Super User
กบง. ครั้งที่ 138 - วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2556 (ครั้งที่ 138)
วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 108.81, 130.91 และ 130.23 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลงจากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 เท่ากับ 3.85, 3.72 และ 4.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับ ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล จำนวน 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 ปรับขึ้นชนิดละ 0.50 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2556 ปรับขึ้นชนิดละ 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2556 มีทรัพย์สินรวม 4,297 ล้านบาท หนี้สินรวม 19,789 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,492 ล้านบาท
5. จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง ทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และน้ำมันแก๊สโซฮอลขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ใหม่ ดังนี้
จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายลดลงประมาณวันละ 28.46 ล้านบาท จากติดลบวันละ 50.19 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 21.73 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการ บริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป
รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 07 กันยายน 53
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 6 มกราคม 2549
กบง. ครั้งที่ 137 - วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2556 (ครั้งที่ 137)
วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 112.66, 134.63 และ 134.87 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.07, 4.65 และ 3.11 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 ขึ้น 0.20 บาทต่อลิตร และมีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2556 ขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556 มีทรัพย์สินรวม 4,960 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,111 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,152 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 28.56 ล้านบาท จากติดลบวันละ 33.10 ล้านบาทเป็นติดลบวันละ 61.66 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2535) ปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลโดยการปรับลดอุณหภูมิการกลั่นน้ำมันดีเซล จาก 370 องศาเซลเซียส เป็น 357 องศาเซลเซียส มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 และลดปริมาณกำมะถันจากร้อยละ 1 เหลือร้อยละ 0.5 หรือจาก 10000 ppm เป็น 5000 ppm มีผลตั้งแต่ 1 กันยายน 2536 ทำให้การคำนวณโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 5000 ppm บวกค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 0.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ต่อมาได้มีการปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลจากปริมาณกำมะถัน 5000 ppm เป็น 2500 ppm มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2539 ทำให้การคำนวณโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันดีเซลอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 5000 ppm บวกค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซล 0.85 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากนั้นได้มีการปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลจากปริมาณกำมะถัน 2500 ppm เป็น 500 ppm มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 และมีการคำนวณโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 5000 ppm บวกค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซล 1.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2547 ได้มีการปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลจากปริมาณกำมะถัน 500 ppm เป็น 350 ppm โดยมีหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันดีเซลโดยมีค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
2. คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2549 ให้กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทย ในอนาคตตามมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงยูโร 4 โดยการปรับปรุงจากมาตรฐานคุณภาพน้ำมันที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน และให้กำหนดระยะเวลาในการบังคับใช้มาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิงใหม่ ปริมาณกำมะถันไม่สูงกว่า 50 ppm ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป และเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นเพื่อให้สะท้อนต้นทุนการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานยูโร 4 ของน้ำมันดีเซล ดังนี้
3. Platts ซึ่งเป็นผู้ประกาศราคาซื้อขายน้ำมันตลาดสิงคโปร์ที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ใช้ในการอ้างอิงราคาในการคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นได้แจ้งยกเลิกการประกาศราคาน้ำมันดีเซล กำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) ที่ สนพ. ใช้ในการอ้างอิงการคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซล โดยประกาศใช้ราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 500 ppm (0.05%s) เป็นตัวฐานในการซื้อขายน้ำมันดีเซลแทน ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2556
4. เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2555 สนพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับกรมธุรกิจพลังงาน กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน และผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เกี่ยวกับค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลที่ใช้ในการคำนวณโครงสร้างราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซล โดยที่ประชุมได้มีข้อคิดเห็นดังนี้ (1) ปัจจุบันคุณภาพน้ำมันดีเซลของไทยเป็นมาตรฐานน้ำมัน ยูโร 4 โดย สนพ. ได้คำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซลโดยใช้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลหมุนเร็วจากกำมะถัน 5000 ppm เป็นกำมะถัน 350 ppm ที่ 1.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และจากน้ำมันดีเซลกำมะถัน 350 ppm เป็นกำมะถัน 50 ppm ที่ 2.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล รวมค่าปรับคุณภาพอยู่ที่ 3.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยหากเปลี่ยนการอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์เป็นกำมะถัน 500 ppm จะต้องมีต้นทุนค่าปรับคุณภาพและค่าปรับอุณหภูมิการกลั่น เนื่องจากการกลั่นน้ำมันโรงกลั่นของไทยมีอุณหภูมิการกลั่นอยู่ที่ 3570C แต่โรงกลั่นสิงคโปร์มีอุณหภูมิการกลั่นที่ 3700C (2) เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 Platts ได้ประมาณการส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันดีเซล กำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) กับกำมะถัน 500 ppm ในเดือนมกราคมถึง กุมภาพันธ์ 2556 อยู่ที่ 1.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และ (3) การเปรียบเทียบส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm กับกำมะถัน 500 ppm ตลาดสิงคโปร์ ในปี 2554 พบว่ามีส่วนต่างราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.663 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และปี 2555 มีส่วนต่างราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 1.954 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
5. กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันได้เสนอปรับลดต้นทุนค่าปรับคุณภาพน้ำมันลง 1.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 2.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 Platts ได้ประกาศส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) กับกำมะถัน 500 ppm ช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2556 อยู่ที่ 1.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จะทำให้มีค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งในระหว่างที่ยังไม่มีข้อสรุปจากการพิจารณาค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลจากการอ้างอิงฐานใหม่ สนพ. จึงได้ใช้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลที่ 2.88 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (จากเดิม 3.90 หักลบด้วย 1.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามประกาศของ Platts) เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีมติใหม่
6. เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556 คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน ได้พิจารณาค่าปรับคุณภาพน้ำมันดังนี้
6.1 ในปี 2555 คุณภาพน้ำมันถูกกำหนดตามมาตรฐานน้ำมันยูโร 4 มีค่ากำมะถันที่ 50 ppm การคำนวณราคาน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่นที่อ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 5000 ppm มีค่าปรับคุณภาพน้ำมัน 3.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งค่าปรับปรุงคุณภาพประกอบด้วยค่าลดกำมะถันจาก 5000 ppm เป็น 50 ppm 3.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และค่าปรับลดอุณหภูมิการกลั่นจาก 3700C เป็น 3570C อีก 0.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล การเปลี่ยนการใช้อ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์จากกำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) เป็นกำมะถัน 500 ppm เมื่อพิจารณาจากค่าปรับคุณภาพที่ผ่านมาพบว่าส่วนต่างค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm กับกำมะถัน 500 ppm อยู่ที่ 0.