำหนด
2.2 ช่วงราคาที่เหมาะสมในทางปฏิบัติ ควรเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวเป็นปกติ ไม่ต่ำหรือสูงมากจนเกินไป โดยปล่อยให้ราคาน้ำมันในประเทศเคลื่อนไหวตามตลาดโลก คือ ระดับ 5-6 บาท/ลิตร (ระดับราคาน้ำมันไม่เกิน 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องเข้าไปแทรกแซงราคา) โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ในช่วง 11-17 บาท/ลิตร เบนซินออกเทน 91 อยู่ในช่วง 10-16 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วอยู่ในช่วง 8-14 บาท/ลิตร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ในช่วง 5-11 บาท/ลิตร
2.3 การดำเนินการ สะสมเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับจ่ายชดเชยราคาน้ำมันในช่วงที่สูงกว่าระดับราคาสูงสุด และจะต้องลดภาระกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้มีขีดความสามารถที่จะทำหน้าที่เป็น กลไกในการรักษาระดับราคาน้ำมันได้ โดยการยกเลิกการควบคุมราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวและใช้ระบบราคา "ลอยตัวเต็มที่" รวมถึงการแยกบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ที่ใช้สำหรับการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และบัญชีสำหรับการชำระหนี้เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถใช้เงินจากกองทุนได้ตามวัตถุประสงค์ และไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ที่ได้ยืนยันไว้กับเจ้าหนี้ผู้ผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.4 ข้อดี/ข้อเสีย ข้อดีของการกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด คือ เป็นการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศ เพื่อลดผลกระทบของราคาน้ำมันต่อภาคเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนธุรกิจได้โดยไม่มีความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน ส่วนข้อเสีย คือ ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง แต่เป็นการชะลอการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันทั้งขาขึ้นและขาลง ซึ่งอาจไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคโดยเฉพาะในช่วงราคาน้ำมันเริ่มลดลง และอาจทำให้เกิดการบริโภคน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนการนำเข้าของประเทศ ตลอดจนการบริโภคน้ำมันของประชาชนจะไม่ลดลง ภาระการสูญเสียเงินตราต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น รวมทั้ง จะส่งผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด
2.5 สพช. ได้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาแพง โดยการใช้นโยบายการกำหนดช่วงราคาน้ำมันสูงสุดและต่ำสุด ซึ่งมีหลักการและแนวทางการดำเนินการ ดังนี้ คือ 1) ให้ยังคงใช้ระบบราคาน้ำมันลอยตัว ในช่วงภาวะราคาน้ำมันอยู่ในระดับปกติ 2) ให้กำหนดช่วงราคาต่ำสุดและสูงสุดที่ระดับ 6 บาท/ลิตร โดยที่เบนซินออกเทน 95 ราคาต่ำสุด 11 บาท/ลิตร ราคาสูงสุด 17 บาท/ลิตร เบนซินออกเทน 91 ราคาต่ำสุด 10 บาท/ลิตร ราคาสูงสุด 16 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็ว ราคาต่ำสุด 8 บาท/ลิตร ราคาสูงสุด 14 บาท/ลิตร ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ราคาต่ำสุด 5 บาท/ลิตร ราคาสูงสุด 11 บาท/ลิตร หรือ ราคาต่ำสุด 9.25 บาท/กก. ราคาสูงสุด 20.37 บาท/กก. 3) มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณากำหนด รายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการ แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป นอกจากนั้น ให้ยกเลิกควบคุมราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้นำระบบราคาก๊าซ "ลอยตัวเต็มที่" มาใช้ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณากำหนดระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินการต่อไป ตลอดจน ให้ สพช. และกรมการค้าภายในรับไปดำเนินการเพื่อกำหนดมาตรการกำกับดูแลราคาก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการนโยบายการกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด โดยมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณารายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการแล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป
2.เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกควบคุมราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้นำระบบราคาก๊าซ "ลอยตัวเต็มที่" มาใช้ โดย
(1) มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณากำหนดระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินการต่อไป
(2) มอบหมายให้ สพช. และกรมการค้าภายใน รับไปดำเนินการเพื่อกำหนดมาตรการกำกับ ดูแลราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 5-11 ตุลาคม 2558
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 9-15 มิถุนายน 2557
กพช. ครั้งที่ 88 - วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 88)
วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2545 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.แผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554
4.การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก
5.มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
7.แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ ในไตรมาสแรกของปี 2545 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 5-6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีปัจจัยมาจากความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจ ของโลกที่เริ่มฟื้นตัว และเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ในขณะเดียวกันอุปทานได้ลดลงจากความร่วมมือกันลดปริมาณการผลิตรวม 2 ล้านบาร์เรล/วันของกลุ่มโอเปคและประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่อยู่ นอกกลุ่มโอเปค ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นมา ในช่วงเดือนเมษายน 2545 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับราคาเฉลี่ยเดือนมีนาคม 3.7 - 4.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เกิดจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 17 เมษายน 2545 อยู่ที่ระดับ 24.3 และ 26.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ส่วนราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในไตรมาสแรกของปี 2545 ได้ปรับสูงขึ้น 6 - 9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปัจจัยหลักเป็นการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ รวมทั้ง โรงกลั่นในคูเวตเกิดเพลิงไหม้ และการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในภูมิภาค ในช่วงเดือนเมษายน 2545 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นจาก เวียดนาม อินโดนีเซีย ปากีสถาน และศรีลังกา ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 17 เมษายน 2545 อยู่ที่ระดับ 29.9, 28.9, 27.2, 27.8 และ 23.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงปลายปี 2544 ประมาณ 2.2 บาทต่อลิตร โดยที่ค่าเงินบาทได้แข็งตัวขึ้นประมาณ 1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ระดับ 43.7 บาทต่อ เหรียญสหรัฐ ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ประมาณ 15 สตางค์ต่อลิตร ในช่วง ต้นเดือนเมษายน ราคาขายปลีกในประเทศยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมันในตลาด โลก โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 18 เมษายน 2545 อยู่ที่ระดับ 16.09, 15.09 และ 13.49 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดและค่าการกลั่นได้อ่อนตัวลงจากปลายปี 2544 จาก 1.5 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ระดับ 1.25 บาทต่อลิตร และจาก 0.8 บาทต่อลิตร เป็น 0.64 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก ในเดือนเมษายนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาอยู่ในระดับ 203 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 8.18 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.91 บาท/กก. หรือ 158 ล้านบาท/เดือน ฐานะกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง มียอดเงินคงเหลือหลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 3 เมษายน 2545 ในระดับ 3,628 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2545 รวม 13,002 ล้านบาท และฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 9,374 ล้านบาท
5. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้มีมติยืนยันการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ให้แก่เจ้าหนี้ก๊าซ LPG เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาทต่อไตรมาส เริ่มมีผลตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปี 2544 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายให้ชำระหนี้หมดภายใน 3 ปี ซึ่งกรมสรรพสามิตได้รายงานผลการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ของไตรมาส 4 ปี 2544 และไตรมาส 1 ปี 2545 ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ผลิตก๊าซ LPG ครบถ้วนแล้ว เป็นจำนวนเงิน 1,361 และ 1,236 ล้านบาทต่อไตรมาส ตามลำดับ
6. ส่วนมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง การดำเนินการควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะหากรัฐเข้าแทรกแซงจะทำให้กลไกของตลาดบิดเบือน และไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในภายหลังได้ โดยแนวทางที่รัฐสามารถดำเนินการได้คือ การเร่งรัดการดำเนินการภายใต้โครงการที่อยู่เดิมให้เกิดผลในทางปฏิบัติมาก ขึ้น รวมถึงการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นในการประหยัดน้ำมัน เช่น เร่งดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน และการรณรงค์ประหยัดน้ำมันและประหยัดไฟฟ้า รวมทั้ง มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การช่วยเหลือประชาชนเป็นรายสาขา
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มอบหมายให้ สพช. รับไปศึกษาความเป็นไปได้ในแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้ระบบการกำหนดราคาสูงสุดและต่ำสุด
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีประกาศลงวันที่ 3 กันยายน 2539 เรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กประเภทพลังงานนอกรูปแบบ เชื้อเพลิงกาก เศษวัสดุเหลือใช้ ขยะมูลฝอยหรือไม้ โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2545 มีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producers: SPP) ขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้า 50 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 1,962 เมกะวัตต์ ต่อมาคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้ง "โครงการส่งเสริมผู้ผลิต ไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เป็นโครงการหนึ่งในแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543 - 2547 และคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้มอบหมายให้ สพช. ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนการดำเนินงานโครงการนี้ ในวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้า ที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้อีกประมาณ 300 เมกะวัตต์
2. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้แต่งตั้ง "คณะทำงานโครงการส่งเสริม ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ขึ้น เพื่อจัดทำ "ร่างเอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" และได้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 พิจารณาและที่ประชุมได้อนุมัติให้ สพช. นำไปดำเนินการต่อไป
3. สพช. ได้ออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจลงทุนและผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานนอก รูปแบบหรือใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงิน สนับสนุนดังกล่าว โดยกองทุนฯ จะจ่ายเงินสนับสนุนให้กับผู้ที่มีข้อเสนอที่เหมาะสมและเสนอขอรับเงินสนับ สนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กไม่ เกิน 0.36 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วยวิธีคัดเลือก โดยกำหนด ยื่นซองข้อเสนอในวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ซึ่งปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นข้อเสนอไว้กับ สพช. รวมทั้งสิ้น 43 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 775 เมกะวัตต์ คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ล้านบาท
4. ผลการคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ปรากฏว่ามีโครงการที่ผ่านเกณฑ์พิจารณารวมทั้งสิ้น 37 โครงการ ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ จำนวนทั้งสิ้น 17 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 313 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินที่กองทุนฯ สนับสนุนทั้งสิ้นในวงเงินประมาณ 1,956 ล้านบาท และ กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มโครงการที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาเช่น เดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนเนื่องจากวงเงิน 2,060 ล้านบาท ได้หมดลงก่อน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 20 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายเข้าระบบ 224.20 เมกะวัตต์ คิดเป็นวงเงินทั้งสิ้น 2,117 ล้านบาท นอกจากนั้น โครงการที่ข้อเสนอไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา มีจำนวนทั้งสิ้น 6 ราย เนื่องจากคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหxนด
5. จากข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด เนื่องจากปริมาณชีวมวลไม่เพียงพอหรือได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ หรือไม่สามารถจัดหาเงินทุนได้เพียงพอ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้กับโครงการส่งเสริม ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ที่ยื่นข้อเสนอในกลุ่มที่ 2 ทั้ง 20 โครงการได้มีสิทธิยื่นเสนออัตรา ขอรับเงินสนับสนุนใหม่ แต่ทั้งนี้การเสนออัตราเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยคาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนฯ เพิ่มเติม 1,000 ล้านบาท
6. เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจากบางโครงการอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่โครงการฯ จึงได้กำหนดเงื่อนไขผนวกไว้กับการอนุมัติโครงการฯ โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกต้องนำเสนอแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนให้ คณะทำงานฯ พิจารณาและได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโครงการฯ ภายในระยะเวลา 2 เดือน นับจากวันที่ประกาศผล เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554
สรุปสาระสำคัญ
1. นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งที่ 218/2544 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2544 แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับ ดูแลและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายประหยัดพลังงานของประเทศ โดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยทำหน้าที่กำกับดูแลให้การดำเนินการลดปริมาณการใช้พลังงานของประเทศเกิดผล อย่างจริงจังมากขึ้น เป็นไปได้อย่างคล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ต่อมาคณะกรรมการกำกับฯ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 3 คณะ ประกอบด้วย (1) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน อาคาร และบ้าน (2) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง และ (3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อจัดทำแผนและเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานของประเทศ
2. คณะกรรมการกำกับฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ได้มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554 ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 3 คณะ ได้นำเสนอ โดยแนวทางหลักในการดำเนินงานแผนยุทธศาสตร์ฯ มีดังนี้คือ เพื่อเร่งเตรียมการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการพลังงานให้ เหมาะสม รวมทั้งแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ ที่เกี่ยวข้อง ให้เอื้อต่อโครงสร้างใหม่ เพื่อเร่งให้มีการพัฒนาพลังงานจากเชื้อเพลิงที่เป็นชีวมวลและพลังงานทดแทน อื่นๆ เพื่อเร่งจัดทำแผนประหยัดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกสาขา โดยเน้นการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง และให้ความสำคัญกับงานศึกษาวิจัยอย่าง จริงจัง พร้อมกับเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอและวางรากฐานการ สร้างความรู้เพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาว ตลอดจนเร่งสร้างเครือข่ายเพื่อรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือจากทั้งนักวิชาการและภาคเอกชน
3. องค์ประกอบของแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานของประเทศ ในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554 ประกอบด้วย 4 ด้านหลัก คือ (1) การอนุรักษ์พลังงาน (2) การใช้พลังงานหมุนเวียน (3) การพัฒนาบุคลากร และ (4) การประชาสัมพันธ์
3.1 ด้านการอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) การอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน/อาคารและบ้านอยู่อาศัย ซึ่งจะครอบคลุมโรงงาน อุตสาหกรรม บ้านเรือน สถานที่ราชการ อาคารสำนักงานสำหรับธุรกิจและงานบริการต่างๆ โดยมุ่งส่งเสริมการฝึกอบรมทักษะและให้ความรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน พัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มปริมาณและสร้างบุคลากรมืออาชีพ พร้อมทั้งเร่งให้มีการปรับปรุงกฎกระทรวง ระเบียบและขั้นตอนการดำเนินงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ตลอดจนปรับปรุงรูปแบบของการให้การสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงาน และหากภายในระยะ 10 ปีข้างหน้า การปฏิบัติตามแผนการอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน อาคารและบ้านอยู่อาศัย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ความต้องการใช้พลังงานของประเทศลดลงในอัตราร้อยละ 4.21 หรือคิดเป็นจำนวนรวม 1,862.8 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี
(2) การอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการจราจรและการขนส่งคนและสินค้า และสนับสนุนการดำเนินการที่ทำให้มีการนำรถใหม่ที่มีประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน สูงและมีมลพิษต่ำมาใช้แทนรถเก่าที่ใช้น้ำมันสิ้นเปลือง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการขนส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับส่งเสริมการขนส่งสาธารณะให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ตลอดจนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนส่งรายย่อยรวมตัวกันเพื่อจัดธุรกิจศูนย์ขน ส่งสินค้า (Depot) กระจายทั่วประเทศ และหากปฏิบัติตามแผนอนุรักษ์พลังงานฯ คาดว่าจะช่วยให้ความต้องการใช้น้ำมันและเชื้อเพลิงอื่นๆ ของประเทศลดลงในอัตราร้อยละ 22.16 หรือคิดเป็นจำนวนรวม 7,094.65 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี
3.2 การใช้พลังงานหมุนเวียน มุ่งสนับสนุนให้ทุนการศึกษา ทุนวิจัย และทุนพัฒนานักวิจัยใน แต่ละเทคโนโลยี (เช่น แสงอาทิตย์ ลม ก๊าซชีวภาพ ชีวมวล เซลล์เชื้อเพลิง ฯลฯ) และเร่งสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และผู้แทนประชาชน ตลอดจนเร่งทำให้ราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer: SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงอยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งเร่งแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ขนาดเล็กมาก (ที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ น้อยกว่า 1 เมกะวัตต์) และสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ บริการข้อมูลในด้านพลังงานหมุนเวียน หากแผนการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะ 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.39 ซึ่งจะช่วยให้ลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ได้ถึง 5,068.83 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี
3.3 ด้านการพัฒนาบุคลากร เพื่อเพิ่มจำนวนและคุณภาพของบุคลากรให้เพียงพอในการนำ เป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงานไปสู่การปฏิบัติ โดยมุ่งดำเนินการให้เกิดองค์กรความรู้ด้านการอนุรักษ์ พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน บูรณาการอยู่ในหลักสูตรประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุมศึกษาของประเทศ
3.4 ด้านการประชาสัมพันธ์ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่ว ไปทราบถึงความสำคัญและผลกระทบของการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพที่มี ต่อเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเผยแพร่วิธีการประหยัดพลังงานที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันและมีการ ลงทุนต่ำ หรือไม่มีเลย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554 ตามที่คณะกรรมการกำกับ ดูแลและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายประหยัดพลังงานของประเทศ ได้เสนอมา (รายละเอียดตามเอกสารประกอบวาระ 4.1) โดยให้ปรับปรุงเพิ่มเติมตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ดังนี้
1.1 เร่งให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานปรับปรุงระเบียบและขั้นตอนการดำเนินงาน ให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น เพื่อเร่งให้เกิดผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุม โรงงานควบคุม และอาคารของรัฐ อย่างแท้จริงและมีปริมาณที่มากพอในทางปฏิบัติ
1.2 การนำแผนยุทธศาสตร์ฯไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างจริงจัง ต้องคำนึงถึงความพร้อมของนโยบายด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิเช่น การผลักดันนโยบายนำรถใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันสูงและก่อให้เกิด มลพิษต่ำมาใช้แทนรถเก่าที่ใช้น้ำมันสิ้นเปลือง และนโยบายเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางรถไฟและทางเรือ รวมทั้ง การสนับสนุนการขนส่งสาธารณะให้เป็นระบบหลักของประเทศ ซึ่งได้มีการกำหนดไว้แล้วเป็นระยะเวลานานมาก แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติ เพราะไม่มีกฎหมายหรือมาตรการใดบังคับ
1.3 ให้พิจารณาพลังงานทางเลือกอื่นเพิ่มเติมด้วย เช่น พลังงานจากคลื่น เป็นต้น
1.4 การสนับสนุนการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและการส่งเสริมให้เกิดการใช้ พลังงาน หมุนเวียนอย่างแพร่หลาย ควรพิจารณานำมาตรการจูงใจทางภาษี (Tax incentive) มาใช้ด้วย โดยให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่ก่อให้เกิดการอนุรักษ์ พลังงานมาลดหย่อนภาษีได้
1.5 เร่งพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพและมีปริมาณให้เพียงพอ พร้อมทั้งควรวางรากฐานการสร้างความรู้ด้านพลังงานเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะ ยาว โดยเน้นการปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ใน วัยเด็ก
1.6 ให้หน่วยงานที่จะดำเนินการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าโดยเขื่อนพลังน้ำขนาดเล็กและ เล็กมากที่ต้องใช้พื้นที่ในเขตลุ่มน้ำ 1A นำเสนอแผนการขออนุญาตใช้พื้นที่ต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณีก่อนการดำเนินการ
2.มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ใช้แผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานเป็นกรอบในการจัดสรรเงินกองทุนฯ และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงมาตรการต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย
3.ให้สำนักงานนโยบายพลังงานแห่งชาติทำหน้าที่กำกับดูแลและติดตามการดำเนิน งานตามแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงาน โดยประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของแผน ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงาน
เรื่องที่ 4 การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลได้มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วน ร่วมใน กิจการผลิตไฟฟ้า อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและการให้บริการ รวมทั้งยังเป็นการลดภาระด้านการลงทุนของภาครัฐในระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า จึงได้มีการออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer : SPP) เมื่อปี 2535 เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้าด้วย
2. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน มี SPP ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 105 ราย ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 63 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 59 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ปริมาณรับซื้อ ทั้งสิ้นจะสูงถึง 2,308 เมกะวัตต์ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2545 มี SPP 50 โครงการ ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว มีปริมาณขายไฟฟ้ารวม 1,961 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายส่วนใหญ่มาจากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีปริมาณพลังไฟฟ้าขายเข้าระบบเพียง 263 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับศักยภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 จึงมีมติเห็นควรให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อ ไฟฟ้าจากโครงการ SPP ขนาดเล็ก เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงาน นอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ก๊าซชีวภาพจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็ก ทั้งนี้ มอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการต่อไป
3. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2545 ได้เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด เล็กมาก ร่างระเบียบว่าด้วยการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับระบบของการไฟฟ้าฝ่าย จำหน่าย สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ และแบบคำขอ จำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าแล้ว นอกจากนี้ สพช. ได้จัดประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิในหลายสาขา เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 และได้นำความเห็นของที่ประชุมไปปรับปรุงร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมากแล้ว
4. ร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการประสานฯ และการสัมมนาระดมความคิดเห็น สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
4.1 ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก หมายถึง ผู้ผลิตไฟฟ้าทั้งภาคเอกชน รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และประชาชนทั่วไปที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของตนเอง ที่จำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าขายเข้าระบบไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ และมีลักษณะกระบวนการผลิตไฟฟ้า ดังนี้
4.1.1 ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังลม พลังแสงอาทิตย์ พลังน้ำขนาดเล็ก พลังน้ำขนาดเล็กมาก และก๊าซชีวภาพ เป็นต้น
4.1.2 ผลิตไฟฟ้าจากกากหรือเศษวัสดุเหลือใช้ในการเกษตร หรือกากจากการผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือการเกษตร ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากกากหรือเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรือจากการผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือการเกษตร ขยะมูลฝอย ไม้จากการปลูกป่าเป็นเชื้อเพลิง
4.1.3 การผลิตไฟฟ้าจากไอน้ำที่เหลือจากกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือการเกษตรที่ใช้เชื้อเพลิงในข้อ 4.1.1 หรือ 4.1.2
4.2 การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ขนาดเล็กมาก (SPP ขนาดเล็กมาก) โดยจะพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าตามรายละเอียดที่ SPP กรอกใบแบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า
4.3 การกำหนดราคาซื้อขายไฟฟ้า จะใช้วิธีการหักลบหน่วย (Net Metering) โดยการคิดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนจะเป็นดังนี้
4.3.1 ในเดือนที่ SPP ขนาดเล็กมาก มีการใช้ไฟฟ้ามากกว่าปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Net Energy Consumption) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะคิดค่าไฟฟ้าเฉพาะปริมาณพลังงานไฟฟ้าส่วนต่างในอัตรา ค่าไฟฟ้าขายปลีก ตามประเภทการใช้ไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายนั้นๆ รวมกับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) (Ft ขายปลีก) ในเดือนนั้นๆ
4.3.2 ในเดือนที่ SPP ขนาดเล็กมาก มีการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Net Energy Generation) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะรับซื้อไฟฟ้าเฉพาะปริมาณพลังงานไฟฟ้าส่วนต่าง ในอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ยที่ กฟผ. ขายให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายรวมกับค่า Ft ขายส่งเฉลี่ย ณ เดือนนั้นๆ
5. SPP ขนาดเล็กมาก จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานในด้านความปลอดภัยและมาตรฐานในการ เชื่อมโยงเข้ากับระบบตามระเบียบว่าด้วยการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับ ระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีความเหมาะสม รองรับผู้ผลิตไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก หรือผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กทั่วไปที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของตนเองเป็นการ เฉพาะ โดยในการจัดทำระเบียบดังกล่าวได้พิจารณามาตรฐานทางด้านเทคนิคในการเชื่อมโยง ระบบไฟฟ้าที่เป็นมาตรฐานสากล และไม่ส่งผลกระทบต่อการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายด้วย ตลอดจนไม่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
6. แบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า ได้มีการพิจารณาปรับปรุงเพื่อช่วยลดขั้นตอนในการจัดเตรียมเอกสาร และลดระยะเวลาในการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าแต่ละราย โดยรายละเอียดในแบบคำขอฯ จะกำหนดตามขนาดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กล่าวคือ ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารวมกันต่ำกว่า 30 กิโลวัตต์ จะต้องจัดทำรายละเอียดข้อมูลน้อยกว่า ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารวมกัน 30 กิโลวัตต์ขึ้นไปแต่ไม่เกิน 1 เมกะวัตต์
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด เล็กมาก โดยให้นำความเห็นของกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าฯ ด้วย
2.เห็นชอบร่างระเบียบว่าด้วยการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าไม่เกิน 1 เมกะวัตต์
3.เห็นชอบแบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า
4.เห็นควรให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าเร่งจัดทำ ต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายดำเนินการออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก ภายหลังจากคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าให้ความเห็น ชอบต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
เรื่องที่ 5 มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (กพช.) เรื่อง มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยเห็นชอบมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตลอดจนแนวทางการกำกับดูแล โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นมา
2. การกำหนดมาตรฐานคุณภาพบริการดังกล่าว ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ มาตรฐานทางด้านเทคนิค (Technical Standards) และมาตรฐานการให้บริการ (Customer Service Standards) โดยในส่วนของ มาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า (Guaranteed Standards) จะมีการกำหนดค่าปรับที่การไฟฟ้าจะต้องจ่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในกรณีที่ไม่สามารถ ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งค่าปรับจะอยู่ระหว่าง 50 - 2,000 บาท สำหรับการกำกับดูแล คณะรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของ กฟน. และ กฟภ. ตลอดจน เป็นผู้กำกับบริษัทที่ปรึกษาทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับ การให้บริการเป็นประจำทุกปี โดย กฟน. และ กฟภ. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ที่กระทรวงการคลังจะนำผลการดำเนินงานดังกล่าวไปใช้เป็นเกณฑ์หนึ่งของ การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ
3. จากการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย พบว่า การดำเนินงานของการไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้เกือบทั้งหมด และมาตรฐานหลายข้อยังมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามความคิดเห็นของ ผู้ใช้ไฟฟ้า พบว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวนหนึ่งยังคงไม่ได้รับความสะดวกและความพึงพอใจที่มีต่อการใช้ บริการ ดังนั้น สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของ สพช. ในโครงการที่ปรึกษาเรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จึงมีข้อเสนอแนะในการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานบางข้อให้เข้มงวดขึ้น ดังนี้
3.1 มาตรฐานความเชื่อถือได้ ควรปรับสูตรการคำนวณสูตรดัชนีจำนวนไฟฟ้าดับต่อรายต่อปี (SAIFI) และดัชนีระยะเวลาไฟฟ้าดับต่อรายต่อปี (SAIDI) ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เนื่องจากวิธีการคำนวณของ กฟน. ยังใช้สมมติฐานจำนวนผู้ใช้ไฟในแต่ละสายป้อนมีจำนวนเท่ากัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นอกจากนี้ ควรปรับค่าดัชนี SAIFI และ SAIDI ของ กฟน. ให้เข้มขึ้น ส่วนของ กฟภ. เกณฑ์เดิมมีความเหมาะสมอยู่แล้ว เนื่องจากผลการดำเนินงานของ กฟภ. มีความใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานมาก
3.2 มาตรฐานการให้บริการทั่วไป เรื่อง การจ่ายไฟคืน การร้องเรียน การอ่านค่าหน่วยไฟฟ้า และการตอบข้อร้องเรียน เสนอให้มีการปรับเกณฑ์มาตรฐานให้เข้มขึ้น
3.3 มาตรฐานที่การไฟฟ้ารับประกัน ให้มีการปรับเกณฑ์มาตรฐานให้เข้มขึ้น ยกเว้นเรื่องการแก้ปัญหาไฟฟ้าดับ และระยะเวลาที่ลูกค้ารายใหม่ขอใช้ไฟฟ้า ให้ใช้เกณฑ์เดิมซึ่งมีความเหมาะสมอยู่แล้ว
3.4 นอกจากนี้ ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดในปัจจุบัน ยังมีมาตรฐานหลายข้อที่ไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานให้เข้มขึ้นแล้ว ดังนั้น จึงควรมีการปรับปรุง โดยมุ่งเน้นการจัดระบบการให้บริการผู้ใช้และพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น
4. การสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการให้บริการที่ผ่านมา เป็นการดำเนินงานโดย กฟน. และ กฟภ. เป็นผู้ว่าจ้างที่ปรึกษาโดยตรง จึงอาจทำให้ผลการสำรวจไม่เป็นกลาง และไม่มีความน่าเชื่อถือเท่า ที่ควร ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2545 สพช. จะดำเนินการกำกับบริษัทที่ปรึกษาทำการสำรวจความคิดเห็นของ ผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการให้บริการ โดยให้ กฟน. และ กฟภ. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการศึกษาการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
2.เห็นชอบให้มีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่าย จำหน่ายตามข้อเสนอของที่ปรึกษา สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามเอกสารแนบ 4.3.3 โดยให้เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2545 เป็นต้นไป
3.เห็นชอบให้ สพช. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 ในการกำกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการ ให้บริการของ กฟน. และ กฟภ. โดยให้การไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
เรื่องที่ 6 แผนการแปรรูปการไฟฟ้านครหลวง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้เห็นชอบแนวทาง และแผนการดำเนินงานการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อ ขายไฟฟ้า และมอบหมายให้ สพช. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย โดย มอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว ทั้งนี้ในส่วนของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กำหนดให้ กฟน. แบ่งแยกบัญชีระหว่างหน่วยงานด้านระบบจำหน่าย และหน่วยงานจัดหาไฟฟ้า รวมทั้งแยกหน่วยธุรกิจเสริม 4 หน่วยออกเป็นบริษัทจำกัด และแปรรูปไปในที่สุด
2. โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคตตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ การแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่การผลิตไฟฟ้าโดยผู้ผลิตไฟฟ้าหรือบริษัทผลิตไฟฟ้าจะ แข่งขันเสนอราคาขายและปริมาณไฟฟ้าที่ตนจะผลิตเข้าสู่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า โดยมีศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) เป็นผู้คัดเลือกโรงไฟฟ้าที่เสนอราคาต่ำสุดให้ เดินเครื่องก่อน และมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในปี 2545 ซึ่งประกอบด้วยศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) เป็นผู้สั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าและควบคุมระบบไฟฟ้าโดยรวม ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (Market Operator : MO) ดำเนินการร่วมกับ ISO ทำหน้าที่ในส่วนของตลาดที่จะกำหนดราคาค่าไฟฟ้าในตลาดกลาง และศูนย์บริหารการชำระเงิน (Settlement Administrator : SA) ดูแลทางด้านบัญชีและการชำระเงินค่าซื้อขายไฟฟ้า
ในส่วนของการจัดหาไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟส่วนใหญ่จะซื้อไฟฟ้าจากบริษัทระบบจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้า (REDCo) ซึ่งเป็นกิจการที่ถูกกำกับดูแลโดยรัฐ การดำเนินการจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนระบบจำหน่ายและส่วนการจัดหาไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้ใช้ไฟยังมีทางเลือกที่จะใช้บริการไฟฟ้าจากบริษัทค้าปลีกไฟฟ้าที่ต้องการ เข้ามาแข่งขัน โดยอาจจะให้บริการเสริมต่างๆ ควบคู่ไปกับการจำหน่ายไฟฟ้า
3. ในการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง แนวทางการพัฒนาตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2544 ซึ่งมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้กำหนดแนวทางการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย โดยในส่วนของ กฟน. จะมีการกระจายหุ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 ดังนั้น เพื่อให้แผนการปรับโครงสร้าง กฟน. มีความสอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว คณะอนุกรรมการประสานฯ ในการประชุม เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 และ 20 มีนาคม 2545 ได้เห็นชอบให้นำ กฟน. ทั้งองค์กรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และให้เลื่อนกำหนดการกระจายหุ้นไปอีก 6 เดือน เป็นเดือนมิถุนายน 2547 เนื่องจาก การประกวดราคาจัดจ้างที่ปรึกษาด้านการแปรรูปประสบปัญหา ทั้งนี้ได้ มอบหมายให้ กฟน. นำส่งแผนการดำเนินงานแปรรูป กฟน. ที่สอดคล้องกับมติที่ประชุมมายัง สพช. เพื่อ นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
4. กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือนำส่งแผนการแปรรูป กฟน. และขั้นตอนการดำเนินงานการแปรรูป กฟน. ที่จัดทำแล้วตามมติคณะอนุกรรมการประสานฯ มายัง สพช. เพื่อให้นำเสนอต่อที่ประชุม กพช. ตาม ขั้นตอน พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ต่อไป โดยแผนการแปรรูป กฟน. ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมขององค์กร การเตรียมการเพื่อจดทะเบียนเป็นบริษัท มหาชน จำกัด และการนำบริษัทการไฟฟ้านครหลวง จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
4.1 การเตรียมความพร้อมขององค์กร กฟน. จะจัดจ้างที่ปรึกษาการแปรรูปเพื่อช่วยในการดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร กระบวนงาน และระบบบัญชี จัดหาระบบ ERP Software และการเตรียมการด้านเทคโนโลยีเพื่อรองรับการแข่งขัน โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 - ตุลาคม 2547
4.2 การเตรียมการเพื่อจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน จำกัด กฟน. จะใช้พระราชบัญญัติทุน รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ในการเปลี่ยนสภาพเป็นบริษัท โดยคาดว่า กฟน. จะสามารถจัดทำแผนการแปลงทุนเป็นหุ้นได้แล้วเสร็จในต้นปี 2546 และนำเสนอต่อ กพช. คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจและ ครม. เพื่อพิจารณา และสามารถจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดได้ภายในเดือนมีนาคม 2547
4.3 การเตรียมการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ กฟน. จะจัดหาผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น (Underwriter) เพื่อช่วยดำเนินการเสนอขายหุ้นโดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Road Show) เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2547 และเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในเดือนมิถุนายน 2547
5. สพช. ได้พิจารณาแผนการแปรรูป กฟน. แล้ว มีความเห็นดังนี้
5.1 แผนการแปรรูป กฟน. มีความสอดคล้องกับนโยบายการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการพัฒนาตลาดทุน และ กฟน. สามารถดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรตามแผนการแปรรูป กฟน. ขนาน ไปกับการพิจารณาโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในภาพรวม เนื่องจากกิจกรรมส่วนใหญ่ สามารถเริ่มดำเนินการได้ โดยไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบการแข่งขันในระดับขายส่งซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงใน รายละเอียด ยกเว้นบางกิจกรรมที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปรับ โครงสร้างกิจการไฟฟ้า เช่น การเตรียมความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี อาจรอผลการพิจารณาโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในภาพรวมได้เนื่องจากมีกำหนดการเริ่ม ดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2545
5.2 เนื่องจากธุรกิจหลักของ กฟน. คือธุรกิจระบบจำหน่ายและการจัดหาไฟฟ้าจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลรายได้ และความเชื่อถือของ กฟน. จึงขึ้นอยู่กับการกำกับดูแล การนำ กฟน. จดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ประสบผลสำเร็จจึงจำเป็นต้องมีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน โปร่งใส เสียก่อน โดยให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระให้แล้วเสร็จก่อนการจดทะเบียนบริษัท กฟน. ในเดือนมีนาคม 2547 ดังนั้น จึงควรเร่งให้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... เพื่อจัดตั้ง องค์กรกำกับดูแลอิสระสำหรับกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ โดยร่าง พ.ร.บ. ควรผ่านความเห็นชอบจาก รัฐสภา และมีผลใช้บังคับภายในกลางปี 2546 เพื่อให้มีระยะเวลาเพียงพอสำหรับการคัดเลือกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน แห่งชาติให้เสร็จทันและคณะกรรมการเริ่มปฏิบัติงานก่อนการจดทะเบียนบริษัท กฟน. ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะเป็นการให้ความมั่นใจแก่นักลงทุน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนการแปรรูปการไฟฟ้านครหลวง โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะจดทะเบียนทั้งองค์กรเป็นบริษัทจำกัด และกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2547 โดยใช้ พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ในการเปลี่ยนสภาพเป็นบริษัท
2.มอบหมายให้ กฟน. รับไปดำเนินการตามแผนการแปรรูป กฟน. ทั้งนี้ เนื่องจากแผนการแปรรูป กฟน. เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในภาพรวม ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป หากมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในภาพรวม ให้มีการพิจารณาปรับปรุงแผนการแปรรูป กฟน. ให้สอดคล้องกัน
เรื่องที่ 7 แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมถอนข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่ง ชาติไปหมดทั้งเรื่อง เพื่อให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติรับไปศึกษาพิจารณาเพิ่มเติมให้ละเอียด ชัดเจน ในภาพรวมของผลดีและผลเสียต่อประเทศ ต้นทุนการผลิตและมาตรการต่างๆ ที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน รวมทั้งรายละเอียดอื่นให้เพียงพอที่ กพช. จะสามารถพิจารณากำหนดนโยบายได้อย่างเหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบเสียหายต่อ เศรษฐกิจของประเทศ และนำกลับมาเสนอใหม่โดยเร็ว คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติจึงได้พิจารณาและ จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง เสนอต่อ กพช.
2. ประธานคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่ง ชาติให้ที่ประชุมทราบ โดยมีประเด็นต่างๆ เพื่อพิจารณา ดังนี้
2.1 การจัดทำแผนการผลิตอ้อยและมันสำปะหลัง ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการจัดทำแผนการผลิตอ้อยและมันสำปะหลังปี 2545 - 2549 แล้วเสร็จ โดย ครอบคลุมถึงความต้องการใช้ผลผลิตเพื่อการผลิตเอทานอลด้วย นอกจากนั้น ประธานคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอรายงานการศึกษาสถานภาพของวัตถุดิบ ที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
2.2 มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพ สามิตของเอทานอลหน้าโรงงาน และภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป
2.3 มาตรการกองทุนเพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอหลักการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซ ฮอล์ให้ต่ำกว่าราคาจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ประมาณ 0.50 - 0.70 บาทต่อลิตร โดยการลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันและกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพิ่มเติมจากการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงาน และภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่กระทรวงการ คลังได้เห็นชอบไว้แล้ว
2.4 การกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอว่าเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้โดย เร็วเห็นควรกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยผ่อนผันคุณภาพน้ำมันได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สามารถยอมรับได้ คือ กำหนดอุณหภูมิการกลั่นที่ปริมาณการระเหย 50% เป็น 65-110 องศาเซลเซียส และค่าความดันไอเป็นไม่สูงกว่า 65 กิโลปาสคาล โดย ในระหว่างนี้จะต้องทำการติดตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์ และการผลิตอย่างใกล้ชิด โดยคณะทำงานติดตามผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
2.5 นโยบายการตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอให้การขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอ ลเป็นเชื้อเพลิงต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติก่อนใน ทุกกรณี รวมถึงเสนอกรอบนโยบายในการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอ ลเป็นเชื้อเพลิง
2.6 การยกเลิกการใช้ MTBE ซึ่งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอให้ในระยะแรก หากมีการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่าน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ประมาณลิตรละ 0.50 - 0.70 บาทไว้อยู่แล้ว จะทำให้เกิดการทยอยเลิกใช้สาร MTBE ออกไปโดยอัตโนมัติ
2.7 การกำหนดกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทานอล คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอว่ายังไม่ต้องมีการจัดตั้งกองทุนรักษา ระดับราคาเอทานอลในขณะนี้ โดยฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ เอทานอลแห่งชาติจะรับไปทำการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนรักษา ระดับราคาเอทานอลแล้วนำเสนอคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
2.8 การขอรับเงินสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติเสนอนโยบายการส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์การ ใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนได้รับความรู้ ความเข้าใจและร่วมกันใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีเอทานอลเป็นส่วนผสม
2.9 องค์กรในการดูแลการนำพืชมาผสมในน้ำมันเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ประธานคณะกรรมการ เอทานอลแห่งชาติได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเอทานอล แห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งตามระเบียบดังกล่าวกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมทำหน้าที่เป็น สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการภายใต้การดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบเรื่องการนำเอาน้ำมันจากพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิง (ไบโอดีเซล) แล้ว
2.10 มาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ประธานคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ได้แก่นโยบายให้รถราชการและรัฐวิสาหกิจเลือกใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นลำดับ แรก นโยบายส่งเสริมสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่น น้ำมันปิโตรเลียมเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรองรับการใช้แก๊สโซฮอล์ และนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลของผู้ ประกอบการขนาดย่อมและขนาดกลาง โดยองค์กรหรือสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพ เพื่อให้มีแหล่งผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตทางการเกษตรกระจายอยู่ในท้องถิ่น ต่างๆ ของประเทศ
มติของที่ประชุม
1.รับทราบแผนการผลิตอ้อยและมันสำปะหลัง ปี 2545-2549 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งครอบคลุมถึงความต้องการใช้ผลผลิตเพื่อผลิตเอทานอล รายงานการศึกษาสถานภาพของวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ของ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ แนวทางในการแก้ไขปัญหาปริมาณ ผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ และแนวทางแก้ไขปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีและลักลอบการใช้ในกิจกรรมอื่นที่มิใช่ เชื้อเพลิง
2.เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ในประเด็นดังต่อไปนี้
2.1 เห็นชอบในหลักการให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรง งานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป
2.2 เห็นชอบในหลักการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่าราคาจำหน่าย น้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยความแตกต่างของราคาอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 บาทต่อลิตร เช่น 0.50-0.70 บาทต่อลิตร
2.3 เห็นชอบในหลักการให้มีการลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
2.4 เห็นชอบในการกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยให้ติดตามผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์จากผู้ใช้และผู้ผลิต รวมทั้งพิจารณาผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ และดำเนินการทดลองการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ในเชิงปฏิบัติและภาคสนามเพิ่มเติม ตามความจำเป็น
2.5 เห็นชอบนโยบายการยกเลิกการใช้สาร MTBE ในน้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยการใช้กลไกด้านการตลาดที่ได้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่า น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ซึ่งจะทำให้เกิดการเลิกใช้ MTBE โดยอัตโนมัติ
2.6 เห็นชอบแนวทางการจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาเอทานอล โดยในปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกองทุนฯ แต่ในอนาคตอาจมีความจำเป็น ดังนั้น จึงมอบหมายให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ รับไปศึกษาและจัดทำรายละเอียดพร้อมข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนรักษา ระดับราคาเอทานอล เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
2.7 เห็นชอบนโยบายการส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์การใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนได้รับความรู้ความเข้าใจและร่วมกันใช้น้ำมันเชื้อ เพลิงที่มีเอทานอลเป็นส่วนผสม โดยให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนงบประมาณเพื่อการดัง กล่าว
2.8 เห็นชอบมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่
-นโยบายการให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ เตรียมกำหนดให้รถยนต์ของหน่วยงานเลือกใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นอันดับแรก
-นโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม มีความพร้อมที่จะรองรับการผลิตและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีเอทานอลเป็น ส่วนผสม เช่น มาตรการด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น
-นโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลของผู้ ประกอบการขนาดย่อมและขนาดกลาง โดยองค์กรหรือสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพ เพื่อให้มีแหล่งผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตทางการเกษตรกระจายอยู่ทั่วไปในท้อง ถิ่นต่างๆ ของประเทศ เช่น การสนับสนุนทางการเงิน โดยการให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยหรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากหน่วยงานหรือองค์กร ของรัฐ เป็นต้น
3.เห็นชอบให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาข้อเสนอการขอตั้งโรง งานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยให้เป็นไปตามกรอบนโยบายที่คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติกำหนดตามรายละเอียด ในเอกสารแนบ 5.2 และให้นำเสนอผลการพิจารณาตั้งโรงงานต่อคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและ จำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับกรอบนโยบายดังกล่าว