คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2531)
Children categories
กพช. ครั้งที่ 91 - วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2545 (ครั้งที่ 91)
วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2545 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มาตรการประหยัดพลังงานและสาธารณูปโภคในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ
3.มาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิรัก
4.แนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกช่วงไตรมาสที่ 3 ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ประมาณ 1.1 - 2.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ที่เริ่มสูงขึ้นและจากความวิตกกังวลว่าอาจจะเกิดสงครามใน ตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก ประกอบกับกลุ่มโอเปคได้ตกลงที่จะคงปริมาณการผลิตสำหรับไตรมาสที่ 4 ถึงกลางปี 2546 ไว้ที่ระดับเดิม 21.7 ล้านบาร์เรล/วัน และสถาบันปิโตรเลียมของสหรัฐอเมริกา (API) รายงานปริมาณน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐอเมริกาลดลง 2.19 ล้านบาร์เรล เหลือ 289.8 ล้านบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 27.50 และ 28.85 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในช่วงไตรมาสที่ 3 น้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 92 ได้ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยของไตรมาสที่ 2 ประมาณ 0.6 และ 0.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 28.94 และ 27.59 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความต้องการใช้น้ำมันเบนซินใน ภูมิภาคเอเซียลดลง และปริมาณสำรองในตลาดโลกค่อนข้างสูง ส่วนน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.2 และ 1.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้ในภูมิภาคที่เพิ่ม สูงขึ้น ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 31.2, 29.8, 33.5, 31.9, และ 26.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยในช่วงไตรมาสที่ 3 ได้ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ 2 โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และ 91 ได้ปรับตัวลดลง 46 สตางค์/ลิตร และดีเซลหมุนเร็วได้ปรับตัวลดลง 5 สตางค์/ลิตร ตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ที่อ่อนตัวลง และค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น ทำให้ต้นทุนน้ำมันสำเร็จรูปของไทยลดลงประมาณ 20 - 27 สตางค์/ลิตร ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 16.29, 15.29 และ 14.29 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดและค่าการกลั่นในไตรมาสที่ 3 ได้ปรับตัวลดลงในระดับเดียวกัน 0.18 บาท/ลิตร โดยค่าการตลาดและค่าการกลั่นของเดือนกันยายนอยู่ที่ระดับ 1.15 และ 0.66 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และการที่กลุ่มโอเปคกำหนดปริมาณการผลิตไว้เท่าเดิมที่ระดับ 21.7 ล้านบาร์เรล/วัน นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ ที่จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น คือ ภาวะสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก ดังนั้น จึงคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 - 3 เหรียญสหรัฐ ต่อบาร์เรล โดยราคาจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 29 - 30 และ 30 - 31 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ซึ่งปริมาณความต้องการใช้ในฤดูหนาวจะเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่า ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์ช่วงไตรมาสที่ 4 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 31 - 33 และ 32 - 34 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 16 - 17, 15 - 16 และ 14 - 15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 มาตรการประหยัดพลังงานและสาธารณูปโภคในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 ให้หน่วยงานราชการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงาน ดังต่อไปนี้
1) ให้หน่วยงานราชการระดับกรม จัดตั้งคณะทำงานที่มีหัวหน้าส่วนราชการเป็นประธาน เพื่อให้รับผิดชอบในคณะทำงานในการกำหนดแผนงาน นโยบาย และเป้าหมายในการลดพลังงานให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 5 ของปริมาณการใช้เดิมในปี 2544 และให้แจ้งผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทราบเพื่อรวบรวมไว้เป็นประโยชน์ในการกำหนดนโยบายต่อไป
2) ให้รถราชการที่ใช้น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ได้ ต้องใช้ออกเทน 91 โดยให้กรมบัญชีกลางออกเป็นระเบียบบังคับ และให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตรวจสอบการปฏิบัติของส่วนราชการอย่างเคร่งครัด และให้มีการบำรุงรักษาเครื่องยนต์ของรถราชการให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ
3) ให้ปรับอุณหภูมิห้องปรับอากาศเป็น 25-26ºC และรณรงค์เลิกใส่เสื้อนอก โดยให้ข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำระดับสูง ทำเป็นตัวอย่าง
4) ให้ดูแลเรื่องการใช้ลิฟท์ของหน่วยงานราชการ โดยให้หลีกเลี่ยงการใช้ลิฟท์กรณีขึ้นลงเพียง ชั้นเดียว หรือจัดการให้ระบบลิฟท์สามารถหยุดได้เว้นชั้น และควรหาวิธีปรับปรุงลิฟท์ให้สามารถตัดไฟได้อัตโนมัติหากไม่มีการใช้งานเป็น เวลานาน
2. สพช. มอบหมายให้มหาวิทยาลัยวิทยาลัยมหิดลดำเนินโครงการลดการใช้พลังงานในหน่วย งานราชการระดับกรมและรัฐวิสาหกิจ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการการอนุรักษ์พลังงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ศอม.) เพื่อทำหน้าที่ประสานงานระหว่างโครงการฯ กับ สพช. หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ในการให้คำแนะนำแนวทางการลดการใช้พลังงานแก่หน่วยงาน และการจัดกิจกรรมรณรงค์ลดการใช้พลังงานตามแผนงานที่ได้วางไว้ ขณะเดียวกันได้เพิ่มศักยภาพให้แก่คณะทำงานของหน่วยงานในการจัดทำแผนปฎิบัต ิการด้วยการจัดกิจกรรมค่ายฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งผลการดำเนินโครงการมีหน่วยงานที่รายงานข้อมูลการใช้พลังงานครบถ้วนจำนวน 130 แห่ง (จากหน่วยงานราชการระดับกรมและรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 248 แห่ง) และจากการประมวลข้อมูลรายงานการใช้พลังงานที่ ศอม. ได้รับสรุปได้ว่าในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี 2545 เปรียบเทียบกับ 2 ไตรมาสแรกของปี 2544 ทีหน่วยงานที่สามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า-น้ำมันได้มากกว่าร้อยละ 5 จำนวน 32 หน่วยงาน
3. ฝ่ายเลขานุการฯ มีข้อเสนอแนะเห็นควรเร่งรัดให้หน่วยงานราชการระดับกรมและรัฐวิสาหกิจดำเนิน การตามมาตรการประหยัดพลังงานตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด โดยให้ สพช. แจ้งรายชื่อ หน่วยงานที่ไม่ให้ความร่วมมือให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาทุก 3 เดือน เพื่อให้คณะรัฐมนตรีสั่งการโดยตรงไปยังหน่วยงานนั้นๆ เพื่อถือปฏิบัติต่อไป อีกทั้งให้สำนักงาน กพ. กำหนดให้ใช้เป้าหมายในการลดการใช้พลังงานและสาธารณูปโภคร้อยละ 5 ของประมาณการใช้เฉลี่ยปีงบประมาณ 2543 - 2544 เป็นกรอบการวัดและการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานของส่วนราชการ เพื่อขอรับเงินรางวัลประจำปี โดยเริ่มจากปี งบประมาณ 2546 เป็นต้นไป และให้สำนักงบประมาณกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินงบประมาณ หมวดสาธารณูปโภค ในส่วนที่หน่วยงานสามารถประหยัดได้ เพื่อนำเป็นเงินสวัสดิการของหน่วยงานนั้นๆ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมาตรการประหยัดพลังงานและสาธารณูปโภคในหน่วยงานราชการและรัฐ วิสาหกิจ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ทั้งนี้ ให้ปรับแนวทางไปตามข้อพิจารณาของที่ประชุม
เรื่องที่ 3 มาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิรัก
สรุปสาระสำคัญ
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้เชิญประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือ เรื่อง ผลกระทบของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกา และอิรัก เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2545 ซึ่งที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ สพช. รับไปจัดทำข้อเสนอมาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อ นำเสนอคณะรัฐมนตรีในการประชุมวันที่ 8 ตุลาคม 2545
2. สพช. ได้จัดทำข้อเสนอมาตรการประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพงและภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง อันเนื่องมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก โดยแบ่งมาตรการเป็น 3 ระดับ ตามความรุนแรงของภาวะการขาดแคลนน้ำมันในประเทศ ดังนี้
1) มาตรการระดับต้น เมื่อราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูงแต่ยังไม่เกิดภาวะขาดแคลน ให้กำหนดเป็นมาตรการบังคับสำหรับส่วนราชการ ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามจะมีโทษทางวินัย (ขัดมติคณะรัฐมนตรี) โดยให้ทุกส่วนราชการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากปริมาณการใช้เฉลี่ยต่อเดือนของปีงบประมาณ 2544 และลดค่าใช้จ่ายในส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของปีงบประมาณ 2544 ส่วนมาตรการสำหรับประชาชนทั่วไป ให้เป็นการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดปริมาณการใช้พลังงาน เช่น ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 - 26 องศาเซลเซียส การขอความร่วมมือจากภาคเอกชนในการปิดไฟป้ายโฆษณา และไฟส่องอาคารภายหลังเวลา 24.00 น. การปิดเปิดห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในช่วงเวลา 22.00 - 10.00 น. เป็นต้น
ทั้งนี้ มาตรการในระดับต้น ให้ดำเนินการทันที เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
2) มาตรการระดับกลาง เป็นมาตรการบังคับเพื่อลดการใช้พลังงานให้อยู่ในระดับที่จัดหาได้ โดยจะใช้มาตรการนี้เมื่อเริ่มมีการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเกิดขึ้น (การจัดหาอยู่ในระดับต่ำกว่าปริมาณการใช้แต่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80) และเป็นมาตรการชั่วคราวเฉพาะช่วงที่มีการขาดแคลนน้ำมันเท่านั้น โดยให้ทุกส่วน ราชการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จากปริมาณการใช้เฉลี่ยต่อเดือนของปีงบประมาณ 2544 และลดค่าใช้จ่ายในส่วนน้ำมันเชื้อเพลิงลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนของปีงบประมาณ 2544 ส่วนมาตรการสำหรับประชาชนทั่วไป เป็นมาตรการบังคับ เช่น การจำกัดความเร็วรถยนต์ไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง การลดเวลาการเปิดปิดสถานีบริการน้ำมัน วันธรรมดาเปิดช่วง 05.00 - 21.00 น. และปิดบริการในวันอาทิตย์ การลดเวลาการใช้ไฟฟ้าในตึกสาธารณะและสถานที่บริการต่างๆ โดยให้ใช้ไฟส่องป้ายโฆษณาสินค้าหรือบริการ หรือประดับสถานที่ทำธุรกิจได้เฉพาะระหว่าง เวลา 18.00 - 21.00 น. และกำหนดช่วงระยะเวลาเปิด - ปิด ของห้างสรรพสินค้า และโรงภาพยนตร์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลด้านพลังงาน เป็นผู้พิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมกับสถานการณ์ หากเห็นว่าจำเป็นให้นำเสนอ ครม./กพช. อนุมัติการใช้มาตรการระดับกลาง บางมาตรการหรือทุกมาตรการแล้วแต่จะเห็นว่าเหมาะสมกับสถานการณ์
3) มาตรการระดับรุนแรง เมื่อมาตรการบังคับต่างๆ ไม่สามารถทำให้ปริมาณการใช้น้ำมันลดลงได้จนกระทั่งการจัดหาอยู่ในระดับไม่ ถึงร้อยละ 80 ของปริมาณการใช้ จำเป็นต้องใช้มาตรการในการปันส่วน น้ำมัน เพื่อให้มีน้ำมันใช้อย่างทั่วถึงและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงมาตรการป้องกันการกักตุน การควบคุมการจำหน่าย และการปันส่วนน้ำมัน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมาตรการประหยัดพลังงานเพื่อรองรับสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐอเมริกาและอิรัก โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้สอดคล้อง กับการพิจารณาของที่ประชุม เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 แนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายเนวิน ชิดชอบ) ได้นำเสนอต่อที่ประชุมว่า รองนายก รัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำแผนมาตรการในการกำกับดูแลราคาสินค้าและ บริการในกรณีเกิดวิกฤตขึ้น และให้นำเสนอในการประชุมครั้งนี้เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยแนบพร้อมกับมาตรการประหยัดพลังงาน และได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการกองรักษาสิทธิประโยชน์ผู้บริโภค (นางผุสดี กำปั่นทอง) สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. กรมการค้าภายในได้กำหนดแนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคออกเป็น 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการจัดระบบราคาสินค้า มาตรการทางกฎหมาย และมาตรการเสริม
2. มาตรการจัดระบบราคาสินค้า จัดเป็นมาตรการทั่วไปเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและเป็นธรรมในราคาสินค้าแก่ ประชาชน และเพื่อให้มีสินค้าที่เพียงพอกับความต้องการไม่เกิดการขาดแคลน ทั้งนี้ ได้กำหนดวิธีดำเนินการ โดยติดตามภาวะราคาจำหน่ายอย่างใกล้ชิด ให้การเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าสอดคล้องกับภาวะต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะสินค้า 73 รายการ ซึ่งเป็นสินค้าที่เฝ้าติดตาม (Watch List) และจัดระบบติดตามผลกระทบจากปัจจัยการผลิตสินค้าที่สำคัญที่จะมีผลต่อต้นทุน สินค้าและต่อราคาจำหน่าย รวมทั้ง กำหนดระบบการติดตามเพื่อเตือนภัย (Warning System) สำหรับสินค้าที่เฝ้าติดตาม (Watch List) โดยให้ความสำคัญด้านราคา ตรวจสอบติดตามกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการค้าในแหล่งผลิต ตลาดสด แหล่งจำหน่ายเป็นประจำ เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมาย และจัดระบบการกระจายสินค้าและประสานการดำเนินการค้าระบบการจัดการสินค้าส่ง ออก/นำเข้า เป็นต้น
3. มาตรการทางกฎหมาย ได้มีแนวทางการดำเนินการโดยการใช้อำนาจตามมาตรา 29 และ 30 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในการป้องกันการฉวยโอกาสเอาเปรียบในด้านราคาต่อผู้บริโภคและการกักตุนสินค้า และใช้อำนาจตามมาตรา 25 และ 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ในการกำหนดรายการสินค้าควบคุมเพิ่มเติม นอกจากนี้ โดยการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติชั่ง ตวง วัด พ.ศ. 2542 ในการดูแลปริมาณสินค้าทั้งในด้าน ชั่ง ตวงวัด และการบรรจุหีบห่อให้ถูกต้อง พร้อมทั้ง เปิดช่องทางการร้องเรียนเรื่องราคาสินค้าและบริโภคที่ผู้บริโภคไม่ได้รับ ความเป็นธรรมโดยทางโทรศัพท์สายด่วน 1569 และให้มีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด
4. มาตรการเสริมหรือมาตรการแทรกแซง ใช้ในกรณีที่จำเป็นเพื่อจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภคเสริมให้กับประชาชน ซึ่งมีแนวทางการดำเนินการโดยการจัดร้านค้าจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคธงฟ้า ราคาประหยัด และเชื่อมโยงให้ผู้จำหน่ายปลีกในท้องถิ่นรับสินค้าโดยตรงจากผู้ผลิต/ผู้แทน จำหน่าย (กรณีสินค้าในท้องถิ่นขาดแคลน หรือมีราคาจำหน่ายสูงเกินสมควร) พร้อมทั้ง ประสานงานกับส่วนราชการอื่นเพื่อให้มีการปรับลดอัตราภาษี เพิ่ม - ลด ปริมาณการนำเข้า และสินค้าตามข้อตกลงของ WTO
มติของที่ประชุม
เห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยมอบหมายให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้มีความสอดคล้องกับการพิจารณา ของที่ประชุม
กพช. ครั้งที่ 90 - วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2545 (ครั้งที่ 90)
วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2545 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
1.1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
1.2 สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
4.การผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรม
5.การทบทวนการคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
7.สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้ากัมพูชา
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่อง สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
เรื่องที่ 1-1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในช่วงเดือนกรกฎาคม - ต้นเดือนกันยายน 2545 ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงไตรมาสที่ 2 ประมาณ 1.5 - 2.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 และความวิตกกังวลว่าจะเกิดสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรัก รวมทั้ง ความไม่ชัดเจนว่ากลุ่มโอเปคจะเพิ่มปริมาณการผลิตหรือไม่ โดยซาอุดิอาระเบียมีความเห็นว่า ควรเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีก 800,000 - 900,000 บาร์เรล/วัน แต่คูเวต เวเนซุเอล่า และอิหร่าน ไม่ต้องการให้เพิ่มปริมาณการผลิต ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบและ เบรนท์ ณ วันที่ 11 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 27.0 และ 28.5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในช่วงเดือนกรกฎาคม - ต้นเดือนกันยายน ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบทุกผลิตภัณฑ์ โดยน้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 เล็กน้อย น้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.7 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากการสำรองไว้ใช้ในฤดูหนาว น้ำมันเตาได้ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศจีน ราคาน้ำมัน ออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 11 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 30.4, 29.1, 33.8, 30.8 และ 27.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย ช่วงเดือนกรกฎาคม - ต้นเดือนกันยายน โดยราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 ได้ปรับตัวลดลงจากช่วงไตรมาสที่ 2 รวม 33 สตางค์/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้น 21 สตางค์/ลิตร ทั้งนี้ เป็นการปรับตัวตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 10 กันยายน 2545 อยู่ที่ระดับ 15.69, 14.69 และ 13.69 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.21 บาท/ลิตร และค่าการกลั่นได้ปรับตัวสูงขึ้น มาอยู่ที่ระดับ 0.57 บาท/ลิตร (2.2 เหรียสหรัฐต่อบาร์เรล)
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 - 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้ที่จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้น รวมทั้งภาวะอุปทานที่ถูกจำกัดจากโควต้าการผลิตของโอเปคที่อยู่ในระดับต่ำ โดยภาวะสงครามที่อาจเกิดขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิรักเป็นปัจจัยเสริมที่ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 27 - 28 และ 29 - 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์จะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว โดยราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ ระดับ 29 - 31 และ 31 - 33 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ราคาขายปลีกของไทยน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วจะ เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 16 - 17, 15 - 16 และ 14 - 15 บาท/ลิตร ตามลำดับ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาอิรักว่า หากเกิดสงครามขึ้นในอ่าวเปอร์เซีย ผลกระทบจะเกิดได้ใน 2 กรณี คือ สงครามจำกัดเขตเฉพาะกับอิรัก จะทำให้ น้ำมันดิบในตลาดโลกหายไปประมาณ 2.2 - 2.3 ล้านบาร์เรล และถ้าสงครามขยายตัวครอบคลุมพื้นที่ ตะวันออกกลาง จะทำให้น้ำมันดิบหายไปจากตลาดโลกประมาณ 19 ล้านบาร์เรล/วัน ความเป็นไปได้มากที่สุดคือกรณีแรก ส่วนผลกระทบต่อประเทศไทย คาดว่าจะเป็นผลกระทบด้านราคาเป็นส่วนใหญ่ โดยราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้น 35 - 40 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทยปรับตัวสูงขึ้น 3 - 4 บาท/ลิตร โดยเบนซินออกเทน 95 และดีเซลหมุนเวียนเร็วอยู่ที่ระดับ 19 และ 17 บาท/ลิตร ตามลำดับ
6. ภาครัฐได้มีมาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อ รองรับสถานการณ์ หากเกิดสงครามขึ้นในอ่าวเปอร์เซียไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1) การจัดหาน้ำมันดิบ รัฐบาลจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบ ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ในประเทศให้มากขึ้น ควบคุมการนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบอย่างรัดกุม เจรจากับมิตรประเทศเพื่อขอซื้อน้ำมันในลักษณะการค้าต่างตอบแทน และนำน้ำมันสำรองตามกฎหมายมาใช้
2) มาตรการด้านราคา จะให้ราคาน้ำมันในประเทศเป็นไปตามกลไกของตลาด โดยรัฐจะกำกับดูแลการกำหนดราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้ บริโภค และนำระบบการควบคุมราคามาใช้ หากมีการขาดแคลนอย่างรุนแรง
3) การเปลี่ยนแปลงไปใช้เชื้อเพลิงอื่นที่ผลิตในประเทศ โดยส่งเสริมให้มีการใช้เชื้อเพลิงที่ผลิตได้ในประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนและลดการนำเข้า รวมทั้งส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงทดแทน เช่น เอทานอล และไบโอดีเซล เป็นต้น
4) มาตรการประหยัดพลังงานและการจัดการด้านการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นของการประหยัดน้ำมันและการบริหารปริมาณน้ำมันให้เพียงพอกับความต้องการใช้
5) มาตรการป้องกันการกักตุน การควบคุมการจำหน่าย และการปันส่วนน้ำมัน สำหรับกรณีสถานการณ์รุนแรง เป็นการจัดสรรน้ำมันการใช้น้ำมันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 1-2 สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกเดือนกันยายน 2545 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 27 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 258 เหรียญสหรัฐ/ตัน และราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ที่ 10.25 บาท/กิโลกรัม โดยอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ 2.98 บาท/กิโลกรัม ส่วนกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมัน ชนิดอื่น 878 ล้านบาท/เดือน จึงมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ สุทธิ 372 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มของราคาก๊าซ LPG ช่วงไตรมาสที่ 4 จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 260-300 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้อัตราเงินชดเชยอยู่ในระดับ 3.07 -5.62 บาท/กก. หรือ 520-947 ล้านบาท/เดือน
2. กรมบัญชีกลาง ได้รายงานยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2545 อยู่ในระดับ 5,170 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2545 รวม 10,872 ล้านบาท ฐานะกองทุน น้ำมันฯ สุทธิติดลบ 5,702 ล้านบาท และกรมสรรพสามิต ได้รายงานการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ของเดือนสิงหาคม 2545 เป็นจำนวนเงิน 730 ล้านบาท ยอดหนี้ตามข้อตกลง ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2545 เท่ากับ 9,855 ล้านบาท
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานถึงมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบผู้ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว จากราคาก๊าซฯ ที่จะสูงขึ้นภายหลังการยกเลิกควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ดังนี้
1) กลุ่มอุตสาหกรรม ส่งเสริมให้เปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในแนวระบบท่อจำหน่ายก๊าซฯ วงแหวนรอบ กทม. (Bangkok Gas Ring) ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2550 ให้ เปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาต่ำกว่าก๊าซ LPG รวมทั้งการปรับปรุงประสิทธิภาพเตาเผาหรือเตาอบของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ ก๊าซปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง เพื่อให้เกิดการประหยัด ลดปริมาณการใช้ โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2) กลุ่มรถแท็กซี่ ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท็กซี่ (NGV) โดยติดตั้งอุปกรณ์สำหรับใช้ก๊าซ NGV จำนวน 1,000 คัน ภายใน 5 ปี ซึ่ง สพช. ร่วมกับบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (IFCT) จะจัดหาโครงการเงินกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้ง ส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งสถานีบริการจำหน่ายก๊าซ NGV โดย สพช. จะใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนค่าใช้จ่ายบาง ส่วนแก่ ปตท. และภาคเอกชนอื่นในการจัดตั้งสถานีจำหน่ายก๊าซฯ ให้ทั่วถึงในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2.รับทราบมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบผู้ใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ในส่วนของกลุ่มอุตสาหกรรม และกลุ่มรถแท็กซี่ ดังต่อไปนี้
2.1 มาตรการส่งเสริมให้กลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ในพื้นที่แนวระบบท่อส่งก๊าซ ธรรมชาติรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล (Bangkok Gas Ring) ให้เปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีราคาต่ำกว่าก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.2 มาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพเตาเผาหรือเตาอบของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวเป็นเชื้อเพลิง เพื่อให้เกิดการประหยัด ลดปริมาณการใช้ โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อ ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2.3 มาตรกาส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท็กซี่ (NGV) โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการและวิธีการส่งเสริมให้ เกิดการใช้ก๊าซธรรมชาติในรถแท็กซี่ รวมถึง มาตรการและแนวทางการส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งสถานีบริการจำหน่าย NGV ให้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และภาคเอกชนอื่นๆ เช่น ร่วมกับสถาบันการเงินจัดทำโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและชำระคืนเงินต้นระยะ ยาว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ให้แก่ผู้ประกอบการแท็กซี่ เป็นต้น ทั้งนี้ การให้การสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะต้องสอดคล้องกับระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เรื่องที่ 2 การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เห็นชอบในหลักการให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรง งานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป และลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ต่อไป
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ขอให้ สพช. ดำเนินการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ตามมติคณะรัฐมนตรี
3. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับ น้ำมันแก๊สโซฮอล์เท่ากับ 0.27 บาท/ลิตร โดยให้มีผลบังคับใช้พร้อมกับประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง อัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซ ฮอล์
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เสนอให้กำหนดอัตราเงินส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยใช้หลักการเดียวกับภาษีสรรพสามิตและกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง คือให้ยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในส่วน ของเอทานอล 10% โดยอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊ส โซฮอล์ จะเท่ากับ 0.036 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
เห็นชอบข้อเสนอการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้เท่ากับ 0.036 บาท/ลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2539 (ครั้งที่ 55) ให้นำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการของหน่วย งานต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87) ให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและ มาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนสำนัก งานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)
3. ในงบประมาณปี 2545 คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้อนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายเป็นเงิน 830.9 ล้านบาท เป็นงบผูกพันจากปี 2544 จำนวน 552.2 ล้านบาท และงบอนุมัติใหม่ 278.7 ล้านบาท หน่วยงานที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณได้รายงานผลการใช้เงินในปี 2545 ให้ทราบ ซึ่งทุกหน่วยงานมีภาระหนี้ผูกพันในการทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันในปีงบประมาณ 2545 เป็นจำนวนเงินรวม 579,639,450.94 บาท ซึ่งประกอบด้วย
3.1 กรมศุลกากร จำนวนเงิน 38,580,002.16 บาท (สามสิบแปดล้านห้าแสนแปดหมื่นสองบาทสิบหกสตางค์) สำหรับแผนป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้านำมันเชื้อเพลิงทางทะเล
- หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ เป็นเงิน 27,338,502.16 บาท
- หมวดครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง เป็นเงิน 11,241,500 บาท
3.2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวนเงิน 29,843,550 บาท (ยี่สิบเก้าล้านแปดแสนสี่หมื่น สามพันห้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน)
- หมวดครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง
1) โครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นเงิน 21,963,000 บาท
2) โครงการป้องกันและปราบปรามการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงทางทะเลโดยฉ้อฉลภาษี ของรัฐ เป็นเงิน 7,880,550 บาท
3.3 กรมสรรพสามิต จำนวนเงิน 489,442,349.78 บาท (สี่ร้อยแปดสิบเก้าล้านสี่แสนสี่หมื่น สองพันสามร้อยสี่สิบเก้าบาทเจ็ดสิบแปดสตางค์)
- หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ จำนวนเงิน 20,428,323 บาท
1) โครงการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ส่งออก และเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลที่นำไปจำหน่ายให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร (Tanker) เป็นเงิน 19,260,000 บาท
2) โครงการการติดตั้งระบบควบคุมรายรับ - จ่าย ณ คลังน้ำมันชายฝั่งพร้อม เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูล เป็นเงิน 369,000 บาท
3) โครงการปรับปรุงพัฒนาระบบมาตรวัดพร้อมอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพ เป็นเงิน 799,323 บาท
- หมวดครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง จำนวนเงิน 469,014,026.78 บาท
1) โครงการการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ส่งออก และการเติมสาร Marker ในน้ำมันดีเซลที่นำไปจำหน่ายให้แก่ชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร (TANKER) เป็นเงิน 39,395,773.12 บาท
2) โครงการการติดตั้งระบบควบคุมรายรับ - จ่าย ณ คลังน้ำมันชายฝั่งพร้อม เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูล เป็นเงิน 427,077,003.66 บาท
3) โครงการจัดซื้อวัสดุวิทยาศาสตร์ เพื่อจัดซื้อเครื่องหาความหนืดของน้ำมัน เป็นเงิน 2,541,250 บาท
3.4 กรมทะเบียนการค้า (หรือกรมธุรกิจพลังงานในการปรับโครงสร้างปี 2546) จำนวนเงิน 1,860,000 บาท (หนึ่งล้านแปดแสนหกหมื่นบาทถ้วน)
- หมวดครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ ในการประเมินผลในการปฏิบัติงาน เพื่อจัดซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นเงิน 1,860,000 บาท
3.5 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ จำนวนเงิน 19,913,549 บาท (สิบเก้าล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยสี่สิบเก้าบาทถ้วน)
- หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ โครงการประชาสัมพันธ์ เป็นเงิน 14,975,499 บาท
- หมวดค่าใช้จ่ายอื่นโครงการจัดจ้างที่ปรึกษาพัฒนาระบบการป้องกันและปราบปราม การปลอมปนของสารละลายไฮโดรคาร์บอน (Solvent) เป็นเงิน 4,938,050 บาท
โดยค่าใช้จ่ายของกรมศุลกากรและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นค่าซ่อมแซมเรือ ตรวจการณ์ กรมสรรพสามิตเป็นค่าใช้จ่ายโครงการติดตั้งมิเตอร์ โครงการเติมสาร Marker เป็นหลัก กรมทะเบียนการค้าเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิง และ สพช. เป็นค่าใช้จ่ายในการทำประชาสัมพันธ์และ จัดจ้างที่ปรึกษา
4. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 39) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 ได้พิจารณา เรื่อง การขอทบทวนการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันในการป้องกันและปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม มีความเห็นดังนี้
4.1 การดำเนินการในโครงการที่ก่อหนี้ผูกพันเป็นโครงการใหญ่จำเป็นที่จะต้องเตรี ยมการอย่างรัดกุม จึงทำให้ขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างล่าช้า นอกจากนี้ การดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ยังต้องใช้เวลานาน จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จในปีงบประมาณ 2545 โดยปกติในการดำเนินการทุกปีจะมีหนี้ผูกพัน และจะนำไปตั้งของบประมาณของปีถัดไปเพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จ ซึ่งเป็นไปตามระเบียบการใช้จ่ายเงิน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินสามารถเบิกจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณได้ หากมีหนี้ผูกพันค้างระหว่างปีงบประมาณ
4.2 แม้จะเป็นการดำเนินการตามปกติ แต่เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 การนำงบผูกพันไปตั้งเป็นงบประมาณปี 2546 ตามระเบียบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง แม้จะไม่ได้เป็นการอนุมัติงบใหม่เพิ่มเติม แต่อาจจะเป็นการขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี
5. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน จึงเสนอให้มีการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ครอบคลุมการใช้จ่ายในส่วนของ หนี้ผูกพัน โดยนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อขอ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าการให้ยุติการนำเงินจาก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไปนั้น มิให้หมายความรวมถึง การสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ในส่วนของหนี้ผูกพันที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2545 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถเบิกจ่ายเหลื่อมปีงบประมาณ 2546 ได้ เนื่องจากไม่ได้เป็นการจัดสรรงบประมาณใหม่แต่อย่างใด
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ในประเด็นการให้ยุติการนำเงิน จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปี งบประมาณ 2546 เป็นต้นไปนั้น ให้ยกเว้นการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนของหนี้ ผูกพันที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ 2545 ทั้งนี้ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเบิกจ่ายหนี้ผูกพันเหลื่อมปี งบประมาณ 2546 ได้
เรื่องที่ 4 การผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปสาระสำคัญให้ที่ประชุมทราบ ดังนี้
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 ได้อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2542 เรื่อง การผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ สำหรับ ผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรม โดย (1) เห็นชอบให้ปรับปรุงลักษณะการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ โดยให้คำนวณจากความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน) คำนวณเฉพาะค่าความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเดือนที่ระบบมีความต้องการ ใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak Month) คือ ระหว่างเดือนมีนาคม - มิถุนายน และ (2) เห็นชอบให้ผ่อนผันหลักเกณฑ์การคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเป็นการชั่วคราว จากร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้าที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา ตามหลักเกณฑ์ในข้อ (1) เหลือเพียงร้อยละ 0 เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2542 เป็นต้นไป แต่ทั้งนี้ หากต่อไปในอนาคตกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองต่ำกว่าระดับมาตรฐาน ให้พิจารณาเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้อนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2543 เรื่อง การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยในส่วนของการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ กำหนดให้อัตราค่าไฟฟ้าต่ำสุดในแต่ละเดือนต้องไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน) ทั้งนี้ ให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าขั้นต่ำตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 จนถึงเดือนกันยายน 2545
3. การกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เนื่องจากการไฟฟ้าต้องลงทุนในด้านกำลังการผลิต ระบบสายส่ง และสายจำหน่าย เพื่อพร้อมจ่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา แม้ว่าผู้ใช้ไฟฟ้าจะใช้ไฟฟ้าเพียงระยะเวลาสั้นๆ ในเดือนใดเดือนหนึ่ง กล่าวคือ หากผู้ใช้ไฟฟ้าขอใช้ไฟฟ้าในระดับ 1,000 กิโลวัตต์ การไฟฟ้าก็จะลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า ระบบสายส่ง และระบบสายจำหน่าย เพื่อให้สามารถจ่ายไฟฟ้าในระดับ 1,000 กิโลวัตต์ แม้ว่าต่อมาความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลงเหลือเพียง 500 กิโลวัตต์ การไฟฟ้ายังคงพร้อมจ่ายกระแสไฟฟ้าในระดับเดิม โดยไม่สามารถลดขนาดของโรงไฟฟ้า ระบบสายส่ง และระบบสายจำหน่ายลงได้ ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ จะเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ และกิจการเฉพาะอย่างที่มีความต้องการพลังไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาที สูงสุดตั้งแต่ 30 กิโลวัตต์ขึ้นไป โดยคิดอัตราค่าไฟฟ้าขั้นต่ำไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดในเดือนปัจจุบัน)
4. เนื่องจากการผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำที่จะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายน 2545 ทำให้มีผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวนหนึ่ง ได้แก่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค และชมรมผู้เลี้ยงกุ้งจังหวัดปัตตานี ร้องเรียนมายังสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ขอให้พิจารณาขยายระยะเวลาผ่อนผันการคิดค่า ไฟฟ้าขั้นต่ำออกไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่ง คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2545 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าว และมีมติเห็นควรให้มีการขยายระยะเวลาการผ่อนผันการคิดค่า ไฟฟ้าขั้นต่ำออกไปอีก 1 ปี จนถึงเดือนกันยายน 2546 โดยมอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เสริมสร้างความเข้าใจต่อผู้ใช้ไฟฟ้า ถึงแนวนโยบายในการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ ตลอดจนแนวทางที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถร้องขอต่อการไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหาการคิด ค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เช่น การตัดฝาก"มิเตอร์ ในเดือนที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้า เพื่อมิให้เกิดปัญหาการร้องเรียนขอขยายระยะเวลาการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันในเดือนกันยายน 2546
5. การขยายระยะเวลาการผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ จากร้อยละ 70 เหลือร้อยละ 0 ต่อไปอีก 1 ปี จะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีลักษณะการใช้ไฟฟ้าเป็นฤดูกาล หรือผู้ใช้ไฟฟ้าไม่สม่ำเสมอ เช่น ศูนย์นิทรรศการและการประชุม โรงแรมที่จัดการประชุมใหญ่เป็นครั้งคราว อุตสาหกรรมมันสำปะหลัง อุตสาหกรรมน้ำตาล เป็นต้น ได้ประโยชน์ ในขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะมีรายได้ลดลงประมาณ 21 ล้านบาท/เดือน หรือ 254 ล้านบาท/ปี กล่าวคือ รายได้ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะลดลงประมาณ 36 ล้านบาท/ปี และรายได้ของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะลดลงประมาณ 218 ล้านบาท/ปี
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการขยายระยะเวลาการผ่อนผันการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำออกไปอีก 1 ปี จนถึงเดือนกันยายน 2546
2.เห็นชอบให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการประชาสัมพันธ์ รณรงค์ เสริมสร้างความเข้าใจต่อผู้ใช้ไฟฟ้า ถึงแนวนโยบายในการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ ตลอดจนแนวทางที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถร้องขอต่อการไฟฟ้าเพื่อแก้ไขปัญหาการคิด ค่าไฟฟ้าขั้นต่ำ เช่น การตัดฝากมิเตอร์ ในเดือนที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้า เพื่อมิให้เกิดปัญหาการร้องเรียนขอขยายระยะเวลาการคิดค่าไฟฟ้าขั้นต่ำเมื่อ สิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันในเดือนกันยายน 2546
เรื่องที่ 5 การทบทวนการคืนหลักค้ำประกันของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 ได้ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศ รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือ เศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากขึ้น รวมทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้า
2. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 108 ราย แต่มีบางรายที่ถูกปฏิเสธและขอถอนข้อเสนอ ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อ ไฟฟ้ารวม 65 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 60 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจา 5 ราย ถ้าหากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้าทั้งสิ้นสูงถึง 2,240 เมกะวัตต์
3. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP SPP ประเภท Firm จะต้องยื่นหลักค้ำประกันให้กับ กฟผ. ดังนี้
3.1 หลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอ โดยยื่นพร้อมคำร้องการขายไฟฟ้าในวงเงินเท่ากับ 500 บาทต่อกิโลวัตต์ ตามปริมาณพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย โดย กฟผ. จะคืนหลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอให้แก่ SPP ที่ ไม่ได้รับการคัดเลือกภายใน 30 วัน หลังแจ้งผลการคัดเลือก สำหรับ SPP ที่ได้รับการคัดเลือก กฟผ. จะคืน หลักค้ำประกันการยื่นข้อเสนอในวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
3.2 หลักค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ โดยยื่นในวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในวงเงิน-เท่ากับร้อยละ 5 ของมูลค่าปัจจุบันของค่าพลังไฟฟ้าที่จะได้รับทั้งหมดตามสัญญา โดยใช้อัตราส่วนลด (Discount Rate) เท่ากับอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากประจำ 12 เดือน ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จะคืนหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญาฯ เมื่อ -SPP ได้เริ่มปฏิบัติตามสัญญาฯ ถูกต้องครบถ้วนโดยสมบูรณ์แล้ว
3.3 หลักค้ำประกันการยกเลิกสัญญาฯ โดยยื่นก่อนวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาฯ ในวงเงินเท่ากับร้อยละ 10 ของค่าพลังไฟฟ้าที่ SPP จะได้รับในระยะเวลา 5 ปีแรกของสัญญาฯ โดยจะคืนหลัก ค้ำประกันดังกล่าวเมื่ออายุสัญญาสิ้นสุด หรือเมื่อการไฟฟ้าได้เรียกเงินค่าพลังไฟฟ้าครบถ้วนในกรณีที่สัญญาถูกยกเลิก ก่อนครบอายุสัญญาฯ
4. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2540 เรื่องมาตรการการแก้ไขปัญหาของผู้ผลิตรายเล็ก โดยให้ กฟผ. แจ้งให้ SPP ยืนยันความประสงค์จะดำเนินโครงการ หาก SPP รายใดไม่ประสงค์จะดำเนินโครงการต่อไป ให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันให้แก่ SPP ดังกล่าว โดยการเลื่อนหรือยกเลิกโครงการในช่วงเวลาดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ โดยรวม เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศลดลงอย่างมาก และมีปริมาณพลังไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) อยู่ในระดับสูง แต่เพื่อให้การยกเลิกของ SPP มีความ เป็นไปได้จึงมีการพิจารณาคืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ด้วย ทั้งนี้ กฟผ. ได้ดำเนินการตามมติดังกล่าว โดย คืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่แจ้งยกเลิกโครงการรวม 7 ราย
ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 เห็นชอบตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2543 เรื่องการคืนหลักค้ำประกันของ SPP โดยมอบหมายให้ สพช. และ กฟผ. ร่วมกันพิจารณาเลื่อนกำหนดวันเริ่มต้นจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบของโครงการ SPP โดยครอบคลุมถึงการเลื่อนกำหนดวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และการยกเลิกโครงการของ SPP ด้วย และให้ กฟผ. คืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการ โดยมีโครงการ SPP ที่ยกเลิกโครงการ และ กฟผ. ได้คืนหลักค้ำประกันแล้วจำนวน 3 ราย
5. กฟผ. ได้มีหนังสือถึง สพช. แจ้งว่าการคืนหลักค้ำประกันตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 ไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด รวมทั้งสถานการณ์ในปัจจุบัน กฟผ. ยังคงเปิดรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงาน หมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง และปรากฏว่ายังคงมีผู้มีความสามารถในการลงทุนและสนใจเสนอขายไฟฟ้ากับ กฟผ. ในลักษณะสัญญาประเภท Firm ซึ่งต้องมีหลักค้ำประกันต่างๆ อย่างต่อเนื่อง การให้การช่วยเหลือเรื่องการคืนหลักค้ำประกันดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมกับ สถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มทรงตัวได้แล้ว และผู้เสนอโครงการสามารถวิเคราะห์ความเหมาะสมโครงการบนพื้นฐานของสภาวะ เศรษฐกิจปัจจุบันได้อยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อให้เป็นการปฏิบัติตามระเบียบ SPP ปัจจุบัน กฟผ. จึงขอให้พิจารณาทบทวนยกเลิกการคืนหลักค้ำประกันให้กับผู้ที่ยกเลิกโครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยให้มีผลบังคับใช้ภายหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2545 เพื่อเปิดโอกาสให้ SPP สามารถพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการต่อไป หรือยกเลิกโครงการก่อนถึงกำหนดที่มีผลบังคับใช้ใหม่นี้
6. สพช. พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบันเริ่มทรงตัว ประกอบกับการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 ส่งผลกระทบต่อ กฟผ. เนื่องจากโครงการที่ยื่นข้อเสนอหรือลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้ถูกกำหนดไว้ ในแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่งเป็นแผนที่ใช้ในการวางแผนการจัดหาไฟฟ้า และการคำนวณปริมาณกำลังการผลิตสำรองของประเทศ จึงเห็นควรยกเลิกการคืนหลักค้ำประกันให้กับ SPP ที่ยกเลิกโครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ยกเลิกการคืนหลักค้ำประกันให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ที่ยกเลิกโครงการ โดยให้มีผลบังคับใช้ภายหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2545 เพื่อเปิดโอกาสให้ SPP สามารถพิจารณาความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการต่อไป หรือยกเลิกโครงการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบคำแถลงนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าสำหรับการจัด ตั้งตลาดซื้อขายไฟฟ้าในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (Policy Statement on Regional Power Trade) ตามมติ ที่ประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง GMS ครั้งที่ 9 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2543 โดยกำหนดให้จัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการซื้อขายไฟฟ้าและการสร้างเครือข่าย สายส่งระหว่างรัฐบาล 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (Inter-Governmental Agreement: IGA) เพื่อเป็นแนวทางในการจัดตั้งตลาดซื้อขายไฟฟ้า และการพัฒนาระบบเครือข่ายสายส่งเชื่อมโยงระหว่าง 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต
2. คณะทำงานด้านการเชื่อมโยงเครือข่ายสายส่งและการซื้อขายไฟฟ้า 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง (EGP) ธนาคารโลก (World Bank) และธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank) ได้ร่วมจัดทำและพิจารณาสาระสำคัญในรายละเอียดจนได้ร่าง IGA ขั้นสุดท้าย ซึ่งได้รับความเห็นชอบในการประชุม คณะทำงานด้านพลังงานของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 6 และการประชุมคณะทำงานระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ 8 ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อเดือนธันวาคม 2544 และการประชุมดังกล่าวมีมติให้ นำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบในการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 11 โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ที่ประเทศกัมพูชา ก่อนที่จะมีการลงนามร่างความ ตกลงฯ ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำ GMS (GMS Summit) ครั้งที่ 1 ในเดือนพฤศจิกายน 2545
3. ร่างความตกลงฯ ได้ถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามคำแถลงนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าที่รัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงได้ให้การรับรองร่วมกัน โดยจะมีการจัดตั้งองค์กรกลางให้ทำหน้าที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์-กำกับดูแลและ ประสานงานซื้อขายไฟฟ้าของกลุ่มประเทศ GMS ได้อย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งด้านการลดต้นทุนการผลิต การใช้วัตถุดิบและการจัดหาพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพออย่างเต็มศักยภาพ และพิจารณาแบ่งสรรผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม โดยมีสาระสำคัญดังนี้
3.1 จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานการซื้อขายไฟฟ้า (Regional Power Trade Coordination Committee : RTPCC) มีภารกิจสำคัญคือการจัดทำข้อตกลงปฏิบัติการทางเทคนิคและทางธุรกิจเพื่อ ดำเนินการซื้อขายไฟฟ้าในภูมิภาคให้แก่ประเทศภาคีต่างๆ (Regional Power Trade Operating Agreement: PTOA) และกำหนดขั้นตอนที่จำเป็นของการดำเนินงานซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งแนวทางการบริหารจัดการทางการเงิน
3.2 ความตกลงจะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อผ่านกระบวนการให้สัตยาบันของแต่ละประเทศ ภาคี และนับตั้งแต่วันที่ได้แลกเปลี่ยนเอกสารการให้สัตยาบันจากประเทศภาคีอย่าง น้อย ประเทศ สำหรับช่วงระยะเวลาของความตกลงนี้จะมีผลใช้บังคับอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมี การปรับปรุงใหม่หรือยกเลิกโดยประเทศภาคีเดิม ทั้งหมด และสามารถจะถอนตัวได้ภายหลัง 2 ปี นับจากวันเริ่มบังคับใช้ โดยต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนล่วงหน้า 1 ปี
3.3 ความสัมพันธ์กับข้อตกลงอื่นๆ ที่รัฐบาลประเทศ GMS กระทำขึ้นจะไม่ถูกปิดกั้น หาก ประเทศหนึ่งประเทศใดจะทำข้อตกลงซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นภาคี GMS ในขณะที่ข้อตกลงหรือสัญญาใหม่ๆ จะต้องสอดคล้องกับ PTOA
3.4 การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทให้ทำโดยสันติวิธี สามารถดำเนินการผ่านการประชุมหารือในกรณี ที่มีความเห็นแตกต่างในด้านการตีความ หรือการดำเนินงานตามความตกลงฯ นี้ หากไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้ส่งให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเป็นผู้ตัดสิน
4. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) พิจารณาแล้วเห็นควรให้การสนับสนุนร่างความตกลงฯ เนื่องจากร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ได้จัดทำขึ้นหลังจากรัฐบาลของประเทศสมาชิกใน GMS ได้ให้ความเห็นชอบใน Policy Statement ร่วมกันแล้ว และภายหลังจากที่มีการลงนามในร่างความตกลงฯ ร่วมกันแล้ว ก็จะนำไปสู่การจัดตั้งคณะกรรมการประสานงานซื้อขายไฟฟ้า (Regional Power Trade Coordination Committee: RPTCC) และการจัดทำข้อตกลงด้านเทคนิคในการซื้อขายไฟฟ้า (Regional Power Trade Operating Agreement: PTOA) เพื่อให้การจัดตั้งตลาดซื้อขายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบเครือข่ายสายส่ง ระหว่างประเทศสมาชิกเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมต่อไป
นอกจากนี้ ร่างความตกลงฯ ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะทำงานระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสของ GMS ในการประชุม The Subregional Electric Power Forum ครั้งที่ 8 ที่จัดขึ้น ณ กรุงฮานอย ประเทศเวียตนาม เมื่อเดือนธันวาคม 2544 โดยร่างความตกลงฯ ฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาตรวจแก้ไขจากหน่วยงานราชการที่มีหน้าที่พิจารณา กฎหมายและความตกลงระหว่างประเทศของแต่ละประเทศแล้ว ทั้งนี้ การสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้ บังเกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมจะส่งผลดีทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจ การจัดหาพลังงานไฟฟ้าและการขยายความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการซื้อขายไฟฟ้าและการสร้างเครือข่ายสายส่งระหว่างรัฐบาล 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
2.มอบหมายให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะและรับผิดชอบในการ เดินทางไปประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 11 โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) ที่ประเทศกัมพูชา นำร่างความตกลงฯ ที่ได้รับความเห็นชอบแล้วนี้ไปนำเสนอในที่ประชุมดังกล่าว ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย แต่ทั้งนี้หากจำเป็นต้องมีการแก้ไขร่างความตกลงฯ ดังกล่าวในรายละเอียดปลีกย่อยซึ่งไม่ใช่สาระสำคัญ เห็นควรให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายสามารถพิจารณาแก้ไขได้ โดยไม่ต้องนำกลับมาเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติอีก ครั้ง
3.มอบหมายให้รัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านนโยบายพลังงาน เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ ที่ได้รับความเห็นชอบในการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 11 ตามข้อ 2 เป็นผู้ไปร่วมลงนามความตกลงฯ ในฐานะ ผู้แทนรัฐบาลไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำ GMS (GMS Summit) ครั้งที่ 1 ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2545 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา
เรื่องที่ 7 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้ากัมพูชา
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้มีการลงนามในบันทึกความตกลงโครงการความร่วมมือด้าน พลังงาน ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2543 ที่จะสนับสนุนให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะการ เข้าร่วมและการรับซื้อไฟฟ้าในตลาดซื้อขายไฟฟ้า รวมทั้งจะร่วมมือกันวางแผนและก่อสร้างระบบส่งเชื่อมโยงไทย - กัมพูชา เพื่อนำไปสู่การขายไฟฟ้ากับประเทศที่สามในอนาคต ต่อมาทั้งสองฝ่ายได้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อประสานความร่วมมือให้เป็นไปตาม สาระสำคัญของข้อตกลงดังกล่าว โดยฝ่ายไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่าง ไทยกับกัมพูชา (Thai Power Cooperation Committee : TPCC) ซึ่งมีผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประธาน ฝ่ายกัมพูชาได้แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการความร่วมมือด้านพลังงานของกัมพูชา (Cambodia Power Cooperation Committee : CPCC) ซึ่งมีนายอิฐ ปรัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเหมืองแร่และพลังงาน เป็นประธาน
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบ ในหลักการให้ราคาค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ). และ กฟผ. จำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ในแต่ละจุดเท่ากับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า รวมกับค่าชดเชยรายได้ต่อหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. ทั้งนี้ ให้ กฟภ. และ กฟผ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจาและกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้าในลักษณะที่ อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศได้ภายใต้หลักการดังกล่าว
3. TPCC ได้นำโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เสนอต่อฝ่ายกัมพูชาและได้รับความเห็นชอบตามที่ฝ่ายไทยเสนอ โดยทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าร่วมกันจนได้ข้อยุติ กฟผ. จึงได้จัดทำสัญญาฯ ฉบับลงนามขึ้น โดยสัญญาฯ ดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กฟผ. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2544 และผ่านการพิจารณาตรวจร่างจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้วเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2545
4. เนื่องจากจังหวัดเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเร่งด่วน ฝ่ายกัมพูชาจึงเร่งให้มีการลงนามสัญญาฯ โดยเร็ว กฟผ. จึงได้ลงนามสัญญาฯ กับฝ่ายกัมพูชาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2545 โดยมีเงื่อนไขว่า สัญญาฯ ฉบับดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้หลังจากได้รับความเห็นชอบจาก กพช. แล้ว โดย ในช่วงนี้จะยังไม่มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันจนกว่าจะถึงกำหนดแล้วเสร็จของ ระบบส่งเชื่อมโยงไทย - กัมพูชา คือ ประมาณปี พ.ศ. 2547
5. สาระสำคัญของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. และการไฟฟ้ากัมพูชา สรุปได้ดังนี้
5.1 อายุสัญญา 12 ปีนับจากวันที่ กฟผ. เริ่มขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้ากัมพูชา โดยมีจุดส่งมอบ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
5.2 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเป็นแบบคิดตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Rate) โดย ค่าพลังไฟฟ้า เท่ากับ 74.14 บาท/กิโลวัตต์/เดือน ค่าพลังงานไฟฟ้า ช่วง Peak เท่ากับ 2.7595 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง และช่วง Off Peak เท่ากับ 1.3185 บาท/กิโลวัตต์ชั่วโมง สำหรับค่าบริการ เท่ากับ 228.17 บาท/เดือน และจะทำการทบทวนอัตราค่าไฟฟ้าทุกๆ 4 ปีนับจากวันที่ กฟผ. เริ่มขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้ากัมพูชา
5.3 การระงับข้อพิพาท หากมีข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น ให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งผู้แทนเพื่อพิจารณาร่วมกัน หากไม่สามารถยุติข้อพิพาทได้ภายใน 60 วันให้ใช้กระบวนการพิจารณาของอนุญาโต ตุลาการ การพิจารณาคดีดำเนินการในประเทศสิงคโปร์ ใช้ภาษาอังกฤษและกฎหมายอังกฤษบังคับ ทั้งนี้ คำตัดสินของอนุญาโตตุลาการให้ถือเป็นที่สุด
5.4 การแก้ไขสัญญาฯ หากมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อการปฏิบัติตามสัญญาฯ เกิดขึ้นในประเทศคู่สัญญา ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบสามารถร้องขอให้มีการเจรจาแก้ไขเกี่ยวกับรายละเอียดและ เงื่อนไขในสัญญาฯ โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมกันพิจารณาให้ได้ข้อยุติภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับการ ร้องขอ หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ภายในช่วงเวลาที่กำหนด ให้นำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ขั้นตอนการระงับข้อพิพาท
6. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เห็นว่า เนื่องจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับการไฟฟ้ากัมพูชา จะเป็นประโยชน์ร่วมของทั้ง 2 ประเทศ โดยกัมพูชาสามารถจัดหาไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัด ได้ในราคาที่ต่ำกว่าที่กัมพูชาจะผลิตเอง ขณะที่ไทยสามารถขายไฟฟ้าในปริมาณ 20 - 30 เมกะวัตต์ ได้ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดกำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองส่วนเกินในระยะ 5 ปีข้างหน้าได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ สัญญาดังกล่าวได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กฟผ. และการพิจารณาตรวจร่างจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว จึงเห็นควรให้ความเห็นชอบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว เพื่อให้มีผลบังคับใช้และ กฟผ. สามารถจ่ายไฟฟ้าให้แก่ 3 จังหวัดของกัมพูชาในปี 2547 ต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้ากัมพูชา
กพช. ครั้งที่ 89 - วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 89)
วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.ความคืบหน้าของการซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
3.การพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
4.ข้อเสนอปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลราคาน้ำมันและแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายเมตตา บันเทิงสุข รองเลขาธิการฯ รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 2 ของปี 2545 ได้ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือนเมษายน เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันกลางระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ และการที่อิรักหยุดการส่งออกน้ำมันดิบเป็นเวลา 1 เดือนเพื่อประท้วงสหรัฐอเมริกาที่สนับสนุน อิสราเอล อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบได้เริ่มปรับตัวอ่อนลง เป็นผลจากความขัดแย้งในตะวันออกกลางได้ผ่อนคลายลง และอิรักได้กลับมาส่งออกน้ำมันดิบอีกครั้งหนึ่ง สำหรับเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลงอีกครั้ง จากการที่ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกได้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากรัสเซียเพิ่มปริมาณการส่งออก และกลุ่มโอเปคผลิตเกินโควต้าถึง 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ราคาน้ำมันดิบดูไบ และเบรนท์ ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2545 อยู่ที่ระดับ 24.2 และ 25.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสที่ 2 ได้ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยทุกผลิตภัณฑ์ได้ปรับตัวสูงขึ้นมากในเดือนเมษายน โดยเฉพาะน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูร้อน หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ และความต้องการใช้ในภูมิภาคที่ลดลง ราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซล และเตา ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2545 อยู่ที่ระดับ 27.8, 26.8, 26.8, 27.2 และ 23.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย ช่วงไตรมาสที่ 2 ได้ปรับตัวตามราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยเดือนเมษายนราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลปรับตัวสูงขึ้น 2 ครั้ง จำนวน 60 สตางค์/ลิตร เดือนพฤษภาคม น้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับลง 1 ครั้ง จำนวน 30 และ 20 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ และเดือนมิถุนายน เบนซินและดีเซลได้ปรับลง 2 ครั้ง จำนวน 60 และ 50 สตางค์/ลิตร ตามลำดับ โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 8 กรกฎาคม 2545 อยู่ที่ระดับ 15.19, 14.19 และ 12.79 บาท ต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดในไตรมาสที่ 2 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 1.5 บาทต่อลิตร ค่า การกลั่นอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 0.4371 บาทต่อลิตร (1.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล)
