Super User
กพช. ครั้งที่ 87 - วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87)
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3.ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
4.รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2544
5.รายงานผลการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท.
6.การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
7.การประเมินผลโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
8.การส่งเสริมและสนับสนุนการนำเอทานอลมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
9.สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับการไฟฟ้ามาเลเซีย
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ ในเดือนตุลาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงกว่าร้อยละ 20 หลังการก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาจากความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกจะทำให้ ความต้องการใช้น้ำมันลดลง นอกจากนั้น กลุ่มโอเปคยังไม่สามารถพยุงราคาน้ำมันดิบให้อยู่ในระดับ Price band (22 - 28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ได้ โดยราคาน้ำมันดิบลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับเดือนพฤศจิกายน ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้ที่ลดลง และมีสัญญาณปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มนอกโอเปค ซึ่งในเดือนกันยายนได้เพิ่มการผลิตขึ้นอีก 850,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนั้น ในการประชุมเพื่อลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปคได้ประกาศลดกำลังการผลิตลง 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือ 21.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยจะมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2545 ขณะเดียวกันแนวโน้มประเทศนอกกลุ่มโอเปคจะไม่ให้ความร่วมมือตามที่กลุ่มโอเปค ต้องการที่ให้ประเทศผู้ ส่งออกน้ำมันรายใหญ่นอกกลุ่มโอเปคลดปริมาณการผลิตลงด้วย 500,000 บาร์เรล ต่อวัน โดยที่ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2544 อยู่ที่ระดับ 16.80 และ 18.76 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ส่วนราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ เดือนตุลาคมราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับตัวลดลงประมาณ 8 และ 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และเดือนพฤศจิกายน ราคาน้ำมันสำเร็จรูปยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณสำรองทางการค้าได้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 1.6 และ 2.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ออกเทน 92 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2544 อยู่ที่ระดับ 19.6, 18.5, 21.2, 20.3 และ 15.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย เดือนตุลาคม ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลดลง โดย น้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 7 ครั้ง รวม 1.9 บาทต่อลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลดลง 4 ครั้ง รวม 0.85 บาท ต่อลิตร และเดือนพฤศจิกายน ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวลดลง 3 ครั้ง รวม 0.8 บาทต่อลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลดลง 4 ครั้ง รวม 1.0 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีก น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2544 อยู่ที่ระดับ 12.99, 11.99 และ 11.79 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ในเดือนตุลาคมค่าการตลาดและค่ากลั่นอยู่ที่ระดับ 1.5 และ 1.1407 บาทต่อลิตร ตามลำดับ (4.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) และเดือนพฤศจิกายน ค่าการตลาดและการกลั่นได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.33 และ 0.9663 บาทต่อลิตร ตามลำดับ (3.44 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) โดยค่าการกลั่นที่คุ้มทุนของโรงกลั่นจะอยู่ที่ระดับ 3 - 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
5. แนวโน้มของราคาน้ำมัน นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการประมาณการความต้องการใช้น้ำมันของโลกในช่วงที่ เหลือของปีลดลงจากเดิมกว่าครึ่ง ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะอยู่ที่ระดับ 15 - 18 และ 16 - 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ น้ำมันเบนซินจะอยู่ ที่ระดับ 20 - 22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 22 - 24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทย น้ำมันเบนซินออกเทน 95 จะอยู่ที่ระดับ 12.50 - 13.50 บาทต่อลิตร เบนซินออกเทน 91 และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 11.50 - 12.50 บาทต่อลิตร
6. ในเดือนพฤศจิกายนราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง มาอยู่ในระดับ 233.8 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศอยู่ในระดับ 9.70 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.33 บาท/กิโลกรัม หรือ 361 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับในช่วงสิ้นปี 2544 ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกคาดว่าจะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงประมาณ 10 เหรียญสหรัฐต่อตัน อัตราเงินชดเชยจะอยู่ในระดับ 1.80 - 2.20 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 270 - 350 ล้านบาทต่อเดือน
7. สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมบัญชีกลางได้รายงานฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 มีเงินคงเหลืออยู่ในระดับ 4,065 ล้านบาท และประมาณฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะติดลบประมาณ 11,086 ล้านบาท โดยมีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ในระดับ 361 ล้านบาทต่อเดือน และมีเงินไหลเข้าสุทธิ 521 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น คาดว่ากองทุนจะสามารถใช้หนี้ได้หมดภายในเวลา 3 ปี
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบ ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อ เพลิงโดยให้นำระบบราคา "กึ่งลอยตัว" มาใช้ และมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาทางเลือกการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือการปรับราคาโดยอัตโนมัติ
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม โดยใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" ทันที และให้ชะลอการปรับขึ้นราคาขายส่ง ไว้ระยะหนึ่ง และเมื่อราคาตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จึงค่อยปรับขึ้นราคาขายส่ง โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) นำเสนอประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน อนุมัติต่อไป
3. คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป พร้อมทั้ง ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง การแจ้งและการปิดป้ายแสดงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2544
4. สพช. ได้ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 49 พ.ศ. 2544 เรื่องปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็น 9.7532 บาท/กก. ซึ่งมีผลทำให้ราคา ขายปลีกก๊าซหุงต้มรวมภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้น 0.99 บาท/กก. เป็น 13.60 บาท/กก. หรือถังขนาดบรรจุ 15 กก.เพิ่มขึ้น 15 บาท/ถัง เป็น 204 บาท/ถัง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป จึงทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีขึ้น และราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้ใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" อย่างสมบูรณ์แล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยได้เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และรายละเอียดใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป นอกจากนั้น ได้เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
2. ในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 100) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้พิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมีมติเห็นชอบค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนตุลาคม 2544 - มกราคม 2545 เท่ากับ 22.77 สตางค์/หน่วย หรือลดลง 4.36 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชนลดลงจาก 2.48 บาท/หน่วย เป็น 2.43 บาท/หน่วย หรือลดลงประมาณร้อยละ 2 คิดเป็นเงินที่ประชาชนประหยัดได้กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถสรุปปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่า Ft และผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าได้ ดังนี้
2.1 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่า Ft
1) การปรับลดแผนการลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2544 - 2546 ลงประมาณ 55,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้ในการสมทบการลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งลดลง 14,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาเฉลี่ยลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนได้ปีละ 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ลดลง 7 สตางค์/หน่วย เป็นเวลา 2 ปี
2) อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาการปรับค่า Ft ตามสูตรปกติ ค่า Ft จะเพิ่มขึ้น 2.64 สตางค์/หน่วย เนื่องจากในการคำนวณค่า Ft รอบเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2544 เรียกเก็บที่ 22.44 สตางค์/หน่วย ได้มีการเรียกเก็บค่า Ft เกินไป 1.9 สตางค์/หน่วย ซึ่งเป็นผลจากข้อมูลที่ได้รับในช่วงนั้นเป็น ข้อมูลประมาณการ และมีการนำภาระที่ไม่ควรผ่านให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น การทดสอบเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าราชบุรีถูกนำมารวมเข้าด้วย ซึ่งต่อมาได้นำค่าดังกล่าวมาลดให้ประชาชนในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2544 ทำให้ค่า Ft ในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2544 ลดลงต่ำกว่าที่ควรประมาณ 1.9 สตางค์/หน่วย นอกจากนั้น ในการเก็บค่า Ft รอบเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2544 เป็นช่วงหน้าร้อน การไฟฟ้ามีรายได้จากค่าไฟฟ้าฐานในอัตราค่อนข้างสูงจากค่าไฟฟ้าในอัตราก้าว หน้า ดังนั้น ในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2544 ประกอบกับอากาศได้เย็นลงทำให้รายได้จากค่าไฟฟ้าส่วนนี้ลดลงจากช่วงก่อน ประมาณ 1 สตางค์/หน่วย
สำหรับต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการปรับค่า Ft รอบนี้ค่อนข้างคงที่ เนื่องจากมีการปรับ สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงโดยการใช้เชื้อเพลิงราคาถูกมากขึ้น แม้ราคาก๊าซธรรมชาติจะแพงขึ้น โดยราคาก๊าซธรรมชาติได้สูงขึ้น 6 บาท/ล้านบีทียู จาก 142 บาท/ล้านบีทียู เป็น 148 บาท/ล้านบีทียู และเมื่อนำส่วนลดค่าก๊าซธรรมชาติจากการเจรจากับแหล่งบงกช จำนวน 535 ล้านบาทมาช่วยบรรเทาราคาที่สูงขึ้น ต้นทุนค่าไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.53 สตางค์/หน่วย
ในการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงโดยการใช้เชื้อเพลิงราคาถูกมาก ขึ้น คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงโดยรวมไม่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ การเพิ่มปริมาณการใช้ลิกไนต์ จากร้อยละ 16.4 เป็น ร้อยละ 16.9 เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าจากร้อยละ 2.1 เป็น ร้อยละ 3.4 เพิ่มการใช้ก๊าซธรรมชาติและการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งมีราคาถูกกว่าการใช้น้ำมันเตา จากร้อยละ 70.2 เป็น ร้อยละ 71.6 ในขณะเดียวกันได้ลดการใช้น้ำมันเตาลงจากร้อยละ 4.5 เป็น ร้อยละ 2.2 จึงทำให้ค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการคำนวณค่า Ft ครั้งนี้ค่อนข้างคงที่
ดังนั้น ในการเรียกเก็บค่า Ft รอบนี้ เมื่อนำค่าไฟฟ้าที่ลดลงได้ 7 สตางค์/หน่วย มาหักกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตามสูตรปกติ 2.64 สตางค์ต่อหน่วย ค่า Ft จึงลดลงสุทธิเท่ากับ 4.36 สตางค์/หน่วย โดยค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนตุลาคม 2544 - มกราคม 2545 เท่ากับ 22.77 สตางค์/หน่วย ซึ่งสามารถจำแนกค่าไฟฟ้าตามประเภทกิจการไฟฟ้า ดังนี้คือ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย มีค่าเท่ากับ 25.88, 0.15 และ -3.26 สตางค์/หน่วย ตามลำดับ
2.2. ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย ปัจจุบันจะอยู่ในอัตรา 2.48 บาท/หน่วย ซึ่งประกอบด้วย ค่าไฟฟ้าฐานประมาณ 2.2 บาท/หน่วย และค่า Ft ที่เปลี่ยนแปลงตามราคาของเชื้อเพลิง โดยค่า Ft ได้ลดลงจาก 27.13 สตางค์/หน่วย ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน 2544 เป็น 22.77 สตางค์/หน่วย ในช่วงเดือนตุลาคม 2544 - มกราคม 2545 หรือลดลง 4.36 สตางค์/หน่วย ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชนลดลงจาก 2.48 บาท/หน่วย เป็น 2.43 บาท/หน่วย หรือลดลงประมาณร้อยละ 2
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำ "ดอกผล" อันเกิดจากกองทุนฯ จำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัท เอสโซ่ สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับบริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด มาใช้ประโยชน์ ในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านพลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหาร กองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหาร กองทุนฯ ซึ่งตามระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญา โรงกลั่นปิโตรเลียม ทำหน้าที่แทน กพช. ในการพิจารณาจัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนแก่ส่วนราชการที่ เกี่ยวกับการพลังงานและปิโตรเลียม พร้อมทั้งให้ สพช. จัดทำงบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบภายในสามสิบวันนับแต่วัน สิ้นปีงบประมาณ
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2544 ซึ่งเป็นไปตามมติ ของ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543 ที่เห็นชอบ แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2544 - 2546 ภายในวงเงินรวมทั้งสิ้น 66 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 2544 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินตามหมวดรายจ่ายต่างๆ ตามความจำเป็นเร่งด่วนและความต้องการใช้งบประมาณของหน่วยงานต่างๆ โดยได้โอนค่าใช้จ่ายจากหมวดการโฆษณาเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ จำนวน 3 ล้านบาท ไปเป็นค่าใช้จ่ายในหมวดการค้นคว้า วิจัยและการศึกษา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินอยู่เดิมจำนวน 4 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7 ล้านบาท ส่วนแผน การใช้เงินในหมวดอื่นๆ ยังคงเดิม กล่าวคือ หมวดทุนการศึกษาและฝึกอบรม 5.4 ล้านบาท หมวดการเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา 5 ล้านบาท หมวดการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน 4 ล้านบาท และหมวดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน 0.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22 ล้านบาท
3. จากการปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อใช้จ่ายตามหมวดค่าใช้จ่ายต่างๆ สรุปได้ดังนี้ คือ
1) หมวดการค้นคว้า วิจัย และการศึกษา ได้อนุมัติงบประมาณเพื่อทำการศึกษาและประชา-สัมพันธ์ จำนวน 1 โครงการ ให้แก่ สพช. คือ โครงการศึกษาและประชาสัมพันธ์อัตราค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาของการ ใช้ (Time of Use Rate : TOU) ในวงเงิน 7,000,000 บาท
2) หมวดเงินทุนการศึกษาและฝึกอบรม ได้อนุมัติทุนการศึกษาระดับปริญญาโทในประเทศ จำนวน 3 ทุน ให้กับกรมบัญชีกลาง กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และ สพช. ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศ 1 ทุน ให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และทุนฝึกอบรมภาษาอังกฤษต่างประเทศให้กับหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านพลังงาน จำนวน 10 ทุน รวมวงเงิน 5,400,000 บาท
3) หมวดการเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรม และสัมมนา ได้อนุมัติงบประมาณให้กับหน่วยงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับพลังงานและ ปิโตรเลียมจำนวน 11 โครงการ ในวงเงิน 4,554,283 บาท
4) หมวดการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน ได้อนุมัติงบประมาณจำนวนเงิน 4 ล้านบาท ให้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พพ. และ สพช.
5) หมวดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ได้อนุมัติเงินจำนวน 600,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างลูกจ้างชั่วคราว ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณรายจ่ายจากสำนักงบประมาณ
4. ในส่วนการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุน ปีงบประมาณ 2545 - 2546 คณะกรรมการ กองทุนฯ ได้พิจารณาข้อมูลจากงบแสดงผลการรับ-จ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ งบแสดงฐานะการเงิน ของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ และงบประมาณผูกพันต่อเนื่องในช่วงปี 2544 ประกอบกับประมาณการรายรับของกองทุนฯ ที่ได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของเงินกองทุนในช่วงสองปี ข้างหน้า และเห็นควรทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินในช่วงปีงบประมาณ 2545 - 2546 ภายในวงเงินเดิม จำนวน 44 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2544
2.รับทราบการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมประจำปีงบประมาณ 2544-2546
เรื่องที่ 5 รายงานผลการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท.
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เรื่องแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ภายใต้พระราชบัญญัติทุน รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็น แกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการจัดทำประเด็น นโยบายให้สามารถระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชน เพื่อทำหน้าที่ประเมินราคาสินทรัพย์ ราคาหุ้น และวิธีการขายหุ้น ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สพช. กระทรวงการคลัง (กค.) สำนักงานอัยการสูงสุด และ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยให้เร่งดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นและจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้
2. คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. ได้พิจารณาแนวทาง แผนการระดมทุน รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้น บมจ. ปตท. โดยได้มีการประชุมรวมทั้งหมด 5 ครั้ง และได้มีมติร่วมกับกรรมการผู้รับมอบอำนาจแทนคณะกรรมการ บมจ. ปตท. เกี่ยวกับแนวทางของ แผนการระดมทุน รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นของ บมจ. ปตท. โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 กำหนดการขายหุ้น
- ทำการสำรวจตลาดเบื้องต้น (Pre-marketing) 15-26 ต.ค. 44
- นำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Roadshow) ใน/ต่างประเทศ 29 ต.ค.-20 พ.ย.44
- กำหนดการจองซื้อของนักลงทุนบุคคลธรรมดาในประเทศ 15-20 พ.ย. 44
- พิจารณากำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) 21 พ.ย. 44
- หุ้น บมจ. ปตท. ทำการซื้อขายใน ตลท. 6 ธ.ค. 44
2.2 การกำหนดช่วงราคาการเสนอขายเบื้องต้น (Preliminary Price Range) คือ 31-35 บาท ต่อหุ้น โดยช่วงราคาดังกล่าวได้ใช้ในการทำ Roadshow และใช้ในกระบวนการ Bookbuilding รวมทั้งให้พิจารณาเป็นราคาเสนอขายเบื้องต้นสำหรับนักลงทุนในประเทศประเภทผู้ จองซื้อรายย่อยและบุคคลทั่วไป
2.3 จำนวนหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนและนักลงทุนทั่วไป ในเบื้องต้น 800 ล้านหุ้น (ไม่รวมหุ้นที่เสนอขายให้แก่พนักงานภายใต้โครงการการให้สิทธิแก่พนักงาน บมจ. ปตท. ในการซื้อหุ้น) ประกอบด้วยหุ้นสามัญออกใหม่ของ บมจ. ปตท. 750 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของกระทรวงการคลัง 50 ล้านหุ้น โดย หากความต้องการซื้อหุ้นจากนักลงทุนมีมากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขายในเบื้องต้น จะสามารถพิจารณาขายหุ้นเพิ่มเติมด้วยวิธีการจัดสรรหุ้นเกินจำนวนและให้สิทธิ ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ซื้อหุ้นจาก กค. ในจำนวนที่จัดสรรเกินจำนวน (Overallotment or Greenshoe Option) อีกจำนวน 120 ล้านหุ้น
2.4 สัดส่วนในการเสนอขายเบื้องต้น ประชาชนและนักลงทุนในประเทศเป็นร้อยละ 60 (480 ล้านหุ้น) และนักลงทุนต่างประเทศ ร้อยละ 40 (320 ล้านหุ้น) โดยสามารถเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการเสนอขายหุ้น (Claw Back) ดังกล่าวได้ไม่เกินร้อยละ 15 (120 ล้านหุ้น)
2.5 การจัดสรรหุ้นสำหรับนักลงทุนในประเทศประเภทผู้จองซื้อรายย่อยผ่านตัวแทนจำหน่าย (Selling Agent) ให้ผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายมีสิทธิในการรับจองหุ้นเกิน กว่าจำนวนที่จะเสนอขายประมาณ 120 ล้านหุ้น เพื่อกันไว้เป็นส่วนสำรอง (Waiting List)
2.6 การจัดสรรหุ้นให้กับพนักงาน กำหนดราคาอ้างอิงที่ราคา 33 บาท โดยมูลค่ารวมของผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับ (ผลต่างระหว่างราคาอ้างอิงกับราคาพาร์) เท่ากับ 8 เท่าของเงินเดือนรวม ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ของผู้มีสิทธิ คิดเป็นจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้พนักงานผู้มีสิทธิทั้งหมด 47,245,725 หุ้น
2.7 นโยบายการจ่ายเงินปันผล กำหนดนโยบายในการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 บาทต่อหุ้น สำหรับผลประกอบการของ บมจ. ปตท. ปี 2544 และให้เสนอขอความเห็นชอบต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปี ซึ่งจะจัดให้มีการประชุมภายในเดือนเมษายน 2545
2.8 การกำหนดไม่ให้นำหุ้นออกมาขายในตลาดก่อนระยะเวลา (Lock up period) ดังนี้
1) บมจ. ปตท. และ กค. จะไม่ ขาย จำหน่าย จ่าย โอน หุ้นทุนของ บมจ. ปตท. ที่มีสถานะเช่นเดียวกับหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ ในช่วง 365 วันนับจากวันปิดการเสนอขาย (Closing Date) เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
2) นับจากวันปิดการเสนอขาย (Closing Date) 180 วัน กค. สามารถขาย จำหน่าย จ่าย โอน หลักทรัพย์อื่นใดที่สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นทุนของ บมจ. ปตท. ที่มีสถานะเช่นเดียวกับหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ รวมถึงการเสนอขายหุ้น บมจ. ปตท. แบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ได้โดยมีข้อกำหนดว่าการแปลงสภาพหรือการจะนำหุ้น บมจ. ปตท. เข้าทำการซื้อขายในตลาดฯ แล้วแต่กรณีนั้น จะทำได้หลังจาก 365 วันนับจากวันปิดการเสนอขาย (Closing Date)
3. การจัดทำ Roadshow ทั้งในและต่างประเทศของ บมจ. ปตท. ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างกว้างขวาง โดยการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนประเภทต่างๆ มีมากกว่าจำนวนที่จัดสรร ดังนี้