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้นการเปลี่ยนมาใช้การอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 500 ppm ค่าใช้จ่ายในการลดกำมะถันจะลดลง 0.30 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล จาก 3.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็น 2.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้นการอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลตลาดสิงคโปร์กำมะถัน 500 ppm จึงมีค่าลดกำมะถัน 2.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และค่าปรับลดอุณหภูมิการกลั่นอีก 0.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล รวม 3.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
6.2 การเปรียบเทียบราคาอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ระหว่างกำมะถัน 5000 ppm (0.5%s) กับกำมะถัน 500 ppm พบว่ามีส่วนต่างราคาเฉลี่ยปี 2011 อยู่ที่ 1.663 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปี 2012 อยู่ที่ 1.954 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และปี 2011 – 2012 อยู่ที่ 1.811 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยส่วนต่างราคาที่แตกต่างกัน ถูกกำหนดโดย 2 ปัจจัย คือ ต้นทุนค่าปรับคุณภาพน้ำมันและปริมาณการซื้อขายของน้ำมันดีเซลทั้ง 2 เกรด ณ ช่วงเวลานั้น จึงเห็นว่าการใช้ส่วนต่างราคาดังกล่าวไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กำหนดเป็นค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ในการคำนวณราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นของไทย
6.3 Platts มีประกาศราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 50 ppm แต่เนื่องจากมันดีเซลกำมะถัน 50 ppm ในตลาดสิงคโปร์มีปริมาณการซื้อขายน้อย มีเฉพาะประเทศไทยและสิงคโปร์ที่ใช้น้ำมันดีเซลคุณภาพกำมะถัน 50 ppm ทำให้ราคาอาจจะมีความผันผวนมากจึงเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นราคาอ้างอิงในการคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นของไทยในขณะนี้
6.4 จากการกำหนดค่าปรับคุณภาพของน้ำมันดีเซลที่ผ่านมา พบว่าการอ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm เป็น 500 ppm มีค่าใช้จ่ายในการลดกำมะถันลดลงเพียง 0.30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล แต่ถ้าพิจารณากำหนดค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลตามข้อเสนอของกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันที่ให้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันดีเซลลดลง 1.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันดีเซลกำมะถัน 5000 ppm กับ 500 ppm ที่ Platts มีประกาศที่ 1.02 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้น การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมันดีเซลที่อ้างอิงราคาน้ำมันดีเซลกำมะถัน 500 ppm ตลาดสิงคโปร์ จึงควรมีค่าปรับลดกำมะถันลงจากเดิม 1.02 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันอยู่ที่ 2.88 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้น้ำมัน โดยมอบหมายให้ สนพ. นำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบและขอให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2556
7. ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซล ดังนี้
ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2556
มติของที่ประชุม
เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันดีเซล ดังนี้
ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2556
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 11-17 ธันวาคม 2549
กบง. ครั้งที่ 136 - วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2556 (ครั้งที่ 136)
วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาปิดตลาด วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.59, 129.98 และ 131.76 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.99, 8.97 และ 6.29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2556 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคา ขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลขึ้น 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2556 ปรับเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ปรับเพิ่มขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2556 มีทรัพย์สินรวม 5,724 ล้านบาท หนี้สินรวม 20,699 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 14,975 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 28.56 ล้านบาท จากติดลบวันละ 15.82 ล้านบาทเป็นติดลบวันละ 44.38 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จาก 1.10 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.80 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 กบง. ได้มีมติเห็นชอบอนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2555 ให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เพื่อดำเนินงานโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ในวงเงิน 13,584,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 7 เดือน โดย ธพ. ได้มอบหมายให้งานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ปนม.ตร.) ดำเนินการ โดย ธพ. รวบรวมและแจ้งรายชื่อโรงบรรจุและสถานีบริการก๊าซเป้าหมายทั่วประเทศ จำนวน 578 ราย ที่มีปริมาณการจำหน่ายสูง หรือต่ำเกินไป ให้ ปนม.ตร. จัดส่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการไปเฝ้าระวัง สืบหาข่าว ติดตาม ตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิด ณ โรงบรรจุก๊าซหรือสถานีบริการก๊าซ และให้รายงานผลการดำเนินงานต่อ ธพ.
2. ปนม.ตร. รายงานผลการปฏิบัติงานตามโครงการฯ ประจำเดือนมิถุนายน – ตุลาคม 2555 ซึ่งได้ตรวจสอบทั้งสิ้น 532 ราย และจับกุมผู้กระทำผิดจำนวน 10 ราย ได้แก่
2.1 พบผู้กระทำผิดพยายามนำก๊าซฯ ออกนอกราชอาณาจักร โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 จำนวน 2 ราย คือ (1) นางสาวเอื้อมพร พอเหมาะ ผู้ต้องหารับสารภาพ ถูกปรับ ที่กรมศุลกากรแล้ว จึงระงับคดี (2) นายสุเทพ ตาคลี รับสารภาพ อยู่ระหว่างดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน
2.2 บริษัท เปี่ยมจินดาทรัพย์ จำกัด ประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่จดทะเบียนเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 11 ซึ่งฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ การรับหรือซื้อน้ำก๊าซฯ จากโรงบรรจุก๊าซ ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 22(1) คือ เจ้าของสถานีบริการ ต้องไม่ซื้อหรือ รับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 8 จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ระหว่างการรวบรวมเอกสารและขอหลักฐานเพิ่มเติมของอัยการ
2.3 บริษัท รัตนากร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด โดยนายจรูญ ศรีหะบุตร เป็นผู้ดูแลสถานีบริการรับน้ำก๊าซฯ จากโรงบรรจุก๊าซ ซึ่งฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 22(1) คือ เจ้าของสถานีบริการ ต้องไม่ซื้อหรือรับก๊าซจากผู้ใดนอกจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ระวางโทษตามพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 8 จำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน
2.4 ผู้บรรจุก๊าซ จำนวน 6 ราย บรรจุก๊าซข้ามยี่ห้อ ได้แก่ (1) บจ. ดี. เอส. ปิโตรเลียมแก๊ส อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน (2) หจก. นครพนมแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 3,000 บาท (3) บจ. นครอินดัสเตรียลแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 3,000 บาท (4) หจก. พุถ่องแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 1,000 บาท (5) บจ. แก๊สเซ็นเตอร์เลย อยู่ระหว่างการดำเนินการในชั้นพนักงานสอบสวน และ (6) หจก. บุรีรัมย์มิตรประชาแก๊ส เปรียบเทียบปรับชั้นสอบสวน 1,500 บาท ปนม.ตร. ได้เปรียบเทียบปรับโดยถือว่าเป็นการกระทำผิดด้านความปลอดภัย คือ กระทำการบรรจุก๊าซในถังก๊าซหุงต้มที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการฝ่าฝืนตามข้อ 74 วรรค 3 ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2529) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2514 “ในกรณีที่ผู้ค้าน้ำมันหรือตัวแทนค้าต่างต้องบรรจุก๊าซลงในถังก๊าซหุงต้มที่มีเครื่องหมายการค้าของผู้ค้าน้ำมันอื่น ต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้ค้าน้ำมันอื่นที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้น หรือจากผู้ค้าน้ำมันที่เป็นตัวการและผู้ค้าน้ำมันอื่นที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นแล้วแต่กรณี” ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
มติของที่ประชุม
1. รับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามโครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่าย ก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
2. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานไปทบทวนกฎระเบียบในบทลงโทษและเร่งจัดทำมาตรการป้องกัน การลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขาและการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศ เพื่อนบ้าน พร้อมทั้งออกระเบียบหรือกฎหมายเพื่อกำกับดูแลการดำเนินการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2555 คณะกรรมการจัดทำแผนพัฒนาการทำเกษตรกรรมในพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมที่เหมาะสม มีหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน ได้มติเห็นชอบให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) พิจารณาแนวทางการสนับสนุนชดเชยการผลิตเอทานอลจากอ้อยเพื่อให้บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด สามารถรับซื้ออ้อยได้ในราคาทัดเทียมกับเกษตรกรที่ปลูกอ้อยส่งโรงงานผลิตน้ำตาลทั้งอ้อยในพื้นที่และนอกพื้นที่ที่มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมและมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักนำข้อเสนอของคณะกรรมการฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2555 กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือเรื่อง ขอรับการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล จังหวัดตาก ถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยให้ พพ. พิจารณาแนวทางการสนับสนุนเงินชดเชยพิเศษให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยเพื่อผลิต เอทานอลให้สามารถรับซื้ออ้อยเพื่อผลิตเอทานอลได้ในราคาทัดเทียมกับอ้อยเพื่อผลิตน้ำตาล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2555 กระทรวงพลังงานได้มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการชดเชยพิเศษฯ ดังกล่าว ซึ่งกระทรวงพลังงานไม่เห็นด้วยกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยราคาอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล และเสนอให้กระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับเงินสนับสนุนต่อไป
3. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดย พพ. พิจารณาหาแนวทางการชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ภายใต้ขอบเขตที่กองทุนน้ำมันฯ สามารถดำเนินการได้โดยอ้างอิงการคำนวณเช่นเดียวกับมันสำปะหลังซึ่งนำไปผลิตเป็นเอทานอล พร้อมระบุหน่วยงานและสัดส่วนงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองพิจารณาภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2555 พพ. ได้มีหนังสือหารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากอ้อยในจังหวัดตาก ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือแจ้งว่าให้ พพ. เสนอปัญหาเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการชดเชยราคาเอทานอลที่ผลิตจากอ้อยในจังหวัดตากให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาก่อน ตามขั้นตอนของการบริหารราชการแผ่นดิน
4. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2555 พพ. ได้มีแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาหาแนวทางการชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตาก และพิจารณาสัดส่วนงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานต้องรับผิดชอบในการจ่ายเงินชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 11 และ 18 มกราคม 2556 คณะทำงานฯ ได้ประชุมเพื่อหารือและได้มีความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ เป็น 3 แนวทาง (จำนวนเงินที่จะชดเชย 78,643,406 บาท) ดังนี้ (1) ผู้แทนจังหวัดตาก กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัดและบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) มีความเห็นว่าให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกร (2) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กรมควบคุมมลพิษ และบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกร และ (3) ผู้แทน สนพ. พพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ไม่เห็นด้วยในการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยเงินให้เกษตรกรเนื่องจากการใช้เงินไม่ตรงตามวัตถุประสงค์กองทุนน้ำมันฯ และการชดเชยดังกล่าวเป็นการขอเพื่อชดเชยรายได้ให้เกษตรกรเพื่อให้ราคาอ้อยสำหรับผลิตเอทานอลมีราคาเท่ากับราคาอ้อยสำหรับผลิตเป็นน้ำตาล ทั้งนี้ คณะทำงานฯ มีความเห็นให้นำประเด็นข้อมูลและความเห็นจากการประชุมคณะทำงานฯ ข้างต้น เสนอ กบง. เพื่อประกอบการพิจารณาว่าจะสามารถชดเชยเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจังหวัดตากได้หรือไม่ ต่อไป
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีความเห็นดังนี้
5.1 ถึงแม้ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 7(5) กำหนดไว้ว่า กองทุนฯ อาจมีรายจ่ายเป็น “ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการเห็นชอบ” แต่อย่างไรก็ตาม ความเห็นของคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ จะต้องไม่ขัดต่อเจตนารมย์ของการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ที่มีวัตถุประสงค์หลักคือรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และแก้ไขป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
5.2 อ้อยในโครงการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมใช้ผลิตเอทานอลไม่สามารถนำไปผลิตเป็นน้ำตาล เพื่อบริโภคได้ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยจังหวัดตาก ขอรับเงินชดเชยเพิ่มจากราคาประกันที่ บริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ประกาศไว้เพิ่มอีก 200 บาทต่อตัน จาก 950 บาทต่อตัน เพิ่มเป็น 1,150 บาทต่อตัน เพื่อให้ราคาใกล้เคียงกับอ้อยที่นำไปผลิตน้ำตาลที่มีราคาประกาศที่ 1,000 บาทต่อตัน รวมค่าความหวานอีก 154 บาทต่อตัน เป็น 1,154 บาทต่อตัน ปริมาณอ้อย 3.9 แสนตัน คิดเป็นเงินที่ต้องใช้ชดเชยทั้งหมดประมาณ 78 ล้านบาท
5.3 การใช้เงินกองทุนฯ ไปจ่ายชดเชยให้เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยไม่สามารถกระทำได้และไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ในการแก้ไขป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะการขอรับเงินชดเชยเป็นการช่วยเหลือเพื่อยกระดับราคาอ้อยในโครงการฯ ให้เทียบเท่ากับราคาอ้อยที่นำไปผลิตเป็นน้ำตาล แม้ว่าจะใช้วิธีการเดียวกับการนำมันสำปะหลังไปผลิตเอทานอลและจำหน่ายให้ผู้ค้ามาตรา 7 นำไปผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอล ก็ตาม ในขณะที่การชดเชยน้ำมันแก๊สโซฮอลที่ผสมเอทานอลที่ผลิตจากมันสำปะหลังที่เคยดำเนินการเมื่อปลายปี 2555 นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องกันการขาดแคลนเอทานอลที่ผสมน้ำมันแก๊สโซฮอลในระยะยาว และ เป็นการชดเชยระยะสั้นเพียง 5 เดือนเท่านั้น ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการรองรับการใช้ เอทานอลที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลของนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2556
5.4 เพื่อเป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยโดยเร็ว เห็นควรให้กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงมหาดไทย หารือสำนักงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณในการชดเชยราคาอ้อย ในพื้นที่โครงการฯ
มติของที่ประชุม
1. ภายใต้ขอบเขตการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถสนับสนุนชดเชยให้แก่เกษตรกร ผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ที่ได้รับผลกระทบจากการปนเปื้อนสารแคดเมี่ยมในลุ่มน้ำแม่ตาว จังหวัดตากได้ เนื่องจากไม่อยู่ในขอบเขตและไม่ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนั้น ในระยะสั้น (ปี 2556) ควรพิจารณาใช้เงินงบประมาณกลางในการชดเชยให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในพื้นที่โครงการฯ ในลุ่มน้ำ แม่ตาว จังหวัดตากแทน
2. มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ทำหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป
รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 31 สิงหาคม 53
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 23-29 มิถุนายน 2551
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 11 มกราคม 2549
กบง. ครั้งที่ 135 - วันอังคารที่ 8 มกราคม 2556
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2556 (ครั้งที่ 135)
วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
2. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2556
ปลัดกระทรวงพลังงาน นายณอคุณ สิทธิพงศ์ กรรมการ เป็นประธานที่ประชุม แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ
เรื่องที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้รายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อราคาน้ำมันตลาดโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาคือเรื่องหน้าผาการคลัง (Fiscal cliff) ของสหรัฐอเมริกา ที่ได้คลี่คลายในระดับหนึ่ง ส่วนในสัปดาห์นี้ ปัจจัยสำคัญคือ สภาพเศรษฐกิจของจีนที่กำลังเติบโต และในเขตเอเชียเหนือ ได้แก่ จีน และเกาหลีมีอุณหภูมิลดต่ำมาก ทำให้ต้องใช้มาตรการพิเศษในการผลิตน้ำมัน ประกอบกับท่อขนส่งน้ำมันทางทะเล (Seaway) ในสหรัฐอเมริกาปรับเพิ่มกำลังขนส่งจากเขต Cushingในรัฐโอกลาโฮมา ไปยังโรงกลั่นทางตอนใต้ในเขต Gulf Coast รัฐเท็กซัสของสหรัฐอเมริกาจาก 150,000 บาร์เรล เป็น 400,000 บาร์เรล ส่งผลให้ปริมาณสำรองลดลง จึงทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ในส่วนของน้ำมันสำเร็จรูป แนวโน้มราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันในไต้หวันปิดปรับปรุง 3 เดือน ส่วนราคาน้ำมันดีเซลจากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเพื่อให้ความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว และปริมาณสำรองในสิงคโปร์ปรับลดลงต่ำสุดในช่วง 2 สัปดาห์ สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2555 ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม 2556 อยู่ในระดับสูง
เรื่องที่ 2 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3cกำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 7 มกราคม 2556 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 106.60, 121.01 และ125.47 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.48, 4.56 และ 3.76 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2555 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลง ผู้ค้าน้ำมันได้มีการปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลขึ้น 2 ครั้ง ครั้งละ 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2555 และวันที่ 4 มกราคม 2556 ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 8 มกราคม 2556 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 8 มกราคม 2556
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 6 มกราคม 2556 มีทรัพย์สินรวม 6,075 ล้านบาท หนี้สินรวม 22,555 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 16,479 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 23.04 ล้านบาท จากวันละ 117.96 ล้านบาท เป็นวันละ 94.92 ล้านบาท
เห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลลง 0.40 บาทต่อลิตร จาก 1.50 บาทต่อลิตร เป็นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1.10 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2556 เป็นต้นไป
,a name=3>
เรื่องที่ 3 เกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีบัญชี 2556
สรุปสาระสำคัญ
1.คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ นำระบบการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนที่เป็นมาตรฐานสากล และมีการกำหนดตัวชี้วัดการดำเนินงาน (KPI) มาใช้เพื่อวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียน ซึ่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2551
2. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2555 กรมบัญชีกลางได้จัดส่งกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2556 ให้ สนพ. เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการประเมินผล ต่อมา เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 สนพ. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) กรมบัญชีกลาง และบริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้หารือร่วมกันเกี่ยวกับเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง) ประจำปีบัญชี 2556 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประสานกับกรมบัญชีกลางและบริษัท ทริส เพื่อปรับปรุงเกณฑ์การประเมินผลฯ ให้สอดคล้องกับกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลฯ
ของกรมบัญชีกลาง และสถานการณ์ของกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบัน โดยสรุปเกณฑ์การประเมินผลฯ ได้ดังนี้
2.1 ผลการดำเนินงานด้านการเงิน ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากความสามารถในการหาเงินกู้ของกองทุนฯ (2) อัตราผลตอบแทนจากการบริหารเงินฝากของกองทุนฯ และ (3) การจัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 170 ให้กรมบัญชีกลาง
2.2 ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) การรักษามาตรฐานระยะเวลาการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยตามประกาศ กบง. (2) การรักษามาตรฐานระยะเวลาในการจ่ายเงินให้หน่วยเบิกนับแต่วันที่ได้รับเอกสารในการจ่ายชดเชยก๊าซแอลพีจีนำเข้าจากต่างประเทศ และ (3) ร้อยละของการเผยแพร่ประมาณการรับ-จ่ายที่เกิดขึ้นตามประกาศ กบง. ทางเว็บไซต์ สบพน. ได้ภายในวันทำการถัดไปของวันที่มีผลปรับอัตราเงินชดเชย/เงินส่งเข้ากองทุน ตามประกาศ กบง.
2.3 การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย 2 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) ร้อยละของระดับความพึงพอใจของผู้รับบริการ และ (2) ระดับความสำเร็จของการนำข้อคิดเห็นจากการสำรวจความพึงพอใจไปปรับปรุง
2.4 การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน ประกอบด้วย 6 ตัวชี้วัด ได้แก่ (1) บทบาทคณะกรรมการทุนหมุนเวียนการบริหารความเสี่ยง (3) การควบคุมภายใน (4) การตรวจสอบภายใน (5) การบริหารจัดการสารสนเทศ และ (6) การบริหารทรัพยากรบุคคล
3. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 กรมบัญชีกลางได้แจ้งว่า คณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน กระทรวงการคลัง ได้มีมติเห็นชอบการกำหนดเกณฑ์ชี้วัดของการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันฯ ตามที่ได้หารือเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2555 แล้ว และกรมบัญชีกลางจึงได้จัดส่ง "บันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2556 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ให้ สนพ. เพื่อนำเสนอผู้มีอำนาจลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว และส่งคืนกรมบัญชีกลางภายใน 30 วันนับจากวันที่กรมบัญชีกลางส่งบันทึกข้อตกลงฯ
4. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2555 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2556 ระหว่างกระทรวงการคลังกับกองทุนน้ำมันฯ เสนอให้ประธาน กบง. ลงนามเรียบร้อยแล้ว และได้จัดส่งบันทึกข้อตกลงดังกล่าวให้กรมบัญชีกลางเพื่อดำเนินการต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ตาม ระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 หมวด 6 การตรวจสอบภายใน ข้อ 18 ให้มีการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุน อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และคำสั่งกระทรวงพลังงาน เรื่อง แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลงวันที่ 23 มีนาคม 2548 วรรคสาม- ให้แต่งตั้งผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. เป็นผู้ตรวจสอบภายในกองทุนน้ำมันฯ แล้วรายงานให้ปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อนำเสนอให้ กบง. ทราบต่อไป
2. ในปีงบประมาณ 2555 ผู้ตรวจสอบภายใน สบพน. ได้ดำเนินการตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานกองทุนน้ำมันฯ พร้อมทั้งได้สรุปผลการตรวจสอบกับผู้รับผิดชอบและผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงานแล้ว จำนวน 3 กิจกรรม ดังนี้
2.1 ตรวจสอบการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2554 ทั้งหมด 512 รายการ จำนวนเงินทั้งสิ้น 715,773,250.33 บาท นำเสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. เพื่อพิจารณาความถูกต้องของการบันทึกบัญชี และสอบทานระยะเวลาดำเนินการให้เป็นไปตามที่ระเบียบฯ กำหนด ดังนี้ (1) ระยะเวลาการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ระเบียบฯ กำหนดให้ส่งเงินเข้าบัญชีฯ อย่างช้าภายใน 2 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน จากการสอบทานเอกสารพบว่าทั้ง 512 รายการ มีการนำส่งเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ภายในระยะเวลาที่ระเบียบกำหนดไว้ และ (2) ระยะเวลาการจัดทำรายละเอียดพร้อมแนบสำเนาใบนำฝากเงิน (Pay-in-Slip) และสำเนาใบส่งเงินส่งให้ สบพน. ระเบียบฯ กำหนดภายใน 3 วันทำการ นับแต่วันที่ได้นำเงินฝากเข้าบัญชี จากการสอบทาน พบว่า ไม่เป็นไปตามที่ระเบียบฯ กำหนด จำนวน 162 รายการ สาเหตุเนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสรรพสามิตพื้นที่ต่างจังหวัด ต้องส่งเอกสารทางไปรษณีย์ จึงทำให้เอกสารมาถึง สบพน. ล่าช้า
2.2 ตรวจสอบการจ่ายเงินชดเชยก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2554 ถึงเดือนเมษายน 2555 จำนวนเงิน 24,935,251,017.83 บาท เสนอต่อคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. เพื่อพิจารณาให้การปฏิบัติเป็นไปตามที่ระเบียบฯและมติของ กบง.
2.3 ตรวจสอบการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเบิก - จ่ายเงิน ตามโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2555 และโครงการต่อเนื่อง ระหว่างเดือนเมษายน 2554 - เดือนกรกฎาคม 2555 นำเสนอคณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. และคณะกรรมการ สบพน. ดังนี้ (1) โครงการที่ได้รับอนุมัติให้เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ และยังไม่ปิดโครงการ 19- โครงการ วงเงินอนุมัติ 1,137,470,229 บาท เบิกใช้จ่ายแล้ว 522,590,313.25 บาท คงเหลือ 614,879,913.75 บาท (2) โครงการที่ได้รับอนุมัติให้เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ที่ปิดโครงการแล้ว 15 โครงการ วงเงินอนุมัติรวม 526,668,315 บาท เบิกจ่ายแล้ว 308,878,381.47 บาท คงเหลือ 217,789,933.53 บาท ใช้จ่ายจริง 305,376,446.69 บาท คืนเงินต้นคงเหลือและดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ ภายใน 15 วัน ตามที่ระเบียบฯ กำหนดไว้ และ (3) โครงการที่เบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปแล้วและมิได้จัดทำรายงานสรุปการรับ-จ่ายเงินกองทุนประจำเดือนส่งให้ สบพน. ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV (ธพ.) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ด้านนโยบายพลังงาน ระยะที่ 2 (สป.พน.) โครงการศึกษาและวิเคราะห์เพื่อจัดทำแผนรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงาน (สป.พน.) และโครงการศึกษาวิธีการพัฒนาระบบและแนวทางปฏิบัติในการรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานระดับประเทศ (สป.พน.)
3. คณะกรรมการตรวจสอบ สบพน. มีความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ (1) ให้ สบพน. แจ้งให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและการเบิกจ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2549 กำหนดไว้ (2) หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการ ควรขอเบิกเงินให้เป็นไปตามแผนการใช้เงิน ที่ได้รับอนุมัติจาก กบง. และหากเบิกเงินตั้งแต่งวดที่ 2 เป็นต้นไป ควรสรุปผลการใช้จ่ายเงินในงวดที่ผ่านมาให้กองทุนน้ำมันฯ รับทราบ (3) โครงการที่ไม่มีการดำเนินการ หรือผ่านมาหลายปีแล้ว ควรทำเรื่องเสนอให้ กบง. พิจารณาเพื่อยกเลิกโครงการดังกล่าว และ (4) การจัดทำร่างระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการเบิก-จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ควรเพิ่มเติมรายละเอียดให้ครอบคลุมเกี่ยวกับระยะเวลาการเบิกเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายเงินจากกองทุน น้ำมันฯ และควรระบุให้มีการสรุปผลการดำเนินโครงการว่าผลลัพธ์ที่ได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่อย่างไร พร้อมกับการส่งคืนเงินคงเหลือและดอกผลให้กองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