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้น จากภาวะเศรษฐกิจของโลก ที่ฟื้นตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกเพิ่มขึ้น และประเทศต่างๆ เริ่มสะสม น้ำมันไว้ใช้ในช่วงฤดูหนาว ส่วนอุปทานของน้ำมันดิบถูกจำกัดจากปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปค ซึ่งคาดว่าราคาน้ำมันดูไบและเบรนท์จะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 - 3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไปอยู่ที่ระดับ 26 - 27 และ 27 - 28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ น้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 28 - 30 และ 30 - 32 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาขายปลีกของไทยน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็วจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 15 - 16, 14 - 15 และ 13 - 14 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
5. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก เดือนกรกฎาคม 2545 อยู่ในระดับ 221 เหรียญสหรัฐต่อตัน ราคา LPG ณ โรงกลั่น อยู่ในระดับ 8.58 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 1.32 บาทต่อกก. คิดเป็นเงิน 226 ล้านบาทต่อเดือน โดยกองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจาก น้ำมันชนิดอื่น 878 ล้านบาทต่อเดือน จึงมีเงินไหลเข้ากองทุนฯ สุทธิ 652 ล้านบาทต่อเดือน
6. กรมบัญชีกลาง ได้รายงานยอดเงินคงเหลือกองทุนน้ำมันฯ หลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2545 อยู่ในระดับ 4,226 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2545 รวม 11,367 ล้านบาท แยกเป็นเงินค้างชำระของกรมสรรพสามิต 11,311 ล้านบาท และมีหนี้เงินกองทุนคืนของกรมศุลกากรอีก 56 ล้านบาท และฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 7,141 ล้านบาท
7. กรมสรรพสามิต ได้รายงานการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ของไตรมาสที่ 1 และ ที่ 2 ของปี 2545 ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวตามข้อตกลง เป็นจำนวนเงิน 1,236 และ 1,278 ล้านบาท ตามลำดับ ทำให้ยอดหนี้ตามข้อตกลงลดลงเหลือ 10,585 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2545
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าของการซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) ฉบับแรกเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2536 เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทย จำนวน 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2543 และต่อมาได้มีการร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับที่สองเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2539 เพื่อขยายการรับซื้อไฟฟ้าให้ได้ 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2549 ในปัจจุบันโครงการที่จ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศ ไทย (กฟผ.)แล้วมีจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำเทิน - หินบุน ขนาดกำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 187 เมกะวัตต์ และโครงการห้วยเฮาะ ขนาดกำลังผลิต ณ จุดส่งมอบ 126 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ โครงการในลำดับถัดไปที่จะมีการส่งมอบไฟฟ้าคือ โครงการน้ำเทิน 2 ขนาดกำลังผลิต 920 เมกะวัตต์ โครงการนี้ได้มีการลงนามขั้นต้น (Initial) ในร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2545 ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาโครงการน้ำเทิน 2 ได้ประมาณเดือนกันยายน 2545 และสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. ได้ในเดือนตุลาคม 2551 สำหรับโครงการอื่นๆ ได้แก่ โครงการลิกไนต์หงสา น้ำงึม 3 และน้ำงึม 2 คปฟ-ล. จะพิจารณาการจัดลำดับความสำคัญของโครงการและวันที่เหมาะสมในการจ่ายไฟฟ้า เข้าระบบของ กฟผ. โดยจะจัดทำเป็นแผนการซื้อขายไฟฟ้าไทย-ลาว ต่อไป
2. การซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศสหภาพพม่า รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่า ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากสหภาพพม่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2540 โดยจะส่งเสริมและ ร่วมมือกันในการพัฒนาโครงการผลิตไฟฟ้าในสหภาพพม่า เพื่อขายไฟฟ้าให้แก่ประเทศไทยในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2553 ปัจจุบันพม่าได้เสนอโครงการผลิตไฟฟ้าที่จะขายให้ไทยพิจารณาจำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการฮัจยี กำลังการผลิตติดตั้ง 300 เมกะวัตต์ โครงการท่าซาง กำลังการผลิตติดตั้ง 3,600 เมกะวัตต์ และโครงการคานบวก กำลังการผลิตติดตั้ง 1,500 เมกะวัตต์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสหภาพพม่าประสบปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าอย่างมาก จึงได้แสดงความประสงค์ที่จะขอซื้อไฟฟ้าจากไทยในปริมาณ 100 - 150 เมกะวัตต์ โดยขอให้ กฟผ. ส่งไฟฟ้าผ่านจุดเชื่อมโยงจากสถานีไฟฟ้าแรงสูงฝั่งไทย ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังสถานีไฟฟ้าแรงสูงฝั่งพม่าที่เมือง Bago (หงสาวดี) ซึ่งคาดว่าไทยจะสามารถส่งไฟฟ้าให้แก่ สหภาพพม่าได้ประมาณปี 2547 - 2548
3. การรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2541 เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากสาธารณรัฐ ประชาชนจีน จำนวน 3,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 2560 โดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง จะเป็น โครงการแรกขนาด 1,500 เมกะวัตต์ จะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2556 และอีก 1 โครงการในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ คาดว่าจะส่งมอบไฟฟ้าให้ไทยในปี 2557 ปัจจุบันกลุ่มผู้ลงทุนไทย - จีนได้ลงนามความตกลงในการลงทุนก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง แล้วเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 โดยแบ่งการลงทุน ออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายจีนจะมีสัดส่วนการลงทุนร้อยละ 30 และฝ่ายไทยร้อยละ 70 นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายได้ตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC แบบวงจรเดี่ยว (Single Pole) เพื่อส่งไฟฟ้าจำนวน 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ในปี 2556 และเพิ่มเป็น 3,000 เมกะวัตต์ เพื่อส่งไฟฟ้าอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ แบบสองวงจร (Bi Pole) ในปี 2557 โดยแนวสายส่งจากจีนมาไทยจะผ่านพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และมีสถานีจุดเปลี่ยนกระแสไฟฟ้า (Converter Station) อยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐประชาชนจีน
4. การซื้อขายไฟฟ้ากับประเทศกัมพูชา รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเรื่องโครงการความ ร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2543 โดยทั้ง 2 ฝ่ายตกลงที่จะสนับสนุนให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะการซื้อขายในตลาดไฟฟ้าซึ่งจะจัดตั้งขึ้นในอนาคต ปัจจุบันคณะกรรมการโครงการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าของทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงที่จะให้ไทยขายไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัดของประเทศกัมพูชา ได้แก่ จังหวัดบันเทอมีนเจย เสียมราฐ และพระตะบอง ประมาณ 20 - 30 เมกะวัตต์ โดยได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในเดือนกรกฎาคม 2545 และคาดว่าหลังจากการก่อสร้างสายส่งแล้วเสร็จ ไทยจะสามารถขายไฟให้แก่ 3 จังหวัดของกัมพูชาได้ในปี 2547
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2545 ได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่องนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยได้เห็นชอบในหลักการ ดังนี้ 1) ให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงานและภาษีสรรพ สามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป 2) การกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่าราคาจำหน่ายน้ำมันเบนซินออก เทน 95 โดยความแตกต่างของราคาอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 บาทต่อลิตร เช่น 0.50 - 0.70 บาทต่อลิตร 3) การลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 4) การกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ขึ้นเป็นการเฉพาะ 5) การใช้กลไกด้านการตลาดที่ได้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่า น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ซึ่งจะทำให้เกิดการเลิกใช้ MTBE โดยอัตโนมัติ 6) การจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาเอทานอล 7) การส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์การใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง เพื่อรณรงค์ให้ ประชาชนได้รับความรู้ความเข้าใจและร่วมกันใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีเอทานอ ลเป็นส่วนผสม 8) การขอจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง และ 9) มาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมอื่นๆ
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้มีหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ เรื่องการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง โดยแจ้งว่าคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะ กรรมการพิจารณากลั่นกรองการอนุญาตตั้งโรงงานผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อ เพลิง ในการขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงของผู้ยื่นเอกสารครบ ถ้วนแล้วจำนวน 8 ราย ดังนี้
2.1 บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป เทรดดิ้ง จำกัด โดยจะผลิตเอทานอลวันละไม่เกิน 25,000 ลิตร ใช้กากน้ำตาลประมาณ 30,000 ตันต่อปี หรือมันสำปะหลังประมาณ 48,000 ตันต่อปี เป็นวัตถุดิบ กรณี ที่กากน้ำตาลมีราคาสูงมาก
2.2 บริษัท ที.เอส.บี เทรดดิ้ง จำกัด (บริษัท ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด) มีขนาดกำลังการผลิตประมาณวันละ 150,000 ลิตร ใช้กากน้ำตาลประมาณ 191,000 ตันต่อปีเป็นวัตถุดิบ
2.3 บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แก๊สโซฮอล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 500,000 ลิตรต่อวัน ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ประมาณ 916,700 ตันต่อปี
2.4 บริษัท แสงโสม จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 100,000 ลิตรต่อวัน ใช้กากน้ำตาลเป็น วัตถุดิบตั้งต้น ประมาณ 127,050 ตันต่อปี
2.5 บริษัท ไทยง้วน เมทัล จำกัด (บริษัท ไทยง้วน เอทานอล จำกัด) ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 130,000 ลิตรต่อวัน ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ประมาณ 231,000 ตันต่อปี
2.6 บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 85,000 ลิตรต่อวัน ใช้กากน้ำตาลประมาณ 98,100 ตันต่อปี หรือมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ ในกรณีกากน้ำตาลไม่เพียงพอ
2.7 บริษัท อัลฟ่า เอ็นเนอร์จี จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 212,000 ลิตรต่อวัน ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบประมาณ 354,000 ตันต่อปี
2.8 บริษัท ไทยเนชั่นแนล พาวเวอร์ จำกัด ขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 300,000 ลิตรต่อวัน ใช้ มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบประมาณ 231,000 ตันต่อปี และมันเส้นประมาณ 165,000 ตันต่อปี
มติของที่ประชุม
1.อนุมัติการขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงของ ผู้ประกอบการจำนวน 8 ราย ตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ดังนี้
1.1 ให้บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป เทรดดิ้ง จำกัด ทำการติดตั้งหน่วยผลิตเพิ่มเติม ในบริเวณโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ที่มีอยู่เดิมที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดอยุธยา เพื่อผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 25,000 ลิตรต่อวัน และใช้กากน้ำตาลหรือมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบตั้งต้น
1.2 ให้บริษัท ที.เอส.บี เทรดดิ้ง จำกัด (บริษัท ไทยอะโกร เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด) จัดตั้งโรงงานผลิต เอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ที่อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีขนาดกำลังผลิต ไม่เกิน 150,000 ลิตรต่อวัน และใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบ
1.3 ให้บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล แก๊สโซฮอล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด จัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ในเขตชุมชนอุตสาหกรรมนครินทร์-อินดัสเตรียลปาร์ค อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 500,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
1.4 ให้บริษัท แสงโสม จำกัด ทำการติดตั้งหน่วยผลิตเพิ่มเติมในโรงงานผลิตแอลกอฮอล์ที่มี อยู่เดิมที่อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม เพื่อผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 100,000 ลิตรต่อวัน และใช้กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบตั้งต้น
1.5 ให้บริษัท ไทยง้วน เมทัล จำกัด (บริษัท ไทยง้วน เอทานอล จำกัด) จัดตั้งโรงงานผลิต เอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% บริเวณจังหวัดชัยภูมิหรือขอนแก่น โดยมีขนาดกำลัง การผลิตไม่เกิน 130,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
1.6 ให้บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด จัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 85,000 ลิตรต่อวัน และใช้กากน้ำตาลหรือมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
1.7 ให้บริษัท อัลฟ่า เอ็นเนอร์จี จำกัด จัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ที่อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 212,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
1.8 ให้บริษัท ไทยเนชั่นแนล พาวเวอร์ จำกัด จัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ของแอลกอฮอล์ 99.5% ในนิคมอุตสาหกรรมสยาม อีสเทอร์น อินดัสเตรียลปาร์ค อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง โดยมีขนาดกำลังการผลิตไม่เกิน 300,000 ลิตรต่อวัน และใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ
2.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้
2.1 ในการอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง เห็นควรให้กำหนดเงื่อนไขในการกำกับดูแลและตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะระบบการจัดการน้ำเสียและกลิ่นที่ปล่อยจากโรงงานให้เป็นไปตามกฎหมาย อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม
2.2 เห็นควรให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง บริเวณนิคม อุตสาหกรรม เขตประกอบการอุตสาหกรรม ชุมชนอุตสาหกรรม หรือบริเวณที่ตั้งซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมแก่ประชาชนและ ชุมชน
2.3 เห็นควรกำหนดแนวทางการจัดจำหน่ายหุ้นของแต่ละโรงงานให้กับเกษตรกรตามข้อเสนอ ของผู้ประกอบการให้ชัดเจน เพื่อให้เกษตรกรมีโอกาสซื้อหุ้นได้ในราคาที่เป็นธรรม
เรื่องที่ 4 ข้อเสนอปรับปรุงมาตรการกำกับดูแลราคาน้ำมันและแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2545 ได้มีมติมอบหมายให้ สพช. รับไปศึกษาความเป็นไปได้ในแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้ระบบการกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด
2. สพช. ได้จัดทำข้อเสนอแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้ระบบการกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 หลักการ การกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด เป็นมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกลไกในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันใน ประเทศให้เคลื่อนไหวในระดับที่คาดว่าระบบเศรษฐกิจของไทยจะสามารถรองรับได้ หากราคาน้ำมันสูงหรือต่ำกว่าระดับราคาที่กำหนดไว้จะปรับลดหรือเพิ่มอัตรา เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ระดับราคาขายปลีกอยู่ในช่วงที่กำหนด
2.2 ช่วงราคาที่เหมาะสมในทางปฏิบัติ ควรเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวเป็นปกติ ไม่ต่ำหรือสูงมากจนเกินไป โดยปล่อยให้ราคาน้ำมันในประเทศเคลื่อนไหวตามตลาดโลก คือ ระดับ 5-6 บาท/ลิตร (ระดับราคาน้ำมันไม่เกิน 25 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ไม่มีความจำเป็นที่รัฐจะต้องเข้าไปแทรกแซงราคา) โดยน้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ในช่วง 11-17 บาท/ลิตร เบนซินออกเทน 91 อยู่ในช่วง 10-16 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วอยู่ในช่วง 8-14 บาท/ลิตร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวอยู่ในช่วง 5-11 บาท/ลิตร
2.3 การดำเนินการ สะสมเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับจ่ายชดเชยราคาน้ำมันในช่วงที่สูงกว่าระดับราคาสูงสุด และจะต้องลดภาระกองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้มีขีดความสามารถที่จะทำหน้าที่เป็น กลไกในการรักษาระดับราคาน้ำมันได้ โดยการยกเลิกการควบคุมราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวและใช้ระบบราคา "ลอยตัวเต็มที่" รวมถึงการแยกบัญชีกองทุนน้ำมันฯ ที่ใช้สำหรับการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน และบัญชีสำหรับการชำระหนี้เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลวออกจากกันให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถใช้เงินจากกองทุนได้ตามวัตถุประสงค์ และไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ที่ได้ยืนยันไว้กับเจ้าหนี้ผู้ผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว
2.4 ข้อดี/ข้อเสีย ข้อดีของการกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด คือ เป็นการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันในประเทศ เพื่อลดผลกระทบของราคาน้ำมันต่อภาคเศรษฐกิจ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนธุรกิจได้โดยไม่มีความเสี่ยงจากราคาน้ำมัน ส่วนข้อเสีย คือ ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง แต่เป็นการชะลอการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันทั้งขาขึ้นและขาลง ซึ่งอาจไม่เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคโดยเฉพาะในช่วงราคาน้ำมันเริ่มลดลง และอาจทำให้เกิดการบริโภคน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนการนำเข้าของประเทศ ตลอดจนการบริโภคน้ำมันของประชาชนจะไม่ลดลง ภาระการสูญเสียเงินตราต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น รวมทั้ง จะส่งผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด
2.5 สพช. ได้เสนอมาตรการแก้ไขปัญหาน้ำมันราคาแพง โดยการใช้นโยบายการกำหนดช่วงราคาน้ำมันสูงสุดและต่ำสุด ซึ่งมีหลักการและแนวทางการดำเนินการ ดังนี้ คือ 1) ให้ยังคงใช้ระบบราคาน้ำมันลอยตัว ในช่วงภาวะราคาน้ำมันอยู่ในระดับปกติ 2) ให้กำหนดช่วงราคาต่ำสุดและสูงสุดที่ระดับ 6 บาท/ลิตร โดยที่เบนซินออกเทน 95 ราคาต่ำสุด 11 บาท/ลิตร ราคาสูงสุด 17 บาท/ลิตร เบนซินออกเทน 91 ราคาต่ำสุด 10 บาท/ลิตร ราคาสูงสุด 16 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็ว ราคาต่ำสุด 8 บาท/ลิตร ราคาสูงสุด 14 บาท/ลิตร ก๊าซปิโตรเลียมเหลว ราคาต่ำสุด 5 บาท/ลิตร ราคาสูงสุด 11 บาท/ลิตร หรือ ราคาต่ำสุด 9.25 บาท/กก. ราคาสูงสุด 20.37 บาท/กก. 3) มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณากำหนด รายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการ แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป นอกจากนั้น ให้ยกเลิกควบคุมราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้นำระบบราคาก๊าซ "ลอยตัวเต็มที่" มาใช้ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณากำหนดระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินการต่อไป ตลอดจน ให้ สพช. และกรมการค้าภายในรับไปดำเนินการเพื่อกำหนดมาตรการกำกับดูแลราคาก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการนโยบายการกำหนดช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุด โดยมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณารายละเอียดขั้นตอนการดำเนินการแล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป
2.เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิกควบคุมราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้นำระบบราคาก๊าซ "ลอยตัวเต็มที่" มาใช้ โดย
(1) มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณากำหนดระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินการต่อไป
(2) มอบหมายให้ สพช. และกรมการค้าภายใน รับไปดำเนินการเพื่อกำหนดมาตรการกำกับ ดูแลราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
กพช. ครั้งที่ 88 - วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน 2545
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2545 (ครั้งที่ 88)
วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2545 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.แผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554
4.การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก
5.มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
7.แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ ในไตรมาสแรกของปี 2545 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 5-6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยมีปัจจัยมาจากความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจ ของโลกที่เริ่มฟื้นตัว และเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน ในขณะเดียวกันอุปทานได้ลดลงจากความร่วมมือกันลดปริมาณการผลิตรวม 2 ล้านบาร์เรล/วันของกลุ่มโอเปคและประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่อยู่ นอกกลุ่มโอเปค ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นมา ในช่วงเดือนเมษายน 2545 ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับราคาเฉลี่ยเดือนมีนาคม 3.7 - 4.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เกิดจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 17 เมษายน 2545 อยู่ที่ระดับ 24.3 และ 26.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ส่วนราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ในไตรมาสแรกของปี 2545 ได้ปรับสูงขึ้น 6 - 9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปัจจัยหลักเป็นการปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ รวมทั้ง โรงกลั่นในคูเวตเกิดเพลิงไหม้ และการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในภูมิภาค ในช่วงเดือนเมษายน 2545 ราคาน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นจาก เวียดนาม อินโดนีเซีย ปากีสถาน และศรีลังกา ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 17 เมษายน 2545 อยู่ที่ระดับ 29.9, 28.9, 27.2, 27.8 และ 23.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงปลายปี 2544 ประมาณ 2.2 บาทต่อลิตร โดยที่ค่าเงินบาทได้แข็งตัวขึ้นประมาณ 1 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ระดับ 43.7 บาทต่อ เหรียญสหรัฐ ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ประมาณ 15 สตางค์ต่อลิตร ในช่วง ต้นเดือนเมษายน ราคาขายปลีกในประเทศยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามราคาน้ำมันในตลาด โลก โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 18 เมษายน 2545 อยู่ที่ระดับ 16.09, 15.09 และ 13.49 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนค่าการตลาดและค่าการกลั่นได้อ่อนตัวลงจากปลายปี 2544 จาก 1.5 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ระดับ 1.25 บาทต่อลิตร และจาก 0.8 บาทต่อลิตร เป็น 0.64 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก ในเดือนเมษายนได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 เหรียญสหรัฐต่อตัน มาอยู่ในระดับ 203 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนราคาก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 8.18 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 0.91 บาท/กก. หรือ 158 ล้านบาท/เดือน ฐานะกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง มียอดเงินคงเหลือหลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 3 เมษายน 2545 ในระดับ 3,628 ล้านบาท โดยมีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2545 รวม 13,002 ล้านบาท และฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 9,374 ล้านบาท
5. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้มีมติยืนยันการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ให้แก่เจ้าหนี้ก๊าซ LPG เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาทต่อไตรมาส เริ่มมีผลตั้งแต่ ไตรมาส 4 ปี 2544 เป็นต้นไป โดยมีเป้าหมายให้ชำระหนี้หมดภายใน 3 ปี ซึ่งกรมสรรพสามิตได้รายงานผลการชำระหนี้กองทุนน้ำมันฯ ของไตรมาส 4 ปี 2544 และไตรมาส 1 ปี 2545 ให้แก่เจ้าหนี้ผู้ผลิตก๊าซ LPG ครบถ้วนแล้ว เป็นจำนวนเงิน 1,361 และ 1,236 ล้านบาทต่อไตรมาส ตามลำดับ
6. ส่วนมาตรการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง การดำเนินการควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะหากรัฐเข้าแทรกแซงจะทำให้กลไกของตลาดบิดเบือน และไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในภายหลังได้ โดยแนวทางที่รัฐสามารถดำเนินการได้คือ การเร่งรัดการดำเนินการภายใต้โครงการที่อยู่เดิมให้เกิดผลในทางปฏิบัติมาก ขึ้น รวมถึงการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความจำเป็นในการประหยัดน้ำมัน เช่น เร่งดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน และการรณรงค์ประหยัดน้ำมันและประหยัดไฟฟ้า รวมทั้ง มาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น การช่วยเหลือประชาชนเป็นรายสาขา
มติของที่ประชุม
1.รับทราบสถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.มอบหมายให้ สพช. รับไปศึกษาความเป็นไปได้ในแนวทางการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้ระบบการกำหนดราคาสูงสุดและต่ำสุด
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีประกาศลงวันที่ 3 กันยายน 2539 เรื่อง การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กประเภทพลังงานนอกรูปแบบ เชื้อเพลิงกาก เศษวัสดุเหลือใช้ ขยะมูลฝอยหรือไม้ โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2545 มีผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producers: SPP) ขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้า 50 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขาย 1,962 เมกะวัตต์ ต่อมาคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้มีมติเห็นชอบให้จัดตั้ง "โครงการส่งเสริมผู้ผลิต ไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เป็นโครงการหนึ่งในแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปีงบประมาณ 2543 - 2547 และคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้มอบหมายให้ สพช. ใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนการดำเนินงานโครงการนี้ ในวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้า ที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้อีกประมาณ 300 เมกะวัตต์
2. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือได้แต่งตั้ง "คณะทำงานโครงการส่งเสริม ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ขึ้น เพื่อจัดทำ "ร่างเอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงาน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" และได้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 พิจารณาและที่ประชุมได้อนุมัติให้ สพช. นำไปดำเนินการต่อไป
3. สพช. ได้ออกประกาศเชิญชวนให้ผู้สนใจลงทุนและผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานนอก รูปแบบหรือใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขอรับเงิน สนับสนุนดังกล่าว โดยกองทุนฯ จะจ่ายเงินสนับสนุนให้กับผู้ที่มีข้อเสนอที่เหมาะสมและเสนอขอรับเงินสนับ สนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กไม่ เกิน 0.36 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 5 ปี ด้วยวิธีคัดเลือก โดยกำหนด ยื่นซองข้อเสนอในวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ซึ่งปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นข้อเสนอไว้กับ สพช. รวมทั้งสิ้น 43 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 775 เมกะวัตต์ คิดเป็นจำนวนเงินที่ขอรับการสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 6,400 ล้านบาท
4. ผลการคัดเลือกข้อเสนอโครงการฯ ปรากฏว่ามีโครงการที่ผ่านเกณฑ์พิจารณารวมทั้งสิ้น 37 โครงการ ประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ จำนวนทั้งสิ้น 17 ราย คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบทั้งสิ้น 313 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินที่กองทุนฯ สนับสนุนทั้งสิ้นในวงเงินประมาณ 1,956 ล้านบาท และ กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มโครงการที่ผ่านเกณฑ์การพิจารณาเช่น เดียวกับกลุ่มที่ 1 แต่ไม่ได้รับเงินสนับสนุนเนื่องจากวงเงิน 2,060 ล้านบาท ได้หมดลงก่อน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 20 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายเข้าระบบ 224.20 เมกะวัตต์ คิดเป็นวงเงินทั้งสิ้น 2,117 ล้านบาท นอกจากนั้น โครงการที่ข้อเสนอไม่ผ่านเกณฑ์พิจารณา มีจำนวนทั้งสิ้น 6 ราย เนื่องจากคุณสมบัติไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหxนด
5. จากข้อเสนอในกลุ่มที่ 1 จำนวน 17 โครงการ มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทั้งหมด เนื่องจากปริมาณชีวมวลไม่เพียงพอหรือได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ หรือไม่สามารถจัดหาเงินทุนได้เพียงพอ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพิ่มเติมให้กับโครงการส่งเสริม ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ที่ยื่นข้อเสนอในกลุ่มที่ 2 ทั้ง 20 โครงการได้มีสิทธิยื่นเสนออัตรา ขอรับเงินสนับสนุนใหม่ แต่ทั้งนี้การเสนออัตราเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดไม่เกิน 0.225 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยคาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนฯ เพิ่มเติม 1,000 ล้านบาท
6. เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดจากบางโครงการอาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากได้รับการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่โครงการฯ จึงได้กำหนดเงื่อนไขผนวกไว้กับการอนุมัติโครงการฯ โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกต้องนำเสนอแผนการรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนให้ คณะทำงานฯ พิจารณาและได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโครงการฯ ภายในระยะเวลา 2 เดือน นับจากวันที่ประกาศผล เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการฯ ในการอนุมัติให้การสนับสนุนโครงการฯ ต่อไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 แผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554
สรุปสาระสำคัญ
1. นายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งที่ 218/2544 เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2544 แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับ ดูแลและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายประหยัดพลังงานของประเทศ โดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ โดยทำหน้าที่กำกับดูแลให้การดำเนินการลดปริมาณการใช้พลังงานของประเทศเกิดผล อย่างจริงจังมากขึ้น เป็นไปได้อย่างคล่องตัว รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ต่อมาคณะกรรมการกำกับฯ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้น 3 คณะ ประกอบด้วย (1) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน อาคาร และบ้าน (2) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง และ (3) คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อจัดทำแผนและเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานของประเทศ
2. คณะกรรมการกำกับฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ได้มีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554 ตามที่คณะอนุกรรมการฯ ทั้ง 3 คณะ ได้นำเสนอ โดยแนวทางหลักในการดำเนินงานแผนยุทธศาสตร์ฯ มีดังนี้คือ เพื่อเร่งเตรียมการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการพลังงานให้ เหมาะสม รวมทั้งแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ ที่เกี่ยวข้อง ให้เอื้อต่อโครงสร้างใหม่ เพื่อเร่งให้มีการพัฒนาพลังงานจากเชื้อเพลิงที่เป็นชีวมวลและพลังงานทดแทน อื่นๆ เพื่อเร่งจัดทำแผนประหยัดและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกสาขา โดยเน้นการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง และให้ความสำคัญกับงานศึกษาวิจัยอย่าง จริงจัง พร้อมกับเร่งพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพและปริมาณที่เพียงพอและวางรากฐานการ สร้างความรู้เพื่อพัฒนาประเทศในระยะยาว ตลอดจนเร่งสร้างเครือข่ายเพื่อรณรงค์เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือจากทั้งนักวิชาการและภาคเอกชน
3. องค์ประกอบของแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานของประเทศ ในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554 ประกอบด้วย 4 ด้านหลัก คือ (1) การอนุรักษ์พลังงาน (2) การใช้พลังงานหมุนเวียน (3) การพัฒนาบุคลากร และ (4) การประชาสัมพันธ์
3.1 ด้านการอนุรักษ์พลังงาน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
(1) การอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน/อาคารและบ้านอยู่อาศัย ซึ่งจะครอบคลุมโรงงาน อุตสาหกรรม บ้านเรือน สถานที่ราชการ อาคารสำนักงานสำหรับธุรกิจและงานบริการต่างๆ โดยมุ่งส่งเสริมการฝึกอบรมทักษะและให้ความรู้เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน พัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มปริมาณและสร้างบุคลากรมืออาชีพ พร้อมทั้งเร่งให้มีการปรับปรุงกฎกระทรวง ระเบียบและขั้นตอนการดำเนินงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ตลอดจนปรับปรุงรูปแบบของการให้การสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงาน และหากภายในระยะ 10 ปีข้างหน้า การปฏิบัติตามแผนการอนุรักษ์พลังงานในโรงงาน อาคารและบ้านอยู่อาศัย เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ความต้องการใช้พลังงานของประเทศลดลงในอัตราร้อยละ 4.21 หรือคิดเป็นจำนวนรวม 1,862.8 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี
(2) การอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการจราจรและการขนส่งคนและสินค้า และสนับสนุนการดำเนินการที่ทำให้มีการนำรถใหม่ที่มีประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน สูงและมีมลพิษต่ำมาใช้แทนรถเก่าที่ใช้น้ำมันสิ้นเปลือง รวมทั้งสนับสนุนให้มีการขนส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับส่งเสริมการขนส่งสาธารณะให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ตลอดจนสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนส่งรายย่อยรวมตัวกันเพื่อจัดธุรกิจศูนย์ขน ส่งสินค้า (Depot) กระจายทั่วประเทศ และหากปฏิบัติตามแผนอนุรักษ์พลังงานฯ คาดว่าจะช่วยให้ความต้องการใช้น้ำมันและเชื้อเพลิงอื่นๆ ของประเทศลดลงในอัตราร้อยละ 22.16 หรือคิดเป็นจำนวนรวม 7,094.65 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี
3.2 การใช้พลังงานหมุนเวียน มุ่งสนับสนุนให้ทุนการศึกษา ทุนวิจัย และทุนพัฒนานักวิจัยใน แต่ละเทคโนโลยี (เช่น แสงอาทิตย์ ลม ก๊าซชีวภาพ ชีวมวล เซลล์เชื้อเพลิง ฯลฯ) และเร่งสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ และผู้แทนประชาชน ตลอดจนเร่งทำให้ราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer: SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงอยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมทั้งเร่งแก้ไขระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ขนาดเล็กมาก (ที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ น้อยกว่า 1 เมกะวัตต์) และสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลเพื่อทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ บริการข้อมูลในด้านพลังงานหมุนเวียน หากแผนการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ ในระยะ 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.39 ซึ่งจะช่วยให้ลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ได้ถึง 5,068.83 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ/ปี
3.3 ด้านการพัฒนาบุคลากร เพื่อเพิ่มจำนวนและคุณภาพของบุคลากรให้เพียงพอในการนำ เป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงานไปสู่การปฏิบัติ โดยมุ่งดำเนินการให้เกิดองค์กรความรู้ด้านการอนุรักษ์ พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน บูรณาการอยู่ในหลักสูตรประถมศึกษา มัธยมศึกษาและอุมศึกษาของประเทศ
3.4 ด้านการประชาสัมพันธ์ ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่ว ไปทราบถึงความสำคัญและผลกระทบของการใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพที่มี ต่อเศรษฐศาสตร์ สังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเผยแพร่วิธีการประหยัดพลังงานที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันและมีการ ลงทุนต่ำ หรือไม่มีเลย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี พ.ศ. 2545-2554 ตามที่คณะกรรมการกำกับ ดูแลและติดตามการดำเนินงานตามนโยบายประหยัดพลังงานของประเทศ ได้เสนอมา (รายละเอียดตามเอกสารประกอบวาระ 4.1) โดยให้ปรับปรุงเพิ่มเติมตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ดังนี้
1.1 เร่งให้กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานปรับปรุงระเบียบและขั้นตอนการดำเนินงาน ให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น เพื่อเร่งให้เกิดผลการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานในอาคารควบคุม โรงงานควบคุม และอาคารของรัฐ อย่างแท้จริงและมีปริมาณที่มากพอในทางปฏิบัติ
1.2 การนำแผนยุทธศาสตร์ฯไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลอย่างจริงจัง ต้องคำนึงถึงความพร้อมของนโยบายด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิเช่น การผลักดันนโยบายนำรถใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการใช้น้ำมันสูงและก่อให้เกิด มลพิษต่ำมาใช้แทนรถเก่าที่ใช้น้ำมันสิ้นเปลือง และนโยบายเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าทางรถไฟและทางเรือ รวมทั้ง การสนับสนุนการขนส่งสาธารณะให้เป็นระบบหลักของประเทศ ซึ่งได้มีการกำหนดไว้แล้วเป็นระยะเวลานานมาก แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ในทางปฏิบัติ เพราะไม่มีกฎหมายหรือมาตรการใดบังคับ
1.3 ให้พิจารณาพลังงานทางเลือกอื่นเพิ่มเติมด้วย เช่น พลังงานจากคลื่น เป็นต้น
1.4 การสนับสนุนการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและการส่งเสริมให้เกิดการใช้ พลังงาน หมุนเวียนอย่างแพร่หลาย ควรพิจารณานำมาตรการจูงใจทางภาษี (Tax incentive) มาใช้ด้วย โดยให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่ก่อให้เกิดการอนุรักษ์ พลังงานมาลดหย่อนภาษีได้
1.5 เร่งพัฒนาบุคลากรให้มีคุณภาพและมีปริมาณให้เพียงพอ พร้อมทั้งควรวางรากฐานการสร้างความรู้ด้านพลังงานเพื่อการพัฒนาประเทศในระยะ ยาว โดยเน้นการปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ใน วัยเด็ก
1.6 ให้หน่วยงานที่จะดำเนินการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าโดยเขื่อนพลังน้ำขนาดเล็กและ เล็กมากที่ต้องใช้พื้นที่ในเขตลุ่มน้ำ 1A นำเสนอแผนการขออนุญาตใช้พื้นที่ต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณีก่อนการดำเนินการ
2.มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ใช้แผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงานเป็นกรอบในการจัดสรรเงินกองทุนฯ และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงมาตรการต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้โดยสอดคล้องกับแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ ด้วย
3.ให้สำนักงานนโยบายพลังงานแห่งชาติทำหน้าที่กำกับดูแลและติดตามการดำเนิน งานตามแผนยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงาน โดยประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ของแผน ยุทธศาสตร์การอนุรักษ์พลังงาน
เรื่องที่ 4 การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลได้มีนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วน ร่วมใน กิจการผลิตไฟฟ้า อันจะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและการให้บริการ รวมทั้งยังเป็นการลดภาระด้านการลงทุนของภาครัฐในระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า จึงได้มีการออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer : SPP) เมื่อปี 2535 เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้าด้วย
2. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน มี SPP ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 105 ราย ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 63 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 59 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ปริมาณรับซื้อ ทั้งสิ้นจะสูงถึง 2,308 เมกะวัตต์ ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2545 มี SPP 50 โครงการ ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว มีปริมาณขายไฟฟ้ารวม 1,961 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม ปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายส่วนใหญ่มาจากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีปริมาณพลังไฟฟ้าขายเข้าระบบเพียง 263 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับศักยภาพที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อเป็นการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 จึงมีมติเห็นควรให้มีการออกระเบียบเพิ่มเติมเป็นกรณีพิเศษสำหรับการรับซื้อ ไฟฟ้าจากโครงการ SPP ขนาดเล็ก เพื่อส่งเสริมให้มีการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงาน นอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ก๊าซชีวภาพจากฟาร์มเลี้ยงสัตว์เป็นเชื้อเพลิง โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็ก ทั้งนี้ มอบหมายให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ร่วมกันดำเนินการต่อไป
3. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2545 ได้เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด เล็กมาก ร่างระเบียบว่าด้วยการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับระบบของการไฟฟ้าฝ่าย จำหน่าย สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ และแบบคำขอ จำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าแล้ว นอกจากนี้ สพช. ได้จัดประชุมสัมมนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง และนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิในหลายสาขา เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2545 และได้นำความเห็นของที่ประชุมไปปรับปรุงร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมากแล้ว
4. ร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการประสานฯ และการสัมมนาระดมความคิดเห็น สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
4.1 ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก หมายถึง ผู้ผลิตไฟฟ้าทั้งภาคเอกชน รัฐบาล รัฐวิสาหกิจ และประชาชนทั่วไปที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของตนเอง ที่จำหน่ายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยมีปริมาณพลังไฟฟ้าขายเข้าระบบไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ และมีลักษณะกระบวนการผลิตไฟฟ้า ดังนี้
4.1.1 ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังลม พลังแสงอาทิตย์ พลังน้ำขนาดเล็ก พลังน้ำขนาดเล็กมาก และก๊าซชีวภาพ เป็นต้น
4.1.2 ผลิตไฟฟ้าจากกากหรือเศษวัสดุเหลือใช้ในการเกษตร หรือกากจากการผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือการเกษตร ผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปมาจากกากหรือเศษวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร หรือจากการผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือการเกษตร ขยะมูลฝอย ไม้จากการปลูกป่าเป็นเชื้อเพลิง
4.1.3 การผลิตไฟฟ้าจากไอน้ำที่เหลือจากกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมหรือการเกษตรที่ใช้เชื้อเพลิงในข้อ 4.1.1 หรือ 4.1.2
4.2 การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ขนาดเล็กมาก (SPP ขนาดเล็กมาก) โดยจะพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้าตามรายละเอียดที่ SPP กรอกใบแบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า
4.3 การกำหนดราคาซื้อขายไฟฟ้า จะใช้วิธีการหักลบหน่วย (Net Metering) โดยการคิดค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนจะเป็นดังนี้
4.3.1 ในเดือนที่ SPP ขนาดเล็กมาก มีการใช้ไฟฟ้ามากกว่าปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Net Energy Consumption) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะคิดค่าไฟฟ้าเฉพาะปริมาณพลังงานไฟฟ้าส่วนต่างในอัตรา ค่าไฟฟ้าขายปลีก ตามประเภทการใช้ไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายนั้นๆ รวมกับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) (Ft ขายปลีก) ในเดือนนั้นๆ
4.3.2 ในเดือนที่ SPP ขนาดเล็กมาก มีการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ (Net Energy Generation) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจะรับซื้อไฟฟ้าเฉพาะปริมาณพลังงานไฟฟ้าส่วนต่าง ในอัตราค่าไฟฟ้าขายส่งเฉลี่ยที่ กฟผ. ขายให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายรวมกับค่า Ft ขายส่งเฉลี่ย ณ เดือนนั้นๆ
5. SPP ขนาดเล็กมาก จะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานในด้านความปลอดภัยและมาตรฐานในการ เชื่อมโยงเข้ากับระบบตามระเบียบว่าด้วยการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับ ระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าไม่เกิน 1 เมกะวัตต์ ซึ่งได้ปรับปรุงขึ้นใหม่ให้มีความเหมาะสม รองรับผู้ผลิตไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก หรือผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กทั่วไปที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของตนเองเป็นการ เฉพาะ โดยในการจัดทำระเบียบดังกล่าวได้พิจารณามาตรฐานทางด้านเทคนิคในการเชื่อมโยง ระบบไฟฟ้าที่เป็นมาตรฐานสากล และไม่ส่งผลกระทบต่อการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายด้วย ตลอดจนไม่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
6. แบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า ได้มีการพิจารณาปรับปรุงเพื่อช่วยลดขั้นตอนในการจัดเตรียมเอกสาร และลดระยะเวลาในการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าแต่ละราย โดยรายละเอียดในแบบคำขอฯ จะกำหนดตามขนาดของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กล่าวคือ ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารวมกันต่ำกว่า 30 กิโลวัตต์ จะต้องจัดทำรายละเอียดข้อมูลน้อยกว่า ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีขนาดเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารวมกัน 30 กิโลวัตต์ขึ้นไปแต่ไม่เกิน 1 เมกะวัตต์
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาด เล็กมาก โดยให้นำความเห็นของกรรมการฯ ไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าฯ ด้วย
2.เห็นชอบร่างระเบียบว่าด้วยการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนานกับระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าไม่เกิน 1 เมกะวัตต์
3.เห็นชอบแบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า
4.เห็นควรให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าเร่งจัดทำ ต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายดำเนินการออกประกาศการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก ภายหลังจากคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าให้ความเห็น ชอบต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้ว
เรื่องที่ 5 มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (กพช.) เรื่อง มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย โดยเห็นชอบมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตลอดจนแนวทางการกำกับดูแล โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2543 เป็นต้นมา
2. การกำหนดมาตรฐานคุณภาพบริการดังกล่าว ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ มาตรฐานทางด้านเทคนิค (Technical Standards) และมาตรฐานการให้บริการ (Customer Service Standards) โดยในส่วนของ มาตรฐานการให้บริการที่การไฟฟ้ารับประกันกับผู้ใช้ไฟฟ้า (Guaranteed Standards) จะมีการกำหนดค่าปรับที่การไฟฟ้าจะต้องจ่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในกรณีที่ไม่สามารถ ปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งค่าปรับจะอยู่ระหว่าง 50 - 2,000 บาท สำหรับการกำกับดูแล คณะรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ (สพช.) ทำหน้าที่ติดตามการดำเนินงานของ กฟน. และ กฟภ. ตลอดจน เป็นผู้กำกับบริษัทที่ปรึกษาทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับ การให้บริการเป็นประจำทุกปี โดย กฟน. และ กฟภ. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ที่กระทรวงการคลังจะนำผลการดำเนินงานดังกล่าวไปใช้เป็นเกณฑ์หนึ่งของ การประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ
3. จากการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย พบว่า การดำเนินงานของการไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้เกือบทั้งหมด และมาตรฐานหลายข้อยังมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามความคิดเห็นของ ผู้ใช้ไฟฟ้า พบว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าจำนวนหนึ่งยังคงไม่ได้รับความสะดวกและความพึงพอใจที่มีต่อการใช้ บริการ ดังนั้น สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของ สพช. ในโครงการที่ปรึกษาเรื่องมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย จึงมีข้อเสนอแนะในการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานบางข้อให้เข้มงวดขึ้น ดังนี้
3.1 มาตรฐานความเชื่อถือได้ ควรปรับสูตรการคำนวณสูตรดัชนีจำนวนไฟฟ้าดับต่อรายต่อปี (SAIFI) และดัชนีระยะเวลาไฟฟ้าดับต่อรายต่อปี (SAIDI) ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เนื่องจากวิธีการคำนวณของ กฟน. ยังใช้สมมติฐานจำนวนผู้ใช้ไฟในแต่ละสายป้อนมีจำนวนเท่ากัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง นอกจากนี้ ควรปรับค่าดัชนี SAIFI และ SAIDI ของ กฟน. ให้เข้มขึ้น ส่วนของ กฟภ. เกณฑ์เดิมมีความเหมาะสมอยู่แล้ว เนื่องจากผลการดำเนินงานของ กฟภ. มีความใกล้เคียงกับค่ามาตรฐานมาก
3.2 มาตรฐานการให้บริการทั่วไป เรื่อง การจ่ายไฟคืน การร้องเรียน การอ่านค่าหน่วยไฟฟ้า และการตอบข้อร้องเรียน เสนอให้มีการปรับเกณฑ์มาตรฐานให้เข้มขึ้น
3.3 มาตรฐานที่การไฟฟ้ารับประกัน ให้มีการปรับเกณฑ์มาตรฐานให้เข้มขึ้น ยกเว้นเรื่องการแก้ปัญหาไฟฟ้าดับ และระยะเวลาที่ลูกค้ารายใหม่ขอใช้ไฟฟ้า ให้ใช้เกณฑ์เดิมซึ่งมีความเหมาะสมอยู่แล้ว
3.4 นอกจากนี้ ภายใต้เกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดในปัจจุบัน ยังมีมาตรฐานหลายข้อที่ไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานให้เข้มขึ้นแล้ว ดังนั้น จึงควรมีการปรับปรุง โดยมุ่งเน้นการจัดระบบการให้บริการผู้ใช้และพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น
4. การสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการให้บริการที่ผ่านมา เป็นการดำเนินงานโดย กฟน. และ กฟภ. เป็นผู้ว่าจ้างที่ปรึกษาโดยตรง จึงอาจทำให้ผลการสำรวจไม่เป็นกลาง และไม่มีความน่าเชื่อถือเท่า ที่ควร ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2545 สพช. จะดำเนินการกำกับบริษัทที่ปรึกษาทำการสำรวจความคิดเห็นของ ผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการให้บริการ โดยให้ กฟน. และ กฟภ. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 ต่อไป
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการศึกษาการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย
2.เห็นชอบให้มีการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพบริการของการไฟฟ้าฝ่าย จำหน่ายตามข้อเสนอของที่ปรึกษา สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามเอกสารแนบ 4.3.3 โดยให้เริ่มดำเนินการ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2545 เป็นต้นไป
3.เห็นชอบให้ สพช. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 ในการกำกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้ใช้ไฟฟ้าเกี่ยวกับการ ให้บริการของ กฟน. และ กฟภ. โดยให้การไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
เรื่องที่ 6 แผนการแปรรูปการไฟฟ้านครหลวง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้เห็นชอบแนวทาง และแผนการดำเนินงานการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อ ขายไฟฟ้า และมอบหมายให้ สพช. การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย โดย มอบหมายให้คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของหน่วยงานดังกล่าว ทั้งนี้ในส่วนของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กำหนดให้ กฟน. แบ่งแยกบัญชีระหว่างหน่วยงานด้านระบบจำหน่าย และหน่วยงานจัดหาไฟฟ้า รวมทั้งแยกหน่วยธุรกิจเสริม 4 หน่วยออกเป็นบริษัทจำกัด และแปรรูปไปในที่สุด
2. โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคตตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ การแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่การผลิตไฟฟ้าโดยผู้ผลิตไฟฟ้าหรือบริษัทผลิตไฟฟ้าจะ แข่งขันเสนอราคาขายและปริมาณไฟฟ้าที่ตนจะผลิตเข้าสู่ตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า โดยมีศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) เป็นผู้คัดเลือกโรงไฟฟ้าที่เสนอราคาต่ำสุดให้ เดินเครื่องก่อน และมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าในปี 2545 ซึ่งประกอบด้วยศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO) เป็นผู้สั่งการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าและควบคุมระบบไฟฟ้าโดยรวม ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด (Market Operator : MO) ดำเนินการร่วมกับ ISO ทำหน้าที่ในส่วนของตลาดที่จะกำหนดราคาค่าไฟฟ้าในตลาดกลาง และศูนย์บริหารการชำระเงิน (Settlement Administrator : SA) ดูแลทางด้านบัญชีและการชำระเงินค่าซื้อขายไฟฟ้า
ในส่วนของการจัดหาไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟส่วนใหญ่จะซื้อไฟฟ้าจากบริษัทระบบจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้า (REDCo) ซึ่งเป็นกิจการที่ถูกกำกับดูแลโดยรัฐ การดำเนินการจะแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนระบบจำหน่ายและส่วนการจัดหาไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้ใช้ไฟยังมีทางเลือกที่จะใช้บริการไฟฟ้าจากบริษัทค้าปลีกไฟฟ้าที่ต้องการ เข้ามาแข่งขัน โดยอาจจะให้บริการเสริมต่างๆ ควบคู่ไปกับการจำหน่ายไฟฟ้า
3. ในการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง แนวทางการพัฒนาตลาดหุ้นไทย เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2544 ซึ่งมี ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้กำหนดแนวทางการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย โดยในส่วนของ กฟน. จะมีการกระจายหุ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2546 ดังนั้น เพื่อให้แผนการปรับโครงสร้าง กฟน. มีความสอดคล้องกับนโยบายดังกล่าว คณะอนุกรรมการประสานฯ ในการประชุม เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2544 และ 20 มีนาคม 2545 ได้เห็นชอบให้นำ กฟน. ทั้งองค์กรเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และให้เลื่อนกำหนดการกระจายหุ้นไปอีก 6 เดือน เป็นเดือนมิถุนายน 2547 เนื่องจาก การประกวดราคาจัดจ้างที่ปรึกษาด้านการแปรรูปประสบปัญหา ทั้งนี้ได้ มอบหมายให้ กฟน. นำส่งแผนการดำเนินงานแปรรูป กฟน. ที่สอดคล้องกับมติที่ประชุมมายัง สพช. เพื่อ นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาต่อไป
4. กระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือนำส่งแผนการแปรรูป กฟน. และขั้นตอนการดำเนินงานการแปรรูป กฟน. ที่จัดทำแล้วตามมติคณะอนุกรรมการประสานฯ มายัง สพช. เพื่อให้นำเสนอต่อที่ประชุม กพช. ตาม ขั้นตอน พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ต่อไป โดยแผนการแปรรูป กฟน. ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมขององค์กร การเตรียมการเพื่อจดทะเบียนเป็นบริษัท มหาชน จำกัด และการนำบริษัทการไฟฟ้านครหลวง จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
4.1 การเตรียมความพร้อมขององค์กร กฟน. จะจัดจ้างที่ปรึกษาการแปรรูปเพื่อช่วยในการดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กร กระบวนงาน และระบบบัญชี จัดหาระบบ ERP Software และการเตรียมการด้านเทคโนโลยีเพื่อรองรับการแข่งขัน โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 - ตุลาคม 2547
4.2 การเตรียมการเพื่อจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน จำกัด กฟน. จะใช้พระราชบัญญัติทุน รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ในการเปลี่ยนสภาพเป็นบริษัท โดยคาดว่า กฟน. จะสามารถจัดทำแผนการแปลงทุนเป็นหุ้นได้แล้วเสร็จในต้นปี 2546 และนำเสนอต่อ กพช. คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจและ ครม. เพื่อพิจารณา และสามารถจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดได้ภายในเดือนมีนาคม 2547
4.3 การเตรียมการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ กฟน. จะจัดหาผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น (Underwriter) เพื่อช่วยดำเนินการเสนอขายหุ้นโดยคาดว่าจะสามารถนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Road Show) เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม 2547 และเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในเดือนมิถุนายน 2547
5. สพช. ได้พิจารณาแผนการแปรรูป กฟน. แล้ว มีความเห็นดังนี้
5.1 แผนการแปรรูป กฟน. มีความสอดคล้องกับนโยบายการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการพัฒนาตลาดทุน และ กฟน. สามารถดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรตามแผนการแปรรูป กฟน. ขนาน ไปกับการพิจารณาโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในภาพรวม เนื่องจากกิจกรรมส่วนใหญ่ สามารถเริ่มดำเนินการได้ โดยไม่ขึ้นอยู่กับรูปแบบการแข่งขันในระดับขายส่งซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงใน รายละเอียด ยกเว้นบางกิจกรรมที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปรับ โครงสร้างกิจการไฟฟ้า เช่น การเตรียมความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี อาจรอผลการพิจารณาโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในภาพรวมได้เนื่องจากมีกำหนดการเริ่ม ดำเนินงานในไตรมาสที่ 4 ของปี 2545
5.2 เนื่องจากธุรกิจหลักของ กฟน. คือธุรกิจระบบจำหน่ายและการจัดหาไฟฟ้าจะต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลรายได้ และความเชื่อถือของ กฟน. จึงขึ้นอยู่กับการกำกับดูแล การนำ กฟน. จดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ประสบผลสำเร็จจึงจำเป็นต้องมีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจน โปร่งใส เสียก่อน โดยให้มีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระให้แล้วเสร็จก่อนการจดทะเบียนบริษัท กฟน. ในเดือนมีนาคม 2547 ดังนั้น จึงควรเร่งให้มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... เพื่อจัดตั้ง องค์กรกำกับดูแลอิสระสำหรับกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ โดยร่าง พ.ร.บ. ควรผ่านความเห็นชอบจาก รัฐสภา และมีผลใช้บังคับภายในกลางปี 2546 เพื่อให้มีระยะเวลาเพียงพอสำหรับการคัดเลือกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน แห่งชาติให้เสร็จทันและคณะกรรมการเริ่มปฏิบัติงานก่อนการจดทะเบียนบริษัท กฟน. ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะเป็นการให้ความมั่นใจแก่นักลงทุน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนการแปรรูปการไฟฟ้านครหลวง โดยการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะจดทะเบียนทั้งองค์กรเป็นบริษัทจำกัด และกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2547 โดยใช้ พ.ร.บ. ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ในการเปลี่ยนสภาพเป็นบริษัท
2.มอบหมายให้ กฟน. รับไปดำเนินการตามแผนการแปรรูป กฟน. ทั้งนี้ เนื่องจากแผนการแปรรูป กฟน. เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในภาพรวม ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป หากมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแผนการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในภาพรวม ให้มีการพิจารณาปรับปรุงแผนการแปรรูป กฟน. ให้สอดคล้องกัน
เรื่องที่ 7 แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมถอนข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่ง ชาติไปหมดทั้งเรื่อง เพื่อให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติรับไปศึกษาพิจารณาเพิ่มเติมให้ละเอียด ชัดเจน ในภาพรวมของผลดีและผลเสียต่อประเทศ ต้นทุนการผลิตและมาตรการต่างๆ ที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน รวมทั้งรายละเอียดอื่นให้เพียงพอที่ กพช. จะสามารถพิจารณากำหนดนโยบายได้อย่างเหมาะสมและไม่ส่งผลกระทบเสียหายต่อ เศรษฐกิจของประเทศ และนำกลับมาเสนอใหม่โดยเร็ว คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติจึงได้พิจารณาและ จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง เสนอต่อ กพช.
2. ประธานคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่ง ชาติให้ที่ประชุมทราบ โดยมีประเด็นต่างๆ เพื่อพิจารณา ดังนี้
2.1 การจัดทำแผนการผลิตอ้อยและมันสำปะหลัง ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ดำเนินการจัดทำแผนการผลิตอ้อยและมันสำปะหลังปี 2545 - 2549 แล้วเสร็จ โดย ครอบคลุมถึงความต้องการใช้ผลผลิตเพื่อการผลิตเอทานอลด้วย นอกจากนั้น ประธานคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอรายงานการศึกษาสถานภาพของวัตถุดิบ ที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
2.2 มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอ กพช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในหลักการให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพ สามิตของเอทานอลหน้าโรงงาน และภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป
2.3 มาตรการกองทุนเพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอหลักการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซ ฮอล์ให้ต่ำกว่าราคาจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95 ประมาณ 0.50 - 0.70 บาทต่อลิตร โดยการลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันและกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพิ่มเติมจากการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงาน และภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่กระทรวงการ คลังได้เห็นชอบไว้แล้ว
2.4 การกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอว่าเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้โดย เร็วเห็นควรกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยผ่อนผันคุณภาพน้ำมันได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สามารถยอมรับได้ คือ กำหนดอุณหภูมิการกลั่นที่ปริมาณการระเหย 50% เป็น 65-110 องศาเซลเซียส และค่าความดันไอเป็นไม่สูงกว่า 65 กิโลปาสคาล โดย ในระหว่างนี้จะต้องทำการติดตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์ และการผลิตอย่างใกล้ชิด โดยคณะทำงานติดตามผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
2.5 นโยบายการตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอให้การขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอ ลเป็นเชื้อเพลิงต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติก่อนใน ทุกกรณี รวมถึงเสนอกรอบนโยบายในการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอ ลเป็นเชื้อเพลิง
2.6 การยกเลิกการใช้ MTBE ซึ่งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอให้ในระยะแรก หากมีการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่าน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ประมาณลิตรละ 0.50 - 0.70 บาทไว้อยู่แล้ว จะทำให้เกิดการทยอยเลิกใช้สาร MTBE ออกไปโดยอัตโนมัติ
2.7 การกำหนดกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทานอล คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอว่ายังไม่ต้องมีการจัดตั้งกองทุนรักษา ระดับราคาเอทานอลในขณะนี้ โดยฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ เอทานอลแห่งชาติจะรับไปทำการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนรักษา ระดับราคาเอทานอลแล้วนำเสนอคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
2.8 การขอรับเงินสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติเสนอนโยบายการส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์การ ใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนได้รับความรู้ ความเข้าใจและร่วมกันใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีเอทานอลเป็นส่วนผสม
2.9 องค์กรในการดูแลการนำพืชมาผสมในน้ำมันเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ประธานคณะกรรมการ เอทานอลแห่งชาติได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการเอทานอล แห่งชาติ พ.ศ. 2545 ซึ่งตามระเบียบดังกล่าวกำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมทำหน้าที่เป็น สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการภายใต้การดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบเรื่องการนำเอาน้ำมันจากพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิง (ไบโอดีเซล) แล้ว
2.10 มาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ประธานคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ได้แก่นโยบายให้รถราชการและรัฐวิสาหกิจเลือกใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นลำดับ แรก นโยบายส่งเสริมสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่น น้ำมันปิโตรเลียมเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรองรับการใช้แก๊สโซฮอล์ และนโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลของผู้ ประกอบการขนาดย่อมและขนาดกลาง โดยองค์กรหรือสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพ เพื่อให้มีแหล่งผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตทางการเกษตรกระจายอยู่ในท้องถิ่น ต่างๆ ของประเทศ
มติของที่ประชุม
1.รับทราบแผนการผลิตอ้อยและมันสำปะหลัง ปี 2545-2549 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งครอบคลุมถึงความต้องการใช้ผลผลิตเพื่อผลิตเอทานอล รายงานการศึกษาสถานภาพของวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ของ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ แนวทางในการแก้ไขปัญหาปริมาณ ผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ และแนวทางแก้ไขปัญหาการหลีกเลี่ยงภาษีและลักลอบการใช้ในกิจกรรมอื่นที่มิใช่ เชื้อเพลิง
2.เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติไปดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ในประเด็นดังต่อไปนี้
2.1 เห็นชอบในหลักการให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรง งานและภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ตลอดไป
2.2 เห็นชอบในหลักการกำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่าราคาจำหน่าย น้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยความแตกต่างของราคาอยู่ในระดับต่ำกว่า 1 บาทต่อลิตร เช่น 0.50-0.70 บาทต่อลิตร
2.3 เห็นชอบในหลักการให้มีการลดหย่อนอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและ กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์
2.4 เห็นชอบในการกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยให้ติดตามผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์จากผู้ใช้และผู้ผลิต รวมทั้งพิจารณาผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ และดำเนินการทดลองการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ในเชิงปฏิบัติและภาคสนามเพิ่มเติม ตามความจำเป็น
2.5 เห็นชอบนโยบายการยกเลิกการใช้สาร MTBE ในน้ำมันเบนซินออกเทน 95 โดยการใช้กลไกด้านการตลาดที่ได้กำหนดราคาจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ให้ต่ำกว่า น้ำมันเบนซินออกเทน 95 ซึ่งจะทำให้เกิดการเลิกใช้ MTBE โดยอัตโนมัติ
2.6 เห็นชอบแนวทางการจัดตั้งกองทุนรักษาระดับราคาเอทานอล โดยในปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งกองทุนฯ แต่ในอนาคตอาจมีความจำเป็น ดังนั้น จึงมอบหมายให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ รับไปศึกษาและจัดทำรายละเอียดพร้อมข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนรักษา ระดับราคาเอทานอล เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาต่อไป
2.7 เห็นชอบนโยบายการส่งเสริมให้มีการประชาสัมพันธ์การใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนได้รับความรู้ความเข้าใจและร่วมกันใช้น้ำมันเชื้อ เพลิงที่มีเอทานอลเป็นส่วนผสม โดยให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสนับสนุนงบประมาณเพื่อการดัง กล่าว
2.8 เห็นชอบมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่
-นโยบายการให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจต่างๆ เตรียมกำหนดให้รถยนต์ของหน่วยงานเลือกใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์เป็นอันดับแรก
-นโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนให้กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม มีความพร้อมที่จะรองรับการผลิตและการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่มีเอทานอลเป็น ส่วนผสม เช่น มาตรการด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น
-นโยบายการส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลของผู้ ประกอบการขนาดย่อมและขนาดกลาง โดยองค์กรหรือสถาบันเกษตรกรที่มีศักยภาพ เพื่อให้มีแหล่งผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตทางการเกษตรกระจายอยู่ทั่วไปในท้อง ถิ่นต่างๆ ของประเทศ เช่น การสนับสนุนทางการเงิน โดยการให้สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยหรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิคจากหน่วยงานหรือองค์กร ของรัฐ เป็นต้น
3.เห็นชอบให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติเป็นผู้พิจารณาข้อเสนอการขอตั้งโรง งานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยให้เป็นไปตามกรอบนโยบายที่คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติกำหนดตามรายละเอียด ในเอกสารแนบ 5.2 และให้นำเสนอผลการพิจารณาตั้งโรงงานต่อคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและ จำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับกรอบนโยบายดังกล่าว
กพช. ครั้งที่ 87 - วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 87)
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.การยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
3.ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
4.รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2544
5.รายงานผลการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท.
6.การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
7.การประเมินผลโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
8.การส่งเสริมและสนับสนุนการนำเอทานอลมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
9.สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับการไฟฟ้ามาเลเซีย
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ ในเดือนตุลาคม ราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวลดลงกว่าร้อยละ 20 หลังการก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาจากความกลัวภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกจะทำให้ ความต้องการใช้น้ำมันลดลง นอกจากนั้น กลุ่มโอเปคยังไม่สามารถพยุงราคาน้ำมันดิบให้อยู่ในระดับ Price band (22 - 28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) ได้ โดยราคาน้ำมันดิบลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับเดือนพฤศจิกายน ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้ที่ลดลง และมีสัญญาณปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มนอกโอเปค ซึ่งในเดือนกันยายนได้เพิ่มการผลิตขึ้นอีก 850,000 บาร์เรลต่อวัน นอกจากนั้น ในการประชุมเพื่อลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปคได้ประกาศลดกำลังการผลิตลง 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหลือ 21.17 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยจะมีผลในวันที่ 1 มกราคม 2545 ขณะเดียวกันแนวโน้มประเทศนอกกลุ่มโอเปคจะไม่ให้ความร่วมมือตามที่กลุ่มโอเปค ต้องการที่ให้ประเทศผู้ ส่งออกน้ำมันรายใหญ่นอกกลุ่มโอเปคลดปริมาณการผลิตลงด้วย 500,000 บาร์เรล ต่อวัน โดยที่ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2544 อยู่ที่ระดับ 16.80 และ 18.76 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. ส่วนราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ เดือนตุลาคมราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับตัวลดลงประมาณ 8 และ 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และเดือนพฤศจิกายน ราคาน้ำมันสำเร็จรูปยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปริมาณสำรองทางการค้าได้เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล ได้ปรับตัวลดลงประมาณ 1.6 และ 2.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ออกเทน 92 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2544 อยู่ที่ระดับ 19.6, 18.5, 21.2, 20.3 และ 15.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย เดือนตุลาคม ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปได้ปรับตัวลดลง โดย น้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 7 ครั้ง รวม 1.9 บาทต่อลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลดลง 4 ครั้ง รวม 0.85 บาท ต่อลิตร และเดือนพฤศจิกายน ราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวลดลง 3 ครั้ง รวม 0.8 บาทต่อลิตร ดีเซลหมุนเร็วปรับตัวลดลง 4 ครั้ง รวม 1.0 บาทต่อลิตร และราคาขายปลีก น้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2544 อยู่ที่ระดับ 12.99, 11.99 และ 11.79 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. ในเดือนตุลาคมค่าการตลาดและค่ากลั่นอยู่ที่ระดับ 1.5 และ 1.1407 บาทต่อลิตร ตามลำดับ (4.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) และเดือนพฤศจิกายน ค่าการตลาดและการกลั่นได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.33 และ 0.9663 บาทต่อลิตร ตามลำดับ (3.44 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) โดยค่าการกลั่นที่คุ้มทุนของโรงกลั่นจะอยู่ที่ระดับ 3 - 4 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
5. แนวโน้มของราคาน้ำมัน นักวิเคราะห์ได้ปรับลดการประมาณการความต้องการใช้น้ำมันของโลกในช่วงที่ เหลือของปีลดลงจากเดิมกว่าครึ่ง ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะอยู่ที่ระดับ 15 - 18 และ 16 - 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ น้ำมันเบนซินจะอยู่ ที่ระดับ 20 - 22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 22 - 24 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทย น้ำมันเบนซินออกเทน 95 จะอยู่ที่ระดับ 12.50 - 13.50 บาทต่อลิตร เบนซินออกเทน 91 และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 11.50 - 12.50 บาทต่อลิตร
6. ในเดือนพฤศจิกายนราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง มาอยู่ในระดับ 233.8 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศอยู่ในระดับ 9.70 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 2.33 บาท/กิโลกรัม หรือ 361 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับในช่วงสิ้นปี 2544 ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกคาดว่าจะมีแนวโน้มอ่อนตัวลงประมาณ 10 เหรียญสหรัฐต่อตัน อัตราเงินชดเชยจะอยู่ในระดับ 1.80 - 2.20 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 270 - 350 ล้านบาทต่อเดือน
7. สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กรมบัญชีกลางได้รายงานฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงหลังหักภาระผูกพัน ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2544 มีเงินคงเหลืออยู่ในระดับ 4,065 ล้านบาท และประมาณฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะติดลบประมาณ 11,086 ล้านบาท โดยมีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ในระดับ 361 ล้านบาทต่อเดือน และมีเงินไหลเข้าสุทธิ 521 ล้านบาทต่อเดือน ดังนั้น คาดว่ากองทุนจะสามารถใช้หนี้ได้หมดภายในเวลา 3 ปี
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 การยกเลิกการควบคุมราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบ ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อ เพลิงโดยให้นำระบบราคา "กึ่งลอยตัว" มาใช้ และมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาทางเลือกการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือการปรับราคาโดยอัตโนมัติ
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม โดยใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" ทันที และให้ชะลอการปรับขึ้นราคาขายส่ง ไว้ระยะหนึ่ง และเมื่อราคาตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น จึงค่อยปรับขึ้นราคาขายส่ง โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) นำเสนอประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน อนุมัติต่อไป
3. คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป พร้อมทั้ง ได้ออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง การแจ้งและการปิดป้ายแสดงราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวบรรจุถัง (ก๊าซหุงต้ม) ลงวันที่ 26 ตุลาคม 2544
4. สพช. ได้ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 49 พ.ศ. 2544 เรื่องปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็น 9.7532 บาท/กก. ซึ่งมีผลทำให้ราคา ขายปลีกก๊าซหุงต้มรวมภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้น 0.99 บาท/กก. เป็น 13.60 บาท/กก. หรือถังขนาดบรรจุ 15 กก.เพิ่มขึ้น 15 บาท/ถัง เป็น 204 บาท/ถัง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป จึงทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีขึ้น และราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้ใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" อย่างสมบูรณ์แล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า โดยได้เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และรายละเอียดใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นไป นอกจากนั้น ได้เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
2. ในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 100) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 ได้พิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมีมติเห็นชอบค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนตุลาคม 2544 - มกราคม 2545 เท่ากับ 22.77 สตางค์/หน่วย หรือลดลง 4.36 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชนลดลงจาก 2.48 บาท/หน่วย เป็น 2.43 บาท/หน่วย หรือลดลงประมาณร้อยละ 2 คิดเป็นเงินที่ประชาชนประหยัดได้กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งสามารถสรุปปัจจัยหลักที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่า Ft และผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าได้ ดังนี้
2.1 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของค่า Ft
1) การปรับลดแผนการลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2544 - 2546 ลงประมาณ 55,000 ล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการรายได้ในการสมทบการลงทุนของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งลดลง 14,000 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาเฉลี่ยลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนได้ปีละ 7,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นค่าไฟฟ้าที่ลดลง 7 สตางค์/หน่วย เป็นเวลา 2 ปี
2) อย่างไรก็ตาม จากการพิจารณาการปรับค่า Ft ตามสูตรปกติ ค่า Ft จะเพิ่มขึ้น 2.64 สตางค์/หน่วย เนื่องจากในการคำนวณค่า Ft รอบเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2544 เรียกเก็บที่ 22.44 สตางค์/หน่วย ได้มีการเรียกเก็บค่า Ft เกินไป 1.9 สตางค์/หน่วย ซึ่งเป็นผลจากข้อมูลที่ได้รับในช่วงนั้นเป็น ข้อมูลประมาณการ และมีการนำภาระที่ไม่ควรผ่านให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น การทดสอบเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าราชบุรีถูกนำมารวมเข้าด้วย ซึ่งต่อมาได้นำค่าดังกล่าวมาลดให้ประชาชนในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2544 ทำให้ค่า Ft ในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2544 ลดลงต่ำกว่าที่ควรประมาณ 1.9 สตางค์/หน่วย นอกจากนั้น ในการเก็บค่า Ft รอบเดือนกุมภาพันธ์ - พฤษภาคม 2544 เป็นช่วงหน้าร้อน การไฟฟ้ามีรายได้จากค่าไฟฟ้าฐานในอัตราค่อนข้างสูงจากค่าไฟฟ้าในอัตราก้าว หน้า ดังนั้น ในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2544 ประกอบกับอากาศได้เย็นลงทำให้รายได้จากค่าไฟฟ้าส่วนนี้ลดลงจากช่วงก่อน ประมาณ 1 สตางค์/หน่วย
สำหรับต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในการปรับค่า Ft รอบนี้ค่อนข้างคงที่ เนื่องจากมีการปรับ สัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงโดยการใช้เชื้อเพลิงราคาถูกมากขึ้น แม้ราคาก๊าซธรรมชาติจะแพงขึ้น โดยราคาก๊าซธรรมชาติได้สูงขึ้น 6 บาท/ล้านบีทียู จาก 142 บาท/ล้านบีทียู เป็น 148 บาท/ล้านบีทียู และเมื่อนำส่วนลดค่าก๊าซธรรมชาติจากการเจรจากับแหล่งบงกช จำนวน 535 ล้านบาทมาช่วยบรรเทาราคาที่สูงขึ้น ต้นทุนค่าไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1.53 สตางค์/หน่วย
ในการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงโดยการใช้เชื้อเพลิงราคาถูกมาก ขึ้น คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงโดยรวมไม่เพิ่มขึ้น กล่าวคือ การเพิ่มปริมาณการใช้ลิกไนต์ จากร้อยละ 16.4 เป็น ร้อยละ 16.9 เพิ่มการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าจากร้อยละ 2.1 เป็น ร้อยละ 3.4 เพิ่มการใช้ก๊าซธรรมชาติและการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งมีราคาถูกกว่าการใช้น้ำมันเตา จากร้อยละ 70.2 เป็น ร้อยละ 71.6 ในขณะเดียวกันได้ลดการใช้น้ำมันเตาลงจากร้อยละ 4.5 เป็น ร้อยละ 2.2 จึงทำให้ค่าเชื้อเพลิงที่ใช้ในการคำนวณค่า Ft ครั้งนี้ค่อนข้างคงที่
ดังนั้น ในการเรียกเก็บค่า Ft รอบนี้ เมื่อนำค่าไฟฟ้าที่ลดลงได้ 7 สตางค์/หน่วย มาหักกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตามสูตรปกติ 2.64 สตางค์ต่อหน่วย ค่า Ft จึงลดลงสุทธิเท่ากับ 4.36 สตางค์/หน่วย โดยค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนตุลาคม 2544 - มกราคม 2545 เท่ากับ 22.77 สตางค์/หน่วย ซึ่งสามารถจำแนกค่าไฟฟ้าตามประเภทกิจการไฟฟ้า ดังนี้คือ กิจการผลิต กิจการระบบส่ง กิจการระบบจำหน่าย มีค่าเท่ากับ 25.88, 0.15 และ -3.26 สตางค์/หน่วย ตามลำดับ
2.2. ค่าไฟฟ้าเฉลี่ย ปัจจุบันจะอยู่ในอัตรา 2.48 บาท/หน่วย ซึ่งประกอบด้วย ค่าไฟฟ้าฐานประมาณ 2.2 บาท/หน่วย และค่า Ft ที่เปลี่ยนแปลงตามราคาของเชื้อเพลิง โดยค่า Ft ได้ลดลงจาก 27.13 สตางค์/หน่วย ในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน 2544 เป็น 22.77 สตางค์/หน่วย ในช่วงเดือนตุลาคม 2544 - มกราคม 2545 หรือลดลง 4.36 สตางค์/หน่วย ซึ่งจะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่เรียกเก็บจากประชาชนลดลงจาก 2.48 บาท/หน่วย เป็น 2.43 บาท/หน่วย หรือลดลงประมาณร้อยละ 2
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เพื่อให้สามารถนำ "ดอกผล" อันเกิดจากกองทุนฯ จำนวน 350 ล้านบาท ที่ได้รับจากบริษัท เอสโซ่ สแตนดาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ตามสัญญาขยายและประกอบกิจการโรงกลั่นปิโตรเลียม ระหว่างกระทรวงอุตสาหกรรม กับบริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด ประเทศไทย จำกัด มาใช้ประโยชน์ ในการส่งเสริมและสนับสนุนด้านพลังงานและปิโตรเลียม โดยมีระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหาร กองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 เป็นกรอบในการบริหาร กองทุนฯ ซึ่งตามระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญา โรงกลั่นปิโตรเลียม ทำหน้าที่แทน กพช. ในการพิจารณาจัดระเบียบ วางแนวทางและพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อใช้เป็นกรอบในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนแก่ส่วนราชการที่ เกี่ยวกับการพลังงานและปิโตรเลียม พร้อมทั้งให้ สพช. จัดทำงบแสดงผลการรับจ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ และงบแสดงฐานะการเงินของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อทราบภายในสามสิบวันนับแต่วัน สิ้นปีงบประมาณ
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2544 ซึ่งเป็นไปตามมติ ของ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2543 ที่เห็นชอบ แผนการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2544 - 2546 ภายในวงเงินรวมทั้งสิ้น 66 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 2544 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินตามหมวดรายจ่ายต่างๆ ตามความจำเป็นเร่งด่วนและความต้องการใช้งบประมาณของหน่วยงานต่างๆ โดยได้โอนค่าใช้จ่ายจากหมวดการโฆษณาเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์ จำนวน 3 ล้านบาท ไปเป็นค่าใช้จ่ายในหมวดการค้นคว้า วิจัยและการศึกษา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินอยู่เดิมจำนวน 4 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7 ล้านบาท ส่วนแผน การใช้เงินในหมวดอื่นๆ ยังคงเดิม กล่าวคือ หมวดทุนการศึกษาและฝึกอบรม 5.4 ล้านบาท หมวดการเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรมและสัมมนา 5 ล้านบาท หมวดการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน 4 ล้านบาท และหมวดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน 0.6 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22 ล้านบาท
3. จากการปรับปรุงแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อใช้จ่ายตามหมวดค่าใช้จ่ายต่างๆ สรุปได้ดังนี้ คือ
1) หมวดการค้นคว้า วิจัย และการศึกษา ได้อนุมัติงบประมาณเพื่อทำการศึกษาและประชา-สัมพันธ์ จำนวน 1 โครงการ ให้แก่ สพช. คือ โครงการศึกษาและประชาสัมพันธ์อัตราค่าไฟฟ้าที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาของการ ใช้ (Time of Use Rate : TOU) ในวงเงิน 7,000,000 บาท
2) หมวดเงินทุนการศึกษาและฝึกอบรม ได้อนุมัติทุนการศึกษาระดับปริญญาโทในประเทศ จำนวน 3 ทุน ให้กับกรมบัญชีกลาง กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และ สพช. ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทต่างประเทศ 1 ทุน ให้สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และทุนฝึกอบรมภาษาอังกฤษต่างประเทศให้กับหน่วยงานที่ปฏิบัติงานด้านพลังงาน จำนวน 10 ทุน รวมวงเงิน 5,400,000 บาท
3) หมวดการเดินทางเพื่อศึกษา ดูงาน ประชุม อบรม และสัมมนา ได้อนุมัติงบประมาณให้กับหน่วยงานที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับพลังงานและ ปิโตรเลียมจำนวน 11 โครงการ ในวงเงิน 4,554,283 บาท
4) หมวดการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์สำนักงาน ได้อนุมัติงบประมาณจำนวนเงิน 4 ล้านบาท ให้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พพ. และ สพช.
5) หมวดค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ได้อนุมัติเงินจำนวน 600,000 บาท เป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างลูกจ้างชั่วคราว ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ ให้ สพช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนฯ ซึ่งเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณรายจ่ายจากสำนักงบประมาณ
4. ในส่วนการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุน ปีงบประมาณ 2545 - 2546 คณะกรรมการ กองทุนฯ ได้พิจารณาข้อมูลจากงบแสดงผลการรับ-จ่ายเงินในระหว่างปีงบประมาณ งบแสดงฐานะการเงิน ของกองทุน ณ วันสิ้นปีงบประมาณ และงบประมาณผูกพันต่อเนื่องในช่วงปี 2544 ประกอบกับประมาณการรายรับของกองทุนฯ ที่ได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำของเงินกองทุนในช่วงสองปี ข้างหน้า และเห็นควรทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินในช่วงปีงบประมาณ 2545 - 2546 ภายในวงเงินเดิม จำนวน 44 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1.รับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม ประจำปีงบประมาณ 2544
2.รับทราบการทบทวนแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมประจำปีงบประมาณ 2544-2546
เรื่องที่ 5 รายงานผลการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท.
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เรื่องแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ภายใต้พระราชบัญญัติทุน รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็น แกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการจัดทำประเด็น นโยบายให้สามารถระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชน เพื่อทำหน้าที่ประเมินราคาสินทรัพย์ ราคาหุ้น และวิธีการขายหุ้น ประกอบด้วย ผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) สพช. กระทรวงการคลัง (กค.) สำนักงานอัยการสูงสุด และ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยให้เร่งดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นและจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้
2. คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. ได้พิจารณาแนวทาง แผนการระดมทุน รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการเสนอขายหุ้น บมจ. ปตท. โดยได้มีการประชุมรวมทั้งหมด 5 ครั้ง และได้มีมติร่วมกับกรรมการผู้รับมอบอำนาจแทนคณะกรรมการ บมจ. ปตท. เกี่ยวกับแนวทางของ แผนการระดมทุน รวมทั้งรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นของ บมจ. ปตท. โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
2.1 กำหนดการขายหุ้น
- ทำการสำรวจตลาดเบื้องต้น (Pre-marketing) 15-26 ต.ค. 44
- นำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน (Roadshow) ใน/ต่างประเทศ 29 ต.ค.-20 พ.ย.44
- กำหนดการจองซื้อของนักลงทุนบุคคลธรรมดาในประเทศ 15-20 พ.ย. 44
- พิจารณากำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) 21 พ.ย. 44
- หุ้น บมจ. ปตท. ทำการซื้อขายใน ตลท. 6 ธ.ค. 44
2.2 การกำหนดช่วงราคาการเสนอขายเบื้องต้น (Preliminary Price Range) คือ 31-35 บาท ต่อหุ้น โดยช่วงราคาดังกล่าวได้ใช้ในการทำ Roadshow และใช้ในกระบวนการ Bookbuilding รวมทั้งให้พิจารณาเป็นราคาเสนอขายเบื้องต้นสำหรับนักลงทุนในประเทศประเภทผู้ จองซื้อรายย่อยและบุคคลทั่วไป
2.3 จำนวนหุ้นที่เสนอขายแก่ประชาชนและนักลงทุนทั่วไป ในเบื้องต้น 800 ล้านหุ้น (ไม่รวมหุ้นที่เสนอขายให้แก่พนักงานภายใต้โครงการการให้สิทธิแก่พนักงาน บมจ. ปตท. ในการซื้อหุ้น) ประกอบด้วยหุ้นสามัญออกใหม่ของ บมจ. ปตท. 750 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมของกระทรวงการคลัง 50 ล้านหุ้น โดย หากความต้องการซื้อหุ้นจากนักลงทุนมีมากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขายในเบื้องต้น จะสามารถพิจารณาขายหุ้นเพิ่มเติมด้วยวิธีการจัดสรรหุ้นเกินจำนวนและให้สิทธิ ผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ซื้อหุ้นจาก กค. ในจำนวนที่จัดสรรเกินจำนวน (Overallotment or Greenshoe Option) อีกจำนวน 120 ล้านหุ้น
2.4 สัดส่วนในการเสนอขายเบื้องต้น ประชาชนและนักลงทุนในประเทศเป็นร้อยละ 60 (480 ล้านหุ้น) และนักลงทุนต่างประเทศ ร้อยละ 40 (320 ล้านหุ้น) โดยสามารถเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการเสนอขายหุ้น (Claw Back) ดังกล่าวได้ไม่เกินร้อยละ 15 (120 ล้านหุ้น)
2.5 การจัดสรรหุ้นสำหรับนักลงทุนในประเทศประเภทผู้จองซื้อรายย่อยผ่านตัวแทนจำหน่าย (Selling Agent) ให้ผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายมีสิทธิในการรับจองหุ้นเกิน กว่าจำนวนที่จะเสนอขายประมาณ 120 ล้านหุ้น เพื่อกันไว้เป็นส่วนสำรอง (Waiting List)
2.6 การจัดสรรหุ้นให้กับพนักงาน กำหนดราคาอ้างอิงที่ราคา 33 บาท โดยมูลค่ารวมของผลประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับ (ผลต่างระหว่างราคาอ้างอิงกับราคาพาร์) เท่ากับ 8 เท่าของเงินเดือนรวม ณ วันที่ 30 กันยายน 2544 ของผู้มีสิทธิ คิดเป็นจำนวนหุ้นที่จัดสรรให้พนักงานผู้มีสิทธิทั้งหมด 47,245,725 หุ้น
2.7 นโยบายการจ่ายเงินปันผล กำหนดนโยบายในการจ่ายเงินปันผลจำนวน 2 บาทต่อหุ้น สำหรับผลประกอบการของ บมจ. ปตท. ปี 2544 และให้เสนอขอความเห็นชอบต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปี ซึ่งจะจัดให้มีการประชุมภายในเดือนเมษายน 2545
2.8 การกำหนดไม่ให้นำหุ้นออกมาขายในตลาดก่อนระยะเวลา (Lock up period) ดังนี้
1) บมจ. ปตท. และ กค. จะไม่ ขาย จำหน่าย จ่าย โอน หุ้นทุนของ บมจ. ปตท. ที่มีสถานะเช่นเดียวกับหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ ในช่วง 365 วันนับจากวันปิดการเสนอขาย (Closing Date) เว้นแต่ได้รับความยินยอมจากผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
2) นับจากวันปิดการเสนอขาย (Closing Date) 180 วัน กค. สามารถขาย จำหน่าย จ่าย โอน หลักทรัพย์อื่นใดที่สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นทุนของ บมจ. ปตท. ที่มีสถานะเช่นเดียวกับหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ รวมถึงการเสนอขายหุ้น บมจ. ปตท. แบบเฉพาะเจาะจง (Private Placement) ได้โดยมีข้อกำหนดว่าการแปลงสภาพหรือการจะนำหุ้น บมจ. ปตท. เข้าทำการซื้อขายในตลาดฯ แล้วแต่กรณีนั้น จะทำได้หลังจาก 365 วันนับจากวันปิดการเสนอขาย (Closing Date)
3. การจัดทำ Roadshow ทั้งในและต่างประเทศของ บมจ. ปตท. ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างกว้างขวาง โดยการจองซื้อหุ้นของนักลงทุนประเภทต่างๆ มีมากกว่าจำนวนที่จัดสรร ดังนี้
3.1 ประชาชนทั่วไปในประเทศ สามารถจองซื้อหุ้น บมจ. ปตท. จำนวนรวมทั้งสิ้น 220 ล้านหุ้น ผ่านธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งทั่วประเทศ การจองซื้อหุ้นในจำนวนดังกล่าวได้หมดภายในระยะเวลาเพียง 1.07 นาที และทางธนาคารได้เปิดให้ผู้สนใจจองซื้อหุ้นต่อ โดยขึ้นเป็นบัญชีสำรอง (Waiting List) อีกประมาณ 120 ล้านหุ้น
3.2 นักลงทุนสถาบันในประเทศ สามารถจองซื้อหุ้น บมจ. ปตท. โดยวิธีการประกวดราคาแบบสะสม (Book Building) ซึ่งความต้องการเกินกว่าจำนวนที่จัดสรรเบื้องต้นกว่า 3 เท่า
3.3 นักลงทุนสถาบันต่างประเทศ จองซื้อหุ้น บมจ. ปตท. โดยวิธีการประกวดราคาแบบสะสม (Book Building) มีความต้องการเกินกว่าจำนวนที่จัดสรรเบื้องต้นกว่า 6 เท่า
4. จากข้อมูลปริมาณความต้องการซื้อหุ้น บมจ. ปตท. ดังกล่าว คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ และกรรมการผู้รับมอบอำนาจแทนคณะกรรมการ บมจ. ปตท. ในการประชุมครั้งที่ 6/2544 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 จึงได้พิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ที่จำเป็นต่อการกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) ที่เหมาะสม และได้มีมติดังนี้
4.1 ราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) อยู่ที่ราคา 35 บาทต่อหุ้น
4.2 จำนวนหุ้นที่เสนอขาย รวมจำนวน 920 ล้านหุ้น โดยไม่รวมหุ้นที่เสนอขายให้แก่พนักงานภายใต้โครงการการให้สิทธิแก่พนักงาน บมจ.ปตท. ในการซื้อหุ้น (ESOP Program) ประกอบด้วยหุ้นสามัญออกใหม่ของ บมจ. ปตท. 750 ล้านหุ้น หุ้นสามัญเดิมของ กค. 50 ล้านหุ้น และหุ้นจัดสรรเกินจำนวน (Overallotment or Greenshoe Option) ของ กค. 120 ล้านหุ้น
4.3 การจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนกลุ่มต่างๆ เนื่องจากความต้องการซื้อหุ้นจากนักลงทุนมี มากกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขายในเบื้องต้น จึงได้มีการพิจารณาขายหุ้นเพิ่มเติมด้วยวิธีการจัดสรรหุ้นเกินจำนวน (Overallotment or Greenshoe Option) อีกจำนวน 120 ล้านหุ้น รวมเป็นจำนวนหุ้นที่จัดสรรทั้งหมด 920 ล้านหุ้น โดยจำนวนจัดสรรสุทธิ มีดังนี้
- บุคคลธรรมดาในประเทศ จำนวน 330.124 ล้านหุ้น
- Broker และผู้มีอุปการะคุณ จำนวน 169 ล้านหุ้น
- สถาบันในประเทศ จำนวน 91.876 ล้านหุ้น
- สถาบันต่างประเทศ จำนวน 329 ล้านหุ้น
โดยมีสัดส่วนจำนวนการจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนในประเทศร้อยละ 64.24 และนักลงทุนต่างประเทศร้อยละ 35.76
4.4 จำนวนเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น จากการขายหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. ปตท. จำนวน 750 ล้านหุ้น หุ้นเดิมของกระทรวงการคลัง รวมทั้งส่วนที่เป็น Greenshoe จำนวน 170 ล้านหุ้น ทำให้ บมจ. ปตท. และกระทรวงการคลังมีรายได้จากการขายหุ้นครั้งนี้ จำนวน 32,200 ล้านบาท
5. ทั้งนี้ การขายหุ้น ปตท. ในครั้งนี้ มีผลให้มีเงินเข้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนประมาณ 11,500 ล้านบาท หรือประมาณ 260 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (329 ล้านหุ้น * 35 บาทต่อหุ้น) โดยสัดส่วนการถือหุ้นของ กค. จะลดลงเหลือร้อยละ 65.4 (หากขายหุ้นในส่วนของ Greenshoe ได้ทั้งหมด)
คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า จากการนำเสนอข้อมูลแก่นัก ลงทุนในต่างประเทศ ทำให้ทราบถึงประเด็นความวิตกกังวลของนักลงทุนต่างประเทศ หลักๆ ดังนี้
1.การที่รัฐอาจจะใช้ บมจ. ปตท. เป็นเครื่องมือในการแทรกแซงราคาน้ำมัน หรือการกำหนดให้ บมจ. ปตท. เป็นแกนนำในการลงทุนในโครงการที่ไม่มีความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ เป็นต้น ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนในการที่จะเข้ามาลงทุนใน ประเทศไทย รัฐบาลจำเป็นต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
2.ความวิตกกังวลในกลไกการกำกับดูแลและการบริหารงาน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดหลักการและรูปแบบการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance and Management) ไว้อย่างชัดเจนแล้ว ซึ่งถ้าหากไม่ปฏิบัติตามมติดังกล่าว อาจจะส่งผลกระทบต่อการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ในอนาคตได้
3.ต้องการความมั่นใจว่าในอนาคตจะมีการขยายตัวของความต้องการใช้ไฟฟ้ามาก ขึ้น ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของความต้องการใช้ไฟฟ้าดังกล่าว จะมีผลโดยตรงต่อความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อเป็นเชื้อเพลิง นอกจากนั้นนักลงทุนยังต้องการความเชื่อมั่นในนโยบายของรัฐในการกำหนดหลัก เกณฑ์การกำหนดราคาและค่าผ่านท่อก๊าซฯ รวมทั้งการกำกับดูแลที่จะต้องมีความโปร่งใสและเป็นธรรม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. รวมทั้งมอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท จัดทำประมวลข้อคิดเห็นประเด็นต่างๆ ที่ได้จากการดำเนินแผนการระดมทุนในครั้งนี้ เสนอต่อประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อจะได้นำข้อคิดเห็นดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกำกับดูแลนโยบายด้านรัฐ วิสาหกิจ (กนร.) เพื่อเป็นโครงการต้นแบบสำหรับการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ต่อไป
เรื่องที่ 6 การปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2535 ได้มีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง ปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เห็นชอบให้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการลักลอบนำเข้าน้ำมัน เชื้อเพลิง โดยให้กรมศุลกากรเป็นเจ้าของเรื่องและประกอบด้วย ตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน สำหรับงบประมาณที่ใช้ในระยะแรกได้จากงบประมาณปกติของแต่ละหน่วยงานได้รับ
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2539 ได้มีมติเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้มีการตั้งศูนย์กลางการประสานงานขึ้น โดยให้กองทัพเรือเป็นศูนย์กลางการประสานงานการปราบปรามทางทะเล และให้ สพช. เป็นศูนย์รวมประสานงานหน่วยงานทั้งทางบกและทางทะเลในด้านข้อมูลและอำนวยการ ประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงาน ทำให้การปฏิบัติงานในระยะต่อมามีเอกภาพมากขึ้น และคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้มีมติเห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ให้นำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้ในการสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงาน ต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ โดยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้สนับสนุนงบประมาณมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปี 2544 และเนื่องจากสถานการณ์การลักลอบ ในปัจจุบันผู้กระทำผิดได้พยายามเปลี่ยนแปลงรูปแบบการกระทำความผิดเพื่อหลีก เลี่ยงภาษีในรูปแบบใหม่ๆ ดังนั้นจึงได้มีการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามให้เหมาะสมและสอดคล้อง กับสถานการณ์ คณะ รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 จึงมีมติให้จัดตั้งคณะกรรมการประสานงานป้องกันและปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม (คปปป.) ขึ้น โดยมีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ รวมทั้งให้มีศูนย์ประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (ศปปป.) เพื่อทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการฯ
3. จากภาระหนี้ที่กองทุนฯ ต้องชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 จึงได้มีมติเห็นชอบแผนการชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยให้การดำเนินงานบริหารกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงให้มีเงินชำระหนี้ได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท/ไตรมาส โดยได้มีการจัดทำข้อตกลงสัญญากับเจ้าหนี้ หากไม่สามารถดำเนินการตามข้อตกลงได้จะต้องเสียดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้ จึงทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไม่สามารถนำเงินไปสนับสนุนการดำเนินงานด้าน การป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมได้อีกต่อไป และเนื่องจากกระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลผลประโยชน์ ของประเทศเรื่องภาษีรายได้ ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินนโยบายและมาตรการ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ดังนั้นกระทรวงการคลังจึงควรเข้ามาดูแลในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งการให้การสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้การปฏิบัติงานสามารถดำเนินต่อไป ได้ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการถูกต้องตามหลักการและภาระหน้าที่ที่ควรจะเป็น
4. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 ได้มีมติรับทราบคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่มีบัญชามอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) มีอำนาจในการกำหนดแนวทางปฏิบัติ กำกับ ดูแล และควบคุมการปฏิบัติราชการของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามน้ำมันเถื่อน โดยไม่รวมถึงการบริหารงานบุคคล ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน จึงได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 7/2544 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2544 เห็นชอบให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการขึ้นมา 4 ชุด ประกอบด้วย คณะกรรมการอำนวยการการปฏิบัติงานของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางในการป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม คณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม คณะอนุกรรมการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม และให้มีการเปลี่ยนชื่อคณะอนุกรรมการประเมินผลการป้องกันและปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้สอดคล้องกับอำนาจและหน้าที่ของคณะ อนุกรรมการฯ และให้เสนอผู้มีอำนาจลงนามต่อไป รวมทั้งเห็นชอบให้กองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงยุติการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการขอรับเงินสนับสนุนจากงบประมาณแผ่นดิน แทน และในส่วนของการกำหนดมาตรการด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียม ได้มอบให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับการสนับ สนุนด้านการเงินที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเก็บ รายได้ภาษีของรัฐ ทั้งนี้ ให้ สพช. นำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี ตามลำดับ เพื่อให้เป็นมติคณะรัฐมนตรีและมีผลในทางปฏิบัติต่อไป
5. สพช.ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยได้จัดทำร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิบัติงานของกองบัญชาการ ตำรวจสอบสวนกลางในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ซึ่งได้นำเสนอรองนายกรัฐมนตรี(นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) เพื่อลงนามแล้ว พร้อมกันนี้ สพช. ได้จัดทำร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการรวม 3 ชุด ประกอบด้วย คณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (คปปป.) และคณะอนุกรรมการ 2 ชุด คือ คณะอนุกรรมการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม และคณะอนุกรรมการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปราม การกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุม ครั้งนี้ด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบโครงสร้างองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยว กับปิโตรเลียม โดยรับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการปฏิบัติงาน ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม และเห็นชอบให้ตั้งคณะกรรมการและอนุกรรมการรวม 3 ชุด ได้แก่ (1) คณะกรรมการประสานงานการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (2) คณะอนุกรรมการความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียม (3) คณะอนุกรรมการติดตามตรวจสอบและเร่งรัดการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการ กระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม
2.ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 เป็นต้นไป ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบายและมาตรการ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิด เกี่ยวกับปิโตรเลียมแทนสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ ปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ยุติการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปใช้จ่ายในการป้องกันการ กระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2546 ทั้งนี้ให้กระทรวงการคลังประสานงานกับสำนักงบประมาณ ในการจัดสรรงบประมาณตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 7 การประเมินผลโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาว ประมงในเขตต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2544 ได้มีมติให้ทบทวนเรื่องการ ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มโดยกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดภายในปี 2544 ในโครงการดังกล่าว เพื่อพิจารณาทบทวน ผลประโยชน์ที่ได้รับ ปัญหาอุปสรรค และผลเสียที่เกิดขึ้น หากเห็นว่ามีประโยชน์คุ้มค่าจึงจะพิจารณาขยายเวลาให้ดำเนินการได้ต่อไป และเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2544 ได้เห็นชอบให้มีคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่กำกับ ดูแลให้การปฏิบัติตามโครงการเกิดความรัดกุมและมีประสิทธิภาพ โดยให้มีผู้แทนกรมสรรพสามิตเป็นประธานคณะทำงาน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน รวมทั้งให้มีการตรวจสอบอย่างเป็นระบบเปิด เพื่อให้บุคคลภายนอกเข้ามาตรวจสอบได้
2. การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลังได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมัน ดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2544 โดยคณะกรรมการกำกับดูแลฯได้มีการประชุมเพื่อกำหนดกรอบการรายงานผลของโครงการ กำหนดดัชนีชี้วัดในการประเมินผลโครงการ พร้อมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน และสรุปรายงานการดำเนินโครงการฯเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในส่วนของการตรวจสอบอย่างระบบเปิดที่ให้บุคคลภายนอกเข้าร่วมตรวจสอบ สพช. ได้ประสานกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานประสานความร่วมมือภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาน้ำมัน เถื่อน และได้มีการประชุมเพื่อสรุปข้อดี ข้อเสียและข้อเสนอแนะของโครงการฯเพื่อรายงาน กพช.