3.1 ประชาชนทั่วไปในประเทศ สามารถจองซื้อหุ้น บมจ. ปตท. จำนวนรวมทั้งสิ้น 220 ล้านหุ้น ผ่านธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งทั่วประเทศ การจองซื้อหุ้นในจำนวนดังกล่าวได้หมดภายในระยะเวลาเพียง 1.07 นาที และทางธนาคารได้เปิดให้ผู้สนใจจองซื้อหุ้นต่อ โดยขึ้นเป็นบัญชีสำรอง (Waiting List) อีกประมาณ 120 ล้านหุ้น
3.2 นักลงทุนสถาบันในประเทศ สามารถจองซื้อหุ้น บมจ. ปตท. โดยวิธีการประกวดราคาแบบสะสม (Book Building) ซึ่งความต้องการเกินกว่าจำนวนที่จัดสรรเบื้องต้นกว่า 3 เท่า
3.3 นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ จองซื้อหุ้น บมจ. ปตท. โดยวิธีการประกวดราคาแบบสะสม (Book Building) มีความต้องการเกินกว่าจำนวนที่จัดสรรเบื้องต้นกว่า 6 เท่า
4. จากข้อมูลปริมาณความต้องการซื้อหุ้น บมจ. ปตท. ดังกล่าว คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ และกรรมการผู้รับมอบอำนาจแทนคณะกรรมการ บมจ. ปตท. ในการประชุมครั้งที่ 6/2544 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 จึงได้พิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นต่อการกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ที่เหมาะสม และได้มีมติดังนี้
4.1 ราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) อยู่ที่ราคา 35 บาทต่อหุ้น
4.2 จำนวนหุ้นที่เสนอขาย รวมจำนวน 920 ล้านหุ้น โดยไม่รวมหุ้นที่เสนอขายให้แก่พนักงานภายใต้โครงการการให้สิทธิแก่พนักงาน บมจ.ปตท. ในการซื้อหุ้น (ESOP Program) ประกอบด้วยหุ้นสามัญออกใหม่ของ บมจ. ปตท. 750 ล้านหุ้น หุ้นสามัญเดิมของ กค. 50 ล้านหุ้น และหุ้นจัดสรรเกินจำนวน (Overallotment or Greenshoe Option) ของ กค. 120 ล้านหุ้น
4.3 การจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนกลุ่มต่างๆ เนื่องจากความต้องการซื้อหุ้นจากนักลงทุนมี มากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขายในเบื้องต้น จึงได้มีการพิจารณาขายหุ้นเพิ่มเติมด้วยวิธีการจัดสรรหุ้นเกินจำนวน (Overallotment or Greenshoe Option) อีกจำนวน 120 ล้านหุ้น รวมเป็นจำนวนหุ้นที่จัดสรรทั้งหมด 920 ล้านหุ้น โดยจำนวนจัดสรรสุทธิ มีดังนี้
- บุคคลธรรมดาในประเทศ จำนวน 330.124 ล้านหุ้น
- Broker และผู้มีอุปการะคุณ จำนวน 169 ล้านหุ้น
- สถาบันในประเทศ จำนวน 91.876 ล้านหุ้น
- สถาบันต่างประเทศ จำนวน 329 ล้านหุ้น
โดยมีสัดส่วนจำนวนการจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนในประเทศร้อยละ 64.24 และนักลงทุนต่างประเทศร้อยละ 35.76
4.4 จำนวนเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น จากการขายหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. ปตท. จำนวน 750 ล้านหุ้น หุ้นเดิมของกระทรวงการคลัง รวมทั้งส่วนที่เป็น Greenshoe จำนวน 170 ล้านหุ้น ทำให้ บมจ. ปตท. และกระทรวงการคลังมีรายได้จากการขายหุ้นครั้งนี้ จำนวน 32,200 ล้านบาท
5. ทั้งนี้ การขายหุ้น ปตท. ในครั้งนี้ มีผลให้มีเงินเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนประมาณ 11,500 ล้านบาท หรือประมาณ 260 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (329 ล้านหุ้น * 35 บาทต่อหุ้น) โดยสัดส่วนการถือหุ้นของ กค. จะลดลงเหลือร้อยละ 65.4 (หากขายหุ้นในส่วนของ Greenshoe ได้ทั้งหมด)
คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า จากการนำเสนอข้อมูลแก่นัก ลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ทราบถึงประเด็นความวิตกกังวลของนักลงทุนต่างประเทศ หลักๆ ดังนี้
1.การที่รัฐอาจจะใช้ บมจ. ปตท. เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงราคาน้ำมัน หรือการกำหนดให้ บมจ. ปตท. เป็นแกนนำในการลงทุนในโครงการที่ไม่มีความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ เป็นต้น ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนในการที่จะเข้ามาลงทุนใน ประเทศไทย รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
2.ความวิตกกังวลในกลไกการกำกับดูแลและการบริหารงาน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดหลักการและรูปแบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance and Management) ไว้อย่างชัดเจนแล้ว ซึ่งถ้าหากไม่ปฏิบัติตามมติดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบต่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ในอนาคตได้
3.ต้องการความมั่นใจว่าในอนาคตจะมีการขยายตัวของความต้องการใช้ไฟฟ้ามาก ขึ้น ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้าดังกล่าว จะมีผลโดยตรงต่อความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อเป็นเชื้อเพลิง นอกจากนั้นนักลงทุนยังต้องการความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐในการกำหนดหลัก เกณฑ์การกำหนดราคาและค่าผ่านท่อก๊าซฯ รวมทั้งการกำกับดูแลที่จะต้องมีความโปร่งใสและเป็นธรรม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. รวมทั้งมอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท จัดทำประมวลข้อคิดเห็นประเด็นต่างๆ ที่ได้จากการดำเนินแผนการระดมทุนในครั้งนี้ เสนอต่อประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อจะได้นำข้อคิดเห็นดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกำกับดูแลนโยบายด้านรัฐ วิสาหกิจ (กนร.) เพื่อเป็นโครงการต้นแบบสำหรับการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ต่อไป
เรื่องที่ 6 การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 ได้มีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง ปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิง โดยให้กรมศุลกากรเป็นเจ้าของเรื่องและประกอบด้วย ตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน สำหรับงบประมาณที่ใช้ในระยะแรกได้จากงบประมาณปกติของแต่ละหน่วยงานได้รับ
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2539 ได้มีมติเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้มีการตั้งศูนย์กลางการประสานงานขึ้น โดยให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางการประสานงานการปราบปรามทางทะเล และให้ สพช. เป็นศูนย์รวมประสานงานหน่วยงานทั้งทางบกและทางทะเลในด้านข้อมูลและอำนวยการ ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงาน ทำให้การปฏิบัติงานในระยะต่อมามีเอกภาพมากขึ้น และคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงาน ต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้สนับสนุนงบประมาณมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปี 2544 และเนื่องจากสถานการณ์การลักลอบ ในปัจจุบันผู้กระทำผิดได้พยายามเปลี่ยนแปลงรูปแบบการกระทำความผิดเพื่อหลีก เลี่ยงภาษีในรูปแบบใหม่ๆ ดังนั้นจึงได้มีการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามให้เหมาะสมและสอดคล้อง กับสถานการณ์ คณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 จึงมีมติให้จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานป้องกันและปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (คปปป.) ขึ้น โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ รวมทั้งให้มีศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (ศปปป.) เพื่อทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการฯ
3. จากภาระหนี้ที่กองทุนฯ ต้องชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 จึงได้มีมติเห็นชอบแผนการชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้การดำเนินงานบริหารกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงให้มีเงินชำระหนี้ได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท/ไตรมาส โดยได้มีการจัดทำข้อตกลงสัญญากับเจ้าหนี้ หากไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้จะต้องเสียดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ จึงทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สามารถนำเงินไปสนับสนุนการดำเนินงานด้าน การป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมได้อีกต่อไป และเนื่องจากกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลผลประโยชน์ ของประเทศเรื่องภาษีรายได้ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินนโยบายและมาตรการ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงควรเข้ามาดูแลในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งการให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้การปฏิบัติงานสามารถดำเนินต่อไป ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการถูกต้องตามหลักการและภาระหน้าที่ที่ควรจะเป็น
4. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 ได้มีมติรับทราบคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่มีบัญชามอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) มีอำนาจในการกำหนดแนวทางปฏิบัติ กำกับ ดูแล และควบคุมการปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามน้ำมันเถื่อน โดยไม่รวมถึงการบริหารงานบุคคล ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน จึงได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 7/2544 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการขึ้นมา 4 ชุด ประกอบด้วย คณะกรรมการอำนวยการการปฏิบัติงานของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในการป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม คณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม คณะอนุกรรมการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม และให้มีการเปลี่ยนชื่อคณะอนุกรรมการประเมินผลการป้องกันและปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้สอดคล้องกับอำนาจและหน้าที่ของคณะ อนุกรรมการฯ และให้เสนอผู้มีอำนาจลงนามต่อไป รวมทั้งเห็นชอบให้กองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงยุติการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขอรับเงินสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดิน แทน และในส่วนของการกำหนดมาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม ได้มอบให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับการสนับ สนุนด้านการเงินที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเก็บ รายได้ภาษีของรัฐ ทั้งนี้ ให้ สพช. นำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ตามลำดับ เพื่อให้เป็นมติคณะรัฐมนตรีและมีผลในทางปฏิบัติต่อไป
5. สพช.ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยได้จัดทำร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิบัติงานของกองบัญชาการ ตำรวจสอบสวนกลางในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ซึ่งได้นำเสนอรองนายกรัฐมนตรี(นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) เพื่อลงนามแล้ว พร้อมกันนี้ สพช. ได้จัดทำร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการรวม 3 ชุด ประกอบด้วย คณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (คปปป.) และคณะอนุกรรมการ 2 ชุด คือ คณะอนุกรรมการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม และคณะอนุกรรมการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุม ครั้งนี้ด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบโครงสร้างองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยว กับปิโตรเลียม โดยรับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิบัติงาน ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการรวม 3 ชุด ได้แก่ (1) คณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (2) คณะอนุกรรมการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (3) คณะอนุกรรมการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
2.ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการ กระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณ ในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 7 การประเมินผลโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาว ประมงในเขตต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2544 ได้มีมติให้ทบทวนเรื่องการ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มโดยกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดภายในปี 2544 ในโครงการดังกล่าว เพื่อพิจารณาทบทวน ผลประโยชน์ที่ได้รับ ปัญหาอุปสรรค และผลเสียที่เกิดขึ้น หากเห็นว่ามีประโยชน์คุ้มค่าจึงจะพิจารณาขยายเวลาให้ดำเนินการได้ต่อไป และเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2544 ได้เห็นชอบให้มีคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่กำกับ ดูแลให้การปฏิบัติตามโครงการเกิดความรัดกุมและมีประสิทธิภาพ โดยให้มีผู้แทนกรมสรรพสามิตเป็นประธานคณะทำงาน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน รวมทั้งให้มีการตรวจสอบอย่างเป็นระบบเปิด เพื่อให้บุคคลภายนอกเข้ามาตรวจสอบได้
2. การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมัน ดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2544 โดยคณะกรรมการกำกับดูแลฯได้มีการประชุมเพื่อกำหนดกรอบการรายงานผลของโครงการ กำหนดดัชนีชี้วัดในการประเมินผลโครงการ พร้อมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน และสรุปรายงานการดำเนินโครงการฯเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในส่วนของการตรวจสอบอย่างระบบเปิดที่ให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมตรวจสอบ สพช. ได้ประสานกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานประสานความร่วมมือภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาน้ำมัน เถื่อน และได้มีการประชุมเพื่อสรุปข้อดี ข้อเสียและข้อเสนอแนะของโครงการฯเพื่อรายงาน กพช.
3. คณะกรรมการกำกับดูแลฯ ได้รวบรวมผลการดำเนินโครงการ ตั้งแต่ วันที่ 30 เมษายน 2544 ถึง วันที่ 10 พฤศจิกายน 2544 จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมศุลกากร กรมทะเบียนการค้า กรมสรรพสามิต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่าจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการประกอบด้วยบริษัทผู้ค้า น้ำมันตามมาตรา 7 จำนวน 5 ราย บริษัทผู้ค้าน้ำมันในเขตต่อเนื่อง จำนวน 8 ราย เรือบรรทุกน้ำมันและสถานีบริการน้ำมัน (Tanker) จำนวน 18 ลำ สมาคมประมงท้องถิ่นที่เสนอเข้าร่วมโครงการ จำนวน 28 สมาคม และเรือประมงที่จดทะเบียนเข้าร่วมโครงการ จำนวน 5,172 ลำ ปริมาณจำหน่ายน้ำมันดีเซลจำนวนทั้งสิ้น 53.1 ล้านลิตร โดยครอบคลุมจังหวัดในพื้นที่อ่าวไทยตอนบนจนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานีและภาคใต้ ตอนล่างในจังหวัดปัตตานี ส่วนพื้นที่ด้านอันดามัน มีสมาคมประมงท้องถิ่นเสนอเข้าร่วมโครงการแต่ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการ สำหรับราคาน้ำมันที่จำหน่าย จะเปลี่ยนแปลงตามราคาหน้าโรงกลั่นซึ่งจะสูงกว่าราคาจำหน่ายน้ำมันโดยเรือ ต่างชาตินอกเขตต่อเนื่อง ประมาณลิตรละ 20 - 30 สตางค์ โดยที่คุณภาพน้ำมันจะดีกว่าน้ำมันที่จำหน่ายโดยเรือต่างชาตินอกเขตต่อเนื่อง นอกจากนั้นผลการตรวจสอบการกระทำความผิดของกรมทะเบียนการค้าไม่พบน้ำมันสี เขียวหรือน้ำมันที่เติมสารมาร์คเกอร์ รวมทั้งการตรวจสอบการกระทำความผิดของผู้ค้าน้ำมัน เรือขนส่งน้ำมัน และเรือประมง โดยกรมศุลกากร ไม่พบการกระทำความผิดเช่นเดียวกัน
4. สำหรับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานพบว่า โครงการไม่สามารถตอบสนองชาวประมงได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากเรือประมงชายฝั่งขนาดเล็กยังไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ ทั้งนี้เกิดจากบริเวณภาคใต้ตอนล่างและอ่าวไทยรูป ก.ไก่ เป็นบริเวณที่เส้นฐานห่างฝั่งทะเล ทำให้เรือสถานีบริการตั้งอยู่ไกลมาก เรือ ขนาดเล็กและขนาดกลาง (15 เมตร ถึง 18 เมตร) ที่มีจำนวนหลายพันลำไม่สามารถวิ่งออกไปเติมน้ำมันในเขตต่อเนื่องได้ และอีกประการหนึ่ง ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันยังขาดความมั่นใจว่าโครงการจะดำเนินการอย่าง ต่อเนื่องและจะได้ต่ออายุโครงการหรือไม่จึงทำให้การค้าไม่ขยายตัวเท่าที่ควร นอกจากนั้น ชาวประมงส่วนหนึ่งได้ติดต่อซื้อขายน้ำมันกับเรือต่างชาตินอกเขตต่อเนื่องมา เป็นระยะเวลานานจึงมีความผูกพันต่อกัน
5. ส่วนการประเมินผลโครงการดำเนินการโดย 2 องค์กรหลัก คือ คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร ซึ่งเป็นองค์กรภาคราชการ และคณะทำงานประสานความร่วมมือภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาน้ำมันเถื่อนซึ่งมีผู้ แทนจากบริษัทผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และ ผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นองค์ประกอบคณะทำงาน ได้ร่วมทำการประเมินผลการ ดำเนินงานโครงการดังกล่าว พบว่ามีทั้งข้อดี ข้อเสีย รวมทั้งข้อเสนอแนะ สรุปได้ดังนี้
5.1 ข้อดีของโครงการ คือสามารถลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศโดยคิดจากปริมาณมูลค่าการซื้อน้ำมัน ในโครงการฯจำนวน 53,077,663 ลิตร เป็นเงินประมาณ 424 ล้านบาท และโครงการนี้ได้ช่วย ส่งเสริมธุรกิจการผลิตน้ำมันในประเทศไทย โดยโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศสามารถนำกำลังการผลิตส่วนเกินของโรงกลั่นที่มี อยู่ก่อนโครงการมาใช้ให้เกิดประโยชน์ขึ้น และช่วยให้ชาวประมงสามารถซื้อน้ำมันในราคาที่ ถูกกว่าราคาปกติประมาณลิตรละ 2 บาท เนื่องจากเกิดการแข่งขันซื้อขายระหว่างน้ำมันในโครงการฯ และ น้ำมันนอกเขตต่อเนื่อง อีกทั้งน้ำมันในโครงการฯมีคุณภาพดีช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง เครื่องยนต์ของเรือประมงได้มาก ขณะเดียวกันสถานีบริการน้ำมันในโครงการจะต้องติดตั้งมิเตอร์ที่ได้รับการ รับรองจากกระทรวงพาณิชย์จึงช่วยให้ชาวประมงได้รับน้ำมันเต็มตามจำนวนที่ซื้อ สำหรับผลประโยชน์ในด้านภาษีพบว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม 2544 รัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลได้ เป็นเงิน 17,444 ล้านบาท คิดเป็นจัดเก็บภาษีที่ได้เพิ่มขึ้น 555 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ส่วนด้านการป้องกันและปราบปรามน้ำมันลักลอบฯ ได้ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการ ป้องกันและปราบปรามการลักลอบน้ำมันฯ ร่วมกัน และมีการจดทะเบียนเรือประมงถูกต้องตามกฎหมาย มากขึ้น
5.2 ข้อเสียของโครงการ เป็นความไม่เท่าเทียมกันในการรับผลประโยชน์จากโครงการฯ ของ ชาวประมงที่อาจเกิดขึ้นโดยที่เรือประมงชายฝั่งขนาดเล็กและขนาดกลางในพื้นที่ ภาคใต้ตอนล่างและพื้นที่ อ่าวไทยรูป ก.ไก่ จะไม่สามารถไปรับบริการได้
5.3 คณะกรรมการฯและคณะทำงานฯ ทั้ง 2 คณะมีความเห็นว่าโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของ ราชอาณาจักรก่อให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สมควรต่ออายุโครงการให้มีความต่อเนื่องถาวร เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการในการเข้าร่วมโครงการและรองรับความต้อง การของชาวประมงทั้งหมดได้ หากในระยะต่อไปโครงการก่อให้เกิดปัญหาอาจพิจารณายกเลิกได้ ทั้งนี้ให้มีการประเมินผลโครงการทุกปี ในส่วนของคณะกรรมการฯ จะรับไปประสานกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยเพื่อผลักดันให้เรือประมงเข้ามา จดทะเบียนให้ถูกต้องมากขึ้นและผลักดันให้โครงการขยายตัวครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ชาวประมงได้ใช้น้ำมันในโครงการอย่างทั่วถึง
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าโครงการจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศและผู้ประกอบการค้าน้ำมันใน ประเทศ รวมทั้งชาวประมงอย่างมาก แม้จะมีข้อเสียในการปฏิบัติ แต่สามารถจะดำเนินการแก้ไขในระยะต่อไปได้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นว่ารัฐบาลควรสนับสนุนให้โครงการนี้มีการดำเนินการต่อไป จึงเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการต่ออายุโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงใน เขตต่อเนื่องอย่างถาวร โดยมีเงื่อนไขจะต้องมีการประเมินผลโครงการอย่างน้อยปีละครั้ง หากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเห็นว่าผลการประเมินไม่เหมาะสมที่จะ ดำเนินโครงการต่อ ควรให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติให้ยุติโครงการต่อไป
2.มอบหมายให้กรมสรรพากรเร่งดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อขอยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ ในลักษณะต่อเนื่องอย่างถาวร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไป
3.มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง ในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร ประสานงานติดตามเร่งรัดให้สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยผลักดันให้โครงการฯ มีการขยายตัวครอบคลุมทุกพื้นที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันของชาว ประมงได้อย่างทั่วถึง ภายในปี 2545
เรื่องที่ 8 การส่งเสริมและสนับสนุนการนำเอทานอลมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากพืชเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรรมรับไปแต่งตั้งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามมติดังกล่าวแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิ
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ได้จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อ เพลิงเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยข้อเสนอดังกล่าวแยกเป็นประเด็น แต่ยังขาดกรอบนโยบายที่ชัดเจน ดังนั้นคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 ให้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) รับผิดชอบร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง พิจารณากำหนดกรอบนโยบายที่ชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้รวบรวมประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเสนอความคืบหน้าของการดำเนินการและ สิ่งที่จะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไป เสนอ กพช. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
3. มาตรการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
3.1 การจัดทำแผนการผลิตอ้อยและมันสำปะหลัง ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
3.2 มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงรวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย กฎกระทรวงว่าด้วยการงดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุรากลั่นชนิดสุราสามทับ ที่นำไปผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง พ.ศ. 2544 และกฎกระทรวงฉบับที่ 119 (พ.ศ. 2544) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 (ให้สุรากลั่นชนิดสุราสามทับ ที่นำไปใช้ในการแพทย์ เภสัชกรรม และวิทยาศาสตร์ ต้องเสียภาษีสุรา) และประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 64 (ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ที่มีเอทานอลผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10) และได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นมา มีผลให้เอทานอลที่นำมาผสมเพื่อใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการยกเว้นภาษี สรรพสามิตและน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่มีเอทานอลผสมอยู่ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 มีอัตราภาษีสรรพสามิต 3.3165 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นมา ทั้งนี้ คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ได้เสนอให้ยกเว้นภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเอทานอลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงตลอดไป แต่ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าควรให้เป็นดุลยพินิจของกระทรวงการคลัง
3.3 มาตรการกองทุนเพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดย สพช. เสนอให้ยกเว้นกองทุนในส่วนของเอทานอลร้อยละ 10 และลดอัตรากองทุนน้ำมันฯ เหลือ 0.30 บาท/ลิตร ในส่วนของน้ำมันเบนซิน ร้อยละ 90 สำหรับการกำหนดให้จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ในราคาของน้ำมันเบนซิน 91 จะทำให้ค่าการตลาดต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 เล็กน้อย เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซินอยู่ในระดับต่ำกว่าราคา เอทานอล ที่ 11 บาท/ลิตร ส่วนผลกระทบเบื้องต้น หากเอทานอลแทนที่ MTBE ร้อยละ 10-30% จะกระทบ กองทุนน้ำมันฯ 6-19 ล้านบาท/เดือน และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 0.1-0.3 ล้านบาท/เดือน
3.4 การกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอว่าเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้โดย เร็ว เห็นควรกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์โดยผ่อนผันคุณภาพน้ำมันได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สามารถยอมรับได้ คือ กำหนดอุณหภูมิการกลั่นที่ปริมาณการระเหย ร้อยละ 50 เป็น 65-110 องศาเซลเซียส และค่าความดันไอเป็นไม่สูงกว่า 65 กิโลปาสคาล โดยในระหว่างนี้จะต้องทำการติดตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์ และการผลิตอย่างใกล้ชิด คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ จึงได้มีมติให้จัดตั้งคณะทำงานติดตามผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
3.5 นโยบายการตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอให้ การขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงต้องได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติก่อนในทุกกรณี ในขณะที่ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันทน์) ได้ สั่งการให้ สพช. รับเรื่องดังกล่าวพร้อมกับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดกรอบนโยบายให้มีทิศทางเดียวกันและมีความเหมาะสมในการดำเนินการตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 31 กรกฎาคม 2544 แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้มีการดำเนินการในเรื่องนี้ ไปก่อน โดยได้ออกประกาศหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานเพื่อผลิต เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงได้มีผู้สนใจยื่นความประสงค์ที่จะลงทุนตั้งโรงงานผลิต เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้ว จำนวน 18 ราย และได้มีการพิจารณาข้อเสนอของผู้ที่ยื่นเอกสารหลักฐานครบถ้วนแล้ว จำนวน 3 ราย คือ บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป เทรดดิ้ง บริษัท ที. เอส. บี. เทรดดิ้ง จำกัด และ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลแก๊สโซฮอล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
3.6 การยกเลิกการใช้ MTBE ซึ่งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอให้กำหนดเป็นนโยบาย ที่ชัดเจน รวมทั้งผลักดันให้มีการผสมเอทานอลในน้ำมันเบนซินทั้ง ออกเทน 95 และ 91 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าควรมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ชัดเจนเพียงพอในการที่จะกำหนด นโยบายของรัฐ และหากมีความชัดเจนที่รัฐจะต้องกำหนดนโยบายในการยกเลิกการใช้ MTBE ก็ไม่ควรที่จะบังคับให้โรงกลั่นน้ำมันใช้ เอทานอลเป็นสารเพิ่มออกซิเจนแทน MTBE เพียงอย่างเดียว แต่ควรจะเปิดกว้างให้เป็นทางเลือกของโรงกลั่นเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องซื้อ น้ำมันในราคาแพง สำหรับการเติมสารเอทานอลในน้ำมันควรที่จะต้องดูความเหมาะสมให้สอดคล้องกับ ลักษณะการบริโภคน้ำมันของประเทศด้วย หากทำให้ปริมาณน้ำมันที่กลั่นได้มีสัดส่วนไม่ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ผู้ผลิตต้องส่งออก ในขณะที่การนำเข้าวัตถุดิบจะมีปริมาณสูงขึ้น เพื่อให้ได้น้ำมันสำเร็จรูปที่เพียงพอกับการบริโภคในประเทศ การสูญเสียเงินตราต่างประเทศจากการนำเข้าวัตถุดิบ อาจจะมากกว่าการประหยัดจากการนำเข้าสารเพิ่มออกเทนได้
3.7 การกำหนดกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทานอล เป็นเหมือนการรับประกันราคาพืชเกษตรเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการโรงงานมี รายได้ที่แน่นอน ไม่ใช่การรักษาระดับราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้มีการสนับสนุนในระยะแรก เพื่อให้โรงงานสามารถดำเนินการได้ โดยราคาเอทานอลต้องเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกร และเกิดภาระแก่ผู้บริโภค ตลอดจนทำให้ผู้ประกอบการมีการปรับปรุง ประสิทธิภาพในการผลิต สำหรับในระยะยาวกองทุนเอทานอลควรจะลดบทบาทการช่วยเหลือและยุติการช่วยเหลือ ในที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐและเพื่อให้อยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันเสรี ทั้งนี้ต้องให้พืชชนิดต่างๆ มีการแข่งขันกันเองได้ด้วย
3.8 การขอรับเงินสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นชอบให้มีการสนับสนุน แต่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน ของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยควรใช้มาตรการประชาสัมพันธ์ เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจาก กพช. ไม่มีแหล่งเงินทุนสนับสนุน จึงเห็นควรไปยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน
3.9 องค์กรในการดูแลการนำพืชมาผสมในน้ำมันเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ฝ่ายเลขานุการฯ มี ความเห็นว่าปัจจุบันการนำน้ำมันจากพืชมาใช้เพื่อผสมเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงมี การศึกษาในหลายหน่วยงาน รวมทั้งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติที่รับผิดชอบในเรื่องแก๊สโซฮอล์ หากมีการปรับเปลี่ยนองค์กรในการดูแลใหม่ อาจทำให้การศึกษาวิจัยชะงักงันในระหว่างรอการจัดตั้งองค์กรใหม่ และการเสียเวลาที่จะรวบรวมการดำเนินงานมาไว้ยังองค์กรใหม่ จึงควรที่จะดำเนินการตามเดิม แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การศึกษาวิจัยและการกำหนดแผนปฏิบัติงานต่างๆ อยู่ในกรอบนโยบายของรัฐ การเสนอนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการนำพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิง จึงควรนำเสนอผ่าน กพช. ซึ่งมีรัฐมนตรีจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการอยู่เพื่อพิจารณาในชั้น ต้นก่อนการเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมถอนข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติไป หมดทั้งเรื่อง เพื่อให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ รับไปศึกษาพิจารณาเพิ่มเติมให้ละเอียดชัดเจนในภาพรวมของผลดี ผลเสียต่อประเทศ ต้นทุนการผลิตและมาตรการต่างๆ ที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน รวมทั้งรายละเอียดอื่น ให้เพียงพอที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะสามารถพิจารณากำหนดนโยบาย ได้อย่างเหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบที่เสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ และนำกลับมาเสนอใหม่โดยเร็ว
เรื่องที่ 9 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับการไฟฟ้ามาเลเซีย
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้ามาเลเซีย (Tenaka Nasional Berhad: TNB) ได้เริ่มมีการแลกเปลี่ยนและซื้อขายไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2524 จนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มเชื่อมโยงด้วยระบบส่ง 132 เควี วงจรเดี่ยว ระหว่างสถานีแรงสูงสะเดาฝั่งไทยและสถานีไฟฟ้าแรงสูงบูกิตเกติฝั่งมาเลเซีย โดยมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายในระยะแรกระหว่างปี 2524-2532 จำนวน 30-50 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 71.5 เมกะวัตต์ ในปี 2544
2. เนื่องจากระบบส่งเชื่อมโยง 132 เควี เป็นวงจรขนาดเล็กทำให้เกิดปัญหาเรื่องเสถียรภาพของระบบ ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มเสถียรภาพของระบบและเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยน พลังงานไฟฟ้าระหว่าง 2 ประเทศ กฟผ. และ TNB ได้ลงทุนก่อสร้างระบบส่งเชื่อมโยงไฟฟ้าแรงสูงกระแสตรงไทย-มาเลเซีย (High Voltage Direct Current System Interconnection: HVDC System Interconnection) ขนาด 300 เควี เชื่อมโยงระหว่างสถานีไฟฟ้าแรงสูงคลองแงะในฝั่งไทยกับสถานีไฟฟ้าแรงสูงกูรุน ในฝั่งมาเลเซีย โดยได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมดำเนินงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป
3. กฟผ. และ TNB ได้ร่วมกันจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (HVDC System Interconnection Agreement: SIA 2001) จนแล้วเสร็จและได้ร่วมลงนามในชื่อย่อ (Initial) แล้วเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2544 โดยได้ยึดถือเงื่อนไขและความรับผิดชอบของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าผ่านระบบส่ง เชื่อมโยงไฟฟ้าแรงสูงกระแสสลับไทย-มาเลเซีย (High Voltage Alternating Current System Interconnection Agreement : SIA 2000) ที่ ใช้งานอยู่ในปัจจุบันเป็นหลักในการยกร่าง โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมในบางประเด็นให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
4. สัญญา HVDC System Interconnection Agreement : SIA 2001 มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1) สัญญามีอายุ 25 ปี นับจากวันลงนามและให้มีการทบทวนหลังจากวันลงนาม 1 ปี และทุกๆ 5 ปี
2) จุดส่งมอบที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย หมุดเขตแดนที่ C/TS 21/16 เป็นจุดแบ่งเขตแดน และ ให้อ่านปริมาณซื้อขายไฟฟ้าจากมิเตอร์ผู้ขาย โดยอัตราค่าไฟฟ้ารวมความสูญเสียในระบบส่งด้วย
3) กฟผ. และ TNB จะต้องสลับการจ่ายไฟฟ้าฝ่ายละ 1 สัปดาห์ เพื่อเชื่อมโยงระบบตลอดเวลาในปริมาณจำนวน 30 เมกะวัตต์ ยกเว้นมีการสั่งซื้อหรือขายไฟฟ้า โดยมีปริมาณสูงสุดไม่เกิน 300 เมกะวัตต์
4) กำหนดให้แต่ละฝ่ายต้องแจ้งปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายในแต่ละช่วงเวลาทราบ ล่วงหน้า 1 วัน ก่อนเวลา 10.00 น. (เวลาไทย) /11.00น. (เวลามาเลเซีย) และต้องแจ้งยืนยันปริมาณการสั่งซื้อก่อนเวลา 14.00 น. (เวลาไทย) / 15.00 น. (เวลามาเลเซีย)
5) อัตราค่าไฟฟ้าที่แต่ละรายจะเสนอขาย (Price Quotation) ในแต่ละเดือนมีได้ไม่เกิน 3 ราคา คือ Price A,B และ C โดยขึ้นกับปริมาณความพร้อมจ่ายของแต่ละช่วงเวลา Price A จะเป็นราคาต่ำสุด และต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า 7 วันทำการ ก่อนเริ่มซื้อขายในเดือนถัดไป
6) ระบบส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงขนาด 300 เควี มีความยาวรวม 110 กม. (ฝั่งไทยยาว 25 กม. ฝั่ง มาเลเซียยาว 85 กม.) เชื่อมโยงระหว่างสถานีคลองแงะฝั่งไทยและสถานีไฟฟ้าคูรุนในมาเลเซีย
7) ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้ง Joint Operation Committee เพื่อประสานงานให้การจ่ายพลังงานไฟฟ้าเป็นไปตามสัญญา
8) ในกรณีที่ระบบ HVDC ขัดข้องไม่สามารถส่งจ่ายไฟฟ้าได้ ทั้งสองฝ่ายสามารถซื้อขายไฟฟ้าผ่านระบบ AC ได้
9) หากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องนำเสนอข้อโต้แย้งดังกล่าวให้ผู้แทนที่แต่ละฝ่าย แต่งตั้งขึ้นพิจารณาหาข้อยุติภายใน 2 เดือน ในกรณีที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้นำเสนอผู้ว่าการ กฟผ. และประธาน TNB เพื่อหาข้อยุติ หากภายใน 2 เดือน และถ้ายังไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้นำข้อโต้แย้งดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการ อนุญาโตตุลาการเพื่อตัดสิน
10) หากมีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในไทยหรือมาเลเซีย ให้คู่สัญญาตกลงเจรจาแก้ไขสัญญาเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (HVDC System Interconnection Agreement: SIA 2001) ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้ามาเลเซีย (TNB) โดยให้ กฟผ. นำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว เสนอให้สำนักอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาก่อน ในกรณีที่สัญญาดังกล่าวมีสาระที่ แตกต่างจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่สำนักอัยการสูงสุดเคยตรวจร่างแล้ว
2.มอบหมายให้ กฟผ. นำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามข้อ 1 ไปลงนามกับการไฟฟ้ามาเลเซีย (TNB) ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญของสัญญาก็เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินการ ดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องนำร่างสัญญาฯที่เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขมาเสนอขอความเห็นชอบจากคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติใหม่อีกครั้ง
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 21-27 กันยายน 2558
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 27 ธันวาคม 54
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 26 พฤษภาคม - 01 มิถุนายน 2557
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 05 มกราคม 2559
กพช. ครั้งที่ 86 - วันพุธที่ 26 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 86)
วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2544 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.ความคืบหน้าในการจัดหาและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
4.แผนการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
5.การกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 เพื่อพิจารณามติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 85) เรื่องแนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินในประเทศ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเปลี่ยนแปลงไปจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ดังนี้ คือ
1.ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในการพัฒนาแหล่งถ่านหินเวียงแหง หากรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับการอนุมัติแล้ว จึงให้ กฟผ. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อกันแหล่งเวียงแหงให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าโดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล
2.เห็นชอบให้มีการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อกันแหล่งถ่านหินสะบ้าย้อยให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าโดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล แต่ให้ กฟผ. คืนแหล่งงาว และแหล่งสินปุน ให้แก่กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อนำไปเปิดประมูล ต่อไป
3.เห็นชอบให้กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งกำหนดหลักเกณฑ์ให้เอกชนเข้ามาเปิดประมูลการขออาญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ใน พื้นที่ที่สำรวจพบถ่านหินเบื้องต้นตามมาตรา 6 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ยกเว้นแหล่งเวียงแหงที่ให้รอผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ หลังจากการก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกาได้ปรับตัวลดลง 6-8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดน้ำมันเห็นว่าสถานการณ์อาจขยายตัว และจะส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยทั่วโลก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกลดลง และกลุ่มโอเปคได้ประกาศว่าการลดปริมาณการผลิตในปีนี้เพียงพอแล้ว เนื่องจากได้ลดปริมาณการผลิตลงแล้ว 3.5 ล้านบาร์เรล/วัน และ ณ วันที่ 25 กันยายน 2544 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์อยู่ที่ระดับ 21.3 และ 22.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ น้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับตัวลดลง 9 และ 6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ น้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงมากเนื่องจากไม่มีแรงซื้อ และความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเซียยังไม่เพิ่มสูงขึ้นมาก ปริมาณสำรองอยู่ในระดับสูงทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปลดลงมากกว่าราคาน้ำมัน ดิบ ณ วันที่ 25 กันยายน 2544 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และออกเทน 91 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา อยู่ที่ระดับ 23.6, 22.5, 26.8, 26.2, และ 21.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยหลังจากวิกฤตการณ์ในสหรัฐอเมริกา น้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงสุทธิ 30 สตางค์/ลิตร และน้ำมันดีเซลได้ลดลงมาเท่ากับก่อนวิกฤตการณ์ โดยที่ราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95, ออกเทน 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 25 กันยายน 2544 อยู่ที่ระดับ 15.99, 14.99 และ 13.94 บาท/ลิตร ตามลำดับ และค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 1.5 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นอยู่ที่ 1.4 บาท/ลิตร (4.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล)
4. ในการเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองภายในประเทศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาวะวิกฤต คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้มีมติให้กรมทะเบียนการค้าปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันที่ผลิตในประเทศเพิ่ม ขึ้นจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 5 และเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันนำเข้าจากร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 10 โดยมี ผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน และได้มอบหมายให้ สพช. และกรมทะเบียนการค้า เป็นผู้กำกับดูแลและบริหารการส่งออก แต่เพื่อให้การเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองมีผลเร็วขึ้น นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 5/2544 ให้มีการเก็บรักษาน้ำมันสำหรับป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงอัตรา ร้อยละ 2 สำหรับน้ำมันผลิตในประเทศ และร้อยละ 4 สำหรับน้ำมันนำเข้าโดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2544 เป็นต้นไป และกรมทะเบียนการค้าได้ออกประกาศปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันตามกฎหมายแล้ว โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ประมาณปลายเดือนธันวาคม 2544
5. สพช. และกรมทะเบียนการค้าได้รายงานสถานการณ์ การจัดหา การผลิตและการส่งออกน้ำมันอยู่ในภาวะปกติ โดยที่ปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลือ ณ วันที่ 20 กันยายน 2544 อยู่ที่ระดับ 4,333 ล้านลิตรหรือ 41 วันของการใช้ และในเดือนกันยายน 2544 ปริมาณการส่งออกน้ำมันอยู่ในระดับปกติ โดยมีปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซหุงต้ม (LPG) ประมาณ 123 ล้านลิตร, 191 ล้านลิตร และ 44 ล้านกิโลกรัม ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 32) เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดในส่วนที่สามารถดำเนินการได้และในส่วนที่เป็น ปัญหาอุปสรรค และรายงานให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานทราบภายใน 1 เดือน
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ดังนี้
2.1 ราคาก๊าซธรรมชาติ
2.1.1 ปตท. อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางในการปรับปรุงสูตรปรับราคาก๊าซฯ และได้ดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตก๊าซฯ ในอ่าวทุกราย เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่า Ft ซึ่งปตท. จะรายงานความคืบหน้าในการเจรจาให้ทราบต่อไป
2.1.2 ปตท. ดำเนินการตรึงราคาก๊าซฯ สำหรับคำนวณค่าดำเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2544 ไว้ที่ราคา 122.15 บาท/ล้านบีทียู ส่งผลให้สามารถลดค่าดำเนินการได้ประมาณ 73 ล้านบาท >และ ปตท. จะกำหนดราคาก๊าซฯ สูงสุดสำหรับการคำนวณค่าดำเนินการไว้ที่ 123 บาท/ล้านบีทียู อย่างไรก็ตาม ปตท. ไม่สามารถปรับลดค่าดำเนินการสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กได้ เนื่องจาก ปตท. ต้องรับความเสี่ยงจากการขายก๊าซฯ ให้แก่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) สูงกว่าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) รวมทั้ง ปตท. ต้องรับภาระดอกเบี้ย Take or Pay ของ SPP ทั้งหมดด้วย
2.1.3 ปตท. ไม่สามารถลดอัตราค่าผ่านท่อที่เรียกเก็บในปัจจุบันได้ และจากการหารือระหว่าง สพช. กับ ปตท. เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2544 ได้ข้อสรุปว่า อัตราผลตอบแทนการลงทุน (ROE) ของ การลงทุนใหม่ในระบบท่อควรอยู่ในระดับร้อยละ 16 สำหรับ ROE ของการลงทุนเดิมในระบบท่อให้คงอยู่ในระดับที่เท่ากับในปัจจุบันคือร้อยละ 18
2.1.4 ปตท. ได้แจ้งความคืบหน้าในการเจรจากับกลุ่มผู้ขายก๊าซฯ แหล่งยาดานา และ เยตากุน เพื่อบรรเทาปัญหา Take or Pay ดังนี้
(1) แหล่งยาดานา ผู้ขายก๊าซฯ จะเตรียมความสามารถส่งก๊าซฯ ให้ได้สูงถึง 650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม และให้ ปตท. สามารถเรียกรับก๊าซฯ ที่ได้จ่ายค่า Take or Pay ไปแล้ว (Make up) เป็นรายเดือน นอกจากนี้ ผู้ขายก๊าซฯ ได้ตกลงในหลักการชดเชยเงินบางส่วน (Rebate) จากปริมาณก๊าซฯ ที่ ปตท. จะเรียกรับ Make up ในช่วง 4 ปีข้างหน้า
(2) แหล่งเยตากุน ผู้ขายก๊าซฯ จะชะลอการผลิตก๊าซฯ ที่ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในเดือนเมษายน 2547 ออกไป โดยจะทยอยการเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซฯ แทน พร้อมทั้ง เสนอที่จะลดราคาก๊าซฯ ส่วนที่เกินกว่า 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน นอกจากนี้ ได้ตกลงที่จะพิจารณาหลักการ Make up รายเดือน เช่นเดียวกับสัญญาซื้อขายก๊าซฯ แหล่งยาดานา สำหรับมาตรการในระยะสั้น ผู้ขายก๊าซฯ ได้เสนอส่วนลดราคาก๊าซฯ ร้อยละ 2.5 - 12.5 สำหรับปริมาณที่รับเกินกว่า 160 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงเดือนกันยายน 2544 - กุมภาพันธ์ 2545
2.2 การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
2.2.1 กฟผ. ได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแล้ว ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการกำหนดค่าความพร้อมจ่าย พลังไฟฟ้า (AP) จากแบบ Front-End เป็นแบบเกลี่ยราคา (Levelized Price) ได้ เนื่องจากจะกระทบต่อความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ และเป็นการผิดเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ ซึ่งผู้ให้กู้อาจบอกเลิกสัญญาและยึดทรัพย์สินของทางบริษัทฯ ได้ และจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และการลงทุนอีกด้วย
2.2.2 ในประเด็นการทบทวนความเหมาะสมของการส่งผ่านผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในโครง สร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน IPP และ SPP นั้น ขณะนี้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนยังไม่ได้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระหนี้สกุล เงินเหรียญสหรัฐแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนบางรายยินดีให้ความร่วมมือในการพิจารณาหาแนวทางในการลดผล กระทบอัตราแลกเปลี่ยนในสูตรราคารับซื้อไฟฟ้า ทั้งนี้ ขอให้ กฟผ. กำหนดโครงสร้างราคาในการเจรจาที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรับไปพิจารณาในรายละเอียดเป็นรายๆ ไป
2.2.3 กฟผ. ได้ชี้แจงว่า อัตราผลตอบแทนการลงทุนของบริษัทผลิตไฟฟ้าในเครือของ กฟผ. ในอัตราร้อยละ 19-20 นั้น เป็นอัตราผลตอบแทน ณ ราคา Par ที่เหมาะสมแล้ว เพราะเมื่อมีการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ กฟผ. ก็ขายหุ้นได้ในราคาที่สูงกว่าราคา Par ซึ่งส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Premium) ก็ทำให้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าดีขึ้น และมีผลต่อการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าด้วย การทบทวนอัตราผลตอบแทนการลงทุน อาจส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน และความมั่นใจของผู้ลงทุนอย่างรุนแรง ตลอดจนผลกระทบต่อนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในอนาคตได้
2.3 ประสิทธิภาพของการไฟฟ้า
2.3.1 กำหนดมาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) โดยคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ครั้งต่อไปในเดือนตุลาคม 2544 การกำหนดมาตรฐาน Heat Rate แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ในระยะสั้น กำหนด จากสถิติอัตราการใช้ความร้อนเฉลี่ยตามลักษณะของโรงไฟฟ้า (Heat Rate Curve) ตามกลุ่มเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ที่มีขนาดโรงไฟฟ้า ประเภทโรงไฟฟ้า และการใช้เชื้อเพลิงที่ใกล้เคียงกัน และในระยะยาว กำหนดมาตรฐาน Heat Rate เป็นรายโรงไฟฟ้า ในลักษณะเดียวกันกับที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ผลิต ไฟฟ้าเอกชน ซึ่ง กฟผ. อยู่ระหว่างดำเนินการ
2.3.2 กำหนดมาตรฐานค่าความสูญเสีย (Loss Rate) ที่ กฟผ. ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ควบคุมมลภาวะ และการบริหารงาน เท่ากับร้อยละ 4.92 และค่าความสูญเสียในระบบของ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับร้อยละ 2.49 4.1 และ 5.66 ตามลำดับ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ครั้งต่อไปในเดือนตุลาคม 2544
2.3.3 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ปรับลดการลงทุน ในปี 2544 - 2546 จากแผนเดิมประมาณร้อยละ 30 หรือประมาณ 55,594 ล้านบาท ทำให้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2545 - 2546 ดีกว่าที่ประมาณการไว้เดิม หากนำเงินลงทุนที่ลดลงในปี 2545 - 2546 ดังกล่าว ส่งคืนผู้ใช้ไฟฟ้าผ่านราคาค่าไฟฟ้า จะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 10,000 ล้านบาท/ปี หรือประมาณ 10 สตางค์/หน่วย แต่เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของการไฟฟ้าแล้ว โดยให้ภาคไฟฟ้ามีฐานะการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนด จะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 7 สตางค์/หน่วย นอกจากนี้ หากการไฟฟ้าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพ และปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จะทำให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีฐานะการเงินดีขึ้นอีก
2.4 อัตราเงินนำส่งรัฐ เงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้า และโบนัสของการไฟฟ้า
2.4.1 กระทรวงการคลังเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ว่าไม่ควรเรียกเก็บเงินนำส่งรัฐเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้เดิม กล่าวคือ เงินนำส่งรัฐในปี 2544 เท่ากับร้อยละ 40 และในปี 2545 - 2546 เท่ากับร้อยละ 35
2.4.2 กระทรวงการคลังเห็นว่า การนำเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าปรับเข้าไปอยู่ในฐานเงินเดือน จะไม่ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลง เนื่องจากจะทำให้ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เป็นส่วนควบของเงินเดือนสูงขึ้นตามไปด้วย และเนื่องจากเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือยกเลิกสวัสดิการดังกล่าว ต้องได้รับความยินยอมจากพนักงานด้วย ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของกระทรวงการคลังที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสวัสดิการซึ่ง ถือเป็นสภาพการจ้างได้
2.4.3 การจ่ายเงินโบนัสของ กฟน. เป็นอัตราคงที่ 2 เท่าของเงินเดือนถือเป็นสภาพการจ้าง การแก้ไขเปลี่ยนแปลงต้องได้รับความยินยอมจากพนักงาน หากพนักงาน กฟน. ยินยอมเปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายโบนัสให้เป็นไปตามอัตราโบนัสตามการประเมินผล การดำเนินงานเช่นเดียวกับ กฟผ. และ กฟภ. กระทรวงการคลังไม่ขัดข้องที่จะใช้หลักเกณฑ์การคำนวณโบนัสเช่นเดียวกันทั้ง 3 การไฟฟ้า
2.5 แนวทางในการกำหนดค่า Ft
2.5.1 สำนักบริหารหนี้สาธารณะ มีความเห็นว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะขาด ดุลอย่างต่อเนื่อง เสถียรภาพของค่าเงินบาทยังไม่ดีพอ การให้อิสระในการบริหารหนี้และบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของรัฐ วิสาหกิจยังคงมีข้อจำกัดในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้รัฐวิสาหกิจสามารถบริหารหนี้โดยการปรับโครงสร้างภาระหนี้ต่าง ประเทศ (Refinance) ในสกุลเดิมหรือสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ เพื่อลดต้นทุนของหนี้เงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงได้ ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเห็นเบื้องต้นเช่นเดียวกับสำนักบริหารหนี้สาธารณะ และอยู่ระหว่างการพิจารณาประเด็นความเห็นอื่นนอกเหนือจากความเห็นเบื้องต้น ดังกล่าว
2.5.2 สพช. ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนสูตร Ft ให้ง่ายขึ้นโดยใช้สมการถดถอยเชิงเส้น (Regression) เพื่อหาความสัมพันธ์ของค่า Ft กับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่า Ft พบว่า ค่า Ft ไม่สามารถพยากรณ์ได้ด้วยสมการถดถอยอย่างง่าย สรุปการคำนวณค่า Ft ตามสูตรการปรับในปัจจุบันมีความเหมาะสมและชัดเจนกว่าซึ่งสามารถสะท้อนถึงการ เปลี่ยนแปลงของค่าเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น จริงได้มากกว่า
2.5.3 การเพิ่มผู้แทนผู้บริโภครายย่อยในคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่า ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ มีข้อเสนอแนวทางการคัดเลือก 2 ทางเลือก คือ (1) สุ่มจากรายชื่อผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยทั่วประเทศ (2) ประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาเพื่อดำเนินการคัดเลือกผู้บริโภครายย่อย จากผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยประเภท 1.1 และ 1.2 ที่สมัครเข้ามาทั่วประเทศ โดยผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในองค์ประกอบของสูตร Ft และโครงสร้างค่าไฟฟ้า และสามารถเข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติได้
2.5.4 กฟผ. และ สพช. ได้จัดทำรายละเอียดวิธีการคำนวณค่า Ft รวมทั้งข้อมูลการกำหนดค่าไฟฟ้าฐาน และการปรับค่า Ft ในแต่ละครั้ง แสดงไว้ใน website ของทั้ง 2 หน่วยงาน และ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้จัดทำแผนและดำเนินการประชาสัมพันธ์เรื่องอัตราค่าไฟฟ้าและค่า Ft โดยใช้สื่อที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่ นอกจากนี้ กฟผ. ได้จัดทำสปอตโทรทัศน์ และสปอตวิทยุ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับค่า Ft โดย สพช. จะเริ่มนำสปอตดังกล่าวออกอากาศได้ในวันที่ 24 กันยายน 2544
2.6 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐาน
2.6.1 กฟผ. มีความเห็นว่า อัตราค่าไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้ (Interruptible Rate) ในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับสภาพกำลังการผลิตในปัจจุบัน ไม่ควรลดอัตราค่าพลังไฟฟ้าลงอีก หากมีการลดค่าพลังไฟฟ้าลงอีก ค่าไฟฟ้าที่ลดลงจะถูกส่งผ่านไปให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ รับภาระแทน
2.6.2 กฟน. ได้จัดเตรียมมิเตอร์ TOU ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยใน 2 ทางเลือก ได้แก่ การติดตั้งเครื่องวัดฯ TOU ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 17,000 บาท/เครื่อง และ การอ่านข้อมูลจากเครื่องวัดโดยอัตโนมัติ (AMR) ซึ่งเป็นการดัดแปลงเครื่องวัดฯ เดิมให้เป็น TOU ระบบนี้มีค่าใช้จ่ายแรกเข้า 800 บาท และค่าใช้จ่ายรายเดือนไม่เกิน 120 บาท/เดือน โดยผู้ใช้ไฟฟ้าจะสามารถเลือกใช้ได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2545 เป็นต้นไป
สำหรับ กฟภ. ได้จัดเตรียมมิเตอร์สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยแรงดันกลาง (22-33 เควี) ซึ่งพร้อมติดตั้งแล้วในขณะนี้ โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 18,000 บาท สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย แรงดันต่ำ (ต่ำกว่า 22 เควี) อยู่ระหว่างการจัดซื้อ มิเตอร์ TOU ชนิด 1 สาย โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 17,000 บาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จประมาณเดือนมกราคม 2545 เป็นต้นไป
3. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 ได้พิจารณาเรื่องความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษา โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) แล้ว มีมติ ดังนี้
3.1 เห็นควรให้ ปตท. เร่งรัดการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ให้ผู้ขายก๊าซร่วมรับภาระอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น และพิจารณาแนวทางให้ราคาก๊าซธรรมชาติมีเสถียรภาพมากขึ้น
3.2 เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าดำเนินการสูงสุดในการจัดหาก๊าซฯ (โดยคำนวณบนราคาเนื้อก๊าซ 123 บาท/ล้านบีทียู) สำหรับ กฟผ. และ IPP เท่ากับ 2.1525 บาท/ล้านบีทียู และ SPP เท่ากับ 11.4759 บาท/ล้านบีทียู
3.3 เห็นชอบการกำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน (ROE) กิจการท่อก๊าซสำหรับโครงการใหม่เท่ากับร้อยละ 16 (ภายใต้สมมติฐานต้นทุนทางการเงินของ ปตท. เท่ากับ 10.5%)
3.4 เห็นชอบให้ กฟผ. รับไปดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP และ SPP) เพื่อลดการส่งผ่านผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อไป
3.5 เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) และการกำหนดมาตรฐานค่าความสูญเสีย (Loss Rate) รายละเอียดตามข้อ 2.3.1 และ 2.3.2
3.6 เห็นชอบให้ปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย ตั้งแต่การปรับค่า Ft ในรอบต่อไป โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ รับไปดำเนินการ
3.7 เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินนำส่งรัฐ เงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้า และโบนัสของการไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3.8 เห็นชอบให้มีการคำนวณค่า Ft ตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ดังเช่นในปัจจุบัน
3.9 เห็นชอบวิธีการสรรหาผู้แทนผู้บริโภครายย่อยในคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับ อัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ โดยให้ประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา เพื่อกำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติ รวมทั้งดำเนินการสรรหา
3.10 รับทราบการดำเนินการประชาสัมพันธ์และการเปิดเผยข้อมูลในการพิจารณาปรับค่า Ft รายละเอียดตามข้อ 2.5.4
3.11 เห็นชอบให้คงอัตราค่าไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้เช่นในปัจจุบัน และรับทราบการดำเนินการจัดหามิเตอร์ของ กฟน. และ กฟภ. รายละเอียดตามข้อ 2.6.2 ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาแนวทางในการจัดหามิเตอร์ใน ประเทศที่มีราคาถูกกว่าระบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3.12 มอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการพิจารณาให้ การไฟฟ้ามีอิสระในการบริหารหนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในกรณีที่เป็นการดำเนินการจากสภาพคล่องของการไฟฟ้า
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความคืบหน้าในการจัดหาและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากพืชเป็นเชื้อเพลิง ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรรมรับไปแต่งตั้งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ต่อมาคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2544 และครั้งที่ 3/2544 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2544 ได้มีการพิจารณากำหนดระยะเวลาในการยกเว้นภาษีสรรพสามิตและกองทุนฯ นโยบายการจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง รวมทั้งแผนปฏิบัติการตามโครงการเอทานอลจากพืชเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้วได้ มีหนังสือถึง สพช. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2544 โดย คณะกรรมการฯ ได้มีมติให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณา ดังนี้
1.1 เห็นควรให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงาน (0.05 บาทต่อลิตร) และภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในเนื้อน้ำมันตลอดไป
1.2 เห็นควรให้มีการลดหย่อนหรือยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันและกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ประมาณ 1 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือจนกว่าจะมีการยกเลิกการใช้สาร MTBE ในน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งนี้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
1.3 เห็นควรให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณากำหนดนโยบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับการยกเลิกการใช้สาร MTBE ในน้ำมันเบนซินออกเทน 95 รวมทั้งผลักดันให้มีการใช้เอทานอลผสมในน้ำมันเบนซิน 91 สัดส่วนร้อยละ 10 ในทันทีที่โรงงานผลิตเอทานอลสามารถผลิตเอทานอลเข้าสู่ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ได้อย่างเพียงพอ
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอเรื่อง "นโยบายการตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง" มาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 โดยมีรายละเอียดคือ 1) การขออนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ เอทานอลแห่งชาติก่อน ในทุกกรณี 2) ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่าย เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับนโยบายตามข้อ 1) ต่อไป และเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับผิดชอบ ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณากำหนดกรอบนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริม การจัดหา และการใช้พลังงานทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้น้ำมันและแอลกอฮอล์จากพืชชนิดอื่นๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้มีทิศทางเดียวกัน
3. ความคืบหน้าในการดำเนินการ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2544 สพช. ได้จัดประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะ รัฐมนตรี โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกัน ดังนี้
3.1 การยกเลิกการใช้ MTBE ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เพราะผลกระทบต่อภาวะแวดล้อมในอากาศ แต่เป็นผลกระทบจากการปนเปื้อนต่อคุณภาพน้ำใต้ดินซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นมี น้อยมาก
3.2 ผู้แทนจากสมาคมยานยนต์แห่งประเทศไทยได้ชี้แจงว่า ทางกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมขอให้มีการผ่อนผันข้อกำหนด คุณภาพน้ำมันในเรื่องของอุณหภูมิการกลั่นที่ 50% (T50) และค่าความดันไอน้ำ สมาคมยานยนต์ไม่แนะนำให้ใช้ เนื่องจากมีปัญหาต่อเครื่องยนต์โดยเฉพาะเครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์
3.3 ที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมทะเบียนการค้า กรมควบคุมมลพิษ สมาคมยานยนต์แห่งประเทศไทย บริษัทบางจากฯ และ สพช. ร่วมกันดำเนินการทดสอบผลกระทบจากการใช้เอทานอลผสมในน้ำมันเบนซิน โดยให้ สพช. เป็นแกนกลางในการประสานงาน บริษัท บางจากฯ เป็นผู้เตรียมวัตถุดิบ และให้กรมทะเบียนการค้า กรมควบคุมมลพิษ และสมาคมยานยนต์ แห่งประเทศไทย ประสานงานเพื่อดำเนินการทดสอบผลกระทบต่อเครื่องยนต์และผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อม เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มยานยนต์ ก่อนที่จะนำไปใช้ได้ต่อไป
3.4 กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันไม่เห็นด้วยกับกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้มีการนำเอทานอ ลผสมในน้ำมันเบนซินออกเทน 87 เพื่อให้เป็นเบนซินออกเทน 91 โดยเห็นว่าควรผสมเฉพาะน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ไปจัดทำรายละเอียดต้นทุนจากการใช้เอทานอลผสมในน้ำมัน เบนซิน และผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อนำมาเปรียบเทียบถึงผลดี ผลเสีย ของการใช้เอทานอลผสมในน้ำมันเบนซิน
3.5 กระทรวงอุตสาหกรรมยังไม่มีรายละเอียดในเรื่องการจัดตั้งกองทุนรักษาระดับ ราคาเอทานอล หรือกลไกราคาอื่นที่จะทำให้สามารถจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ในราคาต่ำกว่าน้ำมัน เบนซิน 1 บาทต่อลิตรได้ตลอดเวลา
3.6 ในด้านการปรับปรุงองค์กรส่งเสริมให้นำพืชชนิดต่างๆ มาผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้รวมเป็นองค์กรเดียว เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ ที่ประชุมเห็นว่าควรมีคณะกรรมการในระดับปฏิบัติเพียงคณะเดียว ซึ่งจะไม่ทำให้มีคณะกรรมการมีจำนวนกรรมการมากเกินไป โดยประธานคณะกรรมการใหม่ควรเป็นประธานร่วมระหว่างปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และฝ่ายเลขานุการคือกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงอุตสาหกรรม และ สพช. ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สพช. ประสานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป นอกเหนือจากนั้นที่ประชุมเห็นควรให้มีการทบทวนระเบียบสำนักนายกฯ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการทำงานของคณะกรรมการเอทานอ ลแห่งชาติ โดยให้มีการปรับให้เข้ากับการมีคณะกรรมการระดับปฏิบัติคณะเดียวดังกล่าวข้าง ต้น
4. ในส่วนของการดำเนินการของคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองการอนุญาตตั้งโรงงานผลิต เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ที่ประชุมเห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมยังไม่ควรมีการตกลงผูกพันกับผู้ลงทุน เนื่องจากผู้ ลงทุนอาจจะยังไม่ยอมลงทุนเพราะยังไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งกลุ่มยานยนต์และกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันยังไม่เห็นด้วยกับแนวทางของโครงการ อาจทำให้ไม่ร่วมมือในการผลิต จำหน่าย หรือประชาชนไม่กล้าใช้ และในทางกลับกันถ้าผู้ลงทุนตัดสินใจลงทุนแต่ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ของรัฐ อาจเกิดปัญหากับผู้ลงทุนซึ่งลงทุนไปแล้ว จึงเห็นควรชะลอการดำเนินการให้ทราบผลชัดเจนก่อน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและมีมติมอบให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธานคณะ กรรมการเอทานอลแห่งชาติประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการทดสอบการใช้ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ และหาข้อยุติเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมการใช้เอทานอลเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ของทุกฝ่ายภายในระยะเวลา 1เดือน แล้วนำผลกลับมาเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องที่ 4 แผนการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2542 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เรื่องแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นแกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการจัดทำ ประเด็นนโยบายให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ กล่าวคือ สามารถระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544
2. คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชน ในการแปรสภาพ ปตท. ได้ดำเนินการจัดทำแผนการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ.ปตท.) แล้วเสร็จ โดยได้กำหนดกลยุทธ์ที่จะนำเสนอ บมจ. ปตท. ต่อนักลงทุนในรูปแบบของ บริษัทที่มีธุรกิจก๊าซธรรมชาติครบวงจร มีการดำเนินการในธุรกิจน้ำมัน และการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องครบวงจร ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจหลักที่สร้างผลกำไรให้กับ ปตท. อย่างแท้จริง คือธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
3. จากประมาณการงบลงทุนคาดว่า บมจ. ปตท. จะมีการลงทุนในธุรกิจและโครงการต่างๆ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 90,423 ล้านบาท ในช่วงปี 2544-2548 โดยประมาณร้อยละ 90 เป็นการลงทุนในโครงการของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งยังมีแผนการลงทุนในบริษัทในเครือ ทั้งในรูปของการลงทุนใหม่และการให้การสนับสนุนทางการเงินอีก 22,069 ล้านบาท ในช่วงปี 2544-2548 ดังนั้น บมจ.ปตท. มีความจำเป็นต้องระดมทุนจากการขายหุ้นเพิ่มทุนขั้นต่ำประมาณ 30,000 ล้านบาท
4. มูลค่าหุ้นเบื้องต้นของ บมจ.ปตท. ที่ได้จากการประเมินตามวิธีการประเมินมูลค่าหุ้นแบบแยกประเมินเป็นรายธุรกิจ (Sum of the Parts Valuation) คาดว่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 72,206 ถึง 135,591 ล้านบาท (ราคาหุ้น 37.5-65.0 บาท/หุ้น) และการประเมินราคาได้ถูกจัดทำขึ้นก่อนเวลาที่จะทำการเสนอ ขายจริงมาก อีกทั้งเป็นการวิเคราะห์จากประมาณการทางการเงินภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะ แตกต่างจากสถานการณ์ ณ เวลาที่ทำการเสนอขายหุ้น
ดังนั้น ช่วงราคาจะสามารถกำหนดให้แคบลงได้ก่อนเริ่มทำการตลาดเต็มรูปแบบ ในช่วงการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ (Roadshow) ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2544 โดย บมจ.ปตท. จะสามารถกำหนดช่วงราคาสุดท้าย ด้วยวิธีการประกวดราคาสะสม (Book Building)
5. เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเงินทุนของ บมจ. ปตท. ที่ต้องการเงินทุนจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 30,000 ล้านบาท สำหรับการชำระหนี้และเพื่อการลงทุนขยายงานโดยเฉพาะธุรกิจก๊าซธรรมชาติ โดยคำนึงถึงโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม และนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอนาคต ปตท. จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอจำนวนหุ้นเพิ่มทุนไว้ที่จำนวนประมาณ 500 - 850 ล้านหุ้น (ซึ่งจะทำให้จำนวนหุ้น ทั้งหมดภายหลังการเสนอขายมีจำนวนประมาณ 2,500-2,850 ล้านหุ้น) ณ ระดับราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งจะ ส่งผลถึงจำนวนหุ้นเพิ่มทุนที่จะทำการเสนอขาย ตลอดจนสัดส่วนการถือครองหุ้นของภาครัฐภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน
6. กระทรวงการคลัง (กค.) อาจเสนอขายหุ้นที่ถืออยู่ใน บมจ.ปตท. จำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น และขายหุ้น เพิ่มเติมด้วยวิธีการจัดสรรหุ้นเกินจำนวนโดยใช้ช่วงราคาเบื้องต้นที่ 37.50 - 65.00 บาทต่อหุ้น และให้สิทธิผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ซื้อหุ้นในจำนวนที่จัดสรรเกินจำนวน (Greenshoe) อีกจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนการเสนอขายหุ้นรวมก่อนการจัดสรรหุ้นเกินจำนวน ทั้งนี้เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใน บมจ. ปตท. ไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ซึ่งประมาณการมูลค่าการขายหุ้นรวมทั้งในส่วนของหุ้นเดิม และหุ้นเพิ่มทุนพบว่า ปตท. และ กค. จะมีรายได้รวมจากการขายหุ้นอยู่ในช่วงประมาณ 33,750-42,167 ล้านบาท โดยที่สัดส่วนการถือครองหุ้นของ กค. ภายหลังจากการขายหุ้นจะอยู่ระหว่างร้อยละ 62.10 - 76.57
7. สัดส่วนการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ จะเป็นร้อยละ 60 และ 40 ตามลำดับ และหากความต้องการของนักลงทุนในประเทศมีจำนวนมาก ปตท. และ กค. สามารถเพิ่มจำนวนหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่นักลงทุนในประเทศได้อีกไม่เกินร้อย ละ 15 ของจำนวนหุ้นที่จะเสนอขายทั้งหมด (Claw-back Portion) นอกจากนั้น เพื่อให้พนักงาน ปตท. มีส่วนร่วมในการแปลงสภาพและความเป็นเจ้าของ บมจ. ปตท. จึงได้มีการให้สิทธิแก่พนักงาน ปตท. ในการซื้อหุ้นในราคา par ด้วย
8. ในการกำหนดสัดส่วนการเสนอขายหุ้นให้กับนักลงทุนแต่ละประเภทในเบื้องต้น โดยแบ่งเป็น นักลงทุนบุคคลธรรมดาในประเทศ นักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ โดยการจำหน่ายหุ้นให้แก่นักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศ จะทำการจัดจำหน่ายผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมเป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายที่มี สาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ สำหรับการจัดจำหน่ายหุ้นให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ จะใช้วิธีการประกวดราคาแบบสะสม (Book Building) หลังจากการนำเสนอข้อมูลของผู้บริหาร (Management Roadshow) และจะทำการจำหน่ายผ่านเครือข่ายของกลุ่มที่ปรึกษาทางการเงิน ต่างประเทศตามกฎการเสนอขายหุ้นแบบ Private Placement
กำหนดการจำหน่ายหุ้น มีดังนี้
การทำการสำรวจตลาดเบื้องต้น 15 -26 ตุลาคม 2544
การกำหนดช่วงราคาหุ้นที่เสนอขาย 26 ตุลาคม 2544
การนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ 29 ตุลาคม-16 พฤศจิกายน 2544
กำหนดการจองซื้อของนักลงทุนบุคคลธรรมดาในประเทศ 12-16 พฤศจิกายน 2544
การกำหนดราคาหุ้นที่เสนอขาย 16 พฤศจิกายน 2544
กำหนดชำระราคาของนักลงทุนประเภทสถาบัน 19 พฤศจิกายน 2544
หุ้น บมจ.ปตท. ทำการซื้อขายใน ตลท. 3 ธันวาคม 2544
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการของแนวทางและแผนการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) ตามข้อ 2. ของเอกสารประกอบวาระ 4.1
2.รับทราบผลการประเมินมูลค่าหุ้น บมจ.ปตท. ในเบื้องต้น ตามข้อ 2 ของเอกสารประกอบวาระ 4.1 ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปหากมีการปรับเปลี่ยนสมมติฐาน และเมื่อมีการสำรวจความต้องการของนักลงทุนก่อนการเสนอขายหุ้น ทั้งนี้การกำหนดช่วงราคาสุดท้ายให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการ> ดำเนินการระดมทุนฯ จากภาคเอกชนในการแปรสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
3.อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บมจ.ปตท. จำนวน 850 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าทุน จดทะเบียน 8,500 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้ บมจ.ปตท. สามารถระดมเงินทุนในจำนวนที่ต้องการได้ในกรณีที่ราคาหุ้นที่เสนอขายอยู่ใน ระดับต่ำ โดยคาดว่าการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจะอยู่ในช่วงระหว่าง 500-850 ล้านหุ้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจในการเสนอขายหุ้นขึ้นอยู่กับการอนุมัติขั้นสุดท้าย จากคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ โดยหากราคาที่เสนอขายหุ้นมีราคาสูง จำนวนหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขายก็จะมีจำนวนน้อยกว่าจำนวน ที่ขออนุมัติไว้
4.ให้มีการขายหุ้นเดิมของ บมจ.ปตท. ที่ กระทรวงการคลัง (กค.) ถืออยู่ ควบคู่ไปกับการขายหุ้น เพิ่มทุนของ บมจ.ปตท. ในครั้งนี้ ในจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น และให้เป็นสิทธิของ กค. ที่จะเสนอขายหุ้นโดยวิธีการจัดสรรหุ้นเกินจำนวนโดยวิธี Greenshoe เพิ่มเติม และหากตลาดฯ ไม่สามารถรองรับการเสนอขายหุ้นได้ทั้งจำนวน ให้พิจารณาให้ความสำคัญแก่การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.ปตท. ก่อนเป็นประการแรก ทั้งนี้ ให้ผู้จัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายที่ ปตท. แต่งตั้งในการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. ปตท. เป็นผู้จัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. ปตท. ที่ กค. จะเสนอขายในคราวเดียวกันนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้จัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายและ ปตท. ได้ตกลงกันแล้ว และให้ กค. ร่วม รับผิดชอบค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่าย ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องตามสัดส่วนของจำนวนเงินที่ กค. และ บมจ. ปตท. ได้รับจากการขายหุ้น
5.เห็นชอบให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ สามารถพิจารณาแตกมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Split) ของ บมจ.ปตท. ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
6.อนุมัติแนวทางการจัดสรรหุ้นให้แก่พนักงานตามโครงการการให้พนักงานมีส่วน ร่วมในความเป็นเจ้าของ ตามข้อ 2.4.4 ของเอกสารประกอบวาระ 4.1 โดยให้ภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของพนักงานที่เกิดจากการได้รับจัดสรรหุ้น คำนวณจากส่วนต่างระหว่างมูลค่าหุ้นทางบัญชี (Book Value) ตามงบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบล่าสุด (ณ 31 ธันวาคม 2543) กับราคาหุ้นที่พนักงานได้รับ อีกทั้งกำหนดให้การคำนวณภาษีดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด และไม่มีการคำนวณภาษีย้อนหลังเมื่อมีการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นในภายหลัง
7.เห็นชอบให้ ปตท. และ กค. รวมแผนการทำ Greenshoe & Stabilization เข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของแผนการแปรรูปและระดมทุนของ บมจ.ปตท. ในครั้งนี้
8.ให้ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีให้มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องราคาและจำนวนการเสนอขาย เพื่อให้การกำหนดราคาขั้นสุดท้ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทั้งนี้ คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ และคณะกรรมการ ปตท. (หรือผู้แทน) จะจัดให้มีการประชุมเพื่อการตัดสินใจร่วมกันทันทีที่การทำ Roadshow เสนอขายหุ้นแล้วเสร็จ
9.เห็นชอบให้ บมจ.ปตท. และ กค. ไม่ต้องนำสัญญา และ/หรือ ข้อตกลงต่างๆ ดังกล่าวเสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาก่อนการลงนามสัญญา และ/หรือ ข้อตกลง
10.เห็นควรให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ สามารถพิจารณาอนุมัติการปรับเปลี่ยนแนวทางและรายละเอียดแผนการระดมทุนของ บมจ.ปตท. ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดทุน ณ ช่วงเวลาการเสนอขาย
เรื่องที่ 5 การกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เรื่องนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล ที่กำหนดให้มีการกำกับดูแลโดย กพช.และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ดังนี้
1) การพิจารณาอนุมัติการจัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว และแผนการลงทุนระยะยาว ของระบบท่อก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ ก่อนการประกาศใช้
2) การพิจารณาอนุมัติสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับผู้ผลิต
3) การเปลี่ยนแปลงหลักการของนโยบายการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ หลักการในการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อ และค่าการตลาด (ค่าจัดหา/จำหน่าย)
4) การกำกับดูแลการปรับอัตราค่าผ่านท่อ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นไป
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ครั้งที่ 6/2544 ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษา โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ ในประเด็นราคาก๊าซธรรมชาติ ที่ประชุมได้เสนอให้มีการทบทวนอัตรา ผลตอบแทนการลงทุนในกิจการค่าผ่านท่อ ซึ่งมีข้อสรุปว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุน (ROE) ของการลงทุน ใหม่ในระบบท่อควรอยู่ในระดับร้อยละ 16 ภายใต้สมมติฐานทางการเงินร้อยละ 10.5 ส่วนอัตราค่าผ่านท่อ ในปัจจุบันคำนวณจากการลงทุนในระบบท่อปัจจุบันให้อยู่ในระดับเดิม
2. ราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าบริการส่งก๊าซฯ ในปัจจุบัน
2.1 ราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับผู้ใช้ก๊าซฯ ได้กำหนดไว้ ดังนี้ 1) ราคาก๊าซ ธรรมชาติที่จำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPPs) ประกอบด้วย ราคาก๊าซมีค่าเท่ากับผลรวมของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติกับค่าตอบแทนใน การจัดหาและจำหน่าย (1.75% ของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซ แต่ต้องไม่สูงกว่า 2.1525 บาท/ล้านบีทียู) กับค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ 2) ราคาก๊าซธรรมชาติที่จำหน่ายให้แก่ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPPs) ประกอบด้วย ราคาก๊าซมีราคาเท่ากับ ผลรวมของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติกับค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่าย (9.33% ของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซ แต่ต้องไม่สูงกว่า 11.4759 บาท/ล้านบีทียู) กับค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ 3) ราคาก๊าซธรรมชาติที่จำหน่ายให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ให้ใช้หลักการของการกำหนดราคาตามราคาเชื้อเพลิงที่ก๊าซธรรมชาติเข้าไปทดแทน
2.2 อัตราค่าบริการแบ่งเป็น 3 พื้นที่ ดังนี้ คือ พื้นที่ 1 : ระบบท่อก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ระยอง พื้นที่ 2 : ระบบท่อก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ขนอม และพื้นที่ 3 : ระบบท่อก๊าซธรรมชาติบนฝั่ง
2.3 อัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติคำนวณตามค่าความร้อน ประกอบด้วย ค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ (Demand Charge) คำนวณจากค่าใช้จ่ายในการให้บริการคงที่ของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติคิดตาม ปริมาณก๊าซที่ตกลงในสัญญา มีหน่วยเป็นบาทต่อล้านบีทียู และค่าบริการส่วนของต้นทุนผันแปร (Commodity Charge) คำนวณจากค่าใช้จ่ายการให้บริการส่วนผันแปรของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ คิดตามปริมาณก๊าซที่มีการรับส่งจริง มีหน่วยเป็นบาทต่อล้านบีทียู
2.4 หลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าบริการส่วนที่เป็นค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ ที่สำคัญๆ มีดังนี้ 1) ผลตอบแทนการลงทุน (Return on Equity : ROE) ร้อยละ 18 ณ อัตราแลกเปลี่ยนในระดับ 25 บาท/เหรียญสหรัฐฯ และ 2) ค่าใช้จ่ายดำเนินการที่คงที่และค่าบำรุงรักษาท่อก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 3 ของ เงินลงทุนโครงการ โดยกำหนดให้คงที่ไม่มี escalation ขณะเดียวกันได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินกู้โครงการ ให้สัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt to Equity) เท่ากับ 75:25 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวเท่ากับ >ร้อยละ 10.5 ต่อปี รวมทั้ง ให้คิดค่าเสื่อมราคา แบบวิธีเส้นตรงตามจำนวนอายุระบบท่อและปริมาณสำรองก๊าซฯ
2.5 กำหนดให้ปรับเปลี่ยนอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ เป็นระยะ (Periodic Adjustment) ให้มีการทบทวนการคำนวณค่าผ่านท่อทุกระยะเวลา 5 ปี และ/หรือ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงการลงทุน ในระบบ Main System และการปรับเปลี่ยนตามดัชนี (Index Adjustment) โดยการปรับอัตราค่าบริการผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ ดังกล่าว ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแล/ดำเนินการของ สพช.
3. หลังจากที่ได้กำหนดให้มีการกำกับดูแลระบบการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตรา ค่าผ่านท่อโดย กพช./สพช. เริ่มตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ได้มีการพิจารณาเพื่อปรับอัตราค่าผ่านท่อมาเป็นระยะๆ ดังนี้
3.1 การปรับอัตราค่าผ่านท่อในส่วนของต้นทุนคงที่ในปี 2542 ได้มีการปรับปรุงข้อมูลมูลค่า การลงทุนการปรับปริมาณรับส่งก๊าซฯ ปี 2539-2541 ตามจริง เพื่อให้รายได้ค่าผ่านท่อของปีที่ผ่านมาในแบบจำลอง (Model) เป็นตัวเลขตามจริงด้วย และมีการปรับเพิ่มเงินลงทุนโครงการท่อเบญจมาศ (Roll-in)
3.2 การปรับอัตราค่าผ่านท่อในปี 2544 เห็นสมควรให้มีการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อรวมในพื้นที่ 3 (Zone 3) ใหม่ โดยรวมเงินลงทุนโครงการท่อส่งก๊าซฯ บ้านอิต่อง-ราชบุรี และราชบุรี-วังน้อย เข้าไปด้วย
3.3 อัตราค่าผ่านท่อส่วนที่เป็นต้นทุนผันแปร (Commodity Charge) ในปีสัญญา 2539 มีอัตราเท่ากับ 0.2261 บาทต่อล้านบีทียู และได้มีการปรับเพิ่มในปี 2541 เป็น 0.2698 บาทต่อล้านบีทียู
4. สพช. ได้จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ ในการกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะต่อไปเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ประกาศดังกล่าวให้คงหลักเกณฑ์เดิมในการกำหนดราคาก๊าซและอัตราค่า บริการส่งก๊าซ และเพิ่มเติมข้อกำหนดในการคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซ สำหรับการบริการส่งก๊าซตามแผนแม่บทท่อส่งก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
4.1 ข้อกำหนดของระบบท่อตามแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 ใช้การคำนวณเช่นเดียวกับระบบท่อส่งก๊าซในปัจจุบัน ยกเว้น 1) กำหนดผลตอบแทนการลงทุน (ROE) ร้อยละ 16 ณ อัตราแลกเปลี่ยนในระดับ 45 บาท/เหรียญสหรัฐ โดยความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นความรับผิดชอบของผู้ให้บริการระบบ ท่อส่งก๊าซ 2) ให้ท่อมีอายุการใช้งาน 40 ปี และ 3) ข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินกู้ของโครงการให้ สัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของเท่ากับ 75 : 25 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวเท่ากับร้อยละ 10.5 ต่อปี และการชำระคืนเงินกู้ให้เป็นไปตามที่จะตกลงกับ สพช.
4.2 สพช. มีอำนาจกำหนดเส้นทางของราคาค่าบริการ (Price Path) ในการปรับค่าใช้จ่ายจากการลงทุนเพิ่มเติมหรือการปรับแผนการลงทุนใหม่
4.3 เนื่องจากได้มีการทบทวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซครั้งล่าสุด เมื่อต้นปี 2544 ดังนั้นหากไม่มีการปรับเปลี่ยนการลงทุน อัตราค่าบริการส่งก๊าซในปัจจุบันจะมีผลบังคับในช่วงปี พ.ศ. 2544-2548
4.4 กำหนดให้ผู้ให้บริการระบบส่งก๊าซ คำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซ ตามหลักเกณฑ์ของประกาศฉบับนี้ แล้วนำเสนอ สพช. พร้อมรายละเอียดการคำนวณเพื่อขอความเห็นชอบและเมื่อได้รับความ เห็นชอบแล้วให้ประกาศใช้ได้ โดยให้ผู้ให้บริการระบบส่งก๊าซประกาศค่าบริการส่งก๊าซ เพื่อให้ผู้ใช้บริการทราบโดยทั่วกัน
4.5 ในกรณีที่ สพช. หรือผู้ให้บริการระบบท่อส่งก๊าซ เห็นว่าอัตราค่าบริการที่ให้ความเห็นชอบ ไปแล้วไม่เหมาะสมจากการเปลี่ยนแปลงตามข้อกำหนด สพช. หรือผู้ใช้บริการท่อส่งก๊าซมีสิทธิในการให้/ขอ ทบทวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซ นอกจากนี้ในส่วนของค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายก๊าซให้มีสิทธิ์ทบทวนได้ เช่นกัน
4.6 ให้ผู้จัดหาก๊าซและผู้ให้บริการระบบส่งก๊าซ จัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซ ให้แก่ สพช. ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามที่ สพช. กำหนดและให้ผู้จัดหาก๊าซและผู้ให้บริการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับราคาก๊าซและ ค่าบริการส่งก๊าซตามหลักเกณฑ์ที่ สพช. กำหนด
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางในการดำเนินการกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะต่อไป ตามข้อ 4
2.ให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2544 เรื่องหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ ดังรายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.2.1 โดยมอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปปรับปรุงถ้อยคำให้มีความชัดเจนแล้วนำเสนอประธานคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ ลงนามต่อไป
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 14-20 กันยายน 2558
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 19 ธันวาคม 54
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 19-25 พฤษภาคม 2557
กพช. ครั้งที่ 85 - วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 85)
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2544 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
2.สถานการณ์พลังงานของไทยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544
3.การลดค่าไฟฟ้าจากการลดค่าก๊าซธรรมชาติ
4.รายงานการศึกษาของคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
5.ความคืบหน้าในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP SPP และโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน
6.ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544
8.แนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินในประเทศ
9.ราคาจำหน่ายไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้าน
10.ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
11.แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544-2554
12.การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม
รองนายกรัฐมนตรี นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าร่วมประชุม ในครั้งนี้ว่า เพื่อติดตามผลการดำเนินงานด้านพลังงานในเรื่องต่างๆ ดังนี้ คือ
1.พลังงานทดแทนที่เกี่ยวกับผลผลิตทางเกษตรบางชนิดที่มีผลกระทบต่อการมองภาพรวมราคาสินค้าทางเกษตร
2.ความก้าวหน้าของการรณรงค์ในการประหยัดพลังงาน
3.น้ำมันเถื่อน
4.ประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้ผลิตพลังงานที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิตที่ส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
5.ผลกระทบของการปรับเปลี่ยนเวลาในประเทศไทยที่มีต่อกิจกรรมด้านพลังงาน
6.เรื่องค่าไฟฟ้าสาธารณะเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความสัมพันธ์กับค่า Ft
เรื่องที่ 2 สถานการณ์พลังงานของไทยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาพรวมการใช้ การผลิต การส่งออกและนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ มีดังนี้
1.1 การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 1,205 พันบาร์เรล น้ำมันดิบ/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นในส่วนของการใช้ ก๊าซธรรมชาติ และการใช้ลิกไนต์/ถ่านหิน ขณะที่การใช้น้ำมันปิโตรเลียมลดลง การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประกอบด้วย น้ำมันปิโตรเลียมร้อยละ 47.0 ก๊าซธรรมชาติร้อยละ 36.2 ลิกไนต์และถ่านหินร้อยละ 14.1 ไฟฟ้าพลังน้ำและนำเข้าร้อยละ 2.8
1.2 การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 592 พันบาร์เรล น้ำมันดิบ/วัน ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2543 โดยลดลงในส่วนของการผลิตก๊าซธรรมชาติ และการผลิตลิกไนต์ ขณะที่การผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ประกอบด้วย ก๊าซธรรมชาติร้อยละ 58.7 ลิกไนต์ร้อยละ 18.2 น้ำมันดิบร้อยละ 10.0 คอนเดนเสทร้อยละ 8.1 และไฟฟ้าพลังน้ำร้อยละ 5.0
1.3 ปริมาณการนำเข้า (สุทธิ) พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 744 พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 สาเหตุสำคัญจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่าเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนั้น การนำเข้าถ่านหินและน้ำมันดิบก็มีอัตราการเพิ่มในระดับที่สูงเช่นเดียวกัน และยังคงมีการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเนื่องจากการผลิตสูง กว่าความต้องการใช้
2. สถานการณ์พลังงานแต่ละชนิด มีดังนี้
2.1 การใช้ก๊าซธรรมชาติในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 2,425 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.2 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาในปีนี้สูงขึ้นมากทำให้ กฟผ. ลดการใช้น้ำมันเตาลงและใช้ ก๊าซธรรมชาติแทน นอกจากนั้นยังมีโรงไฟฟ้าจากโครงการ IPP ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเริ่มผลิตไฟฟ้าจ่ายเข้าระบบของ กฟผ. ส่วนปริมาณการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2543 เล็กน้อย
2.2 ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในช่วงครึ่งแรกของปี 2544 มีจำนวน 59 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 แหล่งผลิตที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งเบญจมาศ แหล่งสิริกิติ์ และแหล่งทานตะวัน ปริมาณการผลิตภายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 7.8 ของความต้องการน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่น จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวน 706 พันบาร์เรล/วัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 146,400 ล้านบาท
2.3 การผลิตลิกไนต์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 9.0 ล้านตัน ผลิตจากเหมือง แม่เมาะของ กฟผ. ร้อยละ 79 ที่เหลือร้อยละ 21 ผลิตจากเหมืองเอกชน ลิกไนต์ที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าจำนวน 7.5 ล้านตัน (ร้อยละ 83) ที่เหลือนำไปใช้ในโรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานกระดาษ โรงทอผ้าและอื่นๆ นอกจากนั้นมีการนำเข้าถ่านหินจำนวน 2.4 ล้านตัน มาใช้ในโรงไฟฟ้าของ SPP และโรงงานอุตสาหกรรม ดังกล่าว
2.4 การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในครึ่งแรกของปี 2544 ชะลอตัวลง โดยมีปริมาณการใช้ 593 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2543 โดยการใช้น้ำมันเตา น้ำมันเบนซินและดีเซลลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง แต่การใช้น้ำมันเครื่องบินและ LPG เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้ LPG เพิ่มขึ้นสูงในรถแท๊กซี่ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ LPG เพราะรัฐบาลยังคงอุดหนุนราคา LPG สำหรับกำลังการกลั่นรวมของประเทศในปี 2544 อยู่ที่ระดับ 995 พันบาร์เรล/วัน โดยการผลิตยังคงสูงกว่าความต้องการภายในประเทศทำให้มีการส่งออก (สุทธิ) จำนวน 106 พันบาร์เรล/วัน
2.5 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 รัฐบาลมีรายได้ภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 33,000 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 70 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2544 ติดลบประมาณ 13,603 ล้านบาท
3. สถานการณ์ไฟฟ้า มีดังนี้
3.1 กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าของ กฟผ. และการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนและนำเข้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 22,335 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตติดตั้งของ กฟผ. จำนวน 15,116 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67.7 รับซื้อจาก IPP จำนวน 5,266 เมกะวัตต์ และ SPP 1,613 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนโดยรวมร้อยละ 30.8 และนำเข้าจาก สปป.ลาว 340 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.5 ในขณะที่ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในระดับ 16,126 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.1 และอัตราสำรองไฟฟ้า (Reserved Margin) อยู่ในระดับ 31.0
3.2 ปริมาณการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 51,951 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในอัตราร้อยละ 6.3 โดยเป็นการผลิตจาก กฟผ. ร้อยละ 60 และรับซื้อจากเอกชนและนำเข้าร้อยละ 40
3.3 ปริมาณการใช้ไฟฟ้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 46,169 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 7.3 โดยสาขาธุรกิจและอุตสาหรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 บ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 และภาคเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 ในขณะที่ทางด้านลูกค้าตรง กฟผ. ลดลงร้อยละ 2.4 โดยแบ่งเป็น การใช้ไฟฟ้าในเขตนครหลวง มีจำนวน 16,946 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 และการใช้ไฟฟ้าเขตภูมิภาค มีจำนวน 28,336 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง มีดังนี้
4.1 ราคาน้ำมันดิบตั้งแต่ช่วงต้นปี 2544 เป็นต้นมา ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $3-4 ต่อบาร์เรล จากการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปค 3 ครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน และกันยายน รวม 3.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ทำให้ความต้องการใช้ในปีนี้ไม่สูงเท่าที่ควร กลุ่มโอเปคจึงลดกำลังการผลิตลงเพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้ลดต่ำลงมาก น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ช่วงก่อนเดือนเมษายนราคาปรับตัวสูงขึ้นจาก ช่วงต้นปีประมาณ $6-8 ต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ในฤดูร้อน หลังจากนั้นจึงปรับตัวลดลงประมาณ $10 ต่อบาร์เรล จากปริมาณสำรองที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ไม่สูงเท่าที่ประมาณการไว้ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงต้นปีประมาณ $2-3 ต่อบาร์เรล จากปริมาณสำรองที่ค่อนข้างต่ำ
4.2 ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงจากระดับ 43 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในช่วงต้นปีมาอยู่ที่ระดับ 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนน้ำมันเพิ่มขึ้น 36 สตางค์/ลิตร ราคาขายปลีกของไทยปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบ โดยเบนซินปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 บาท/ลิตร จากช่วงต้นปีถึงปลายเดือนเมษายน หลังจากนั้น จึงปรับตัวลดลงประมาณ 1.50 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วจากช่วงต้นปีถึงปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1 บาท/ลิตร ค่าการการตลาดโดยรวมของประเทศอยู่ที่ระดับประมาณ 1.20 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 0.50-1.00 บาท/ลิตร ($1.80-3.60 ต่อบาร์เรล)
4.3 แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 4 ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $2-3 ต่อ บาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ราคาเบนซินจะปรับตัวลดลงหลังเดือนกันยายน ส่วนราคาดีเซลหมุนเร็วจะปรับตัวสูงขึ้นหลังเดือนตุลาคมไปแล้ว จากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในฤดูหนาว ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยเบนซินออกเทน 95 91 และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 15-16 14-15 และ 15-16 บาท/ลิตร ตามลำดับ
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อสังเกตต่อที่ประชุมว่า การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าการนำเข้าและส่งออกของพลังงานในประเทศ ควรคำนวณเป็นหน่วยของดอลลาร์สหรัฐด้วย เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของงบดุลการค้าด้านพลังงานของ ประเทศ และได้สอบถามถึงปริมาณสำรองลิกไนต์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันที่เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ว่าจะใช้ได้อีกเป็นระยะเวลานานเท่าไร และผลการดำเนินงาน ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ขณะนี้มีความก้าวหน้าระดับใด
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าปริมาณสำรองลิกไนต์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันที่ เหมืองแม่เมาะ จะใช้งานได้อีกประมาณ 70 ปี และได้มีการดำเนินการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้า แม่เมาะหน่วยที่ 4 - 13 แล้วเสร็จ ส่วนหน่วยที่ 1 - 3 จะไม่มีการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซฯ ทั้งนี้จะนำข้อมูลต่างๆ มานำเสนอในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานของประเทศ ในวันที่ 12 กันยายน 2544 ด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การลดค่าไฟฟ้าจากการลดค่าก๊าซธรรมชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2544 ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ดำเนินการเจรจาเพื่อขอเกลี่ยราคาก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งทบทวนดัชนีราคาในสูตรราคากับผู้รับสัมปทาน และพิจารณาความเป็นไปได้ในการลดค่าดำเนินการ (Margin) ให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ปัจจุบัน
2. ปตท. ได้ดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตก๊าซฯ แหล่งบงกช 3 ราย คือ ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท โททาลฟีน่าเอลฟ์ เอ็กซ์พลอเรชั่น ประเทศไทย จำกัด และบริษัท บริติช ก๊าซ เอเซียแปซิฟิค จำกัด ให้ลดราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. ซื้อเกินจากที่ทำสัญญาไว้ในช่วงเดือนสิงหาคม - พฤษภาคม 2545 รวม 8 เดือน จำนวน 31.14 พันล้านลูกบาศก์ฟุต โดยผู้ผลิตก๊าซฯ แหล่งบงกชได้ให้ส่วนลดค่าก๊าซฯ จากก๊าซฯ ส่วนเกินที่ ปตท. ซื้อคิดเป็นเงินจำนวน 863 ล้านบาท และส่วนลดราคาก๊าซฯ ที่ได้มา ทำให้ ปตท. ต้องรับก๊าซฯ จากแหล่งบงกชซึ่งมีราคาแพงกว่าแหล่งยูโนแคลเพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 535 ล้านบาท ดังนั้น ผลประโยชน์สุทธิที่ได้รับจะมีเพียง 328 ล้านบาท ปตท. จึงเสนอให้นำมาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่มีรายได้น้อย
3. การนำเงินส่วนลดค่าก๊าซฯ ทั้งจำนวน 863 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยประเภท 1.1 จะส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอื่นต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นผ่านค่า Ft ประมาณ 2 สตางค์/หน่วย เนื่องจากราคาก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้น คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการลดค่าไฟฟ้าตามแนวทางดังนี้
3.1 ให้นำส่วนลดค่าก๊าซธรรมชาติสุทธิจำนวน 328 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า บ้านอยู่อาศัยประเภท 1.1 (บ้านอยู่อาศัยที่ใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน และติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าขนาดไม่เกิน 5 แอมแปร์) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 8.78 ล้านราย เพียงเดือนเดียว ในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนสิงหาคม 2544 โดยยกเว้นค่าบริการรายเดือน 8.76 บาท/ราย (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และลดค่า พลังงานไฟฟ้า เท่ากับ 45.06 สตางค์/หน่วย (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าเมื่อหักส่วนลดแล้วจะไม่ ต่ำกว่าศูนย์
3.2 การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าตามข้อ 3.1 ให้แสดงเป็นรายการพิเศษในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้า และให้ กฟน. และ กฟภ. ส่งใบเรียกเก็บเงินการจ่ายส่วนลดที่จ่ายจริงไปยัง ปตท. โดยตรง
3.3 เงินที่เหลือซึ่งมีอีกจำนวนประมาณ 535 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย (ถ้ามี) ให้ ปตท. นำมาลดค่าก๊าซฯ ให้แก่ กฟผ. เพื่อบรรเทาผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของค่า Ft ในรอบต่อไป (ต.ค. 2544 - ม.ค. 2545)
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึง การใช้ไฟฟ้า 5 หน่วย/เดือน ว่าจะมีอุปกรณ์ไฟฟ้าประเภทใดบ้างและผู้ใช้ไฟฟ้าในชุมชนแออัด ที่มีการใช้ไฟส่องสว่าง 2 -3 ดวง จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเท่าใด ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 5 หน่วย/เดือน ส่วนใหญ่จะเป็นห้องแถวหรือบ้านอยู่อาศัยที่ไม่มีผู้พักอาศัยอยู่ ซึ่งไม่มีการใช้ไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟส่องสว่าง 2 -3 ดวง จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 30 หน่วย/เดือน ทั้งนี้ บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยประมาณ 67 หน่วย/เดือน ซึ่งบ้านอยู่อาศัยประเภทนี้ จะไม่มีเครื่องปรับอากาศ
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่นำส่วนลดค่าก๊าซฯ มาลดค่าไฟฟ้าเพียงเดือนเดียว เนื่องจากจะทำให้เห็นผลจากการลดค่าไฟฟ้าได้มาก และหากการลดค่าก๊าซฯ มีระยะเวลานานไป จะส่งผลกระทบต่อโครงการประหยัดไฟกำไรสองต่อ ซึ่งจะเริ่มโครงการในเดือนกันยายน 2544 ทำให้ไม่สามารถเห็นผลจากการประหยัดที่ชัดเจน
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ในฐานะประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดย อัตโนมัติ (Ft) เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) ซึ่งคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ได้พิจารณาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่า Ft และมีข้อเสนอ ข้อสังเกต รวมทั้งความเห็นในการแก้ไขปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่า Ft ดังนี้
1.1 เห็นควรให้ ปตท. เร่งเจรจาปรับปรุงสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กับผู้ขายก๊าซฯ พร้อมกับให้ลดค่าดำเนินการลง รวมทั้ง อัตราผลตอบแทน Equity IRR ของค่าผ่านท่อที่มีอัตราสูงเกินไป ส่วนภาระ Take-or-Pay ไม่ควรผลักภาระให้แก่ผู้บริโภคมากเกินไป และควรเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น
1.2 ในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเห็นควรให้ กฟผ. รับไปเจรจาราคารับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และควรมีการทบทวนความเหมาะสมของการส่งผ่านผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในโครง สร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ SPP รวมทั้งควรทบทวนความเหมาะสมของอัตราผลตอบแทนการ ลงทุนของบริษัทผลิตไฟฟ้าในเครือของ กฟผ. ซึ่งในเรื่องของการทบทวนอัตราผลตอบแทนการลงทุนดังกล่าว บางหน่วยงานเห็นว่าอาจเกิดผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นและนโยบายการแปรรูปในอนาคต
1.3 ด้านประสิทธิภาพของการไฟฟ้า เห็นควรกำหนดมาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) และมาตรฐานค่าความสูญเสีย (Loss Rate) ของระบบไฟฟ้า และให้ สพช. รับไปพิจารณาการชะลอแผนการลงทุนของการไฟฟ้าว่าจะสามารถทำให้ลดค่าไฟฟ้าได้ หรือไม่โดยเร่งด่วน
1.4 อัตราเงินนำส่งรัฐควรเป็นไปตามเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด ส่วนโบนัสและเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสม
1.5 ไม่ควรยกเลิกค่า Ft เพราะจะทำให้การไฟฟ้าประสบปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง และควรให้ค่า Ft เปลี่ยนแปลงตามต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อภาระหนี้ของการไฟฟ้า และผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อในค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ค่าเชื้อเพลิง (Non-Fuel Cost) ทั้งนี้ การไฟฟ้าควรมีอิสระในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของตนเองในระดับหนึ่ง
1.6 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐาน ควรกำหนดส่วนลดค่าไฟฟ้าเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟได้ เป็นการชั่วคราว และควรเร่งจัดหามิเตอร์ประเภท TOU ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย รวมทั้ง ควรหาแนวทางลดภาระค่ามิเตอร์ให้แก่ผู้ใช้ไฟ
2. เครือข่ายคณะทำงานติดตามตรวจสอบค่า Ft ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้ยกเลิกการเก็บค่า Ft และให้ยกเลิกการคิดค่าบริการ โดยให้มีการทบทวนโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน และรัฐบาลควรเร่งผลักดันให้มี องค์กรอิสระผู้บริโภค ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดเตรียมข้อมูลตอบข้อร้องเรียนดังกล่าวเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงานแล้ว
3. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 และได้พิจารณาเรื่องผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ แล้วมีมติดังนี้
3.1 เห็นชอบในหลักการข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ โดยให้นำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดย อัตโนมัติ (Ft) ในรอบเดือนตุลาคม 2544-มกราคม 2545 และให้นำข้อสังเกตของที่ประชุมในส่วนที่มีความเห็นแตกต่างกันไปเจรจาให้ได้ข้อยุติต่อไป
3.2 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ไปดำเนินการ โดยให้มีการจัดทำรายละเอียดในส่วนที่สามารถดำเนินการได้และในส่วนที่เป็น ปัญหาอุปสรรค และให้ สพช. เป็นผู้ดำเนินการเร่งรัดติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตาม มาตรการดังกล่าว และรายงานให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานทราบภายใน 1 เดือน
3.3 ให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าตามสูตรการ ปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ให้ประชาชนได้รับทราบและมีความเข้าใจมากขึ้น โดยผ่านสื่อต่างๆ
3.4 ให้ สพช. กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการคัดเลือกตัวแทนผู้บริโภครายย่อยเป็นอนุกรรมการในคณะ อนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และปรับปรุงคำชี้แจงข้อร้องเรียนของเครือข่ายคณะทำงานติดตามตรวจสอบค่า Ft ให้มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นว่า การคัดเลือกตัวแทนผู้บริโภครายย่อยเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการ กำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ควรคัดเลือกจากผู้บริโภครายย่อยที่มีความรู้ ความเข้าใจในสูตร Ft ไม่ใช่เป็นบุคคลที่เป็นนักเคลื่อนไหว ทั้งนี้ ในการกำกับดูแลควรพิจารณาถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของการไฟฟ้าและให้การ ไฟฟ้ามีรายได้เพียงพอในการดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วย
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เรียนที่ประชุมทราบเพิ่มเติมถึงปัญหาของการไฟฟ้าในการบริหารอัตราแลก เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของการไฟฟ้า เช่นในกรณี กฟผ. มีภาระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศสูงถึงร้อยละ 57 ของหนี้เงินกู้ทั้งหมด หรือประมาณ 141,200 ล้านบาท ซึ่ง กฟผ. วางแผนที่จะลดสัดส่วนหนี้เงินกู้ต่างประเทศลงให้เหลือร้อยละ 20 ภายในระยะเวลา 3 ปี แต่เนื่องจาก กฟผ. ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งประธานที่ประชุมฯ ได้ขอให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาให้การไฟฟ้ามีอิสระในการบริหารหนี้ต่าง ประเทศเพิ่มขึ้น ในกรณีที่เป็นการดำเนินการจากสภาพคล่องของการไฟฟ้า มิใช่เป็นการกู้เงินในประเทศเพื่อมาชำระหนี้เงินตราต่างประเทศ
3.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสมบัติ อุทัยสาง) เรียนต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กฟน. ได้เร่งรัดการดำเนินการจัดหาเครื่องวัดโดยอัตโนมัติ (AMR) ซึ่งเป็นการดัดแปลงเครื่องวัดฯ เดิม ให้เป็น TOU สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย คาดว่าผู้ใช้ไฟฟ้าจะสามารถเลือกใช้อัตรา TOU ได้ในราวเดือนมกราคม 2545 ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่เลือกใช้อัตรา TOU ที่อัตราค่าพลังงานไฟฟ้าในช่วง Off-Peak (เวลา 22.00 - 9.00 น. ของวันจันทร์ - วันศุกร์ และวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดราชการปกติทั้งวัน) จะถูกกว่าในช่วง Peak (เวลา 9.00 - 22.00 น. ของวันจันทร์ - วันศุกร์) มาก จะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ในช่วง Off-Peak ได้รับการลดค่าไฟฟ้าลงได้ ในเรื่องนี้ ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าควรมีการดูแลเรื่องการกำหนด คุณลักษณะเฉพาะของมิเตอร์ ให้มีความโปร่งใส เพื่อมิให้เกิดการร้องเรียนจากผู้ผลิตมิเตอร์ภายในประเทศ
4.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงการดูแลค่าความสูญเสียในระบบของการไฟฟ้า ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงว่า ค่าความสูญเสียในระบบของการไฟฟ้า มีการดูแลใน 2 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าไฟฟ้าฐาน จะมีการ ดูแลเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของการไฟฟ้า หรือค่า X ไว้แล้ว โดยให้กิจการผลิต กิจการระบบส่ง และ กิจการระบบจำหน่ายและกิจการบริการลูกค้า ต้องปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงซึ่งรวมถึงการสูญเสียในระบบในอัตรา ร้อยละ 5.8 2.6 และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ และ (2) กำหนดให้ค่าความสูญเสียในระบบของ การไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมีผลต่อการปรับเงินเดือน โบนัสของพนักงานการไฟฟ้าอีกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าน่าจะนำมาตรฐานอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นเกณฑ์ในการวัดด้วย รวมทั้ง ควรมีการวิเคราะห์ และรายงานผลทุกไตรมาส เพื่อจะได้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง และให้การไฟฟ้าอธิบายถึงสาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีในข้อ 4 เกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานทุกไตรมาส
สรุปสาระสำคัญ
1. การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers : IPP) ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 ปัจจุบันมีความคืบหน้าสรุปได้ดังนี้ คือ
1.1 โครงการ IPP ที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้วมี 2 โครงการ คือ โครงการ Tri Energy Co., Ltd. (TECO) และโครงการ Independent Power (Thailand) Co., Ltd. (IPT) โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 15 สิงหาคม 2543 ตามลำดับ
1.2 โครงการ Eastern Power & Electric Co., Ltd. (EPEC) และโครงการ Bowin Power Co.,Ltd. อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและระบบสายส่งเชื่อมโยง
1.3 โครงการ IPP 2 โครงการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง คือ บริษัท Gulf Power Generation Co., Ltd. และบริษัท Union Power Development Co., Ltd. ประสบปัญหาความ ล่าช้า เนื่องจากต้องจัดให้มีการประชาพิจารณ์ก่อน และได้ขอเลื่อนกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการตามแผนงาน
1.4 โครงการ BLCP อยู่ระหว่างการศึกษาการขุดลอกร่องน้ำเพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือขนถ่ายถ่าน หิน ในส่วนสิทธิการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ซึ่งเป็นสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้า อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกรม เจ้าท่า
2. การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration รวมทั้ง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนในระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของรัฐลง ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้าแล้วรวม 61 ราย ในจำนวนนี้เป็น SPP ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว 45 ราย มีปริมาณไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบรวม 1,863 เมกะวัตต์
3. การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีความคืบหน้าสรุปได้ดังนี้
3.1 ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โครงการผลิตไฟฟ้าที่ สปป.ลาว เสนอจะขายไทยมี 8 โครงการ รวมกำลังการผลิต 3,596 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่ง กฟผ. และกลุ่มผู้ลงทุนโครงการได้ลงนาม MOU ไปแล้วเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2543 และเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2544 นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย และได้ร้องขอให้ฝ่ายไทยเร่งดำเนินการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 เพื่อนำไปสู่การลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในเดือนตุลาคม 2544 ซึ่งฝ่ายไทยรับจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด ส่วนโครงการอื่นๆ ให้ชะลอการเจรจารับซื้อไว้ก่อน โดยรัฐบาลจะประเมินความต้องการใช้ ไฟฟ้าในประเทศอีกครั้ง
3.2 ประเทศสหภาพพม่า โครงการผลิตไฟฟ้าที่สหภาพพม่าเสนอจะขายให้ไทยมี 4 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำกก (42 เมกะวัตต์) โครงการฮัจยี (300 เมกะวัตต์) โครงการท่าซาง (3,500 เมกะวัตต์) และโครงการคานบวก (1,500 เมกะวัตต์) กำลังการผลิตรวม 5,342 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน กฟผ. ได้ดำเนินการศึกษาความเป็น ไปได้ของระบบสายส่งที่จะขายไฟฟ้าเข้าระบบของพม่าในปริมาณ 100 - 150 เมกะวัตต์ โดยจะส่งไฟจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังเมือง Bago (หงสาวดี) แต่ขณะนี้ได้หยุดชะงักลงเนื่องจากปัญหาทางด้าน การเมือง
3.3 ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย - จีน ได้ลงนามในความ ตกลงเรื่อง "การร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ระหว่างกลุ่มผู้ลงทุนไทย - จีน" เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 โดย กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการนี้ในปี 2556 และอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ในปี 2557 และได้ตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC ส่งไฟฟ้าจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ โดยมีแนวสายส่งผ่านพื้นที่ สปป.ลาว นอกจากนั้น ได้เห็นชอบให้โรงไฟฟ้า พลังน้ำยูนนานจิงหง เข้าร่วมการซื้อขายไฟฟ้าในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) ของไทยด้วย
3.4 ประเทศกัมพูชา คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย - กัมพูชา ได้มีการหารือที่จะรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ในปริมาณ 25 - 30 เมกะวัตต์ เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัดของกัมพูชา ได้แก่ บันเทอมีนเจย เสียมราฐ และพระตะบอง โดยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ที่ผ่านมา คณะกรรมการฝ่ายไทยได้มีมติเห็นชอบให้ กฟผ. ใช้สายส่งของ กฟภ. ส่งไฟฟ้าจากสถานีวัฒนานครไปยังชายแดนไทย ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อัตราค่าไฟฟ้าที่จะจำหน่ายให้แก่กัมพูชา ณ จุดส่งมอบเท่ากับผลบวกของอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกประเภทกิจการขนาดใหญ่ (115 kV) รวมกับค่าเฉลี่ยเงินชดเชยรายได้ที่ กฟภ. ได้รับจาก กฟน. เท่ากับ 0.1459 บาท/หน่วย และค่าไฟฟ้าผันแปร โดยบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ก่อสร้างสายส่งช่วงต่อจากชายแดนไทย ไปยัง 3 จังหวัดของกัมพูชาและคาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าให้แก่กัมพูชาได้ในปี 2547
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งฝ่าย เลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า รัฐบาลสามารถสั่งการให้หยุดหรือดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ เพียงแต่ว่าการสั่งยกเลิกโครงการนั้น รัฐจะต้องจ่ายค่าปรับ ยกเว้นกรณีที่โครงการไม่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะไม่ สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในการขอใบอนุญาตได้ซึ่งในกรณีนี้รัฐไม่ต้องเสียค่า ปรับ อย่างไร ก็ตาม ประธานที่ประชุมฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) เห็นว่า การ ตัดสินใจให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปจะต้องกระทำอย่างรอบคอบ เนื่องจากต้องระมัดระวังในเรื่องของมลภาวะที่จะเกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ประเด็นปัญหามลภาวะไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากรัฐได้มีการกำหนด มาตรการป้องกันมลภาวะที่เข้มงวดอยู่แล้ว รวมทั้งโครงการจะต้องได้รับอนุมัติรายงานการศึกษาผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม (EIA) ด้วย และเจ้าของโครงการ IPP เองยังได้จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือประชาชนในบริเวณใกล้เคียงที่อาจได้รับ ผลกระทบจากการผลิตไฟฟ้าอีกด้วย
2.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า หากราคารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านไม่สูงกว่าต้นทุน ที่ผลิตไฟฟ้าใช้เองในประเทศ ก็สมควรที่จะรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือประเทศเหล่านั้น ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เป็นแนวทางที่ได้นำมาปฏิบัติอยู่แล้ว
3.เนื่องจาก กฟผ. จะต้องเตรียมการจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประธานที่ประชุมฯ จึงมีความเห็นว่า กฟผ. ควรกำหนดแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในอนาคตให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะการพิจารณาลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ เนื่องจากศักยภาพในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในประเทศมีข้อจำกัด ซึ่งผู้แทน กฟผ. รับที่จะไปหารือกับ สพช. ต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในอนาคตเมื่อมีการแปรรูป กฟผ. ออกเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว บริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ก็สามารถลงทุนในต่างประเทศได้เช่นเดียวกับโครงการของบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีการลงทุนในโครงการน้ำเทิน 2 ใน สปป. ลาว
4.ประธานที่ประชุมฯ มีข้อห่วงใยในเรื่องการจัดหาปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองว่า นอกจากจะต้องจัดหาให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศแล้ว จะต้องไม่อยู่ในระดับสูงเกินไป และในขณะเดียวกันก็ควรคำนึงถึงการประหยัดและการใช้พลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพมากที่สุดโดยไม่ควรมองเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
5.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) ได้สอบถามถึงความคืบหน้าในการดำเนินโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว ซึ่งผู้แทนจาก กฟผ. ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการเจรจาโครงการน้ำเทิน 2 ให้สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเบื้องต้น (Initial Power Purchase Agreement : Initial PPA) ได้ภายในเดือนตุลาคม 2544 ส่วนโครงการอื่นๆ ที่เหลือได้ชะลอ การเจรจารับซื้อไว้ก่อนเนื่องจากจะต้องประเมินความต้องการใช้ในประเทศอีก ครั้ง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ประเทศยังมีความจำเป็นที่จะต้องการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าซึ่ง จะมีผลต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ลดความเสี่ยง และสร้างอำนาจการต่อรองราคาพลังงานของประเทศด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขต ต่อเนื่อง โดยได้มอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมทะเบียนการค้า และกรมสรรพากร รับไปดำเนินการออกระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าว รวมทั้งเพื่อให้มีการยกเว้นภาษีอากรต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันในโครงการถูกลง สามารถแข่งขันได้
2. โครงการฯ นี้ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการได้ปีต่อปีเท่านั้น โดยในปีแรกจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2544 และกำหนดให้มีการประเมินผลปลายปี โดยในทางปฏิบัติ สพช. ได้จัดให้ผู้ค้าน้ำมันในประเทศ ซึ่งเป็นผู้สูญเสียผลประโยชน์เป็นผู้ประเมิน หากผลการประเมินพบว่าได้ผลดีก็จะได้รับการต่ออายุโครงการต่อไป แต่หากไม่ได้ผลดี โครงการนี้ก็ต้องยุติล้มเลิกไป นอกจากนั้น ยังจัดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการนี้ โดยมีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมเจ้าท่า กรมทะเบียนการค้า กรมประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ สพช. เป็นคณะกรรมการ เพื่อให้การพิจารณาอนุญาตและการตรวจสอบควบคุมกระทำกันเป็นหมู่คณะ
3. โครงการฯ นี้ได้เริ่มจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตต่อเนื่องตั้งแต่ 30 เมษายน 2544 จนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น 7 เที่ยวเรือ ปริมาณน้ำมันที่จำหน่าย 14.8 ล้านลิตร จำหน่ายให้กับเรือประมง 1,236 ลำ โดยมีบริษัทมายื่นความประสงค์ขอจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจนถึงขณะนี้ รวมทั้งสิ้น 8 บริษัท มีจำนวนเรือสถานีบริการ 13 ลำ และคาดว่าเมื่อกฎหมายของกรมสรรพากรมีผลในการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็จะทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการมากขึ้นอีก โดยมีเป้าหมายจะขยายให้ครอบคลุมทั้งฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งจะทำให้ชาวประมงได้รับบริการอย่างทั่วถึง
4. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้สั่งการให้ สพช. รับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับข้อเสนอการอนุญาตให้เรือต่างชาติเข้ามาร่วมโครงการฯ ได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนเรือไทย เพื่อเป็นการเร่งรัดการขยายโครงการให้กว้างขวางครอบคลุมชายฝั่งทะเลได้เร็ว ขึ้น ซึ่ง สพช. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมเจ้าท่า และกรมสรรพากร และตัวแทนสมาคมเรือไทย เพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ และข้อดี ข้อเสียตามข้อเสนอดังกล่าว และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่วมกันดังนี้
4.1 กรณีค่าใช้จ่าย ค่าภาษี และค่าจดทะเบียนเรือไทยซึ่งผู้ประกอบการอ้างว่าต้องใช้จ่ายจำนวนสูงมากนั้น ในข้อเท็จจริงเรือบรรทุกน้ำมันต่างชาติส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดมีขนาดเกินกว่า 1,000 ตันกรอส ซึ่งจะเสียภาษีในอัตราศูนย์จึงไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ของมูลค่าเรือนั้น ที่ประชุมเห็นว่าอยู่ในวิสัยที่ผู้ประกอบกิจการรับได้
4.2 ประเด็นเรื่องจำนวนเรือบรรทุกน้ำมันที่จดทะเบียนเรือไทยจะไม่เพียงพอ ไม่ใช่ประเด็นปัญหา โดยขณะนี้จำนวนเรือบรรทุกน้ำมันที่จดทะเบียนเรือไทย ที่มีขนาดเกินกว่า 500 ตันกรอส มีจำนวนถึง 154 ลำ และมีเรือต่างชาติที่เตรียมจะจดทะเบียนเรือไทยอีกจำนวนหนึ่ง ในขณะที่ความต้องการใช้เรือของโครงการนี้อยู่ในระดับ 60 ลำขึ้นไป ดังนั้นควรยึดระเบียบหลักเกณฑ์เดิมที่รัฐกำหนด คือต้องเป็นเรือไทยเท่านั้น โดยหากเรือต่างชาติสนใจจะเข้าร่วมโครงการจะต้องยื่นจดทะเบียนเรือไทยก่อน
4.3 สาเหตุที่เรือเข้าโครงการน้อยในขณะนี้มิใช่เกิดจากจำนวนเรือไม่เพียงพอ แต่เป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่จำหน่ายยังสูงกว่าน้ำมันที่มาจากต่างประเทศ เนื่องจากการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่มีผลบังคับใช้ จึงทำให้ต้นทุนสูงกว่าราคาที่ควรจะเป็น ประมาณลิตรละ 60 สตางค์ ทำให้แข่งขันไม่ได้เต็มที่ สำหรับความ คืบหน้าของร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ขณะนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2544
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงความชัดเจนของวัตถุประสงค์ของโครงการและรูปแบบของน้ำมันเถื่อน ในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งรองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงว่ารูปแบบดั้งเดิมจะมีเพียงการลักลอบนำเข้าทางทะเลเท่านั้น แต่ปัจจุบันจะมีรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การขอคืนภาษีของรัฐโดยมิชอบ และการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีไปปลอมปนลงในน้ำมันเชื้อ เพลิง ซึ่งวิธีนี้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอีกวิธีหนึ่ง
2.นอกจากนี้ ประธานที่ประชุมฯ ได้เสนอว่าควรมีการนำข้อมูลการผลิต จำหน่าย และส่งออกมาเชื่อมโยงกันให้เป็นระบบ เพื่อให้ทราบว่าปริมาณน้ำมันนำเข้าและส่งออกที่ถูกต้องควรเป็นเท่าไร แล้วนำไป เปรียบเทียบกับข้อมูลการเก็บภาษีและคืนภาษี ก็จะเห็นได้ทันทีว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันเข้าใจว่า ยังไม่มีการดำเนินการเช่นนี้ ทำให้เป็นจุดอ่อนของรัฐให้เกิดการทุจริตขึ้นได้
มติของที่ประชุม
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาว ประมงในเขตต่อเนื่อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีในข้อ 2
เรื่องที่ 7 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยปลูกจิตสำนึกและรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อให้เกิดผลในการ ใช้ พลังงานทุกชนิดอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเสนอแนะวิธีการอนุรักษ์พลังงานที่เข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่ายให้แก่ ประชาชนทั่วไป โดยการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2544 สพช. ได้เน้นกิจกรรมรณรงค์ที่เปิดโอกาสให้ ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวและยังเป็นการช่วยชาติอีกทางหนึ่ง โดยมีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ดังนี้
1) กิจกรรมด้านการประหยัดไฟฟ้าในครัวเรือน : เป็นชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า"
2) กิจกรรมด้านการประหยัดน้ำมันในพาหนะส่วนบุคคล : ประกอบด้วย ชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน" และ ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91"
3) กิจกรรมปลูกจิตสำนึกสำหรับประชาชนทั่วไปและประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. กิจกรรมชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า" มีเป้าหมายให้แต่ละครัวเรือนแข่งขันกับตนเองในการประหยัดไฟฟ้าแต่ละเดือน และหากสามารถประหยัดได้ร้อยละ 10 ขึ้นไปของจำนวนหน่วยไฟฟ้าฐานเฉลี่ยของบ้านตนเองใน 3 เดือน คือ มิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 20 ของจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ลดลงได้ในเดือนนั้น โดยระยะเวลาการให้ส่วนลดจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
3. กิจกรรมชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน" เป็นการรณรงค์เพื่อ ส่งเสริมให้ผู้ใช้รถขับรถอย่างถูกวิธีและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ โดย สพช. จะจัดทำคู่มือขับรถอย่างถูกวิธีออกแจกให้ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ จากนั้นให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือ ส่วนกิจกรรมชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91" เป็นกิจกรรมสานต่อเพื่อสร้างความมั่นใจผ่านสื่อต่างๆ โดย สพช. ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงความจำเป็นในการช่วยกันประหยัดพลังงาน และแจ้งกิจกรรมที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมให้ทราบโดยผ่าน สื่อมวลชน รวมทั้งผลิตคู่มือในการประหยัดพลังงานในบ้าน และในการเดินทางขนส่ง แจกให้ประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะข้าร่วมโครงการการแข่งขันประหยัดไฟฟ้าและ น้ำมัน
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับประชาชนทั่วไป ปีงบประมาณ 2545 มีโครงการที่จะขยายผลต่อจากปี 2544 และต้องการที่จะรณรงค์สร้างจิตสำนึกและความเข้าใจถึงวิกฤตเศรษฐกิจ ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ โดยการใช้พลังงานอย่างประหยัดโดยมีประเด็นหลักคือ โครงการสร้างเสริมความเข้าใจถึงผลของการประหยัดพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจของ ประเทศ โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ (ระยะที่ 2) และโครงการรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน (ระยะที่ 2) เป็นต้น
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อที่ประชุมเกี่ยวกับโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานว่า ควรเน้นที่เด็กนักเรียนโดยดำเนินการให้มีการแข่งขันประหยัดน้ำมันรถยนต์ใน โรงเรียนขึ้น เพื่อส่งผลสืบเนื่องไปยังผู้ปกครองของนักเรียน นอกจากนั้น ในเวลากลางคืนควรมีการหรี่หรือปิดไฟในถนนบางสายโดยเฉพาะถนนของการทางพิเศษ แห่งประเทศไทย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและให้ สพช. รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี ไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 8 แนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินในประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2530 เห็นชอบแนวทางในการพัฒนาลิกไนต์และได้มีมติเกี่ยวกับผลการสำรวจเบื้องต้นว่า หากกรมทรัพยากรธรณีสำรวจเบื้องต้นพบว่าแหล่งลิกไนต์ในพื้นที่ใดเหมาะสมแก่ การผลิตไฟฟ้าก็ให้กันพื้นที่ไว้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่วนพื้นที่ที่เหลือให้นำไปประมูลคำขออาชญาบัตรพิเศษเพื่อให้เอกชนดำเนินการ ต่อไป
2. ในระหว่างปี 2531 - 2533 กรมทรัพยากรธรณีได้ดำเนินการสำรวจและประเมินศักยภาพถ่านหินในพื้นที่รวม 13 แอ่ง ในจำนวนนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กรมทรัพยากรธรณีกันพื้นที่แอ่งสิน ปุน แอ่ง เวียงแหง และแอ่งงาว ให้ กฟผ. ไว้ใช้ผลิตไฟฟ้า แต่เนื่องจากผลการศึกษาการพัฒนาแหล่งถ่านหินเวียงแหงเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าในขณะ นั้นพบว่ายังไม่เป็นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 ให้ กฟผ. คืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงให้กรมทรัพยากรธรณี และมีมติให้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์วิธีการให้อาชญาบัตรและประทานบัตรว่าถ้า พื้นที่ใดมีถ่านหินก็ให้กรมทรัพยากรธรณีเปิดประมูลการขออาชญาบัตรพิเศษ ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510
3. ต่อมาในปี 2541 กฟผ. ได้ทบทวนแผนการศึกษาความเหมาะสมของแหล่งเวียงแหงเพื่อนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าที่ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เพื่อช่วยลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากถ่านหินที่แอ่งเวียงแหงมีกำมะถันต่ำประมาณ 0.3 - 2.8% กฟผ. จึงนำเสนอต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ขอ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 ขอคืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงเพื่อพัฒนานำมาใช้กับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่ง สลค. ได้มีหนังสือถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ข้อสรุปว่าควรให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อคืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงให้ กฟผ. โดยมีเงื่อนไขว่า กฟผ. จะต้องศึกษาความเหมาะสมของโครงการทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในรายละเอียด ให้ชัดเจน และมีการจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนการอนุมัติให้ดำเนินโครงการ แต่หลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลง รัฐบาล
4. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 84) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2544 ได้มีมติมอบหมายให้ สพช. รับไปหารือร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี และ กฟผ. เกี่ยวกับแหล่งถ่านหินเวียงแหง งาว สินปุน และกระบี่ เพื่อพิจารณาให้มีการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2544 สพช. ได้มีการประชุมหารือกับกรมทรัพยากรธรณี และ กฟผ. เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินดังกล่าว โดย สพช. และ กฟผ. มีข้อเสนอให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อคืนแหล่งถ่านหินวียงแหงและแหล่งสะบ้าย้อยให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล แต่ให้ กฟผ. คืนแหล่งงาว และแหล่งสินปุน ให้แก่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อนำไปเปิดประมูลต่อไป
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ผู้แทนกรมทรัพยากรธรณี (กทธ.) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า กทธ. เห็นชอบกับหลักการตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ แต่ทั้งนี้ ขอให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันจัดแผนการใช้ถ่านหินของแหล่งเวียงแหงและ สะบ้าย้อยให้มีความชัดเจนขึ้น
2.ผู้แทนจาก กฟผ. ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า กฟผ. จำเป็นต้องใช้ถ่านหินจากแหล่งเวียงแหงประมาณ ร้อยละ 10 มาผสมกับถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะเพื่อช่วยลดมลภาวะที่เกิดขึ้น เนื่องจากถ่านหินที่แหล่งเวียงแหงมีคุณภาพดีกว่าที่เหมืองแม่เมาะ และขณะนี้กำลังดำเนินการขออนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะ สามารถนำถ่านหินจากแหล่งเวียงแหงมาใช้ได้ประมาณกลางปี 2548 ซึ่งจะใกล้เคียงกับช่วงที่สัญญาซื้อขายถ่านหินจากเอกชนที่นำมาใช้ผสมที่แม่ เมาะจะสิ้นสุดลงภายใน 3 - 5 ปีข้างหน้า
3.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับลักษณะการลงทุนพัฒนาในแหล่งเวียงแหง และการเปลี่ยนเชื้อเพลิงอื่นสำหรับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ รวมทั้งความคืบหน้าในการติดตั้งเครื่องจำกัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งผู้แทน กฟผ. ได้ชี้แจงว่า การลงทุนเพื่อดำเนินการที่แหล่งเวียงแหงเป็นการลงทุนร่วมระหว่าง กฟผ. กับเอกชน ส่วนเครื่องผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะเป็นเครื่องที่ใช้ได้เฉพาะถ่านหิน เท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น เชื้อเพลิงชนิดอื่นได้ โดยขณะนี้มีเครื่องผลิตไฟฟ้าจำนวนรวม 13 หน่วย และการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ติดตั้งครบทุกหน่วยแล้ว ยกเว้นหน่วยที่ 1 - 3 ซึ่งได้ปิดดำเนินการแล้ว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อกันแหล่ง ถ่านหินเวียงแหงและแหล่งสะบ้าย้อยให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล แต่ให้ กฟผ. คืนแหล่งงาว และแหล่งสินปุน ให้แก่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อนำไปเปิดประมูลต่อไป
2.เห็นชอบให้กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งกำหนดหลักเกณฑ์ให้เอกชนเข้ามาเปิดประมูลการขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ใน พื้นที่ที่สำรวจพบถ่านหินเบื้องต้นตามมาตรา 6 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510
เรื่องที่ 9 ราคาจำหน่ายไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้พิจารณาเรื่อง การจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้ สปป.ลาว และที่จะจำหน่ายแก่ประเทศเพื่อนบ้านใน แต่ละจุดเป็นอัตราที่อยู่ในระดับเดียวกันกับอัตราที่จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ ไฟฟ้าในประเทศตามโครงสร้างประเภท ผู้ใช้ไฟฟ้าของ กฟภ. ทั้งนี้ให้ กฟภ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจาและกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้า ในลักษณะที่อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทยได้ภายใต้หลักการดัง กล่าว
2. กฟภ. ได้จำหน่ายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านเมื่อเดือนกรกฎาคม 2544 รวม 6.86 ล้านหน่วย มีมูลค่า 16.4 ล้านบาท โดยขายให้สหภาพพม่า จำนวน 1.83 ล้านหน่วย ณ จุดเขตชายแดนบริเวณจังหวัดเชียงราย ตาก และกาญจนบุรี ขายให้ สปป. ลาว จำนวน 0.79 ล้านหน่วย ณ จุดชายแดน ที่จังหวัดเชียงรายและเลย และขายให้กัมพูชา จำนวน 4.24 ล้านหน่วย ที่จุดชายแดนจังหวัดสระแก้ว ตราด และสุรินทร์
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2543 รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามความตกลงในโครงการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า ระหว่างไทย - กัมพูชา เพื่อสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง 2 ประเทศ โดยไทย จะขายไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัดของกัมพูชา จำนวน 25 - 30 เมกะวัตต์ และให้ความร่วมมือในการวางแผนและก่อสร้างระบบสายส่งเชื่อมโยงกัน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการและการฝึกอบรมแก่กัมพูชา
4. ในการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับ กัมพูชาฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ที่ประชุมได้มีมติในส่วนขององค์ประกอบค่าไฟฟ้าที่จะขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ได้ราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ประเทศเพื่อนบ้านตามมติคณะ รัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นยังไม่ได้รวมเงินชดเชยรายได้จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติ ให้บวกส่วนที่เป็นเงินชดเชยรายได้จาก กฟน. ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 0.1459 บาท/หน่วย เข้าไปในอัตราค่าไฟฟ้าที่จะขายให้กัมพูชา ดังนั้นค่าไฟฟ้ารวมจึงเท่ากับ ค่าไฟฟ้าอัตราตามช่วงเวลาของการใช้ (TOU) ขายให้ผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ รวมค่าชดเชยรายได้ต่อหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. (0.1459 บาท/หน่วย) บวกกับค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม (0)
การพิจารณาของที่ประชุม
1.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) มีความเห็นว่า หากพิจารณาในด้านการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว การจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ สปป.ลาว สหภาพพม่าและ-กัมพูชาในอัตราเดียวกันกับที่จำหน่ายไฟฟ้าในประเทศจะเป็นการ ช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านวิธีหนึ่ง เช่น เดียวกับการมอบเงินช่วยเหลือเพื่อสร้างถนนและสาธารณูปโภคต่างๆ
2.ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านควรแยกระหว่างการค้า กับความช่วยเหลือออกจากกันอย่างชัดเจน ในกรณีของการจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านน่าที่จะพิจารณาในด้านการค้า เนื่องจากราคาค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านจะต้องสะท้อนถึงต้น ทุนตามที่เป็นจริง ซึ่งจะสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้ราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ กฟภ. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านในแต่ละจุดเท่ากับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารวมกับค่าชดเชยรายได้ต่อหน่วยจำหน่ายของ กฟภ.
2.ทั้งนี้ ให้ กฟภ. และ กฟผ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจา และกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้า ในลักษณะที่อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทยได้ภายใต้หลักการดัง กล่าว เช่น อาจกำหนดเป็นอัตราคงที่ (Flat Rate) เป็นต้น
เรื่องที่ 10 ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 เห็นชอบ แนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ดังนี้ 1) ให้ทยอยปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กิโลกรัม โดยให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาดำเนินการในช่วงเวลาที่ เหมาะสม 2) ให้กรมการค้าภายในรับไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปรับราคาขาย ปลีกก๊าซหุงต้ม และ 3) มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานรับไปพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา โครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2544 เห็นชอบการปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กิโลกรัม และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) เป็นผู้กำกับดูแลการเปลี่ยนแปลงราคาขายส่ง โดยความเห็นชอบของประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อทำการศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว
3. คณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว ได้จัดทำข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกในเดือนกันยายน 2544 ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 224 $/ตัน ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG อยู่ในระดับ 9.22 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 2.78 บาท/กก. หรือ 430 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มราคาก๊าซ LPG ในไตรมาส 3 ปี 2544 จะเคลื่อนไหวในระดับ 230 - 260 $/ตัน อัตราเงินชดเชยอยู่ในระดับ 3.30 - 4.50 บาท/กก. หรือ 508 - 690 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 882 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายชดเชยราคาก๊าซ LPG ในระดับ 430 ล้านบาท/เดือน กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าสุทธิ 452 ล้านบาท/เดือน ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ ติดลบในระดับ 14,483 ล้านบาท
3.2 กพง". ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ให้เท่ากับราคาปิโตรมิน - 16 $/ตัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2544 เป็นต้นมา คณะทำงานฯ จึงเสนอให้มีการกำหนดราคารับประกันระดับราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซ LPG ต่ำสุดในระดับ 200 $/ตัน โดยให้มีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงตามราคาก๊าซธรรมชาติทุก 6 เดือน
3.3 ในการปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซ LPG คณะทำงานฯ ได้มอบหมายให้ สพช. ขอความเห็นจากประธาน กพง. เพื่อปรับขึ้นราคาขายส่งก๊าซ LPG ในระดับที่ทำให้ราคาขายปลีกรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นรวม 1 บาท/กก. และแจ้งให้กรมการค้าภายในทราบเพื่อดำเนินการออกประกาศเปลี่ยนแปลงราคาขาย ปลีกก๊าซหุงต้มให้สอดคล้องต่อไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือนกันยายนนี้
3.4 คณะทำงานฯ ได้เสนอให้ใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือการปรับราคาโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ใหม่ ที่อาจเกิดจากความผันผวนของราคาตลาดโลก ซึ่งคณะทำงานฯ เสนอทางเลือกการดำเนินการ ดังนี้ 1) ปรับราคาขายส่งและขายปลีกขึ้น 1 บาท/กก. ในเดือนกันยายน 2544 แล้วให้ดำเนินการยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกโดยใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" 2) ให้ยกเลิกควบคุมราคาขายปลีก โดยใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" ทันที เมื่อราคาตลาดโลกปรับตัวขึ้น จึงค่อยปรับราคาขึ้น 3) ยังคงใช้ระบบควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG การปรับราคาขายส่งและขายปลีกตามมติ กพช. ให้ปรับขึ้นได้ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กก. ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
3.5 ควรลดภาระรายจ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยลดการใช้ LPG และการให้ความ ช่วยเหลือผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม การควบคุมการส่งออกก๊าซ LPG การลดรายจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนงบปราบปรามน้ำมันเถื่อน ให้มีแผนการชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในจำนวนที่แน่นอนในแต่ละเดือน ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นลงสู่ระดับต่ำสุด ภายในปี 2547 และควรแยกบัญชีรายรับ/รายจ่ายกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ออกจากน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นเมื่อฐานะกองทุนน้ำมันฯ เป็นบวก และชำระหนี้หมด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.การแก้ปัญหาหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับผู้ค้าก๊าซฯไม่สามารถทำได้เนื่องจากกองทุน น้ำมันฯ ไม่ใช่นิติบุคคล รัฐจึงต้องมีแผนชัดเจนในการชำระหนี้ โดยเฉพาะหนี้ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำนวน 8,960 ล้านบาท หากรัฐไม่มีความชัดเจนจะเป็นอุปสรรคต่อการแปรรูปของ ปตท. ได้ โดยนักลงทุนไม่มีความมั่นใจ ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นและรายได้จากการแปรรูปของปตท. ลดลง
2.ในการแก้ปัญหาหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รัฐควรแยกประเด็นการช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนออกมาจากระบบการค้าและราคา เพื่อมิให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างราคาและระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งจะมุ่งไปสู่ระบบการค้าสากลและเสรี และทำให้การช่วยเหลือประชาชนมีความชัดเจน นอกจากนี้ การใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่มีความเหมาะสมกับภาวะ ปัจจุบัน เพราะจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงของคณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวในระยะยาว ตามข้อ 3
2.เห็นชอบการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" และมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาทางเลือกการ ดำเนินการในการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือ การปรับราคาโดยอัตโนมัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 เห็นชอบแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เร่งรัดการจัดทำประเด็นนโยบายให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนด และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแปรรูป ปตท. ตามขั้นตอนการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1.1 การดำเนินการในประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การเร่งการดำเนินการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและการจัดทำแผน การใช้หนี้เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว การจัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และการจัดทำแนวทางความร่วมมือระหว่างบริษัทบางจากฯและบริษัท ไทยออยล์ฯ และการถือหุ้นในบริษัท บางจากฯ ของ ปตท. ได้มีการ ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือการกำกับดูแลอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติในระยะสั้น ซึ่ง สพช. อยู่ระหว่างดำเนินการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลที่ ชัดเจนและโปร่งใส ซึ่งจะสามารถนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบได้ในการ ประชุมครั้งต่อไป ภายในเดือนกันยายน 2544 นี้
1.2 ความก้าวหน้าในการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย มีดังนี้
(1) หลังจากคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแปรรูป ปตท. คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทฯ ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับ บมจ. ปตท. ที่จะจัดตั้งขึ้นโดยการเปลี่ยนทุนของ ปตท. เป็นหุ้นของ บมจ. ปตท. ได้แก่ การกำหนดกิจการ สิทธิ หน้าที่ความรับผิดชอบ สินทรัพย์ ทุนจดทะเบียน รวมทั้ง เรื่องพนักงาน โครงสร้างการบริหารงาน หนังสือบริคณห์สนธิ และข้อบังคับบริษัทซึ่งอยู่ระหว่างรอสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และผู้เกี่ยวข้องจากคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการ แปลงสภาพ ปตท. เพื่อประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้ง บมจ.ปตท. และนำเสนอ กนท. และ คณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติการจัดตั้ง บมจ. ปตท. ในส่วนของการทำงาน คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. มีหน้าที่กำกับดูแลการจัดโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่จะใช้ในการระดมทุน กำกับดูแลการประเมินทรัพย์สินของบริษัท และกำหนดแนวทางในการระดมเงินทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
(2) โดยที่ภาครัฐกำหนดให้ ปตท. ดำเนินการแปรรูปให้แล้วเสร็จภายในปี 2544 จึงมี ผลให้การดำเนินการในเรื่องเกี่ยวกับแผนการซื้อขายหุ้นต้องเร่งพิจารณา พร้อมกับการดำเนินการแปลงสภาพ ปตท. เป็นบริษัท ตามพระราชบัญญัติทุนฯ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปเรื่องทั้งหมดได้ พร้อมเสนอ กนท. และคณะรัฐมนตรีในวันที่ 20 และ 25 กันยายน 2544 ตามลำดับ ส่วนแผนและแนวทางการเสนอขายหุ้น ปตท. ควรนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่ออนุมัติภายในเดือนกันยายน 2544
2. แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวของ ปตท. มีดังนี้
2.1 ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตของกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ คาดว่าจะมีประมาณ 2,444 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 และเพิ่มเป็น 3,914 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559 โดยสามารถแยกกลุ่มผู้ใช้ได้เป็นดังนี้
(1) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในกรณีมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) 15% ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ในปี 2545 อยู่ในระดับ 1,289 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และจะลดลงเล็กน้อยอยู่ในระดับ 900-1,166 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงปี 2556-2559 สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP และ SPP) ความต้องการจะเพิ่มจากระดับ 648 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 เป็น 2,024 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559
(2) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง ปริมาณการใช้ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นจาก 190 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 เป็น 360 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559
(3) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในโรงแยกก๊าซฯ ปตท. มีแผนขยายโรงแยกก๊าซฯ ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2556
2.2 การจัดหาก๊าซธรรมชาติในครึ่งแรกของปี 2544 ที่ผ่านมา ปตท. ได้จัดหาก๊าซธรรมชาติจากสัญญาซื้อก๊าซธรรมชาติในแหล่งก๊าซธรรมชาติต่างๆ ในประเทศประกอบด้วย แหล่งเอราวัณ ไพลิน บงกช ทานตะวัน/เบญจมาศ และน้ำพอง รวม 1,821 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากสหภาพพม่า ประกอบด้วย แหล่งยาดานาและแหล่งเยตากุนในปริมาณ 487 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพื่อให้การจัดหาเพียงพอกับความต้องการในอนาคต ปตท. จะจัดหาก๊าซฯ จากแหล่งใหม่ 390 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2550 เป็นต้นไป
3. แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544 - 2554 มีดังนี้
3.1 จากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตของผู้ใช้ก๊าซฯ กลุ่มต่างๆ ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขีดความสามารถของระบบท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลในปัจจุบันไม่สามารถรองรับกับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ ภายในปี 2549 ได้ ประกอบกับเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ในการเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติตามนโนบายของรัฐ โดยการเปิดให้มีการให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่บุคคลที่สามได้ ปตท.จึงได้ทบทวนแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฯ เพื่อให้แผนดังกล่าวมีความสมบูรณ์และ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยมีโครงการดังนี้
โครงการ กำหนดแล้วเสร็จ
1. โครงการติดตั้ง Compressor กาญจนบุรี พ.ศ. 2546
2. โครงการระบบท่อส่งก๊าซฯรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล พ.ศ. 2547
3. โครงการติดตั้ง Compressor ที่ราชบุรี พ.ศ. 2547
4. โครงการก่อสร้างแท่นผลิตแห่งใหม่(ERP2) พร้อมติดตั้ง Compressorและวางท่อส่งก๊าซฯ จาก ERP2 ไปยัง KP.475 พ.ศ. 2548
5. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยัง ERP- บางประกง พ.ศ. 2548
6. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ.2549/2552
7. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยังจังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2551
8. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากท่อเส้นที่ 3 ไปอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553
3.2 การดำเนินการตามแผนแม่บทดังกล่าวข้างต้น จะต้องมีการลงทุนในวงเงินรวม 93,060 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาท / เหรียญสหรัฐฯ) โดยจะมีการกระจายการลงทุนไปตามช่วงเวลาที่เหมาะสม และเงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นส่วนของทุนที่มาจากรายได้ของ ปตท. และส่วนของเงินกู้ที่มาจากแหล่งเงินกู้ทั้งภายในและต่างประเทศในสัดส่วน 25:75
4. สพช. พร้อมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมทรัพยากรธรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และ ปตท. ได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2544-2554 แล้ว เห็นด้วยกับข้อเสนอของ ปตท. โดยมีข้อสังเกตว่า ถ้าหากโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว และโครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหินมีความล่าช้าจากแผนเดิมก็จะทำให้ปริมาณความต้องการก๊าซฯ มีมากกว่าปริมาณการจัดหา แต่หากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ความต้องการก๊าซฯ อาจจะต่ำกว่าแผนฯ ดังนั้นจึงเห็นควรให้ ปตท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อทบทวนและปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับ สถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้เพื่อให้การจัดหาก๊าซฯ และการลงทุนในระบบท่อก๊าซฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นว่าหลังการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แล้ว แม้รัฐฯ จะถือหุ้นในบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกินกว่า 70% ในการค้ำประกันการ ลงทุนของบริษัท ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไปบริหารการลงทุนเอง เพื่อเป็นตัวอย่างให้รัฐวิสาหกิจอื่นที่จะแปรรูปต่อไป สำหรับภาระหนี้สินที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพค้างชำระอยู่กับ ปตท. นั้น ควรที่จะมีการ แก้ไขโดยเร็วเพื่อไม่ให้กระทบกับฐานะทางการเงินของ ปตท. ก่อนที่จะมีการแปรรูปและการกำหนดมูลค่าหุ้นต่อไป
2.ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ชี้แนะเกี่ยวกับขั้นตอนการนำเสนอและขออนุมัติโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่ใช้เงินกู้ว่าไม่ควรนำเรื่องเสนอ สศช. แต่ควรเสนอกระทรวงการคลังโดยตรง เนื่องจาก ปตท. กำลังจะเปลี่ยนเป็นบริษัทเอกชนในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะช่วยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในระบบราชการให้น้อยลงด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544-2554 ตามที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนการก่อสร้างระบบท่อโดยมีโครงการที่จะอนุมัติใน ช่วงปี 2544-2554 จำนวน 8 โครงการ มีวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 93,060 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ)
2.เห็นชอบให้ใช้แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติตามมติของที่ประชุมตามข้อ 1 เป็นกรอบของการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการในช่วงปี พ.ศ. 2544-2554 โดยไม่ต้องเสนอขออนุมัติในระดับนโยบาย อีกยกเว้นโครงการที่มีประเด็นนโยบายพิเศษ โดยมีโครงการที่จะขออนุมัติดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2544-2554 ดังนี้คือ
- โครงการ กำหนดแล้วเสร็จ
1.โครงการติดตั้ง Compressor กาญจนบุรี พ.ศ. 2546
2.โครงการระบบท่อส่งก๊าซฯรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล พ.ศ. 2547
3.โครงการติดตั้ง Compressor ที่ราชบุรี พ.ศ. 2547
4.โครงการก่อสร้างแท่นผลิตแห่งใหม่(ERP2) พร้อมติดตั้ง Compressorและวางท่อส่งก๊าซฯ จาก ERP2 ไปยัง KP.475 พ.ศ. 2548
5.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยัง ERP- บางประกง พ.ศ. 2548
6.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ.2549/2552
7.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยังจังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2551
8.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากท่อเส้นที่ 3 ไปอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553
3.เห็นชอบกับขั้นตอนการนำเสนอ และขออนุมัติโครงการ ดังนี้
3.1 ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เสนอรายละเอียดของโครงการแต่ละโครงการที่จะดำเนินการในช่วงปี 2544-2554 ดังกล่าวข้างต้น ต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) โดยให้ สศช. รับพิจารณาเฉพาะโครงการที่อยู่ในแผนแม่บทฯ ที่ได้รับความเห็นชอบ
3.2 ให้ ปตท. จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อขอความเห็นชอบไปยังสำนักนโยบาย และแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535
3.3 หากไม่มีประเด็นนโยบายที่สำคัญและเป็นโครงการที่กำหนด ให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการเองแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ เพื่อทราบ
3.4 หากเป็นโครงการที่มีประเด็นนโยบายที่สำคัญให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
4.ให้กระทรวงการคลังรับไปจัดหาเงินกู้และค้ำประกันหนี้ให้แก่องค์กรขนส่ง มวลชนกรุงเทพ เพื่อชำระหนี้ค่าน้ำมันให้แก่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยทำความตกลงกับ กระทรวงการคลังถึงวิธีการจัดหาเงินกู้ดังกล่าว
เรื่องที่ 12 การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำและถดถอยตั้งแต่ปี 2540 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ เนื่องจากกำลังการกลั่นของประเทศมีมากเกินความต้องการ และส่งผลให้โรงกลั่นทุกโรงประสบภาวะการขาดทุน โดยเฉพาะบริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจาก สถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากสัดส่วนในการผลิตน้ำมันเตาซึ่งปกติมีราคาที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ สูงมากถึงร้อยละ 32 ของน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตได้ ค่าการกลั่นที่ได้รับจึงต่ำที่สุด ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบปัญหาการ ขาดทุนมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา นอกจากนั้น โรงกลั่นน้ำมันบางจากฯ มีภาระผูกพันในการจ่ายชำระคืนเงินกู้ในจำนวนที่สูง และบริษัทฯ มีความต้องการเงินทุนหรือเงินกู้ยืมโดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเพิ่มขึ้น ทุกปี
2. เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2544 รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ได้เชิญประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาแก้ไข ปัญหาของโรงกลั่นบางจากฯ ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดรูปแบบและโครงสร้างความร่วมมือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท บางจากฯ และบริษัทไทยออยล์ฯ ทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว โดยมีกำหนดระยะเวลาในการ ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
3. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 ได้เห็นชอบแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยเห็นชอบประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดแนวทางการแปรรูปในประเด็น การบริหารจัดการบริษัทในเครือในภาคธุรกิจการกลั่นของ ปตท. ในส่วนของบริษัทบางจากฯ นั้นควรจะต้องมีความชัดเจนในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่น น้ำมันของประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัทบางจากฯ กับบริษัทไทยออยล์ฯ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ก่อนกำหนดการที่จะนำ ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 นี้
4. สพช. เป็นแกนกลางในการประชุมหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสรุปแนวทางได้ดังนี้
4.1 ในระยะสั้น บริษัทบางจากฯ และบริษัท ไทยออยล์ฯ จะร่วมมือกันในลักษณะ Technical Synergy ดังนี้คือ 1) การใช้เรือขนส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางร่วมกัน : โดยเริ่มดำเนินการประมาณกลางเดือนกันยายน 2544 ซึ่งจะได้ประโยชน์จากค่าขนส่งที่ลดลง 2) การนำน้ำมันเตาจากบางจากฯ ไปแปรรูปเป็นน้ำมันชนิดอื่นที่มีราคาสูงกว่า (Cracking) ที่ บริษัท ไทยออยล์ฯ : โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2544 3) การใช้ท่าเรือและคลังน้ำมันของบริษัท ไทยออยล์/ปตท. หรือคลังอื่นเป็นที่เก็บน้ำมันดิบแทนเรือเก็บน้ำมันดิบ Floating Storage Unit (FSU) 4) การนำแนฟทาจากบริษัทบางจากฯ ไปเข้าหน่วยเพิ่มคุณภาพที่บริษัทไทยออยล์ฯ และ 5) การทำ Operation Synergy : ทั้งสองบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนงาน
4.2 ในระยะยาว จะต้องมีการร่วมมือกันอย่างจริงจังในระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ บางจากฯ ไทยออยล์ฯ และ ปตท. โดยให้โรงกลั่นไทยออยล์ฯ เป็นโรงกลั่นหลักในการสนับสนุนภาคการตลาดของธุรกิจ น้ำมันของ ปตท. และให้การดำเนินธุรกิจน้ำมันของ ปตท. เป็นลักษณะครบวงจร (Integrated refinery & marketing) และ ปตท. จะต้องถอนตัวออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทบางจากฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางธุรกิจ และเพื่อส่งเสริมให้มีการแข่งขันในระดับการค้าปลีกอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยขายหุ้น ให้แก่ประชาชน/นักลงทุนหรือกระทรวงการคลัง เมื่อโอกาสเอื้ออำนวย
5. การปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อลดต้นทุนของโรงกลั่นน้ำมัน กรมสรรพสามิตได้มีการปรับปรุงกฎหมาย โดยออกกฎกระทรวงตามมาตรา 101 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2543 ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจร่างของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนั้นในปัจจุบันกฎหมายว่าด้วยภาษีศุลกากรและสรรพสามิตของประเทศไทยได้ จำกัดวัตถุดิบของโรงกลั่นน้ำมันไว้แค่น้ำมันดิบและคอนเดนเสทเท่านั้น โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้มาจากการกลั่นแยกน้ำมันดิบ ทุกชนิด ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวจึงควรมีการขยายขอบเขตของวัตถุดิบให้ ครอบคลุมถึง Feedstock และ Blend stock ได้หลายชนิด ซึ่งจะช่วยเสริมให้โรงกลั่นในประเทศสามารถลดต้นทุนจากราคาวัตถุดิบได้
6. การดำเนินการตามแนวทางในข้อ 4 ดังกล่าวข้างต้นจะสามารถทำให้โรงกลั่นบางจากฯ และ ไทยออยล์สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้ประมาณ 900-1,100 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่การปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐตามข้อ 5 จะทำให้โรงกลั่นต่างๆ สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้จากการมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง และสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนได้มากขึ้น โรงกลั่นจึงมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยไม่ได้ทำให้ประเทศต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันแต่อย่างใด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นดังต่อไปนี้
1.1 หากภายหลังดำเนินการแก้ไขปัญหาตามแนวทางทั้งหมดแล้ว ผลประกอบการของบริษัท บางจากฯ โดยดูสถานะของรายได้ก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ยังเป็นลบก็จำเป็นต้องหาแนวทางที่จะยุติปัญหาที่สั่งสมให้ได้ในทันที
1.2 ในการพิจารณาขยายประเภทวัตถุดิบที่นำเข้ามากลั่นโดยไม่ต้องเสียภาษีนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการโดยให้ครอบ คลุมอุตสาหกรรม ทั้งหมด มิใช่เฉพาะแก้ปัญหาบริษัท บางจากฯ
1.3 การขายหุ้นบริษัท บางจากฯ ของ ปตท. ให้ ปตท. รับไปพิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาการเงินถึงแนวทางที่จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อ การเแปรรูป ของ ปตท.
2.กรรมการผู้จัดการบริษัท บางจากฯ (นายณรงค์ บุณยสงวน) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทมี EBITDA ติดลบประมาณ 900 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นที่ได้นำเสนอนั้นจะทำให้ EBITDA ของบริษัทฯ ไม่ติดลบในปี 2545 และจะเป็นบวกในปี 2546 เป็นต้นไป และการร่วมมือกันในลักษณะ Technical Synergy นั้นจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางความร่วมมือกันระหว่างบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด ในระยะสั้นในลักษณะ Technical Synergy ตามข้อ 4
2.เห็นชอบแนวทางในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด โดยให้ ปตท. ถอนตัวจากการเป็นผู้ถือหุ้น ในบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด โดยขายหุ้นให้แก่ประชาชน/นักลงทุน หรือ กระทรวงการคลังเมื่อโอกาส เอื้ออำนวย
3.เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตเร่งรัดการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 101 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2543 ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ให้มีการบังคับใช้โดยเร็ว
4.มอบหมายให้ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติร่วมกับโรงกลั่นน้ำมัน รับไปดำเนินการพิจารณาการขยายประเภทวัตถุดิบที่นำเข้ามากลั่นโดยไม่ต้องเสีย ภาษีให้มีขอบเขตครอบคลุมประเภทของวัตถุดิบกว้างขวางขึ้น