3. คณะกรรมการกำกับดูแลฯ ได้รวบรวมผลการดำเนินโครงการ ตั้งแต่ วันที่ 30 เมษายน 2544 ถึง วันที่ 10 พฤศจิกายน 2544 จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมศุลกากร กรมทะเบียนการค้า กรมสรรพสามิต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ว่าจำนวนผู้เข้าร่วมโครงการประกอบด้วยบริษัทผู้ค้า น้ำมันตามมาตรา 7 จำนวน 5 ราย บริษัทผู้ค้าน้ำมันในเขตต่อเนื่อง จำนวน 8 ราย เรือบรรทุกน้ำมันและสถานีบริการน้ำมัน (Tanker) จำนวน 18 ลำ สมาคมประมงท้องถิ่นที่เสนอเข้าร่วมโครงการ จำนวน 28 สมาคม และเรือประมงที่จดทะเบียนเข้าร่วมโครงการ จำนวน 5,172 ลำ ปริมาณจำหน่ายน้ำมันดีเซลจำนวนทั้งสิ้น 53.1 ล้านลิตร โดยครอบคลุมจังหวัดในพื้นที่อ่าวไทยตอนบนจนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานีและภาคใต้ ตอนล่างในจังหวัดปัตตานี ส่วนพื้นที่ด้านอันดามัน มีสมาคมประมงท้องถิ่นเสนอเข้าร่วมโครงการแต่ขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการ สำหรับราคาน้ำมันที่จำหน่าย จะเปลี่ยนแปลงตามราคาหน้าโรงกลั่นซึ่งจะสูงกว่าราคาจำหน่ายน้ำมันโดยเรือ ต่างชาตินอกเขตต่อเนื่อง ประมาณลิตรละ 20 - 30 สตางค์ โดยที่คุณภาพน้ำมันจะดีกว่าน้ำมันที่จำหน่ายโดยเรือต่างชาตินอกเขตต่อเนื่อง นอกจากนั้นผลการตรวจสอบการกระทำความผิดของกรมทะเบียนการค้าไม่พบน้ำมันสี เขียวหรือน้ำมันที่เติมสารมาร์คเกอร์ รวมทั้งการตรวจสอบการกระทำความผิดของผู้ค้าน้ำมัน เรือขนส่งน้ำมัน และเรือประมง โดยกรมศุลกากร ไม่พบการกระทำความผิดเช่นเดียวกัน
4. สำหรับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานพบว่า โครงการไม่สามารถตอบสนองชาวประมงได้อย่างทั่วถึง เนื่องจากเรือประมงชายฝั่งขนาดเล็กยังไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯ ทั้งนี้เกิดจากบริเวณภาคใต้ตอนล่างและอ่าวไทยรูป ก.ไก่ เป็นบริเวณที่เส้นฐานห่างฝั่งทะเล ทำให้เรือสถานีบริการตั้งอยู่ไกลมาก เรือ ขนาดเล็กและขนาดกลาง (15 เมตร ถึง 18 เมตร) ที่มีจำนวนหลายพันลำไม่สามารถวิ่งออกไปเติมน้ำมันในเขตต่อเนื่องได้ และอีกประการหนึ่ง ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันยังขาดความมั่นใจว่าโครงการจะดำเนินการอย่าง ต่อเนื่องและจะได้ต่ออายุโครงการหรือไม่จึงทำให้การค้าไม่ขยายตัวเท่าที่ควร นอกจากนั้น ชาวประมงส่วนหนึ่งได้ติดต่อซื้อขายน้ำมันกับเรือต่างชาตินอกเขตต่อเนื่องมา เป็นระยะเวลานานจึงมีความผูกพันต่อกัน
5. ส่วนการประเมินผลโครงการดำเนินการโดย 2 องค์กรหลัก คือ คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร ซึ่งเป็นองค์กรภาคราชการ และคณะทำงานประสานความร่วมมือภาคเอกชนในการแก้ไขปัญหาน้ำมันเถื่อนซึ่งมีผู้ แทนจากบริษัทผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และ ผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นองค์ประกอบคณะทำงาน ได้ร่วมทำการประเมินผลการ ดำเนินงานโครงการดังกล่าว พบว่ามีทั้งข้อดี ข้อเสีย รวมทั้งข้อเสนอแนะ สรุปได้ดังนี้
5.1 ข้อดีของโครงการ คือสามารถลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศโดยคิดจากปริมาณมูลค่าการซื้อน้ำมัน ในโครงการฯจำนวน 53,077,663 ลิตร เป็นเงินประมาณ 424 ล้านบาท และโครงการนี้ได้ช่วย ส่งเสริมธุรกิจการผลิตน้ำมันในประเทศไทย โดยโรงกลั่นน้ำมันภายในประเทศสามารถนำกำลังการผลิตส่วนเกินของโรงกลั่นที่มี อยู่ก่อนโครงการมาใช้ให้เกิดประโยชน์ขึ้น และช่วยให้ชาวประมงสามารถซื้อน้ำมันในราคาที่ ถูกกว่าราคาปกติประมาณลิตรละ 2 บาท เนื่องจากเกิดการแข่งขันซื้อขายระหว่างน้ำมันในโครงการฯ และ น้ำมันนอกเขตต่อเนื่อง อีกทั้งน้ำมันในโครงการฯมีคุณภาพดีช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง เครื่องยนต์ของเรือประมงได้มาก ขณะเดียวกันสถานีบริการน้ำมันในโครงการจะต้องติดตั้งมิเตอร์ที่ได้รับการ รับรองจากกระทรวงพาณิชย์จึงช่วยให้ชาวประมงได้รับน้ำมันเต็มตามจำนวนที่ซื้อ สำหรับผลประโยชน์ในด้านภาษีพบว่า ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม 2544 รัฐจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลได้ เป็นเงิน 17,444 ล้านบาท คิดเป็นจัดเก็บภาษีที่ได้เพิ่มขึ้น 555 ล้านบาทเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ส่วนด้านการป้องกันและปราบปรามน้ำมันลักลอบฯ ได้ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการ ป้องกันและปราบปรามการลักลอบน้ำมันฯ ร่วมกัน และมีการจดทะเบียนเรือประมงถูกต้องตามกฎหมาย มากขึ้น
5.2 ข้อเสียของโครงการ เป็นความไม่เท่าเทียมกันในการรับผลประโยชน์จากโครงการฯ ของ ชาวประมงที่อาจเกิดขึ้นโดยที่เรือประมงชายฝั่งขนาดเล็กและขนาดกลางในพื้นที่ ภาคใต้ตอนล่างและพื้นที่ อ่าวไทยรูป ก.ไก่ จะไม่สามารถไปรับบริการได้
5.3 คณะกรรมการฯและคณะทำงานฯ ทั้ง 2 คณะมีความเห็นว่าโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่องของ ราชอาณาจักรก่อให้เกิดผลดีมากกว่าผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ สมควรต่ออายุโครงการให้มีความต่อเนื่องถาวร เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการในการเข้าร่วมโครงการและรองรับความต้อง การของชาวประมงทั้งหมดได้ หากในระยะต่อไปโครงการก่อให้เกิดปัญหาอาจพิจารณายกเลิกได้ ทั้งนี้ให้มีการประเมินผลโครงการทุกปี ในส่วนของคณะกรรมการฯ จะรับไปประสานกับสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยเพื่อผลักดันให้เรือประมงเข้ามา จดทะเบียนให้ถูกต้องมากขึ้นและผลักดันให้โครงการขยายตัวครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อให้ชาวประมงได้ใช้น้ำมันในโครงการอย่างทั่วถึง
6. ฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าโครงการจำหน่ายน้ำมันสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง ได้ก่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจส่วนรวมของประเทศและผู้ประกอบการค้าน้ำมันใน ประเทศ รวมทั้งชาวประมงอย่างมาก แม้จะมีข้อเสียในการปฏิบัติ แต่สามารถจะดำเนินการแก้ไขในระยะต่อไปได้ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นว่ารัฐบาลควรสนับสนุนให้โครงการนี้มีการดำเนินการต่อไป จึงเสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการต่ออายุโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงใน เขตต่อเนื่องอย่างถาวร โดยมีเงื่อนไขจะต้องมีการประเมินผลโครงการอย่างน้อยปีละครั้ง หากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเห็นว่าผลการประเมินไม่เหมาะสมที่จะ ดำเนินโครงการต่อ ควรให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อมีมติให้ยุติโครงการต่อไป
2.มอบหมายให้กรมสรรพากรเร่งดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกา เพื่อขอยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ ในลักษณะต่อเนื่องอย่างถาวร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไป
3.มอบหมายให้คณะกรรมการกำกับดูแลโครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลสำหรับชาวประมง ในเขตต่อเนื่องของราชอาณาจักร ประสานงานติดตามเร่งรัดให้สมาคมการประมงแห่งประเทศไทยผลักดันให้โครงการฯ มีการขยายตัวครอบคลุมทุกพื้นที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ำมันของชาว ประมงได้อย่างทั่วถึง ภายในปี 2545
เรื่องที่ 8 การส่งเสริมและสนับสนุนการนำเอทานอลมาใช้เป็นเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากพืชเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรรมรับไปแต่งตั้งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการตามมติดังกล่าวแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฯ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิ
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ได้จัดทำข้อเสนอเกี่ยวกับการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อ เพลิงเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยข้อเสนอดังกล่าวแยกเป็นประเด็น แต่ยังขาดกรอบนโยบายที่ชัดเจน ดังนั้นคณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 ให้ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) รับผิดชอบร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง พิจารณากำหนดกรอบนโยบายที่ชัดเจนและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ จึงได้รวบรวมประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเสนอความคืบหน้าของการดำเนินการและ สิ่งที่จะต้องพิจารณาดำเนินการต่อไป เสนอ กพช. พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
3. มาตรการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง สรุปได้ดังนี้
3.1 การจัดทำแผนการผลิตอ้อยและมันสำปะหลัง ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมาย ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
3.2 มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินการออกกฎกระทรวงและประกาศกระทรวงรวม 3 ฉบับ ประกอบด้วย กฎกระทรวงว่าด้วยการงดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุรากลั่นชนิดสุราสามทับ ที่นำไปผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง พ.ศ. 2544 และกฎกระทรวงฉบับที่ 119 (พ.ศ. 2544) ออกตามความในพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 (ให้สุรากลั่นชนิดสุราสามทับ ที่นำไปใช้ในการแพทย์ เภสัชกรรม และวิทยาศาสตร์ ต้องเสียภาษีสุรา) และประกาศกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 64 (ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ที่มีเอทานอลผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10) และได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นมา มีผลให้เอทานอลที่นำมาผสมเพื่อใช้เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงได้รับการยกเว้นภาษี สรรพสามิตและน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่มีเอทานอลผสมอยู่ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 10 มีอัตราภาษีสรรพสามิต 3.3165 บาท/ลิตร ตั้งแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นมา ทั้งนี้ คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ได้เสนอให้ยกเว้นภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเอทานอลมาใช้เป็นเชื้อเพลิงตลอดไป แต่ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าควรให้เป็นดุลยพินิจของกระทรวงการคลัง
3.3 มาตรการกองทุนเพื่อสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดย สพช. เสนอให้ยกเว้นกองทุนในส่วนของเอทานอลร้อยละ 10 และลดอัตรากองทุนน้ำมันฯ เหลือ 0.30 บาท/ลิตร ในส่วนของน้ำมันเบนซิน ร้อยละ 90 สำหรับการกำหนดให้จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ในราคาของน้ำมันเบนซิน 91 จะทำให้ค่าการตลาดต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน 91 เล็กน้อย เนื่องจากปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซินอยู่ในระดับต่ำกว่าราคา เอทานอล ที่ 11 บาท/ลิตร ส่วนผลกระทบเบื้องต้น หากเอทานอลแทนที่ MTBE ร้อยละ 10-30% จะกระทบ กองทุนน้ำมันฯ 6-19 ล้านบาท/เดือน และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน 0.1-0.3 ล้านบาท/เดือน
3.4 การกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์ คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอว่าเพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้โดย เร็ว เห็นควรกำหนดคุณภาพน้ำมันแก๊สโซฮอล์โดยผ่อนผันคุณภาพน้ำมันได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับที่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์สามารถยอมรับได้ คือ กำหนดอุณหภูมิการกลั่นที่ปริมาณการระเหย ร้อยละ 50 เป็น 65-110 องศาเซลเซียส และค่าความดันไอเป็นไม่สูงกว่า 65 กิโลปาสคาล โดยในระหว่างนี้จะต้องทำการติดตามผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เครื่องยนต์ และการผลิตอย่างใกล้ชิด คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ จึงได้มีมติให้จัดตั้งคณะทำงานติดตามผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
3.5 นโยบายการตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอให้ การขอตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิงต้องได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติก่อนในทุกกรณี ในขณะที่ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันทน์) ได้ สั่งการให้ สพช. รับเรื่องดังกล่าวพร้อมกับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดกรอบนโยบายให้มีทิศทางเดียวกันและมีความเหมาะสมในการดำเนินการตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 31 กรกฎาคม 2544 แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้มีการดำเนินการในเรื่องนี้ ไปก่อน โดยได้ออกประกาศหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานเพื่อผลิต เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงได้มีผู้สนใจยื่นความประสงค์ที่จะลงทุนตั้งโรงงานผลิต เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้ว จำนวน 18 ราย และได้มีการพิจารณาข้อเสนอของผู้ที่ยื่นเอกสารหลักฐานครบถ้วนแล้ว จำนวน 3 ราย คือ บริษัท พรวิไล อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป เทรดดิ้ง บริษัท ที. เอส. บี. เทรดดิ้ง จำกัด และ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนลแก๊สโซฮอล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
3.6 การยกเลิกการใช้ MTBE ซึ่งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอให้กำหนดเป็นนโยบาย ที่ชัดเจน รวมทั้งผลักดันให้มีการผสมเอทานอลในน้ำมันเบนซินทั้ง ออกเทน 95 และ 91 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ มีความเห็นว่าควรมีการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ชัดเจนเพียงพอในการที่จะกำหนด นโยบายของรัฐ และหากมีความชัดเจนที่รัฐจะต้องกำหนดนโยบายในการยกเลิกการใช้ MTBE ก็ไม่ควรที่จะบังคับให้โรงกลั่นน้ำมันใช้ เอทานอลเป็นสารเพิ่มออกซิเจนแทน MTBE เพียงอย่างเดียว แต่ควรจะเปิดกว้างให้เป็นทางเลือกของโรงกลั่นเพื่อไม่ให้ผู้บริโภคต้องซื้อ น้ำมันในราคาแพง สำหรับการเติมสารเอทานอลในน้ำมันควรที่จะต้องดูความเหมาะสมให้สอดคล้องกับ ลักษณะการบริโภคน้ำมันของประเทศด้วย หากทำให้ปริมาณน้ำมันที่กลั่นได้มีสัดส่วนไม่ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ ผู้ผลิตต้องส่งออก ในขณะที่การนำเข้าวัตถุดิบจะมีปริมาณสูงขึ้น เพื่อให้ได้น้ำมันสำเร็จรูปที่เพียงพอกับการบริโภคในประเทศ การสูญเสียเงินตราต่างประเทศจากการนำเข้าวัตถุดิบ อาจจะมากกว่าการประหยัดจากการนำเข้าสารเพิ่มออกเทนได้
3.7 การกำหนดกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทานอล เป็นเหมือนการรับประกันราคาพืชเกษตรเพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการโรงงานมี รายได้ที่แน่นอน ไม่ใช่การรักษาระดับราคาน้ำมัน ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้มีการสนับสนุนในระยะแรก เพื่อให้โรงงานสามารถดำเนินการได้ โดยราคาเอทานอลต้องเหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกร และเกิดภาระแก่ผู้บริโภค ตลอดจนทำให้ผู้ประกอบการมีการปรับปรุง ประสิทธิภาพในการผลิต สำหรับในระยะยาวกองทุนเอทานอลควรจะลดบทบาทการช่วยเหลือและยุติการช่วยเหลือ ในที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐและเพื่อให้อยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันเสรี ทั้งนี้ต้องให้พืชชนิดต่างๆ มีการแข่งขันกันเองได้ด้วย
3.8 การขอรับเงินสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นชอบให้มีการสนับสนุน แต่จะต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชน ของการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ โดยควรใช้มาตรการประชาสัมพันธ์ เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจาก กพช. ไม่มีแหล่งเงินทุนสนับสนุน จึงเห็นควรไปยื่นขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงาน
3.9 องค์กรในการดูแลการนำพืชมาผสมในน้ำมันเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ฝ่ายเลขานุการฯ มี ความเห็นว่าปัจจุบันการนำน้ำมันจากพืชมาใช้เพื่อผสมเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงมี การศึกษาในหลายหน่วยงาน รวมทั้งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติที่รับผิดชอบในเรื่องแก๊สโซฮอล์ หากมีการปรับเปลี่ยนองค์กรในการดูแลใหม่ อาจทำให้การศึกษาวิจัยชะงักงันในระหว่างรอการจัดตั้งองค์กรใหม่ และการเสียเวลาที่จะรวบรวมการดำเนินงานมาไว้ยังองค์กรใหม่ จึงควรที่จะดำเนินการตามเดิม แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การศึกษาวิจัยและการกำหนดแผนปฏิบัติงานต่างๆ อยู่ในกรอบนโยบายของรัฐ การเสนอนโยบายและมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการนำพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิง จึงควรนำเสนอผ่าน กพช. ซึ่งมีรัฐมนตรีจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการอยู่เพื่อพิจารณาในชั้น ต้นก่อนการเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมถอนข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติไป หมดทั้งเรื่อง เพื่อให้คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ รับไปศึกษาพิจารณาเพิ่มเติมให้ละเอียดชัดเจนในภาพรวมของผลดี ผลเสียต่อประเทศ ต้นทุนการผลิตและมาตรการต่างๆ ที่ต้องการให้รัฐบาลสนับสนุน รวมทั้งรายละเอียดอื่น ให้เพียงพอที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติจะสามารถพิจารณากำหนดนโยบาย ได้อย่างเหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบที่เสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศ และนำกลับมาเสนอใหม่โดยเร็ว
เรื่องที่ 9 สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกับการไฟฟ้ามาเลเซีย
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้ามาเลเซีย (Tenaka Nasional Berhad: TNB) ได้เริ่มมีการแลกเปลี่ยนและซื้อขายไฟฟ้าตั้งแต่ปี 2524 จนถึงปัจจุบัน โดยเริ่มเชื่อมโยงด้วยระบบส่ง 132 เควี วงจรเดี่ยว ระหว่างสถานีแรงสูงสะเดาฝั่งไทยและสถานีไฟฟ้าแรงสูงบูกิตเกติฝั่งมาเลเซีย โดยมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายในระยะแรกระหว่างปี 2524-2532 จำนวน 30-50 เมกะวัตต์ และเพิ่มเป็น 71.5 เมกะวัตต์ ในปี 2544
2. เนื่องจากระบบส่งเชื่อมโยง 132 เควี เป็นวงจรขนาดเล็กทำให้เกิดปัญหาเรื่องเสถียรภาพของระบบ ดังนั้นเพื่อเป็นการเพิ่มเสถียรภาพของระบบและเพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยน พลังงานไฟฟ้าระหว่าง 2 ประเทศ กฟผ. และ TNB ได้ลงทุนก่อสร้างระบบส่งเชื่อมโยงไฟฟ้าแรงสูงกระแสตรงไทย-มาเลเซีย (High Voltage Direct Current System Interconnection: HVDC System Interconnection) ขนาด 300 เควี เชื่อมโยงระหว่างสถานีไฟฟ้าแรงสูงคลองแงะในฝั่งไทยกับสถานีไฟฟ้าแรงสูงกูรุน ในฝั่งมาเลเซีย โดยได้ก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมดำเนินงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป
3. กฟผ. และ TNB ได้ร่วมกันจัดทำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (HVDC System Interconnection Agreement: SIA 2001) จนแล้วเสร็จและได้ร่วมลงนามในชื่อย่อ (Initial) แล้วเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2544 โดยได้ยึดถือเงื่อนไขและความรับผิดชอบของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าผ่านระบบส่ง เชื่อมโยงไฟฟ้าแรงสูงกระแสสลับไทย-มาเลเซีย (High Voltage Alternating Current System Interconnection Agreement : SIA 2000) ที่ ใช้งานอยู่ในปัจจุบันเป็นหลักในการยกร่าง โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมในบางประเด็นให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
4. สัญญา HVDC System Interconnection Agreement : SIA 2001 มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1) สัญญามีอายุ 25 ปี นับจากวันลงนามและให้มีการทบทวนหลังจากวันลงนาม 1 ปี และทุกๆ 5 ปี
2) จุดส่งมอบที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย หมุดเขตแดนที่ C/TS 21/16 เป็นจุดแบ่งเขตแดน และ ให้อ่านปริมาณซื้อขายไฟฟ้าจากมิเตอร์ผู้ขาย โดยอัตราค่าไฟฟ้ารวมความสูญเสียในระบบส่งด้วย
3) กฟผ. และ TNB จะต้องสลับการจ่ายไฟฟ้าฝ่ายละ 1 สัปดาห์ เพื่อเชื่อมโยงระบบตลอดเวลาในปริมาณจำนวน 30 เมกะวัตต์ ยกเว้นมีการสั่งซื้อหรือขายไฟฟ้า โดยมีปริมาณสูงสุดไม่เกิน 300 เมกะวัตต์
4) กำหนดให้แต่ละฝ่ายต้องแจ้งปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เสนอขายในแต่ละช่วงเวลาทราบ ล่วงหน้า 1 วัน ก่อนเวลา 10.00 น. (เวลาไทย) /11.00น. (เวลามาเลเซีย) และต้องแจ้งยืนยันปริมาณการสั่งซื้อก่อนเวลา 14.00 น. (เวลาไทย) / 15.00 น. (เวลามาเลเซีย)
5) อัตราค่าไฟฟ้าที่แต่ละรายจะเสนอขาย (Price Quotation) ในแต่ละเดือนมีได้ไม่เกิน 3 ราคา คือ Price A,B และ C โดยขึ้นกับปริมาณความพร้อมจ่ายของแต่ละช่วงเวลา Price A จะเป็นราคาต่ำสุด และต้องแจ้งให้อีกฝ่ายทราบล่วงหน้า 7 วันทำการ ก่อนเริ่มซื้อขายในเดือนถัดไป
6) ระบบส่งไฟฟ้าเชื่อมโยงขนาด 300 เควี มีความยาวรวม 110 กม. (ฝั่งไทยยาว 25 กม. ฝั่ง มาเลเซียยาว 85 กม.) เชื่อมโยงระหว่างสถานีคลองแงะฝั่งไทยและสถานีไฟฟ้าคูรุนในมาเลเซีย
7) ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้ง Joint Operation Committee เพื่อประสานงานให้การจ่ายพลังงานไฟฟ้าเป็นไปตามสัญญา
8) ในกรณีที่ระบบ HVDC ขัดข้องไม่สามารถส่งจ่ายไฟฟ้าได้ ทั้งสองฝ่ายสามารถซื้อขายไฟฟ้าผ่านระบบ AC ได้
9) หากมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องนำเสนอข้อโต้แย้งดังกล่าวให้ผู้แทนที่แต่ละฝ่าย แต่งตั้งขึ้นพิจารณาหาข้อยุติภายใน 2 เดือน ในกรณีที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้นำเสนอผู้ว่าการ กฟผ. และประธาน TNB เพื่อหาข้อยุติ หากภายใน 2 เดือน และถ้ายังไม่สามารถหาข้อยุติได้ให้นำข้อโต้แย้งดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการ อนุญาโตตุลาการเพื่อตัดสิน
10) หากมีการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าในไทยหรือมาเลเซีย ให้คู่สัญญาตกลงเจรจาแก้ไขสัญญาเพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (HVDC System Interconnection Agreement: SIA 2001) ระหว่างการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้ามาเลเซีย (TNB) โดยให้ กฟผ. นำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าดังกล่าว เสนอให้สำนักอัยการสูงสุดตรวจร่างสัญญาก่อน ในกรณีที่สัญญาดังกล่าวมีสาระที่ แตกต่างจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่สำนักอัยการสูงสุดเคยตรวจร่างแล้ว
2.มอบหมายให้ กฟผ. นำร่างสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามข้อ 1 ไปลงนามกับการไฟฟ้ามาเลเซีย (TNB) ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญของสัญญาก็เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินการ ดังกล่าวได้ โดยไม่ต้องนำร่างสัญญาฯที่เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขมาเสนอขอความเห็นชอบจากคณะ กรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติใหม่อีกครั้ง
กพช. ครั้งที่ 86 - วันพุธที่ 26 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 86)
วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2544 เวลา 10.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.ความคืบหน้าในการจัดหาและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
4.แผนการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
5.การกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมให้ที่ประชุมทราบว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2544 เพื่อพิจารณามติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 85) เรื่องแนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินในประเทศ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเปลี่ยนแปลงไปจากมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ดังนี้ คือ
1.ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในการพัฒนาแหล่งถ่านหินเวียงแหง หากรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมได้รับการอนุมัติแล้ว จึงให้ กฟผ. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อกันแหล่งเวียงแหงให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าโดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล
2.เห็นชอบให้มีการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อกันแหล่งถ่านหินสะบ้าย้อยให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าโดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล แต่ให้ กฟผ. คืนแหล่งงาว และแหล่งสินปุน ให้แก่กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อนำไปเปิดประมูล ต่อไป
3.เห็นชอบให้กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งกำหนดหลักเกณฑ์ให้เอกชนเข้ามาเปิดประมูลการขออาญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ใน พื้นที่ที่สำรวจพบถ่านหินเบื้องต้นตามมาตรา 6 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ยกเว้นแหล่งเวียงแหงที่ให้รอผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ หลังจากการก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกาได้ปรับตัวลดลง 6-8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากตลาดน้ำมันเห็นว่าสถานการณ์อาจขยายตัว และจะส่งผลกระทบทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยทั่วโลก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกลดลง และกลุ่มโอเปคได้ประกาศว่าการลดปริมาณการผลิตในปีนี้เพียงพอแล้ว เนื่องจากได้ลดปริมาณการผลิตลงแล้ว 3.5 ล้านบาร์เรล/วัน และ ณ วันที่ 25 กันยายน 2544 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์อยู่ที่ระดับ 21.3 และ 22.1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
2. สำหรับราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ น้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับตัวลดลง 9 และ 6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ น้ำมันเบนซินปรับตัวลดลงมากเนื่องจากไม่มีแรงซื้อ และความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเซียยังไม่เพิ่มสูงขึ้นมาก ปริมาณสำรองอยู่ในระดับสูงทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปลดลงมากกว่าราคาน้ำมัน ดิบ ณ วันที่ 25 กันยายน 2544 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 และออกเทน 91 ก๊าด ดีเซล และน้ำมันเตา อยู่ที่ระดับ 23.6, 22.5, 26.8, 26.2, และ 21.8 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ
3. ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยหลังจากวิกฤตการณ์ในสหรัฐอเมริกา น้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงสุทธิ 30 สตางค์/ลิตร และน้ำมันดีเซลได้ลดลงมาเท่ากับก่อนวิกฤตการณ์ โดยที่ราคาน้ำมันเบนซิน ออกเทน 95, ออกเทน 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 25 กันยายน 2544 อยู่ที่ระดับ 15.99, 14.99 และ 13.94 บาท/ลิตร ตามลำดับ และค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์อยู่ที่ 1.5 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นอยู่ที่ 1.4 บาท/ลิตร (4.9 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล)
4. ในการเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองภายในประเทศเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภาวะวิกฤต คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้มีมติให้กรมทะเบียนการค้าปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันที่ผลิตในประเทศเพิ่ม ขึ้นจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 5 และเพิ่มอัตราสำรองของน้ำมันนำเข้าจากร้อยละ 6 เป็นร้อยละ 10 โดยมี ผลบังคับใช้ภายใน 90 วัน และได้มอบหมายให้ สพช. และกรมทะเบียนการค้า เป็นผู้กำกับดูแลและบริหารการส่งออก แต่เพื่อให้การเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองมีผลเร็วขึ้น นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 5/2544 ให้มีการเก็บรักษาน้ำมันสำหรับป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงอัตรา ร้อยละ 2 สำหรับน้ำมันผลิตในประเทศ และร้อยละ 4 สำหรับน้ำมันนำเข้าโดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2544 เป็นต้นไป และกรมทะเบียนการค้าได้ออกประกาศปรับเพิ่มอัตราสำรองน้ำมันตามกฎหมายแล้ว โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ประมาณปลายเดือนธันวาคม 2544
5. สพช. และกรมทะเบียนการค้าได้รายงานสถานการณ์ การจัดหา การผลิตและการส่งออกน้ำมันอยู่ในภาวะปกติ โดยที่ปริมาณน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปคงเหลือ ณ วันที่ 20 กันยายน 2544 อยู่ที่ระดับ 4,333 ล้านลิตรหรือ 41 วันของการใช้ และในเดือนกันยายน 2544 ปริมาณการส่งออกน้ำมันอยู่ในระดับปกติ โดยมีปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซหุงต้ม (LPG) ประมาณ 123 ล้านลิตร, 191 ล้านลิตร และ 44 ล้านกิโลกรัม ตามลำดับ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 32) เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดในส่วนที่สามารถดำเนินการได้และในส่วนที่เป็น ปัญหาอุปสรรค และรายงานให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานทราบภายใน 1 เดือน
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ดังนี้
2.1 ราคาก๊าซธรรมชาติ
2.1.1 ปตท. อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางในการปรับปรุงสูตรปรับราคาก๊าซฯ และได้ดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตก๊าซฯ ในอ่าวทุกราย เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อค่า Ft ซึ่งปตท. จะรายงานความคืบหน้าในการเจรจาให้ทราบต่อไป
2.1.2 ปตท. ดำเนินการตรึงราคาก๊าซฯ สำหรับคำนวณค่าดำเนินการในช่วงเดือนมิถุนายน - กันยายน 2544 ไว้ที่ราคา 122.15 บาท/ล้านบีทียู ส่งผลให้สามารถลดค่าดำเนินการได้ประมาณ 73 ล้านบาท >และ ปตท. จะกำหนดราคาก๊าซฯ สูงสุดสำหรับการคำนวณค่าดำเนินการไว้ที่ 123 บาท/ล้านบีทียู อย่างไรก็ตาม ปตท. ไม่สามารถปรับลดค่าดำเนินการสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กได้ เนื่องจาก ปตท. ต้องรับความเสี่ยงจากการขายก๊าซฯ ให้แก่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) สูงกว่าผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) รวมทั้ง ปตท. ต้องรับภาระดอกเบี้ย Take or Pay ของ SPP ทั้งหมดด้วย
2.1.3 ปตท. ไม่สามารถลดอัตราค่าผ่านท่อที่เรียกเก็บในปัจจุบันได้ และจากการหารือระหว่าง สพช. กับ ปตท. เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2544 ได้ข้อสรุปว่า อัตราผลตอบแทนการลงทุน (ROE) ของ การลงทุนใหม่ในระบบท่อควรอยู่ในระดับร้อยละ 16 สำหรับ ROE ของการลงทุนเดิมในระบบท่อให้คงอยู่ในระดับที่เท่ากับในปัจจุบันคือร้อยละ 18
2.1.4 ปตท. ได้แจ้งความคืบหน้าในการเจรจากับกลุ่มผู้ขายก๊าซฯ แหล่งยาดานา และ เยตากุน เพื่อบรรเทาปัญหา Take or Pay ดังนี้
(1) แหล่งยาดานา ผู้ขายก๊าซฯ จะเตรียมความสามารถส่งก๊าซฯ ให้ได้สูงถึง 650 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยไม่มีการลงทุนเพิ่มเติม และให้ ปตท. สามารถเรียกรับก๊าซฯ ที่ได้จ่ายค่า Take or Pay ไปแล้ว (Make up) เป็นรายเดือน นอกจากนี้ ผู้ขายก๊าซฯ ได้ตกลงในหลักการชดเชยเงินบางส่วน (Rebate) จากปริมาณก๊าซฯ ที่ ปตท. จะเรียกรับ Make up ในช่วง 4 ปีข้างหน้า
(2) แหล่งเยตากุน ผู้ขายก๊าซฯ จะชะลอการผลิตก๊าซฯ ที่ 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในเดือนเมษายน 2547 ออกไป โดยจะทยอยการเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซฯ แทน พร้อมทั้ง เสนอที่จะลดราคาก๊าซฯ ส่วนที่เกินกว่า 300 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน นอกจากนี้ ได้ตกลงที่จะพิจารณาหลักการ Make up รายเดือน เช่นเดียวกับสัญญาซื้อขายก๊าซฯ แหล่งยาดานา สำหรับมาตรการในระยะสั้น ผู้ขายก๊าซฯ ได้เสนอส่วนลดราคาก๊าซฯ ร้อยละ 2.5 - 12.5 สำหรับปริมาณที่รับเกินกว่า 160 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงเดือนกันยายน 2544 - กุมภาพันธ์ 2545
2.2 การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
2.2.1 กฟผ. ได้หารือกับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแล้ว ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแจ้งว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการกำหนดค่าความพร้อมจ่าย พลังไฟฟ้า (AP) จากแบบ Front-End เป็นแบบเกลี่ยราคา (Levelized Price) ได้ เนื่องจากจะกระทบต่อความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ และเป็นการผิดเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ ซึ่งผู้ให้กู้อาจบอกเลิกสัญญาและยึดทรัพย์สินของทางบริษัทฯ ได้ และจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และการลงทุนอีกด้วย
2.2.2 ในประเด็นการทบทวนความเหมาะสมของการส่งผ่านผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในโครง สร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน IPP และ SPP นั้น ขณะนี้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนยังไม่ได้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระหนี้สกุล เงินเหรียญสหรัฐแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนบางรายยินดีให้ความร่วมมือในการพิจารณาหาแนวทางในการลดผล กระทบอัตราแลกเปลี่ยนในสูตรราคารับซื้อไฟฟ้า ทั้งนี้ ขอให้ กฟผ. กำหนดโครงสร้างราคาในการเจรจาที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรับไปพิจารณาในรายละเอียดเป็นรายๆ ไป
2.2.3 กฟผ. ได้ชี้แจงว่า อัตราผลตอบแทนการลงทุนของบริษัทผลิตไฟฟ้าในเครือของ กฟผ. ในอัตราร้อยละ 19-20 นั้น เป็นอัตราผลตอบแทน ณ ราคา Par ที่เหมาะสมแล้ว เพราะเมื่อมีการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ กฟผ. ก็ขายหุ้นได้ในราคาที่สูงกว่าราคา Par ซึ่งส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Premium) ก็ทำให้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าดีขึ้น และมีผลต่อการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าด้วย การทบทวนอัตราผลตอบแทนการลงทุน อาจส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นในปัจจุบัน และความมั่นใจของผู้ลงทุนอย่างรุนแรง ตลอดจนผลกระทบต่อนโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในอนาคตได้
2.3 ประสิทธิภาพของการไฟฟ้า
2.3.1 กำหนดมาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) โดยคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ครั้งต่อไปในเดือนตุลาคม 2544 การกำหนดมาตรฐาน Heat Rate แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ในระยะสั้น กำหนด จากสถิติอัตราการใช้ความร้อนเฉลี่ยตามลักษณะของโรงไฟฟ้า (Heat Rate Curve) ตามกลุ่มเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ที่มีขนาดโรงไฟฟ้า ประเภทโรงไฟฟ้า และการใช้เชื้อเพลิงที่ใกล้เคียงกัน และในระยะยาว กำหนดมาตรฐาน Heat Rate เป็นรายโรงไฟฟ้า ในลักษณะเดียวกันกับที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ผลิต ไฟฟ้าเอกชน ซึ่ง กฟผ. อยู่ระหว่างดำเนินการ
2.3.2 กำหนดมาตรฐานค่าความสูญเสีย (Loss Rate) ที่ กฟผ. ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ควบคุมมลภาวะ และการบริหารงาน เท่ากับร้อยละ 4.92 และค่าความสูญเสียในระบบของ กฟผ. กฟน. และ กฟภ. เท่ากับร้อยละ 2.49 4.1 และ 5.66 ตามลำดับ ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ครั้งต่อไปในเดือนตุลาคม 2544
2.3.3 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ปรับลดการลงทุน ในปี 2544 - 2546 จากแผนเดิมประมาณร้อยละ 30 หรือประมาณ 55,594 ล้านบาท ทำให้ฐานะการเงินของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ในปี 2545 - 2546 ดีกว่าที่ประมาณการไว้เดิม หากนำเงินลงทุนที่ลดลงในปี 2545 - 2546 ดังกล่าว ส่งคืนผู้ใช้ไฟฟ้าผ่านราคาค่าไฟฟ้า จะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ 10,000 ล้านบาท/ปี หรือประมาณ 10 สตางค์/หน่วย แต่เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของการไฟฟ้าแล้ว โดยให้ภาคไฟฟ้ามีฐานะการเงินตามเกณฑ์ที่กำหนด จะสามารถลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 7 สตางค์/หน่วย นอกจากนี้ หากการไฟฟ้าสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพ และปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จะทำให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีฐานะการเงินดีขึ้นอีก
2.4 อัตราเงินนำส่งรัฐ เงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้า และโบนัสของการไฟฟ้า
2.4.1 กระทรวงการคลังเห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ว่าไม่ควรเรียกเก็บเงินนำส่งรัฐเพิ่มเติมจากที่กำหนดไว้เดิม กล่าวคือ เงินนำส่งรัฐในปี 2544 เท่ากับร้อยละ 40 และในปี 2545 - 2546 เท่ากับร้อยละ 35
2.4.2 กระทรวงการคลังเห็นว่า การนำเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าปรับเข้าไปอยู่ในฐานเงินเดือน จะไม่ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าลดลง เนื่องจากจะทำให้ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เป็นส่วนควบของเงินเดือนสูงขึ้นตามไปด้วย และเนื่องจากเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือยกเลิกสวัสดิการดังกล่าว ต้องได้รับความยินยอมจากพนักงานด้วย ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของกระทรวงการคลังที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสวัสดิการซึ่ง ถือเป็นสภาพการจ้างได้
2.4.3 การจ่ายเงินโบนัสของ กฟน. เป็นอัตราคงที่ 2 เท่าของเงินเดือนถือเป็นสภาพการจ้าง การแก้ไขเปลี่ยนแปลงต้องได้รับความยินยอมจากพนักงาน หากพนักงาน กฟน. ยินยอมเปลี่ยนแปลงอัตราการจ่ายโบนัสให้เป็นไปตามอัตราโบนัสตามการประเมินผล การดำเนินงานเช่นเดียวกับ กฟผ. และ กฟภ. กระทรวงการคลังไม่ขัดข้องที่จะใช้หลักเกณฑ์การคำนวณโบนัสเช่นเดียวกันทั้ง 3 การไฟฟ้า
2.5 แนวทางในการกำหนดค่า Ft
2.5.1 สำนักบริหารหนี้สาธารณะ มีความเห็นว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่ดุลการชำระเงินระหว่างประเทศมีแนวโน้มที่จะขาด ดุลอย่างต่อเนื่อง เสถียรภาพของค่าเงินบาทยังไม่ดีพอ การให้อิสระในการบริหารหนี้และบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของรัฐ วิสาหกิจยังคงมีข้อจำกัดในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนี้รัฐวิสาหกิจสามารถบริหารหนี้โดยการปรับโครงสร้างภาระหนี้ต่าง ประเทศ (Refinance) ในสกุลเดิมหรือสกุลเงินต่างประเทศอื่นๆ เพื่อลดต้นทุนของหนี้เงินกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงได้ ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย มีความเห็นเบื้องต้นเช่นเดียวกับสำนักบริหารหนี้สาธารณะ และอยู่ระหว่างการพิจารณาประเด็นความเห็นอื่นนอกเหนือจากความเห็นเบื้องต้น ดังกล่าว
2.5.2 สพช. ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนสูตร Ft ให้ง่ายขึ้นโดยใช้สมการถดถอยเชิงเส้น (Regression) เพื่อหาความสัมพันธ์ของค่า Ft กับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่า Ft พบว่า ค่า Ft ไม่สามารถพยากรณ์ได้ด้วยสมการถดถอยอย่างง่าย สรุปการคำนวณค่า Ft ตามสูตรการปรับในปัจจุบันมีความเหมาะสมและชัดเจนกว่าซึ่งสามารถสะท้อนถึงการ เปลี่ยนแปลงของค่าเชื้อเพลิงและอัตราแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น จริงได้มากกว่า
2.5.3 การเพิ่มผู้แทนผู้บริโภครายย่อยในคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่า ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ มีข้อเสนอแนวทางการคัดเลือก 2 ทางเลือก คือ (1) สุ่มจากรายชื่อผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยทั่วประเทศ (2) ประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาเพื่อดำเนินการคัดเลือกผู้บริโภครายย่อย จากผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยประเภท 1.1 และ 1.2 ที่สมัครเข้ามาทั่วประเทศ โดยผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจ ในองค์ประกอบของสูตร Ft และโครงสร้างค่าไฟฟ้า และสามารถเข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติได้
2.5.4 กฟผ. และ สพช. ได้จัดทำรายละเอียดวิธีการคำนวณค่า Ft รวมทั้งข้อมูลการกำหนดค่าไฟฟ้าฐาน และการปรับค่า Ft ในแต่ละครั้ง แสดงไว้ใน website ของทั้ง 2 หน่วยงาน และ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้จัดทำแผนและดำเนินการประชาสัมพันธ์เรื่องอัตราค่าไฟฟ้าและค่า Ft โดยใช้สื่อที่แต่ละหน่วยงานมีอยู่ นอกจากนี้ กฟผ. ได้จัดทำสปอตโทรทัศน์ และสปอตวิทยุ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับค่า Ft โดย สพช. จะเริ่มนำสปอตดังกล่าวออกอากาศได้ในวันที่ 24 กันยายน 2544
2.6 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐาน
2.6.1 กฟผ. มีความเห็นว่า อัตราค่าไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้ (Interruptible Rate) ในปัจจุบันมีความเหมาะสมกับสภาพกำลังการผลิตในปัจจุบัน ไม่ควรลดอัตราค่าพลังไฟฟ้าลงอีก หากมีการลดค่าพลังไฟฟ้าลงอีก ค่าไฟฟ้าที่ลดลงจะถูกส่งผ่านไปให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ รับภาระแทน
2.6.2 กฟน. ได้จัดเตรียมมิเตอร์ TOU ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยใน 2 ทางเลือก ได้แก่ การติดตั้งเครื่องวัดฯ TOU ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 17,000 บาท/เครื่อง และ การอ่านข้อมูลจากเครื่องวัดโดยอัตโนมัติ (AMR) ซึ่งเป็นการดัดแปลงเครื่องวัดฯ เดิมให้เป็น TOU ระบบนี้มีค่าใช้จ่ายแรกเข้า 800 บาท และค่าใช้จ่ายรายเดือนไม่เกิน 120 บาท/เดือน โดยผู้ใช้ไฟฟ้าจะสามารถเลือกใช้ได้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2545 เป็นต้นไป
สำหรับ กฟภ. ได้จัดเตรียมมิเตอร์สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยแรงดันกลาง (22-33 เควี) ซึ่งพร้อมติดตั้งแล้วในขณะนี้ โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 18,000 บาท สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย แรงดันต่ำ (ต่ำกว่า 22 เควี) อยู่ระหว่างการจัดซื้อ มิเตอร์ TOU ชนิด 1 สาย โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 17,000 บาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จประมาณเดือนมกราคม 2545 เป็นต้นไป
3. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุมครั้งที่ 6/2544 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 ได้พิจารณาเรื่องความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษา โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) แล้ว มีมติ ดังนี้
3.1 เห็นควรให้ ปตท. เร่งรัดการเจรจาสัญญาซื้อขายก๊าซฯ ให้ผู้ขายก๊าซร่วมรับภาระอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น และพิจารณาแนวทางให้ราคาก๊าซธรรมชาติมีเสถียรภาพมากขึ้น
3.2 เห็นชอบการกำหนดอัตราค่าดำเนินการสูงสุดในการจัดหาก๊าซฯ (โดยคำนวณบนราคาเนื้อก๊าซ 123 บาท/ล้านบีทียู) สำหรับ กฟผ. และ IPP เท่ากับ 2.1525 บาท/ล้านบีทียู และ SPP เท่ากับ 11.4759 บาท/ล้านบีทียู
3.3 เห็นชอบการกำหนดอัตราผลตอบแทนการลงทุน (ROE) กิจการท่อก๊าซสำหรับโครงการใหม่เท่ากับร้อยละ 16 (ภายใต้สมมติฐานต้นทุนทางการเงินของ ปตท. เท่ากับ 10.5%)
3.4 เห็นชอบให้ กฟผ. รับไปดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP และ SPP) เพื่อลดการส่งผ่านผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อไป
3.5 เห็นชอบการกำหนดมาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) และการกำหนดมาตรฐานค่าความสูญเสีย (Loss Rate) รายละเอียดตามข้อ 2.3.1 และ 2.3.2
3.6 เห็นชอบให้ปรับลดค่าไฟฟ้าจากการปรับลดแผนการลงทุนจำนวน 7 สตางค์/หน่วย ตั้งแต่การปรับค่า Ft ในรอบต่อไป โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ รับไปดำเนินการ
3.7 เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินนำส่งรัฐ เงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้า และโบนัสของการไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3.8 เห็นชอบให้มีการคำนวณค่า Ft ตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ดังเช่นในปัจจุบัน
3.9 เห็นชอบวิธีการสรรหาผู้แทนผู้บริโภครายย่อยในคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับ อัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ โดยให้ประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหา เพื่อกำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ และวิธีปฏิบัติ รวมทั้งดำเนินการสรรหา
3.10 รับทราบการดำเนินการประชาสัมพันธ์และการเปิดเผยข้อมูลในการพิจารณาปรับค่า Ft รายละเอียดตามข้อ 2.5.4
3.11 เห็นชอบให้คงอัตราค่าไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้เช่นในปัจจุบัน และรับทราบการดำเนินการจัดหามิเตอร์ของ กฟน. และ กฟภ. รายละเอียดตามข้อ 2.6.2 ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาแนวทางในการจัดหามิเตอร์ใน ประเทศที่มีราคาถูกกว่าระบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน
3.12 มอบหมายให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการพิจารณาให้ การไฟฟ้ามีอิสระในการบริหารหนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในกรณีที่เป็นการดำเนินการจากสภาพคล่องของการไฟฟ้า
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ความคืบหน้าในการจัดหาและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2543 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากพืชเป็นเชื้อเพลิง ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงอุตสาหกรรรมรับไปแต่งตั้งคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ต่อมาคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2544 และครั้งที่ 3/2544 เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2544 ได้มีการพิจารณากำหนดระยะเวลาในการยกเว้นภาษีสรรพสามิตและกองทุนฯ นโยบายการจัดตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง รวมทั้งแผนปฏิบัติการตามโครงการเอทานอลจากพืชเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแล้วได้ มีหนังสือถึง สพช. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2544 โดย คณะกรรมการฯ ได้มีมติให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณา ดังนี้
1.1 เห็นควรให้มีการยกเว้นการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงาน (0.05 บาทต่อลิตร) และภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในเนื้อน้ำมันตลอดไป
1.2 เห็นควรให้มีการลดหย่อนหรือยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันและกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ เพื่อทำให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ประมาณ 1 บาทต่อลิตร เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือจนกว่าจะมีการยกเลิกการใช้สาร MTBE ในน้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งนี้เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์
1.3 เห็นควรให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณากำหนดนโยบายที่ชัดเจน เกี่ยวกับการยกเลิกการใช้สาร MTBE ในน้ำมันเบนซินออกเทน 95 รวมทั้งผลักดันให้มีการใช้เอทานอลผสมในน้ำมันเบนซิน 91 สัดส่วนร้อยละ 10 ในทันทีที่โรงงานผลิตเอทานอลสามารถผลิตเอทานอลเข้าสู่ตลาดน้ำมันเชื้อเพลิง ได้อย่างเพียงพอ
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้เสนอเรื่อง "นโยบายการตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง" มาเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 โดยมีรายละเอียดคือ 1) การขออนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายเอทานอลเป็นเชื้อเพลิง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ เอทานอลแห่งชาติก่อน ในทุกกรณี 2) ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการอนุญาตตั้งโรงงานผลิตและจำหน่าย เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงให้สอดคล้องกับนโยบายตามข้อ 1) ต่อไป และเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติรับผิดชอบ ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณากำหนดกรอบนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริม การจัดหา และการใช้พลังงานทดแทนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการใช้น้ำมันและแอลกอฮอล์จากพืชชนิดอื่นๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้มีทิศทางเดียวกัน
3. ความคืบหน้าในการดำเนินการ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2544 สพช. ได้จัดประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามมติคณะ รัฐมนตรี โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกัน ดังนี้
3.1 การยกเลิกการใช้ MTBE ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ใช่เพราะผลกระทบต่อภาวะแวดล้อมในอากาศ แต่เป็นผลกระทบจากการปนเปื้อนต่อคุณภาพน้ำใต้ดินซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นมี น้อยมาก
3.2 ผู้แทนจากสมาคมยานยนต์แห่งประเทศไทยได้ชี้แจงว่า ทางกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมขอให้มีการผ่อนผันข้อกำหนด คุณภาพน้ำมันในเรื่องของอุณหภูมิการกลั่นที่ 50% (T50) และค่าความดันไอน้ำ สมาคมยานยนต์ไม่แนะนำให้ใช้ เนื่องจากมีปัญหาต่อเครื่องยนต์โดยเฉพาะเครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์
3.3 ที่ประชุมได้มอบหมายให้กรมทะเบียนการค้า กรมควบคุมมลพิษ สมาคมยานยนต์แห่งประเทศไทย บริษัทบางจากฯ และ สพช. ร่วมกันดำเนินการทดสอบผลกระทบจากการใช้เอทานอลผสมในน้ำมันเบนซิน โดยให้ สพช. เป็นแกนกลางในการประสานงาน บริษัท บางจากฯ เป็นผู้เตรียมวัตถุดิบ และให้กรมทะเบียนการค้า กรมควบคุมมลพิษ และสมาคมยานยนต์ แห่งประเทศไทย ประสานงานเพื่อดำเนินการทดสอบผลกระทบต่อเครื่องยนต์และผลกระทบต่อสิ่งแวด ล้อม เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มยานยนต์ ก่อนที่จะนำไปใช้ได้ต่อไป
3.4 กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันไม่เห็นด้วยกับกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้มีการนำเอทานอ ลผสมในน้ำมันเบนซินออกเทน 87 เพื่อให้เป็นเบนซินออกเทน 91 โดยเห็นว่าควรผสมเฉพาะน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ไปจัดทำรายละเอียดต้นทุนจากการใช้เอทานอลผสมในน้ำมัน เบนซิน และผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เพื่อนำมาเปรียบเทียบถึงผลดี ผลเสีย ของการใช้เอทานอลผสมในน้ำมันเบนซิน
3.5 กระทรวงอุตสาหกรรมยังไม่มีรายละเอียดในเรื่องการจัดตั้งกองทุนรักษาระดับ ราคาเอทานอล หรือกลไกราคาอื่นที่จะทำให้สามารถจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ในราคาต่ำกว่าน้ำมัน เบนซิน 1 บาทต่อลิตรได้ตลอดเวลา
3.6 ในด้านการปรับปรุงองค์กรส่งเสริมให้นำพืชชนิดต่างๆ มาผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้รวมเป็นองค์กรเดียว เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ ที่ประชุมเห็นว่าควรมีคณะกรรมการในระดับปฏิบัติเพียงคณะเดียว ซึ่งจะไม่ทำให้มีคณะกรรมการมีจำนวนกรรมการมากเกินไป โดยประธานคณะกรรมการใหม่ควรเป็นประธานร่วมระหว่างปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และฝ่ายเลขานุการคือกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงอุตสาหกรรม และ สพช. ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สพช. ประสานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการดังกล่าวต่อไป นอกเหนือจากนั้นที่ประชุมเห็นควรให้มีการทบทวนระเบียบสำนักนายกฯ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมได้จัดทำขึ้นเพื่อรองรับการทำงานของคณะกรรมการเอทานอ ลแห่งชาติ โดยให้มีการปรับให้เข้ากับการมีคณะกรรมการระดับปฏิบัติคณะเดียวดังกล่าวข้าง ต้น
4. ในส่วนของการดำเนินการของคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองการอนุญาตตั้งโรงงานผลิต เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง ที่ประชุมเห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมยังไม่ควรมีการตกลงผูกพันกับผู้ลงทุน เนื่องจากผู้ ลงทุนอาจจะยังไม่ยอมลงทุนเพราะยังไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐโดยเฉพาะอย่าง ยิ่งกลุ่มยานยนต์และกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันยังไม่เห็นด้วยกับแนวทางของโครงการ อาจทำให้ไม่ร่วมมือในการผลิต จำหน่าย หรือประชาชนไม่กล้าใช้ และในทางกลับกันถ้าผู้ลงทุนตัดสินใจลงทุนแต่ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ของรัฐ อาจเกิดปัญหากับผู้ลงทุนซึ่งลงทุนไปแล้ว จึงเห็นควรชะลอการดำเนินการให้ทราบผลชัดเจนก่อน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและมีมติมอบให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะประธานคณะ กรรมการเอทานอลแห่งชาติประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการทดสอบการใช้ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ และหาข้อยุติเกี่ยวกับนโยบายการส่งเสริมการใช้เอทานอลเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ ของทุกฝ่ายภายในระยะเวลา 1เดือน แล้วนำผลกลับมาเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องที่ 4 แผนการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2542 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ เรื่องแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นแกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการจัดทำ ประเด็นนโยบายให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ กล่าวคือ สามารถระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544
2. คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชน ในการแปรสภาพ ปตท. ได้ดำเนินการจัดทำแผนการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ.ปตท.) แล้วเสร็จ โดยได้กำหนดกลยุทธ์ที่จะนำเสนอ บมจ. ปตท. ต่อนักลงทุนในรูปแบบของ บริษัทที่มีธุรกิจก๊าซธรรมชาติครบวงจร มีการดำเนินการในธุรกิจน้ำมัน และการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องครบวงจร ทั้งนี้เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจหลักที่สร้างผลกำไรให้กับ ปตท. อย่างแท้จริง คือธุรกิจก๊าซธรรมชาติ
3. จากประมาณการงบลงทุนคาดว่า บมจ. ปตท. จะมีการลงทุนในธุรกิจและโครงการต่างๆ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นประมาณ 90,423 ล้านบาท ในช่วงปี 2544-2548 โดยประมาณร้อยละ 90 เป็นการลงทุนในโครงการของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ อีกทั้งยังมีแผนการลงทุนในบริษัทในเครือ ทั้งในรูปของการลงทุนใหม่และการให้การสนับสนุนทางการเงินอีก 22,069 ล้านบาท ในช่วงปี 2544-2548 ดังนั้น บมจ.ปตท. มีความจำเป็นต้องระดมทุนจากการขายหุ้นเพิ่มทุนขั้นต่ำประมาณ 30,000 ล้านบาท
4. มูลค่าหุ้นเบื้องต้นของ บมจ.ปตท. ที่ได้จากการประเมินตามวิธีการประเมินมูลค่าหุ้นแบบแยกประเมินเป็นรายธุรกิจ (Sum of the Parts Valuation) คาดว่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 72,206 ถึง 135,591 ล้านบาท (ราคาหุ้น 37.5-65.0 บาท/หุ้น) และการประเมินราคาได้ถูกจัดทำขึ้นก่อนเวลาที่จะทำการเสนอ ขายจริงมาก อีกทั้งเป็นการวิเคราะห์จากประมาณการทางการเงินภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะ แตกต่างจากสถานการณ์ ณ เวลาที่ทำการเสนอขายหุ้น
ดังนั้น ช่วงราคาจะสามารถกำหนดให้แคบลงได้ก่อนเริ่มทำการตลาดเต็มรูปแบบ ในช่วงการนำเสนอข้อมูลแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ (Roadshow) ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน 2544 โดย บมจ.ปตท. จะสามารถกำหนดช่วงราคาสุดท้าย ด้วยวิธีการประกวดราคาสะสม (Book Building)
5. เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเงินทุนของ บมจ. ปตท. ที่ต้องการเงินทุนจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนประมาณ 30,000 ล้านบาท สำหรับการชำระหนี้และเพื่อการลงทุนขยายงานโดยเฉพาะธุรกิจก๊าซธรรมชาติ โดยคำนึงถึงโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม และนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอนาคต ปตท. จึงมีความจำเป็นที่จะต้องขอจำนวนหุ้นเพิ่มทุนไว้ที่จำนวนประมาณ 500 - 850 ล้านหุ้น (ซึ่งจะทำให้จำนวนหุ้น ทั้งหมดภายหลังการเสนอขายมีจำนวนประมาณ 2,500-2,850 ล้านหุ้น) ณ ระดับราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งจะ ส่งผลถึงจำนวนหุ้นเพิ่มทุนที่จะทำการเสนอขาย ตลอดจนสัดส่วนการถือครองหุ้นของภาครัฐภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน
6. กระทรวงการคลัง (กค.) อาจเสนอขายหุ้นที่ถืออยู่ใน บมจ.ปตท. จำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น และขายหุ้น เพิ่มเติมด้วยวิธีการจัดสรรหุ้นเกินจำนวนโดยใช้ช่วงราคาเบื้องต้นที่ 37.50 - 65.00 บาทต่อหุ้น และให้สิทธิผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ซื้อหุ้นในจำนวนที่จัดสรรเกินจำนวน (Greenshoe) อีกจำนวนไม่เกินร้อยละ 15 ของจำนวนการเสนอขายหุ้นรวมก่อนการจัดสรรหุ้นเกินจำนวน ทั้งนี้เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใน บมจ. ปตท. ไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 ซึ่งประมาณการมูลค่าการขายหุ้นรวมทั้งในส่วนของหุ้นเดิม และหุ้นเพิ่มทุนพบว่า ปตท. และ กค. จะมีรายได้รวมจากการขายหุ้นอยู่ในช่วงประมาณ 33,750-42,167 ล้านบาท โดยที่สัดส่วนการถือครองหุ้นของ กค. ภายหลังจากการขายหุ้นจะอยู่ระหว่างร้อยละ 62.10 - 76.57
7. สัดส่วนการเสนอขายหุ้นให้แก่นักลงทุนในประเทศและนักลงทุนต่างประเทศ จะเป็นร้อยละ 60 และ 40 ตามลำดับ และหากความต้องการของนักลงทุนในประเทศมีจำนวนมาก ปตท. และ กค. สามารถเพิ่มจำนวนหุ้นที่จะเสนอขายให้แก่นักลงทุนในประเทศได้อีกไม่เกินร้อย ละ 15 ของจำนวนหุ้นที่จะเสนอขายทั้งหมด (Claw-back Portion) นอกจากนั้น เพื่อให้พนักงาน ปตท. มีส่วนร่วมในการแปลงสภาพและความเป็นเจ้าของ บมจ. ปตท. จึงได้มีการให้สิทธิแก่พนักงาน ปตท. ในการซื้อหุ้นในราคา par ด้วย
8. ในการกำหนดสัดส่วนการเสนอขายหุ้นให้กับนักลงทุนแต่ละประเภทในเบื้องต้น โดยแบ่งเป็น นักลงทุนบุคคลธรรมดาในประเทศ นักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ โดยการจำหน่ายหุ้นให้แก่นักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาในประเทศ จะทำการจัดจำหน่ายผ่านธนาคารพาณิชย์ที่ร่วมเป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายที่มี สาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ สำหรับการจัดจำหน่ายหุ้นให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ จะใช้วิธีการประกวดราคาแบบสะสม (Book Building) หลังจากการนำเสนอข้อมูลของผู้บริหาร (Management Roadshow) และจะทำการจำหน่ายผ่านเครือข่ายของกลุ่มที่ปรึกษาทางการเงิน ต่างประเทศตามกฎการเสนอขายหุ้นแบบ Private Placement
กำหนดการจำหน่ายหุ้น มีดังนี้
การทำการสำรวจตลาดเบื้องต้น 15 -26 ตุลาคม 2544
การกำหนดช่วงราคาหุ้นที่เสนอขาย 26 ตุลาคม 2544
การนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ 29 ตุลาคม-16 พฤศจิกายน 2544
กำหนดการจองซื้อของนักลงทุนบุคคลธรรมดาในประเทศ 12-16 พฤศจิกายน 2544
การกำหนดราคาหุ้นที่เสนอขาย 16 พฤศจิกายน 2544
กำหนดชำระราคาของนักลงทุนประเภทสถาบัน 19 พฤศจิกายน 2544
หุ้น บมจ.ปตท. ทำการซื้อขายใน ตลท. 3 ธันวาคม 2544
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการของแนวทางและแผนการระดมทุนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) ตามข้อ 2. ของเอกสารประกอบวาระ 4.1
2.รับทราบผลการประเมินมูลค่าหุ้น บมจ.ปตท. ในเบื้องต้น ตามข้อ 2 ของเอกสารประกอบวาระ 4.1 ทั้งนี้ มูลค่าหุ้นดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปหากมีการปรับเปลี่ยนสมมติฐาน และเมื่อมีการสำรวจความต้องการของนักลงทุนก่อนการเสนอขายหุ้น ทั้งนี้การกำหนดช่วงราคาสุดท้ายให้อยู่ในดุลยพินิจของคณะกรรมการ> ดำเนินการระดมทุนฯ จากภาคเอกชนในการแปรสภาพการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
3.อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของ บมจ.ปตท. จำนวน 850 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นมูลค่าทุน จดทะเบียน 8,500 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อให้ บมจ.ปตท. สามารถระดมเงินทุนในจำนวนที่ต้องการได้ในกรณีที่ราคาหุ้นที่เสนอขายอยู่ใน ระดับต่ำ โดยคาดว่าการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจะอยู่ในช่วงระหว่าง 500-850 ล้านหุ้น อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจในการเสนอขายหุ้นขึ้นอยู่กับการอนุมัติขั้นสุดท้าย จากคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ โดยหากราคาที่เสนอขายหุ้นมีราคาสูง จำนวนหุ้นเพิ่มทุนที่เสนอขายก็จะมีจำนวนน้อยกว่าจำนวน ที่ขออนุมัติไว้
4.ให้มีการขายหุ้นเดิมของ บมจ.ปตท. ที่ กระทรวงการคลัง (กค.) ถืออยู่ ควบคู่ไปกับการขายหุ้น เพิ่มทุนของ บมจ.ปตท. ในครั้งนี้ ในจำนวนไม่เกิน 100 ล้านหุ้น และให้เป็นสิทธิของ กค. ที่จะเสนอขายหุ้นโดยวิธีการจัดสรรหุ้นเกินจำนวนโดยวิธี Greenshoe เพิ่มเติม และหากตลาดฯ ไม่สามารถรองรับการเสนอขายหุ้นได้ทั้งจำนวน ให้พิจารณาให้ความสำคัญแก่การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ.ปตท. ก่อนเป็นประการแรก ทั้งนี้ ให้ผู้จัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายที่ ปตท. แต่งตั้งในการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของ บมจ. ปตท. เป็นผู้จัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. ปตท. ที่ กค. จะเสนอขายในคราวเดียวกันนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้จัดจำหน่ายและประกันการจำหน่ายและ ปตท. ได้ตกลงกันแล้ว และให้ กค. ร่วม รับผิดชอบค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายและประกันการจำหน่าย ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องตามสัดส่วนของจำนวนเงินที่ กค. และ บมจ. ปตท. ได้รับจากการขายหุ้น
5.เห็นชอบให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ สามารถพิจารณาแตกมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Split) ของ บมจ.ปตท. ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
6.อนุมัติแนวทางการจัดสรรหุ้นให้แก่พนักงานตามโครงการการให้พนักงานมีส่วน ร่วมในความเป็นเจ้าของ ตามข้อ 2.4.4 ของเอกสารประกอบวาระ 4.1 โดยให้ภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของพนักงานที่เกิดจากการได้รับจัดสรรหุ้น คำนวณจากส่วนต่างระหว่างมูลค่าหุ้นทางบัญชี (Book Value) ตามงบการเงินที่ได้รับการตรวจสอบล่าสุด (ณ 31 ธันวาคม 2543) กับราคาหุ้นที่พนักงานได้รับ อีกทั้งกำหนดให้การคำนวณภาษีดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด และไม่มีการคำนวณภาษีย้อนหลังเมื่อมีการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นในภายหลัง
7.เห็นชอบให้ ปตท. และ กค. รวมแผนการทำ Greenshoe & Stabilization เข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของแผนการแปรรูปและระดมทุนของ บมจ.ปตท. ในครั้งนี้
8.ให้ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีให้มอบหมายให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจในเรื่องราคาและจำนวนการเสนอขาย เพื่อให้การกำหนดราคาขั้นสุดท้ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทั้งนี้ คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ และคณะกรรมการ ปตท. (หรือผู้แทน) จะจัดให้มีการประชุมเพื่อการตัดสินใจร่วมกันทันทีที่การทำ Roadshow เสนอขายหุ้นแล้วเสร็จ
9.เห็นชอบให้ บมจ.ปตท. และ กค. ไม่ต้องนำสัญญา และ/หรือ ข้อตกลงต่างๆ ดังกล่าวเสนอต่อสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาก่อนการลงนามสัญญา และ/หรือ ข้อตกลง
10.เห็นควรให้คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนฯ สามารถพิจารณาอนุมัติการปรับเปลี่ยนแนวทางและรายละเอียดแผนการระดมทุนของ บมจ.ปตท. ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดทุน ณ ช่วงเวลาการเสนอขาย
เรื่องที่ 5 การกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2539 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เรื่องนโยบายราคาก๊าซธรรมชาติและการกำกับดูแล ที่กำหนดให้มีการกำกับดูแลโดย กพช.และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ดังนี้
1) การพิจารณาอนุมัติการจัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติระยะยาว และแผนการลงทุนระยะยาว ของระบบท่อก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราค่าผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ ก่อนการประกาศใช้
2) การพิจารณาอนุมัติสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับผู้ผลิต
3) การเปลี่ยนแปลงหลักการของนโยบายการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ หลักการในการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อ และค่าการตลาด (ค่าจัดหา/จำหน่าย)
4) การกำกับดูแลการปรับอัตราค่าผ่านท่อ โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นไป
เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2544 ในการประชุมคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ครั้งที่ 6/2544 ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษา โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ ในประเด็นราคาก๊าซธรรมชาติ ที่ประชุมได้เสนอให้มีการทบทวนอัตรา ผลตอบแทนการลงทุนในกิจการค่าผ่านท่อ ซึ่งมีข้อสรุปว่าอัตราผลตอบแทนการลงทุน (ROE) ของการลงทุน ใหม่ในระบบท่อควรอยู่ในระดับร้อยละ 16 ภายใต้สมมติฐานทางการเงินร้อยละ 10.5 ส่วนอัตราค่าผ่านท่อ ในปัจจุบันคำนวณจากการลงทุนในระบบท่อปัจจุบันให้อยู่ในระดับเดิม
2. ราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าบริการส่งก๊าซฯ ในปัจจุบัน
2.1 ราคาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. กับผู้ใช้ก๊าซฯ ได้กำหนดไว้ ดังนี้ 1) ราคาก๊าซ ธรรมชาติที่จำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (IPPs) ประกอบด้วย ราคาก๊าซมีค่าเท่ากับผลรวมของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติกับค่าตอบแทนใน การจัดหาและจำหน่าย (1.75% ของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซ แต่ต้องไม่สูงกว่า 2.1525 บาท/ล้านบีทียู) กับค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ 2) ราคาก๊าซธรรมชาติที่จำหน่ายให้แก่ ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPPs) ประกอบด้วย ราคาก๊าซมีราคาเท่ากับ ผลรวมของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซธรรมชาติกับค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่าย (9.33% ของราคาเฉลี่ยของเนื้อก๊าซ แต่ต้องไม่สูงกว่า 11.4759 บาท/ล้านบีทียู) กับค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ 3) ราคาก๊าซธรรมชาติที่จำหน่ายให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ให้ใช้หลักการของการกำหนดราคาตามราคาเชื้อเพลิงที่ก๊าซธรรมชาติเข้าไปทดแทน
2.2 อัตราค่าบริการแบ่งเป็น 3 พื้นที่ ดังนี้ คือ พื้นที่ 1 : ระบบท่อก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ระยอง พื้นที่ 2 : ระบบท่อก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งที่ขนอม และพื้นที่ 3 : ระบบท่อก๊าซธรรมชาติบนฝั่ง
2.3 อัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติคำนวณตามค่าความร้อน ประกอบด้วย ค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ (Demand Charge) คำนวณจากค่าใช้จ่ายในการให้บริการคงที่ของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติคิดตาม ปริมาณก๊าซที่ตกลงในสัญญา มีหน่วยเป็นบาทต่อล้านบีทียู และค่าบริการส่วนของต้นทุนผันแปร (Commodity Charge) คำนวณจากค่าใช้จ่ายการให้บริการส่วนผันแปรของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ คิดตามปริมาณก๊าซที่มีการรับส่งจริง มีหน่วยเป็นบาทต่อล้านบีทียู
2.4 หลักเกณฑ์ในการคำนวณค่าบริการส่วนที่เป็นค่าบริการส่วนของต้นทุนคงที่ ที่สำคัญๆ มีดังนี้ 1) ผลตอบแทนการลงทุน (Return on Equity : ROE) ร้อยละ 18 ณ อัตราแลกเปลี่ยนในระดับ 25 บาท/เหรียญสหรัฐฯ และ 2) ค่าใช้จ่ายดำเนินการที่คงที่และค่าบำรุงรักษาท่อก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 3 ของ เงินลงทุนโครงการ โดยกำหนดให้คงที่ไม่มี escalation ขณะเดียวกันได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินกู้โครงการ ให้สัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของ (Debt to Equity) เท่ากับ 75:25 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวเท่ากับ >ร้อยละ 10.5 ต่อปี รวมทั้ง ให้คิดค่าเสื่อมราคา แบบวิธีเส้นตรงตามจำนวนอายุระบบท่อและปริมาณสำรองก๊าซฯ
2.5 กำหนดให้ปรับเปลี่ยนอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ เป็นระยะ (Periodic Adjustment) ให้มีการทบทวนการคำนวณค่าผ่านท่อทุกระยะเวลา 5 ปี และ/หรือ ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงการลงทุน ในระบบ Main System และการปรับเปลี่ยนตามดัชนี (Index Adjustment) โดยการปรับอัตราค่าบริการผ่านท่อก๊าซธรรมชาติ ดังกล่าว ให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแล/ดำเนินการของ สพช.
3. หลังจากที่ได้กำหนดให้มีการกำกับดูแลระบบการกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตรา ค่าผ่านท่อโดย กพช./สพช. เริ่มตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ได้มีการพิจารณาเพื่อปรับอัตราค่าผ่านท่อมาเป็นระยะๆ ดังนี้
3.1 การปรับอัตราค่าผ่านท่อในส่วนของต้นทุนคงที่ในปี 2542 ได้มีการปรับปรุงข้อมูลมูลค่า การลงทุนการปรับปริมาณรับส่งก๊าซฯ ปี 2539-2541 ตามจริง เพื่อให้รายได้ค่าผ่านท่อของปีที่ผ่านมาในแบบจำลอง (Model) เป็นตัวเลขตามจริงด้วย และมีการปรับเพิ่มเงินลงทุนโครงการท่อเบญจมาศ (Roll-in)
3.2 การปรับอัตราค่าผ่านท่อในปี 2544 เห็นสมควรให้มีการกำหนดอัตราค่าผ่านท่อรวมในพื้นที่ 3 (Zone 3) ใหม่ โดยรวมเงินลงทุนโครงการท่อส่งก๊าซฯ บ้านอิต่อง-ราชบุรี และราชบุรี-วังน้อย เข้าไปด้วย
3.3 อัตราค่าผ่านท่อส่วนที่เป็นต้นทุนผันแปร (Commodity Charge) ในปีสัญญา 2539 มีอัตราเท่ากับ 0.2261 บาทต่อล้านบีทียู และได้มีการปรับเพิ่มในปี 2541 เป็น 0.2698 บาทต่อล้านบีทียู
4. สพช. ได้จัดทำร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติ และอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ ในการกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะต่อไปเป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ประกาศดังกล่าวให้คงหลักเกณฑ์เดิมในการกำหนดราคาก๊าซและอัตราค่า บริการส่งก๊าซ และเพิ่มเติมข้อกำหนดในการคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซ สำหรับการบริการส่งก๊าซตามแผนแม่บทท่อส่งก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
4.1 ข้อกำหนดของระบบท่อตามแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 ใช้การคำนวณเช่นเดียวกับระบบท่อส่งก๊าซในปัจจุบัน ยกเว้น 1) กำหนดผลตอบแทนการลงทุน (ROE) ร้อยละ 16 ณ อัตราแลกเปลี่ยนในระดับ 45 บาท/เหรียญสหรัฐ โดยความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นความรับผิดชอบของผู้ให้บริการระบบ ท่อส่งก๊าซ 2) ให้ท่อมีอายุการใช้งาน 40 ปี และ 3) ข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินกู้ของโครงการให้ สัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของเจ้าของเท่ากับ 75 : 25 อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาวเท่ากับร้อยละ 10.5 ต่อปี และการชำระคืนเงินกู้ให้เป็นไปตามที่จะตกลงกับ สพช.
4.2 สพช. มีอำนาจกำหนดเส้นทางของราคาค่าบริการ (Price Path) ในการปรับค่าใช้จ่ายจากการลงทุนเพิ่มเติมหรือการปรับแผนการลงทุนใหม่
4.3 เนื่องจากได้มีการทบทวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซครั้งล่าสุด เมื่อต้นปี 2544 ดังนั้นหากไม่มีการปรับเปลี่ยนการลงทุน อัตราค่าบริการส่งก๊าซในปัจจุบันจะมีผลบังคับในช่วงปี พ.ศ. 2544-2548
4.4 กำหนดให้ผู้ให้บริการระบบส่งก๊าซ คำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซ ตามหลักเกณฑ์ของประกาศฉบับนี้ แล้วนำเสนอ สพช. พร้อมรายละเอียดการคำนวณเพื่อขอความเห็นชอบและเมื่อได้รับความ เห็นชอบแล้วให้ประกาศใช้ได้ โดยให้ผู้ให้บริการระบบส่งก๊าซประกาศค่าบริการส่งก๊าซ เพื่อให้ผู้ใช้บริการทราบโดยทั่วกัน
4.5 ในกรณีที่ สพช. หรือผู้ให้บริการระบบท่อส่งก๊าซ เห็นว่าอัตราค่าบริการที่ให้ความเห็นชอบ ไปแล้วไม่เหมาะสมจากการเปลี่ยนแปลงตามข้อกำหนด สพช. หรือผู้ใช้บริการท่อส่งก๊าซมีสิทธิในการให้/ขอ ทบทวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซ นอกจากนี้ในส่วนของค่าตอบแทนในการจัดหาและจำหน่ายก๊าซให้มีสิทธิ์ทบทวนได้ เช่นกัน
4.6 ให้ผู้จัดหาก๊าซและผู้ให้บริการระบบส่งก๊าซ จัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซ ให้แก่ สพช. ตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามที่ สพช. กำหนดและให้ผู้จัดหาก๊าซและผู้ให้บริการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับราคาก๊าซและ ค่าบริการส่งก๊าซตามหลักเกณฑ์ที่ สพช. กำหนด
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางในการดำเนินการกำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะต่อไป ตามข้อ 4
2.ให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2544 เรื่องหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซธรรมชาติและอัตราค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ ดังรายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.2.1 โดยมอบหมายให้ สพช. และ ปตท. รับไปปรับปรุงถ้อยคำให้มีความชัดเจนแล้วนำเสนอประธานคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติ ลงนามต่อไป
กพช. ครั้งที่ 85 - วันจันทร์ที่ 10 กันยายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 4/2544 (ครั้งที่ 85)
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2544 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
1.เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
2.สถานการณ์พลังงานของไทยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544
3.การลดค่าไฟฟ้าจากการลดค่าก๊าซธรรมชาติ
4.รายงานการศึกษาของคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
5.ความคืบหน้าในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนในรูปของ IPP SPP และโครงการในประเทศเพื่อนบ้าน
6.ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
7.โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544
8.แนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินในประเทศ
9.ราคาจำหน่ายไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้าน
10.ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
11.แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544-2554
12.การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ
พันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม
รองนายกรัฐมนตรี นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงวัตถุประสงค์ของการเข้าร่วมประชุม ในครั้งนี้ว่า เพื่อติดตามผลการดำเนินงานด้านพลังงานในเรื่องต่างๆ ดังนี้ คือ
1.พลังงานทดแทนที่เกี่ยวกับผลผลิตทางเกษตรบางชนิดที่มีผลกระทบต่อการมองภาพรวมราคาสินค้าทางเกษตร
2.ความก้าวหน้าของการรณรงค์ในการประหยัดพลังงาน
3.น้ำมันเถื่อน
4.ประสิทธิภาพในการบริหารงานของผู้ผลิตพลังงานที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนการผลิตที่ส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
5.ผลกระทบของการปรับเปลี่ยนเวลาในประเทศไทยที่มีต่อกิจกรรมด้านพลังงาน
6.เรื่องค่าไฟฟ้าสาธารณะเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและความสัมพันธ์กับค่า Ft
เรื่องที่ 2 สถานการณ์พลังงานของไทยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาพรวมการใช้ การผลิต การส่งออกและนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ มีดังนี้
1.1 การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 1,205 พันบาร์เรล น้ำมันดิบ/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นในส่วนของการใช้ ก๊าซธรรมชาติ และการใช้ลิกไนต์/ถ่านหิน ขณะที่การใช้น้ำมันปิโตรเลียมลดลง การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ประกอบด้วย น้ำมันปิโตรเลียมร้อยละ 47.0 ก๊าซธรรมชาติร้อยละ 36.2 ลิกไนต์และถ่านหินร้อยละ 14.1 ไฟฟ้าพลังน้ำและนำเข้าร้อยละ 2.8
1.2 การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 592 พันบาร์เรล น้ำมันดิบ/วัน ลดลงร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2543 โดยลดลงในส่วนของการผลิตก๊าซธรรมชาติ และการผลิตลิกไนต์ ขณะที่การผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ประกอบด้วย ก๊าซธรรมชาติร้อยละ 58.7 ลิกไนต์ร้อยละ 18.2 น้ำมันดิบร้อยละ 10.0 คอนเดนเสทร้อยละ 8.1 และไฟฟ้าพลังน้ำร้อยละ 5.0
1.3 ปริมาณการนำเข้า (สุทธิ) พลังงานเชิงพาณิชย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 744 พันบาร์เรลน้ำมันดิบ/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 สาเหตุสำคัญจากการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากพม่าเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนั้น การนำเข้าถ่านหินและน้ำมันดิบก็มีอัตราการเพิ่มในระดับที่สูงเช่นเดียวกัน และยังคงมีการส่งออกผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นเนื่องจากการผลิตสูง กว่าความต้องการใช้
2. สถานการณ์พลังงานแต่ละชนิด มีดังนี้
2.1 การใช้ก๊าซธรรมชาติในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 2,425 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.2 เนื่องจากราคาน้ำมันเตาในปีนี้สูงขึ้นมากทำให้ กฟผ. ลดการใช้น้ำมันเตาลงและใช้ ก๊าซธรรมชาติแทน นอกจากนั้นยังมีโรงไฟฟ้าจากโครงการ IPP ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงเริ่มผลิตไฟฟ้าจ่ายเข้าระบบของ กฟผ. ส่วนปริมาณการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2543 เล็กน้อย
2.2 ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบในช่วงครึ่งแรกของปี 2544 มีจำนวน 59 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.4 แหล่งผลิตที่สำคัญ ได้แก่ แหล่งเบญจมาศ แหล่งสิริกิติ์ และแหล่งทานตะวัน ปริมาณการผลิตภายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 7.8 ของความต้องการน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่น จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวน 706 พันบาร์เรล/วัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 146,400 ล้านบาท
2.3 การผลิตลิกไนต์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 มีจำนวน 9.0 ล้านตัน ผลิตจากเหมือง แม่เมาะของ กฟผ. ร้อยละ 79 ที่เหลือร้อยละ 21 ผลิตจากเหมืองเอกชน ลิกไนต์ที่ผลิตได้ถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าจำนวน 7.5 ล้านตัน (ร้อยละ 83) ที่เหลือนำไปใช้ในโรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานกระดาษ โรงทอผ้าและอื่นๆ นอกจากนั้นมีการนำเข้าถ่านหินจำนวน 2.4 ล้านตัน มาใช้ในโรงไฟฟ้าของ SPP และโรงงานอุตสาหกรรม ดังกล่าว
2.4 การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในครึ่งแรกของปี 2544 ชะลอตัวลง โดยมีปริมาณการใช้ 593 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2543 โดยการใช้น้ำมันเตา น้ำมันเบนซินและดีเซลลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง แต่การใช้น้ำมันเครื่องบินและ LPG เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้ LPG เพิ่มขึ้นสูงในรถแท๊กซี่ซึ่งได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ LPG เพราะรัฐบาลยังคงอุดหนุนราคา LPG สำหรับกำลังการกลั่นรวมของประเทศในปี 2544 อยู่ที่ระดับ 995 พันบาร์เรล/วัน โดยการผลิตยังคงสูงกว่าความต้องการภายในประเทศทำให้มีการส่งออก (สุทธิ) จำนวน 106 พันบาร์เรล/วัน
2.5 ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2544 รัฐบาลมีรายได้ภาษีสรรพสามิตจากน้ำมันสำเร็จรูปประมาณ 33,000 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 70 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2544 ติดลบประมาณ 13,603 ล้านบาท
3. สถานการณ์ไฟฟ้า มีดังนี้
3.1 กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าของ กฟผ. และการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนและนำเข้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 22,335 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตติดตั้งของ กฟผ. จำนวน 15,116 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67.7 รับซื้อจาก IPP จำนวน 5,266 เมกะวัตต์ และ SPP 1,613 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนโดยรวมร้อยละ 30.8 และนำเข้าจาก สปป.ลาว 340 เมกะวัตต์ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.5 ในขณะที่ความต้องการไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในระดับ 16,126 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.1 และอัตราสำรองไฟฟ้า (Reserved Margin) อยู่ในระดับ 31.0
3.2 ปริมาณการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 51,951 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในอัตราร้อยละ 6.3 โดยเป็นการผลิตจาก กฟผ. ร้อยละ 60 และรับซื้อจากเอกชนและนำเข้าร้อยละ 40
3.3 ปริมาณการใช้ไฟฟ้า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2544 มีจำนวน 46,169 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 7.3 โดยสาขาธุรกิจและอุตสาหรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 บ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.4 และภาคเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 ในขณะที่ทางด้านลูกค้าตรง กฟผ. ลดลงร้อยละ 2.4 โดยแบ่งเป็น การใช้ไฟฟ้าในเขตนครหลวง มีจำนวน 16,946 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 และการใช้ไฟฟ้าเขตภูมิภาค มีจำนวน 28,336 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8
4. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง มีดังนี้
4.1 ราคาน้ำมันดิบตั้งแต่ช่วงต้นปี 2544 เป็นต้นมา ปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $3-4 ต่อบาร์เรล จากการลดปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปค 3 ครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์ เมษายน และกันยายน รวม 3.5 ล้านบาร์เรล/วัน และจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ทำให้ความต้องการใช้ในปีนี้ไม่สูงเท่าที่ควร กลุ่มโอเปคจึงลดกำลังการผลิตลงเพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้ลดต่ำลงมาก น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ช่วงก่อนเดือนเมษายนราคาปรับตัวสูงขึ้นจาก ช่วงต้นปีประมาณ $6-8 ต่อบาร์เรล จากความต้องการใช้ในฤดูร้อน หลังจากนั้นจึงปรับตัวลดลงประมาณ $10 ต่อบาร์เรล จากปริมาณสำรองที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ไม่สูงเท่าที่ประมาณการไว้ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงต้นปีประมาณ $2-3 ต่อบาร์เรล จากปริมาณสำรองที่ค่อนข้างต่ำ
4.2 ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงจากระดับ 43 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในช่วงต้นปีมาอยู่ที่ระดับ 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบัน ทำให้ต้นทุนน้ำมันเพิ่มขึ้น 36 สตางค์/ลิตร ราคาขายปลีกของไทยปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบ โดยเบนซินปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 2 บาท/ลิตร จากช่วงต้นปีถึงปลายเดือนเมษายน หลังจากนั้น จึงปรับตัวลดลงประมาณ 1.50 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็วจากช่วงต้นปีถึงปัจจุบันปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 1 บาท/ลิตร ค่าการการตลาดโดยรวมของประเทศอยู่ที่ระดับประมาณ 1.20 บาท/ลิตร ค่าการกลั่นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 0.50-1.00 บาท/ลิตร ($1.80-3.60 ต่อบาร์เรล)
4.3 แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 4 ราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวสูงขึ้นประมาณ $2-3 ต่อ บาร์เรล น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ ราคาเบนซินจะปรับตัวลดลงหลังเดือนกันยายน ส่วนราคาดีเซลหมุนเร็วจะปรับตัวสูงขึ้นหลังเดือนตุลาคมไปแล้ว จากความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นในฤดูหนาว ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยเบนซินออกเทน 95 91 และดีเซลหมุนเร็วจะอยู่ที่ระดับ 15-16 14-15 และ 15-16 บาท/ลิตร ตามลำดับ
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อสังเกตต่อที่ประชุมว่า การนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับมูลค่าการนำเข้าและส่งออกของพลังงานในประเทศ ควรคำนวณเป็นหน่วยของดอลลาร์สหรัฐด้วย เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของงบดุลการค้าด้านพลังงานของ ประเทศ และได้สอบถามถึงปริมาณสำรองลิกไนต์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันที่เหมืองแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ว่าจะใช้ได้อีกเป็นระยะเวลานานเท่าไร และผลการดำเนินงาน ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ขณะนี้มีความก้าวหน้าระดับใด
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมว่าปริมาณสำรองลิกไนต์ที่เหลืออยู่ในปัจจุบันที่ เหมืองแม่เมาะ จะใช้งานได้อีกประมาณ 70 ปี และได้มีการดำเนินการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่โรงไฟฟ้า แม่เมาะหน่วยที่ 4 - 13 แล้วเสร็จ ส่วนหน่วยที่ 1 - 3 จะไม่มีการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซฯ ทั้งนี้จะนำข้อมูลต่างๆ มานำเสนอในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเรื่อง แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาพลังงานของประเทศ ในวันที่ 12 กันยายน 2544 ด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 การลดค่าไฟฟ้าจากการลดค่าก๊าซธรรมชาติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2544 ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ดำเนินการเจรจาเพื่อขอเกลี่ยราคาก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งทบทวนดัชนีราคาในสูตรราคากับผู้รับสัมปทาน และพิจารณาความเป็นไปได้ในการลดค่าดำเนินการ (Margin) ให้สอดคล้องกับสภาวะการณ์ปัจจุบัน
2. ปตท. ได้ดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตก๊าซฯ แหล่งบงกช 3 ราย คือ ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท โททาลฟีน่าเอลฟ์ เอ็กซ์พลอเรชั่น ประเทศไทย จำกัด และบริษัท บริติช ก๊าซ เอเซียแปซิฟิค จำกัด ให้ลดราคาก๊าซฯ ที่ ปตท. ซื้อเกินจากที่ทำสัญญาไว้ในช่วงเดือนสิงหาคม - พฤษภาคม 2545 รวม 8 เดือน จำนวน 31.14 พันล้านลูกบาศก์ฟุต โดยผู้ผลิตก๊าซฯ แหล่งบงกชได้ให้ส่วนลดค่าก๊าซฯ จากก๊าซฯ ส่วนเกินที่ ปตท. ซื้อคิดเป็นเงินจำนวน 863 ล้านบาท และส่วนลดราคาก๊าซฯ ที่ได้มา ทำให้ ปตท. ต้องรับก๊าซฯ จากแหล่งบงกชซึ่งมีราคาแพงกว่าแหล่งยูโนแคลเพิ่มขึ้น คิดเป็นมูลค่าประมาณ 535 ล้านบาท ดังนั้น ผลประโยชน์สุทธิที่ได้รับจะมีเพียง 328 ล้านบาท ปตท. จึงเสนอให้นำมาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่มีรายได้น้อย
3. การนำเงินส่วนลดค่าก๊าซฯ ทั้งจำนวน 863 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยประเภท 1.1 จะส่งผลให้ผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มอื่นต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นผ่านค่า Ft ประมาณ 2 สตางค์/หน่วย เนื่องจากราคาก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้น คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานในการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 จึงได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการลดค่าไฟฟ้าตามแนวทางดังนี้
3.1 ให้นำส่วนลดค่าก๊าซธรรมชาติสุทธิจำนวน 328 ล้านบาท มาลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า บ้านอยู่อาศัยประเภท 1.1 (บ้านอยู่อาศัยที่ใช้พลังงานไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน และติดตั้งเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้าขนาดไม่เกิน 5 แอมแปร์) ซึ่งมีจำนวนประมาณ 8.78 ล้านราย เพียงเดือนเดียว ในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนสิงหาคม 2544 โดยยกเว้นค่าบริการรายเดือน 8.76 บาท/ราย (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และลดค่า พลังงานไฟฟ้า เท่ากับ 45.06 สตางค์/หน่วย (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) แต่ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าเมื่อหักส่วนลดแล้วจะไม่ ต่ำกว่าศูนย์
3.2 การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าตามข้อ 3.1 ให้แสดงเป็นรายการพิเศษในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้า และให้ กฟน. และ กฟภ. ส่งใบเรียกเก็บเงินการจ่ายส่วนลดที่จ่ายจริงไปยัง ปตท. โดยตรง
3.3 เงินที่เหลือซึ่งมีอีกจำนวนประมาณ 535 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย (ถ้ามี) ให้ ปตท. นำมาลดค่าก๊าซฯ ให้แก่ กฟผ. เพื่อบรรเทาผลกระทบของการเพิ่มขึ้นของค่า Ft ในรอบต่อไป (ต.ค. 2544 - ม.ค. 2545)
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึง การใช้ไฟฟ้า 5 หน่วย/เดือน ว่าจะมีอุปกรณ์ไฟฟ้าประเภทใดบ้างและผู้ใช้ไฟฟ้าในชุมชนแออัด ที่มีการใช้ไฟส่องสว่าง 2 -3 ดวง จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเท่าใด ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงว่า ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 5 หน่วย/เดือน ส่วนใหญ่จะเป็นห้องแถวหรือบ้านอยู่อาศัยที่ไม่มีผู้พักอาศัยอยู่ ซึ่งไม่มีการใช้ไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีการใช้ไฟส่องสว่าง 2 -3 ดวง จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 30 หน่วย/เดือน ทั้งนี้ บ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วย/เดือน จะมีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยประมาณ 67 หน่วย/เดือน ซึ่งบ้านอยู่อาศัยประเภทนี้ จะไม่มีเครื่องปรับอากาศ
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่นำส่วนลดค่าก๊าซฯ มาลดค่าไฟฟ้าเพียงเดือนเดียว เนื่องจากจะทำให้เห็นผลจากการลดค่าไฟฟ้าได้มาก และหากการลดค่าก๊าซฯ มีระยะเวลานานไป จะส่งผลกระทบต่อโครงการประหยัดไฟกำไรสองต่อ ซึ่งจะเริ่มโครงการในเดือนกันยายน 2544 ทำให้ไม่สามารถเห็นผลจากการประหยัดที่ชัดเจน
มติของที่ประชุม
- ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ในฐานะประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดย อัตโนมัติ (Ft) เพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) ซึ่งคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ได้พิจารณาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่า Ft และมีข้อเสนอ ข้อสังเกต รวมทั้งความเห็นในการแก้ไขปัจจัยที่มีผลกระทบต่อค่า Ft ดังนี้
1.1 เห็นควรให้ ปตท. เร่งเจรจาปรับปรุงสัญญาซื้อขายก๊าซฯ กับผู้ขายก๊าซฯ พร้อมกับให้ลดค่าดำเนินการลง รวมทั้ง อัตราผลตอบแทน Equity IRR ของค่าผ่านท่อที่มีอัตราสูงเกินไป ส่วนภาระ Take-or-Pay ไม่ควรผลักภาระให้แก่ผู้บริโภคมากเกินไป และควรเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น
1.2 ในการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนเห็นควรให้ กฟผ. รับไปเจรจาราคารับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และควรมีการทบทวนความเหมาะสมของการส่งผ่านผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในโครง สร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก IPP และ SPP รวมทั้งควรทบทวนความเหมาะสมของอัตราผลตอบแทนการ ลงทุนของบริษัทผลิตไฟฟ้าในเครือของ กฟผ. ซึ่งในเรื่องของการทบทวนอัตราผลตอบแทนการลงทุนดังกล่าว บางหน่วยงานเห็นว่าอาจเกิดผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นและนโยบายการแปรรูปในอนาคต
1.3 ด้านประสิทธิภาพของการไฟฟ้า เห็นควรกำหนดมาตรฐานอัตราการใช้ความร้อน (Heat Rate) และมาตรฐานค่าความสูญเสีย (Loss Rate) ของระบบไฟฟ้า และให้ สพช. รับไปพิจารณาการชะลอแผนการลงทุนของการไฟฟ้าว่าจะสามารถทำให้ลดค่าไฟฟ้าได้ หรือไม่โดยเร่งด่วน
1.4 อัตราเงินนำส่งรัฐควรเป็นไปตามเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด ส่วนโบนัสและเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสม
1.5 ไม่ควรยกเลิกค่า Ft เพราะจะทำให้การไฟฟ้าประสบปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง และควรให้ค่า Ft เปลี่ยนแปลงตามต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนต่อภาระหนี้ของการไฟฟ้า และผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อในค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ค่าเชื้อเพลิง (Non-Fuel Cost) ทั้งนี้ การไฟฟ้าควรมีอิสระในการบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของตนเองในระดับหนึ่ง
1.6 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าฐาน ควรกำหนดส่วนลดค่าไฟฟ้าเป็นกรณีพิเศษแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่สามารถงดจ่ายไฟได้ เป็นการชั่วคราว และควรเร่งจัดหามิเตอร์ประเภท TOU ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย รวมทั้ง ควรหาแนวทางลดภาระค่ามิเตอร์ให้แก่ผู้ใช้ไฟ
2. เครือข่ายคณะทำงานติดตามตรวจสอบค่า Ft ได้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้ยกเลิกการเก็บค่า Ft และให้ยกเลิกการคิดค่าบริการ โดยให้มีการทบทวนโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน และรัฐบาลควรเร่งผลักดันให้มี องค์กรอิสระผู้บริโภค ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดเตรียมข้อมูลตอบข้อร้องเรียนดังกล่าวเสนอคณะกรรมการพิจารณานโยบาย พลังงานแล้ว
3. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2544 และได้พิจารณาเรื่องผลการพิจารณาของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ แล้วมีมติดังนี้
3.1 เห็นชอบในหลักการข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ โดยให้นำมาใช้ประกอบการพิจารณาปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดย อัตโนมัติ (Ft) ในรอบเดือนตุลาคม 2544-มกราคม 2545 และให้นำข้อสังเกตของที่ประชุมในส่วนที่มีความเห็นแตกต่างกันไปเจรจาให้ได้ข้อยุติต่อไป
3.2 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อเสนอของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ ไปดำเนินการ โดยให้มีการจัดทำรายละเอียดในส่วนที่สามารถดำเนินการได้และในส่วนที่เป็น ปัญหาอุปสรรค และให้ สพช. เป็นผู้ดำเนินการเร่งรัดติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตาม มาตรการดังกล่าว และรายงานให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานทราบภายใน 1 เดือน
3.3 ให้ สพช. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐานและค่าไฟฟ้าตามสูตรการ ปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ให้ประชาชนได้รับทราบและมีความเข้าใจมากขึ้น โดยผ่านสื่อต่างๆ
3.4 ให้ สพช. กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการคัดเลือกตัวแทนผู้บริโภครายย่อยเป็นอนุกรรมการในคณะ อนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และปรับปรุงคำชี้แจงข้อร้องเรียนของเครือข่ายคณะทำงานติดตามตรวจสอบค่า Ft ให้มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นว่า การคัดเลือกตัวแทนผู้บริโภครายย่อยเข้าร่วมเป็นอนุกรรมการในคณะอนุกรรมการ กำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ควรคัดเลือกจากผู้บริโภครายย่อยที่มีความรู้ ความเข้าใจในสูตร Ft ไม่ใช่เป็นบุคคลที่เป็นนักเคลื่อนไหว ทั้งนี้ ในการกำกับดูแลควรพิจารณาถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพของการไฟฟ้าและให้การ ไฟฟ้ามีรายได้เพียงพอในการดำเนินกิจการควบคู่ไปด้วย
2.ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เรียนที่ประชุมทราบเพิ่มเติมถึงปัญหาของการไฟฟ้าในการบริหารอัตราแลก เปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของการไฟฟ้า เช่นในกรณี กฟผ. มีภาระหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศสูงถึงร้อยละ 57 ของหนี้เงินกู้ทั้งหมด หรือประมาณ 141,200 ล้านบาท ซึ่ง กฟผ. วางแผนที่จะลดสัดส่วนหนี้เงินกู้ต่างประเทศลงให้เหลือร้อยละ 20 ภายในระยะเวลา 3 ปี แต่เนื่องจาก กฟผ. ไม่สามารถดำเนินการได้เอง ต้องได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งประธานที่ประชุมฯ ได้ขอให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาให้การไฟฟ้ามีอิสระในการบริหารหนี้ต่าง ประเทศเพิ่มขึ้น ในกรณีที่เป็นการดำเนินการจากสภาพคล่องของการไฟฟ้า มิใช่เป็นการกู้เงินในประเทศเพื่อมาชำระหนี้เงินตราต่างประเทศ
3.รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสมบัติ อุทัยสาง) เรียนต่อที่ประชุมเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ กฟน. ได้เร่งรัดการดำเนินการจัดหาเครื่องวัดโดยอัตโนมัติ (AMR) ซึ่งเป็นการดัดแปลงเครื่องวัดฯ เดิม ให้เป็น TOU สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัย คาดว่าผู้ใช้ไฟฟ้าจะสามารถเลือกใช้อัตรา TOU ได้ในราวเดือนมกราคม 2545 ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่เลือกใช้อัตรา TOU ที่อัตราค่าพลังงานไฟฟ้าในช่วง Off-Peak (เวลา 22.00 - 9.00 น. ของวันจันทร์ - วันศุกร์ และวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดราชการปกติทั้งวัน) จะถูกกว่าในช่วง Peak (เวลา 9.00 - 22.00 น. ของวันจันทร์ - วันศุกร์) มาก จะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง ในช่วง Off-Peak ได้รับการลดค่าไฟฟ้าลงได้ ในเรื่องนี้ ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าควรมีการดูแลเรื่องการกำหนด คุณลักษณะเฉพาะของมิเตอร์ ให้มีความโปร่งใส เพื่อมิให้เกิดการร้องเรียนจากผู้ผลิตมิเตอร์ภายในประเทศ
4.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงการดูแลค่าความสูญเสียในระบบของการไฟฟ้า ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงว่า ค่าความสูญเสียในระบบของการไฟฟ้า มีการดูแลใน 2 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าไฟฟ้าฐาน จะมีการ ดูแลเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของการไฟฟ้า หรือค่า X ไว้แล้ว โดยให้กิจการผลิต กิจการระบบส่ง และ กิจการระบบจำหน่ายและกิจการบริการลูกค้า ต้องปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงซึ่งรวมถึงการสูญเสียในระบบในอัตรา ร้อยละ 5.8 2.6 และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ และ (2) กำหนดให้ค่าความสูญเสียในระบบของ การไฟฟ้าเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการประเมินผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะมีผลต่อการปรับเงินเดือน โบนัสของพนักงานการไฟฟ้าอีกส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าน่าจะนำมาตรฐานอุตสาหกรรมเข้ามาเป็นเกณฑ์ในการวัดด้วย รวมทั้ง ควรมีการวิเคราะห์ และรายงานผลทุกไตรมาส เพื่อจะได้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง และให้การไฟฟ้าอธิบายถึงสาเหตุที่มีการเปลี่ยนแปลงด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและมอบหมายให้ สพช. รับไปดำเนินการตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีในข้อ 4 เกี่ยวกับรายงานผลการดำเนินงานทุกไตรมาส
สรุปสาระสำคัญ
1. การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (Independent Power Producers : IPP) ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก IPP เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2537 ปัจจุบันมีความคืบหน้าสรุปได้ดังนี้ คือ
1.1 โครงการ IPP ที่ขายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้วมี 2 โครงการ คือ โครงการ Tri Energy Co., Ltd. (TECO) และโครงการ Independent Power (Thailand) Co., Ltd. (IPT) โดยจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 15 สิงหาคม 2543 ตามลำดับ
1.2 โครงการ Eastern Power & Electric Co., Ltd. (EPEC) และโครงการ Bowin Power Co.,Ltd. อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและระบบสายส่งเชื่อมโยง
1.3 โครงการ IPP 2 โครงการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง คือ บริษัท Gulf Power Generation Co., Ltd. และบริษัท Union Power Development Co., Ltd. ประสบปัญหาความ ล่าช้า เนื่องจากต้องจัดให้มีการประชาพิจารณ์ก่อน และได้ขอเลื่อนกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินโครงการตามแผนงาน
1.4 โครงการ BLCP อยู่ระหว่างการศึกษาการขุดลอกร่องน้ำเพื่อก่อสร้างท่าเทียบเรือขนถ่ายถ่าน หิน ในส่วนสิทธิการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ซึ่งเป็นสถานที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้า อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกันระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกรม เจ้าท่า
2. การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration รวมทั้ง เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการลงทุนในระบบการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าของรัฐลง ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้าแล้วรวม 61 ราย ในจำนวนนี้เป็น SPP ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว 45 ราย มีปริมาณไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบรวม 1,863 เมกะวัตต์
3. การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีความคืบหน้าสรุปได้ดังนี้
3.1 ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) โครงการผลิตไฟฟ้าที่ สปป.ลาว เสนอจะขายไทยมี 8 โครงการ รวมกำลังการผลิต 3,596 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการน้ำเทิน 2 ซึ่ง กฟผ. และกลุ่มผู้ลงทุนโครงการได้ลงนาม MOU ไปแล้วเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2543 และเมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2544 นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทย และได้ร้องขอให้ฝ่ายไทยเร่งดำเนินการเจรจาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโครงการน้ำเทิน 2 เพื่อนำไปสู่การลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในเดือนตุลาคม 2544 ซึ่งฝ่ายไทยรับจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกำหนด ส่วนโครงการอื่นๆ ให้ชะลอการเจรจารับซื้อไว้ก่อน โดยรัฐบาลจะประเมินความต้องการใช้ ไฟฟ้าในประเทศอีกครั้ง
3.2 ประเทศสหภาพพม่า โครงการผลิตไฟฟ้าที่สหภาพพม่าเสนอจะขายให้ไทยมี 4 โครงการ ได้แก่ โครงการน้ำกก (42 เมกะวัตต์) โครงการฮัจยี (300 เมกะวัตต์) โครงการท่าซาง (3,500 เมกะวัตต์) และโครงการคานบวก (1,500 เมกะวัตต์) กำลังการผลิตรวม 5,342 เมกะวัตต์ ปัจจุบัน กฟผ. ได้ดำเนินการศึกษาความเป็น ไปได้ของระบบสายส่งที่จะขายไฟฟ้าเข้าระบบของพม่าในปริมาณ 100 - 150 เมกะวัตต์ โดยจะส่งไฟจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ไปยังเมือง Bago (หงสาวดี) แต่ขณะนี้ได้หยุดชะงักลงเนื่องจากปัญหาทางด้าน การเมือง
3.3 ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย - จีน ได้ลงนามในความ ตกลงเรื่อง "การร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำยูนนานจิงหง ระหว่างกลุ่มผู้ลงทุนไทย - จีน" เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2543 โดย กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ จากโครงการนี้ในปี 2556 และอีก 1 โครงการ ในปริมาณ 1,500 เมกะวัตต์ ในปี 2557 และได้ตกลงที่จะใช้ระบบสายส่งขนาด 500 kV DC ส่งไฟฟ้าจำนวน 3,000 เมกะวัตต์ โดยมีแนวสายส่งผ่านพื้นที่ สปป.ลาว นอกจากนั้น ได้เห็นชอบให้โรงไฟฟ้า พลังน้ำยูนนานจิงหง เข้าร่วมการซื้อขายไฟฟ้าในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool) ของไทยด้วย
3.4 ประเทศกัมพูชา คณะกรรมการซื้อขายไฟฟ้าไทย - กัมพูชา ได้มีการหารือที่จะรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. ในปริมาณ 25 - 30 เมกะวัตต์ เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัดของกัมพูชา ได้แก่ บันเทอมีนเจย เสียมราฐ และพระตะบอง โดยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ที่ผ่านมา คณะกรรมการฝ่ายไทยได้มีมติเห็นชอบให้ กฟผ. ใช้สายส่งของ กฟภ. ส่งไฟฟ้าจากสถานีวัฒนานครไปยังชายแดนไทย ที่อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว อัตราค่าไฟฟ้าที่จะจำหน่ายให้แก่กัมพูชา ณ จุดส่งมอบเท่ากับผลบวกของอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีกประเภทกิจการขนาดใหญ่ (115 kV) รวมกับค่าเฉลี่ยเงินชดเชยรายได้ที่ กฟภ. ได้รับจาก กฟน. เท่ากับ 0.1459 บาท/หน่วย และค่าไฟฟ้าผันแปร โดยบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ก่อสร้างสายส่งช่วงต่อจากชายแดนไทย ไปยัง 3 จังหวัดของกัมพูชาและคาดว่าจะจ่ายไฟฟ้าให้แก่กัมพูชาได้ในปี 2547
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งฝ่าย เลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า รัฐบาลสามารถสั่งการให้หยุดหรือดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ เพียงแต่ว่าการสั่งยกเลิกโครงการนั้น รัฐจะต้องจ่ายค่าปรับ ยกเว้นกรณีที่โครงการไม่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพราะไม่ สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขในการขอใบอนุญาตได้ซึ่งในกรณีนี้รัฐไม่ต้องเสียค่า ปรับ อย่างไร ก็ตาม ประธานที่ประชุมฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) เห็นว่า การ ตัดสินใจให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปจะต้องกระทำอย่างรอบคอบ เนื่องจากต้องระมัดระวังในเรื่องของมลภาวะที่จะเกิดขึ้น ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ประเด็นปัญหามลภาวะไม่น่าเป็นห่วง เนื่องจากรัฐได้มีการกำหนด มาตรการป้องกันมลภาวะที่เข้มงวดอยู่แล้ว รวมทั้งโครงการจะต้องได้รับอนุมัติรายงานการศึกษาผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม (EIA) ด้วย และเจ้าของโครงการ IPP เองยังได้จัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือประชาชนในบริเวณใกล้เคียงที่อาจได้รับ ผลกระทบจากการผลิตไฟฟ้าอีกด้วย
2.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า หากราคารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านไม่สูงกว่าต้นทุน ที่ผลิตไฟฟ้าใช้เองในประเทศ ก็สมควรที่จะรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเป็นการให้ความช่วยเหลือประเทศเหล่านั้น ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เป็นแนวทางที่ได้นำมาปฏิบัติอยู่แล้ว
3.เนื่องจาก กฟผ. จะต้องเตรียมการจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัดและนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประธานที่ประชุมฯ จึงมีความเห็นว่า กฟผ. ควรกำหนดแผนกลยุทธ์การดำเนินงานในอนาคตให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะการพิจารณาลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าในต่างประเทศ เนื่องจากศักยภาพในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ในประเทศมีข้อจำกัด ซึ่งผู้แทน กฟผ. รับที่จะไปหารือกับ สพช. ต่อไป ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในอนาคตเมื่อมีการแปรรูป กฟผ. ออกเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 และนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว บริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และ 2 ก็สามารถลงทุนในต่างประเทศได้เช่นเดียวกับโครงการของบริษัทผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ที่ได้มีการลงทุนในโครงการน้ำเทิน 2 ใน สปป. ลาว
4.ประธานที่ประชุมฯ มีข้อห่วงใยในเรื่องการจัดหาปริมาณกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองว่า นอกจากจะต้องจัดหาให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศแล้ว จะต้องไม่อยู่ในระดับสูงเกินไป และในขณะเดียวกันก็ควรคำนึงถึงการประหยัดและการใช้พลังงานอย่างมี ประสิทธิภาพมากที่สุดโดยไม่ควรมองเพียงด้านใดด้านหนึ่ง
5.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) ได้สอบถามถึงความคืบหน้าในการดำเนินโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว ซึ่งผู้แทนจาก กฟผ. ได้ชี้แจงว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการเจรจาโครงการน้ำเทิน 2 ให้สามารถลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเบื้องต้น (Initial Power Purchase Agreement : Initial PPA) ได้ภายในเดือนตุลาคม 2544 ส่วนโครงการอื่นๆ ที่เหลือได้ชะลอ การเจรจารับซื้อไว้ก่อนเนื่องจากจะต้องประเมินความต้องการใช้ในประเทศอีก ครั้ง อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ประเทศยังมีความจำเป็นที่จะต้องการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าซึ่ง จะมีผลต่อความมั่นคงด้านพลังงาน ลดความเสี่ยง และสร้างอำนาจการต่อรองราคาพลังงานของประเทศด้วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 6 ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขต ต่อเนื่อง โดยได้มอบหมายหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมทะเบียนการค้า และกรมสรรพากร รับไปดำเนินการออกระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อรองรับการดำเนินโครงการดังกล่าว รวมทั้งเพื่อให้มีการยกเว้นภาษีอากรต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันในโครงการถูกลง สามารถแข่งขันได้
2. โครงการฯ นี้ ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการได้ปีต่อปีเท่านั้น โดยในปีแรกจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2544 และกำหนดให้มีการประเมินผลปลายปี โดยในทางปฏิบัติ สพช. ได้จัดให้ผู้ค้าน้ำมันในประเทศ ซึ่งเป็นผู้สูญเสียผลประโยชน์เป็นผู้ประเมิน หากผลการประเมินพบว่าได้ผลดีก็จะได้รับการต่ออายุโครงการต่อไป แต่หากไม่ได้ผลดี โครงการนี้ก็ต้องยุติล้มเลิกไป นอกจากนั้น ยังจัดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการนี้ โดยมีผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมเจ้าท่า กรมทะเบียนการค้า กรมประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ สพช. เป็นคณะกรรมการ เพื่อให้การพิจารณาอนุญาตและการตรวจสอบควบคุมกระทำกันเป็นหมู่คณะ
3. โครงการฯ นี้ได้เริ่มจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในเขตต่อเนื่องตั้งแต่ 30 เมษายน 2544 จนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น 7 เที่ยวเรือ ปริมาณน้ำมันที่จำหน่าย 14.8 ล้านลิตร จำหน่ายให้กับเรือประมง 1,236 ลำ โดยมีบริษัทมายื่นความประสงค์ขอจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงจนถึงขณะนี้ รวมทั้งสิ้น 8 บริษัท มีจำนวนเรือสถานีบริการ 13 ลำ และคาดว่าเมื่อกฎหมายของกรมสรรพากรมีผลในการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็จะทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการมากขึ้นอีก โดยมีเป้าหมายจะขยายให้ครอบคลุมทั้งฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยและอันดามัน ซึ่งจะทำให้ชาวประมงได้รับบริการอย่างทั่วถึง
4. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้สั่งการให้ สพช. รับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับข้อเสนอการอนุญาตให้เรือต่างชาติเข้ามาร่วมโครงการฯ ได้โดยไม่ต้องจดทะเบียนเรือไทย เพื่อเป็นการเร่งรัดการขยายโครงการให้กว้างขวางครอบคลุมชายฝั่งทะเลได้เร็ว ขึ้น ซึ่ง สพช. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมเจ้าท่า และกรมสรรพากร และตัวแทนสมาคมเรือไทย เพื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ และข้อดี ข้อเสียตามข้อเสนอดังกล่าว และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่วมกันดังนี้
4.1 กรณีค่าใช้จ่าย ค่าภาษี และค่าจดทะเบียนเรือไทยซึ่งผู้ประกอบการอ้างว่าต้องใช้จ่ายจำนวนสูงมากนั้น ในข้อเท็จจริงเรือบรรทุกน้ำมันต่างชาติส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดมีขนาดเกินกว่า 1,000 ตันกรอส ซึ่งจะเสียภาษีในอัตราศูนย์จึงไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ของมูลค่าเรือนั้น ที่ประชุมเห็นว่าอยู่ในวิสัยที่ผู้ประกอบกิจการรับได้
4.2 ประเด็นเรื่องจำนวนเรือบรรทุกน้ำมันที่จดทะเบียนเรือไทยจะไม่เพียงพอ ไม่ใช่ประเด็นปัญหา โดยขณะนี้จำนวนเรือบรรทุกน้ำมันที่จดทะเบียนเรือไทย ที่มีขนาดเกินกว่า 500 ตันกรอส มีจำนวนถึง 154 ลำ และมีเรือต่างชาติที่เตรียมจะจดทะเบียนเรือไทยอีกจำนวนหนึ่ง ในขณะที่ความต้องการใช้เรือของโครงการนี้อยู่ในระดับ 60 ลำขึ้นไป ดังนั้นควรยึดระเบียบหลักเกณฑ์เดิมที่รัฐกำหนด คือต้องเป็นเรือไทยเท่านั้น โดยหากเรือต่างชาติสนใจจะเข้าร่วมโครงการจะต้องยื่นจดทะเบียนเรือไทยก่อน
4.3 สาเหตุที่เรือเข้าโครงการน้อยในขณะนี้มิใช่เกิดจากจำนวนเรือไม่เพียงพอ แต่เป็นเรื่องของราคาน้ำมันที่จำหน่ายยังสูงกว่าน้ำมันที่มาจากต่างประเทศ เนื่องจากการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มยังไม่มีผลบังคับใช้ จึงทำให้ต้นทุนสูงกว่าราคาที่ควรจะเป็น ประมาณลิตรละ 60 สตางค์ ทำให้แข่งขันไม่ได้เต็มที่ สำหรับความ คืบหน้าของร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ขณะนี้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำเสนอต่อสำนักราชเลขาธิการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคม 2544
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามถึงความชัดเจนของวัตถุประสงค์ของโครงการและรูปแบบของน้ำมันเถื่อน ในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งรองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ชี้แจงว่ารูปแบบดั้งเดิมจะมีเพียงการลักลอบนำเข้าทางทะเลเท่านั้น แต่ปัจจุบันจะมีรูปแบบใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เช่น การขอคืนภาษีของรัฐโดยมิชอบ และการลักลอบนำสารโซลเว้นท์ซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีไปปลอมปนลงในน้ำมันเชื้อ เพลิง ซึ่งวิธีนี้เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอีกวิธีหนึ่ง
2.นอกจากนี้ ประธานที่ประชุมฯ ได้เสนอว่าควรมีการนำข้อมูลการผลิต จำหน่าย และส่งออกมาเชื่อมโยงกันให้เป็นระบบ เพื่อให้ทราบว่าปริมาณน้ำมันนำเข้าและส่งออกที่ถูกต้องควรเป็นเท่าไร แล้วนำไป เปรียบเทียบกับข้อมูลการเก็บภาษีและคืนภาษี ก็จะเห็นได้ทันทีว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันเข้าใจว่า ยังไม่มีการดำเนินการเช่นนี้ ทำให้เป็นจุดอ่อนของรัฐให้เกิดการทุจริตขึ้นได้
มติของที่ประชุม
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาว ประมงในเขตต่อเนื่อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีในข้อ 2
เรื่องที่ 7 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยปลูกจิตสำนึกและรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเพื่อให้เกิดผลในการ ใช้ พลังงานทุกชนิดอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเสนอแนะวิธีการอนุรักษ์พลังงานที่เข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่ายให้แก่ ประชาชนทั่วไป โดยการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2544 สพช. ได้เน้นกิจกรรมรณรงค์ที่เปิดโอกาสให้ ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่ายส่วนตัวและยังเป็นการช่วยชาติอีกทางหนึ่ง โดยมีกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ดังนี้
1) กิจกรรมด้านการประหยัดไฟฟ้าในครัวเรือน : เป็นชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า"
2) กิจกรรมด้านการประหยัดน้ำมันในพาหนะส่วนบุคคล : ประกอบด้วย ชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน" และ ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91"
3) กิจกรรมปลูกจิตสำนึกสำหรับประชาชนทั่วไปและประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. กิจกรรมชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัดไฟฟ้า" มีเป้าหมายให้แต่ละครัวเรือนแข่งขันกับตนเองในการประหยัดไฟฟ้าแต่ละเดือน และหากสามารถประหยัดได้ร้อยละ 10 ขึ้นไปของจำนวนหน่วยไฟฟ้าฐานเฉลี่ยของบ้านตนเองใน 3 เดือน คือ มิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 20 ของจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ลดลงได้ในเดือนนั้น โดยระยะเวลาการให้ส่วนลดจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน 2544 - สิงหาคม 2545 ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ"
3. กิจกรรมชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธีเพื่อประหยัดน้ำมัน" เป็นการรณรงค์เพื่อ ส่งเสริมให้ผู้ใช้รถขับรถอย่างถูกวิธีและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ โดย สพช. จะจัดทำคู่มือขับรถอย่างถูกวิธีออกแจกให้ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ จากนั้นให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือ ส่วนกิจกรรมชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91" เป็นกิจกรรมสานต่อเพื่อสร้างความมั่นใจผ่านสื่อต่างๆ โดย สพช. ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงความจำเป็นในการช่วยกันประหยัดพลังงาน และแจ้งกิจกรรมที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมให้ทราบโดยผ่าน สื่อมวลชน รวมทั้งผลิตคู่มือในการประหยัดพลังงานในบ้าน และในการเดินทางขนส่ง แจกให้ประชาชน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะข้าร่วมโครงการการแข่งขันประหยัดไฟฟ้าและ น้ำมัน
4. โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับประชาชนทั่วไป ปีงบประมาณ 2545 มีโครงการที่จะขยายผลต่อจากปี 2544 และต้องการที่จะรณรงค์สร้างจิตสำนึกและความเข้าใจถึงวิกฤตเศรษฐกิจ ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ โดยการใช้พลังงานอย่างประหยัดโดยมีประเด็นหลักคือ โครงการสร้างเสริมความเข้าใจถึงผลของการประหยัดพลังงานที่มีต่อเศรษฐกิจของ ประเทศ โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ (ระยะที่ 2) และโครงการรวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน (ระยะที่ 2) เป็นต้น
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อที่ประชุมเกี่ยวกับโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานว่า ควรเน้นที่เด็กนักเรียนโดยดำเนินการให้มีการแข่งขันประหยัดน้ำมันรถยนต์ใน โรงเรียนขึ้น เพื่อส่งผลสืบเนื่องไปยังผู้ปกครองของนักเรียน นอกจากนั้น ในเวลากลางคืนควรมีการหรี่หรือปิดไฟในถนนบางสายโดยเฉพาะถนนของการทางพิเศษ แห่งประเทศไทย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและให้ สพช. รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี ไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 8 แนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินในประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2530 เห็นชอบแนวทางในการพัฒนาลิกไนต์และได้มีมติเกี่ยวกับผลการสำรวจเบื้องต้นว่า หากกรมทรัพยากรธรณีสำรวจเบื้องต้นพบว่าแหล่งลิกไนต์ในพื้นที่ใดเหมาะสมแก่ การผลิตไฟฟ้าก็ให้กันพื้นที่ไว้ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ส่วนพื้นที่ที่เหลือให้นำไปประมูลคำขออาชญาบัตรพิเศษเพื่อให้เอกชนดำเนินการ ต่อไป
2. ในระหว่างปี 2531 - 2533 กรมทรัพยากรธรณีได้ดำเนินการสำรวจและประเมินศักยภาพถ่านหินในพื้นที่รวม 13 แอ่ง ในจำนวนนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้กรมทรัพยากรธรณีกันพื้นที่แอ่งสิน ปุน แอ่ง เวียงแหง และแอ่งงาว ให้ กฟผ. ไว้ใช้ผลิตไฟฟ้า แต่เนื่องจากผลการศึกษาการพัฒนาแหล่งถ่านหินเวียงแหงเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าในขณะ นั้นพบว่ายังไม่เป็นประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 ให้ กฟผ. คืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงให้กรมทรัพยากรธรณี และมีมติให้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์วิธีการให้อาชญาบัตรและประทานบัตรว่าถ้า พื้นที่ใดมีถ่านหินก็ให้กรมทรัพยากรธรณีเปิดประมูลการขออาชญาบัตรพิเศษ ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510
3. ต่อมาในปี 2541 กฟผ. ได้ทบทวนแผนการศึกษาความเหมาะสมของแหล่งเวียงแหงเพื่อนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าที่ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ เพื่อช่วยลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากถ่านหินที่แอ่งเวียงแหงมีกำมะถันต่ำประมาณ 0.3 - 2.8% กฟผ. จึงนำเสนอต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ขอ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 ขอคืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงเพื่อพัฒนานำมาใช้กับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่ง สลค. ได้มีหนังสือถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ข้อสรุปว่าควรให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อคืนแหล่งถ่านหินเวียงแหงให้ กฟผ. โดยมีเงื่อนไขว่า กฟผ. จะต้องศึกษาความเหมาะสมของโครงการทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในรายละเอียด ให้ชัดเจน และมีการจัดทำประชาพิจารณ์ก่อนการอนุมัติให้ดำเนินโครงการ แต่หลังจากนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลง รัฐบาล
4. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 84) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2544 ได้มีมติมอบหมายให้ สพช. รับไปหารือร่วมกับกรมทรัพยากรธรณี และ กฟผ. เกี่ยวกับแหล่งถ่านหินเวียงแหง งาว สินปุน และกระบี่ เพื่อพิจารณาให้มีการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2544 สพช. ได้มีการประชุมหารือกับกรมทรัพยากรธรณี และ กฟผ. เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาแหล่งถ่านหินดังกล่าว โดย สพช. และ กฟผ. มีข้อเสนอให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อคืนแหล่งถ่านหินวียงแหงและแหล่งสะบ้าย้อยให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล แต่ให้ กฟผ. คืนแหล่งงาว และแหล่งสินปุน ให้แก่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อนำไปเปิดประมูลต่อไป
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ผู้แทนกรมทรัพยากรธรณี (กทธ.) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า กทธ. เห็นชอบกับหลักการตามข้อเสนอของฝ่ายเลขานุการฯ แต่ทั้งนี้ ขอให้ กฟผ. และ สพช. ร่วมกันจัดแผนการใช้ถ่านหินของแหล่งเวียงแหงและ สะบ้าย้อยให้มีความชัดเจนขึ้น
2.ผู้แทนจาก กฟผ. ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า กฟผ. จำเป็นต้องใช้ถ่านหินจากแหล่งเวียงแหงประมาณ ร้อยละ 10 มาผสมกับถ่านหินที่เหมืองแม่เมาะเพื่อช่วยลดมลภาวะที่เกิดขึ้น เนื่องจากถ่านหินที่แหล่งเวียงแหงมีคุณภาพดีกว่าที่เหมืองแม่เมาะ และขณะนี้กำลังดำเนินการขออนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งคาดว่าจะ สามารถนำถ่านหินจากแหล่งเวียงแหงมาใช้ได้ประมาณกลางปี 2548 ซึ่งจะใกล้เคียงกับช่วงที่สัญญาซื้อขายถ่านหินจากเอกชนที่นำมาใช้ผสมที่แม่ เมาะจะสิ้นสุดลงภายใน 3 - 5 ปีข้างหน้า
3.ประธานที่ประชุมฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับลักษณะการลงทุนพัฒนาในแหล่งเวียงแหง และการเปลี่ยนเชื้อเพลิงอื่นสำหรับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ รวมทั้งความคืบหน้าในการติดตั้งเครื่องจำกัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งผู้แทน กฟผ. ได้ชี้แจงว่า การลงทุนเพื่อดำเนินการที่แหล่งเวียงแหงเป็นการลงทุนร่วมระหว่าง กฟผ. กับเอกชน ส่วนเครื่องผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะเป็นเครื่องที่ใช้ได้เฉพาะถ่านหิน เท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนเป็น เชื้อเพลิงชนิดอื่นได้ โดยขณะนี้มีเครื่องผลิตไฟฟ้าจำนวนรวม 13 หน่วย และการติดตั้งเครื่องกำจัดก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ติดตั้งครบทุกหน่วยแล้ว ยกเว้นหน่วยที่ 1 - 3 ซึ่งได้ปิดดำเนินการแล้ว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบให้มีการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2535 เพื่อกันแหล่ง ถ่านหินเวียงแหงและแหล่งสะบ้าย้อยให้ กฟผ. เข้าไปพัฒนาเพื่อนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า โดยไม่ต้องมีการเปิดประมูล แต่ให้ กฟผ. คืนแหล่งงาว และแหล่งสินปุน ให้แก่กรมทรัพยากรธรณีเพื่อนำไปเปิดประมูลต่อไป
2.เห็นชอบให้กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งกำหนดหลักเกณฑ์ให้เอกชนเข้ามาเปิดประมูลการขออาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ใน พื้นที่ที่สำรวจพบถ่านหินเบื้องต้นตามมาตรา 6 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510
เรื่องที่ 9 ราคาจำหน่ายไฟฟ้าประเทศเพื่อนบ้าน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2539 ได้พิจารณาเรื่อง การจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้ สปป.ลาว และที่จะจำหน่ายแก่ประเทศเพื่อนบ้านใน แต่ละจุดเป็นอัตราที่อยู่ในระดับเดียวกันกับอัตราที่จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ ไฟฟ้าในประเทศตามโครงสร้างประเภท ผู้ใช้ไฟฟ้าของ กฟภ. ทั้งนี้ให้ กฟภ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจาและกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้า ในลักษณะที่อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทยได้ภายใต้หลักการดัง กล่าว
2. กฟภ. ได้จำหน่ายไฟฟ้าให้กับประเทศเพื่อนบ้านเมื่อเดือนกรกฎาคม 2544 รวม 6.86 ล้านหน่วย มีมูลค่า 16.4 ล้านบาท โดยขายให้สหภาพพม่า จำนวน 1.83 ล้านหน่วย ณ จุดเขตชายแดนบริเวณจังหวัดเชียงราย ตาก และกาญจนบุรี ขายให้ สปป. ลาว จำนวน 0.79 ล้านหน่วย ณ จุดชายแดน ที่จังหวัดเชียงรายและเลย และขายให้กัมพูชา จำนวน 4.24 ล้านหน่วย ที่จุดชายแดนจังหวัดสระแก้ว ตราด และสุรินทร์
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2543 รัฐบาลไทยและกัมพูชาได้ลงนามความตกลงในโครงการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้า ระหว่างไทย - กัมพูชา เพื่อสนับสนุนการซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง 2 ประเทศ โดยไทย จะขายไฟฟ้าให้กับ 3 จังหวัดของกัมพูชา จำนวน 25 - 30 เมกะวัตต์ และให้ความร่วมมือในการวางแผนและก่อสร้างระบบสายส่งเชื่อมโยงกัน ตลอดจนให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการและการฝึกอบรมแก่กัมพูชา
4. ในการประชุมคณะกรรมการความร่วมมือด้านพลังงานไฟฟ้าระหว่างประเทศไทยกับ กัมพูชาฝ่ายไทยเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ที่ประชุมได้มีมติในส่วนขององค์ประกอบค่าไฟฟ้าที่จะขายให้ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ได้ราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ประเทศเพื่อนบ้านตามมติคณะ รัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นยังไม่ได้รวมเงินชดเชยรายได้จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ดังนั้น ที่ประชุมจึงมีมติ ให้บวกส่วนที่เป็นเงินชดเชยรายได้จาก กฟน. ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 0.1459 บาท/หน่วย เข้าไปในอัตราค่าไฟฟ้าที่จะขายให้กัมพูชา ดังนั้นค่าไฟฟ้ารวมจึงเท่ากับ ค่าไฟฟ้าอัตราตามช่วงเวลาของการใช้ (TOU) ขายให้ผู้ใช้ไฟประเภทกิจการขนาดใหญ่ รวมค่าชดเชยรายได้ต่อหน่วยจำหน่ายของ กฟภ. (0.1459 บาท/หน่วย) บวกกับค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) และค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม (0)
การพิจารณาของที่ประชุม
1.รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย) มีความเห็นว่า หากพิจารณาในด้านการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว การจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ สปป.ลาว สหภาพพม่าและ-กัมพูชาในอัตราเดียวกันกับที่จำหน่ายไฟฟ้าในประเทศจะเป็นการ ช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านวิธีหนึ่ง เช่น เดียวกับการมอบเงินช่วยเหลือเพื่อสร้างถนนและสาธารณูปโภคต่างๆ
2.ประธานที่ประชุมฯ เห็นว่าในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านควรแยกระหว่างการค้า กับความช่วยเหลือออกจากกันอย่างชัดเจน ในกรณีของการจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้านน่าที่จะพิจารณาในด้านการค้า เนื่องจากราคาค่าไฟฟ้าที่จำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านจะต้องสะท้อนถึงต้น ทุนตามที่เป็นจริง ซึ่งจะสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบในหลักการให้ราคาจำหน่ายไฟฟ้าที่ กฟภ. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่จำหน่ายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านในแต่ละจุดเท่ากับอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟภ. จำหน่ายให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้ารวมกับค่าชดเชยรายได้ต่อหน่วยจำหน่ายของ กฟภ.
2.ทั้งนี้ ให้ กฟภ. และ กฟผ. มีความยืดหยุ่นที่จะสามารถเจรจา และกำหนดรูปแบบราคาจำหน่ายไฟฟ้า ในลักษณะที่อาจแตกต่างจากโครงสร้างค่าไฟฟ้าของประเทศไทยได้ภายใต้หลักการดัง กล่าว เช่น อาจกำหนดเป็นอัตราคงที่ (Flat Rate) เป็นต้น
เรื่องที่ 10 ข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 เห็นชอบ แนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ดังนี้ 1) ให้ทยอยปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กิโลกรัม โดยให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาดำเนินการในช่วงเวลาที่ เหมาะสม 2) ให้กรมการค้าภายในรับไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปรับราคาขาย ปลีกก๊าซหุงต้ม และ 3) มอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานรับไปพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหา โครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน (กพง.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2544 เห็นชอบการปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กิโลกรัม และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(สพช.) เป็นผู้กำกับดูแลการเปลี่ยนแปลงราคาขายส่ง โดยความเห็นชอบของประธานกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน และให้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อทำการศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซ ปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว
3. คณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว ได้จัดทำข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลกในเดือนกันยายน 2544 ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับ 224 $/ตัน ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG อยู่ในระดับ 9.22 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ 2.78 บาท/กก. หรือ 430 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มราคาก๊าซ LPG ในไตรมาส 3 ปี 2544 จะเคลื่อนไหวในระดับ 230 - 260 $/ตัน อัตราเงินชดเชยอยู่ในระดับ 3.30 - 4.50 บาท/กก. หรือ 508 - 690 ล้านบาท/เดือน กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 882 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายชดเชยราคาก๊าซ LPG ในระดับ 430 ล้านบาท/เดือน กองทุนฯ มีเงินไหลเข้าสุทธิ 452 ล้านบาท/เดือน ประมาณการฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ ติดลบในระดับ 14,483 ล้านบาท
3.2 กพง". ได้มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ให้เท่ากับราคาปิโตรมิน - 16 $/ตัน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2544 เป็นต้นมา คณะทำงานฯ จึงเสนอให้มีการกำหนดราคารับประกันระดับราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซ LPG ต่ำสุดในระดับ 200 $/ตัน โดยให้มีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงตามราคาก๊าซธรรมชาติทุก 6 เดือน
3.3 ในการปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซ LPG คณะทำงานฯ ได้มอบหมายให้ สพช. ขอความเห็นจากประธาน กพง. เพื่อปรับขึ้นราคาขายส่งก๊าซ LPG ในระดับที่ทำให้ราคาขายปลีกรวมภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นรวม 1 บาท/กก. และแจ้งให้กรมการค้าภายในทราบเพื่อดำเนินการออกประกาศเปลี่ยนแปลงราคาขาย ปลีกก๊าซหุงต้มให้สอดคล้องต่อไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือนกันยายนนี้
3.4 คณะทำงานฯ ได้เสนอให้ใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือการปรับราคาโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันปัญหาหนี้ใหม่ ที่อาจเกิดจากความผันผวนของราคาตลาดโลก ซึ่งคณะทำงานฯ เสนอทางเลือกการดำเนินการ ดังนี้ 1) ปรับราคาขายส่งและขายปลีกขึ้น 1 บาท/กก. ในเดือนกันยายน 2544 แล้วให้ดำเนินการยกเลิกควบคุมราคาขายปลีกโดยใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" 2) ให้ยกเลิกควบคุมราคาขายปลีก โดยใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" ทันที เมื่อราคาตลาดโลกปรับตัวขึ้น จึงค่อยปรับราคาขึ้น 3) ยังคงใช้ระบบควบคุมราคาขายปลีกก๊าซ LPG การปรับราคาขายส่งและขายปลีกตามมติ กพช. ให้ปรับขึ้นได้ครั้งละไม่เกิน 1 บาท/กก. ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
3.5 ควรลดภาระรายจ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยลดการใช้ LPG และการให้ความ ช่วยเหลือผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม การควบคุมการส่งออกก๊าซ LPG การลดรายจ่ายกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในส่วนงบปราบปรามน้ำมันเถื่อน ให้มีแผนการชำระหนี้ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในจำนวนที่แน่นอนในแต่ละเดือน ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นลงสู่ระดับต่ำสุด ภายในปี 2547 และควรแยกบัญชีรายรับ/รายจ่ายกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ออกจากน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดอื่นเมื่อฐานะกองทุนน้ำมันฯ เป็นบวก และชำระหนี้หมด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.การแก้ปัญหาหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับผู้ค้าก๊าซฯไม่สามารถทำได้เนื่องจากกองทุน น้ำมันฯ ไม่ใช่นิติบุคคล รัฐจึงต้องมีแผนชัดเจนในการชำระหนี้ โดยเฉพาะหนี้ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) จำนวน 8,960 ล้านบาท หากรัฐไม่มีความชัดเจนจะเป็นอุปสรรคต่อการแปรรูปของ ปตท. ได้ โดยนักลงทุนไม่มีความมั่นใจ ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นและรายได้จากการแปรรูปของปตท. ลดลง
2.ในการแก้ปัญหาหนี้สินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รัฐควรแยกประเด็นการช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนออกมาจากระบบการค้าและราคา เพื่อมิให้เกิดการบิดเบือนโครงสร้างราคาและระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ซึ่งจะมุ่งไปสู่ระบบการค้าสากลและเสรี และทำให้การช่วยเหลือประชาชนมีความชัดเจน นอกจากนี้ การใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่มีความเหมาะสมกับภาวะ ปัจจุบัน เพราะจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบข้อเสนอการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและหนี้สินกองทุน น้ำมันเชื้อเพลิงของคณะทำงานศึกษาการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวในระยะยาว ตามข้อ 3
2.เห็นชอบการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" และมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาทางเลือกการ ดำเนินการในการใช้ระบบราคา "กึ่งลอยตัว" หรือ การปรับราคาโดยอัตโนมัติ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 เห็นชอบแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เร่งรัดการจัดทำประเด็นนโยบายให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนด และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแปรรูป ปตท. ตามขั้นตอนการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีความคืบหน้าในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้
1.1 การดำเนินการในประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การเร่งการดำเนินการยกเลิกการควบคุมราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและการจัดทำแผน การใช้หนี้เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว การจัดทำแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และการจัดทำแนวทางความร่วมมือระหว่างบริษัทบางจากฯและบริษัท ไทยออยล์ฯ และการถือหุ้นในบริษัท บางจากฯ ของ ปตท. ได้มีการ ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือการกำกับดูแลอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติในระยะสั้น ซึ่ง สพช. อยู่ระหว่างดำเนินการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลที่ ชัดเจนและโปร่งใส ซึ่งจะสามารถนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้ความเห็นชอบได้ในการ ประชุมครั้งต่อไป ภายในเดือนกันยายน 2544 นี้
1.2 ความก้าวหน้าในการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย มีดังนี้
(1) หลังจากคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ (กนท.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2544 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแปรรูป ปตท. คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทฯ ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณารายละเอียดเกี่ยวกับ บมจ. ปตท. ที่จะจัดตั้งขึ้นโดยการเปลี่ยนทุนของ ปตท. เป็นหุ้นของ บมจ. ปตท. ได้แก่ การกำหนดกิจการ สิทธิ หน้าที่ความรับผิดชอบ สินทรัพย์ ทุนจดทะเบียน รวมทั้ง เรื่องพนักงาน โครงสร้างการบริหารงาน หนังสือบริคณห์สนธิ และข้อบังคับบริษัทซึ่งอยู่ระหว่างรอสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และผู้เกี่ยวข้องจากคณะกรรมการจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการ แปลงสภาพ ปตท. เพื่อประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการจัดตั้ง บมจ.ปตท. และนำเสนอ กนท. และ คณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติการจัดตั้ง บมจ. ปตท. ในส่วนของการทำงาน คณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชนในการแปรสภาพ ปตท. มีหน้าที่กำกับดูแลการจัดโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่จะใช้ในการระดมทุน กำกับดูแลการประเมินทรัพย์สินของบริษัท และกำหนดแนวทางในการระดมเงินทุน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
(2) โดยที่ภาครัฐกำหนดให้ ปตท. ดำเนินการแปรรูปให้แล้วเสร็จภายในปี 2544 จึงมี ผลให้การดำเนินการในเรื่องเกี่ยวกับแผนการซื้อขายหุ้นต้องเร่งพิจารณา พร้อมกับการดำเนินการแปลงสภาพ ปตท. เป็นบริษัท ตามพระราชบัญญัติทุนฯ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปเรื่องทั้งหมดได้ พร้อมเสนอ กนท. และคณะรัฐมนตรีในวันที่ 20 และ 25 กันยายน 2544 ตามลำดับ ส่วนแผนและแนวทางการเสนอขายหุ้น ปตท. ควรนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่ออนุมัติภายในเดือนกันยายน 2544
2. แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวของ ปตท. มีดังนี้
2.1 ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตของกลุ่มผู้ใช้ต่างๆ คาดว่าจะมีประมาณ 2,444 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 และเพิ่มเป็น 3,914 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559 โดยสามารถแยกกลุ่มผู้ใช้ได้เป็นดังนี้
(1) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. และผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน ในกรณีมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรอง (Reserve Margin) 15% ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของ กฟผ. ในปี 2545 อยู่ในระดับ 1,289 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และจะลดลงเล็กน้อยอยู่ในระดับ 900-1,166 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงปี 2556-2559 สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP และ SPP) ความต้องการจะเพิ่มจากระดับ 648 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 เป็น 2,024 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559
(2) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคอุตสาหกรรมและการขนส่ง ปริมาณการใช้ในอนาคตจะเพิ่มขึ้นจาก 190 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2545 เป็น 360 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2559
(3) ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้ในโรงแยกก๊าซฯ ปตท. มีแผนขยายโรงแยกก๊าซฯ ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้นเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2556
2.2 การจัดหาก๊าซธรรมชาติในครึ่งแรกของปี 2544 ที่ผ่านมา ปตท. ได้จัดหาก๊าซธรรมชาติจากสัญญาซื้อก๊าซธรรมชาติในแหล่งก๊าซธรรมชาติต่างๆ ในประเทศประกอบด้วย แหล่งเอราวัณ ไพลิน บงกช ทานตะวัน/เบญจมาศ และน้ำพอง รวม 1,821 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากสหภาพพม่า ประกอบด้วย แหล่งยาดานาและแหล่งเยตากุนในปริมาณ 487 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และเพื่อให้การจัดหาเพียงพอกับความต้องการในอนาคต ปตท. จะจัดหาก๊าซฯ จากแหล่งใหม่ 390 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในปี 2550 เป็นต้นไป
3. แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544 - 2554 มีดังนี้
3.1 จากความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในอนาคตของผู้ใช้ก๊าซฯ กลุ่มต่างๆ ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขีดความสามารถของระบบท่อส่งก๊าซฯ ในทะเลในปัจจุบันไม่สามารถรองรับกับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติภายในประเทศ ภายในปี 2549 ได้ ประกอบกับเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม ในการเปิดเสรีกิจการก๊าซธรรมชาติตามนโนบายของรัฐ โดยการเปิดให้มีการให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่บุคคลที่สามได้ ปตท.จึงได้ทบทวนแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซฯ เพื่อให้แผนดังกล่าวมีความสมบูรณ์และ สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยมีโครงการดังนี้
โครงการ กำหนดแล้วเสร็จ
1. โครงการติดตั้ง Compressor กาญจนบุรี พ.ศ. 2546
2. โครงการระบบท่อส่งก๊าซฯรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล พ.ศ. 2547
3. โครงการติดตั้ง Compressor ที่ราชบุรี พ.ศ. 2547
4. โครงการก่อสร้างแท่นผลิตแห่งใหม่(ERP2) พร้อมติดตั้ง Compressorและวางท่อส่งก๊าซฯ จาก ERP2 ไปยัง KP.475 พ.ศ. 2548
5. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยัง ERP- บางประกง พ.ศ. 2548
6. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ.2549/2552
7. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยังจังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2551
8. โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากท่อเส้นที่ 3 ไปอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553
3.2 การดำเนินการตามแผนแม่บทดังกล่าวข้างต้น จะต้องมีการลงทุนในวงเงินรวม 93,060 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาท / เหรียญสหรัฐฯ) โดยจะมีการกระจายการลงทุนไปตามช่วงเวลาที่เหมาะสม และเงินลงทุนทั้งหมดจะเป็นส่วนของทุนที่มาจากรายได้ของ ปตท. และส่วนของเงินกู้ที่มาจากแหล่งเงินกู้ทั้งภายในและต่างประเทศในสัดส่วน 25:75
4. สพช. พร้อมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรมทรัพยากรธรณี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และ ปตท. ได้ร่วมกันพิจารณาแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติฉบับที่ 3 ปี พ.ศ. 2544-2554 แล้ว เห็นด้วยกับข้อเสนอของ ปตท. โดยมีข้อสังเกตว่า ถ้าหากโครงการรับซื้อไฟฟ้าจาก สปป. ลาว และโครงการ โรงไฟฟ้าถ่านหินมีความล่าช้าจากแผนเดิมก็จะทำให้ปริมาณความต้องการก๊าซฯ มีมากกว่าปริมาณการจัดหา แต่หากเศรษฐกิจไทยชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ความต้องการก๊าซฯ อาจจะต่ำกว่าแผนฯ ดังนั้นจึงเห็นควรให้ ปตท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อทบทวนและปรับปรุงแผนให้สอดคล้องกับ สถานการณ์พลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้เพื่อให้การจัดหาก๊าซฯ และการลงทุนในระบบท่อก๊าซฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นว่าหลังการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แล้ว แม้รัฐฯ จะถือหุ้นในบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เกินกว่า 70% ในการค้ำประกันการ ลงทุนของบริษัท ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ไปบริหารการลงทุนเอง เพื่อเป็นตัวอย่างให้รัฐวิสาหกิจอื่นที่จะแปรรูปต่อไป สำหรับภาระหนี้สินที่องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพค้างชำระอยู่กับ ปตท. นั้น ควรที่จะมีการ แก้ไขโดยเร็วเพื่อไม่ให้กระทบกับฐานะทางการเงินของ ปตท. ก่อนที่จะมีการแปรรูปและการกำหนดมูลค่าหุ้นต่อไป
2.ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้ชี้แนะเกี่ยวกับขั้นตอนการนำเสนอและขออนุมัติโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่ใช้เงินกู้ว่าไม่ควรนำเรื่องเสนอ สศช. แต่ควรเสนอกระทรวงการคลังโดยตรง เนื่องจาก ปตท. กำลังจะเปลี่ยนเป็นบริษัทเอกชนในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะช่วยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นในระบบราชการให้น้อยลงด้วย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาว และแผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2544-2554 ตามที่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเสนอ เพื่อใช้เป็นกรอบในการลงทุนการก่อสร้างระบบท่อโดยมีโครงการที่จะอนุมัติใน ช่วงปี 2544-2554 จำนวน 8 โครงการ มีวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 93,060 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ)
2.เห็นชอบให้ใช้แผนแม่บทระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติตามมติของที่ประชุมตามข้อ 1 เป็นกรอบของการพิจารณาในรายละเอียดของโครงการในช่วงปี พ.ศ. 2544-2554 โดยไม่ต้องเสนอขออนุมัติในระดับนโยบาย อีกยกเว้นโครงการที่มีประเด็นนโยบายพิเศษ โดยมีโครงการที่จะขออนุมัติดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2544-2554 ดังนี้คือ
- โครงการ กำหนดแล้วเสร็จ
1.โครงการติดตั้ง Compressor กาญจนบุรี พ.ศ. 2546
2.โครงการระบบท่อส่งก๊าซฯรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล พ.ศ. 2547
3.โครงการติดตั้ง Compressor ที่ราชบุรี พ.ศ. 2547
4.โครงการก่อสร้างแท่นผลิตแห่งใหม่(ERP2) พร้อมติดตั้ง Compressorและวางท่อส่งก๊าซฯ จาก ERP2 ไปยัง KP.475 พ.ศ. 2548
5.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยัง ERP- บางประกง พ.ศ. 2548
6.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากแหล่งพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย พ.ศ.2549/2552
7.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จาก KP. 475 ไปยังจังหวัดราชบุรี พ.ศ. 2551
8.โครงการท่อส่งก๊าซฯ จากท่อเส้นที่ 3 ไปอำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2553
3.เห็นชอบกับขั้นตอนการนำเสนอ และขออนุมัติโครงการ ดังนี้
3.1 ให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เสนอรายละเอียดของโครงการแต่ละโครงการที่จะดำเนินการในช่วงปี 2544-2554 ดังกล่าวข้างต้น ต่อสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) โดยให้ สศช. รับพิจารณาเฉพาะโครงการที่อยู่ในแผนแม่บทฯ ที่ได้รับความเห็นชอบ
3.2 ให้ ปตท. จัดทำและเสนอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อขอความเห็นชอบไปยังสำนักนโยบาย และแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2535
3.3 หากไม่มีประเด็นนโยบายที่สำคัญและเป็นโครงการที่กำหนด ให้ ปตท. เป็นผู้ดำเนินการเองแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมนโยบายพลังงานแห่ง ชาติ เพื่อทราบ
3.4 หากเป็นโครงการที่มีประเด็นนโยบายที่สำคัญให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยผ่านคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
4.ให้กระทรวงการคลังรับไปจัดหาเงินกู้และค้ำประกันหนี้ให้แก่องค์กรขนส่ง มวลชนกรุงเทพ เพื่อชำระหนี้ค่าน้ำมันให้แก่การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยทำความตกลงกับ กระทรวงการคลังถึงวิธีการจัดหาเงินกู้ดังกล่าว
เรื่องที่ 12 การแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำและถดถอยตั้งแต่ปี 2540 ได้ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการกลั่นน้ำมันของประเทศ เนื่องจากกำลังการกลั่นของประเทศมีมากเกินความต้องการ และส่งผลให้โรงกลั่นทุกโรงประสบภาวะการขาดทุน โดยเฉพาะบริษัทบางจาก ปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจาก สถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากสัดส่วนในการผลิตน้ำมันเตาซึ่งปกติมีราคาที่ต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ สูงมากถึงร้อยละ 32 ของน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตได้ ค่าการกลั่นที่ได้รับจึงต่ำที่สุด ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบปัญหาการ ขาดทุนมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา นอกจากนั้น โรงกลั่นน้ำมันบางจากฯ มีภาระผูกพันในการจ่ายชำระคืนเงินกู้ในจำนวนที่สูง และบริษัทฯ มีความต้องการเงินทุนหรือเงินกู้ยืมโดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันเพิ่มขึ้น ทุกปี
2. เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2544 รองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ได้เชิญประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันพิจารณาแก้ไข ปัญหาของโรงกลั่นบางจากฯ ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปดำเนินการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดรูปแบบและโครงสร้างความร่วมมือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท บางจากฯ และบริษัทไทยออยล์ฯ ทั้งในระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว โดยมีกำหนดระยะเวลาในการ ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
3. ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2544 ได้เห็นชอบแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย โดยเห็นชอบประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดแนวทางการแปรรูปในประเด็น การบริหารจัดการบริษัทในเครือในภาคธุรกิจการกลั่นของ ปตท. ในส่วนของบริษัทบางจากฯ นั้นควรจะต้องมีความชัดเจนในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอุตสาหกรรมการกลั่น น้ำมันของประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการร่วมมือกันระหว่าง บริษัทบางจากฯ กับบริษัทไทยออยล์ฯ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ก่อนกำหนดการที่จะนำ ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย ภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 นี้
4. สพช. เป็นแกนกลางในการประชุมหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสรุปแนวทางได้ดังนี้
4.1 ในระยะสั้น บริษัทบางจากฯ และบริษัท ไทยออยล์ฯ จะร่วมมือกันในลักษณะ Technical Synergy ดังนี้คือ 1) การใช้เรือขนส่งน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางร่วมกัน : โดยเริ่มดำเนินการประมาณกลางเดือนกันยายน 2544 ซึ่งจะได้ประโยชน์จากค่าขนส่งที่ลดลง 2) การนำน้ำมันเตาจากบางจากฯ ไปแปรรูปเป็นน้ำมันชนิดอื่นที่มีราคาสูงกว่า (Cracking) ที่ บริษัท ไทยออยล์ฯ : โดยจะเริ่มดำเนินการในเดือนตุลาคม 2544 3) การใช้ท่าเรือและคลังน้ำมันของบริษัท ไทยออยล์/ปตท. หรือคลังอื่นเป็นที่เก็บน้ำมันดิบแทนเรือเก็บน้ำมันดิบ Floating Storage Unit (FSU) 4) การนำแนฟทาจากบริษัทบางจากฯ ไปเข้าหน่วยเพิ่มคุณภาพที่บริษัทไทยออยล์ฯ และ 5) การทำ Operation Synergy : ทั้งสองบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนงาน
4.2 ในระยะยาว จะต้องมีการร่วมมือกันอย่างจริงจังในระหว่าง 3 หน่วยงาน คือ บางจากฯ ไทยออยล์ฯ และ ปตท. โดยให้โรงกลั่นไทยออยล์ฯ เป็นโรงกลั่นหลักในการสนับสนุนภาคการตลาดของธุรกิจ น้ำมันของ ปตท. และให้การดำเนินธุรกิจน้ำมันของ ปตท. เป็นลักษณะครบวงจร (Integrated refinery & marketing) และ ปตท. จะต้องถอนตัวออกจากการเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทบางจากฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางธุรกิจ และเพื่อส่งเสริมให้มีการแข่งขันในระดับการค้าปลีกอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยขายหุ้น ให้แก่ประชาชน/นักลงทุนหรือกระทรวงการคลัง เมื่อโอกาสเอื้ออำนวย
5. การปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐเพื่อลดต้นทุนของโรงกลั่นน้ำมัน กรมสรรพสามิตได้มีการปรับปรุงกฎหมาย โดยออกกฎกระทรวงตามมาตรา 101 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แก้ไข เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2543 ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจร่างของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนั้นในปัจจุบันกฎหมายว่าด้วยภาษีศุลกากรและสรรพสามิตของประเทศไทยได้ จำกัดวัตถุดิบของโรงกลั่นน้ำมันไว้แค่น้ำมันดิบและคอนเดนเสทเท่านั้น โดยไม่ได้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ได้มาจากการกลั่นแยกน้ำมันดิบ ทุกชนิด ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ปัญหาดังกล่าวจึงควรมีการขยายขอบเขตของวัตถุดิบให้ ครอบคลุมถึง Feedstock และ Blend stock ได้หลายชนิด ซึ่งจะช่วยเสริมให้โรงกลั่นในประเทศสามารถลดต้นทุนจากราคาวัตถุดิบได้
6. การดำเนินการตามแนวทางในข้อ 4 ดังกล่าวข้างต้นจะสามารถทำให้โรงกลั่นบางจากฯ และ ไทยออยล์สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้ประมาณ 900-1,100 ล้านบาทต่อปี ในขณะที่การปรับปรุงกฎเกณฑ์ของรัฐตามข้อ 5 จะทำให้โรงกลั่นต่างๆ สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้จากการมีต้นทุนวัตถุดิบที่ต่ำลง และสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนได้มากขึ้น โรงกลั่นจึงมีความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ โดยไม่ได้ทำให้ประเทศต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันแต่อย่างใด
การพิจารณาของที่ประชุม
1.ประธานที่ประชุมฯ มีความเห็นดังต่อไปนี้
1.1 หากภายหลังดำเนินการแก้ไขปัญหาตามแนวทางทั้งหมดแล้ว ผลประกอบการของบริษัท บางจากฯ โดยดูสถานะของรายได้ก่อนหักภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ยังเป็นลบก็จำเป็นต้องหาแนวทางที่จะยุติปัญหาที่สั่งสมให้ได้ในทันที
1.2 ในการพิจารณาขยายประเภทวัตถุดิบที่นำเข้ามากลั่นโดยไม่ต้องเสียภาษีนั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาดำเนินการโดยให้ครอบ คลุมอุตสาหกรรม ทั้งหมด มิใช่เฉพาะแก้ปัญหาบริษัท บางจากฯ
1.3 การขายหุ้นบริษัท บางจากฯ ของ ปตท. ให้ ปตท. รับไปพิจารณาร่วมกับที่ปรึกษาการเงินถึงแนวทางที่จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อ การเแปรรูป ของ ปตท.
2.กรรมการผู้จัดการบริษัท บางจากฯ (นายณรงค์ บุณยสงวน) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันบริษัทมี EBITDA ติดลบประมาณ 900 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะสั้นที่ได้นำเสนอนั้นจะทำให้ EBITDA ของบริษัทฯ ไม่ติดลบในปี 2545 และจะเป็นบวกในปี 2546 เป็นต้นไป และการร่วมมือกันในลักษณะ Technical Synergy นั้นจะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางความร่วมมือกันระหว่างบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด ในระยะสั้นในลักษณะ Technical Synergy ตามข้อ 4
2.เห็นชอบแนวทางในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด โดยให้ ปตท. ถอนตัวจากการเป็นผู้ถือหุ้น ในบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด โดยขายหุ้นให้แก่ประชาชน/นักลงทุน หรือ กระทรวงการคลังเมื่อโอกาส เอื้ออำนวย
3.เห็นชอบให้กรมสรรพสามิตเร่งรัดการออกกฎกระทรวงตามมาตรา 101 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2543 ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ให้มีการบังคับใช้โดยเร็ว
4.มอบหมายให้ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติร่วมกับโรงกลั่นน้ำมัน รับไปดำเนินการพิจารณาการขยายประเภทวัตถุดิบที่นำเข้ามากลั่นโดยไม่ต้องเสีย ภาษีให้มีขอบเขตครอบคลุมประเภทของวัตถุดิบกว้างขวางขึ้น
กพช. ครั้งที่ 84 - วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 84)
วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2.ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
3.ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
4.แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
5.การทบทวนมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83)
6.แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
7.การสนับสนุนการใช้น้ำมันจากพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล
8.แผนการลงทุนของการไฟฟ้านครหลวงในช่วงปีงบประมาณ 2545-2550
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในเดือนพฤษภาคม 2544 ได้ปรับตัวสูงขึ้น 1.5-2.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามราคาน้ำมันเบนซินที่สูงขึ้นเนื่องจากมีปริมาณสำรองต่ำ รวมทั้งการที่อิรักขู่จะหยุดส่งออกน้ำมันดิบ ในเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง 3.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบสำรองเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ที่แล้วประมาณ 17.0 ล้านบาร์เรล ส่วนราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจร สิงคโปร์ เดือนพฤษภาคมมีการปรับตัวลดลง 6.0-7.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เป็นผลจากค่าการกลั่นที่เพิ่ม สูงขึ้นทำให้โรงกลั่นเพิ่มปริมาณการกลั่นประกอบกับปริมาณสำรองของน้ำมัน เบนซินในประเทศสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น ส่วนในเดือนมิถุนายน ราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 4.0 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล อันเนื่องจากปริมาณสำรองทางการค้าเพิ่มมากขึ้น สำหรับราคาน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวสูงขึ้น 0.8-1.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ผลมาจากแรงซื้อในตลาดและปัญหาของโรงกลั่นในคูเวต ส่วนราคาน้ำมันเตาปรับตัวลดลง 2.0 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เนื่องจากปริมาณสำรองในภูมิภาคค่อนข้างสูงและความต้องการใช้ยังไม่เพิ่มขึ้น
2. ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปของไทยเดือนพฤษภาคม น้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 80 สตางค์/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลราคาไม่เปลี่ยนแปลง และในเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันเบนซินได้ปรับตัวลดลงรวม 1.10 บาท/ลิตร น้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง 40 สตางค์/ลิตร ซึ่งมีสาเหตุจากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงและค่าเงินบาท ที่แข็งตัวขึ้น ส่วนค่าการตลาดในเดือนพฤษภาคมได้เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.30 - 1.50 บาท/ลิตร เนื่องจากราคาขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลงช้ากว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก เดือนมิถุนายนค่าการตลาดได้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 1.00 บาท/ลิตร สำหรับค่าการกลั่นในเดือนพฤษภาคมปรับลดลงต่ำกว่า 50 สตางค์/ลิตร (1.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล) แต่ในเดือนมิถุนายนได้ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.00 บาท/ลิตร (3.5 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล)
3. แนวโน้มราคาน้ำมันในไตรมาส 3 ของปี 2544 คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มสูงขึ้นตาม ฤดูกาล แต่ปริมาณสำรองยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบจะอยู่ที่ระดับ 26-29 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และเบรนท์จะอยู่ที่ระดับ 27-30 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันสำเร็จรูป เบนซินจะอยู่ที่ระดับ 30-34 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 32-36 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สำหรับราคาขายปลีกของไทย น้ำมันเบนซินออกเทน 95 อยู่ที่ระดับ 16-17 บาท/ลิตร น้ำมันเบนซินออกเทน 91 และดีเซลอยู่ที่ระดับ 15-16 บาท/ลิตร
4. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกเดือนพฤษภาคมปรับตัวสูงขึ้น 8 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 265 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ราคาก๊าซฯ หน้าโรงกลั่นอยู่ที่ระดับ 11.57 บาท/ก.ก. อัตราเงินชดเชยจาก กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ระดับ 6.07 บาท/กก. แนวโน้มของราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในตลาดโลกในช่วง ไตรมาส 3 จะอยู่ที่ระดับ 275-285 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งจะทำให้อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ระดับ 6.55-7.01 บาท/กก. หรือ 1,002-1,072 ล้านบาท/เดือน กรมบัญชีกลางได้รายงานยอดเงินคงเหลือของกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 8 มิถุนายน 2544 มีจำนวน 3,489 ล้านบาท มีเงินชดเชยค้างชำระ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 15,955 ล้านบาท ทำให้ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ติดลบ 12,466 ล้านบาท โดยมีรายรับ 882 ล้านบาท/เดือน และรายจ่าย 928 ล้านบาท/เดือน ทำให้มีเงินไหลออกสุทธิ 46 ล้านบาท/เดือน
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้ดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน ฉบับที่ 19 พ.ศ. 2544 ปรับราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพิ่มขึ้น 0.8500 บาท/กก. ทำให้ราคาขายปลีกเมื่อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็น 11.61 บาท/กก. มีผลตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2544 เป็นต้นไป
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
รายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคา น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นโดยมีความก้าวหน้าในแต่ละมาตรการสรุปได้ดังนี้
1. มาตรการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้
1.1 กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้มีการจัดสัมมนาเกี่ยวกับโครงการลดต้นทุนการผลิตและ สนับสนุนฐานการผลิตเทคโนโลยีประหยัดพลังงานในจังหวัดต่างๆ ซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการจำนวน 109 ราย และอยู่ระหว่างการประสานงานให้ที่ปรึกษาด้านพลังงานเข้าไปตรวจวัดพลังงาน เบื้องต้นในโรงงานที่ร่วมโครงการ นอกจากนี้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้ให้เงินสนับสนุนในการ ดำเนินโครงการสาธิตการปรับเปลี่ยนเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้สาร CFCs ให้ แก่กรมโรงงานอุตสาหกรรมในวงเงิน 9.8 ล้านบาท รวมทั้ง ยังมีโครงการปรึกษาแนะนำและสร้างผู้เชี่ยวชาญการบริหารการจัดการพลังงาน และโครงการกระตุ้นให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและ ขนาดย่อม ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
1.2 การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้ดำเนินโครงการปรับแต่งเครื่องยนต์เพื่อประหยัดพลังงาน (Tune-up) เสร็จสิ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2543 มีรถเข้าร่วมโครงการ 14,453 คัน คิดเป็นร้อยละ 85 ของเป้าหมายโครงการคาดว่าจะช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงให้แก่รถที่เข้าร่วม โครงการคิดเป็นเงินประมาณ 13 ล้านบาท
1.3 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ออกประกาศให้ทุนสนับสนุนเทศบาลทั่วประเทศเพื่อจัดทำแผนสร้างทางจักรยาน และรณรงค์ขี่จักรยานแบบครบวงจรในระดับเทศบาล ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2544
1.4 สพช. ได้รณรงค์ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้เบนซินที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับ เครื่องยนต์ ในช่วงที่ผ่านมาทำให้สัดส่วนการใช้เบนซินออกเทน 91 เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ยร้อยละ 27 ในปี 2541 เป็นเฉลี่ยร้อยละ 33 49 55 ในปี 2542 2543 และ 2544 ตามลำดับ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้รวม 2,653 ล้านบาท
2. มาตรการช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันเป็นรายสาขามีดังนี้
2.1 ปตท. ได้ลดราคาเบนซินและดีเซลให้แก่เกษตรกรลิตรละ 25 สตางค์ และน้ำมันหล่อลื่น ลิตรละ 2 บาท รวมทั้ง ได้ลดราคาน้ำมันดีเซลให้กลุ่มประมงลิตรละ 42-77 สตางค์ และลดราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ลิตรละ 15 สตางค์และ 7 สตางค์ ตามลำดับ ตั้งแต่ปี 2543 และจะขยายความช่วยเหลือจนถึงสิ้นปี 2544
2.2 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใช้เงินของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่ครัวเรือนเกษตรกรปริมาณ 15 ลิตร/เดือน/ครัวเรือน อัตราลิตรละ 3 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2543 มีเกษตรกรขอเบิกเงินชดเชยรวม 58,525 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 1 ของจำนวนครัวเรือนเป้าหมาย ปริมาณน้ำมัน 2.2 ล้านลิตร เป็นจำนวนเงินชดเชย 6.5 ล้านบาท และกรมประมงใช้เงิน คชก. ชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่เรือประมงขนาดเล็กในอัตราไม่เกินลิตรละ 3 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2543 ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินโครงการในระยะที่ 2 เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2544
2.3 กรมการขนส่งทางบก ได้ช่วยเหลือชดเชยราคาน้ำมันดีเซลให้แก่ผู้ประกอบการขนส่งในอัตราเฉลี่ย 40 ลิตร/คัน/วัน อัตราลิตรละ 1.20 บาท โดยจัดทำเป็นคูปองน้ำมันมีระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2543 รวมเป็นเงินจ่ายชดเชย 133 ล้านบาท และอยู่ระหว่างดำเนินการช่วยเหลือชดเชยแก่ผู้ประกอบการขนส่งในช่วงเดือน มิถุนายน - สิงหาคม 2544 โดยจะจ่ายเป็นเช็คเงินสดให้ผู้ประกอบการใน แต่ละเดือนๆ ละ 48 บาท/วัน/คัน ทั้งนี้เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาคูปองน้ำมันปลอม
3. มาตรการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงาน
3.1 ปตท.ได้สนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติในยานยนต์โดยการติดตั้งอุปกรณ์ใช้ก๊าซ ธรรมชาติ ให้แก่รถแท๊กซี่อาสาสมัคร จำนวน 100 คันแล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2544 และอยู่ระหว่างดำเนินการขยายการติดตั้งอุปกรณ์ให้แก่รถแท๊กซี่อีก 1,000 คัน โดยในแผนระยะที่ 2 จะขยายการติดตั้งอุปกรณ์ให้แก่รถแท็กซี่อีก 10,000 คัน ภายใน 5 ปี รวมทั้งมีแผนที่จะก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติเพื่อรองรับการให้บริการ แก่รถยนต์ที่ใช้ก๊าซฯ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 30 สถานี ภายในปี 2548
3.2 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยง สัตว์รายย่อยทั่วประเทศในการสร้างบ่อผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์เพื่อใช้เป็น พลังงานทดแทนก๊าซหุงต้ม จนถึงปัจจุบันได้มีการก่อสร้างบ่อผลิตก๊าซชีวภาพแล้ว 1,054 บ่อ ได้ก๊าซชีวภาพปีละ 2.9 ล้านลบ.ม. ทดแทนก๊าซหุงต้มได้ 1.25 ล้านกิโลกรัม นอกจากนี้ กองทุนฯ จะให้การอุดหนุนราคารับซื้อไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อ เพลิง เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยคาดว่าจะออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนเข้าร่วมโครงการภายในเดือนกรกฎาคม 2544 และจะพิจารณาคัดเลือกโครงการภายในเดือนธันวาคม 2544
4. การจัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐ ปตท. ได้จัดหาน้ำมันดิบแบบรัฐต่อรัฐเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 25 เป็นปริมาณการจัดหาในปี 2543 รวม 132,660 บาร์เรล/วัน และในไตรมาสที่ 1 ของปี 2544 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5 เป็นปริมาณ 145,890 บาร์เรล/วัน ซึ่งราคาที่นำเข้าตามสัญญานี้จะต่ำกว่าราคาในตลาดจร 81 เซ็นต์สหรัฐ/บาร์เรล
5. การเร่งสำรวจแหล่งพลังงานภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน
5.1 กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนยื่นขอรับสัมปทานเพื่อการ สำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 ที่ผ่านมา เป็นแปลงสำรวจรวม 87 แปลง มีพื้นที่รวม 450,000 ตารางกิโลเมตร ขณะนี้มีผู้สนใจยื่นขอรับสัมปทานรวม 6 แปลง นอกจากนี้ยังได้เตรียมร่างประกาศกระทรวงเพื่อให้มีการยื่นขออาชญาบัตรพิเศษ เพื่อการสำรวจและพัฒนาถ่านหิน โดยเฉพาะในแหล่งที่กรมทรัพยากรธรณีได้มีการสำรวจและประเมินไว้แล้ว ซึ่งพร้อมจะเปิดให้เอกชนประมูลได้โดยเร็ว จำนวน 7 แห่ง คือ แหล่ง แม่ทะ เสริมงาม แจ้ห่ม-เมืองปาน เวียงเหนือ เชียงม่วน แม่ระมาด และเคียนซา รวมปริมาณสำรอง 672 ล้านตัน
5.2 การสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย (JDA) ได้มีการเจาะสำรวจพื้นที่ตามสัญญาแล้ว 29 หลุม พบปิโตรเลียม 15 แหล่ง เป็นปริมาณสำรองที่พิสูจน์แล้วของก๊าซธรรมชาติ 5.16 ล้านล้านลบ.ฟ. ก๊าซธรรมชาติเหลว 112 ล้านบาร์เรล และน้ำมันดิบ 10 ล้านบาร์เรล ปัจจุบันองค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย ได้เห็นชอบให้มีการทำสัญญาจ้างเหมางานก่อสร้างแท่นผลิตและเจาะหลุมผลิตในแห ล่งก๊าซ Cakerawala คาดว่าจะส่งมอบก๊าซได้ในปลายปี 2545 หรือต้นปี 2546
5.3 นายกรัฐมนตรีได้เยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 และได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อวางกรอบแนวทางในการเจรจาแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาในอ่าวไทย เพื่อให้มีการสำรวจและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ดังกล่าวต่อไป
มติของที่ประชุม
1.รับทราบความคืบหน้าของมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
2.มอบหมายให้ สพช. หารือร่วมกับ กรมทรัพยากรธรณี และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับแหล่งถ่านหินที่เวียงแหง งาว สินปุน และกระบี่ เพื่อพิจารณาให้มีการนำมาใช้ประโยชน์ต่อไป
เรื่องที่ 3 ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2534 เห็นชอบให้มีการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้า โดยอัตโนมัติ (Ft) เพื่อให้อัตราค่าไฟฟ้าสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง และลดผลกระทบของความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงที่มีต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้า โดยให้มีการปรับอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จริงและอยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้เรียกเก็บค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ตั้งแต่การเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2535 โดยการนำค่า Ft ที่คำนวณได้ไปรวมกับค่าไฟฟ้าตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปกติ และค่า Ft จะเปลี่ยนแปลงเป็นรายเดือน ต่อมาได้มีการร้องเรียนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเนื่องจากไม่ต้องการให้ค่า Ft มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เกินไปจึงมีการพิจารณาใช้ค่าเฉลี่ย 4 เดือน
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบให้มีการปรับโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ได้เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว
3. สูตร Ft ใหม่ ได้มีการปรับปรุงรายละเอียดของสูตรให้มีความชัดเจนโปร่งใสยิ่งขึ้น โดยนำค่าใช้จ่ายในการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ออกจากสูตร Ft และให้การไฟฟ้าร่วมรับภาระความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วย จึงส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่คำนวณตามสูตร Ft ใหม่ต่ำกว่าค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft เดิม ซึ่งค่า ไฟฟ้าตามสูตร Ft ใหม่จะเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหลัก ดังนี้
3.1 ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และค่าซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ โดยเปลี่ยนไปจากค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าฐานที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้าง อัตราค่าไฟฟ้า
3.2 ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในการชำระคืนเงินกู้และดอกเบี้ยต่างประเทศของการไฟฟ้า โดยการคำนวณค่า Ft ตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นไป การไฟฟ้าจะต้องรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วยในระดับหนึ่ง กล่าวคือ การไฟฟ้าจะต้องรับภาระ 5% แรก หากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงจากอัตรา แลกเปลี่ยนฐาน และมีการกำหนดเพดานให้ปรับค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft ได้ไม่เกิน 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ และหากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน ให้การไฟฟ้าคืนผลประโยชน์ให้ประชาชน ผ่านสูตร Ft ทั้งหมด
3.3 รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไปของการไฟฟ้า (MR) เนื่องจากราคาขาย เปลี่ยนแปลงไปจากที่ประมาณการฐานะการเงิน ยังคงให้มีการปรับ MR ในช่วง 6 เดือนแรก เพื่อเป็นการประกันว่าค่าไฟฟ้าขายปลีกจะลดลงร้อยละ 2.11 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวให้นำ MR ออกจากสูตร Ft
3.4 การเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของการไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่ค่า เชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า (Non-Fuel Cost) ซึ่งจะมีการปรับตามอัตราเงินเฟ้อ และหน่วยจำหน่ายที่เปลี่ยนแปลงไป จากฐานที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน ทั้งนี้ ได้มีการดูแลเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจการไฟฟ้าด้วยแล้วในการกำหนด โครงสร้างค่าไฟฟ้าฐาน โดยการไฟฟ้าจะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายในกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่ายในอัตราร้อยละ 5.8, 2.6 และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ
4. ในการประชุมคณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2544 ได้พิจารณาค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนมิถุนายน-กันยายน 2544 และมีมติเห็นชอบให้มีการปรับค่า Ft เพิ่มขึ้น 2.69 สตางค์/หน่วย จาก 24.44 สตางค์/หน่วย เป็น 27.13 สตางค์/หน่วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ เรียกเก็บจากประชาชนเพิ่มขึ้นจาก 2.45 บาท/หน่วย เป็น 2.48 บาท/หน่วย หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.10 ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับค่า Ft เพิ่มขึ้นครั้งนี้มาจากต้นทุนค่าเชื้อเพลิงได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าส่งผลให้ ค่า Ft เพิ่มขึ้นประมาณ 4 สตางค์/หน่วย แต่จากอัตราเงินเฟ้อในช่วงดังกล่าวต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ประมาณการไว้และ การลดสัดส่วนการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าลง รวมทั้งการใช้ พลังน้ำเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้ค่า Ft ลดลง 1.31 สตางค์/หน่วย นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ ได้มีมติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับภาระต้นทุนการทดสอบการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าราชบุรี โดยให้ ส่งผ่านเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงซึ่งเสมือนว่าโรงไฟฟ้าราชบุรีดำเนิน การในกรณีปกติ ทำให้สามารถลด ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงได้ประมาณ 40 ล้านบาท ซึ่งได้นำมาลดค่า Ft ในครั้งนี้ด้วยแล้ว
5. นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ ได้กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนฐานอยู่ที่ 38 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้น หากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ระหว่าง 38-40 บาท/เหรียญสหรัฐฯ การไฟฟ้าจะเป็นผู้รับภาระ และหากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ในระดับ 40-45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ประชาชนจะเป็นผู้รับภาระ หากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลงเกินกว่า 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ การไฟฟ้าจะเป็นผู้รับภาระ แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าน้อยกว่า 38 บาท/เหรียญสหรัฐฯ การไฟฟ้าต้องส่งผลประโยชน์ทั้งหมดให้ประชาชน และจากอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงเกินกว่า 45 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2544 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งต้องรับภาระของอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 327.6 ล้านบาท ในการปรับค่า Ft ครั้งนี้
6. คณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าและอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ซึ่งมีนายพรายพล คุ้มทรัพย์ เป็นประธานอนุกรรมการ และนายวิชิต หล่อจีระชุณห์กุล เป็นรองประธานอนุกรรมการ ร่วมด้วย ผู้แทนจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนผู้บริโภค และนักวิชาการเป็นอนุกรรมการ ได้มีการศึกษาทบทวนความเหมาะสมของโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า และค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ตลอดจนพิจารณารายละเอียดทางเทคนิคที่สำคัญ อาทิ ต้นทุนการผลิตและการดำเนินงาน ราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน (IPP) การกำหนดมาตรฐานค่าความร้อน การกำหนดอัตราความสูญเสียในระบบ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ได้มีการประชุมไปแล้วจำนวน 5 ครั้ง และคณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ ได้พิจารณาข้อเสนอเบื้องต้นของคณะอนุกรรมการศึกษาฯ แล้ว สรุปได้ดังนี้
6.1 การเกลี่ยราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน เพื่อให้ราคารับซื้อไฟฟ้าลดลงในช่วงแรกนั้น จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ โดยหากมีการเกลี่ยราคารับซื้อไฟฟ้าในลักษณะดังกล่าว ประชาชนจะจ่ายค่าไฟฟ้าลดลงเพียง 1.76 สตางค์ต่อหน่วย แต่จะเสียประโยชน์คิดเป็นมูลค่าปัจจุบันประมาณ 94,000 ล้านบาท เนื่องจากการเกลี่ยราคารับซื้อไฟฟ้าจะคำนวณบนอัตราส่วนลด (Discount Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระดับร้อยละ 8-12 ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 3 เท่านั้น
6.2 การทบทวนภาระอัตราแลกเปลี่ยนในสูตรราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน มีความเป็นไปได้ในการดำเนินการ ซึ่งจะช่วยลดภาวะความผันผวนของค่าไฟฟ้าในอนาคตลงได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งคณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ ได้มอบหมายให้ กฟผ. ไปดำเนินการเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนต่อไป
6.3 การกำหนดมาตรฐานค่าความร้อน (Heat Rate) ของโรงไฟฟ้าของ กฟผ. คณะอนุกรรมการกำกับสูตรฯ เห็นด้วยในหลักการ เพื่อให้การดำเนินงานของ กฟผ. มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้มีการกำหนดค่ามาตรฐานความร้อนเป็นรายโรงไฟฟ้า ในลักษณะเดียวกันกับที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบแผนประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2544 ในส่วนที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ (สพช.) รับผิดชอบ โดยอนุมัติงบประมาณดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 137,351,329.70 บาท
2. แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2544 ในส่วนที่ สพช. รับผิดชอบมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศเกิดความภาคภูมิใจที่ได้ เข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน โดยการใช้น้ำมันและไฟฟ้าแบบประหยัดด้วยวิธีการที่สามารถปฏิบัติได้ในชีวิต ประจำวันและเห็นผลชัดเจน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กิจกรรมหลัก ดังนี้
2.1 กิจกรรมด้านการประหยัดไฟฟ้าในครัวเรือน ประกอบด้วย ชุด "โปรโมทการแข่งขันประหยัด ไฟฟ้า" เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนประหยัดไฟฟ้า โดยมีหลักเกณฑ์ว่าหากครอบครัวใดสามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงได้ร้อยละ 10 ของเดือนที่ผ่านมาหรือในเดือนเดียวกันของปีที่แล้วก็จะได้รับ "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" ในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าไฟฟ้าที่ประหยัดได้ และหากโครงการประสบผลสำเร็จคาดว่าจะสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้า คิดเป็นเงินประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยกองทุนฯ ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณจำนวน 800 ล้านบาท เพื่อจ่ายให้ การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แทนผู้ใช้ไฟซึ่งได้รับ "ส่วนลดค่าไฟฟ้า"
2.2 กิจกรรมด้านการประหยัดน้ำมันในพาหนะส่วนบุคคล ประกอบด้วย
(1) ชุด "โปรโมทการแข่งขันขับรถยนต์อย่างถูกวิธี เพื่อประหยัดน้ำมัน" เพื่อรณรงค์ให้ผู้ใช้ รถยนต์ขับรถอย่างถูกวิธีและบำรุงรักษาเครื่องยนต์ โดย สพช. จะจัดทำคู่มือขับรถอย่างถูกวิธี ออกแจกจ่ายให้ กับผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำในคู่มือและทำการวัดประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน 2-3 ครั้ง แล้วส่งผลการวัดประสิทธิภาพให้ สพช. ซึ่ง สพช. จะได้ให้คำแนะนำในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมัน รวมทั้ง จะมีการประชาสัมพันธ์อื่นๆ ที่เหมาะสมเพื่อเป็นแรงจูงใจต่อไป
(2) ชุด "โปรโมทการเติมออกเทน 91" เป็นกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อสร้างความมั่นใจผ่านสื่อต่างๆ และได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันหรือการเข้ามามีส่วนร่วมกับ โครงการ โดยการใช้แรงจูงใจเป็นรางวัล อาทิ อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน หรือรางวัลอื่นที่เหมาะสม
2.3 กิจกรรมปลูกจิตสำนึกสำหรับประชาชนทั่วไปและประชาสัมพันธ์โครงการของกองทุนฯ เป็นกิจกรรมรณรงค์ปลูกจิตสำนึก และเผยแพร่วิธีการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งจะเป็นกิจกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความสำเร็จของโครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในช่วงที่ผ่านมา
3. การดำเนินงานในระยะต่อไป สพช. จะทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงความจำเป็นในการช่วยกันประหยัด พลังงาน และกิจกรรมที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมผ่านทางสื่อมวลชน รวมทั้งผลิตคู่มือการประหยัดพลังงานในบ้านและการเดินทางขนส่ง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าร่วมโครงการการแข่งขันประหยัดไฟฟ้าและน้ำมัน
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 5 การทบทวนมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83)
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83) เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ได้เห็นชอบอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งมติดังกล่าวได้นำรายงานคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและถือเป็นมติคณะรัฐมนตรี ต่อไป ต่อมาในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2544 ได้มีมติให้ถอนเรื่องดังกล่าวคืนไปก่อน โดยให้นำความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ไปพิจารณาทบทวนใน 2 ประเด็น แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
2. ประเด็นที่ให้พิจารณาทบทวนมีดังนี้
2.1 การเปลี่ยนหลักการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง โดยอิงราคาก๊าซธรรมชาติแทนการอ้างอิงราคาน้ำมันเตาอาจมีผลกระทบต่ออัตราค่า ไฟฟ้า
2.2 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานควรมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ พลังงานมากกว่าส่งเสริมการผลิตเพราะแนวทางการส่งเสริม SPP ที่ถูกต้องควรใช้วิธีการลดต้นทุนซึ่งจะทำให้การดำเนินการมีประสิทธิภาพ มากกว่าการใช้เงินกองทุนสนับสนุนการผลิต
3. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้ชี้แจงเหตุผลในแต่ละประเด็นเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบาย พลังงานแห่งชาติดังนี้
3.1 การเปลี่ยนหลักการกำหนดโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าของสัญญาระยะยาวมีอายุ ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป (Firm) และสัญญาระยะสั้นมีอายุน้อยกว่า 5 ปี (Non-firm) จากการอิงราคาน้ำมันเตามาอิงราคาก๊าซ ธรรมชาติ จะทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงสอดคล้องกับต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ของการไฟฟ้าฝ่าย ผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่เป็นจริงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งจะทำให้โครงสร้างราคาสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันเตาจะปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก แต่ก๊าซธรรมชาติจะอิงราคาน้ำมันเตาประมาณ ร้อยละ 30 ดังนั้น การอิงราคาก๊าซธรรมชาติจะมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าน้อยกว่าการอิงราคาน้ำมันเตา
3.2 ราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตามสัญญา Firm และ Non-firm ในเดือนเมษายน 2544 พบว่าราคารับซื้อที่เปลี่ยนมาอิงราคาก๊าซธรรมชาติจะต่ำกว่าราคารับซื้อซึ่ง อิงราคาน้ำมันเตา โดยสัญญา Firm ที่อิงราคาก๊าซธรรมชาติจะลดลงจากที่อิงราคาน้ำมันเตา 23 สตางค์/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เหลือ 2.29 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง และสัญญา Non-firm จะลดลง 41 สตางค์/กิโลวัตต์-ชั่วโมง เหลือ 1.65 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ดังนั้น การ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าโดยอิงราคาก๊าซธรรมชาติจะทำให้ภาระการ รับซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ลดลง และจะส่งผลให้ค่าไฟฟ้าของประชาชนลดลงตามไปด้วย
3.3 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานนอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม การอนุรักษ์พลังงานแล้วยังมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้มีการนำพลังงาน หมุนเวียนที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมาใช้อย่างแพร่หลาย ดังนั้น การสนับสนุน SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนจึงเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ นอกจากนี้ ศักยภาพชีวมวลในประเทศไทยที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้ายังมีอีกจำนวนมาก โดยในปี 2541 มีปริมาณชีวมวลถึง 18.8 ล้านตัน เป็นชีวมวลที่ยังไม่ได้นำไปใช้ 5.7 ล้านตัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 1,003 เมกะวัตต์ และการอุดหนุนราคารับซื้อไฟฟ้าเป็นการอุดหนุนเฉพาะในส่วนที่เป็นผลต่างทาง ด้านต้นทุนสิ่งแวดล้อมของก๊าซธรรมชาติและชีวมวลในอัตราสูงสุด 36 สตางค์/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ทั้งนี้ เนื่องจากต้นทุนทางด้านสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้าที่ใช้ชีวมวลจะต่ำกว่าโรง ไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ แต่มีต้นทุนการผลิตต่อหน่วยที่สูงกว่า เพื่อเป็นการชดเชยในส่วนต้นทุนการผลิตของโรงไฟฟ้าชีวมวลที่สูงกว่าเป็นระยะ เวลา 5 ปี เพื่อจูงใจให้เกิดผู้ผลิตไฟฟ้าที่ใช้วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมากขึ้น
มติของที่ประชุม
ให้ยืนยันมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83) เรื่องอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ดังนี้
1.เห็นชอบหลักการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer : SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติแทนการอ้างอิงราคาน้ำมันเตา
2.เห็นชอบโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงาน หมุนเวียนโดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติ และสูตรการคำนวณ รวมทั้งค่าตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าตามที่ได้มีการปรับปรุง ใหม่
3.โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ใหม่ ให้มีผลบังคับใช้กับ SPP ดังต่อไปนี้
3.1 SPP ที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ SPP รายเดิม ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เฉพาะกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม ให้โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่นี้มีผลบังคับใช้เฉพาะส่วนของกำลังการผลิต ส่วนเพิ่ม
3.2 SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนประเภท Firm โครงการใหม่ และ SPP ประเภท Non-firm ที่จะยื่นขอขายไฟฟ้าใหม่กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. และ SPP ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเดิมสามารถเจรจาขอเปลี่ยนโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้า ใหม่ได้
เรื่องที่ 6 แนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2544 ที่ประชุมได้รับทราบผลการประชุมการระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนา ตลาดทุน โดยเห็นชอบแผนเตรียมความพร้อมในการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งในการประชุมดังกล่าวเห็นชอบให้นำการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างช้าภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันหารือถึงการกำหนดโครงสร้างและขั้นตอนใน การแปรสภาพ ปตท. เป็น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (บมจ. ปตท.) โดยอาศัยพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของรัฐบาลดังกล่าว
2. นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดแนวทางการแปรรูป ปตท. มีดังนี้
2.1 นโยบายการค้าเสรีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ในช่วงที่ผ่านมา ปตท. มีบทบาทในฐานะกลไกของรัฐเพื่อสนองนโยบาย ทำให้รัฐต้องกำหนดให้ ปตท. มีสิทธิพิเศษและสิทธิผูกขาดในบางเรื่อง จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนสิทธิพิเศษและสิทธิผูกขาด รวมทั้งภาระผูกพันของ ปตท. เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุง โครงสร้างของ ปตท. ทั้งในด้านของการแยกก๊าซธรรมชาติ และบทบาทของ ปตท. ในเชิงธุรกิจ
2.2 โครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติของประเทศไทยในระยะยาว การแปรสภาพ ปตท. เป็น บมจ. ปตท. จะต้องคำนึงถึงโครงสร้างกิจการก๊าซฯ เพื่อให้มีการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ จึงควรเร่งรัดให้มีการดำเนินการดังนี้ 1) แยกกิจการท่อส่งก๊าซธรรมชาติออกจากกิจการจัดหาและจำหน่ายก๊าซธรรมชาติของ ปตท. ในลักษณะการแบ่งแยกตามบัญชี (Account Separation) ก่อนนำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งในลักษณะการแบ่งแยกตามกฎหมาย (Legal Separation) หลังการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใน 1 ปี 2) จัดทำแผนการลงทุนระยะยาวของระบบท่อส่งก๊าซฯ โดยคำนึงถึงการทบทวนแผนแม่บทระบบ ท่อส่งก๊าซฯ ฉบับที่ 2 3) เปิดให้บริการขนส่งก๊าซธรรมชาติทางท่อแก่บุคคลที่สาม (Third Party Access) ตามหลักการที่ กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมทรัพยากรธรณี) ได้ทำการศึกษาและยกร่าง 4) ในการกำกับดูแลในระยะสั้นให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการก๊าซธรรมชาติ อัตราค่าบริการผ่านท่อ คุณภาพการให้บริการ การลงทุนระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ รวมทั้งส่งเสริมและขจัดข้ออุปสรรคในการแข่งขัน โดยให้ดำเนินการเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระ ขึ้นมา 5) ในการกำกับดูแลในระยะยาว เมื่อมีการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระแล้วเสร็จ ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. .... การดำเนินการกำกับดูแลต่างๆ จะเป็นหน้าที่ขององค์กรกำกับดูแลอิสระ
3. แนวทางการแปรรูป ปตท. ในหลักการของการจัดโครงสร้างเพื่อการแปรรูป ปตท. จะอาศัยพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 โดยกำหนดให้นำ ปตท. (รัฐวิสาหกิจทั้งองค์กร) แปลงสภาพเป็นบริษัท ปตท. จำกัด ซึ่งมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดในขั้นต้น ก่อนที่จะแปรสภาพเป็น บมจ. ปตท. เพื่อระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะต่อไป
4. เมื่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบและคณะรัฐมนตรี รับทราบหลักการการแปรรูป ปตท. ดังกล่าวข้างต้นตามลำดับแล้ว จำเป็นต้องเร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติทุนรัฐ วิสาหกิจฯ การดำเนินการตามขั้นตอนการแปรสภาพรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทจำกัดและบริษัทจำกัด มหาชน รวมทั้งขั้นตอนกฎหมายที่เกี่ยวกับการเสนอขายหุ้นและจดทะเบียนในตลาดหลัก ทรัพย์ฯ ต้องจัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการระดมทุนจากภาคเอกชน ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง สำนักงานอัยการสูงสุด และ ปตท.
5. ในการดำเนินการแปรรูป ปตท. ก่อนที่จะสามารถนำ ปตท. เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้นั้น จำเป็นต้องดำเนินการเกี่ยวกับนโยบายที่เกี่ยวกับการแปรรูป การดำเนินการแปรสภาพ ปตท. เป็น บริษัทฯ ตามพระราชบัญญัติทุนฯ และการเสนอขายหุ้น ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดแนวทางการแปรรูปการ ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ดังรายละเอียดข้อ 2.1-2.2 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2 และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นแกนกลางในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการจัดทำ ประเด็นนโยบาย ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ดังรายละเอียดในข้อ 2.3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2 ดังนี้ คือ
1.1 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) และกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เร่งรัดการดำเนินการในประเด็นการยกเลิกการควบคุมราคากาซปิโตรเลียมเหลว
1.2 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับ กค. และผู้ค้าก๊าซตามมาตรา 7 เร่งรัดการจัดทำแผนการใช้หนี้เงินชดเชยก๊าซปิโตรเลียมเหลว
1.3 มอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการแยกกิจการท่อก๊าซธรรมชาติ ออกจากกิจการจัดหาและจำหน่าย รวมทั้งจัดทำแผนการลงทุนระยะยาวของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้เห็นชอบให้ ปตท. คงการถือหุ้นในกิจการดังกล่าวในสัดส่วนร้อยละ 100
1.4 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และ ปตท. เร่งดำเนินการเปิดให้บริการขนส่งก๊าซฯ ทางท่อแก่บุคคลที่สาม และเปิดให้มีการแข่งขันในแหล่งก๊าซฯ และตลาดก๊าซฯ ใหม่
1.5 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับ อก. และ ปตท. ดำเนินการกำกับดูแลอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ ในระยะสั้น
1.6 มอบหมายให้ ปตท. เร่งดำเนินการปฏิบัติการกับบริษัทไทยออยล์ จำกัด ในลักษณะ Integrated Refinery & Marketing
1.7 มอบหมายให้ สพช./กค./ปตท./บริษัทบางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) รับไปดำเนินการในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่าง ปตท. กับบริษัทบางจากฯ ในประเด็นการขายหุ้นของ ปตท. ในบริษัทบางจากฯ รวมทั้งดำเนินการลดการลงทุนในบริษัท โรงกลั่นน้ำมันระยอง จำกัด และบริษัทสตาร์ปิโตรเลียมรีไฟน์นิ่ง จำกัด
1.8 มอบหมายให้ สพช. ร่วมกับ กค. บริษัทบางจากฯ และบริษัทไทยออยล์ฯ เร่งดำเนินการจัดทำแนวทางความร่วมมือกันระหว่างบริษัทบางจากฯ และบริษัทไทยออยล์ฯ
1.9 มอบหมายให้ ปตท. รับไปดำเนินการทบทวนและปรับปรุงโครงสร้างหนี้และทุนของบริษัทในเครือ เช่น การเพิ่มทุน การลดทุน การเปลี่ยนแปลงมูลค่า (PAR) ต่อหุ้น และอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมายมหาชน และระเบียบวิธีปฏิบัติของตลาดหลักทรัพย์ฯ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบริษัทในเครือและเพิ่มความพร้อมในงานการ แปรรูปของ ปตท.
1.เห็นชอบแนวทางการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ดังรายละเอียดข้อ 2.2 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2 โดยมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สพช. ปตท. รวมทั้งคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ และคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งบริษัทเร่งดำเนินการตามขั้นตอนการแปรสภาพรัฐ วิสาหกิจของพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 รวมทั้ง
2.1 มอบหมายให้คณะกรรมการระดมทุนจากภาคเอกชน เร่งดำเนินการตามขั้นตอนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายหุ้นและจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดไว้ดังรายละเอียดในข้อ 2.3 ของเอกสารประกอบวาระ 4.2 ต่อไป
2.2 ในการระดมทุนหรือขายหุ้นให้กับภาคเอกชนข้างต้น ให้ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจำหน่าย กิจการหรือหุ้นที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจเป็นเจ้าของ พ.ศ. 2504
2.3 ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับงานแปรรูป ปตท. ให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวกในการขอรับอนุมัติ การทำสัญญา การแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาที่จำเป็นสำหรับงานการแปรรูปของ ปตท.
2.4 ในเรื่องของกำหนดเวลาที่จะระดมทุนจากตลาดภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ให้คำนึงถึงสภาวะตลาดหุ้น และสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ ปตท. สามารถเตรียมการแปรรูปให้มีความพร้อมและสามารถระดมทุนในมูลค่าที่สูงหรือ เหมาะสม
1.เพื่อให้สามารถนำ ปตท. เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อย่างช้าภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 ตามนโยบายรัฐบาล เมื่อคณะกรรมการนโยบายทุนฯ รับทราบมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบแนวทางการ แปรรูป ปตท. โดยการแปลงทุนของ ปตท. เป็นหุ้นทั้งหมดในคราวเดียวกันแล้ว ให้คณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งของ ปตท. ตามมาตรา 16 แห่ง พ.ร.บ. ทุนฯ เร่งดำเนินการได้ ก่อนการนำเสนอคณะรัฐมนตรี ต่อไป
2.ให้ ปตท. และ/หรือบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 50 และ/หรือ บริษัทที่ ปตท. และหน่วยงานของรัฐถือหุ้นร่วมกันมากกว่าร้อยละ 50 บริหารงานในรูปแบบบริษัทเอกชน โดยได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตาม คำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจทั่วไป
เรื่องที่ 7 การสนับสนุนการใช้น้ำมันจากพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล
สรุปสาระสำคัญ
1. ในช่วงปี 2543-2544 เป็นช่วงที่ราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น และได้มีกระแสเรื่องการนำน้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าวมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาอย่างแพร่หลายและขยายตัวอย่างรวดเร็วในเชิงพาณิชย์ ขณะที่พืชผลของปาล์มและมะพร้าวมีราคาตกต่ำและรัฐบาลต้องเข้าไปช่วยเหลือแทรก แซงราคาเพื่อแก้ไขปัญหา โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2544 คณะอนุกรรมการติดตามการปฏิบัติราชการด้านเศรษฐกิจซึ่งมีนายเสนาะ เทียนทอง เป็นประธาน ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตปาล์มและน้ำมันมะพร้าว ด้วยการแทรกแซงราคาน้ำมันปาล์มและน้ำมันมะพร้าว โดยจะประกันราคารับซื้อผลผลิตและประกันราคารับซื้อน้ำมันพืชทั้ง 2 ชนิดไปใช้เป็นไบโอดีเซล
2. เนื่องจากปัญหาผลผลิตของปาล์มน้ำมันปี 2544 มีการผลิต 3.4 ล้านตัน แต่มีความต้องการใช้ ภายในประเทศเพียง 3.29 ล้านตัน จึงคาดว่าจะมีสต๊อกปาล์มน้ำมันสูงกว่าปกติ 50,000 ตัน ทำให้รัฐต้อง แทรกแซงราคาโดยการประกันราคาผลปาล์มสด 1.80 บาท/กิโลกรัม โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) จะรับซื้อ น้ำมันปาล์ม 50,000 ตัน เพื่อส่งออกนอกประเทศ โดยใช้เงิน 150 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีปัญหาผลผลิตของมะพร้าวปี 2544 มีการผลิต 1.4 ล้านตัน ราคาเนื้อมะพร้าวแห้งที่ทับสะแก อยู่ระหว่าง 4.20-4.50 บาท/กิโลกรัม โดย อคส. จะต้องรับซื้อเนื้อมะพร้าวแห้ง 6 บาท/กิโลกรัม จำนวน 20,000 ตัน โดยใช้เงินประมาณ 125 ล้านบาท
3. นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่าการแทรกแซงราคารับซื้อปาล์มน้ำมันและเนื้อมะพร้าวแห้ง ดังกล่าว ควรจะนำไปทำน้ำมันบริสุทธิ์สำหรับผสมน้ำมันดีเซลและใช้ในเครื่องยนต์เพื่อ ช่วยลดปริมาณการใช้ น้ำมันดีเซล โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติให้การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) รับซื้อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ 50,000 ตัน ในราคาลิตรละ 12.65 บาท และรับซื้อน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ จำนวน 20,000 ตัน ในราคาลิตรละ 13.28 บาท แทน อคส. เพื่อ ปตท. จะได้นำไปผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลขายให้แก่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และหากมีเหลือจึงจะนำมาขายให้แก่ประชาชนทั่วไป พร้อมทั้ง ได้มอบหมายให้กรมทะเบียนการค้ากำหนดมาตรฐานของไบโอดีเซลเพื่อให้ถูกต้องและ สามารถใช้ได้ทั่วประเทศ และให้กรมสรรพสามิตงดเก็บภาษีน้ำมัน ไบโอดีเซล แต่คงเก็บภาษีในส่วนของน้ำมันดีเซลตามเดิม และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบ
4. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ได้เสนอเรื่อง "โครงการไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นๆ" ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งโครงการนี้เกิดขึ้นในปี 2543 เป็นการสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการไบโอดีเซลจากน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืชอื่นๆ ลงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 เพื่อทำหน้าที่วางแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีและงเสริมการใช้ไบโอดีเซลภายใน ประเทศ ซึ่งกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้จัดทำข้อเสนอโครงการฯ เสนอต่อคณะ รัฐมนตรีพิจารณา ดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบในหลักการให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการไบโอดีเซลแห่งชาติ อยู่ในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม มีอำนาจหน้าที่ในการวางแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีพึ่ง ตนเองในการผลิตไบโอดีเซลจากผลิตผลเกษตร กำหนดมาตรฐานคุณภาพ กำหนดอัตราการผสมไบโอดีเซลกับเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ กำหนดประเภทและปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตไบโอดีเซล และส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซล
4.2 ขอความเห็นชอบในหลักการให้ผู้ประกอบการสามารถผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซลเพื่อ ใช้เป็นเชื้อเพลิง ภายใต้ข้อกำหนดของคณะกรรมการไบโอดีเซลแห่งชาติ
4.3 ขอความเห็นชอบในหลักการกำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนและมาตรการส่งเสริมด้าน ภาษี เพื่อจูงใจผู้ผลิตและผู้ใช้ไบโอดีเซลเป็นเชื้อเพลิง
4.4 ให้มีการส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลภายในประเทศ
5. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) ได้จัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายครั้ง ประกอบด้วย กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กรมทะเบียนการค้า กรมควบคุมมลพิษ กรมสรรพสามิต กระทรวงอุตสาหกรรม ปตท. และผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการศึกษา โดยมีข้อสรุปแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาและสนับสนุนการนำน้ำมันจากพืชมาใช้ เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
5.1 เห็นควรกำหนดชื่อส่วนผสมของน้ำมันพืชที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อเป็นการสื่อสารให้เข้าใจตรงกัน ดังนี้
(1) ไบโอดีเซล คือ น้ำมันสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลที่ผลิตจากน้ำมันพืชซึ่งถูกแปรสภาพเป็น Methyl หรือ Ethyl ester
(2) ดีเซลปาล์มดิบ/ดีเซลมะพร้าวดิบ คือ น้ำมันปาล์มดิบ/น้ำมันมะพร้าวดิบผสมหรือไม่ ผสมน้ำมันปิโตรเลียม แล้วใช้ในเครื่องยนต์ดีเซล
(3) ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์/ดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ น้ำมันปาล์ม/น้ำมันมะพร้าวที่กลั่นบริสุทธิ์ผสม หรือไม่ผสมน้ำมันปิโตรเลียม แล้วใช้ในเครื่องยนต์ดีเซล
5.2 เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดกับเครื่องยนต์จากการนำดีเซลปาล์มดิบ และดีเซลมะพร้าวดิบมาใช้ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติ ดังนี้
5.2.1 มาตรการระยะสั้น
(1) ให้ ปตท. รับซื้อน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ที่กลั่นได้จาก ผลปาล์มสดจำนวน 50,000 ตัน ตามที่ อคส. จะรับซื้อเพื่อแทรกแซงราคา และน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ที่กลั่นได้จากเนื้อมะพร้าวแห้งจำนวน 20,000 ตัน ที่ อคส. จะรับซื้อเพื่อแทรกแซงราคา โดยให้นำมาผสมกับน้ำมันดีเซลในสัดส่วนไม่เกิน 10% (โดยปริมาตร) และทดลองจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปในระยะแรก ทั้งนี้ น้ำมันดีเซลปาล์มบริสุทธิ์/ดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ดังกล่าว จะต้องมีคุณสมบัติเป็นไปตามข้อกำหนดคุณภาพน้ำมันดีเซลสำหรับใช้กับเครื่อง ยนต์ดีเซลหมุนเร็วตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์
(2) เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดกับเครื่องยนต์จากการนำดีเซลปาล์มดิบ และดีเซลมะพร้าวดิบมาใช้ จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปฏิบัติ ดังนี้
(2.1) กำหนดมาตรฐานคุณภาพน้ำมัน
- ให้ ปตท. เร่งทำการวิจัยเพื่อหาส่วนผสมดีเซลปาล์มบริสุทธิ์และดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่มีคุณภาพไม่ต่ำกว่ามาตรฐานคุณภาพ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศกำหนดแล้วขายให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
- ให้ ปตท. ทำการวิจัยเพื่อหาส่วนผสมดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ และดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่มีคุณภาพไม่ต่ำกว่ามาตรฐานคุณภาพ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วสำหรับใช้กับเรือประมง ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ประกาศกำหนดแล้วผลิตเพื่อขายให้เรือประมง และเรือขนส่งสินค้า
(2.2) ให้ ปตท. สถาบันวิจัย และสถาบันการศึกษา ที่มีผลการวิจัยเกี่ยวกับการนำน้ำมันพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิง และผู้ประกอบการรถยนต์ เร่งประชาสัมพันธ์ร่วมกับ สพช. ในประเด็นต่างๆ ดังนี้
- การใช้ดีเซลมะพร้าวดิบและดีเซลปาล์มดิบในเครื่องยนต์ดีเซลหมุนเร็วอาจมีปัญหาต่อเครื่องยนต์ได้
- ดีเซลมะพร้าวดิบและดีเซลปาล์มดิบเหมาะสมที่จะใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลความ เร็วรอบต่ำ ที่ใช้กับเครื่องจักรกลการเกษตร เรือประมง และเรือขนส่งสินค้าอื่นๆ
- ชี้แจงและแนะนำให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลรักษาเครื่องยนต์ การต่อเติมหรือปรับแต่งเครื่องยนต์ และข้อควรระวังในการใช้ดีเซล ปาล์มดิบและดีเซลมะพร้าวดิบ
- ดีเซลปาล์มบริสุทธิ์และดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ที่ผลิตโดย ปตท. มีมาตรฐานคุณภาพเดียวกับน้ำมันดีเซลที่ใช้ทั่วประเทศ จึงสามารถใช้ในเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไปได้
- ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทั่วไปทราบถึงนโยบายของรัฐต่อ การใช้น้ำมันพืชในเครื่องยนต์ดีเซล
(2.3) ให้กระทรวงการคลังยกเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในส่วนของ น้ำมันพืชหรือ Ester ที่ผลิตจากน้ำมันพืช ในอัตราส่วนที่ผสมในน้ำมันดีเซล โดยเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตเฉพาะในส่วนของน้ำมันดีเซลเท่านั้น
(2.4) ให้ยกเว้นเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และเงินเก็บเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนของน้ำมันพืช หรือ Ester ที่ผลิตจากน้ำมันพืช ในอัตราส่วนที่ผสมใน น้ำมันดีเซล
5.2.2 มาตรการระยะยาว ให้มีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมโดยใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
(1) วิจัยเพื่อพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลที่ใช้กับเครื่องจักรกลการเกษตรและเครื่อง ยนต์ดีเซลหมุนช้าเพื่อให้ใช้ดีเซลมะพร้าวดิบและดีเซลปาล์มดิบได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
(2) วิจัยเพื่อกำหนดมาตรฐานคุณภาพดีเซลปาล์มบริสุทธิ์และดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่ไม่มีผลเสียต่อเครื่องยนต์ และให้มลพิษไม่มากกว่าการใช้น้ำมันดีเซล
(3) ศึกษาผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมจากเครื่องยนต์ที่ใช้ดีเซลปาล์มและดีเซลมะพร้าว ทั้งชนิดบริสุทธิ์และดิบ และไบโอดีเซล
(4) ศึกษา วิจัย เพื่อกำหนดมาตรฐานไบโอดีเซลของไทย
(5) วิจัยเพื่อหาวิธีการบำรุงรักษา ต่อเติม หรือปรับแต่งเครื่องยนต์ให้สามารถใช้ดีเซลปาล์มดิบและดีเซลมะพร้าวดิบ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม
(6) ศึกษา วิจัย เพื่อลดค่าใช้จ่ายตลอดขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การปลูกและผลิต น้ำมันจากพืช ไปจนถึงการผลิตดีเซลปาล์มบริสุทธิ์ ดีเซลมะพร้าวบริสุทธิ์ และไบโอดีเซล
(7) ศึกษา วิจัย เพื่อหาพืชน้ำมันชนิดอื่นที่ประชาชนไม่ใช้บริโภค เช่น สบู่ดำ และน้ำมันพืชใช้แล้ว มาใช้เป็นเชื้อเพลิง
(8) ศึกษา วิจัย เพื่อกำหนดนโยบายการใช้น้ำมันพืชเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งต้องครอบคลุมถึงผลกระทบทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
5.3 เห็นควรแต่งตั้งองค์กรขึ้นมากำกับดูแลในเรื่องการสนับสนุนการใช้น้ำมันจาก พืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งปรับปรุงจากคณะกรรมการไบโอดีเซลแห่งชาติที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้เสนอไว้ โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "คณะอนุกรรมการส่งเสริมการใช้น้ำมันจากพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ ดีเซล" เพื่อความเป็นเอกภาพในการกำหนดนโยบายและประสานงานเพื่อนำนโยบายไปสู่การ ปฏิบัติ โดยมีองค์ประกอบ หน้าที่ความรับผิดชอบและแนวทางดำเนินงานเช่นเดียวกับที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้เสนอไว้ โดยมีผู้แทนของ สพช. ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแนวทางการสนับสนุนการใช้น้ำมันจากพืชเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซลตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ ในข้อ 5.1 และ 5.2
2.มอบหมายให้ สพช. ประสานงานกับกระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เพื่อพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมของหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลรับผิดชอบในเรื่อง การนำน้ำมันจากพืชมาใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล ทั้งนี้ ให้นำเอาเรื่องการผลิตแอลกอฮอล์จากพืชเพื่อใช้เป็น เชื้อเพลิง (Ethanol) มาร่วมพิจารณาด้วย
เรื่องที่ 8 แผนการลงทุนของการไฟฟ้านครหลวงในช่วงปีงบประมาณ 2545-2550
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายสมบัติ อุทัยสาง) ได้รายงานแผนการลงทุนของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2550 ให้ที่ประชุมทราบ โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. กฟน. ได้จัดทำแผนการลงทุนเพื่อเป็นแผนงานหลักในการดำเนินงาน ประกอบด้วย 2 แผน คือ แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 9 ปีงบประมาณ 2545-2550 และแผนการพัฒนา ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศปีงบประมาณ 2545-2550 ซึ่งได้จัดทำขึ้นเพื่อให้บริการความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างเพียงพอ มีคุณภาพ และเสริมความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า รวมทั้งคำนึงถึงนโยบายการปรับโครงสร้าง และแปรรูปกิจการไฟฟ้าของประเทศในอนาคต
2. แผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 9 ประกอบด้วย 7 แผนงาน คือ 1) แผนงานพัฒนาระบบสถานีต้นทางและสถานีย่อย 2) แผนงานพัฒนาระบบสายส่งพลังไฟฟ้า 3) แผนงานพัฒนาระบบจ่ายไฟแรงดันกลางและต่ำ 4) แผนงานเปลี่ยนระบบสายป้อนอากาศเป็นสายป้อนใต้ดิน 5) แผนงานประสานงานสาธารณูปโภค 6) แผนงานเปลี่ยนแรงดันไฟฟ้าจาก 12 เป็น 24 เควี และ 7) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพในการจ่ายไฟฟ้า โดยแผนงานดังกล่าวใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 53,490 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินตราต่างประเทศ 17,452 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 32.6 และเงินตราในประเทศ 36,038 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 67.4 ซึ่งเงินลงทุนทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นจากแผนฯ ฉบับที่ 8 (ปีงบประมาณ 2540-2544) จำนวน 14,413 ล้านบาท
3. ในช่วงปีงบประมาณ 2545-2550 ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้น 2,090 เมกะวัตต์หรือเฉลี่ย ร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งคาดว่าจากการปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าตามแผนของ กฟน. นี้ จะช่วยเพิ่มระดับความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้าในเขต กฟน. ได้ดียิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายจำนวนไฟฟ้าดับถาวร (เกิน 1 นาที) และระยะเวลาไฟฟ้าดับถาวร ณ ปีสุดท้ายของแผนฯ 9 เท่ากับ 3.11 ครั้ง/ปี/ราย และ 65.11 นาที/ปี/ราย ตามลำดับ
4. ในส่วนของแผนการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (แผน IT) ซึ่งดำเนินการตามนโยบายการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการแข่งขันในระดับค้าปลีก จะใช้เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,015 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนภายในประเทศทั้งหมด ประกอบด้วย 3 โครงการ คือ 1) โครงการปรับกระบวนงานและพัฒนาระบบงานเพื่อการบริหารงานภายใน 2) โครงการพัฒนาระบบงานเพื่อรองรับการซื้อขายไฟฟ้าผ่านตลาดกลาง และ3) โครงการจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบ เพื่อทดแทนเครื่องที่หมดอายุและเพิ่มให้เพียงพอต่อการใช้งาน
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบแผนปรับปรุงและขยายระบบจำหน่ายพลังไฟฟ้าฉบับที่ 9 (ปีงบประมาณ 2545 - 2550) ในวงเงิน 53,489.924 ล้านบาท ตามที่ กฟน. เสนอ ทั้งนี้ เห็นควรให้ กฟน. จะต้องมีการบริหารจัดการภาระหนี้ต่างประเทศเพื่อลดผลกระทบของอัตรแลกเปลี่ยน
2.เห็นชอบในหลักการแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของ กฟน. ปีงบประมาณ 2545 - 2550 โดยให้นำความเห็นของ สพช. ไปดำเนินการปรับปรุงแผนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนี้
2.1 การลงบัญชีการลงทุนในด้านการค้าปลีกของแต่ละกิจกรรม เช่น การวัดหน่วยไฟฟ้า การเรียกเก็บเงิน และการชำระเงินค่าไฟฟ้า เป็นต้น จะต้องแยกเป็นอิสระจากกันอย่างชัดเจน เพื่อให้การคิดอัตราค่าบริการของแต่ละกิจกรรมมีความชัดเจน โปร่งใส ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันในระดับค้าปลีก และทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้า มีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้ามากขึ้น
2.2 รายละเอียดของแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศดังกล่าวยังไม่เพียงพอ ทำให้ยากต่อการพิจารณาแผนการลงทุนว่าจะสามารถรองรับการปรับโครงสร้างกิจการ ไฟฟ้าได้หรือไม่ ดังนั้นจึงเห็นควรให้ กฟน. จัดทำรายละเอียดของแผนฯ เพิ่มเติม
กพช. ครั้งที่ 83 - วันพุธที่ 11 เมษายน 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 83)
วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2544 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.รายงานความก้าวหน้ามาตรการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
2.อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
3.แนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการปรับโครงสร้าง
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงนโยบายของรัฐบาลที่เร่งรัดให้มีการนำรัฐวิสาหกิจ เข้าจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยขอให้ผู้แทนกระทรวงการคลังรายงานให้ที่ประชุมทราบ ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1. เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2544 ได้มีการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนา ตลาดทุนไทยระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และที่ประชุมได้เห็นชอบแผนการเตรียมความพร้อมในการนำรัฐวิสาหกิจเข้าจด ทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำหรับรัฐวิสาหกิจที่คาดว่าจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และจะลดสัดส่วนการถือหุ้นของภาครัฐลงในปี 2544 - 2546 จำนวน 16 แห่ง ในจำนวนนี้มีการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความประสงค์จะให้ ปตท. เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างช้าภายในเดือนพฤศจิกายน 2544 แต่เนื่องจากเรื่องการแปรรูป ปตท. จะต้องผ่านการ พิจารณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และมีระยะเวลาเหลืออยู่ไม่มากนักสำหรับการกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องให้มี ความชัดเจนก่อนที่จะมีการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ นโยบายการเปิดเสรีธุรกิจก๊าซธรรมชาติ นโยบายการค้ำประกันเงินกู้ เป็นต้น กระทรวงการคลังจึงขอให้ที่ประชุมได้มีการพิจารณาดำเนินการในเรื่องนี้ให้ทัน ภายในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้
2. ในวันที่ 19 เมษายน 2544 คณะกรรมการกำกับนโยบายด้านรัฐวิสาหกิจ ซึ่งดูแลเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั้งหมด จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการแต่ละชุดเพื่อดูแลเรื่องการระดมทุนของรัฐวิสาหกิจ แต่ละแห่งให้เป็นไปตามเป้าหมายและเป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งระบบ ในด้านของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจก็ได้มีการชี้แจงทำความเข้าใจและได้รับความ ร่วมมือพอสมควร แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องชี้แจงทำความเข้าใจต่อไป
3. แผนการเตรียมความพร้อมนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง สามารถดำเนินการ ไปพร้อมกันได้ เพราะขั้นตอนการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งก็มีอยู่แล้วในแผนแม่บท ซึ่งการนำรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์จะช่วยเพิ่มมูลค่าในตลาดทุนและจะ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มาก เมื่อรัฐบาลได้ประกาศนโยบาย เรื่องนี้ไปแล้ว หากไม่ได้มีการดำเนินการหรือดำเนินการไม่ทันตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้นักลงทุน ขาดความมั่นใจได้
เรื่องที่ 1 รายงานความก้าวหน้ามาตรการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้มีมติเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2544 มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) รับไปประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชนเพื่อเปิดรับฟังความเห็นให้กว้างขวาง และประมวลมาตรการเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติในการประชุมครั้งต่อไป
2. สพช. ได้เตรียมการประชุมกลุ่มย่อยโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดเป้าหมายและแนวทาง ใน การ ส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เห็นผลโดย เร็วที่สุด พร้อมทั้งรวบรวมปัญหาและอุปสรรคเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณาแก้ไขให้การดำเนินงานของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องเป็นไปตามเป้าหมาย การแบ่งกลุ่มย่อยเป็นการแบ่งตามกิจกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและ เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่สมควรได้รับการสนับสนุนซึ่งแบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม และได้เริ่มการประชุมกลุ่มย่อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2544 และจะจบสิ้นในวันที่ 20 เมษายน 2544 หลังจากนั้น สพช. ได้กำหนดให้มีการสัมมนาเพื่อเปิดรับฟังความเห็นจากสาธารณชนในวงกว้างเกี่ยว กับเป้าหมาย แนวทางการส่งเสริมและการแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานให้เกิดการ อนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียน ในวันที่ 4 พฤษภาคม 2544 เพื่อสรุปเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
3. ผลการประชุมกลุ่มย่อยครั้งแรกที่จัดขึ้น เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 เป็นการประชุมกลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิด้านการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ และการตลาด เพื่อรวบรวมความเห็นเกี่ยวกับมาตรการประชาสัมพันธ์ โดยที่ประชุมได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะดังนี้
3.1 การประชาสัมพันธ์โครงการรวมพลังหารสองที่ผ่านมา บรรลุเป้าหมายด้านการสร้างความรับรู้และทำให้ประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความ สำคัญของการประหยัดน้ำมันและไฟฟ้า แต่ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานให้ลดลงได้ ซึ่งตรงกับผลการประเมินได้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนไว้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
3.2 ที่ประชุมมีข้อเสนอแนะว่า ควรที่จะดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ พลังงานให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และให้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติด้านพลังงาน เพื่อให้องค์กรที่เกี่ยวข้องทุกองค์กรให้ความสำคัญและร่วมมือในการพยายาม ผลักดันในทุกด้านเพื่อผลสำเร็จในการสร้างสำนึกด้านการอนุรักษ์ พลังงานของทุกคน และให้เน้นการ "ประหยัดช่วยชาติ" พร้อมทั้งเสนอให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างต่อ เนื่อง และควรจัดให้มีการทำแผนรณรงค์ประชาสัมพันธ์เป็นแผนที่ครบวงจร หรือจัดทำแผนรวม คือ มีทั้งแผนรณรงค์ประชาสัมพันธ์ การสร้างกิจกรรม การกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อความสำเร็จของแผนงาน และในอนาคต สพช. ควรทำหน้าที่เป็นเพียงองค์กรกลางประสานและกระตุ้นจิตสำนึกของประชาชน ส่วนการสร้างกิจกรรมมีส่วนร่วมให้เป็นหน้าที่ขององค์กรอื่น ทั้งภาครัฐและเอกชน
3.3 นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เสนอแนะกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน ได้แก่
(1) ให้ยังคงกิจกรรมเก่าที่ทำแล้ว เช่น Car Pool Car Free Day โดยในส่วนของ Car Free Day เสนอแนะให้ทำการแยกเป็นเขต หรือพื้นที่บางถนน และผสมผสานแนวความคิดของ Walking Street เข้าไปด้วยกัน
(2) โครงการประกวดโรงแรม อาคารสำนักงานและศูนย์การค้าประหยัดพลังงานโดยมุ่งเน้นการประหยัดพลังงานอย่างต่อเนื่องของธุรกิจเหล่านี้
(3) ประกวดการประหยัดไฟฟ้าในระดับโรงเรียนหรือชุมชนทั่วประเทศ โดยใช้ใบเสร็จค่าไฟฟ้า ที่ประหยัดในแต่ละเดือน ตลอดระยะเวลารณรงค์เป็นเครื่องมือในการพิจารณาให้รางวัล
(4) จัดการประกวดโครงการประหยัดน้ำมันขององค์กรราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน โดย มุ่งเน้นในการให้ความรู้ ความเข้าใจกับบุคลากรในองค์กรนั้นๆ โดยมีการพิจารณาให้รางวัลแก่หน่วยงานที่สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้
(5) โครงการปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเมื่อไม่ได้ใช้ เช่น แอร์ โทรทัศน์ วิทยุ กระติกน้ำร้อน หม้อหุงข้าว ฯลฯ
(6) การรณรงค์ปิดน้ำ ปิดไฟ เมื่อไม่ได้ใช้
(7) โครงการรณรงค์การใช้รถยนต์ขนาดเล็ก (ขนาด CC ของเครื่องยนต์)
4. สพช. มีความเห็นเพิ่มเติมว่าควรมีการดำเนินการในเรื่องการประหยัดพลังงาน ดังนี้
4.1 การเรียกร้องผ่านสื่อทุกแขนงให้ประชาชนทุกคนทำการประหยัดไฟฟ้าและน้ำมัน เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ โดยให้ส่งมาตรการประหยัดที่ได้ทำมาแล้วมายัง สพช. และ สพช. จะจัดส่งเครื่องหมายซึ่งอาจจะใช้ธงสัญลักษณ์ เพื่อแสดงว่าผู้ได้ลงมือปฏิบัติเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกอบกู้เศรษฐกิจของ ประเทศ
4.2 จัดส่งมาตรการประหยัดที่ทำได้ง่าย เช่น การถอดปลั๊กทีวีที่ใช้รีโมทคอนโทรล และเครื่องทำน้ำร้อน น้ำเย็น เมื่อเลิกใช้แล้ว ผ่านสื่อต่างๆ ให้กว้างขวางที่สุด เพื่อเป็นแนวทางในการให้ประชาชนประหยัด
4.3 สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันด้านการประหยัดไฟฟ้า ผ่านทางโรงเรียนทั่วประเทศ โดยขอความร่วมมือจากครูประจำชั้นในการรวบรวมใบเสร็จค่าไฟฟ้าจากนักเรียนใน ห้องเรียนเพื่อใช้ในการคำนวณการประหยัดไฟฟ้าของครอบครัวของนักเรียนทั้ง โรงเรียน โรงเรียนที่ร่วมโครงการจะได้รับการยกย่องจากสังคมผ่านทางสื่อมวลชนและรัฐบาล ส่วนโรงเรียนที่ชนะการแข่งขันจะได้รับรางวัลทุนการศึกษาจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
4.4 สนับสนุนให้เกิดการแข่งขันด้านการประหยัดน้ำมันของหน่วยงานของรัฐและเอกชน โดยให้ ส่งผลการประหยัดน้ำมันมายัง สพช. เพื่อรวบรวมเปรียบเทียบหาผู้สมควรได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชนและ รัฐบาล และผู้ชนะการแข่งขันจะได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบรายงานความก้าวหน้ามาตรการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทด แทน และเห็นชอบให้ดำเนินมาตรการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนที่ได้ดำเนินการ อยู่แล้วต่อไป
เรื่องที่ 2 อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2535 เห็นชอบให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ออกระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producers : SPP) งวดที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2535 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ กฟผ. สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration อันเป็นการใช้พลังงานนอกรูปแบบและต้นพลังงานพลอยได้ในประเทศให้เกิดประโยชน์ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระทางด้านการลงทุนของรัฐในระบบการผลิตและระบบ จำหน่ายไฟฟ้า
2. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็ก ซึ่งได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา ได้กำหนดโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP โดยใช้หลักการต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ (Avoided Cost) กล่าวคือ SPP ที่ขายไฟฟ้าในลักษณะสัญญา Firm ที่มีระยะเวลาสัญญามากกว่า 5 ถึง 25 ปี จะได้รับค่าพลังไฟฟ้า (Capacity Payment) และค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payment) ซึ่งกำหนดจากค่าลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า ค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ค่าดำเนินการและค่าบำรุงรักษา ที่ กฟผ. สามารถหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต (Long Run Avoided Cost) ส่วน SPP ที่ขายไฟฟ้าในลักษณะสัญญา Non-Firm และ SPP ประเภทสัญญา Firm ที่มีระยะเวลาสัญญา น้อยกว่า 5 ปี จะได้รับเฉพาะค่าพลังงานไฟฟ้า ซึ่งกำหนดจากค่าเชื้อเพลิงในการผลิตพลังงานไฟฟ้า ค่าดำเนินการและค่าบำรุงรักษาของโรงไฟฟ้าที่ กฟผ. สามารถหลีกเลี่ยงได้ในระยะสั้น (Short Run Avoided Energy Cost)
3. โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Firm จะแตกต่างกันตามประเภทเชื้อเพลิง คือ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันเตา โดย SPP ที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบเป็นเชื้อเพลิง ราคารับซื้อไฟฟ้าเป็นไปตามโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิง ในส่วนของโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภท Non-Firm กำหนดค่าพลังงานไฟฟ้ารับซื้อฐานเท่ากับ 0.87 บาทต่อหน่วย ซึ่งกำหนดจากต้นทุน ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในระยะสั้น (Short Run Avoided Cost) ของโรงไฟฟ้า กฟผ. ที่ใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงในปี 2534 ทั้งนี้ ค่าไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงเมื่อราคาน้ำมันเตาที่ กฟผ. รับซื้อเปลี่ยนแปลงจากราคาฐาน (2.7681 บาทต่อลิตร) เกินกว่า 5 สตางค์
4. การดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน กฟผ. ได้รับข้อเสนอขายไฟฟ้ารวม ทั้งสิ้น 101 ราย แต่มีบางรายที่ถูกปฏิเสธและบางรายที่ขอถอนข้อเสนอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากค่าเงินบาทลอยตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม 2540 ในปัจจุบันมี SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้ารวม 59 ราย โดย กฟผ. ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแล้วจำนวน 51 ราย และอยู่ระหว่างการเจรจา 8 ราย หากทุกโครงการแล้วเสร็จ และสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ จะมีปริมาณรับซื้อไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 2,285 เมกะวัตต์
5. ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2544 มี SPP 44 ราย ที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบของ กฟผ. แล้ว มีปริมาณเสนอขายไฟฟ้ารวม 1,799 เมกะวัตต์ เป็นโครงการที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง 16 โครงการ จำนวน 1,203 เมกะวัตต์ โครงการที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง 4 โครงการ จำนวน 196 เมกะวัตต์ โครงการที่ใช้ถ่านหินและพลังงานนอก รูปแบบเป็นเชื้อเพลิง 3 โครงการ จำนวน 190 เมกะวัตต์ โครงการที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง 1 โครงการ จำนวน 9 เมกะวัตต์ โครงการที่ใช้พลังงานนอกรูปแบบเป็นเชื้อเพลิง 19 โครงการ จำนวน 156 เมกะวัตต์ และโครงการที่ใช้เชื้อเพลิงผสมในการผลิตไฟฟ้า 1 โครงการ จำนวน 45 เมกะวัตต์
6. ปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ SPP ตั้งแต่ปี 2537 จนถึงเดือนธันวาคม 2543 คิดเป็นปริมาณรวม 23,770 ล้านหน่วย มูลค่าการรับซื้อไฟฟ้า 39,754 ล้านบาท ราคารับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ย 1.01-1.75 บาทต่อหน่วย โดยหากพิจารณาราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภทสัญญา Non-Firm ในปี 2543 จะสูงกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าประเภทสัญญา Firm เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันเตาในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้น กล่าวคือ ราคาน้ำมันเตาเฉลี่ยปี 2543 เท่ากับ 25.32 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันเตาเฉลี่ยปี 2542 ซึ่งมีค่าประมาณ 16.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคารับซื้อไฟฟ้าเฉลี่ยจาก SPP ประเภท Non-Firm ซึ่งอิงราคา น้ำมันเตา สูงกว่าราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ประเภท Firm แสดงให้เห็นว่าสูตรการคิดค่าไฟฟ้าที่ใช้ในขณะนี้ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ ปัจจุบัน กฟผ. จึงเสนอให้มีการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาเชื้อเพลิง และต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ของโรงไฟฟ้า กฟผ. ที่เปลี่ยนแปลงไป
7. คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ในการประชุมครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 37) เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2544 ได้พิจารณาเรื่องอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน สามารถสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
7.1 การปรับโครงสร้างอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งจากเดิมอ้างอิงราคาน้ำมันเตาเปลี่ยนมาเป็นการอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติ เป็นการปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ราคาเชื้อเพลิง ในปัจจุบัน และต้นทุนที่หลีกเลี่ยงได้ของ กฟผ. ที่เปลี่ยนแปลงไป โดยสูตรการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้ายังคงกำหนดตามโครงสร้างราคาของ SPP ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งกำหนดในระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมเห็นว่า กฟผ. ควรปรับปรุงค่าตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าให้สอดคล้องกับ ข้อมูลในปัจจุบันด้วย
7.2 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบหลักการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตราย เล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติแทนการอ้างอิงราคาน้ำมันเตาในปัจจุบัน และเห็นชอบสูตรอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ทั้งสัญญาประเภท Firm และ Non-Firm ทั้งนี้ ให้ กฟผ. ดำเนินการปรับปรุงค่าตัวแปรในสูตรอัตรารับซื้อไฟฟ้าตามความเห็นของที่ประชุม โดยโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ใหม่ ให้มีผลบังคับใช้กับที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการ อนุรักษ์พลังงาน ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน และ SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่จะยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าใหม่กับ กฟผ. รวมถึง SPP ประเภท Non-Firm เดิมที่จะต่ออายุสัญญาใหม่ ทั้งนี้ SPP ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเดิมสามารถเจรจาขอเปลี่ยนสูตรโครงสร้างราคาไฟฟ้าใหม่ ได้
7.3 กฟผ. ได้ดำเนินการตามมติของคณะอนุกรรมการฯ ดังกล่าว และได้เสนอสูตรการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ใหม่ ทั้งประเภท Non-Firm และ Firm ที่ได้มีการปรับปรุงค่าตัวแปรในโครงสร้างราคารับซื้อใหม่ตามความเห็นของคณะ อนุกรรมการฯ แล้ว
มติของที่ประชุม
1.เห็นชอบหลักการกำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตรายเล็ก (Small Power Producer : SPP) ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติแทนการอ้างอิงราคาน้ำมันเตา
2.เห็นชอบโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยอ้างอิงราคาก๊าซธรรมชาติ และสูตรการคำนวณ รวมทั้ง ค่าตัวแปรที่ใช้ในการคำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าทั้งประเภท Non-Firm และ Firm ที่ได้มีการปรับปรุงใหม่ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานใน อนาคตของการไฟฟ้า
3.โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ใหม่ ให้มีผลบังคับใช้กับ SPP ดังต่อไปนี้
3.1 SPP ที่จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ทั้งนี้ SPP รายเดิมที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าก่อนวันที่ 16 มิถุนายน 2543 ที่ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เฉพาะกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม ให้โครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้าใหม่นี้ มีผลบังคับใช้เฉพาะส่วนของกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม
3.2 SPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงที่จะยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าใหม่กับ กฟผ. รวมถึง SPP ประเภท Non-Firm เดิมที่จะต่ออายุสัญญาใหม่
ทั้งนี้ ให้ SPP ที่ได้รับการตอบรับซื้อไฟฟ้าจาก กฟผ. และ SPP ที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเดิมสามารถเจรจาขอเปลี่ยนโครงสร้างราคารับซื้อไฟฟ้า ใหม่ได้
เรื่องที่ 3 แนวทางการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และการปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2543 ให้ตรึงราคาขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ทุกภาคการใช้จนถึงสิ้นปี 2543 และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) และการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) รับไปพิจารณาความเหมาะสมของการปรับลดการชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ ปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ทั้งระบบ
2. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2543 และมีมติเห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาก๊าซ ปิโตรเลียมเหลว โดยให้ใช้ 2 แนวทางประกอบกัน ได้แก่ การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซินและดีเซล มีเพดานสูงสุดของอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนฯ ไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร และการทยอยปรับราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซLPG เพิ่มขึ้นในระดับ ไม่เกินร้อยละ 10 ในแต่ละไตรมาส โดยมีเป้าหมายให้อัตราการชดเชยราคาก๊าซ LPG ลดลงครึ่งหนึ่งภายใน 2 ปี และเป็นศูนย์ในที่สุด ซึ่ง สพช. ได้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันเบนซินและดีเซลสู่ระดับเพดานสูงสุดเรียบร้อยแล้ว
3. ต่อมาคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 เห็นชอบการ แก้ไขปัญหาฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงติดลบ โดยให้ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคา นำเข้าก๊าซ LPG เป็นการชั่วคราว เท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน -10$/ตัน และให้มีการประกันราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าต่ำสุด นอกจากนั้น ได้เห็นชอบในหลักการว่าควรจะมีการปรับเพิ่มราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซ LPG เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งระบบ โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณา
4. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนเมษายนปรับตัวลดลง มาอยู่ในระดับ 261 $/ตัน ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG อยู่ในระดับ 11.19 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนฯ 6.53 บาท/กก.หรือ 1,020 ล้านบาท/เดือน ประมาณการฐานะกองทุนฯ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2544 ติดลบอยู่ในระดับ 11,378 ล้านบาท และหากไม่มีการดำเนินการใดๆ คาดว่าฐานะกองทุนฯ จะติดลบในระดับ 13,000 ล้านบาท ในช่วงสิ้นปี 2544
5. โครงสร้างราคาและค่าการตลาดที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ได้ก่อให้เกิดปัญหาในระบบการค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ส่งผลต่อเนื่องถึงผู้ บริโภค และการชดเชยราคาในระดับสูงเป็นสาเหตุทำให้ฐานะกองทุนฯ ติดลบในระดับสูงมาก ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบและปัญหาในด้านต่างๆ ได้แก่ 1) ผลกระทบต่อวินัยการเงินการคลังของประเทศ 2) ผลกระทบต่อผู้ผลิตก๊าซและประชาชน และ 3) การลักลอบส่งออกก๊าซหุงต้มและนำไปใช้ในรถยนต์และภาคอุตสาหกรรมมากขึ้น
6. คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาฐานะกองทุนฯ โดยให้เป็นการรับภาระร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ 1) ผู้ผลิต โดยการปรับลดราคา ณ โรงกลั่น 2) กองทุนฯ โดยการ ปรับขึ้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของน้ำมันชนิดอื่น 3) ผู้บริโภค โดยการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ซึ่งในข้อ 1) และ 2) ได้ดำเนินการไปแล้ว ทำให้สามารถบรรเทาปัญหาได้เพียงระดับหนึ่ง แต่การปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีก ยังจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ เนื่องจากเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหาทั้งหมด และจะเป็นการส่งสัญญาณที่ถูกต้องให้ประชาชนได้รับทราบถึงต้นทุนราคาก๊าซที่ แท้จริง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ การปรับราคาควรจะปรับเพิ่มในระดับเดียวกันทั้งก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือน และก๊าซสำหรับรถยนต์และ อุตสาหกรรม เพราะการกำหนดราคาแตกต่างกันจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เช่น ก่อให้เกิดปัญหาการลักลอบถ่ายเทก๊าซ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการร้องเรียนของผู้ขับรถรับจ้าง ปัญหาการปลอมแปลงเอกสารต้นทุนการผลิต เป็นต้น
7. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอแนวทางการปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซ LPG โดยให้ทยอย ปรับขึ้นครั้งละไม่เกิน 1 บาท เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคมากนัก โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณาดำเนินการในช่วงที่เหมาะสม และมอบหมายให้กรมการค้าภายในรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วย ราคาสินค้าและบริการ เพื่อให้สามารถปรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้สอดคล้องและพร้อมกับการเปลี่ยน แปลงราคาขายส่งของคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน นอกจากนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในระยะยาว ใน 2 แนวทาง ได้แก่
(1) แนวทางการดำเนินการกรณียังคงการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยรัฐควรมีวัตถุประสงค์ ที่ชัดเจนในการจ่ายชดเชยราคาก๊าซเฉพาะกลุ่ม เช่น เกษตรกรหรือผู้มีรายได้น้อย การส่งเสริมการใช้ก๊าซหุงต้มเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่า กลุ่มผู้บริโภคทั่วไป โดยอาจมีการจัดตั้งกองทุนเฉพาะสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว แนวทางนี้มีข้อดีเพียงการชะลอปรับราคาออกไป ส่วนข้อเสีย คือ การปรับราคายังคงเกิดขึ้น เมื่อกองทุนฯ ไม่สามารถรับภาระได้และทำให้ราคาไม่มีเสถียรภาพในระยะยาว รวมทั้ง ระดับค่าการตลาดที่ไม่เหมาะสม ทำให้ไม่เกิดการแข่งขันและการพัฒนาตลาดก๊าซ LPG
(2) แนวทางมุ่งสู่การยกเลิกการควบคุมราคาหรือการเปิดเสรีตลาดก๊าซปิโตรเลียม ซึ่งเป็นแนวทางตามที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยให้ยกเลิกการควบคุมราคาขายส่งและขายปลีก ซึ่งข้อเสียมีเพียงประการเดียว คือ ประชาชนต้องรับภาระตามต้นทุนราคาที่เพิ่มขึ้นทันที แต่จะทำให้ผู้บริโภคและตลาดปรับตัวได้ ส่วนข้อดี คือ กลไกตลาดทำงานได้เต็มที่ ราคาปรับตามต้นทุน ไม่เกิดการบิดเบือนในการใช้ พลังงานของประเทศ มีการใช้ก๊าซ LPG อย่างมีประสิทธิภาพ และภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนที่รัฐไม่แทรกแซงระบบการค้าเสรี
มติของที่ประชุม
1.รับทราบการดำเนินการปรับหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลวเท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน ลบ 10 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน เป็นการชั่วคราว และให้มีการรับประกันราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าต่ำสุด โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน 2544 เป็นต้นมา
2.เห็นชอบแนวทางการปรับขึ้นราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยทยอยปรับขึ้นราคาขายส่งและขายปลีกก๊าซปิโตรเลียมเหลวครั้งละไม่เกิน 1 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้บริโภคมากนัก โดยคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานจะเป็นผู้พิจารณาดำเนินการในช่วงระยะเวลา ที่เหมาะสมต่อไป
3.ให้กรมการค้าภายในรับไปดำเนินการเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการออก ประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เพื่อให้สามารถปรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มได้สอดคล้องและพร้อมกับการเปลี่ยน แปลงราคาขายส่งของคณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงาน
4.ให้คณะกรรมการพิจารณานโยบายพลังงานรับไปพิจารณากำหนดรายละเอียดและ ขั้นตอนในการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียม เหลวในระยะยาวแล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
กพช. ครั้งที่ 82 - วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม 2544
มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ครั้งที่ 1/2544 (ครั้งที่ 82)
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2544 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1.สถานการณ์พลังงานของไทยในปี 2543
2.สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.งานนโยบายพลังงานต่อเนื่อง
1.โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโครงการโรงแยกก๊าซฯ ไทย-มาเลเซีย
2.โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
3.การปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
4.การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
5.ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
6.สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
4.มาตรการอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2544
5.การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงในส่วนของภาษีและกองทุน
นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ
นายภิรมย์ศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์พลังงานของไทยในปี 2543
สรุปสาระสำคัญ
1. สภาพเศรษฐกิจของไทยปี 2543 ยังคงอยู่ในช่วงฟื้นตัวต่อเนื่องจากปลายปี 2542 จนถึงช่วงครึ่งแรกของปีแต่ในช่วงครึ่งหลังของปีมีการชะลอตัวลง ดัชนีผลผลิตสินค้าอุตสาหกรรมในปีนี้มีการขยายตัวเพียงร้อยละ 3 ส่วนอุตสาหกรรมหมวดยานยนต์และวัสดุก่อสร้างยังคงขยายตัวตามแผนการผลิตเพื่อ การส่งออก ในขณะที่ ความต้องการภายในประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวไม่มากเท่าที่ควร
2. ความต้องการพลังงานเชิงพาณิชย์ของประเทศในปี 2543 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.7 โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ส่วนการใช้น้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป รวมทั้งลิกไนต์และถ่านหินมีปริมาณการใช้ลดลง สำหรับการผลิตพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 การนำเข้าพลังงานสุทธิเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.8 เมื่อเทียบกับปี 2542 ส่งผลให้สัดส่วนการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากระดับร้อยละ 58.5 ในปี 2542 เป็นร้อยละ 62.5 ในปี 2543
3. สถานการณ์พลังงานแต่ละชนิดในปี 2543 มีดังนี้
3.1 ก๊าซธรรมชาติ ปริมาณการผลิตและการใช้ก๊าซธรรมชาติของปี 2543 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านมลภาวะน้อยกว่า เชื้อเพลิงชนิดอื่น รัฐบาลจึงสนับสนุนให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนเชื้อเพลิงอื่นในการผลิต ไฟฟ้า ประกอบกับน้ำมันสำเร็จรูปมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้อุตสาหกรรมที่ใช้ น้ำมันเตาหรือ LPG เป็นเชื้อเพลิงได้เปลี่ยนมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทน การผลิตและนำเข้าก๊าซธรรมชาติในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 1,954 และ 214 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ตามลำดับ รวมเป็น 2,168 ล้าน ลูกบาศก์ฟุต/วัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 15.8 นอกจากนี้ มีการนำเข้าจากแหล่งยาดานาและเยตากุนจากสหภาพพม่า
3.2 น้ำมันดิบ ปริมาณการผลิตในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 58 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70.8 แหล่งผลิตที่สำคัญได้แก่ แหล่งเบญจมาศสามารถผลิตได้เต็มที่ในปี 2543 ที่ระดับ 24 พันบาร์เรล/วัน รองลงมาได้แก่ แหล่งสิริกิติ์และทานตะวัน ปริมาณการผลิตในปีนี้คิดเป็นร้อยละ 7.9 ของความต้องการน้ำมันดิบที่ใช้ในการกลั่น จึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวน 675 พันบาร์เรล/วัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 285,862 ล้านบาท
3.3 ลิกไนต์/ถ่านหิน ปริมาณการผลิตลิกไนต์ในปี 2543 มีจำนวน 17.8 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 2.6 โดยร้อยละ 77 ผลิตจากเหมืองแม่เมาะของ กฟผ. ที่เหลือร้อยละ 23 ผลิตจากเหมืองเอกชน ลิกไนต์ที่ผลิตได้นำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าแม่เมาะจำนวน 14.1 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 79 ที่เหลือใช้ในภาคอุตสาหกรรม อัตราการใช้ลิกไนต์ในประเทศลดลงเนื่องจากมีการใช้ถ่านหินนำเข้าเพิ่มขึ้น เพราะมีคุณภาพสูงและราคาถูกลงทำให้สามารถแข่งขันกับลิกไนต์ในประเทศได้
3.4 น้ำมันสำเร็จรูป การใช้น้ำมันสำเร็จรูปในปี 2543 ได้ชะลอตัวลง โดยปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 603 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 4.2 ขณะที่การผลิตมีจำนวน 710 พันบาร์เรล/วัน ซึ่งสูงกว่าการใช้ ค่อนข้างมากทำให้มีการส่งออกสุทธิ จำนวน 83 พันบาร์เรล/วัน โดยมีรายละเอียดน้ำมันสำเร็จรูปแต่ละชนิดมีดังนี้
(1) น้ำมันเบนซิน ปริมาณการใช้ในปี 2543 อยู่ในระดับ 116.5 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 3.8 การใช้น้ำมันเบนซินพิเศษลดลงร้อยละ 26.8 ในขณะที่การใช้น้ำมันเบนซินธรรมดาเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.2 ทั้งนี้ เป็นผลจากการรณรงค์ให้มีการใช้น้ำมันที่มีค่าออกเทนให้เหมาะสมกับประเภทรถ และราคาที่แตกต่างกันระหว่างออกเทน 95 กับออกเทน 91 จำนวน 1 บาท ทำให้มาตรการดังกล่าวได้รับการตอบรับจากประชาชนด้วยดี ส่วนปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินยังคงสูงกว่าความต้องการใช้จึงมีการส่งออก สุทธิ 20.8 พันบาร์เรล/วัน
(2) น้ำมันดีเซล ปริมาณการใช้ในปี 2543 อยู่ในระดับ 258 พันบาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 2.0 การใช้ในช่วงครึ่งแรกของปีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีมีการปรับตัวลดลงสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมัน ดีเซลที่สูงขึ้นมาก สำหรับปริมาณการผลิตอยู่ในระดับ 277.5 พันบาร์เรล/วัน ทำให้มีการส่งออกน้ำมันดีเซล (สุทธิ) เป็นจำนวน 17.8 พันบาร์เรล/วัน
(3) น้ำมันเตา ปริมาณการใช้ในปี 2543 อยู่ในระดับ 109.8 พันบาร์เรล/วัน ลดลง ร้อยละ 19.6 ทั้งนี้เนื่องจากการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าและในภาคอุตสาหกรรมลดลง ปริมาณการผลิต น้ำมันเตาจึงสูงกว่าความต้องการใช้เป็นผลให้มีการส่งออกน้ำมันเตา (สุทธิ) จำนวน 2.6 พัน บาร์เรล/วัน
(4) น้ำมันเครื่องบิน ปริมาณการใช้ของปี 2543 อยู่ในระดับ 60.2 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.9 ในขณะที่ผลิตได้ 74.9 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 ปริมาณการผลิตสูงกว่าความต้องการใช้ภายในประเทศ เป็นผลให้มีการส่งออกสุทธิ จำนวน 14.1 พันบาร์เรล/วัน
(5) ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ปริมาณการใช้ในครัวเรือน อุตสาหกรรม และ รถยนต์ ในปี 2543 อยู่ในระดับ 58.2 พันบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.1 โดยการใช้ LPG ในรถยนต์เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากรถแท๊กซี่ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ LPG เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีราคาถูกกว่าเบนซิน รวมทั้งการใช้เพื่อเป็น วัตถุดิบของภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น แต่ปริมาณการผลิตยังสูงกว่าความต้องการใช้จึงมีการส่งออกสุทธิเป็นจำนวน 21.4 พันบาร์เรล/วัน
4. สถานการณ์ไฟฟ้าในปี 2543 มีดังนี้
4.1 กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าของ กฟผ. และกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าอื่นเพื่อจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ของ กฟผ. ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2543 มีจำนวนทั้งสิ้น 22,735 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งของ กฟผ. คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 77.0 ของเอกชนคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 21.5 และการรับซื้อกระแสไฟฟ้าจากต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.5
4.2 ปริมาณการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศในปี 2543 มีจำนวน 98,469 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในอัตราร้อยละ 6.5 ในขณะที่ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดอยู่ในระดับ 14,918.3 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 8.8 จึงมีผลทำให้ค่าตัวประกอบการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ย (Load Factor) อยู่ในระดับร้อยละ 75.2 ซึ่งต่ำกว่าปีที่ผ่านมา และอัตราสำรองไฟฟ้า (Reserved Margin) อยู่ในระดับร้อยละ 30 สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ ในปีนี้ ประกอบด้วย ไฟฟ้าที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติร้อยละ 61.9 จากถ่านหิน/ลิกไนต์ร้อยละ 19.2 จากน้ำมันเตาร้อยละ 9.8 จากไฟฟ้าพลังน้ำร้อยละ 6 จากการนำเข้าและอื่นๆ ร้อยละ 3.1
4.3 ปริมาณการใช้ไฟฟ้าในปี 2543 มีจำนวน 87,597 กิกะวัตต์ชั่วโมง ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2542 ร้อยละ 8.4 โดยสาขาธุรกิจและอุตสาหกรรมขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.1 บ้านอยู่อาศัยเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7 ลูกค้าตรงของ กฟผ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และการใช้ของภาคเกษตรกรรมลดลงร้อยละ 6.1 โดยเขตนครหลวง การใช้ไฟฟ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 ส่วนเขตภูมิภาคการใช้ไฟฟ้าขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบในปี 2543 ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนประมาณ 10 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล มาอยู่ที่ระดับ 32-36 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงปลายปี เนื่องจากปริมาณสำรองน้ำมันดิบทางการค้าของโลกลดต่ำลงมากและภาวะเศรษฐกิจของ โลกเริ่มฟื้นตัวในปี 2544 โดยช่วงครึ่งแรกของเดือนมกราคมราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากการคาดการณ์การลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปค ซึ่งผลการประชุมของกลุ่ม โอเปคได้ลดกำลังการผลิตลง 1.5 ล้านบาร์เรล/วัน เหลือ 26.2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยไม่รวมอิรัก มีผลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ในเดือนกุมภาพันธ์ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้น 2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากการเก็งกำไรของกองทุนทางการเงิน และปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงจากการลดปริมาณการผลิตของโอเปค แต่ช่วงหลังของเดือนราคาน้ำมันดิบได้อ่อนตัวลงจากการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจ ที่ชะลอตัว ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคมราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากแนวโน้มการลดปริมาณการผลิตของโอเปคในไตรมาส 2 ที่จะส่งผลให้การเพิ่มสำรองเป็นไปได้ยาก
2. ราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ในปี 2543 ราคาน้ำมันเบนซิน ดีเซล และเตา ปรับตัวสูงขึ้น 11, 13 และ 9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบ และภาวะตลาดตึงตัว เนื่องจากปริมาณสำรองทางการค้าอยู่ในระดับต่ำ และโรงกลั่นลดกำลังการผลิตเพราะค่าการกลั่นตกต่ำ ในขณะที่มีโรงกลั่น หลายแห่งปิดเนื่องจากอุบัติเหตุ ในเดือนมกราคม 2544 น้ำมันเบนซินปรับตัวสูงขึ้น 0.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบและโรงกลั่นในสหรัฐอเมริกาปิดซ่อมแซมประจำปี สำหรับน้ำมันก๊าด ดีเซล และเตาปรับตัวลดลง 3, 1 และ 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากปริมาณน้ำมันออกสู่ตลาดมีมาก เดือนกุมภาพันธ์ราคาน้ำมันสำเร็จรูปโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ และความต้องการใช้ที่เริ่มสูงขึ้น แต่ดีเซลราคา ลดลง เนื่องจากมีน้ำมันออกสู่ตลาดมาก ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคมราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามราคาน้ำมันดิบโดยในวันที่ 9 มีนาคม 2544 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 เบนซินออกเทน 92 ก๊าด ดีเซล และเตา อยู่ที่ระดับ 31.7, 30.1, 29.4, 27.4 และ 22.9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามลำดับ
3. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยปี 2543 น้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 บาท/ลิตร ดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 4 บาท/ลิตร มาอยู่ที่ระดับ 16 และ 14 บาท/ลิตรตามลำดับ เดือนมกราคม 2544 เบนซินปรับขึ้นและลงในระดับเดียวกันจำนวน 30 สตางค์/ลิตร ดีเซลปรับ 20 สตางค์/ลิตร เดือนกุมภาพันธ์ เบนซินปรับขึ้น 90 สตางค์/ลิตร และปรับลง 30 สตางค์/ลิตร ดีเซลปรับขึ้น 50 สตางค์/ลิตร และปรับลง 70 สตางค์/ลิตร ในช่วงครึ่งแรกของเดือนมีนาคม น้ำมันเบนซินและดีเซลปรับขึ้น 30 สตางค์/ลิตร ราคาน้ำมันสำเร็จรูปของไทย ณ วันที่ 12 มีนาคม 2544 เบนซินออกเทน 95, 91, 87 และดีเซลหมุนเร็วอยู่ที่ระดับ 16.59, 15.59, 15.17 และ 13.24 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ค่าการตลาดน้ำมันสำเร็จรูปของไทยโดยรวมในปี 2543 อยู่ที่ระดับ 0.5-1.5 บาท/ลิตร ส่วนค่า การกลั่นในช่วงไตรมาส 1-2 เคลื่อนไหวในระดับ 0.5-1.0 บาท/ลิตร (3-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) และในไตรมาส 3 อยู่ในระดับ 1.5-2.0 บาท/ลิตร (5-8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) หลังจากนั้นลดลงมาอยู่ในระดับ 0.5-1.0 บาท/ลิตร ส่วนปี 2544 ค่าการตลาดโดยรวมของประเทศเดือนมกราคมปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1.0 บาท/ลิตร หลังจากนั้น จึงปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.2-1.4 บาท/ลิตร และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม ค่าการกลั่นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 0.4-0.6 บาท/ลิตร (1.5-2.0 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล) ในขณะที่จุดคุ้มทุนอยู่ที่ระดับ 3-4 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
5. แนวโน้มของราคาน้ำมันในช่วงไตรมาส 2 ความต้องการใช้จะลดลงหลังช่วงฤดูหนาว และมีการ คาดการณ์กันว่าภาวะเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกจะชะลอตัวลง ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกไม่เพิ่มสูงขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้เดิม ในด้านปริมาณการผลิตหากกลุ่มโอเปคลดปริมาณการผลิตลง จะทำให้ปริมาณการผลิตและความต้องการใช้น้ำมันของโลกอยู่ในภาวะสมดุล ราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 2 จะทรงตัวอยู่ในระดับปัจจุบัน โดยน้ำมันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 24-25 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์อยู่ที่ระดับ 25-27 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 3 และ 4 ความต้องการใช้จะสูงขึ้นตามฤดูกาล แต่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะไม่เพิ่มสูงขึ้นมากนัก และหากน้ำมันจากนอกกลุ่มโอเปคเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้ระดับราคาน้ำมันดิบสูง ขึ้นเพียง 3 - 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 26-29 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และเบรนท์อยู่ที่ระดับ 27 - 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง งานนโยบายพลังงานต่อเนื่อง
เรื่องที่ 3-1 โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโครงการโรงแยกก๊าซฯ ไทย-มาเลเซีย
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2542 อนุมัติการร่วมทุนระหว่าง การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และ เปโตรนาส ในโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและโครงการโรงแยกก๊าซฯ ไทย-มาเลเซีย และให้มีการลงนามในสัญญาภายหลังผ่านความเห็นชอบจากกรมอัยการแล้ว ต่อมาเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2542 ปตท. และเปโตรนาสได้มีการลงนามในสัญญา 4 ฉบับ คือ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง A-18 สัญญาผู้ ถือหุ้น สัญญาการให้ยืมคืน และสัญญาแม่บทการร่วมทุน
2. เมือวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2543 ได้มีการจัดตั้ง บริษัท ทรานส์ ไทย-มาเลเซีย (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้น มีทุนจดทะเบียน 940 ล้านบาท เพื่อดำเนินการโครงการท่อส่งก๊าซฯ และโครงการโรงแยกก๊าซฯ รวมทั้งได้มีการจ้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ดำเนินการศึกษาและจัดทำรายงาน การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งรายงาน EIA ดังกล่าว ได้ส่งให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมพิจารณาแล้วเมื่อกลางปี 2543
3. ต่อมา เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2543 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณาโครงการฯ ขึ้นโดยมีพลเอก จรัล กุลละวณิชย์ เป็นประธาน และได้ดำเนินการจัดให้มีการประชุมประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2543 และเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2543 รวมทั้งเปิดรับความ คิดเห็นเพิ่มเติมทางลายลักษณ์อักษรอีกจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2543 โดยได้มีการรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบความคืบหน้าเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2543 และเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ดำเนินการประชาพิจารณ์โครงการต่อไป และมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้พิจารณาดำเนินการ โดยไม่ต้องกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีอีก
4. เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2543 กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีหนังสือสอบถามความเห็นไปยังสำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาเกี่ยวกับการจัดทำประชาพิจารณ์ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือถึงคณะรัฐมนตรีชี้แจงสถานะของ บริษัทร่วมทุนว่าเป็นเอกชน ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องทำประชาพิจารณ์ แต่ตามมติคณะรัฐมนตรีในการอนุมัติการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ได้ให้ข้อสังเกตว่าสมควรให้มีการจัดทำประชาพิจารณ์ด้วย ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ดำเนินการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการฯ ขึ้น ฉะนั้น เมื่อมีผลการทำประชาพิจารณ์แล้วหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องสามารถนำผลจากการ ประชาพิจารณ์ไปประกอบการดำเนินงานได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีก นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2543 และเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2543 คณะผู้ชำนาญการได้มีการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของ โครงการฯ และได้ขอให้จัดทำ ข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
5. ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาผลการประชาพิจารณ์โครงการท่อก๊าซธรรมชาติ ไทย-มาเลเซีย โดยมีเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานฯ ได้พิจารณาผลการประชุมประชาพิจารณ์แล้วมีความเห็นว่าจากผลการประชุมประชา พิจารณ์ของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ฯ ทั้ง 2 ครั้งดังกล่าวข้างต้น มีข้อมูลและเหตุผลหลายประการที่ชี้ให้เห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการ โครงการฯ ต่อไป แต่ควรจะต้องให้ความสำคัญกับประเด็นข้อเสนอแนะของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ ตลอดจนข้อกฎหมายต่างๆ ที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องนำไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและทัน การ โดยเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2544 กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้ ปตท. พิจารณาดำเนินการตามความเห็นของคณะทำงานฯ โดยให้ ปตท. นำรายงานผลการประชาพิจารณ์โครงการฯ ของคณะกรรมการประชาพิจารณ์ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการและให้จัดส่งรายงาน ผลการประชาพิจารณ์ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตทั้งหมดไปพิจารณาดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปประกอบการพิจารณาวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ของสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมให้มีความครอบคลุมครบถ้วน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
6. เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 คณะกรรมการ ปตท. รับทราบสถานภาพโครงการฯ และมีมติอนุมัติให้ ปตท. ส่งเรื่องผลการประชาพิจารณ์ฯ และนำข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินการฯ ของคณะทำงานพิจารณาผลการประชาพิจารณ์ฯ พร้อมข้อคิดเห็น/ข้อสังเกตของคณะทำงาน ปตท. ให้แก่บริษัท ทรานส์ ไทย- มาเลเซียฯ พิจารณาดำเนินการต่อไป ซึ่งการดำเนินการโครงการฯ ขั้นต่อไปขึ้นอยู่กับบริษัทร่วมทุนฯ จะสามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนกฎหมายครบถ้วนหรือไม่ เช่น การขออนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะผู้ชำนาญการ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ และการทำความเข้าใจกับผู้ คัดค้านโครงการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-2 โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอกชนที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
สรุปสาระสำคัญ
1. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชน ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2537 เป็นต้นมา โดยมีผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนที่ผ่านการคัดเลือกและได้มีการลงนามสัญญาซื้อขาย ไฟฟ้ากับ กฟผ. รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ ในจำนวนนี้มีโครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอกของบริษัท กัลฟ์ เพาเวอร์ เจเนอเรชั่น จำกัด และโครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด ของบริษัท ยูเนี่ยน เพาเวอร์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงได้รับการคัดค้านและต่อต้านจากประชาชนใน พื้นที่
2. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2541 มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หารือร่วมกันจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
3. ต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการประชาพิจารณ์โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2542 เพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยได้มีการจัดทำประชา พิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าบ่อนอก เมื่อวันที่ 10-11 กันยายน 2542 และจัดทำประชาพิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าหินกรูด เมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ 2543 โดยมีประเด็นของผู้คัดค้านเกี่ยวกับระบบนิเวศทางทะเลและการประมง มลพิษทางอากาศ และผลกระทบต่อสังคมการเมือง ความมั่นคงและผลได้ผลเสียต่อสาธารณะ
4. คณะกรรมการประชาพิจารณ์ฯ ได้พิจารณาผลการจัดทำประชาพิจารณ์โครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง และมีข้อสังเกตเป็น 3 กรณี ดังนี้
4.1 กรณีรัฐบาลตัดสินใจให้ดำเนินโครงการต่อไป รัฐบาลจะต้องแก้ไข ปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างฝ่ายเห็นด้วยกับฝ่ายคัดค้าน โดยใช้กระบวนการไกล่เกลี่ยและประนีประนอม และต้องมีมาตรการป้องกันและ แก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรจัดให้มี "คณะกรรมการร่วมไตรภาคี" เพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว
4.2 กรณีที่รัฐบาลระงับการดำเนินโครงการ หน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายหลังตาม สัญญาที่ได้กระทำไว้กับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้า เพื่อกำหนดแนวทางการเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับบริษัทต่อไป และรักษาภาพลักษณ์ของรัฐบาล เกี่ยวกับการส่งเสริมการระดมทุนจากต่างประเทศ
4.3 กรณีที่รัฐบาลพิจารณาชะลอหรือเลื่อนเวลาดำเนินโครงการ รัฐบาลจะต้องสร้างความเข้าใจกับประชาชน องค์กรปกครองท้องถิ่นทั้งในพื้นที่โครงการและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างต่อ เนื่องภายใต้เงื่อนไข การป้องกันและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ รวมทั้ง ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และหน่วยงานของรัฐต้องศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายหลังตามสัญญาที่ได้กระทำ ไว้กับบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าหากต้องมีการชะลอโครงการออกไป
5. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2543 รับทราบรายงานผลการจัดทำประชาพิจารณ์ โครงการดังกล่าว และให้ยังคงนโยบายให้เอกชนลงทุนและการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนตามข้อผูกพัน เดิม รวมทั้ง การกระจายประเภทของพลังงานเพื่อผลิตไฟฟ้าและการใช้พลังงานถ่านหิน และเพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่ จึงให้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่งประกอบด้วย ผู้แทนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนของประชาชนในพื้นที่ และผู้แทนบริษัทผู้ประกอบการเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว
6. ต่อมารัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ (นายสาวิตต์ โพธิวิหค) ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2543 แต่งตั้งคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้าใจกับประชาชนในโครงการก่อสร้างโรง ไฟฟ้าที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ (กสป.) โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการเสริมสร้างความเข้าใจฯ ได้มีการจัดประชุมครั้งแรกเมื่อ วันที่ 6 ธันวาคม 2543 เพื่อรับทราบข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และได้มีการประชุมครั้งที่สองเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 เพื่อพิจารณาจัดทำแผนประชาสัมพันธ์เพื่อให้มีการดำเนินการ ต่อไป
7. อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรียังคงมีปัญหาอุปสรรค โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรมยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความชัดเจนของมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2543 และมีหนังสือถามความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงยังไม่ได้ออกใบอนุญาต ประกอบกิจการโรงงานให้โรงไฟฟ้าบ่อนอก นอกจากนี้ประชาชนบางส่วนในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ยังคงมีท่าทีต่อ ต้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง 2 โรง อยู่ จนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 ตัวแทนกลุ่มผู้คัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้เข้าพบรัฐบาล ณ ห้องสีเทา ตึก 44 ทำเนียบรัฐบาล โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เป็นตัวแทนฝ่ายรัฐบาลรับฟังปัญหาจากตัวแทนกลุ่มผู้คัดค้าน
การพิจารณาของที่ประชุม
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-3 การปรับอัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2534 เห็นชอบให้มีการใช้สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) เพื่อให้อัตราค่าไฟฟ้าสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริง และลดผลกระทบของความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงต่อฐานะการเงินของการไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้เรียกเก็บค่า Ft รายเดือนตั้งแต่การเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2535 เป็นต้นมา โดยค่า Ft จะเปลี่ยนแปลงเป็นรายเดือน ต่อมามีการร้องเรียนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ไม่ต้องการให้ค่า Ft มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป จึงมีการพิจารณาให้ใช้ค่า Ft เฉลี่ย 4 เดือน
2. ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบข้อเสนอโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ขายส่ง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าขายปลีก และรายละเอียดใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2543 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ได้เห็นชอบในหลักการข้อเสนอสูตรการปรับอัตราค่า ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติรับไปดำเนินการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft ภายใต้หลักการดังกล่าว ซึ่งได้มีการปรับฐานค่า Ft ใหม่โดยกำหนดให้เท่ากับ 0 เป็นระยะเวลา 4 เดือน (ตุลาคม 2543-มกราคม 2544) และจะมีการปรับค่า Ft ใหม่ ครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ 2544
3. สูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ใหม่ ได้มีการปรับปรุงรายละเอียดของสูตรให้มีความชัดเจนโปร่งใสยิ่งขึ้น โดยนำค่าใช้จ่ายในการจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า (DSM) ออกจากสูตร Ft และให้การไฟฟ้าร่วมรับภาระความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วย ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าที่คำนวณตามสูตร Ft ใหม่จะต่ำกว่าค่าไฟฟ้าตามสูตร Ft เดิม โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยหลัก ดังนี้
3.1 ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน และค่าซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าฐานที่ใช้ในการกำหนดโครง สร้างอัตราค่าไฟฟ้า
3.2 ผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนในการชำระคืนเงินกู้และดอกเบี้ยต่างประเทศของการ ไฟฟ้า เนื่องจากการไฟฟ้ายังไม่มีอิสระในการบริหารจัดการหนี้ได้อย่างแท้จริง โดยในช่วง 6 เดือนแรกคือ ตุลาคม 2543-มีนาคม 2544 ให้การไฟฟ้าสามารถปรับผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงที่แตกต่างจากอัตราแลกเปลี่ยน ฐาน ณ 38 บาท/เหรียญสหรัฐ ผ่านสูตร Ft ได้ทั้งหมด ส่วนการคำนวณค่า Ft ที่ใช้เรียกเก็บตั้งแต่เดือนเมษายน 2544 เป็นต้นไป การไฟฟ้าจะต้องรับภาระความเสี่ยง 5% แรก หากอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนตัวลงจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน และมีการกำหนดเพดานให้ปรับค่าไฟฟ้าผ่านสูตร Ft ได้ไม่เกิน 45 บาท/เหรียญสหรัฐ และหากอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยนฐาน ให้การไฟฟ้าคืนผลประโยชน์ให้ประชาชนผ่านสูตร Ft ทั้งหมด
3.3 รายได้ที่เปลี่ยนแปลงไปของการไฟฟ้า (MR) เนื่องจากราคาขายเปลี่ยนแปลงไปจากที่ประมาณการฐานะการเงิน ยังคงให้มีการปรับ MR ในช่วง 6 เดือนแรก เพื่อเป็นการประกันว่าค่าไฟฟ้าขายปลีกจะลดลงร้อยละ 2.11 เมื่อพ้นกำหนดดังกล่าวให้นำ MR ออกจากสูตร Ft
3.4 การเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของการไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่ค่า เชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า (Non-Fuel Cost) ซึ่งจะมีการปรับตามอัตราเงินเฟ้อ และหน่วยจำหน่ายที่เปลี่ยนแปลงไปจากฐานที่ใช้ในการกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้า ฐาน ทั้งนี้ ได้มีการดูแลเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจการไฟฟ้า โดยการไฟฟ้าจะต้องปรับลดค่าใช้จ่ายในกิจการผลิต กิจการระบบส่ง และกิจการระบบจำหน่ายในอัตราร้อยละ 5.8 2.6 และ 5.1 ต่อปี ตามลำดับ
4. คณะอนุกรรมการกำกับสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2544 ได้มีมติเห็นชอบค่า Ft สำหรับการเรียกเก็บในเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2544 เท่ากับ 24.44 สตางค์ ต่อหน่วย โดยปัจจัยหลักที่มีผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของค่า Ft คือ
4.1 ค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2543-มกราคม 2544 โดยราคา ก๊าซธรรมชาติได้ปรับตัวสูงขึ้น 23.07 บาทต่อล้านบีทียู จากราคาฐาน 115.20 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 138.27 บาทต่อล้านบีทียู นอกจากนี้ราคาน้ำมันเตาและน้ำมันดีเซลก็ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.66 และ 1.05 บาทต่อลิตร เป็น 7.36 บาทต่อลิตร และ 10.73 บาทต่อลิตร ตามลำดับ จากราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนเพิ่มขึ้นด้วย ผลกระทบจากค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากราคาฐาน คิดเป็นร้อยละ 94 ของค่า Ft ที่เพิ่มขึ้น หรือเพิ่มขึ้น 22.99 สตางค์ต่อหน่วย
4.2 อัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนตัวลงจากระดับ 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มาอยู่ ณ ระดับ 43 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มีผลกระทบต่อภาระการชำระหนี้ของ 3 การไฟฟ้า ส่งผลให้ค่า Ft เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 4.34 สตางค์ต่อหน่วย อย่างไรก็ตาม จากภาวะอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงเหลือประมาณร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อฐาน ณ ระดับร้อยละ 2.83 ทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของการไฟฟ้าในส่วนที่ไม่ใช่ค่าเชื้อเพลิง (Non-fuel cost) ลดลง ส่งผลให้ค่า Ft ลดลง 2.19 สตางค์ต่อหน่วย นอกจากนี้ รายได้ของการไฟฟ้าที่สูงกว่าประมาณการตามแผน (MR) ส่งผลให้ค่า Ft ลดลงอีก 0.70 สตางค์ต่อหน่วย
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-4 การปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 ตุลาคม 2543 เห็นชอบข้อเสนอและแผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้า และการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแผนการดำเนินงานฯ และให้กระทรวงการคลังนำแผนการดำเนินงานดังกล่าวใช้เป็นหลักเกณฑ์หนึ่งในการ ประเมินผลการดำเนินงานของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.) เป็นผู้เตรียมการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน โดยให้ดำเนินการยกร่างกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ฯลฯ ภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ซึ่งต่อมาคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้แต่งตั้งคณะทำงาน จำนวน 5 คณะ เพื่อช่วยให้การดำเนินงานต่างๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ได้แก่ คณะทำงานพิจารณาร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า คณะทำงานศึกษา ต้นทุนและหนี้สินติดค้าง คณะทำงานเตรียมการด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า คณะทำงานเตรียมการด้านกฎหมายและการกำกับดูแล และคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ
2. ภายใต้โครงสร้างกิจการไฟฟ้าในอนาคต การแข่งขันจะเริ่มตั้งแต่ผู้ผลิตไฟฟ้าจำนวนหลายรายจะเสนอราคาขายและปริมาณ ไฟฟ้าเข้าไปแข่งขันเพื่อประมูลขายไฟฟ้าในตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งจะมีการจัดตั้งขึ้นในปลายปี 2546 ประกอบด้วย 3 หน่วยงานหลัก คือ ศูนย์ควบคุมระบบอิสระ ศูนย์ปฏิบัติการทางการตลาด และศูนย์บริหารการชำระเงิน ในระดับการค้าปลีกจะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการจัดหาและค้าปลีกไฟฟ้า คือบริษัทระบบสายจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้า (REDCo) และบริษัทค้าปลีกไฟฟ้า โดยกิจการสายส่ง บริษัทระบบสายจำหน่ายและจัดหาไฟฟ้าจะถูกกำกับดูแลโดยรัฐ ส่วนบริษัทค้าปลีกไฟฟ้าจะประกอบธุรกิจที่มีการแข่งขัน โดยจะทำการซื้อบริการในการจัดหาไฟฟ้าจาก REDCo และอาจให้บริการเสริมต่างๆ แก่ผู้ใช้ไฟ ในระยะยาวศูนย์ควบคุมระบบควรเป็นอิสระอย่างแท้จริง และต้องไม่มีความเกี่ยวพันกับบริษัทผลิตไฟฟ้าและบริษัทระบบสายส่งไฟฟ้า
3. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะมีการปรับโครงสร้างภายใน เพื่อดำเนินการเข้าสู่โครงสร้างกิจการไฟฟ้าที่มีการแข่งขัน โดยจะมีการแปรรูปโรงไฟฟ้าราชบุรี แปรสภาพบริษัทผลิตไฟฟ้า 1 และบริษัทผลิตไฟฟ้า 2 ให้เป็นบริษัทในเครือ มีการแยกกิจกรรมต่างๆ ออกเป็นหน่วยธุรกิจ ส่วนการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะดำเนินการแยกกิจกรรมที่มิใช่ธุรกิจหลักออกไป และแบ่งแยกการ ดำเนินงานของฝ่ายจัดหาไฟฟ้าและฝ่ายสายจำหน่ายใน REDCo โดย กฟน. ยังคงเป็น 1 REDCo แต่ กฟภ. จะปรับโครงสร้างองค์กรออกเป็นหน่วยธุรกิจโครงข่ายไฟฟ้าที่มีระดับแรงดัน มากกว่า 22 กิโลโวลต์ ออกเป็น 4 หน่วยธุรกิจ และ REDCo ที่มีระดับแรงดันน้อยกว่า 12 กิโลโวลต์ ออกเป็น 12 REDCo
4. แผนการดำเนินงานในการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขาย ไฟฟ้า ครอบคลุมถึงประเด็นต่างๆ ได้แก่ การจัดทำกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Market Rules) การดำเนินการยกร่าง พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... การดำเนินการยกร่างกฎหมายรองภายใต้ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง (Stranded Cost) การ ดำเนินการทางด้านระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟผ. การเตรียมความพร้อมภายในองค์กรของ กฟน. และ กฟภ. และการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งในช่วงแรก จะมอบหมายให้ กฟผ. เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตลาดกลางฯ ทั้งหมด แต่ทั้งนี้ ให้มีการโอนทรัพย์สิน สิทธิ หน้าที่ พนักงาน และงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของตลาดกลางฯ จาก กฟผ. ไปเป็นของตลาดกลางฯ ภายใน 3 ปีนับจากวันที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงานมีผลบังคับใช้
5. สพช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินกิจกรรมตามแผนการดำเนินงานฯ ที่ได้รับมอบหมาย ตามมติคณะรัฐมนตรี สรุปความคืบหน้าได้ดังนี้
5.1 สพช. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อทำการศึกษาเรื่องกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า การจัดการต้นทุนและหนี้สินติดค้าง และการดำเนินการด้านกฎหมายและการกำกับดูแล
5.2 กฟผ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาในการจัดเตรียมความพร้อมของศูนย์ควบคุมระบบอิสระ (ISO)
5.3 กฟน. และ กฟภ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษา เพื่อการพัฒนากระบวนงานทางธุรกิจ และเตรียมองค์กรและระบบข้อมูลสื่อสารสำหรับการซื้อขายไฟฟ้าผ่านตลาดกลาง
5.4 การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้ร่วมกันว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อจัดทำร่างข้อกำหนดการเชื่อมโยง การใช้บริการ ระบบโครงข่ายและระบบจำหน่ายไฟฟ้า (Grid Code และ Distribution Code)
5.5 คณะทำงานพิจารณาร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าได้พิจารณาร่างกฎตลาดกลางฯ ร่างที่ 1 และได้เสนอข้อคิดเห็นเพื่อให้ที่ปรึกษานำไปจัดทำร่างกฎตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า ร่างที่ 2 ให้แล้วเสร็จในเดือนเมษายน 2544
5.6 คณะทำงานศึกษาต้นทุนและหนี้สินติดค้าง ได้พิจารณาประเด็นหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ประมาณการเบื้องต้นของมูลค่าต้นทุนและหนี้สินติดค้าง กลไกในการชดเชยต้นทุนและหนี้สินติดค้าง และ แนวทางการจัดตั้งหน่วยงานจัดการหนี้สิน
5.7 คณะทำงานเตรียมการด้านระบบส่งและระบบจำหน่าย ได้พิจารณาและเห็นชอบในหลักการกำหนดขอบเขตที่เหมาะสมระหว่างระบบส่งและระบบ จำหน่ายไฟฟ้าในอนาคต
5.8 คณะทำงานปรับปรุงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ได้พิจารณาแนวทางการปรับปรุงสัญญาต่างๆ ของ กฟผ. เพื่อให้สอดคล้องกับกฎตลาดกลางฯ และลดภาระต้นทุนและหนี้สินติดค้าง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-5 ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ...
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐ โดยมีมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 5 มติ ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2541 เห็นชอบแผนแม่บทการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2542 เห็นชอบ แนวทางการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซธรรมชาติในระยะยาว มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2542 เห็นชอบแนวทางการจัดตั้งองค์กรกำกับดูแลอิสระสาขาพลังงาน มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2543 เห็นชอบการปรับโครงสร้างกิจการไฟฟ้าและการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติการประกอบ กิจการพลังงาน พ.ศ. ... แล้ว เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก่อนจะ นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
2. ในการปรับโครงสร้างกิจการพลังงานที่มีการผูกขาดโดยธรรมชาติจำเป็นต้องมีการ กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพควบคู่กันไป พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงานจึงมีความสำคัญ ดังนี้คือ
2.1 เพื่อกำกับกิจการพลังงานที่มีลักษณะผูกขาด ได้แก่ กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการอื่นที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา โดยจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติ (กกพ.) ซึ่งมีหน้าที่ออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงาน ส่งเสริมการแข่งขัน ป้องกันการใช้อำนาจการผูกขาด โดยมิชอบ และให้การคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน
2.2 จะมีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานแห่งชาติ (สกพ.) ขึ้น เป็น หน่วยงานของรัฐซึ่งมีฐานะเป็นนิติบุคคล ทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของ กกพ. เพื่อให้ กกพ. สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.3 จะมีการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยขึ้น โดยมีคณะกรรมการตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยทำหน้าที่กำกับดูแล เพื่อให้กิจการไฟฟ้ามีการแข่งขัน ให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีทางเลือกในการซื้อไฟฟ้า และมีการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ
3. การกำกับดูแลกิจการพลังงานมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญคือ เพื่อส่งเสริมให้มีบริการด้านพลังงานอย่างเพียงพอ ส่งเสริมการแข่งขันและป้องกันการใช้อำนาจในทางมิชอบ ส่งเสริมให้บริการของระบบโครงข่ายพลังงานเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและไม่มีการ เลือกปฏิบัติ ปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้พลังงาน และป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการประกอบกิจการพลังงาน
4. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... ประกอบด้วย 10 หมวด ได้แก่ บททั่วไป องค์กรกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน การกำกับการประกอบกิจการพลังงาน การคุ้มครองผู้ใช้พลังงาน การใช้อสังหาริมทรัพย์ ตลาดซื้อขายไฟฟ้า การพิจารณาข้อพิพาทและการอุทธรณ์ พนักงานเจ้าหน้าที่ การบังคับทางปกครอง และบทกำหนดโทษ
5. ประโยชน์ที่จะได้รับจากพระราชบัญญัติฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการแปรรูป กิจการพลังงาน โดย จะทำให้การกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานของประเทศมีเอกภาพ มีการแยกอำนาจระหว่างการกำหนดนโยบายด้านพลังงานออกจากการกำกับดูแลอย่าง ชัดเจน ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ประกอบการ ช่วยปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้พลังงาน และทำให้การจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าแห่งประเทศไทยมีผลสำเร็จเป็นรูปธรรม
6. ปัจจุบันร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจร่างของสำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา หลังจากนั้นก็จะนำเสนอรัฐสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ในปี 2545 และในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. ... อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐสภา งานที่จะต้องดำเนินการพร้อมกันไปคือการยกร่างกฎหมายลำดับรอง เพื่อใช้ในการกำกับดูแลกิจการพลังงาน ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมในการดำเนินงานขององค์กรกำกับดูแลอิสระ ซึ่งจะจัดตั้งในปี 2545
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3-6 สถานการณ์ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในตลาดโลก ปี 2543 ปรับสูงขึ้นมากตามราคาน้ำมันดิบ อยู่ในระดับ 250-345 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 9.50-15 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 5-10 บาท/กก. หรือ 700-1,700 ล้านบาท/เดือน
2. ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกเดือนมีนาคม 2544 ลดลง 20 เหรียญสหรัฐ/ตัน มาอยู่ในระดับ 316 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG ในประเทศอยู่ในระดับ 13.63 บาท/กก. อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ในระดับ 8.97 บาท/กก. หรือ 1,391 ล้านบาท/เดือน แนวโน้มราคาก๊าซ LPG ใน ไตรมาสที่ 2 ของปี 2544 จะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 280-300 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้ราคาหน้าโรงกลั่นก๊าซ LPG อยู่ในระดับ 12-13 บาท/กก. และอัตราเงินชดเชยจะอยู่ในระดับ 7.50-8.50 บาท/กก. หรือ 1,200-1,300 ล้านบาท/เดือน
3. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 อยู่ในระดับ 2,164 ล้านบาท โดยมี ยอดเงินชดเชยค้างชำระที่อยู่ระหว่างรอการเบิกจ่าย ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2544 อยู่ในระดับ 11,298 ล้านบาท ประมาณการฐานะกองทุนฯ สุทธิติดลบในระดับ 9,134 ล้านบาท กองทุนฯ มีรายรับจากน้ำมันชนิดอื่น 882 ล้านบาท/เดือน และมีรายจ่ายเพื่อชดเชยราคาก๊าซ LPG ในระดับ 1,391 ล้านบาท/เดือน กองทุนฯ มีเงินไหลออกสุทธิ 509 ล้านบาท/เดือน
4. จากการคาดการณ์ราคาก๊าซ LPG ในปี 2544 คาดว่าจะเคลื่อนไหวในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่ระดับ 230 - 330 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งหากไม่มีการปรับราคาขายส่งและราคาขายปลีกก๊าซ LPG แล้ว คาดว่าฐานะกองทุนฯ ในเดือนธันวาคม 2544 จะติดลบเพิ่มขึ้นในระดับ 12,000 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 มาตรการอนุรักษ์พลังงานในช่วงปีงบประมาณ 2544
สรุปสาระสำคัญ
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2535 โดยมีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมให้เกิดวินัยในการอนุรักษ์พลังงาน และให้มีการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานและอาคาร ซึ่งการประกาศใช้พระราชบัญญัติดังกล่าว มีผลให้มีการตราพระราชกฤษฎีกากำหนด โรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และได้มีการออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดวิธีการอนุรักษ์พลังงานให้โรงงานควบคุม และอาคารควบคุมต้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด รวมทั้งกำหนดให้มีการจัดตั้ง "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้น เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือ หรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีหน่วยงานหลัก 2 หน่วยงานเป็นผู้รับผิดชอบการดำเนินงาน คือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (พพ.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (สพช.)
2. สพช. และ พพ. ได้เริ่มดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 1 เมื่อเดือนเมษายน 2538 และได้เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2542 ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 2 โดยมอบหมายให้ สพช. และ พพ. รับไปดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของแผนฯ ซึ่งมีความก้าวหน้าในการดำเนินงานมาเป็นลำดับ
3. ประเทศไทยได้ผ่านปัญหาวิกฤติการณ์ด้านพลังงานมาแล้วหลายครั้ง เช่น ในปี 2516 ซึ่งเกิด วิกฤติการณ์น้ำมันทำให้น้ำมันดิบที่หาซื้อได้มีปริมาณลดน้อยลง และมีผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย ก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นในประเทศไทย ดังนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของประเทศ จึงได้มีการตราพระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ขึ้น โดยให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการแก้ไขและป้องกันภาวะ การขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งในช่วงนั้นได้มีการกำหนดมาตรการต่างๆ ไว้ เช่น กำหนดเวลาปิด - เปิดโรงงาน โรงภาพยนตร์ สถานบันเทิง สถานบริการต่างๆ เป็นต้น
4. เมื่อภาวะการจัดหาน้ำมันได้เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ในกลางปี 2534 นายกรัฐมนตรี (นายอานันท์ ปันยารชุน) จึงได้ยกเลิกคำสั่งต่างๆ ดังกล่าว และได้มีการกำหนดนโยบายด้านพลังงานของประเทศให้ชัดเจนขึ้น โดยเน้นเรื่องความมั่นคงในการจัดหาพลังงานของประเทศในระยะยาว ซึ่งต้องจัดหาพลังงานให้เพียงพอกับความต้องการ มีคุณภาพ ในระดับราคาที่เหมาะสม มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและการกระจายแหล่งพลังงานไว้อย่างพอเพียง เพื่อความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งกำหนดนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดไว้ อย่างชัดเจน โดยมีการตราพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานขึ้นในปี 2535 เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำหนดมาตรการกำกับดูแลและส่งเสริมให้มีการใช้ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ในภาวการณ์ปัจจุบัน ประเด็นปัญหาด้านพลังงานของประเทศไทย มิใช่เรื่องการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงเช่นในอดีตที่ผ่านมา แต่เกิดจากการที่ประเทศไทยมิได้มีแหล่งพลังงานเชิงพาณิชย์ภายในประเทศมาก เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ ทำให้รัฐสูญเสียเงินตราต่างประเทศปีละเป็นจำนวนมาก ดังนั้น แนวทางในการพัฒนาพลังงานของประเทศในระยะหลัง จึงไม่ได้นำมาตรการกำหนดเวลา ปิด-เปิดกิจการต่างๆ ดังกล่าวกลับมาใช้อีก เพราะผลที่ได้รับไม่ใช่ผลของการประหยัดพลังงานได้ในภาพรวม
6. ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาภาวะการขาดดุลการค้าของประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ในปริมาณมาก ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำเสนอมาตรการประหยัดพลังงานที่มีความเหมาะสมกับภาวการณ์ปัจจุบันซึ่ง เป็นมาตรการรณรงค์เชิงรุกและกระตุ้นจิตสำนึกของผู้ใช้พลังงานให้เกิดความ ร่วมมือในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดที่ได้ผลในระยะยาว ประกอบด้วยมาตรการดังต่อไปนี้
6.1 มาตรการเร่งด่วนที่ต้องทำทันที มีดังนี้
(1) ให้ สพช. เร่งติดตามให้หน่วยงานราชการระดับกรมและรัฐวิสาหกิจ เคร่งครัดการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2543 เรื่อง แนวทางการรณรงค์เพื่อประหยัดน้ำมัน ที่ให้หัวหน้าส่วนราชการเป็นประธานคณะทำงานรับผิดชอบในการกำหนดแผนงานและ เป้าหมายในหน่วยงานของตนให้ลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงลงอย่างน้อย 5% ของปริมาณการใช้เดิม และให้ สพช. ประสานงานกับ สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. เพื่อหารือในความเป็นไปได้ที่จะนำงบประมาณรายจ่ายที่หน่วยงานสามารถประหยัด การใช้พลังงานลงได้นั้น มาใช้เป็นรางวัลตอบแทนข้าราชการ/ลูกจ้างของหน่วยงานนั้น
(2) ให้ สพช. เร่งนำเทคนิค Cleaner Technology และ Value Engineering มาใช้ในโรงเรียน
(3) ให้สำนักงานคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (สจร.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) เร่งจัดทำโครงข่ายเส้นทางจักรยานในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีเป้าหมายแล้วเสร็จ ภายใน 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติมีมติ และให้ปรับผิวจราจรในเขตพื้นที่ที่จะทดลองใช้จัดทำโครงข่ายเส้นทางจักรยาน โดยทันที
(4) ให้ สจร. กทม. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทดลอง ปิดถนนบางสายในบางเวลา เช่น ถนนสีลม ถนนข้าวสาร และถนนบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ ในเย็นวันอาทิตย์ ระหว่างเวลา 16.00 น. ถึง 24.00 น. และสร้างกิจกรรมต่างๆ เพื่อจูงใจให้มีการสัญจรถนนสายนั้นด้วยการเดินเท้า และหลังจากการประเมินผลแล้วหากมีผลตอบรับที่ดี จึงขยายเวลาหรือพื้นที่ปิดถนนให้มากขึ้น
(5) ให้ สพช. เร่งรณรงค์โครงการ Car Free Day ให้มีความต่อเนื่องจากปี 2543 โดยออกประกาศให้วันพฤหัสบดี เป็น Car Free Day ของทุกสัปดาห์ และให้วันที่ 22 เป็น Car Free Day ของทุกเดือน และให้วันที่ 22 กันยายน เป็น Car Free Day ของทุกปี
(6) ให้ สพช. การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และกรมประชาสัมพันธ์ พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้หากนำมาตรการกำหนดวัน เวลา และเงื่อนไขในการดำเนินงานหรือกิจการต่างๆ เกี่ยวกับสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง และมาตรการประหยัดไฟฟ้าสำหรับสถานีโทรทัศน์กลับมาบังคับใช้ในภาวการณ์ ปัจจุบัน
6.2 มาตรการเร่งด่วนที่ต้องทำให้แล้วเสร็จในปี 2544 มีดังนี้
(1) ให้ พพ. เร่งให้การปฏิบัติงานภายใต้แผนงานภาคบังคับเกิดผลอย่างจริงจัง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคาร ควบคุม
(2) ให้ พพ. เร่งสนับสนุนให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานในส่วนของโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ที่เป็นของรัฐ โดยเร่งดำเนินการโครงการเร่งด่วนที่เรียกว่า "Fast Track" โดยให้มีการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ เพื่อเข้าไปช่วยกระทรวง ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ให้สามารถดำเนินการอนุรักษ์พลังงานได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องมากยิ่งขึ้น
(3) ให้ พพ. และ สพช. เร่งสนับสนุนและร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ทั้งในด้านการขนส่ง อุตสาหกรรม ธุรกิจการพาณิชย์ บ้านอยู่อาศัย และสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้น
มติของที่ประชุม
1.รับทราบมาตรการอนุรักษ์พลังงานตามที่ สพช. เสนอ และเห็นชอบให้ดำเนินการตามมาตรการที่ได้กำหนดไว้แล้วให้เกิดผลโดยเร็ว
2.มอบหมายให้ สพช. รับไปประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นให้กว้างขวางและประมวลมาตรการเกี่ยวกับกับการ อนุรักษ์พลังงานที่เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 5 การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงในส่วนของภาษีและกองทุน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2543 เห็นชอบในหลักการแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและการใช้เอทานอลเป็น เชื้อเพลิง โดยมอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) รับไปพิจารณาเรื่องโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง ซึ่งต่อมา กพช. ได้มีการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2543 และมีมติให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำประเด็นการลดหย่อนภาษีสรรพสามิต กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เสนอต่อคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติพิจารณาผลกระทบที่มีต่อผู้ผลิตรถยนต์ ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภคด้วย
2. คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2544 และได้มีการ พิจารณาเรื่องภาษีสรรพสามิตและนโยบายการกำหนดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ซึ่งมติของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2544 เพื่อรับทราบดังนี้
(1) ให้ยกเว้นภาษีสรรพสามิตของเอทานอลหน้าโรงงาน (0.05 บาท/ลิตร)
(2) ให้กำหนดสัดส่วนการผสมเอทานอล 10% คงที่ในน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และยกเว้นภาษีสรรพสามิตในส่วนของเอทานอลที่เติมในเนื้อน้ำมัน
(3) ให้กำหนดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 ประมาณ 1 บาท/ลิตร (เท่ากับราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 91) ในระยะ 3 ปีแรก โดยยกเว้นภาษีสรรพสามิตของเอทานอล และน้ำมันแก๊สโซฮอล์เฉพาะส่วนของเอทานอล รวมทั้งลดหย่อนหรือยกเว้นอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(4) กำหนดให้มีกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทานอล
3. กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบในการยกเว้นภาษีสรรพสามิตเอทานอลหน้าโรงงานที่นำไปผสมใน น้ำมันเชื้อเพลิง (0.05 บาท/ลิตร) และยกเว้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันในส่วนของเอทานอล 10% ที่เติมในน้ำมันเบนซิน โดยกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตแก๊สโซฮอล์เป็น 90% ของภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินในปัจจุบัน ซึ่งสัดส่วนปริมาณของเอทานอลที่ผสมในน้ำมันเบนซินต้องอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 10%
4. เนื่องจากราคา MTBE ลอยตัวตามราคาน้ำมันในตลาดโลก คณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติจึงต้องการให้ราคาเอทานอลคงที่ เพื่อเป็นหลักประกันที่จะทำให้โรงงานผลิตเอทานอลสามารถกำหนดราคาหรือประกัน ราคารับซื้อวัตถุดิบจากชาวไร่ได้ และเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงเสนอให้จัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทา นอล เพื่อเก็บเงินเข้ากองทุนจากกำไรที่สูงกว่าปกติ และจ่ายชดเชยให้กับโรงงานเอทานอลในเวลาที่ราคาเอทานอลสูงกว่า MTBE เพื่อให้โรงกลั่นน้ำมันมีความมั่นใจว่า ราคาเอทานอลจะไม่สูงกว่าราคา MTBE แน่นอน อย่างไรก็ดี การใช้กองทุนรักษาระดับราคาเอทานอล จะต้องคำนึงถึงการตั้งราคาเอทานอล ณ โรงงาน ที่เหมาะสม โดยจะต้องเป็นราคาที่ไม่สูงกว่าราคาเฉลี่ยของสาร MTBE มิฉะนั้นแล้วกองทุนจะต้องจ่ายเงินชดเชยมากกว่าการเก็บเงินเข้ากองทุนจนทำให้ เงินไหลออกจากกองทุนจนหมด
5. สพช. ได้จัดทำข้อเสนอขอยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจากแก๊สโซฮอล์ในส่วนของเอทานอล 10% และลดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเหลือ 0.30 บาท/ลิตร ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 90% โดยอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ของแก๊สโซฮอล์จะเท่ากับ 0.27 บาท/ลิตร และ 0.036 บาท/ลิตร ตามลำดับ รวมทั้ง ให้มีการ จัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาระดับราคาเอทานอลตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอ ลแห่งชาติ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอของคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ประสานกับคณะกรรมการเอทานอลแห่งชาติ ในการกำหนดระยะเวลาในการยกเว้นภาษีสรรพสามิตและกองทุนฯ ให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้มีผลกระทบตามมาในภายหลังต่อเกษตรกร และผู้ลงทุนโดยให้จัดทำรายละเอียดของโครงการและแผนปฏิบัติการ แล้วนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง