programmer_ener
กอ. ครั้งที่ 33 - วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม 2546
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 33)
วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.30 น.
ณ ห้องประชุม 606 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
5. ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ ภายใต้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
8. ขออนุมัติจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
10. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ (เพิ่มเติม) ให้การไฟฟ้านครหลวง
12. ข้อหารือถึงแนวทางในการทางการจัดการให้เกิดการประหยัดพลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ปัจจุบันได้มีการจัดตั้งกระทรวงพลังงานเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบงานด้านพลังงานของประเทศ ดังนั้นจึงขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ด้วยทุกครั้ง
ที่ประชุมได้ตั้งข้อสังเกตว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ชุดใหม่ที่ประชุมในวันนี้ จะสามารถรับรองรายงานการประชุมครั้งก่อนได้หรือไม่ ซึ่งประธานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เนื่องจากกรรมการกองทุนฯ ส่วนใหญ่เป็นกรรมการโดยตำแหน่งตามสังกัดของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นกรรมการกองทุนฯ ถือว่าได้มีการสืบถ่ายต่อมายังผู้รับตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจึงมีอำนาจที่จะเห็นชอบและขอแก้ไขรายงานการประชุมที่ผ่านมาได้
เรื่องที่ 1 แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ได้รับการแต่งตั้งตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 17 มกราคม 2541 ได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสามปีตามวาระแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2546 ให้แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกองทุนฯ ชุดใหม่ ประกอบด้วย (1) นายปิยะวัติ บุญ-หลง (2) นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ (3) นายกฤษณพงศ์ กีรติกร (4) นายสุนทร บุญญาธิการ (5) นายอัชพร จารุจินดา (6) นายพรายพล คุ้มทรัพย์ (7) นายอัศวิน คงสิริ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้รายงานงบการเงินที่กรมบัญชีกลางส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2545 ว่ามี หนี้สินและเงินทุน จำนวน 13,488,390,464.04 บาท และรายงานการ รับ-จ่าย เงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 - 31 ธันวาคม 2545 มีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2545 จำนวน 11,938,676,470.94 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบถึงงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2544 ของกองทุนฯ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบแล้วว่ามีหนี้สินและเงินกองทุน จำนวน 13,885,695,100.39 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบและรับรอง งบการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2542 และ 30 กันยายน 2543 เรียบร้อยแล้ว โดยมีข้อสังเกตประกอบการสอบบัญชีและข้อเสนอแนะ รวม 3 ข้อ ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบในการประชุม ครั้งที่ 5/2545 (ครั้งที่ 31) เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545 และ สนพ. ได้ดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของ สตง. เรียบร้อยแล้ว ดังนี้
1. การเบิกจ่ายเงินลูกหนี้เงินยืมนอกงบประมาณ สนพ. ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการเบิกจ่ายเงินยืมให้ถือปฏิบัติตามระเบียบของกองทุนฯ โดยเคร่งครัดแล้ว
2. การเบิกค่าใช้จ่ายของผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่หน่วยงานของต่างประเทศจัดที่เบิกไม่ได้ จำนวน 30,274.56 บาท นั้น ผู้เข้ารับการฝึกอบรมฯ ได้จัดส่งคืนเงินและ สนพ. ได้นำส่งคืนกรมบัญชีกลาง เรียบร้อยแล้ว
3. การจ้างที่ปรึกษาฯ กระทรวงการคลังได้อนุมัติให้ สนพ. จ้างที่ปรึกษาได้ 6 เดือน โดยกำหนดให้เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 ถึงเดือนมีนาคม 2546
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 27 กำหนดให้มีคณะกรรมการกองทุนคณะหนึ่ง ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายเป็นประธาน มีหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ และผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกินเจ็ดคน ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นกรรมการ และมีเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ นอกจากนี้มาตรา 34 กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนมอบหมาย ตลอดจนเชิญบุคคลใดๆ มาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย คำแนะนำ หรือความเห็นได้
เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์และเจตนาของ พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฯ คณะกรรมการกองทุนฯ จึงได้จัดทำแผนอนุรักษ์พลังงาน และแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 3 แผนงานหลัก และเห็นชอบให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) (เดิมคือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ-สพช.) และ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (เดิมคือ กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน-พพ.) เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการเบิกเงินจากกองทุนฯ เพื่อนำไปจ่ายให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ ที่จะนำไปใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการอนุรักษ์พลังงาน
พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 และพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ส่งผลให้มีการจัดตั้ง "กระทรวงพลังงาน" ขึ้น และทำให้โครงสร้างการบริหารจัดการด้านพลังงานเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม กล่าวคือ หน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานและทำหน้าที่บริหารการใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ ทั้ง สนพ. และ พพ. ได้โอนมารวมอยู่ในสังกัดเดียวกัน คือ "กระทรวงพลังงาน" ประกอบกับข้อความใดๆ ใน พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ที่เกี่ยวข้องกับ "กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม" นั้น ได้เปลี่ยนเป็น "กระทรวงพลังงาน" แทน ซึ่งองค์ประกอบของคณะกรรมการกองทุนในตำแหน่ง "ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม" จึงเปลี่ยนเป็น "ปลัดกระทรวงพลังงาน" ด้วย
เพื่อให้การบริหารงานกองทุนฯ และการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นเอกภาพ มีความคล่องตัว และสอดคล้องกับโครงสร้างการบริหารงานของกระทรวงพลังงาน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาให้มีการปรับปรุงรูปแบบของการบริหารงานกองทุนฯ ดังต่อไปนี้
1. เห็นควรยุบรวมคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนอนุรักษ์พลังงานจากเดิมที่มี 3 คณะ รวมเป็นคณะเดียว เรียกว่า "คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยที่ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นรองประธานคนที่หนึ่ง อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นรองประธานคนที่สอง หัวส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นอนุกรรมการ อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกินสามคน ซึ่งประธานกรรมการกองทุนฯ แต่งตั้งเป็นอนุกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักวิเคราะห์แผนพลังงานสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ ผู้อำนวยการสำนักกำกับและอนุรักษ์พลังงานกรมพัฒนาอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเป็นอนุกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
2. มอบอำนาจปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการฯ ดังนี้
2.1 การจัดสรรเงินที่จะนำไปใช้จ่ายตามแผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีผู้ยื่นขอเงินสนับสนุน ตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุน แล้วนำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติภายในวงเงินดังต่อไปนี้ (ก) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ไม่เกิน 10 ล้านบาท (ข) คณะอนุกรรมการฯ ไม่เกิน 50 ล้านบาท และ (ค) คณะกรรมการกองทุนฯ เกิน 50 ล้านบาท
2.2 การจัดสรรเงินที่จะนำไปใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนงานภาคบังคับ ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ทำหน้าที่พิจารณากลั่นกรองโครงการที่มีผู้ยื่นขอเงินสนับสนุน ตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุน แล้วนำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติภายในวงเงินดังต่อไปนี้ (ก) อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ไม่เกิน 10 ล้านบาท (ข) คณะอนุกรรมการฯ ไม่เกิน 50 ล้านบาท และ (ค) คณะกรรมการกองทุนฯ เกิน 50 ล้านบาท
2.3 การพิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการ และเหตุผลที่ผู้ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ไม่มาติดต่อเพื่อดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการหรือไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้มีหนังสือแจ้งให้ทราบ ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นผู้ดำเนินการพิจารณาให้ความเห็นชอบ สำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน
2.4 การพิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอโครงการ และเหตุผลที่ผู้ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนไม่มาติดต่อเพื่อดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการหรือไม่มาติดต่อเพื่อทำหนังสือยืนยันหรือสัญญา ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้มีหนังสือแจ้งให้ทราบ ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เป็นผู้ดำเนินการพิจารณาให้ความเห็นชอบสำหรับโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ
2.5 การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ให้นำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง และเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
2.6 การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ให้นำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้ อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง และเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
2.7 การใดๆ ที่ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน หรืออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือคณะอนุกรรมการฯ ปฏิบัติหน้าที่แทนคณะอนุกรรมการฯ หรือคณะกรรมการกองทุนฯ ตามที่ได้รับมอบอำนาจแล้ว ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบ ตามลำดับ เป็นระยะๆ ด้วย
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการเรื่องการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนอนุรักษ์พลังงาน จากเดิมที่มี 3 คณะ รวมเป็นคณะเดียวเรียกว่า "คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" และให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ เรื่อง แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยให้ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามข้อเสนอแนะของประธานฯ และข้อสังเกตของที่ประชุม แล้ว เสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการให้มอบอำนาจการปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอในข้อ 2.1-ข้อ 2.7
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เรื่องที่ 4.2 นั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ขอถอนออกจากการพิจารณาในการประชุมครั้งนี้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ถอนเรื่องที่ 4.2 ออกได้ตามที่เสนอ
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า สืบเนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิรัก ได้ทำให้ราคาน้ำมันดิบและราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศอยู่ในระดับสูงมาก จนอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ รัฐบาลจึงได้มีนโยบายจ่ายเงินชดเชยช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงราคาน้ำมันแพง ซึ่งจากมาตรการช่วยเหลือดังกล่าว ทำให้ราคาน้ำมันต่ำกว่าความเป็นจริง และประชาชนไม่ได้ตระหนักที่จะประหยัดพลังงาน
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องเร่งรณรงค์ให้ประชาชนรู้ว่าประเทศกำลังเผชิญกับภาวะน้ำมันแพง และเพื่อให้ประชาชนร่วมมือกันในการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2546 จึงได้ผ่านความเห็นชอบให้กระทรวงพลังงานนำโครงการ "พลังไทย ลดใช้พลังงาน" มารณรงค์ให้ประชาชนรับทราบและดำเนินการตาม 4 มาตรการประหยัดพลังงาน ประกอบด้วย
(1) มาตรการตรวจเช็คสภาพรถยนต์ อย่างน้อยปีละครั้ง สามารถประหยัดน้ำมันได้ 10%
(2) มาตรการรณรงค์ลดความเร็วรถยนต์ ซึ่งหากขับด้วยความเร็ว 90 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ 25%
(3) มาตรการร่วมมือดับไฟขนาด 40 วัตต์ ครัวเรือนละ 1 ดวง จะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้ 480 เมกะวัตต์
(4) มาตรการตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศไว้ที่ 25°C ช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อย่างน้อย 10%
โดยผลรวมจาก 4 มาตรการ จะช่วยให้ประหยัดพลังงานได้ 82,374 ล้านบาท
สนพ. จึงได้จัดทำรายละเอียดของการว่าจ้างบริษัทที่จะดำเนินกิจกรรม "แผนงานมาตรการรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดพลังงาน โครงการ "พลังไทย ลดใช้พลังงาน" ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน 50 ล้านบาท โดยสรุปกิจกรรมของโครงการฯ ได้ดังนี้
(1) ประสานงานเพื่อขอความอนุเคราะห์จากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และหรือเอกชน ที่เกี่ยวข้องในกรณีที่ต้องใช้บริเวณในการติดตั้งสื่อ ขอพื้นที่ รวมทั้งขอความอนุเคราะห์ในการประชาสัมพันธ์โครงการฯ เพื่อให้การดำเนินงานมีความราบรื่น และได้รับความร่วมมือด้วยดี
(2) ผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ในลักษณะแคมเปญ ได้แก่ สัญลักษณ์โครงการ สปอตวิทยุ สปอตโทรทัศน์ บทความหนังสือพิมพ์ แผ่นพับ ใบปลิว บิลบอร์ด และสื่อประชาสัมพันธ์อื่นๆ เช่น ตัววิ่ง สติกเกอร์รณรงค์ เพื่อให้ข้อมูล สร้างความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์ของการดูแลรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพดี การขับรถในความเร็วที่กฎหมายกำหนด การใช้ไฟฟ้าเท่าที่จำเป็น และการตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสม ตลอดจนกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
(3) เสนอแนะกิจกรรมรณรงค์และทีมรณรงค์ โดยมีสิ่งจูงใจเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสทดลองปฏิบัติ และปรับพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างเหมาะสมทันที และนำไปปฏิบัติให้เคยชินเป็นกิจวัตร
(4) จัดทำประเมินผลแต่ละกิจกรรม และจัดแถลงข่าวเปิดตัวโครงการฯ
ในระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด สนพ. จึงจำเป็นต้องปรับแผนปฏิบัติการและงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปี 2546 ที่ได้รับอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อจัดสรรเงินมาไว้สำหรับจ้างผู้ดำเนินโครงการ "พลังไทย ลดใช้พลังงาน" ดังนี้
หน่วย:ล้านบาท
ชื่อกิจกรรม | เดิม | ใช้ไป | พลังไทยฯ | เหลือ |
1 การรณรงค์สร้างค่านิยมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงาน
|
110 | - | - | 110 |
2. การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
|
25 | 20 | 5 | - |
3. กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
|
10 | - | - | 10 |
4. การประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ (เรื่องไฟฟ้าและน้ำมัน)
|
35 | - | 35 | - |
5. การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
|
10 | 8 | 2 | - |
6. อื่นๆ
|
10 | 2 | 8 | - |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 200 | 30 | 50 | 120 |
สนพ. ได้คัดเลือกผู้ดำเนินกิจกรรมแผนงานมาตรการรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดพลังงาน โครงการ "พลังไทย ลดใช้พลังงาน" โดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ในวงเงิน 50,000,000 บาท มีผู้ยื่นข้อเสนอ 5 ราย และคัดเลือกได้ บริษัท โลว์ จำกัด เป็นผู้รับทำกิจกรรมฯ ในวงเงิน 49,998,960 บาท (สี่สิบเก้าล้านเก้าแสนเก้าหมื่นแปดพันเก้าร้อยหกสิบบาทถ้วน) ดำเนินกิจกรรมระหว่างเดือนมีนาคม 2546-พฤษภาคม 2546 โดยบริษัทฯ นำเสนอกลยุทธ์ดังนี้
(1) ใช้สื่อผสมผสานแบบครบวงจรเพื่อสร้างการรับรู้ให้ประชาชนก่อให้เกิดความตระหนัก ความยอมรับและเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการฯ
(2) สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของโครงการฯ ก่อให้เกิดการร่วมปฏิบัติจริง ด้วยการบอกให้ทราบถึงวิธีการประหยัดพลังงานที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ด้วยวิธีง่ายๆ "ลดพลังงาน เพิ่มพลังเงิน"
(3) กระตุ้นให้เกิดการกระทำทั้งด้านการทำความเข้าใจในเหตุผลและด้านการจูงใจด้วยรางวัล ผ่านสื่อผสมผสานแบบครบวงจร
(4) หนึ่งเดือนภายหลังการเผยแพร่สื่อรณรงค์โครงการฯ บริษัท โลว์ จำกัด จะติดตามผลการรณรงค์ ด้วยการสุ่มตัวอย่างจำนวน 400 ตัวอย่างจากภูมิภาคต่างๆ และกรุงเทพฯ รายงานเสนอ สนพ. เพื่อทราบข้อมูลและใช้เป็นประโยชน์ในการดำเนินงานต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ สนพ. ปรับแผนปฏิบัติการและงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สนพ.รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 เป็นดังนี้
ชื่อกิจกรรม | ล้านบาท |
1 การรณรงค์สร้างค่านิยมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงาน
|
110 |
2. การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
|
20 |
3. กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
|
10 |
4. การประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
|
50 |
5. การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
|
8 |
6. อื่นๆ
|
2 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 200 |
2. อนุมัติให้ สนพ. จ้าง บริษัท โลว์ จำกัด เป็นผู้รับทำกิจกรรมแผนงานมาตรการรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดพลังงาน โครงการ "พลังไทย ลดใช้พลังงาน" โดยใช้เงินจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 การประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะโครงการ "พลังไทย ลดใช้พลังงาน" ในวงเงิน 49,998,960 บาท (สี่สิบเก้าล้านเก้าแสนเก้าหมื่นแปดพันเก้าร้อยหกสิบบาทถ้วน)
เรื่องที่ 8 ขออนุมัติจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 32) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2545 ได้มีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปี 2546 และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ให้ สนพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2546 ในวงเงิน 200 ล้านบาท
เนื่องจากในการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้ประชาชนตระหนักและใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและมุ่งเน้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้จึงควรต้องทำการประเมินผลกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่ผ่านมาเพื่อนำข้อมูลที่ได้รับมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงแผนงานของโครงการประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป ประกอบกับสัญญาจ้างที่ปรึกษาประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปี 2545 ได้สิ้นสุดลง และยังมีกิจกรรมโครงการใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการประเมินผลอีกหลายโครงการ ดังนั้น จึงเห็นควรจ้างผู้มีประสบการณ์ทำการประเมินผลโครงการ
สนพ. ได้พิจารณาคัดเลือกที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลโครงการฯ จากสถาบันการศึกษาที่เป็นส่วนราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยวิธีตกลง ในวงเงิน 2 ล้านบาท ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ สนพ. จัดจ้างที่ปรึกษาประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
สนพ. ได้พิจารณาคัดเลือก สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้รับทำกิจกรรมนี้ เนื่องจากสถาบันฯ ให้ข้อเสนอครอบคลุมการดำเนินงานตามขอบเขตที่กำหนดมีวิธีการดำเนินการที่ดี ให้น้ำหนักการสัมภาษณ์กลุ่มแต่ละโครงการมากกว่า การสัมภาษณ์กลุ่มสื่อมวลชนจะให้ภาพสะท้อนที่รอบด้านของการประชาสัมพันธ์ที่ดำเนินการโดย สนพ. และมีความเหมาะสมที่จะดำเนินงานเป็นที่ปรึกษา เพื่อประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์และโครงการพัฒนาบุคลากรประกอบด้วย
(1) โครงการรวมพลังหาร 2 (รวม)
(2) โครงการน้ำหาร 2 ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า (ระยะที่ 1)
(3) โครงการผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้น (กระจิบข่าวหาร 2)
(4) โครงการเก็บค่าไฟใส่กระเป๋า
(5) โครงการภูเก็ตน่าอยู่ด้วยรีไซเคิล
สถาบันฯ ได้เสนอราคาในวงเงิน 2,000,000.00 บาท (สองล้านบาทถ้วน) ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสม และอยู่ภายในวงเงินงบประมาณที่ตั้งไว้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ สนพ. จ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2546 โดยใช้เงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 กิจกรรมอี่นๆ ในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน)
2. ให้ สนพ. รายงานผลการประเมินโครงการประชาสัมพันธ์ฯ เสนอให้คณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทราบด้วย
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดจ้างที่ปรึกษามาปฏิบัติงานแทนบุคลากรของ สนพ. ควรจะเป็นการจ้างมาปฏิบัติงานที่จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง และควรมีระยะเวลาในการดำเนินการสิ้นสุดแน่นอนมิใช่เป็นการจ้างต่อเนื่องเป็นประจำปี มาปฏิบัติหน้าที่แทนบุคลากรของ สนพ. และ หาก สนพ. มีบุคลากรที่จะดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวไม่เพียงพอต่อปริมาณ สนพ. ก็ควรที่จะต้องขอตำแหน่งเพิ่มจาก สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) สตง. จึงขอให้ สนพ. พิจารณาทบทวนข้อสังเกตดังกล่าว หากยังมีเหตุผลและความจำเป็นที่จะต้องจ้างที่ปรึกษามาดำเนินงานก็ให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อกำหนดเป็นหลักการพร้อมทั้งขอความเห็นชอบกับกระทรวงการคลังต่อไป
คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2545 (ครั้งที่ 31) เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545 ได้รับทราบข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของ สตง. และให้ สนพ. ดำเนินการตามที่ สตง. ให้ข้อสังเกตไว้ แต่ในระยะเริ่มแรกของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกระทรวงพลังงานการโอนงานยังไม่สามารถดำเนินการได้และ สนพ. ไม่มีอัตรากำลังที่จะดำเนินการบริหารงานดังกล่าวได้ คณะกรรมการกองทุนฯ จึงอนุมัติในหลักการให้ สนพ. จ้างบริษัทเอกชนเข้ามาบริหารงานด้านงบประมาณการเงิน การบัญชี การพัสดุ สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2546 เป็นระยะเวลา 6 เดือนไปก่อน (ตุลาคม 2545-มีนาคม 2546)
สนพ. ได้ดำเนินการตามคำแนะนำของ สตง. โดยขอให้สำนักงาน ก.พ. กำหนดตำแหน่งข้าราชการเพิ่มให้กับ สนพ. จำนวน 15 อัตรา เพื่อมาดำเนินงานบริหารงานด้านงบประมาณการเงิน การบัญชี การพัสดุ แทนการจ้าง ที่ปรึกษาฯ และสำนักงาน ก.พ. ได้แจ้งให้ สนพ. ทราบว่า สำนักงาน ก.พ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีมติดังนี้
(1) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2545 อนุมัติเป็นหลักการและมาตรการกำหนดอัตรากำลังและการแต่งตั้งข้าราชการในระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรมใหม่ โดยให้ใช้จำนวนรวมของตำแหน่งที่มี ณ ปัจจุบัน โดยไม่มีการกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่ ดังนั้น สนพ. จึงมิอาจกำหนดตำแหน่งเพิ่มขึ้นได้ในขณะนี้
(2) ในการจัดโครงสร้างใหม่ของกระทรวงพลังงานกำหนดให้มีการศึกษาเพื่อจัดตั้งองค์กรมหาชนทำหน้าที่เกี่ยวกับกองทุนพลังงาน โดย ก.พ. ได้กำหนดตำแหน่งเพื่อรองรับภารกิจดังกล่าวไว้ในส่วนการคลังและพัสดุ สำนักงานปลัดกระทรวงแล้ว ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงอาจใช้อัตรากำลังดังกล่าวปฏิบัติงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อจัดระบบงานและอัตรากำลังให้เหมาะสมต่อไป
(3) ผอ.สนพ. ได้หารือกับปลัดกระทรวงพลังงาน ถึงกรณีขอเกลี่ยอัตรากำลังเพื่อให้ปฏิบัติงานกองทุนฯ ที่ สนพ. แล้ว ปรากฏว่าไม่สามารถจัดสรรอัตรากำลังให้ได้ และเห็นชอบให้ สนพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบในการจ้างที่ปรึกษาต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สนพ. จัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารงานด้านงบประมาณการเงิน การบัญชี และการพัสดุ ในส่วนของการบริหารเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนเมษายน 2546 ถึงเดือนมีนาคม 2547 หรือจนกว่าจะมีหน่วยงานมารองรับงานกองทุนฯ
เรื่องที่ 10 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ (เพิ่มเติม) ให้การไฟฟ้านครหลวง
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ เป็นโครงการที่ส่งเสริมให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเกิดจิตสำนึกในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า หากแต่ละครัวเรือนสามารถประหยัดได้อย่างน้อยร้อยละ 10 ของจำนวนหน่วยไฟฟ้าเฉลี่ยของบ้านตนเองใน 3 เดือน (คือ เดือนมิถุนายน กรกฎาคม และ สิงหาคม 2544) จะได้รับ "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" ร้อยละ 20 ของจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ลดลงได้ในแต่ละเดือน โครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินงาน 1 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ถึงสิงหาคม 2545 ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กับ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนลดค่าไฟฟ้าในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ไปแล้วรวม 2 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 3/2544 (ครั้งที่ 24) เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กันยายน 2544 และครั้งที่ 2 ในการประชุมครั้งที่ 2/2545 (ครั้งที่ 28) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2545 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,840,918,260 บาท แบ่งเป็นให้ กฟน. จำนวน 513,080,260 บาท และให้ กฟภ. จำนวน 1,327,838,000 บาท ซึ่งสรุปผลการดำเนินงานโครงการฯ ตั้งแต่กันยายน 2544 ถึง สิงหาคม 2545
รายการ | กฟน. | กฟภ. | รวม | |
(1) | จำนวนครัวเรือนที่ได้รับส่วนลด (ครัวเรือนเฉลี่ยต่อ/เดือน) | 624,272 | 4,023,182 | 4,648,454 |
(2) | จำนวนหน่วยที่ประหยัดได้ (ล้านหน่วย) | 950.55 | 2,117.01 | 3,067.56 |
(3) | จำนวนเงินที่ประหยัดได้ (ล้านบาท) | 2,998.02 | 6,091.84 | 9,089.86 |
(4) | จำนวนหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่ได้รับส่วนลด (ล้านหน่วย) | 190.11 | 423.53 | 613.64 |
(5) | จำนวนเงินส่วนลดค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายให้ผู้ใช้ไฟฟ้า (ล้านบาท) | 555.72 | 1,123.70 | 1,679.42 |
(6) | จำนวนเงินจากองทุนฯ ส่วนลดค่าไฟฟ้า (ล้านบาท) | 504.66 | 1,320.24 | 1,824.90 |
กฟน. ขอปรับแผนการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์โครงการฯ ที่ กฟน. ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 8,420,260 บาท นั้น กฟน. ได้ดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์โครงการฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ไปเพียง 7,668,710.43 บาท ทำให้มีเงินกองทุนฯ คงเหลืออยู่จำนวน 751.549.57 บาท และเพื่อให้การประชาสัมพันธ์เผยแพร่โครงการฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่อง กฟน. จึงได้ขอนำเงินเหลือจ่ายดังกล่าวจำนวน 552,402.29 บาท ไปดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมในส่วนของการสัมมนาอาจารย์ การเดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์ การนำวิทยากรประชาสัมพันธ์ตามชุมชน และการติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ จึงรวมเป็นเงินที่ กฟน. ได้ใช้ไปในส่วนการประชาสัมพันธ์ตลอดทั้งโครงการฯ จำนวนทั้งสิ้น 8,221,112.72 บาท
กฟน. ขอเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้านครหลวงในโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพิ่มเติมจากที่ กฟน. ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไว้แล้ว 504,660,000 บาท เนื่องจากเมื่อ กฟน. ดำเนินโครงการฯ ครบ 1 ปี ปรากฏว่าได้มีการจ่ายเงินส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าไปรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 555,710,110.86 บาท ซึ่งเกินกว่าที่ได้รับจัดสรรจากกองทุนฯ 51,050,110.86 บาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 เพิ่มเติม ในวงเงิน 51,050,110.86 บาท (ห้าสิบเอ็ดล้านห้าหมื่นหนึ่งร้อยสิบบาทแปดสิบหกสตางค์) และให้ สนพ. นำเงินจำนวนดังกล่าวไปจ่ายคืนให้กับ กฟน. เท่าที่จ่ายจริงตามที่ได้สำรองจ่ายให้กับประชาชนไปก่อนแล้วเป็นเงินรางวัลส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในเขตพื้นที่จำหน่ายไฟฟ้านครหลวงในโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ
2. อนุมัติให้ กฟน. ใช้งบประมาณที่เหลือจากกิจกรรมประชาสัมพันธ์ "โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมในส่วนของการสัมมนาอาจารย์ การเดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์ การนำวิทยากรประชาสัมพันธ์ตามชุมชน และติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ เป็นจำนวนเงินรวม 552,402.29 บาท (ห้าแสนห้าหมื่นสองพันสี่ร้อยสองบาทยี่สิบเก้าสตางค์)
เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 32) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2545 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการบริหารงานตามกฎหมาย ปีงบประมาณ 2546 ในวงเงิน 411,045,152 บาท (สี่ร้อยสิบเอ็ดล้านสี่หมื่นห้าพันหนึ่งร้อยห้าสิบสองบาทถ้วน)
แผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณ 2546 พพ. ได้รับความเห็นชอบให้จัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายพร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วง ในวงเงิน 9,100,000 บาท โดยใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ โครงการบริหารงานตามกฎหมาย งบประมาณประจำปี 2546 หมวดครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง แต่เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างส่วนราชการใหม่เพื่อให้การปฏิบัติงานสอดคล้องกับบทบาทภารกิจตามโครงสร้างใหม่ในการปฏิรูประบบราชการของ พพ. และสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของ พพ. ที่นำเสนอต่อกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พพ. จึงขอแปลงจากคุณลักษณะเฉพาะที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว โดย พพ. ได้ลดจำนวนเครื่องพิมพ์สี 9 เครื่อง โดยเปลี่ยนเป็นเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย จำนวน 18 ชุด แทน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะช่วยให้การสืบค้นข้อมูลในเครือข่ายของ พพ. มีความคล่องตัวมากขึ้น
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ พพ. เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายพร้อมอุปกรณ์ต่อพ่วง ได้ตามที่ พพ. เสนอมา โดยใช้เงินจากกองทุนฯ โครงการบริหารงานตามกฎหมาย งบประมาณประจำปี 2546 ในส่วนของ พพ. หมวดครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง ที่ได้รับอนุมัติแล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในวงเงิน 9,100,000 บาท
เรื่องที่ 12 ข้อหารือถึงแนวทางในการทางการจัดการให้เกิดการประหยัดพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ปรึกษาหารือต่อที่ประชุมถึงแนวทางการจัดการในด้านต่างๆ ที่จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงาน ในประเด็นดังต่อไปนี้
1. หากสามารถชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 1,000 MW ได้ จะช่วยให้ชาติประหยัดเงินดอกเบี้ยจากการดำเนินการดังกล่าวได้ประมาณ 1,600 ล้านบาท รัฐจะใช้เงินจำนวนดังกล่าวนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างไรเพื่อทำให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ โดยในเรื่องนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ นายสุนทร บุญญาธิการ เป็นผู้รับไปดำเนินการ
2. หากสามารถแก้ไขแบบอาคารมาตรฐานของกรมโยธาธิการให้เป็นอาคารประหยัดพลังงานได้ จะช่วยให้ประเทศชาติสามารถประหยัดพลังงานได้อย่างมหาศาล ดังนั้นจะมีวิธีการใดที่สามารถนำวิธีการออกแบบอาคารหรือสิ่งก่อสร้างเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานที่ส่งผลกระทบในวงกว้างได้ โดยในเรื่องนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้ นายสุนทร บุญญาธิการ ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง รับไปดำเนินการ
3. การประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 ในโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ที่ดำเนินการมาแล้วเป็นระยะเวลา 1 ปี เป็นการดำเนินมาตรการรณรงค์โดยใช้เงินรางวัลจูงใจเพื่อให้ประชาชนประหยัดพลังงาน ผลการดำเนินงานที่ได้มีประโยชน์อย่างยิ่งที่จะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจดำเนินโครงการในลักษณะดังกล่าวในระยะต่อไป จึงขอให้ สนพ. ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการได้รวบรวมสรุปผลการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว
4. ที่ประชุมได้มอบหมายให้นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ และ สนพ. รับไปพิจารณาให้ความเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการประหยัดพลังงาน กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ เปรียบเทียบระหว่างเขตการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เมื่อได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นดำเนินการในแต่ละประเด็น จะต้องนำเสนอผลการศึกษาของแต่ละประเด็นที่รับผิดชอบ ต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งต่อไปด้วย
กอ. ครั้งที่ 34 - วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม 2546
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2546 (ครั้งที่ 34)
วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2546 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
2. ขออนุมัติเงินสนับสนุนชุดโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่ง
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
เนื่องจากประธานกรรมการกองทุนฯ ติดภารกิจเร่งด่วนไม่สามารถทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมต่อไปได้ จึงมอบหมายให้ นายวิษณุ พูลสุข (รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมแทน
เรื่องที่ 1 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. เลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติให้ สนพ. นำเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 3,000 ล้านบาท มาส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจำหน่ายเข้าสู่ระบบเพิ่มมากขึ้น โดยสนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. ในอัตราไม่เกิน 0.36 บาท/หน่วย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย
(1) เปิดรับข้อเสนอโครงการ
(2) การพิจารณาโครงการ ในด้านเทคนิคและการเงิน
(3) การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ เกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน
(4) การพิจารณาการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า
(5) การติดตามตรวจสอบการดำเนินงานของโครงการฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
ขั้นตอนที่ 1 และ 2 ได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2544 และได้ดำเนินการแล้วเสร็จ โดยมีผู้สนใจยื่นข้อเสนอโครงการมาเพื่อให้พิจารณาจำนวนทั้งสิ้น 43 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้ารวม 511 MW ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาข้อเสนอทางด้านเทคนิคและการเงินแล้วมีผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านพิจารณาเบื้องต้น จำนวน 31 โครงการ กระจายอยู่ใน 19 จังหวัด คิดเป็นเงินสนับสนุนจำนวน 2,991 ล้านบาท
ขั้นตอนที่ 3 และ 4 นั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการโดย สนพ. โดยได้มีการตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์และศูนย์ประสานงานโครงการฯ ที่กรุงเทพฯ พร้อมทั้งส่งเจ้าหน้าที่ออกไปดำเนินการในพื้นที่ตั้งโครงการ 19 จังหวัด รวมทั้งได้จัดให้มีการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในวงกว้างในสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และสิ่งพิมพ์ต่างๆ และจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในพื้นที่โครงการฯ
2. สำหรับการพิจารณาการยอมรับของประชาชนต่อ SPP ผู้ยื่นข้อเสนอแต่ละรายต้องส่งแผนการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นชุมชนมาให้ สนพ. ตรวจสอบความเหมาะสมของแผนฯ โดยในการจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นชุมชนของ SPP แต่ละราย สนพ. ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ทุกครั้ง และได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานงานโครงการฯ เข้าสำรวจทัศนคติของชุมชนที่มีต่อโครงการในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งได้พาผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ลงพื้นที่ตั้งโครงการฯ เพื่อไปสังเกตการณ์ในขั้นตอนสุดท้าย ก่อนนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนโครงการฯ โดยในช่วงเดือน มกราคม-มีนาคม 2546 สนพ. ได้พาผู้แทนกองทุนฯ ลงพื้นที่ตั้ง SPP แล้ว จำนวน 15 โครงการ และพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้นำข้อเสนอของ SPP 14 โครงการเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ โดยเห็นควรแบ่ง SPP ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิงพลังงาน | พลังไฟฟ้า เฉลี่ยเข้าระบบ | อัตราขอรับเงินสนับสนุน | เงินสนับสนุน จากกองทุนฯ |
|
(MW) | (บาท/kwh) | (บาท) | ||||
กลุ่มที่ 1 | ||||||
(1) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | อ.เมือง จ.ยะลา | เศษไม้ | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 | |
(2) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี | พลังน้ำขนาดเล็ก | 8.0 | 0.200 | 46,920,000.00 | |
(3) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | เขื่อนคลองท่าด่าน อ.เมือง จ.นครนายก | พลังน้ำขนาดเล็ก | 10.0 | 0.200 | 31,420,000.00 | |
(4) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท | พลังน้ำขนาดเล็ก | 14.0 | 0.200 | 91,420,000.00 | |
(5) บริษัท ไฟฟ้าชนบท จำกัด | อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี | แกลบ | 15.0 | 0.150 | 74,583,000.00 | |
กลุ่มที่ 2 | ||||||
(1) บริษัท พี อาร์ จี พืชผล จำกัด | อ.เมือง จ.ปทุมธานี | แกลบ | 5.0 | 0.219 | 43,099,200.00 | |
(2) บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด | อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี | ชานอ้อย เปลือกไม้ แกลบ | 25.0 | 0.145 | 120,649,796.20 | |
(3) บริษัท น้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด | อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ | ชานอ้อย เปลือกไม้ แกลบ | 5.1 | 0.145 | 35,858,268.00 | |
(4) บริษัท น้ำตาลราชสีมา จำกัด | อ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา | ชานอ้อย | 18.0 | 0.140 | 73,290,000.00 | |
(5) บริษัท แอ็ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) | อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี | แกลบ เปลือกไม้ น้ำมันยางดำ | 30.0 | 0.180 | 226,281,600.00 | |
(6) บริษัท เอ เอ พัลพ์ มิลล์ 2 จำกัด | อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี | น้ำมันยางดำ | 25.0 | 0.184 | 192,542,880.00 | |
(7) บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด | อ.พิมาย จ.นครราชสีมา | ชานอ้อย | 8.0 | 0.180 | 28,487,520.00 | |
กลุ่มที่ 3 | ||||||
(1) บริษัท น้ำตาลรีไฟน์ชัยมงคล จำกัด | อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี | ชานอ้อย | 7.0 | 0.140 | 15,758,400.00 | |
(2) บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด | อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ | ชานอ้อย | 4.0 | 0.130 | 10,296,000.00 | |
รวม 14 โครงการ | 194.1 | 1,116,750,664.20 |
3. โดยมีเงื่อนไขการอนุมัติเงินสนับสนุนแก่ SPP แต่ละกลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 เป็น SPP ที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง หรือเป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนแก่ SPP ได้
กลุ่มที่ 2 เป็น SPP ที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวยังก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุน SPP แต่ละราย แบบมีเงื่อนไข และระบุไว้ในสัญญารับเงินสนับสนุนอย่างชัดเจน โดย SPP แต่ละรายต้องจัดทำมาตรการป้องกันแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม และต้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวให้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุน และหาก SPP รายใดไม่สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไข ก็ให้ สนพ. มีสิทธิเพิกถอนสัญญารับเงินสนับสนุน
กลุ่มที่ 3 เป็น SPP ที่มีผลการดำเนินงานไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมบางประเด็นในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้ เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุน SPP แต่ละราย แบบมีเงื่อนไข โดย SPP ต้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงการดำเนินการให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนที่จะลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุน ซึ่งหาก SPP ไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะไม่ได้รับการพิจารณาให้ทำสัญญารับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ
4. นอกจากนี้ SPP แต่ละรายต้องปฏิบัติตามที่ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำไว้ ดังรายละเอียดที่ปรากฏในข้อ 6.4 ของส่วนที่ 1 แห่งเอกสารประกอบวาระ 3.1 ด้วย เช่น
SPP ที่ใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิง ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำให้บริษัทฯ ต้องดำเนินการปรับปรุง/ติดตั้งระบบการกำจัดฝุ่นจากทุกปล่องของโรงงานให้ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และต้องกำหนดมาตรการกำจัดผลกระทบจากฝุ่นและอื่นๆ จากกองชานอ้อย เช่น จุลินทรีย์ เป็นต้น และต้องกำหนดมาตรการบำบัดน้ำทิ้งที่มีประสิทธิภาพ และต้องจัดทำระบบป้องกันน้ำเสียจากโรงงานไหลเข้าสู่แหล่งน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในฤดูฝนที่มีน้ำมาก
SPP ที่ใช้แกลบ ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำให้บริษัทฯ ต้องดำเนินการปรับปรุงระบบการจัดเก็บแกลบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ต้องกำหนดมาตรการจัดการด้านมลภาวะด้านอื่นๆ เช่น การจัดการขี้เถ้า น้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า
SPP ที่ใช้น้ำมันยางดำ ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำให้บริษัทฯ ต้องดำเนินการแสดงแผนงานในการจัดการปัญหาด้านกลิ่นเหม็นจากโรงงานไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ต้องกำหนดมาตรการจัดการด้านมลภาวะด้านอื่นๆ เช่น การจัดการขี้เถ้า น้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้าและโรงงานกระดาษ ต้องแสดงค่าความเข้มข้นของมลพิษทางอากาศที่ออกจากปล่องที่ได้ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
5. สนพ. ได้หารือกับกรมสรรพากรเพื่อขอทราบแนวทางปฏิบัติตามข้อบังคับการหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือข้อบังคับการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ในกรณีที่ สนพ. ได้ใช้เงินจาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" (กรมบัญชีกลาง) จ่ายเป็นเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ให้กับ SPP โดยจ่ายผ่าน "กฟผ." สรุปได้ดังนี้
(1) ภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่าย (ตามมาตรา 69 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)
กฟผ. มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร การจ่ายเงินสนับสนุนฯ ให้ SPP ตามโครงการดังกล่าว จึงไม่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
SPP เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล การที่ กฟผ. จ่ายเงินสนับสนุนฯ ให้ SPP ตามโครงการดังกล่าว ถือเป็นการจ่ายเงินได้ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร กฟผ. จึงมีหน้าที่คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1
(2) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ตามมาตรา 77/1(8) และ (9) แห่งประมวลรัษฎากร)
เงินที่ กฟผ. ได้รับจาก สนพ. มิใช่เนื่องจากการกระทำใดๆ อันเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการตามมาตรา 77/1 (8) (9) และ (10) แห่งประมวลรัษฎากร จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
การที่ กฟผ. นำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายให้กับ SPP ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ และเนื่องจากสัญญาที่ขอรับเงินสนับสนุนฯ จะต้องมีผลบังคับใช้ร่วมกันกับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่ SPP ขายให้กับ กฟผ. ดังนั้นเงินสนับสนุนฯ ดังกล่าว จึงเป็นเงินที่ขายสินค้าตามมาตรา 77/1 (8) และ (9) อยู่ในบังคับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
6. เพื่อให้การจ่ายเงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้า ดำเนินการด้วยความถูกต้องตามข้อบังคับการหักภาษี ณ ที่จ่าย และการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ประกอบกับ กฟผ. ไม่มีงบประมาณที่จะรับภาระรายจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการนำเงินจากกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับ SPP สนพ. จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาจัดสรรเงินให้ กฟผ. เพื่อนำไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับ SPP ในโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 78,172,546.49 บาท
7. สำหรับขั้นตอนต่อไปหลังจากได้รับอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้วทาง สนพ. จะดำเนินการเจรจาสัญญาการรับเงินสนับสนุนระหว่าง กฟผ. และ SPP โดยแบ่งเป็นกลุ่มและเงื่อนไขตามที่กำหนด และประสานงานไปยังจังหวัดพื้นที่ตั้งโครงการที่ได้รับอนุมัติ เพื่อจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคีในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมในวงเงินประมาณ 3 แสนบาท/พื้นที่ โดย สนพ. จะจัดจ้างผู้ชำนาญการจัดทำร่างรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) เพื่อคณะกรรมการไตรภาคีจะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินผลการดำเนินงานของ SPP แต่ละราย รวมทั้งจัดจ้างที่ปรึกษาอิสระ (Third Party) เพื่อดำเนินการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม จัดทำเป็นรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมนำเสนอคณะกรรมการไตรภาคี และคณะกรรมการกองทุนฯ ผ่าน สนพ. ตลอดระยะเวลา 5 ปี ของการสนับสนุนอัตรารับซื้อไฟฟ้า SPP
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,116,750,664.20 บาท (หนึ่งพันหนึ่งร้อยสิบหกล้านเจ็ดแสนห้าหมื่นหกร้อยหกสิบสี่บาทยี่สิบสตางค์) ให้ กฟผ. เพื่อนำไปจ่ายให้กับ SPP ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 14 ราย และทำสัญญากับ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเรียบร้อยแล้ว ตามหน่วยไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา (บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ที่ SPP แต่ละรายได้เสนอไว้ โดยกองทุนฯ จะสนับสนุน SPP แต่ละราย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ SPP เริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยมีรายชื่อ SPP ที่ได้รับการสนับสนุนตามข้อ 2
2. ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 14 รายดังกล่าวข้างต้น แต่ละรายจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและขั้นตอนการดำเนินงาน ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติไว้ตามข้อ 3 และข้อ 4 หากมีรายใดไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติไว้ โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร คณะกรรมการกองทุนฯ จำเป็นต้องถือว่าผู้ผ่านการคัดเลือกรายนั้นสละสิทธิ์การขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก ในครั้งนี้แล้ว
3. เห็นชอบแนวทางการดำเนินงานขั้นตอนต่อไป หลังจากอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แก่ SPP ในการเจรจาสัญญาและเงื่อนไขการอนุมัติเงินกองทุนฯ รวมทั้งการประสานงานจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคี และจัดจ้างผู้ชำนาญการเพื่อจัดทำรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) เพื่อคณะกรรมการไตรภาคีจะได้ใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินผลการดำเนินงานของ SPP แต่ละราย ตามที่ สนพ. ได้นำเสนอ
4. เห็นชอบให้ สนพ. ใช้เงินจากจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ในแต่ละพื้นที่ ในวงเงิน 3 แสนบาทต่อพื้นที่ เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดประมาณการรายจ่ายและแผนการใช้จ่ายเงินดังกล่าว เสนอคณะทำงานโครงการฯ พิจารณาอนุมัติต่อไป
เรื่องที่ 2 ขออนุมัติเงินสนับสนุนชุดโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคการขนส่ง
1. เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในช่วงปี 2544-2545 มีหน่วยงานต่างๆ ได้ยื่นข้อเสนอไว้กับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง รวมทั้งสิ้น 14 โครงการ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคความร่วมมือ ในคราวการประชุม เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2544 ได้แต่งตั้ง "คณะผู้เชี่ยวชาญกลุ่มการอนุรักษ์พลังงานในสาขาขนส่ง" โดยมี ศ.ดร.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ เป็นประธาน ทั้งนี้เพื่อทำหน้าที่ ในการพิจารณากลั่นกรองข้อเสนอในกลุ่มสาขาขนส่ง รวมถึงพิจารณาลดความความซ้ำซ้อนของการดำเนินกิจกรรม พร้อมทั้งกำหนดกรอบการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้กับกลุ่ม ซึ่งคณะผู้เชี่ยวชาญฯ ได้กำหนดกรอบหลักการพิจารณาใน 5 ประเด็น คือ
(1) โครงการที่มีลักษณะเป็นการสาธิตเพื่อเผยแพร่ขยายผล ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับการพิสูจน์ทราบแล้วเป็นอย่างดี และมีความคุ้มค่าในการลงทุน เห็นควรให้ทุนสนับสนุนเฉพาะส่วนต่างระหว่างเทคโนโลยีใหม่นั้น กับเทคโนโลยีเดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งกิจกรรมของโครงการควรเป็นกลาง โดยไม่ก่อให้เกิดผลประโยชน์แก่องค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะ
(2) โครงการที่มีลักษณะเป็นการสาธิตเพื่อเผยแพร่ขยายผล แต่เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่ทราบผลชัดเจน เห็นควรให้กองทุนฯ สนับสนุนงบประมาณของโครงการบางส่วน โดยขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละโครงการ อย่างไรก็ตามในการเบิกจ่ายค่าบริหารโครงการในแต่ละงวดรายงาน จะแปรตามปริมาณผลงานที่สามารถดำเนินการแล้วเสร็จได้จริงในแต่ละงวดรายงานนั้น
(3) โครงการที่มีลักษณะเป็นงานวิจัยในขั้นพื้นฐานเพียงอย่างเดียว เห็นควรให้ สนพ. ประสานกับ สกว. เพื่อรับโครงการนั้นไปพัฒนาให้มีความเข้มแข็งอยู่ในระดับการใช้งานได้จริงก่อน แล้วจึงส่งกลับมายัง สนพ. เพื่อสนับสนุนทุนในการเผยแพร่ขยายผลต่อไป ทั้งนี้เนื่องจาก สกว. มีฐานข้อมูลและมีผู้ชำนาญการในเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี และเป็นการป้องกันการให้ทุนที่ซ้ำซ้อนของทั้ง 2 หน่วยงาน
(4) ไม่เห็นควรสนับสนุนแก่โครงการที่ไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
(5) สนับสนุนการทำงานที่มีลักษณะเป็นโครงการระดับชาติ (National Project)
2. ในจำนวนข้อเสนอ 14 โครงการ มีข้อเสนอที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการนำก๊าซธรรมชาติที่มีแหล่งพลังงานภายในประเทศมาใช้เพิ่มมากขึ้น 3 โครงการ ดังนี้
(1) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV ระยะที่ 2 ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
(2) โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ของ กรุงเทพมหานคร
(3) โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
3. ข้อเสนอทั้ง 3 โครงการตามข้อ 2 สามารถช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ พร้อมทั้งตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้ก๊าซธรรมชาติให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยสามารถนำก๊าซธรรมชาติจำนวน 21,520 ลูกบาศก์ฟุต/ปี มาใช้ทดแทนน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ 380.7 และ 141.76 ล้านลิตร/ปี ตามลำดับ ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงลงได้ประมาณ 1,982 ล้านบาท/ปี รวมทั้งช่วยลดปัญหามลภาวะที่เกิดขึ้นจากการใช้ก๊าซธรรมชาติทดแทนเชื้อเพลิงปิโตรเลียม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้การสนับสนุนทั้ง 3 โครงการ โดยเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาให้เจ้าของโครงการฯ ต้องมีการปรับปรุงรูปแบบของการบริหารงานของแต่ละโครงการฯ ดังต่อไปนี้
(1) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV ระยะที่ 2 ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) | |
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ | กองทุนฯ ควรสนับสนุนในลักษณะเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย โดยให้ ปตท. ปรับรูปแบบการสนับสนุนแก่ Taxi โดยเงินให้เปล่าจำนวน 25,000 บาท/คัน เพื่อนำไปจ่ายให้กับ Taxi ซึ่ง ปตท. ออกให้ 15,000 บาท/คัน และขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 10,000 บาท/คัน นั้น (ซึ่งก่อให้เกิดภาระ VAT ที่ ปตท. ขอให้เป็นภาระของกองทุนฯ 2,500 บาท/คัน) ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ 10,000 บาท/คัน ควรให้ IFCT ปล่อยเงินกู้แก่ Taxi เพิ่มเติมจาก 25,000 บาท/คัน เป็น 35,000 บาท/คันแทน (ซึ่งจะลดภาระ VAT ที่ ปตท. ขอให้เป็นภาระของกองทุนฯ 2,500 บาท/คัน) คงเหลือวงเงินรวมที่กองทุนฯ ควรจะสนับสนุน ปตท. ในโครงการนี้ทั้งสิ้น 19,200,000 บาท ดังนี้ |
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | ข้อเสนอเดิม | ความเห็นของฝ่ายเลขาฯ | |
1) เงินให้เปล่าจ่ายให้กับ TAXI | 10,000 บาท/คัน | - บาท/คัน | |
2) ดอกเบี้ยเงินกู้ 4% จ่ายให้กับ IFCT | 1,000 บาท/คัน | 1,400 บาท/คัน | |
3) ค่าบริหารโครงการฯ จ่ายให้ IFCT | 5,000 บาท/คัน | 5,000 บาท/คัน | |
4) สนับสนุนค่าภาษีให้แก่ ปตท. | 2,500 บาท/คัน | - บาท/คัน | |
รวมเป็นเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (ต่อคัน) | 18,500 บาท/คัน | 6,400 บาท/คัน | |
จำนวน TAXI | 3,000 คัน | 3,000 คัน | |
รวมเป็นเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | 55,500,000 บาท | 19,200,000 บาท | |
หมายเหตุ: ราคาอุปกรณ์ NGV = 50,000 บาท/คัน | |||
(2) โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ของ กรุงเทพมหานคร | |||
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ | กองทุนฯ ควรสนับสนุนเฉพาะส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจากการใช้รถเก็บขนมูลฝอยใหม่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ทดแทนการใช้รถดีเซล (EURO II) ซึ่งประกอบด้วยส่วนต่างราคารถและส่วนต่างค่าดูแลรักษา คิดเป็นเงินสนับสนุนต่อคันสูงสุดไม่เกิน 390,000 บาท โดยคำนวณจาก | ||
ราคาเก็บขนมูลฝอยใหม่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ 2,500,000 บาท/คัน (หัก) ราคารถดีเซล (EURO II) 2,150,000 บาท/คัน ส่วนต่างราคารถ 350,000 บาท/คัน (บวก) ส่วนต่างค่าดูแลรักษาที่เพิ่มขึ้น 40,000 บาท/คัน เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ 390,000 บาท/คัน |
|||
รวมเป็นเงินที่กองทุนฯ จะสนับสนุนการจัดซื้อรถโดยสารใหม่ 69 คัน 26,910,000 บาท และกองทุนฯ สนับสนุนค่าบริหารโครงการฯ ให้ กทม. อีก 2,500,000 บาท รวมเป็นวงเงินที่กองทุนฯ ควรจะสนับสนุน กทม. ในโครงการนี้ทั้งสิ้น 29,410,000 บาท | |||
(3) โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ ของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) | |||
ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญฯ และฝ่ายเลขานุการฯ | เพื่อแก้ไขปัญหากรณีที่สถานีบริการก๊าซธรรมชาติที่มีอยู่ในปัจจุบันจำนวน 8 สถานี ไม่เพียงพอต่อการให้บริการหรือไม่มากพอที่จะจูงใจให้รถบ้านหันมาใช้ NGV ประกอบกับวงเงินที่ ปตท. เสนอขอรับการสนับสนุน (30%) นั้น ทำให้ FIRR = 7.6% อยู่ภายในเงื่อนไขที่กองทุนฯ กำหนดไว้ (ไม่เกิน MIRR+5 % หรือเท่ากับ 7.5+5= 12.5%) แต่สำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนค่าบริหารโครงการฯ 50 สถานี ที่ ปตท. ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 20,460,000 บาท นั้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่า ปตท. ควรเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าวนั้นเอง รวมเป็นวงเงินที่กองทุนฯ ควรจะสนับสนุน ปตท. ในโครงการนี้ทั้งสิ้น 596,040,000 บาท (คำนวณจาก 616,500,000 -20,460,000 บาท)
นอกจากนี้ กองทุนฯ ควรเปิดโอกาสให้ผู้สนใจลงทุนสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติมีสิทธิขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ในสัดส่วนร้อยละ 30 เช่นเดียวกับ ปตท. ด้วย |
มติที่ประชุม
ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำชุดโครงการ (NGV Package) ที่ประกอบด้วยการดำเนินงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง ตามข้อสังเกตที่ของที่ประชุม และนำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
1. เลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 6/2545 (ครั้งที่ 32) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2545 ได้เห็นชอบแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปี 2546 และอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ให้ สนพ. ในวงเงิน 200 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนิน "โครงการรวมพลังหาร 2" ที่เน้นการรณรงค์เพื่อให้ประชาชนรู้จักและเข้าใจวิธีประหยัดพลังงานในชีวิตประจำวันที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่าการเดิม และพยายามเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการประหยัดพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการดำเนินกิจกรรม ดังต่อไปนี้
ชื่อกิจกรรม | ล้านบาท |
1 การรณรงค์สร้างค่านิยมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและพลังงาน
1.1 โครงการน้ำและพลังงานหาร 2 ระยะที่ 2 |
110 |
2. การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2.1 โครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน |
25 |
3. กิจกรรมสนับสนุนเพื่อสร้างจิตสำนึก
3.1 พัฒนาและประชาสัมพันธ์ Web pages |
10 |
4. การประชาสัมพันธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
4.1 ซื้อพื้นที่เผยแพร่/เวลาออกอากาศสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุและสื่อโทรทัศน์ |
35 |
5. การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน
5.1 ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 |
10 |
6. อื่นๆ | 10 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 200 |
2. สนพ. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ดำเนินกิจกรรมโครงการฯ ปี 2546 ช่วงที่ 1 จำนวน 2 รายการ ได้แก่
(1) กิจกรรมที่ 2 การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จากกิจกรรม "โครงการ 10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" สนพ. ได้จัดทำ รายละเอียดและข้อกำหนด (TOR) ของการว่าจ้างบริษัทที่จะดำเนินกิจกรรม "โครงการสารคดีเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เพื่อนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาพลังงานทดแทน และผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา โดยจะผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นทางวิทยุและโทรทัศน์ พร้อมทั้งผลิตบทความประชาสัมพันธ์เผยแพร่ทางสิ่งพิมพ์ เป็นต้น
(2) กิจกรรมที่ 5 การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน จากกิจกรรม "ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2" สนพ. ได้จัดทำ TOR ของการว่าจ้างบริษัทที่จะดำเนินกิจกรรม "โครงการศูนย์ประชาสัมพันธ์" เพื่อบริการและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและสื่อมวลชนในเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และกิจกรรมต่างๆ ของกองทุนฯ ตลอดจนเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยป้องกันความสับสนและการเข้าใจผิดในเรื่องของสถานการณ์ นโยบาย และมาตรการพลังงาน สร้างทัศนคติและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มเป้าหมาย
3. สนพ. ได้ดำเนินการคัดเลือกผู้ดำเนินกิจกรรมทั้ง 2 รายการ เสร็จสิ้นลงแล้ว โดยวิธีประกวดราคา ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 โดยสรุปผลการคัดเลือกได้ดังนี้
(1) กิจกรรมที่ 2 การประชาสัมพันธ์กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน มีผู้ยื่นข้อเสนอ 4 ราย และคัดเลือกได้ บริษัท ส.วัชราชัย จำกัด เป็นผู้รับทำกิจกรรม "โครงการสารคดีเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในวงเงิน 19,990,000 บาท ดำเนินกิจกรรมระหว่างเดือนมีนาคม 2546-กันยายน 2546 โดยบริษัทฯ นำเสนอรูปแบบสื่อหลัก ดังนี้
สารคดีโทรทัศน์ ความยาวตอนละ 3 นาที จำนวน 60 ตอน รูปแบบของรายการจะมีพิธีกรเปิดรายการด้วยการเกริ่นนำเข้าสู่เนื้อหาและกล่าวสรุปท้ายรายการ การเขียนบทจะใช้ภาษาพูดแบบเข้าใจง่าย ฉากหลังของพิธีกรเป็นภาพ Logo "10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" เพื่อให้ผู้ชมรู้จักและจดจำได้มากขึ้น ออกอากาศระหว่างเดือนพฤษภาคม 2546-กรกฎาคม 2546 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ทางโทรทัศน์ช่อง 3 ช่อง 5 และ ITV เวลาประมาณ 11.30 น. 18.30 น. และ 14.57 น. ตามลำดับ
สารคดีสั้นทางวิทยุ ความยาวตอนละ 3 นาที จำนวน 60 ตอน เป็นละครวิทยุที่มีหลายเสียงหลายตัวละครหลัก (ไม่เกิน 4 เสียง) ซักตอบคำถามระหว่างตัวละคร เพื่อนำเสนอสาระน่ารู้จากกองทุนฯ ซึ่งจะช่วยให้จดจำได้ง่าย น่าสนใจและชวนติดตาม เผยแพร่ออกอากาศทางวิทยุ 13 สถานี ประกอบด้วย สถานี F.M. ในกรุงเทพฯ 3 สถานี (จส.100 INN และกองพลที่ 1) F.M. ต่างจังหวัด 10 สถานี และมีสัมภาษณ์พิเศษ ทางสถานีวิทยุ จส.100 และ FM.99.5
สารคดีสั้น 1 ตอน ความยาวไม่น้อยกว่า 15 นาที เป็นการนำเสนอภาพรวมของกองทุนฯ และผลการดำเนินงานของกองทุนฯ โดยรวบรวมเนื้อหาจากสารคดีสั้นทางโทรทัศน์ และอัดสำเนาวิดีโอเทปเพื่อเผยแพร่ให้กับผู้สนใจทั่วไป
งานผลิตและเผยแพร่บทความประชาสัมพันธ์ทางหนังสือพิมพ์ เป็นการจัดคอลัมน์พิเศษ "10 ปี กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในหนังสือพิมพ์มติชน สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ต้องการเนื้อที่ในการอธิบายรายละเอียดและใช้เวลาในการทำความเข้าใจในเนื้อหา มีขนาด 60 คอลัมน์นิ้ว จัดรูปแบบ Art Work ที่ดึงดูดความสนใจ โดยเผยแพร่สัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวม 30 ครั้ง
(2) กิจกรรมที่ 5 การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน ศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหาร 2 มีผู้ยื่นข้อเสนอ 2 ราย คัดเลือกได้ บริษัท คิธ แอนด์ คิน คอมมิวนิเคชั่น แอนด์ คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นผู้รับทำกิจกรรม ในวงเงิน 7,990,000 บาท ดำเนินกิจกรรมระหว่างเดือนเมษายน 2546-16 มีนาคม 2547 บริษัทฯ จะบริหารจัดการศูนย์ประชาสัมพันธ์ โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ ทำการประชาสัมพันธ์เชิงรุกกับสื่อ ด้วยกลยุทธ์หลักดังนี้
สร้างกิจกรรมที่จูงใจให้สื่อมวลชนเข้ามาทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อส่งเสริมให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานมากขึ้น เกิดผลอย่างจริงจังชัดเจน สามารถสร้างกระแสในเชิงสังคม มากขึ้น เช่น จัดแถลงข่าว ทำข่าวแจก จัดสัมภาษณ์ผ่านสื่อวิทยุ และหรือโทรทัศน์ จัดพาสื่อมวลชนร่วมกิจกรรม เป็นต้น
สื่อสารข้อมูลในเชิงรุกถึงภายในและนอกองค์กร ด้วยความรวดเร็ว ถูกต้องและครอบคลุม ก่อให้เกิดความร่วมมือ และสร้างการรับรู้ความเคลื่อนไหวด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง เช่น จัดทำ News Clipping & Monitoring Report
กำหนดแผนรองรับการแก้สถานการณ์ หรือช่องทางการสื่อสารที่ฉับไว ทันต่อเหตุการณ์ สามารถสื่อสารในภาวะวิกฤติได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อมวลชน
จัดระบบข้อมูลและข่าวสารด้านอนุรักษ์พลังงานที่เป็นหมวดหมู่และบริการสืบค้นข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์ได้ โดยจัดการฐานข้อมูลด้วยโปรแกรมการ SQL Database System ประกอบด้วย ฐานข้อมูลสื่อทั่วประเทศ ฐานข้อมูลองค์กรเครือข่าย ฐานข้อมูล และข่าวสารด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน เป็นต้น
ประเมินผลการให้บริการ โดยมีระบบวัดผลที่ชัดเจน ได้แก่ การทำแบบสอบถามความคิดเห็นและเพิ่มแรงจูงใจในการประเมินผล ซึ่งจะทำให้ประชาชนผู้มาใช้บริการได้แสดงทัศนคติ ความพึงพอใจ รวมถึงทัศนคติต่อองค์กรโดยรวม ที่สามารถนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพ หรือเพิ่มศักยภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้สนับสนุน "โครงการสารคดีเพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยใช้เงินจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 19,990,000 บาท โดยให้ สนพ. ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
2. อนุมัติให้สนับสนุน "โครงการศูนย์ประชาสัมพันธ์" โดยใช้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 7,990,000 บาท (เจ็ดล้านเก้าแสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) โดยให้ สนพ. ไปดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
อนุ กอ. ครั้งที่ 11 - วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2550 (ครั้งที่ 11)
วันศุกร์ที่ 14 กันยายน 2550 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. รายงานผลการประเมินการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2549
2. ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ในช่วงปี 2551-2554
3. ขอความเห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550 และการลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2550
4. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมบัญชีกลาง (บก.) ได้รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2549 โดยภาพรวมมีคะแนนอยู่ในระดับ 3.6036 สรุปได้ดังต่อไปนี้
1. ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (15%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 อยู่ในระดับร้อยละ 97.27 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 1.2 ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริหารกองทุนฯ ที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับงบประมาณ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 อยู่ในระดับร้อยละ 84.96 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 3.5413
2. ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (35%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 2.1 ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงาน ต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2549 โดย แผนพลังงานทดแทน ได้คะแนน 3.0960 แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้คะแนน 3.8880 และแผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ได้คะแนน 1.00
ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละของจำนวนโครงการที่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อจำนวนโครงการทั้งหมด โดยแผนพลังงานทดแทน ได้คะแนน 1.00 แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ได้คะแนน 1.0000 และ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ ได้คะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 2.3 ร้อยละของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปี 2549 ได้คะแนน 1.00
3. การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (20%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 3.1 การสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้คะแนน 5.00
ตัวชี้วัดที่ 3.2 การจัดทำแผนการปรับปรุงการดำเนินงาน ได้คะแนน 4.00
4. การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (30%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 4.1 การจัดทำแผนกลยุทธ์กองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550-2554 ได้คะแนน 4.00
ตัวชี้วัดที่ 4.2 การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2550 กองทุนฯ ได้คะแนน 4.00
ตัวชี้วัดที่ 4.3 การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ ได้คะแนน 5.0000
ข้อสังเกตของที่ประชุม
ที่ประชุมได้สอบถามถึงคะแนนผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ที่อยู่ในระดับ 3.6036 เมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนอื่นๆ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า กองทุนหมุนเวียนที่มีลักษณะให้การส่งเสริมและเข้าสู่ระบบประเมินผลในปี 2549 มี 11 ราย กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมีผลการประเมินจัดอยู่ในอันดับที่ 6 โดยคะแนนตัวชี้วัดด้านการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่ได้รับไม่เต็ม เนื่องจากการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ล่าช้า ที่ประชุมรับทราบและให้คำแนะนำว่างบประมาณของกองทุนฯ ปี 2550 ได้รับอนุมัติล่าช้าประมาณ 3 เดือน อาจส่งผลให้การดำเนินงานไม่ผ่านเกณฑ์ ฝ่ายเลขานุการฯ ควรหารือกับกรมบัญชีกลางขอผ่อนผันเพื่อปรับเกณฑ์การประเมินตามตัวชี้วัดดังกล่าวด้วย
มติที่ประชุม
รับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือกรมบัญชีกลางขอผ่อนผันเกณฑ์การประเมินผลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2550 ตามคำแนะนำของที่ประชุม
เรื่องที่ 2 ขอความเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ในช่วงปี 2551-2554
1. ผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2548-2550 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปรายงานที่ประชุมเพื่อทราบ ดังนี้
1.1 การดำเนินงานแต่ละด้านเป็นไปตามแผนงานฯ ที่กำหนดไว้ ก่อเกิดผลลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 1,518 ktoe และมีการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น 3,713 ktoe ใกล้เคียงกับเป้าหมาย ณ ปี 2550 โดยเปรียบเทียบเป้าหมายกับผลประหยัดพลังงานที่คาดว่าจะได้รับ ณ ปี 2550 ได้ดังนี้
แผนงาน | เป้าหมาย ปี 54 | เป้าหมาย | ผล |
ปี 50 | ปี 50 | ||
ktoe | ktoe | ktoe | ktoe |
(1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 7,693 | 1,557 | 1,518 |
1. อุตสาหกรรม | 3,832 | 492 | 567 |
2. ขนส่ง | 3,290 | 861 | 726 |
3. บ้านและการจัดการ | 571 | 204 | 225 |
(2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 11,311 | 3,555 | 3,713 |
1. ส่งเสริม NGV | 4,348 | 405 | 540 |
2. ส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน | 6,963 | 3,150 | 3,173 |
1.2 ผลงานที่สำคัญในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2548-2550 เช่น
(1) ปรับปรุงแก้ไข พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อให้บทบัญญัติบางประการเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน และผ่านขั้นตอนความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลงพระปรมาภิไธย
จากการแก้ไข พ.ร.บ.ฯ ฉบับดังกล่าว ต้องมีการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่ออกตามมาด้วย ซึ่งกระทรวงพลังงานได้เตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามลำดับต่อไป
(2) กำหนดมาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้พลังงาน โดยจัดทำแผน 5 ปี (2550-2554) เพื่อออกกฎกระทรวงฯ กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) และการส่งเสริม (ติดฉลาก) เครื่องจักรและอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน รวมทั้งสิ้น 35 ผลิตภัณฑ์
(3) การส่งเสริม ช่วยเหลือ อุดหนุน ด้านอนุรักษ์พลังงาน เช่น
โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม เกิดผลประหยัด 1,979 ล้านบาทต่อปี
โครงการสิทธิประโยชน์ทางภาษี เกิดผลประหยัดจากมาตรการ Cost based 375 ล้านบาทต่อปี มาตรการ Performance based 402 ล้านบาทต่อปี และสิทธิประโยชน์ด้านภาษี (BOI) 1,027 ล้านบาทต่อปี
โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน เกิดผลประหยัดในระยะที่ 1 จำนวน 1,403 ล้านบาทต่อปี และระยะที่ 2 จำนวน 1,545 ล้านบาทต่อปี
(4) การลดการใช้พลังงานในภาคขนส่ง จากการใช้ระบบขนส่งมวลชนโดยมีผู้ใช้รถไฟฟ้าประมาณ 600,000 คนต่อวัน ใน 3 สายทาง การปรับปรุงระบบจราจร ทำให้ความเร็วเฉลี่ยเขตเมือง เพิ่มขึ้น จาก 10 กม./ชม. เป็น 15 กม./ชม. การจัดทำเวบไซต์ Thai Truck Center เพื่อลดการเดินรถเที่ยวเปล่า มีสมาชิกแล้วจำนวน 5,224 ราย และการจัดทำพื้นที่จอดแล้วจร 12 แห่ง รองรับรถยนต์ได้ 5,707 คัน
(5) ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ดำเนินการในหลายด้านๆ ทั้งการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง มาตรการส่งเสริมต่างๆ ทำให้เกิดการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น 3,713 ktoe เช่น
การขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยขยาย จากไม่เกิน 1 MW เป็นไม่เกิน 10 MW ทำให้มี VSPP รายใหม่ ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า 564 MW ตอบรับซื้อไฟฟ้า 45 ราย 231.7 MW
ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration จากการประกาศรับซื้อไฟฟ้ารอบแรก 500 MW นั้น มี SPP ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า 31 ราย รวม 2,416 MW
การกำหนดส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทั้ง SPP และ VSPP ด้วยกลไกการแข่งขัน มี SPP ซื้อซอง 11 ราย ยื่นซอง 9 ราย เป็นชีวมวล 435 MW
การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำเพื่อพลังงานทดแทน ให้เอกชน 62 ราย ลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเปลี่ยนเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันเตาเป็นชีวมวล 36 ราย และเปลี่ยนมาใช้ก๊าซชีวภาพ 26 ราย
มาตรการอุดหนุนเงินลงทุน ค่าออกแบบ และค่าบริหารโครงการ ด้านพลังงานหมุนเวียน ช่วยให้มีการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ณ ปี 2550 โดยเปรียบเทียบกับเป้าหมายได้ดังนี้
เป้าหมาย | ผลปี 50 | หน่วย | ||
ปี 54 | ปี 50 | |||
การผลิตไฟฟ้า | ||||
1) พลังงานแสงอาทิตย์ | 45 | 31 | 31 | MW |
2) พลังงานลม | 115 | 4 | 1 | MW |
3) พลังงานน้ำ | 156 | 104 | 62 | MW |
4) พลังงานชีวมวล | 2,800 | 2,077 | 1,977 | MW |
5) ขยะ | 100 | 10 | 4 | MW |
6) ก๊าซชีวภาพ | 30 | 8 | 6 | MW |
การใช้ความร้อน | ||||
7) พลังงานชีวมวล | 3,851 | 2,217 | 2,087 | ktoe/ปี |
การใช้น้ำมันและแอลกอฮอล์จากพืช | ||||
8) เอทานอล | 3.0 | 0.9 | 0.55 | ล้านลิตร/วัน |
9) ไบโอดีเซล | 4.0 | 0.5 | 0.07 | ล้านลิตร/วัน |
2. แผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 กระทรวงพลังงานได้พิจารณาศักยภาพและมาตรการที่จะดำเนินการในช่วงต่อไปกับสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว จึงเสนอปรับเป้าหมายและวิธีดำเนินการบางมาตรการเพื่อให้ผลที่คาดว่าจะได้รับชัดเจนและเร่งให้เร็วขึ้นได้ ดังนี้
2.1 เป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554
แผนงาน | เป้าหมายเดิม (26 ธันวาคม 2549) |
เป้าหมายใหม่ (14 กันยายน 2550) |
||
ktoe | ร้อยละ | ktoe | ร้อยละ | |
(1) แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 7,694 | 10.5 | 7,088 | 9.6 |
- สาขาอุตสาหกรรม | 3,832 | 5.2 | 2,581 | 3.5 |
- สาขาขนส่ง | 3,290 | 4.5 | 3,290 | 4.5 |
- การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 572 | 0.8 | 1,217 | 1.6 |
(2) แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 11,311 | 15.4 | 11,206 | 15.2 |
- ส่งเสริม NGV | 4,348 | 5.9 | 4,518 | 6.1 |
- พลังงานหมุนเวียน * | 6,963 | 9.5 | 6,688 | 9.0 |
* เป้าหมายของการใช้พลังงานหมุนเวียนจำแนกประเภทได้ดังนี้
ประเภทพลังงาน | ไฟฟ้า | ความร้อน | เชื้อเพลิงชีวภาพ | รวม | ||
MW | ktoe | ktoe | ล้านลิตร/วัน | ktoe | ktoe | |
แสงอาทิตย์ | 45 | 4 | 5 | - | - | 9 |
พลังลม | 115 | 13 | - | - | - | 13 |
ไฟฟ้าพลังน้ำ | 156 | 17 | - | - | - | 18 |
ชีวมวล | 2,800 | 941 | 3,660 | - | - | 4,601 |
ขยะ | 100 | 45 | - | - | - | 45 |
ก๊าซชีวภาพ * | 60 | 27 | 370 | - | - | 397 |
เอทานอล | - | - | - | 2.4 | 653 | 653 |
ไบโอดีเซล | - | - | - | 3.0 | 953 | 953 |
รวม | 3,276 | 1,047 | 4,035 | 5.4 | 1,606 | 6,688 |
2.2 เป้าหมายการประหยัดพลังงานในภาคอตุสาหกรรม ลดจาก 3,832 ktoe เป็น 2,581 ktoe เนื่องจากงานปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะประหยัดพลังงานได้ 1,400 ktoe ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษา และในช่วงปี 2551-2554 จะเร่งดำเนินการและเพิ่มมาตรการที่คาดว่าจะลดการใช้พลังงานได้อีก 794 ktoe สรุปโครงการที่สำคัญ เช่น
2.1.1 เร่งรัดการจัดการออกกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ... เพื่อให้วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักร และเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงาน ได้มาตรฐานมีประสิทธิภาพด้านพลังงาน
2.1.2 เร่งส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยใช้มาตรการส่งเสริม สนับสนุนและจูงใจทั้งด้านการเงิน มาตรการทางภาษี และการคำแนะนำทางด้านเทคนิค เพิ่มแนวทางใหม่เสริมกับมาตรการที่มีอยู่ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกลงทุนอนุรักษ์พลังงาน ดังนี้
(1) สนับสนุนธุรกิจบริษัทจัดการพลังงาน ESCO โดยจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนและส่งเสริมการลงทุนให้โครงการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โดยใช้เงินจากกองทุนฯ ไปเข้าร่วมทุนในโครงการ ในปี 2551 จะทดลองดำเนินการในวงเงิน 500 ล้านบาท คาดว่าจะเกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนมากกว่า 2,500 ล้านบาท เกิดผลประหยัดด้านพลังงานมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท/ปี
(2) ส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงานโดยวิธีประกวดราคา โดยใช้เงินจากกองทุนฯ สนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอวิธีการที่จะปรับปรุงการใช้พลังงาน และเสนอขอรับเงินสนับสนุนต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ ตามอัตราที่ต้องการและไม่เกินวงเงินที่กองทุนฯ กำหนด คาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานได้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านหน่วย/ปี ลดความต้องการไฟฟ้าได้ 77 MW ช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานความร้อน 1.7 ล้าน MMBTU/ปี เทียบเท่าน้ำมันดิบ 48 ล้านลิตร/ปี
(3) รณรงค์ให้มีการเปลี่ยนมาใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์ T5 หรือหลอดผอมใหม่เบอร์ 5 แทนหลอดฟลูออเรสเซนต์ T8 หรือหลอดผอมเดิม เพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้าของประเทศ โดยมีเป้าหมายของ 100 ล้านหลอด หรือประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหลอดในระบบ คาดว่าจะลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ 4,111 ล้านหน่วย/ปี นับตั้งแต่ปี 2555 ลดความต้องการไฟฟ้าสูงสุดได้ 891 เมกะวัตต์ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ 2.1 ล้านตัน/ปี
(4) ส่งเสริมลดการใช้พลังงานในสาขาขนส่ง ได้แก่ การจัดเตรียมพื้นที่จอดแล้วจร (Park&Ride) และศึกษากฎหมายเรื่องการกำหนดอัตราความเร็วของยานพาหนะ เพื่อให้ความรู้กับผู้ใช้ยานพาหนะทราบเรื่องการขับขี่ที่ความเร็วไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนดในแต่ละเขตทาง สำหรับการขนส่งสินค้าจะเริ่มเข้าไปช่วยผู้ประกอบกิจการบริการขนส่งสินค้าโดยตรงเพื่อศึกษาความเหมาะสมวิธีลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง และต้องนำผลการศึกษาไปทำจริง สร้างแนวทางจูงใจใหม่ให้ผู้ประกอบกิจการต่างๆ ลงทุนปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในกิจการของตน พร้อมทั้งจัดโปรแกรมฝึกอบรมวิธีการขับประหยัดน้ำมันและปลอดภัยให้กับ ผู้ขับยานพาหนะของหน่วยงานรัฐและเอกชน
2.3 ด้านการใช้พลังงานทดแทนเป้าหมายลดลง 275 ktoe เนื่องจากปรับเป้าหมายการใช้น้ำมันไบโอดีเซลและเอทานอลลง เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการน้ำมันที่ได้ชะลอตัวลงจากอดีตที่เคยคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตามในช่วงปี 2551-2554 จะเร่งส่งเสริมให้เกิดการลงทุนและพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น ด้วยการเร่งผลักดันพลังงานทดแทนที่เหมาะสมกับประเทศไทย ดังนี้
2.3.1 ส่งเสริมการก๊าซชีวภาพ จากฟาร์มสุกร โรงงานแป้งมันสำปะหลัง และน้ำเสียจากโรงงาน เป็นต้น โดยมีเป้าหมายจะผลิตก๊าซชีวภาพ 1,060 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ทดแทนพลังงานเทียบเท่าน้ำมันดิบปีละ 397,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 6,970 ล้านบาทต่อปี ทำให้เป้าหมายก๊าซชีวภาพทางด้านไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 30 MW เป็น 60 MW และด้านความร้อนเพิ่มขึ้นเป็น 370 ktoe จาก 186 ktoe
2.3.2 การผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ การแปรรูปขยะเป็นพลังงาน การใช้พลังงานจากลม และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ได้มีแผนปฏิบัติการ รายละเอียดวิธีการดำเนินงาน และเป้าหมายในแต่ละปีที่ชัดเจนมากขึ้น
2.3.3 กระจายความรู้ความเข้าใจสู่ภูมิภาคและท้องถิ่นอย่างทั่วถึง รวมถึงให้ความรู้ความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในเรื่องพลังงานทางเลือก ทั้งด้านนโยบายของรัฐ การผลิต การใช้ การกำกับดูแลความปลอดภัย และการจัดการป้องกันผลกระทบ
3. การดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ตามข้อ 2 จะขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปดำเนินการในวงเงินรวมประมาณ 16,132 ล้านบาท โดยสรุปแผนการใช้จ่ายเงินได้ดังนี้
แผนใช้จ่ายเงิน ปี | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม 5 ปี |
1) แผนพลังงานทดแทน | 2,588 | 940 | 1,065 | 880 | 1,110 | 6,582 |
2) แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 5,838 | 2,356 | 428 | 351 | 328 | 9,300 |
3) แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 250 | - | - | - | - | 250 |
รวมทั้งสิ้น | 8,675 | 3,295 | 1,493 | 1,231 | 1,438 | 16,132 |
หมายเหตุ: แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกันได้
4. ฐานะทางการเงินของกองทุนฯ ตามแผนงานและแผนการจัดสรรเงินในข้อ 2 และข้อ 3 ปรากฏดังตารางต่อไปนี้
หมายเหตุ :
(1) ประมารการรายรับล่วงหน้าปี 2551 ได้รับโอนเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท จากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีมาสมทบเป็นรายได้ให้กับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน
(2) ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้าคาดว่าจะขออนุมัติเพิ่มเติมระหว่างปี 2552-2556 ประมาณปีละ 3,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเบิกจ่ายได้เฉลี่ยร้อยละ 70 ของงบประมาณที่ได้รับ
5. จากตารางตามข้อ 4 ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2551 ฐานะการเงินของกองทุนฯ ติดลบ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอแนวทางเพิ่มสภาพคล่องให้กับฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยปรับเพิ่มอัตราส่งเงินเข้ากองทุนฯ จาก 7 สตางค์ต่อลิตร เป็นอัตรา 25 สตางค์ต่อลิตร ซึ่งทำให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ เป็นบวก ดังนี้
การพิจารณาของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานในช่วงปี 2548-2550 และเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554 ที่จะปรับเป้าหมายและเร่งรัดการดำเนินงานตามมาตรการให้เร็วขึ้น โดยใช้เงินกองทุนฯ ในวงเงินรวมประมาณ 16,132 ล้านบาท และมีข้อเสนอแนะให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับรายละเอียดให้ถูกต้องชัดเจนก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ ดังนี้
1. มาตรการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
1.1 การกำหนดส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน
(1) ให้ตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนผู้ผลิตไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก และให้เพิ่มข้อมูลการผลิตไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้า SPP Cogeneration ด้วย
(2) เร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับ SPP ที่เป็น Non Firm โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขสัญญา ควรเพิ่มเติมท้ายสัญญาว่า "เป็นสัญญาประเภทปีต่อปีที่ กฟผ. จะต่อสัญญาให้โดยอัตโนมัติ" เพื่อให้สถาบันการเงินมีความมั่นใจว่า กฟผ. จะรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าประเภทดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อดำเนินโครงการ
(3) โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำขนาดเล็กและขนาดเล็กมาก ที่ พพ. ได้ใช้เงินจากกองทุนฯ ลงทุน/ปรับปรุงโครงการที่มีอยู่เดิม หากมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ให้ พพ. นำเงินส่งคืนกองทุนฯ โดยจัดทำหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนด้วย
(4) ให้ พพ. เร่งติดตามและให้ความเข้าใจกับชาวบ้านบริเวณพื้นที่โดยรอบ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ที่จะติดตั้งบริเวณเขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา และที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ เพื่อให้การดำเนินการสำเร็จลุล่วงด้วยดี
1.2 การส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล ตามแผนงานที่จะนำรถยนต์ E85 เข้ามาใช้หลังปี 2554 นั้นควรเริ่มเตรียมความพร้อมตั้งแต่ปัจจุบัน และเร่งรัดการดำเนินการเพิ่มผลผลิตปาล์มให้เพียงพอสำหรับการผลิตไบโอดีเซลในสัดส่วน 5% ของน้ำมันดีเซลทั้งหมด โดยอาจโอนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ 3,500 ล้านบาท ฝากที่ ธกส. เพื่อเป็นทุนให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซล
สำหรับความเป็นไปได้ในการส่งเสริมการใช้สบู่ดำและสาหร่ายเซลล์เดียวเป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอดีเซล ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นกำลังศึกษาอยู่นั้น ปลัดกระทรวงพลังงานได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า การปลูกสบู่ดำในปัจจุบันยังมีอัตราผลผลิตต่อไร่ที่ต่ำอยู่ ทำให้ผู้ปลูกมีรายได้เพียง 4000 บาท/ไร่ จึงยังไม่มีการส่งเสริมเชิงพาณิชย์ และจะดำเนินการวิจัยด้านการตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เพื่อให้ได้พันธุ์สบู่ดำที่ให้ผลผลิตสูง ส่วนการใช้สาหร่ายเซล์เดียวมาเป็นวัตถุดิบนั้นหากผลการวิจัยพบว่ามีสมบัติเหมาะสมในการใช้ผลิตไบโอดีเซล ก็จะทำการพิจารณาส่งเสริมต่อไป
1.3 มาตรการส่งเสริมการใช้ NGV กระทรวงพลังงานควรร่วมกับกระทรวงการคลังในพิจารณาหาแนวทางปรับลดภาษีการนำเข้ารถรถตู้เครื่องยนต์เบนซิน ซึ่งยังไม่มีการผลิตในประเทศต้องนำเข้ารถยนต์ดังกล่าวทั้งคันทำให้ต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตราสูง ในขณะที่รถตู้เครื่องยนต์เบนซินนั้นนำมาปรับปรุงใช้ NGV เป็นเชื้อเพลิง ได้ง่ายกว่ารถตู้ดีเซลซึ่งผลิตเองในประเทศมาก
1.4 โครงการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ พพ. มีแผนงานจะดำเนินการ ให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่หน่วยงานเจ้าของเรื่อง ต้องถามความเห็น ศอบต. ก่อนดำเนินการ
1.5 มาตรการจ่ายส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (Adder) นั้น ให้ สนพ. พิจารณากำหนดอัตราสำหรับกรณีการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าที่มากกว่าหนึ่งชนิด เช่น ขยะผสมกับมูลสุกรที่จะได้ก๊าซชีวภาพ เป็นต้น เนื่องจากอัตราเงินสนับสนุนส่วนเพิ่มค่ารับซื้อไฟฟ้าของเชื้อเพลิงทั้ง 2 ประเภท ต่างกันมาก โดยอาจกำหนดอัตราตามสัดส่วนของเชื้อเพลิงแต่ละประเภทที่นำมาผสมกันใช้ในการผลิตไฟฟ้า
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมพิจารณาเรื่อง การดำเนินงานโครงการลดใช้พลังงานในหน่วยงานราชการซึ่งมี 2 หน่วยงานคือ พพ. และสำนักงานพลังงานภูมิภาค (สพภ.) เสนอแผนงานและขอใช้เงินจากกองทุนฯ ในปี 2551 โดยมีความเหลื่อมซ้อนงานกัน และเนื่องจากหน่วยงานราชการมีอยู่จำนวนมาก จึงเสนอให้กำหนดพื้นที่ปฏิบัติงานโดย พพ. รับผิดชอบเฉพาะหน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ สำหรับ สพภ. 1-12 ให้รับผิดชอบหน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคและในการดูแลของแต่ละ สพภ.
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบกรอบแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551-2554 และเห็นชอบการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 16,132 ล้านบาท เพื่อใช้ตามรายละเอียดแผนงาน/โครงการและการใช้จ่ายเงินแต่ละปีตามปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 4.1.2 ถึง 4.1.5 โดยให้แต่ละหน่วยงานนำความเห็นของที่ประชุมไปปรับรายละเอียดของแผนงานฯ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเรื่องการขอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากอัตรา 7 สตางค์/ลิตร เป็นอัตรา 25 สตางค์ต่อลิตร เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ต่อไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบถึงการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550 ที่ประธานกรรมการกองทุนฯ จะต้องลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง จะมีการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ เป็น 4 ด้าน รวม 7 ตัวชี้วัด ดังนี้
(1) ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (15%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุน
ตัวชี้วัดที่ 1.2 ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและผูกพันเทียบกับงบประมาณ
(2) ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (30%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 2.1 ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงานต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน
ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละความสำเร็จของจำนวนโครงการที่ผูกพันและดำเนินงานได้ตามแผนฯ ต่อจำนวนโครงการที่ผูกพันและมีแผนดำเนินงานภายในปีบัญชี 2550
(3) การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (15%)ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 3.1 การดำเนินงานตามแผนการปรับปรุงการให้บริการ จากผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประจำปีบัญชี 2550
(4) การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (40%) ประกอบด้วย
ตัวชี้วัดที่ 4.1 การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปีบัญชี 2550
ตัวชี่วัดที่4.2 การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอประธานกรรมการกองทุนฯ เพื่อลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง ต่อไป
2. เห็นชอบให้ พพ. สนพ. และ บก. ขยายเวลาการผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ งบประมาณปี 2550 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้วรวมทั้งสิ้น 3,642,458,344 บาท ต่อไปได้ถึงเดือนธันวาคม 2550 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 4 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งที่ประชุมว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 8 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 6 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการการส่งเสริมการผลิตถ่านและการจัดการทรัพยากรไม้อย่างมีประสิทธิภาพ | สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม | กันยายน 2549 | กันยายน 2550 |
(2) | โครงการสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารจัดการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในถิ่นทุรกันดาร : กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอบ่อเกลือ และอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | กุมภาพันธ์ 2549 | กรกฎาคม2550 |
(3) | โครงการศึกษากระบวนการสร้างชุมชนเข้มแข็งด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม | ม. ราชมงคลล้านนา | กรกฎาคม 2550 | กันยายน 2550 |
(4) | โครงการส่งเสริมการเรียนการสอนเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน ในระดับอุดมศึกษา ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ | ม. ธรรมศาสตร์ | กันยายน 2550 | กันยายน 2551 |
(5) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | สนพ. | - | - |
(6) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 24 ราย | พพ. | - | 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 2 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 1 หน่วยงาน | พพ. | ขอใช้เงินคงเหลือจำนวน 23,580 บาท จากงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติไว้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเพิ่มเติม 1 ภาคการศึกษา เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้ปรับเปลี่ยนแผนการเรียนการสอน จากเดิม 4 ภาคเรียนปกติ และ 2 ภาคฤดูร้อน เป็นการเรียนการสอน ในภาคเรียนปกติ 5 ภาคเรียน |
(2) | การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษา จำนวน 2 หน่วยงาน | ม. แม่ฟ้าหลวง | 1) ขอขยายเวลาดำเนินโครงการวิจัยให้กับ นายธำรงศักดิ์ จินดาเพ็ชร ถึง ตุลาคม 2550 และขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย เป็น "สมบัติทางไฟฟ้าและเชิงกลของวัสดุ อิเล็กโทรไลต์ DGC ที่เติมด้วย TZP" |
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ | 2) ขอเปลี่ยนชื่อโครงการวิจัย ของ นางสาวลินดา เพ่งสุวรรณ เป็น "ประสิทธิผลของสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการประหยัดพลังงานในอาคาร : กรณีศึกษา นักศึกษาปริญญาโท ภาคปกติ สถาบันบัณฑิตพัฒน บริหารศาสตร์" |
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ให้ความเห็นว่า การขอขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดของโครงการฯ ทั้ง 8 โครงการแล้ว เห็นควรให้ดำเนินการได้ตามที่เสนอมา และเสนอที่ประชุมพิจารณากรณีที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือน นับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 24 ราย นั้น ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เคยมีหนังสือแจ้งให้ พพ. พิจารณาบริหารสัญญาและเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลากำหนด เพื่อลดภาระงานของคณะอุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ แต่ พพ. ยังมิได้ดำเนินการเท่าที่ควร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่เสนอให้ พพ. จัดทำแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งต่อไป เช่น ปรับขั้นตอนการตรวจรับรายงานให้รวดเร็วขึ้น กำหนดระยะเวลาการแก้ไขงานของที่ปรึกษาให้ทันกำหนดระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน หรือให้มีการปรับลงโทษที่ปรึกษาที่ไม่สามารถแก้ไขงานได้ทันตามกำหนดระยะเวลา
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ทั้ง 8 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา ด้วยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
กอ. ครั้งที่ 35 - วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน 2546
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 35)
วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2546 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
4. ขออนุมัติเงินสนับสนุนชุดโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง
5. การนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้ารายได้แผ่นดิน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ประธานฯ ได้ให้ที่ประชุมรับทาบรายงานการรับ-จ่าย เงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2546 ถึง 31 มีนาคม 2546 ซึ่งมีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 31 มีนาคม 2546 จำนวน 11,588,201,573.84 บาท
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้ให้ข้อสังเกตว่า เพื่อให้การรับทราบการใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ มีความชัดเจนมากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ ควรปรับรูปแบบรายงานโดยในแต่ละโครงการฯ ควรมีรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของแต่ละโครงการฯ แสดงไว้ด้วย
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับรูปแบบของรายงานการรับ-จ่ายเงินของกองทุนฯ ให้มีรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของแต่ละโครงการ ตามข้อเสนอแนะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย
เรื่องที่ 2 คำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า จากการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 1/2546 เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2546 ที่ประชุมได้เห็นควรปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนอนุรักษ์พลังงาน จากเดิมที่มีจำนวน 3 คณะ ให้นำมารวมเป็น 1 คณะ ทั้งนี้เพื่อลดความซ้ำซ้อนของงานและทำให้การบริหารงานกองทุนฯ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งก็ได้มีการจัดทำคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2546 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามในคำสั่งดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยมี ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานอนุกรรมการ และผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นอนุกรรมการ ผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ในส่วนของอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน นั้นคงเป็นไปตามอำนาจหน้าที่เดิม แต่มีเพิ่มหน้าที่ในคำสั่งดังกล่าว คือ ข้อ 3 (7) ให้ฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการฯ รายงานการดำเนินการ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานทราบเป็นรายเดือน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 3,060 ล้านบาท ไปจัดทำ "โครงการส่งเสริม ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" เพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิงเข้ามาร่วมผลิตและขายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มมากขึ้น โดยนำเงินจากกองทุนฯ ไปใช้ในการสนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน ในอัตราการสนับสนุนสูงสุดไม่เกิน 36 สตางค์ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาเงินสนับสนุน โดยมีขั้นตอนดำเนินการดังนี้
ขั้นที่ 1 การเปิดรับข้อเสนอจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2544 ประกอบด้วย ข้อมูลทางเทคนิค ข้อมูลทางการเงิน และอัตราการสนับสนุนที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กจะขอรับจากกองทุนฯ ซึ่งปรากฏว่ามีผู้สนใจยื่นข้อเสนอรวมทั้งสิ้น 43 โครงการ ซึ่งปรากฏว่ามีข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณารวมทั้งสิ้น 31 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 511 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินที่ขอสนับสนุนทั้งสิ้นประมาณ 2,991 ล้านบาท
ขั้นที่ 2 เป็นการให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ข้อเสนอผ่านการพิจารณาทั้ง 31 โครงการ ไปดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่รัศมี 10 กิโลเมตร จากสถานที่ตั้งโรงไฟฟ้า และรายงานให้ สนพ. ทราบ ภายในเดือนมีนาคม 2546 เพื่อนำผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ จาก 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย กระทรวงพลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า และรายงานคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อประกอบการพิจารณา
ขั้นที่ 3 การจัดทำกรอบรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Performance Report) และการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ในรูปแบบ "คณะกรรมการไตรภาคี"
2. เมื่อสิ้นสุดกำหนดรับรายงานผลการดำเนินการรับฟังความคิดเห็น ในเดือนมีนาคม 2546 ปรากฏว่ามีเจ้าของข้อเสนอจำนวน 8 โครงการ ไม่สามารถรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นได้ตามเงื่อนไข จึงเป็นผลให้ข้อเสนอทั้ง 8 โครงการ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก ได้แก่
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง | พลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ |
(1) บริษัท เอ็น. วาย. ชูการ์ จำกัด | ต. จรเข้หิน อ. ครบุรี จ. นครราชสีมา | ชานอ้อย | 3.00 MW |
(2) บริษัท ไบโอ-แมส เพาเวอร์ จำกัด | ต. มะขามเฒ่า อ. วัดสิงห์ จ. ชัยนาท | แกลบ | 16.00 MW |
(3) บริษัท เซ็นทรัลเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด | ต. คลองสะแก อ. นครหลวง จ. อยุธยา | แกลบ | 55.00 MW |
(4) บริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด | ต. โพกรวม อ.เมือง จ. สิงห์บุรี | แกลบ | 20.00 MW |
(5) บริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด | ต. ห้วยม่วง อ. กำแพงแสน จ. นครปฐม | แกลบ | 20.00 MW |
(6) บริษัท วี.โอ.กรีน เพาเวอร์ จำกัด | ต. บางหลวง อ. บางเลน จ. นครปฐม | แกลบ | 8.50 MW |
(7) บริษัท อาร์.วี.กรีน เพาเวอร์ จำกัด | ต. พลับพลาชัย อ. อู่ทอง จ. สุพรรณบุรี | แกลบ | 8.50 MW |
(8) บริษัท เซ็นทรัลเอ็นเนอร์ยี่ จำกัด | ต. โคกช้าง อ.ผักไห่ จ. อยุธยา | แกลบ | 55.00 MW |
รวมพลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ | 186.00 MW |
3. สนพ. ได้นำผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ เดินทางไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าที่สามารถรายงานผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ เสนอต่อ สนพ. ได้ตามเงื่อนไข 23 โครงการ โดยคณะผู้แทนกองทุนฯ ได้ร่วมกันกำหนดกรอบการพิจารณาไว้ดังนี้
(1) แบ่งผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กออกเป็น 3 กลุ่ม ตามผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมที่ผ่านมา และสภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ณ วันที่ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ลงพื้นที่ เพื่อกำหนดเป็นเงื่อนไขประกอบการอนุมัติเงินสนับสนุน ดังนี้
กลุ่มที่ 1 เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและ ณ วันที่ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ลงพื้นที่ พบว่าสภาพสิ่งแวดล้อมไม่ปรากฏปัญหาใดๆ หรือ เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนแก่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กได้
กลุ่มที่ 2 เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีผลการดำเนินงานผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง แต่เมื่อผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวยังก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายแบบมีเงื่อนไข และระบุไว้ในสัญญารับเงินสนับสนุนอย่างชัดเจน โดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายต้องจัดทำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมาให้ สนพ. พิจารณาภายใน 1 เดือน นับจากวันที่แจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯให้ทราบ เมื่อ สนพ. เห็นชอบกับมาตรการดังกล่าวแล้ว จะต้องนำมาตรการไปดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุน และหากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กรายใดไม่สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไข ก็ให้ สนพ. มีสิทธิเพิกถอนสัญญารับเงินสนับสนุน
กลุ่มที่ 3 เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีผลการดำเนินงานไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมบางประเด็นในปัจจุบัน โดยพิจารณาจากข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมที่นำส่งหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้แทนกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าแล้ว มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวก่อปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง ในกรณีนี้เห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายแบบมีเงื่อนไขโดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายต้องจัดทำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมมาให้ สนพ. พิจารณาภายใน 1 เดือนนับจากวันที่แจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ทราบ เมื่อ สนพ. เห็นชอบกับมาตรการดังกล่าวแล้ว จะต้องนำไปดำเนินการแก้ไขปรับปรุงให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 1 ปี ก่อนที่จะลงนามในสัญญารับเงินสนับสนุน ซึ่งหากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กไม่สามารถดำเนินการได้ก็จะไม่ได้รับการพิจารณาให้ทำสัญญารับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ
(2) นอกจากเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อ (1) แล้ว ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายต้องปฏิบัติตามที่ ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำไว้ เช่น
ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้ชานอ้อยเป็นเชื้อเพลิง ต้องดำเนินการปรับปรุง/ติดตั้งระบบการกำจัดฝุ่นจากทุกปล่องของโรงงานให้ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด และต้องกำหนดมาตรการกำจัดผลกระทบจากฝุ่นและอื่นๆ จากกองชานอ้อย เช่น จุลินทรีย์ เป็นต้น และต้องกำหนดมาตรการบำบัดน้ำทิ้งที่มีประสิทธิภาพ และต้องจัดทำระบบป้องกันน้ำเสียจากโรงงานไหลเข้าสู่แหล่งน้ำสาธารณะ โดยเฉพาะในฤดูฝน
ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ผู้แทนกองทุนฯ ได้มีคำแนะนำให้ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กต้องดำเนินการปรับปรุงระบบการจัดเก็บแกลบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน ต้องกำหนดมาตรการ จัดการด้านมลภาวะด้านอื่นๆ เช่น การจัดการขี้เถ้า น้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า
4. ระหว่างเดือนมกราคม 2546-มีนาคม 2546 สนพ. ได้นำผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ เดินทางไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า รวม 15 โครงการ และได้รายงานผลเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 พิจารณาแล้ว และที่ประชุมได้มีมติดังนี้
(1) ด้วยประชาชนโดยรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าของ บริษัท ทีพีเค สตาร์ช จำกัด (RFP 00040) อ.หนองบุนนาก จ.นครราชสีมา ยังมีข้อกังวลในระดับสูงเกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดจากการดำเนินกิจการของบริษัทฯ ดังนั้นคณะกรรมการกองทุนฯ จึงเห็นควรให้บริษัทฯ จัดรับฟังความคิดเห็นของชุมชนอีกครั้ง แล้วรายงานผลต่อ สนพ. ภายในเดือนมีนาคม 2546 เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาใหม่ (ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้ดำเนินการตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้ให้ความเห็นไว้ จึงส่งผลให้ข้อเสนอของบริษัทฯ ไม่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือก)
(2) อนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,116,750,664.20 บาท ให้ กฟผ. เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 14 ราย ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา (บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายได้เสนอไว้ และผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 14 ราย ต้องดำเนินการตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดไว้ตามข้อ 3 (1) และ (2)
5. ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 14 ราย ได้มีหนังสือตอบยืนยันการดำเนินการตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนดไว้แล้ว และ สนพ. ได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยราชการแต่ละจังหวัดจัดตั้งคณะกรรมการไตรภาคีที่จะกำกับดูแลโรงไฟฟ้าขนาดเล็กทั้ง 14 รายดังกล่าว เสร็จเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2546 โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนาม
6. ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม 2546-วันที่ 9 มิถุนายน 2546 สนพ. ได้นำผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ เดินทางไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่รายงานผลเสนอต่อ สนพ. ที่เหลืออยู่อีก 8 โครงการสุดท้าย ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่
วันที่ | เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง |
27 มีนาคม 2546 | 1. บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (RFP 00010) | อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา |
27 มีนาคม 2546 | 2. บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (RFP 00011) | อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา |
27 มีนาคม 2546 | 3. บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (RFP 00012) | อ. พนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา |
21 เมษายน 2546 | 4. บริษัท กัลฟ์อิเล็คทริก จำกัด (มหาชน) (RFP 00019) | อ. ห้วยยอด จ. ตรัง |
30 เมษายน 2546 | 5. บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด (RFP 00031) | อ. วังม่วง จ. สระบุรี |
9 พฤษภาคม 2546 | 6. บริษํท น้ำตาลตะวันออก จำกัด (RFP 00067) | อ. วัฒนานคร จ. สระแก้ว |
13 พฤษภาคม 2546 | 7. บริษํท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด (RFP 00049) | อ. บางมูลนาก จ. พิจิตร |
9 มิถุนายน 2546 | 8. บริษํท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด (RFP 00050) | อ. พยุหะคีรี จ. นครสวรรค์ |
7. ภายหลังจากการเข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าครบทั้ง 8 โครงการแล้ว คณะผู้แทนกองทุนฯ ได้ประชุมร่วมกัน 2 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2546 และวันที่ 13 มิถุนายน 2546 เพื่อสรุปผลการร่วมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่นั้นๆ และจัดทำรายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ โดยสรุปได้ดังนี้
(1) ด้วยผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ ต.น้ำทรง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ที่มีต่อบริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด (RFP 00050) ปรากฏว่าไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ เนื่องจากประชาชนที่อยู่ใกล้บริเวณพื้นที่ก่อสร้างโรงไฟฟ้าในรัศมี 0-3 กิโลเมตร ยังมีข้อกังวลในระดับสูงมากเกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ที่อาจเกิดจากการดำเนินกิจการของบริษัทฯ โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทฯ จะถมพื้นที่ก่อสร้างให้สูงขึ้นมากกว่า 3 เมตร เพื่อให้พ้นจากระดับน้ำท่วมสูงสุด ซึ่งจะทำให้บริเวณพื้นที่รอบๆ โรงไฟฟ้ากลายเป็นแอ่งน้ำ ส่งผลให้พื้นที่ดังกล่าวที่มีน้ำท่วมเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว น้ำจะท่วมเร็วขึ้นหากการระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นประชาชนในพื้นที่ ต.น้ำทรง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ ได้มีข้อคิดเห็นที่แบ่งเป็น 2 กลุ่ม อย่างชัดเจน คือกลุ่มที่เห็นด้วยกับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ทราบว่า บริษัทฯ ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจและยอมรับโครงการฯ ได้ตามที่กองทุนฯ กำหนดเงื่อนไขไว้ ประกอบกับระยะเวลาที่กองทุนฯ กำหนดให้ผู้ยื่นข้อเสนอดำเนินการรับฟังความเห็นจากพื้นที่ได้สิ้นสุดลงแล้ว ในเดือนมีนาคม 2546 ด้วยเหตุผลดังกล่าวคณะผู้แทนกองทุนฯ จึงมีมติไม่ควรอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้กับโครงการฯ RFP 00050
(2) ให้ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นควรให้ สนพ. รายงานผลการร่วมรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ประกอบการตัดสินใจอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ให้การสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก รวม 7 โครงการ คิดเป็นพลังไฟฟ้าที่เสนอขายทั้งสิ้น 69.2 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินที่ขอสนับสนุนประมาณ 410.3 ล้านบาท ดังมีรายชื่อต่อไปนี้
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้า เฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) |
|
(1) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | อ. ห้วยยอด จ. ตรัง | เศษไม้ยางพารา กะลาปาล์ม | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 | |
(2) บริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด | อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร | แกลบ | 20.0 | 0.169 | 118,435,200.00 | |
(3) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด | อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา | แกลบ | 1.6 | 0.1812 | 12,037,478.40 | |
(4) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด | อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ กะลาปาล์ม | 2.0 | 0.181 | 15,030,240.00 | |
(5) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด | อ. พนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ | 16 | 0.183 | 119,111,040.00 | |
(6) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด | อ. วังม่วง จ. สระบุรี | ชานอ้อย | 4.0 | 0.140 | 9,979,200.00 | |
(7) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด | อ. วัฒนานคร จ. สระแก้ว | ชานอ้อย | 5.6 | 0.120 | 9,630,720.00 | |
รวม 7 โครงการ | 69.2 | 410,367,878.40 |
8. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติมถึงกรณีที่โครงการโรงไฟฟ้าห้วยยอด ต.ลำภูรา จ.ตรัง ของบริษัท กัลฟ์ อิเล็คทริก จำกัด (RFP 00019) ผ่านการพิจารณาของผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ซึ่งเป็นโครงการที่มีข่าวสารเผยแพร่สู่สาธารณะบ่อยครั้ง จึงเป็นที่สนใจของบุคคลทั่วไป
โครงการนี้เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่อยู่ระหว่างจะการดำเนินการก่อสร้าง จากผลการสำรวจทัศนคติประชาชน 1,002 คน โดยรอบพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้า พบว่า 81.9% ยอมรับโครงการฯ และ ณ วันที่ผู้แทนคณะกรรมกองทุนฯ ได้เข้าไปในพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าฯ มีข้อสังเกตว่าโรงไฟฟ้าฯ จะไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง เว้นแต่ข้อกังวลเรื่องความเพียงพอของการใช้น้ำจากแม่น้ำตรัง และการจัดการขี้เถ้าที่เกิดจากการเผาเศษไม้ยางพารา ผู้แทนคณะกรรมการกองทุนฯ จึงเห็นควรอนุมัติเงินสนับสนุนแก่บริษัทฯ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
(1) บริษัทฯ ต้องชี้แจงความเพียงพอของการใช้น้ำจากแม่น้ำตรัง โดยมีข้อมูลปริมาณน้ำในเดือนที่น้ำน้อยที่สุดเพื่อเปรียบเทียบกับความต้องการใช้น้ำของบริษัทฯ และมาตรการป้องกันผลกระทบจากโรงไฟฟ้าต่อแหล่งน้ำสาธารณะ
(2) บริษัทฯ ต้องยินยอมให้คณะกรมการไตรภาคีเข้าไปดูแลในขั้นตอนการขุดบ่อเก็บเถ้าที่เกิดจากการเผาเศษไม้ยางพาราและกะลาปาล์ม โดยเฉพาะในช่วงของการปูแผ่นยางรองพื้นหลุมฝังกลบ เพื่อดูแลให้การดำเนินการเป็นไปตามข้อแนะนำของกรมควบคุมมลพิษ ป้องกันการปนเปื้อนน้ำใต้ดิน
(3) บริษัทฯ ต้องชี้แจงถึงความเพียงพอในการจัดหาเชื้อเพลิง มาตรการแก้ไขปัญหาการลำเลียงเชื้อเพลิงป้อนโรงไฟฟ้า และความชื้นที่สูงของเชื้อเพลิงในช่วงฤดูฝน
(4) บริษัทฯ ต้องดำเนินงานมวลชนสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์โครงการฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ชุมชนในส่วนที่ยังไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ
9. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องต่อเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ผ่านมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 กรณีที่ สนพ. จะขอจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งให้ กฟผ. สำหรับนำไปเตรียมชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับกรมสรรพากรตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก และเมื่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาแล้วได้มีข้อคิดเห็นว่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ปรากฏใน "ใบเรียกเก็บเงินสนับสนุน" ซึ่งไม่ได้ปรากฏใน "ใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า" นั้น กฟผ. สามารถนำไปใช้ประกอบการคำนวณภาษี (ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ) ในแต่ละเดือนได้ ในคราวนั้นที่ระชุมเห็นควรให้ สนพ. หารือกับกรมสรรพากรเพื่อทราบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดเก็บเงินภาษีดังกล่าว
เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2546 สนพ. ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร โดยได้รับการชี้แจงว่าการจัดเก็บเงินภาษีมูลค่าเพิ่มตามกรณีดังกล่าวเป็นการดำเนินการตามประมวลรัษฎากร สำหรับการที่ กฟผ. จะนำรายการดังกล่าวไปใช้ประกอบการคำนวณภาษี ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร นั้นขึ้นอยู่กับวิธีจัดการและข้อตกลงระหว่าง กองทุนฯ กับ กฟผ. ดังนั้น สนพ. จึงได้ประชุมหารือประเด็นดังกล่าวกับผู้แทนของ กฟผ. เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2546 และได้รับการยืนยันว่าตามแนวทางปฏิบัติที่ได้ใช้อยู่ในปัจจุบัน กฟผ. จะไม่นำภาษีซื้อดังกล่าวมาคำนวณ เนื่องจากมิได้มาจากการประกอบการโดยตรงของ กฟผ. และกฟผ. จะนำใบกำกับภาษีฉบับต้นฉบับที่ได้รับจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กส่งให้แก่กองทุนฯ เพื่อเป็นหลักฐานในการใช้จ่ายเงิน
สนพ. จึงเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ให้ กฟผ. สำหรับนำไปชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนราคารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทุกรายที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ รวมเป็นเวลา 5 ปีด้วย
10. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 ได้เห็นชอบให้ สนพ. ใช้เงินจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ในวงเงิน 3 แสนบาทต่อคณะ เป็นระยะเวลา 5 ปี แต่เนื่องจากพื้นที่ตั้งโรงไฟฟ้าบางแห่ง (เช่น บริษัท ไฟฟ้าชนบท จำกัด อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี) มีพื้นที่ครอบคลุมในหลายตำบล หลายจังหวัด จำเป็นต้องมีผู้แทนชุมชนเข้ามาร่วมในคณะกรรมการไตรภาคีเกินจำนวนที่ได้ประมาณไว้ สนพ. จึงจำเป็นต้องขอเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ภายในวงเงิน 5 แสนบาทต่อคณะ โดย สนพ. จะจัดทำรายละเอียดประมาณการรายจ่ายและแผนการใช้จ่ายเงินดังกล่าว เสนอ ผู้อำนวยการ สนพ. พิจารณาอนุมัติต่อไป และจะรายงานเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบอย่างต่อเนื่อง
11. เนื่องจาก สนพ. ต้องจ้างที่ปรึกษาอิสระ (Third Party) เพื่อเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม พร้อมทั้งจัดทำรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม เสนอต่อคณะกรรมการไตรภาคี ทุกๆ 3 เดือน ตลอดระยะเวลา 5 ปี ของการสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ ซึ่ง สนพ. จะขอสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจ้างที่ปรึกษาอิสระ ในวงเงิน 800,000 บาทต่อคณะต่อปี
มติที่ประชุม
1. มีมติให้ข้อเสนอของบริษัท เอ.ที. ไบโอพาวเวอร์ จำกัด ที่จะตั้งโรงผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กขึ้นบริเวณพื้นที่ ต.น้ำทรง อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ (RFP 00050) ไม่ผ่านการพิจารณาและไม่ได้รับจัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เนื่องจากบริษัทฯ ยังไม่สามารถทำให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจและยอมรับโครงการฯ ได้ตามที่กองทุนฯ กำหนดเงื่อนไขไว้
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 118,435,200.00 บาท (หนึ่งร้อยสิบแปดล้านสี่แสนสามหมื่นห้าพันสองร้อยบาท) ให้ กฟผ. เพื่อนำไปจ่ายให้กับ บริษัท เอ.ที. ไบโอพาวเวอร์ จำกัด อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร (RFP 00049) ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกองทุนฯ และทำสัญญากับ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเรียบร้อยแล้ว ตามหน่วยไฟฟ้าที่บริษัทฯ จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา 0.169 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่บริษัทฯ เริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
3. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ประสานงานกับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กจำนวน 6 โครงการ เพื่อให้จัดทำข้อมูลด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีรายละเอียดเพียงพอต่อการพิจารณาตัดสินใจ และให้ สนพ. รายงานต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง ดังนี้
(1) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา (RFP 00010)
(2) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา (RFP 00011)
(3) บริษัท ไทย เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ. พนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา (RFP 00012)
(4) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) อ.ห้วยยอด จ. ตรัง (RFP 00019)
(5) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด อ. วังม่วง จ. สระบุรี (RFP 00031)
(6) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด อ.วัฒนานคร จ. สระแก้ว (RFP 00067)
4. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 86,463,010.49 บาท (แปดสิบหกล้านสี่แสนหกหมื่นสามพันสิบบาทสี่สิบเก้าสตางค์) ให้ กฟผ. เพื่อนำไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กจำนวน 15 ราย ที่ได้รับการอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ได้แก่
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้า เฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) |
(1) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | อ.เมือง จ.ยะลา | เศษไม้ | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 |
(2) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี | พลังน้ำขนาดเล็ก | 8.0 | 0.200 | 46,920,000.00 |
(3) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |
เขื่อนคลองท่าด่าน อ.เมือง จ.นครนายก | พลังน้ำขนาดเล็ก | 10.0 | 0.200 | 31,420,000.00 |
(4) บริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย |
เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท | พลังน้ำขนาดเล็ก | 14.0 | 0.200 | 91,420,000.00 |
(5) บริษัท พี อาร์ จี พืชผล จำกัด | อ.เมือง จ.ปทุมธานี | แกลบ | 5.0 | 0.219 | 43,099,200.00 |
(6) บริษัท น้ำตาลมิตรผล จำกัด | อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี | ชานอ้อย เปลือกไม้ แกลบ | 25.0 | 0.145 | 120,649,796.20 |
(7) บริษัท น้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด | อ.กุฉินารายณ์ จ.กาฬสินธุ์ | ชานอ้อย เปลือกไม้ | 5.1 | 0.145 | 35,858,268.00 |
(8) บริษัท น้ำตาลราชสีมา จำกัด | อ.แก้งสนามนาง จ.นครราชสีมา | ชานอ้อย | 18.0 | 0.140 | 73,290,000.00 |
(9) บริษัท แอ็ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) | อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี | แกลบ เปลือกไม้ | 30.0 | 0.180 | 226,281,600.00 |
(10) บริษัท เอ เอ พัลพ์ มิลล์ 2 จำกัด | อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี | น้ำมันยางดำ | 25.0 | 0.184 | 192,542,880.00 |
(11) บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด | อ.พิมาย จ.นครราชสีมา | ชานอ้อย | 8.0 | 0.180 | 28,487,520.00 |
(12) บริษัท ไฟฟ้าชนบท จำกัด | อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี | แกลบ | 15.0 | 0.150 | 74,583,000.00 |
(13) บริษัท น้ำตาลรีไฟน์ชัยมงคล จำกัด | อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี | ชานอ้อย | 7.0 | 0.140 | 15,758,400.00 |
(14) บริษัท ไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จำกัด | อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ | ชานอ้อย | 4.0 | 0.130 | 10,296,000.0 |
(15) บริษัท เอ.ที.ไบโอพาวเวอร์ จำกัด | อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร | แกลบ | 20.0 | 0.169 | 118,435,200.000 |
รวมทั้ง 15 โครงการ | 214.10 | 1,235,185.864.20 |
5. อนุมัติให้ สนพ. ใช้เงินจากจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ในวงเงินรวม 67,500,000 บาท (หกสิบเจ็ดล้านห้าแสนบาท) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี 15 คณะ ที่จะติดตามการดำเนินกิจการของโรงผลิตไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่ที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ดังรายชื่อที่ปรากฏในตารางตามมติที่ประชุมข้อ 4 โดยค่าใช้จ่ายประกอบด้วย
(1) ค่าตอบแทน ค่าใช้สอยและค่าวัสดุ ในการจัดประชุมคณะกรรมการไตรภาคี 15 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 100,000 บาทต่อคณะต่อปี) |
7,500,000 บาท |
(2) ค่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ของคณะกรรมการไตรภาคี 15 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 800,000 บาทต่อคณะต่อปี) |
60,000,000 บาท |
รวมเป็นเงินจำนวน | 67,500,000 บาท |
6. ให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดพร้อมทั้งแผนการใช้จ่ายเงิน ตามมติที่ประชุมข้อ 5 เสนอต่อผู้อำนวยการ สนพ. อนุมัติเป็นรายปี และรายงานความเป็นไปได้ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 4 ขออนุมัติเงินสนับสนุนชุดโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 2/2546 (ครั้งที่ 34) เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2546 ได้พิจารณาข้อเสนอของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และกรุงเทพมหานคร ที่ได้ยื่นข้อเสนอไว้กับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพื่อขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งเพิ่มมากขึ้น จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย
(1) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV ระยะที่ 2 จำนวน 3,000 คัน เสนอโดย ปตท.
(2) โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ เสนอโดย ปตท.
(3) โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เสนอโดย กทม.
ในครั้งนั้นคณะกรรมการกองทุนฯ มีความเห็นว่าเพื่อให้การดำเนินการส่งเสริมการใช้ NGV ของประเทศเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและเหมาะสม ที่ประชุมเห็นควรให้ ปตท. ประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น ขสมก. เพื่อร่วมกันจัดทำกิจกรรมและโครงการที่จะก่อให้เกิดการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งเพิ่มมากขึ้น แล้วรวบรวมเป็นชุดโครงการ (NGV Package) แล้วนำกลับมาเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
2. ปตท. พร้อมด้วย กทม. ขสมก. และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) ได้ร่วมกันจัดทำ NGV Package ที่จะดำเนินกิจกรรมร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งเพิ่มมากขึ้น และได้ยื่นข้อเสนอไว้กับ สนพ. เพื่อขอสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรม รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 1,631 ล้านบาท ดังนี้
ชื่อกิจกรรม/โครงการ | หน่วยงาน | งบประมาณโครงการฯ (ล้านบาท) | |
กองทุนฯ | หน่วยงาน | ||
(1) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 3,000 คัน | ปตท. (ธ.ออมสิน) |
6.6 | 45.0 (105.0) |
(2) โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 7,000 คัน | ปตท. | 21.8 | 350.0 |
(3) โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ จำนวน 57 สถานี | ปตท. | 693.0 | 1,616.0 |
(4) โครงการประเมินผลและปรับปรุงชุดอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติแบบเชื้อเพลิงทวิ สำหรับรถยนต์เบนซิน จำนวน 3 รุ่น |
ปตท. | 3.4 | 10.625 |
(5) โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 69 คัน |
กทม. | 160.0 | 84.0 |
(6) โครงการปรับปรุง/ซ่อมแซมเครื่องยนต์รถโดยสาร NGV ยี่ห้อ MAN จำนวน 44 คัน | ขสมก. | 50.7 | 173.9 |
(7) โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง 109 คัน | ขสมก. | 690.0 | 615.5 |
(8) โครงการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาปรับเปลี่ยนรถโดยสารใช้น้ำมันดีเซล จำนวน 3 คัน ให้เป็นรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติ |
มก. | 5.0 | - |
รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น | 1,630.5 | 3,000.025 |
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบเพิ่มเติมว่า ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในการส่งเสริมให้เกิดการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่มากขึ้น และได้เสนอแผนงาน "โครงการแท็กซี่เอื้ออาทร" ต่อรัฐบาล โดยธนาคารฯ จะให้สินเชื่อรายย่อยแก่ผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ ในวงเงิน 700,000 บาท/คัน ภายในระยะเวลา 5 ปี เพื่อใช้ในการจัดซื้อรถแท็กซี่ใหม่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง (รถแท็กซี่ NGV) ระบบเชื้อเพลิงทวิ (Bi-fuel Engine) จำนวน 100,000 คัน เพื่อทดแทนรถแท็กซี่รุ่นเก่าที่หมดอายุการใช้งาน ทั้งนี้ ธนาคารฯ มีเป้าหมายในการปล่อยสินเชื่อในปีแรก เป็นจำนวน 30,000 คัน และในปีที่ 2 ถึงปีที่ 5 จะปล่อยสินเชื่อจำนวน 17,500 คันต่อปี โดยธนาคารฯ จะเรียกเก็บเงินจากผู้กู้เป็นแบบรายวันเท่ากับค่าเช่าแท็กซี่รายวันในปัจจุบัน หรือประมาณ 500-600 บาท/วัน โดยโครงการนี้ยังคงอยู่ในระหว่างการจัดทำการแผนปฏิบัติการ (Implementation Plan) ซึ่งคาดว่ารถแท็กซี่เอื้ออาทรคันแรกจะเริ่มออกสู่ตลาดภายในเดือนกรกฎาคม 2546
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 3,000 คัน" ในวงเงินรวมไม่เกิน 6,562,000 บาท (หกล้านห้าแสนหกหมื่นสองพันบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการแท็กซี่อาสาสมัครใช้ก๊าซ NGV จำนวน 7,000 คัน" ในวงเงินรวมไม่เกิน 21,875,000 บาท (ยี่สิบเอ็ดล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน)
3. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน ให้กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง" ในวงเงินรวม 160,000,000 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ กทม. ต้องจัดทำแผนการเพิ่มจำนวนรถเก็บขนมูลฝอยที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในระยะต่อไป ภายหลังจาก กทม. ได้ทราบผลการดำเนินงานจากโครงการฯ ระยะสาธิตนี้แล้วด้วย
4. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการประเมินผลและปรับปรุงชุดอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติแบบเชื้อเพลิงทวิสำหรับรถยนต์เบนซิน" ในวงเงินรวม 3,400,000 บาท (สามล้านสี่แสนบาทถ้วน)
5. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการศึกษา วิจัยและพัฒนา ให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการปรับเปลี่ยนรถโดยสารใช้น้ำมันดีเซลเป็นรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติ" ในวงเงินรวม 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน)
5. ไม่อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ" เนื่องจากกองทุนฯ ควรให้การสนับสนุนเฉพาะในส่วนของการกระตุ้นและการส่งเสริมให้เกิดการสร้างตลาดรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง แต่ในส่วนของการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง เช่นการก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาตินั้น ปตท. ควรเป็นผู้รับผิดชอบเองทั้งหมด เนื่องจาก ปตท. จะเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากการใช้ก๊าซธรรมชาติ
6. ไม่อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการปรับปรุง/ซ่อมแซมเครื่องยนต์รถโดยสาร NGV" และ "โครงการจัดซื้อรถโดยสารใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง" เนื่องจาก ปัจจุบัน ขสมก. กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรภายใน ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการโครงการฯ และอาจส่งผลให้การดำเนินงานของโครงการฯ ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่คาดหวังไว้ แต่ทั้งนี้หาก ขสมก. ได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถเสนอโครงการเข้ามาเพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ใหม่ได้
7. ให้เจ้าของข้อเสนอที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปรับปรุงแก้ไขข้อเสนอให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีความเห็นไว้ให้เรียบร้อย ก่อนลงนามในสัญญาหรือหนังสือยืนยันการให้ทุนสนับสนุนจากกองทุนฯ โดยให้ สนพ. พิจารณาเห็นชอบในการปรับปรุงข้อเสนอให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบไว้ โดยไม่ต้องนำกลับมาให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีก
เรื่องที่ 5 การนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้ารายได้แผ่นดิน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ด้วยกระทรวงการคลังได้มีหนังสือลงวันที่ 15 ตุลาคม 2544 แจ้งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเงินทุนหมุนเวียนส่งเข้ารายได้แผ่นดิน ประเภทรายได้เบ็ดเตล็ด ภายในวันที่ 30 กันยายน 2544 รวม 2 กองทุน ดังนี้
(1) กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 1,000 ล้านบาท
(2) กองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม จำนวน 100 ล้านบาท
2. ด้วยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวข้างต้น มีพระราชบัญญัติ ระเบียบ ที่มาและวัตถุประสงค์ของการใช้จ่ายเงินกำหนดไว้เป็นเรื่องเฉพาะ และไม่อยู่ในอำนาจของ สนพ. ที่จะดำเนินการได้ เว้นแต่จะมีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสียก่อน สนพ. จึงได้มีหนังสือลงวันที่ 31 ตุลาคม 2544 เพื่อแจ้งขอระงับการนำส่งเข้ารายได้แผ่นดินตามหนังสือสั่งการดังกล่าวไว้ก่อน
3. กระทรวงการคลังได้มีหนังสือลงวันที่ 3 มิถุนายน 2545 แจ้งให้ สนพ. พิจารณาดำเนินการดังนี้
(1) ตามกฎหมายจัดตั้ง "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ไม่ได้บัญญัติยกเว้นให้ไม่ต้องนำส่งเข้ารายได้แผ่นดิน ดังนั้น อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 13 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดข้อบังคับว่าด้วยการนำทุนหรือผลกำไรส่งเข้าเงินคงคลังได้
(2) ตามระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยการบริหารกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม พ.ศ. 2535 ข้อ 15 กำหนดว่า "ในกรณีที่ปรากฏว่ากองทุนมีเงินเหลือเกินความจำเป็นให้กระทรวงการคลังพิจารณานำเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เพื่อพิจารณานำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่เห็นสมควร"
(3) จากการพิจารณายอดเงินคงเหลือ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2545 ของทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวแล้วเห็นว่า มีเงินคงเหลือเพียงพอที่จะนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินได้ กระทรวงการคลังจึงขอให้ สนพ. ดำเนินการ ดังนี้
นำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้ารายได้แผ่นดินเป็นรายเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน 2545 รวม 4 เดือนๆ ละ 250 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท
นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติให้นำเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมส่งเข้ารายได้แผ่นดินเป็นรายเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน 2545 รวม 4 เดือนๆ ละ 25 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 100 ล้านบาท
4. "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนและใช้จ่ายช่วยเหลือหรืออุดหนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน การป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลังงาน ตลอดจนการค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับพลังงาน การกำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงาน หรือผลิตเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงหรือวัสดุเพื่อใช้ในการอนุรักษ์พลังงาน โดยมีกระทรวงการคลังเป็นผู้เก็บรักษาเงินและทรัพย์สินของกองทุนและดำเนินการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เพื่อวัตถุประสงค์ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
5. ในช่วงปี 2538-2545 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ช่วยเหลือหรืออุดหนุนโครงการต่างๆ ตามแผนภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ไปแล้วหลายรายการ ซึ่ง ณ เดือนมีนาคม 2546 ยังคงเหลืองบผูกพันจ่ายอีก 4,741.79 ล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับแผนงานและโครงการในช่วงปีงบประมาณ 2543-2546 ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 14,033.46 ล้านบาท โดยคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ช่วยเหลือหรืออุดหนุนแผนงานต่างๆ ไปแล้วรวมเป็นเงิน 3,318.90 ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่เป็นค่าใช้จ่ายตามกรอบที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในช่วงปีงบประมาณ 2546-2547 เป็นเงิน 10,714.56 ล้านบาท
มติที่ประชุม
มอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงานหารือกับปลัดกระทรวงการคลังตามคำแนะนำของประธานฯ และเมื่อทราบผลการหารือแล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ ในโอกาสต่อไป
1. ปลัดกระทรวงพลังงานได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการดำเนินกิจการของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เมื่อเดือนมีนาคม 2546 และเดือนเมษายน 2546 และได้มอบนโยบายให้กระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตามแนวนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนากิจการพลังงานของประเทศไทยในอนาคต และให้เร่งดำเนินการแปรรูปรัฐวิสากิจสาขาไฟฟ้า ทั้ง 3 การไฟฟ้า ให้สำเร็จลงภายในปี 2547 โดยกระทรวงพลังงานจะดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนากิจการพลังงานของประเทศไทย ดังนี้
1.1 นโยบายการลงทุนในกิจการไฟฟ้า
(1) ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Energy Grid)
(2) กฟผ. ดำเนินการลงทุนในโครงการเขื่อนสาละวินชายแดนไทย-พม่า สอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าของประเทศ สำหรับการลงทุนในลุ่มน้ำสาละวิน ส่งเสริมความร่วมมือการร่วมลงทุนกับประเทศในกลุ่ม ASEAN เพื่อก่อให้เกิดข้อตกลงภายในกลุ่ม
(3) กฟผ. คงสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 30
(4) ยุติระบบการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนรายใหม่ โดยให้ กฟผ. เป็นผู้พิจารณาดำเนินการผลิตไฟฟ้าจากโรงงานที่มีอยู่ หรือดำเนินโครงการใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้ารับภาระค่าไฟฟ้าในอัตราที่เป็นธรรม
1.2 นโยบายการปรับปรุงประสิทธิภาพของ 3 การไฟฟ้า
(1) เปรียบเทียบประสิทธิภาพของธุรกิจแต่ละด้านของทั้ง 3 การไฟฟ้า กับมาตรฐานของอุตสาหกรรม (Benchmarking) เพื่อให้มีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
(2) หาแนวทางลดความต้องการใช้ไฟฟ้าช่วงสูงสุด (Peak) เช่น โครงการ Energy Saving เป็นต้น เพื่อช่วยประหยัดการลงทุนของประเทศ
(3) สร้างระบบแรงจูงใจ (Incentive) ในการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้า เพื่อให้โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งแข่งขันกันผลิตไฟฟ้าให้ได้ต้นทุนต่ำที่สุด
1.3 นโยบายการแปรรูปของ 3 การไฟฟ้า
(1) ชะลอการจัดตั้งตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้า (Power Pool)
(2) แปลงสภาพ กฟผ. เป็นบริษัทมหาชนทั้งองค์กร
(3) นำหุ้นของ กฟผ. เข้าจดทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยภาครัฐยังคงถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวไม่น้อยกว่าร้อยละ 50
1.4 นโยบายอื่นๆ
(1) ศึกษาการใช้ Energy Tax โดยให้ชุมชนที่เป็นที่ตั้งโรงไฟฟ้าได้รับเงินสนับสนุนตามปริมาณการผลิตไฟฟ้า
(2) พิจารณาทบทวนโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าให้เหมาะสม เพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งรวมถึงความเหมาะสมในการจัดการ Subsidize ของ กฟน. ให้แก่ กฟภ. ซึ่งต้องหารือร่วมกับ กฟผ. ด้วย
(3) ศึกษาระบบของ Partial Liberalization ที่ กฟผ. ขายไฟฟ้าตรงให้กับอุตสาหกรรมบางอุตสาหกรรมที่ไม่เท่าเทียมกันและในบางส่วนรับซื้อจาก กฟภ. รวมถึงการสร้างการ Subsidize อัตราค่าไฟฟ้าจากภาคอุตสาหกรรมไปสู่ภาคครัวเรือน
2. การดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้เกิดผลสัมฤทธิ์ จำเป็นที่จะต้องมีการศึกษารายละเอียดในประเด็นต่างๆ เพื่อนำไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม สอดคล้องกับภาวะการณ์ของประเทศในปัจจุบัน ครอบคลุมถึงประเด็นที่ยังเป็นปัญหา มีความชัดเจนในการปฏิบัติ โดยเป็นที่ยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และบรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ผู้บริโภคมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ ในราคาที่เหมาะสม คุณภาพบริการที่ดี อันจะนำมาซึ่งการใช้พลังงานอย่างรู้ค่า ประหยัด และเกิดการอนุรักษ์พลังงานอย่างจริงจังในที่สุด แต่เนื่องด้วยกระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานใหม่ที่ยังมิได้จัดทำงบประมาณในส่วนนี้ไว้ จึงจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อดำเนินการจัดจ้างที่ปรึกษาดังกล่าว กระทรวงพลังงานจึงได้นำเรียนต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบ และกระทรวงพลังงานจักได้จัดทำรายละเอียดและขอบเขตงานจ้างที่ปรึกษา เสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
3. ที่ประชุมได้รับทราบเรื่องดังกล่าว โดยนายพรายพล คุ้มทรัพย์ ได้ให้คำแนะนำว่า เนื่องจากเนื้อหาของโครงการฯ ที่กระทรวงพลังงานจะทำการศึกษานั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านไฟฟ้าทั้งสิ้น จึงควรจะเปลี่ยนชื่อของโครงการฯ เป็น "ยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนากิจการไฟฟ้าของประเทศไทย"
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
กอ. ครั้งที่ 36 - วันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2546
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 36)
วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมธำรงนาวาสวัสดิ์ ชั้น 3
อาคารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานฐานะเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
2. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
6. มอบอำนาจในการพิจารณาขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนหลังสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) กรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
เรื่องที่ 1 รายงานฐานะเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ซึ่งได้มีการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ประจำไตรมาสที่ 3 ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2546 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2546 มีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546 เป็นเงิน 11,084,789,080.14 บาท
2. เงินกองทุนฯ ตามประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่ ปี 2543 ถึง ปี 2547 เป็นจำนวน 29,110.61 ล้านบาท คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาอนุมัติโครงการแล้ว จำนวน 20,356.85 ล้านบาท มีเงินคงเหลืออีก 8,753.76 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 แผนงาน ได้แก่ แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน สรุปได้ดังนี้
(1) แผนงานภาคบังคับ โดย พพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายสำหรับโครงการต่างๆ รวม 4 โครงการ ได้แก่ โครงการอาคารของรัฐ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างการออกแบบหรือก่อสร้าง โครงการประชาสัมพันธ์ ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติเป็นจำนวน 8,906.80 ล้านบาท และได้ดำเนินการเบิกจ่าย ผูกพันและคาดว่าจะผูกพัน ไปแล้วจำนวน 8,764.01 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 142.79 ล้านบาท
(2) แผนงานภาคความร่วมมือ โดย สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการต่างๆ รวม 5 โครงการ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน โครงการศึกษาวิจัยและพัฒนา โครงการโรงงานและอาคารทั่วไปที่กำลังใช้งาน ภายในวงเงินที่ได้รับอนุมัติเป็นจำนวน 4,325.69 ล้านบาท และได้ดำเนินการเบิกจ่ายและผูกพันไปแล้วจำนวน 3,653.40 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 672.29 ล้านบาท
(3) แผนงานสนับสนุน โดย สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบบริหารการใช้จ่ายเงินสำหรับโครงการพัฒนาบุคลากร โครงการประชาสัมพันธ์ และโครงการบริหารงานตามกฎหมาย เป็นจำนวน 7,124.36 ล้านบาท ดำเนินการเบิกจ่ายและผูกพันไปแล้ว จำนวน 5,700.75 ล้านบาท คงเหลือจำนวน 1,423.02 ล้านบาท
(4) สรุปฐานะเงินกองทุนฯ ตั้งแต่ปี 2543 - 2547
หน่วย : ล้านบาท
รายการ | อนุมัติกรอบ | อนุมัติ | จ่ายจริง +ผูกพัน +คาดว่าจะผูกพัน |
คงเหลือ |
แผนงานภาคบังคับ* | 17,021.30 | 8,906.80 | 8,764.01 | 142.79 |
แผนงานภาคความร่วมมือ | 6,422.00 | 4,325.69 | 3,653.40 | 672.29 |
แผนงานสนับสนุน** | 5,667.31 | 7,124.36 | 5,700.75 | 1,423.02 |
รวม | 29,110.61 | 20,356.85 | 18,118.16 | 2,238.10 |
หมายเหตุ
* พพ. คาดว่าจะผูกพันเป็นจำนวน 6,084.11 ล้านบาท
** พพ. มีประมาณการคาดว่าจะผูกพัน จำนวน 634.59 ล้านบาท
3. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ได้ให้ข้อสังเกตว่า การรายงาน การรับ-จ่ายเงิน ควรมีรูปแบบที่มีรายละเอียดของแต่ละโครงการ ของแต่ละแผนงานให้ชัดเจนว่าได้รับอนุมัติเงินจากองทุนฯ ตามมติเท่าใด เบิกจ่ายเท่าใด ผูกพันเท่าใด คงเหลือเท่าใด เพื่อคณะกรรมการกองทุนฯ จะได้รับทราบถึงฐานะการเงินของกองทุนฯ และใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้สนับสนุนโครงการต่างๆ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบและให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับรูปแบบของรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ให้มีรายละเอียดการใช้จ่ายเงินของแต่ละโครงการที่ชัดเจน ตามข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เรื่องที่ 2 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ได้พิจารณาข้อเสนอของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 6 โครงการ ที่ได้ยื่นข้อเสนอขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน โดยที่ประชุมได้มีมติให้ สนพ. จัดทำข้อมูลด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 6 โครงการ ที่มีรายละเอียดเพียงพอต่อการพิจารณาตัดสินใจ แล้วเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง โดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก 6 รายมีรายชื่อดังต่อไปนี้
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บาท) |
|
(1) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางปะกง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ | 1.6 | 0.1812 | 12,037,478.80 | |
(2) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ กะลาปาล์ม | 2.0 | 0.181 | 15,030,240.00 | |
(3) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสาราคาม จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ | 16.0 | 0.183 | 119,111,040.00 | |
(4) บริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) | ต.ลำภูรา อ.ห้วยยอด จ.ตรัง | เศษไม้ยางพารา กะลาปาล์ม | 20.0 | 0.180 | 126,144,000.00 | |
(5) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด | ต.คำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี | ชานอ้อย | 4.0 | 0.140 | 9,979,200.00 | |
(6) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด | ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว | ชานอ้อย |
5.6 |
0.120 | 9,630,720.00 |
2. ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กทั้ง 6 ราย ได้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ สนพ. เรียบร้อยแล้ว และสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของแต่ละรายโดยเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ได้ดังนี้
(1) โรงไฟฟ้าของบริษัท กัลฟ์อิเล็คตริก จำกัด (มหาชน) อ.ห้วยยอด จ.ตรัง (RFP 00019) เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ และ "เข้า" เกณฑ์ต้องทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) แต่รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. ยังไม่ได้รับการเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
(2) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00012) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิตจน "เข้า" เกณฑ์ต้องทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นรายงาน EIA เดือนกรกฎาคม 2545 ถึง มิถุนายน 2546 ได้รับการเห็นชอบจาก สผ. แล้ว
(3) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00010) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
(4) โรงไฟฟ้าของบริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา (RFP 00011) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด
(5) โรงไฟฟ้าของบริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด อ.วังม่วง จ.สระบุรี (RFP 00031) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด ประกอบกับจากการสอบถามประชาชนในพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานงานโครงการฯ ของสนพ. ได้รับการยืนยันว่าหลังจากบริษัทฯ ปรับปรุงบ่อน้ำทิ้งแล้วก็ไม่พบปัญหาน้ำล้นจากระบบในฤดูการผลิตที่ผ่านมา
(6) โรงไฟฟ้าของบริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว (RFP 00067) เป็นโรงไฟฟ้าที่มีการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต แต่ "ไม่เข้า" เกณฑ์ต้องจัดทำรายงาน EIA รายงานที่จัดส่งให้ สนพ. เป็นผลการวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมทั้งก่อนและหลังการขยาย/ปรับปรุงกำลังการผลิต ปรากฏว่าคุณภาพน้ำในบ่อน้ำทิ้งมีค่าสูงเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดมาก จากการสอบถามประชาชนในพื้นที่โดยเจ้าหน้าที่ของศูนย์ประสานงานโครงการฯ ของ สนพ. ได้รับข้อมูลว่า ในอดีตที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่มีน้ำหลากมาก บริษัทฯ จะปล่อยน้ำทิ้งออกจากโรงงาน แต่ในปี 2546 บริษัทฯ เพิ่งทำการปรับปรุงบ่อน้ำทิ้งและระบบบำบัดเสร็จสมบูรณ์ จึงยังไม่มีข้อมูลรองรับว่าบริษัทฯ จะไม่มีการระบายน้ำทิ้งออกไปสู่สิ่งแวดล้อมอีกในช่วงที่น้ำมาก
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพิ่มเติม ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 165,788,678.40 บาท (หนึ่งร้อยหกสิบห้าล้านเจ็ดแสนแปดหมื่นแปดพันหกร้อยเจ็ดสิบแปดบาทสี่สิบสตางค์) เพื่อนำไปจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 5 โครงการ ที่ทำสัญญากับ กฟผ. ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กเรียบร้อยแล้ว ตามหน่วยไฟฟ้าที่จำหน่ายให้ กฟผ. ในอัตรา (บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละรายได้เสนอไว้ โดยกองทุนฯ จะสนับสนุนผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละราย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กเริ่มต้นขายและส่งมอบไฟฟ้าให้แก่ กฟผ. ตามปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โดยผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก จำนวน 5 โครงการ มีรายชื่อดังต่อไปนี้
เจ้าของโครงการ | สถานที่ตั้ง | เชื้อเพลิง พลังงาน |
พลังไฟฟ้าเฉลี่ยเข้าระบบ (MW) |
อัตราขอรับเงินสนับสนุน (บาท/kwh) |
เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ (บาท) |
|
(1) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางปะกง อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ | 1.6 | 0.1812 | 12,037,478.80 | |
(2) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ กะลาปาล์ม | 2.0 | 0.181 | 15,030,240.00 | |
(3) บริษัท ไทยเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด | ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสาราคาม จ.ฉะเชิงเทรา | แกลบ เปลือกไม้ | 16.0 | 0.183 | 119,111,040.00 | |
(4) บริษัท น้ำตาลสระบุรี จำกัด | ต.คำพราน อ.วังม่วง จ.สระบุรี | ชานอ้อย | 4.0 | 0.140 | 9,979,200.00 | |
(5) บริษัท น้ำตาลตะวันออก จำกัด | ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว | ชานอ้อย | 5.6 | 0.120 | 9,630,720.00 | |
รวม 5 โครงการ | 165,788,678.80 |
2. อนุมัติเงินจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ให้ กฟผ. เพิ่มเติม ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 11,605,207.49 บาท (สิบเอ็ดล้านหกแสนห้าพันสองร้อยเจ็ดบาทสี่สิบเก้าสตางค์) เพื่อนำไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมูลค่ารายจ่ายที่เกิดจากการนำเงินกองทุนฯ ไปจ่ายสนับสนุนฯ ให้กับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กแต่ละราย รวมจำนวน 5 โครงการ ตามรายชื่อในข้อ 1 ของมติที่ประชุม
3. เห็นชอบให้ สนพ. ใช้เงินจากจากกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพิ่มเติม ในวงเงิน 22,500,000 บาท (ยี่สิบสองล้านห้าแสนบาทถ้วน) เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของคณะกรรมการไตรภาคี ที่ได้รับอนุมัติเพิ่มเติมอีก 5 คณะ ตามรายชื่อในข้อ 1 ของมติที่ประชุม โดยค่าใช้จ่ายประกอบด้วย
(1) ค่าตอบแทน ค่าใช้สอยและค่าวัสดุ ในการจัดประชุมคณะกรรมการไตรภาคี 5 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 100,000 บาทต่อคณะต่อปี) |
2,500,000 บาท |
(2) ค่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ของคณะกรรมการไตรภาคี 5 คณะ ตลอดระยะเวลา 5 ปี (ประมาณ 800,000 บาทต่อคณะต่อปี) รวมเป็นเงินจำนวน 22,500,000 บาท |
20,000,000 บาท |
โดยให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดพร้อมทั้งแผนการใช้จ่ายเงินตามข้อ 3 (1) และ (2) เสนอ ผู้อำนวยการ สนพ. อนุมัติเป็นรายปี และรายงานความเป็นไปให้คณะกรรมการกองทุนฯ ได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 5,188,500 บาท ให้การเคหะแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการประหยัดพลังงานสำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 1 จำนวน 4,175 หน่วย ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้สั่งการให้ พพ. เป็นผู้พิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ซึ่ง พพ. ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่า เห็นควรให้การสนับสนุนเงินกองทุนฯ ให้แก่การเคหะแห่งชาติ เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสำหรับโครงการเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ดังนั้น พพ. จึงได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงาน เพื่อให้พิจารณาเสนอโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ต่อคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณา อนุมัติเงินกองทุนฯ สนับสนุน
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 3) เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว ในหลักการเห็นควรให้การสนับสนุนโครงการ และมีข้อเสนอแนะว่า โครงการดังกล่าวควรขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ จากแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบและก่อสร้าง จากเดิมที่เป็นโครงการอาคารของรัฐ แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ 2546 คณะกรรมการกองทุนฯ ไม่ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว ที่ประชุมจึงเห็นควรให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติโอนเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ รายการค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อปรับปรุงอาคาร ปีงบประมาณ 2546 จำนวน 5,188,500 บาท มาเข้าโครงการโรงงานและอาคารที่อยู่ระหว่างออกแบบและก่อสร้าง เพื่อให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่การเคหะแห่งชาติ เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1 ต่อไป
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการอาคารของรัฐ รายการค่าใช้จ่ายสมทบเพื่อปรับปรุงอาคาร ปีงบประมาณ 2547 จำนวน 5,188,500 บาท (ห้าล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นแปดพันห้าร้อยบาทถ้วน) ให้ พพ. นำไปจัดสรรให้แก่การเคหะแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับบ้านเอื้ออาทร ระยะที่ 1
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รับข้อเสนอโครงการจากมหาวิทยาลัยมหิดล ประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช ในวงเงิน 99,455,822 บาท โดยอาคารดังกล่าวได้ดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียด และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาระดับการใช้พลังงานในส่วนของระบบการถ่ายเทความร้อนรวม ระบบแสงสว่าง และระบบปรับอากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับกับเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงแล้ว มีศักยภาพที่จะปรับปรุงให้ระดับการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
2. พพ. ได้วิเคราะห์และกลั่นกรองมาตรการอนุรักษ์พลังงานของอาคารโรงพยาบาลศิริราช ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว สรุปได้ดังนี้
(1) มาตรการต่างๆ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อทำการลงทุนปรับปรุงฯ มีศักยภาพที่จะประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 8,242,874 หน่วย/ปี คิดเป็นเงินประมาณ 22,140,389 บาทต่อปี สามารถลดความต้องการพลังไฟฟ้าได้ประมาณ 3,497 kW และประหยัดพลังงานอื่นๆ ได้ประมาณ 312,308 บาท/ปี
(2) ผลตอบแทนการลงทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริงของแต่ละมาตรการเกินกว่าร้อยละ 9
(3) ค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของแต่ละมาตรการ ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดดังนี้
มาตรการ | เงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) |
||
(1) | มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | 67,519,707 | |
(1.1) การติดฉนวนความร้อนที่ฝ้าเพดาน | 972,285 | ||
(1.2) การติดฟิล์มกรองแสง | 10,213,202 | ||
(1.3) การใช้บัลลาสต์สำหรับหลอดฟลูออเรสเซนต์ | 14,250 | ||
(1.4) การใช้โคมประสิทธิภาพการสะท้อนแสงสูงขนาด 1´36 วัตต์ | 230,950 | ||
(1.5) การใช้เครื่องปรับอาคารชนิดประสิทธิภาพสูง | 56,089,020 | ||
(2) | มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน |
23,936,115 |
|
(2.1) การใช้หลอดประหยัดพลังงาน | 110,376 | ||
(2.2) การใช้บัลลาสต์สำหรับหลอดฟูลออเรสเซนต์ | 2,421,000 | ||
(2.3) การใช้โคมไฟชนิดประสิทธิภาพการสะท้อนแสงสูง | 21,168,200 | ||
(2.4) การเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้เชื้อเพลิงเหลว | 105,000 | ||
(2.5) การหุ้มฉนวนความร้อนหม้อไอน้ำ | 56,779 | ||
(2.6) การติดตั้ง STEAM TRAP | 74,760 | ||
รวมเงินลงทุนในแต่ละมาตรการที่เห็นควรให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ |
91,455,822 |
3. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 5/2546 (ครั้งที่ 5) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยมหิดล สำหรับอาคารโรงพยาบาลศิริราช เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงิน 91,455,822 บาท (เก้าสิบเอ็ดล้านสี่แสนห้าหมื่นห้าพันแปดร้อยยี่สิบสองบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางข้อ 2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2542 เมื่อวันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2542 มีมติให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดสรรเงินกองทุนสำหรับแผนงานและโครงการในปีงบประมาณ 2543–2547 มีวงเงินรวม 29,110.61 ล้านบาท และให้คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจที่จะปรับปรุงการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสมภายในวงเงินรวมดังกล่าว ทั้งนี้โดยให้สอดคล้องกับการขอรับการสนับสนุนเงินกองทุนฯ การจัดลำดับความสำคัญตลอดจนรายได้ของกองทุนฯ โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ได้อนุมัติวงเงินโครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานสำหรับ สนพ. พพ. และ บก. สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท | ||||||
งบประมาณที่ได้รับอนุมัติตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | ||||||
หน่วยงาน | 2543 | 2544 | 2545 | 2546 | 2547 | รวม |
สนพ. | 112.05 | 100.00 | 105.95 | 113.50 | 120.65 | 552.15 |
พพ. | 484.12 | 569.27 | 555.89 | 529.19 | 534.08 | 2,672.55 |
บก. | 0.75 | 0.92 | 0.98 | 0.98 | 0.98 | 4.61 |
รวมเป็นเงิน | 596.92 | 670.19 | 662.82 | 643.67 | 655.71 | 3,229.31 |
2. คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 6/2546 (ครั้งที่ 6 ) เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2546 ได้มีมติเห็นชอบเงินงบประมาณเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายประจำปีงบประมาณ 2547 สำหรับ สนพ. พพ. และบก. โดยสรุปดังนี้
หมวดรายจ่าย | สนพ. | พพ. | บก. | รวม |
1.ค่าจ้างชั่วคราว | 4,477,920 | 25,438,320 | 334,320 | 30,250,560 |
2.ค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ | 18,306,200 | 35,879,560 | 144,628 | 54,330,388 |
3.ค่าสาธารณูปโภค | 2,000,000 | 8,093,500 | - | 10,093,500 |
4.ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 2,272,000 | 22,157,455 | 206,500 | 24,635,955 |
5.รายจ่ายอื่น | 121,882,110 | 350,025,000 | - | 471,907,110 |
รวมเป็นเงิน | 148,938,230 | 441,593,835 | 685,448 | 591,217,513 |
โดยให้แต่ละหน่วยงาน ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายของ บก. ในวงเงิน 685,448 บาท (หกแสนแปดหมื่นห้าพันสี่ร้อยสี่สิบแปดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารแนบ 4.5.1 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และอนุมัติให้ บก. เบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2547 เพื่อการบริหารงานตามกฎหมายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546
2. ให้ สนพ. และ พพ. ดำเนินการปรับปรุงงบประมาณค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมาย ประจำปีงบประมาณ 2547 ตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยจะต้องกำหนดตัวชี้วัดผลงานหลัก (Key Performance Indicator) ประกอบคำชี้แจง คำขอตั้งงบประมาณรายจ่าย ให้ชัดเจน แล้ว นำเสนอต่อ ศ.ดร.ปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ รศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ และนายอัศวิน คงสิริ พิจารณาให้ความเห็น ก่อนนำเสนอต่อ คณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 16 ระบุว่า "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ กรณีผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นๆ ให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ ต่อไปได้ภายในสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา"
2. สนพ. และ พพ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้เป็นผู้เบิกเงินกองทุนฯ จากกรมบัญชีกลาง และนำไปจ่ายให้แก่ผู้ได้รับจัดสรรเงินทุนเพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมตามแผนงานของแต่ละโครงการที่ได้รับอนุมัติเงินจากกองทุนฯ โดยผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีโดยปฎิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ข้อ 16 ดังที่กล่าวมาแล้วในข้อ 1
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 (ครั้งที่ 23) เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2544 ได้พิจารณาเรื่องที่ พพ. ขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินให้กับบริษัทที่ พพ. ได้ทำข้อผูกพันไว้แล้วแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ทันภายในปีงบประมาณ 2544 โดยที่ประชุมมีมติให้กรณีที่ผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายใน ปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้น ก็ให้คณะอนุกรรมการแต่ละชุดที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้การกำกับดูแลของคณะอนุกรรมการแต่ละชุดได้ ภายในวงเงิน 10 ล้านบาท
4. พพ. ได้เสนอให้คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาเรื่องอนุมัติให้ พพ. สามารถขยายระยะเวลาใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ตามที่ พพ. ได้ก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว ตามงบประมาณรายจ่ายโครงการอาคารของรัฐและโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน แต่ พพ. ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายใน ปีงบประมาณนั้นๆ ภายในเวลาสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา รวมจำนวน 6 ราย โดย พพ. จะขอให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายแต่ละรายการต่อไปและเกินกว่าระยะเวลาสามเดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2546 ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้มีอนุมัติขยายเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ พพ. ได้ทำข้อผูกพันไว้แล้วและมีวงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาท ได้ตามที่ พพ. ขอมา และสำหรับโครงการที่มีวงเงินเกิน 10 ล้านบาท คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา
นอกจากนี้คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและลดขั้นตอนในทางปฏิบัติ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณามอบอำนาจให้ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) และ/หรืออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) เป็นผู้ใช้ดุลยพินิจและมีอำนาจอนุมัติการขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกินระยะเวลา 3 เดือนหลังสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาได้
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ ที่ พพ. ได้ว่าจ้างบริษัท บีเอ็นบี อินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด เพื่อดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานในอาคารของรัฐ จำนวน 18 ราย ในวงเงิน 12,465,500 บาท ตามสัญญาเลขที่ 224/45 ลงวันที่ 30 กันยายน 2545 ได้ โดยให้ขยายระยะเวลาเป็นภายใน 30 วัน นับจากวันที่ พพ. ได้รับหนังสือแจ้งมติคณะกรรมการกองทุนฯ ที่อนุมัติให้ พพ. ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงิน
2. มอบอำนาจกรณีที่ พพ. ในฐานะผู้เบิกเงินกองทุนได้ก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณ ตามข้อ 16 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ก็ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้แผนงานภาคบังคับ ทั้งนี้ พพ. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ อพพ. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และเมื่อ อพพ. ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการฯ รับทราบเป็นระยะๆ ด้วย
3. มอบอำนาจกรณีที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ในฐานะผู้เบิกเงินกองทุนได้ก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแล้ว แต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณ ตามข้อ 16 แห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ก็ให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (ผอ.สนพ.) มีอำนาจอนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้โครงการต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ทั้งนี้ สนพ. จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ ผอ.สนพ. ได้มีมติให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ และเมื่อ ผอ.สนพ. ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ต้องรายงานให้คณะอนุกรรมการฯ รับทราบเป็นระยะๆ ด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ได้อนุมัติโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ เป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track) ไปแล้ว จำนวน 11 โครงการ รวมเป็นวงเงินทั้งสิ้น 4,260.54 ล้านบาท โดยมีหน่วยงานราชการที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย ทบวงมหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองบัญชาการทหารสูงสุด โดย พพ. ได้กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ทั้ง 11 โครงการ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ให้ว่าจ้าง IA เพื่อดำเนินงานในส่วนของการบริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน
ขั้นตอนที่ 2 ให้ว่าจ้าง IA เพื่อดำเนินงานในส่วนของการบริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
ขั้นตอนที่ 3 ให้ว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
2. การดำเนินการอนุรักษ์พลังงานของแต่ละ กระทรวง ทบวง และหน่วยงานต่างๆ ภายใต้โครงการ Fast Track ทั้ง 11 โครงการ นั้น ยังประกอบด้วยอาคารควบคุมภายใต้สังกัดของแต่ละโครงการอีกจำนวนมาก และกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยการดำเนินการที่ผ่านมา ปรากฏว่าทั้ง 11 โครงการ ได้ว่าจ้าง IA บริหารงานในการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีกองทัพอากาศเพียงหน่วยงานเดียวที่ได้ว่าจ้าง IA บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 2 เสร็จเรียบร้อยแล้ว และยังไม่มีโครงการใดดำเนินการว่าจ้างนิติบุคคลในการควบคุมการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามขั้นตอนที่ 3
3. เพื่อให้การดำเนินการของอาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการ Fast Track มีความคล่องตัวและเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถดำเนินกิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง พพ. เห็นควรให้มีการปรับปรุงแนวทางในการดำเนินการโครงการ Fast Track ตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 1/2543 (ครั้งที่ 19) เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2543 ในบางประเด็น เป็นดังนี้
(1) ยกเลิกการว่าจ้าง IA บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
(2) ปรับปรุงแนวทางการว่าจ้างนิติบุคคลเพื่อควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน โดยปรับเปลี่ยนให้อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการ Fast Track สามารถว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานเองได้
(3) มอบให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจอนุมัติค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานตามกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไว้แล้ว
4. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการกำกับดูแลแผนงานภาคบังคับ ในการประชุมครั้งที่ 8/2545 (ครั้งที่ 29) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2545 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้ว เห็นว่าเพื่อเป็นการแก้ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (Fast Track) และให้การดำเนินการโครงการ Fast Track เป็นอย่างคล่องตัวและรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่ พพ. เสนอในข้อ 3 และให้ พพ. นำเสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. ให้ยกเลิกการว่าจ้างตัวแทนดำเนินการ (IA) บริหารงานในการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานของโครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track)
2. ให้อาคารควบคุมที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนหรือกรณีพิเศษ (Fast Track) สามารถว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานได้เอง โดยไม่ต้องให้ปลัดกระทรวง/ปลัดทบวง/หรือหัวหน้าส่วนราชการของโครงการเป็นผู้ดำเนินการจ้างฯ
3. ให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้แก่อาคารควบคุมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่อยู่ภายใต้โครงการอนุรักษ์พลังงานสำหรับอาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเป็นกรณีเร่งด่วนและกรณีพิเศษ (Fast Track) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างนิติบุคคลควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน ตามกรอบวงเงินที่อนุมัติไว้แล้ว และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานให้คณะอนุกรรมการฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป ทั้งนี้ให้หน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับการสนับสนุนนั้น เสนอผลการพิจารณาคัดเลือกผู้รับจ้างควบคุมงานการปรับปรุงอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติก่อนทำสัญญา
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการดำเนินงานของหน่วยงานที่ได้รับอนุมัติไปก่อนที่มีมติอนุมัติในครั้งนี้
อนุ กอ. ครั้งที่ 12 - วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 6/2550 (ครั้งที่ 12)
วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุมปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ชั้น 6 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
1. รายงานความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา"
2. แนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในการสนับสนุนการลงทุนโครงการพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่
3. เห็นชอบผลการดำเนินงานโครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ปีที่ 2 และพิจารณาแผนงานโครงการฯ ปีที่ 3
4. ขอความเห็นชอบปรับแผนงาน โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
5. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
6. ขอความเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
7. ขอความเห็นชอบโครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
8. ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายอดุลย์ ฉายอรุณ) แทนผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน อนุกรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 รายงานความคืบหน้าโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา"
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้สรุปความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมการจัดการด้านการใช้พลังงาน "โดยวิธีประกวดราคา" เป็นมาตรการที่จะจูงใจผู้ประกอบการตัดสินใจลงทุนดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในกิจการได้เร็วขึ้น ด้วยการเชิญชวนผู้ประกอบการยื่นข้อเสนอวิธีการที่จะปรับปรุงการใช้พลังงาน และเสนอขอรับเงินสนับสนุนต่อค่าพลังงานที่ประหยัดได้ ตามอัตราที่ต้องการและไม่เกินวงเงินที่ สนพ. กำหนด โดย มีเงินจากกองทุนฯ สนับสนุนอัตราต่อหน่วยพลังงานที่ประหยัดได้ ซึ่ง สนพ. ได้จัดสัมมนาผู้ประกอบกิจการโรงงานและอาคารธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบรายละเอียดโครงการฯ พร้อมกับรับข้อคิดเห็นมาปรับปรุงรายละเอียดโครงการฯ และออกประกาศเชิญชวนเรียบร้อยแล้ว โดยกำหนดตรวจสอบความครบถ้วนและความถูกต้องสมบูรณ์ของข้อเสนอและพิจารณาตัดสินคัดเลือกผู้ได้รับจัดสรรรอบที่ 1 ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และจะรายงานคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ทราบผลต่อไป
มติที่ประชุม
รับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อรับทราบมติของ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 เรื่องแนวทางในการบริหาร "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" หลังหมดภาระหนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ดังนี้
1.1 ให้ปรับโอนอัตราเงิน "กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง" ให้แก่ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ดังนี้
โอนให้กองทุนอนุรักษ์พลังงาน | เพื่อลดราคา ขายปลีกน้ำมัน |
||
สำหรับแผนงานปกติ | สำหรับโครงการขนส่งฯ | ||
1) เบนซิน 95 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
2) เบนซิน 91 | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
3) แก๊สโซฮอล์ 95 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
4) แก๊สโซฮอล์ 91 | 0.1870 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
5) ดีเซลหมุนเร็ว | 0.1800 | 0.5000 | 0.5000 |
6) ไบโอดีเซล บี 5 | 0.1835 | 0 - 0.5000 | 0.5000 |
โดยในระยะแรกให้โอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง ในระดับ 0 บาท/ลิตร และมอบอำนาจให้ประธาน กพช. เป็นผู้พิจารณาปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล ในอนาคตสูงขึ้นได้ถึง 0.50 บาท/ลิตร ตามภาวการณ์ที่เห็นว่าเหมาะสม ทั้งนี้ ให้ปรับเพิ่มการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่ง เป็น 0.70 บาท/ลิตร เมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินและเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงพอแล้ว โดยมอบหมายให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาปริมาณเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เหมาะสมต่อไป
1.2 มอบหมายให้ ฝ่ายเลขานุการฯ ออกประกาศ กพช. และนำเสนอ กบง. เพื่อพิจารณาปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องกับมติ กพช. ตามข้อ 2.1 โดยให้กระทำในวันเดียวกัน ดังนี้
1) ประกาศ กพช. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5 เป็น 0.75, 0.25, 0.75 และ 0.25 บาท/ลิตร ตามลำดับ
2) ประกาศ กบง. เพื่อปรับลดอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 เบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และไบโอดีเซล บี 5
1.3 มอบหมายให้คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานรับไปจัดทำแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนในการสนับสนุนโครงการด้านระบบขนส่ง เพื่อเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
2. เพื่อให้การจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบการขนส่งมีความชัดเจน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้เพิ่มเป็นภารกิจพิเศษภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยกำหนดเป็นงานที่ 5) โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ และกำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ดังต่อไปนี้
(1) แนวทางในการให้การสนับสนุน "โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่" : เพื่อเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุน หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ สำหรับการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวกับการพัฒนาระบบการขนส่งเฉพาะที่ก่อให้เกิดผลลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศ และประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนั้น เช่น การสร้างระบบขนส่งมวลชนในเมืองใหญ่ การพัฒนาระบบการขนส่งทางรถไฟ รวมถึงรถไฟรางคู่ และ การพัฒนาระบบสนับสนุนการขนส่งสินค้า (Logistics) เช่น การปรับปรุงท่าเรือ และคลังสินค้า เป็นต้น
(2) ผู้ที่จะได้รับการสนับสนุน : หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ
(3) ประเภทของค่าใช้จ่ายที่จะได้รับการสนับสนุน : ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการ ในลักษณะเงินช่วยเหลือให้เปล่า ซึ่งกองทุนฯ จะจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของหน่วยงานนั้นๆ ในการบริหารโครงการ และค่าใช้จ่ายในการลงทุน ในลักษณะเงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุน หรือเงินหมุนเวียน ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในการควบคุมงานก่อสร้างหรือติดตั้ง เครื่องจักร อุปกรณ์ โดยการจ่ายเงินทำเป็นงวดๆ ตามปริมาณงานหรือความจำเป็นและเหมาะสม
(4) แนวทางจัดทำข้อเสนอโครงการฯ "เจ้าของโครงการ" จะต้องจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยมีแผนงานและงบลงทุนเต็มโครงการ รายจ่ายทั้งแผนงาน และต้องจำแนกส่วนที่ดำเนินงานไปแล้ว กำลังดำเนินงาน และจะต้องระบุแหล่งเงินทุนที่จะต้องใช้ในการดำเนินโครงการในแต่ละแหล่งให้ชัดเจน รวมทั้งจะต้องระบุรายละเอียดความคุ้มค่าของการลงทุน ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ ผลตอบแทนด้านการเงิน และผลตอบแทนด้านการลดการใช้พลังงานของประเทศ
(5) เงื่อนไขในการพิจารณาโครงการ : โครงการที่จะได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต้องผ่านการพิจารณาจากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) คณะกรรมการกองทุนฯ และคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญของโครงการฯ ก็ให้ สศช. พิจารณาก่อน
(6) วิธีการและขั้นตอนในการให้การสนับสนุน : หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการสนับสนุน ยื่นข้อเสนอโครงการต่อ สนพ. เพื่อวิเคราะห์และกลั่นกรอง ให้ความเห็น ตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ที่กำหนดไว้ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
(7) หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินสนับสนุน : เนื่องจากรายรับของกองทุนฯ มาจากสัดส่วนของการส่งเงินเข้ากองทุนฯ ของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงนำปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้จำหน่ายไปของแต่ละจังหวัดคิดค่าเฉลี่ยตั้งแต่ ปี 2547-ปัจจุบัน และจัดกลุ่มแบ่งออกเป็น 5 ภาค เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางกำหนดสัดส่วนการจัดสรรค่าใช้จ่ายสำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง
3. สนพ. ได้จัดทำประมาณการรับและรายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ให้สอดคล้องตามมติ กพช. โดยไม่ได้โอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงฯ จำนวน 3,000 ล้านบาท ไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (มติคณะกรรมการกองทุนฯ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2550) จากการประมาณการกระแสเงินของกองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะมีฐานะเป็นบวกประมาณกลางเดือนธันวาคม 2550 จึงเริ่มโอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจัดเก็บแทน ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร ในวันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2550 กองทุนน้ำมันฯ จะมีเงินสะสม 10,179 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2551
ด้วย กบง. ในการประชุมเมื่อ 12 ตุลาคม 2550 มีมติให้กองทุนน้ำมันฯ โอนเงิน 3,500 ล้านบาท ฝากที่ ธกส. เพื่อเป็นทุนให้กับเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ในการผลิตไบโอดีเซล ทำให้เงินกองทุนน้ำมันฯ จะสะสมได้ถึง 10,000 ล้านบาท ในปลายเดือนกันยายน 2551 และการโอนอัตรากองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งเป็น 0.70 บาท/ลิตร จะเริ่มได้ประมาณวันที่ 1 ตุลาคม 2551
4. จากแนวทางตามข้อ 3 ฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จะเป็นดังนี้
5. จากข้อ 4 กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจะมีวงเงินสำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 ถึงกันยายน 2555 รวมทั้งสิ้น 71,424 ล้านบาท ดังนี้
6. การทบทวนเป้าหมายแผนอนุรักษ์ฯ ในช่วงปี 2551-2554 ตามมติ กพช. ในการประชุมเมื่อ 28 กันยายน 2550 นั้น สนพ. ได้ศึกษาจากรายงานผลการศึกษาโครงการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม ที่ พพ. ได้ว่าจ้าง TDRI แล้ว และเห็นว่าเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ได้รวมผลการประหยัดพลังงานในเรื่องการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน และการก่อสร้างระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงไว้แล้ว จึงได้เพิ่มผลการประหยัดพลังงานที่ได้จากการผลิตรถประหยัดเชื้อเพลิง (ECO Car) 123 ktoe และการผลิตไฟฟ้าระบบ Cogeneration 608 ktoe สำหรับการลงทุนในโครงการพัฒนาระบบขนส่งขนาดใหญ่ จะเกิดผลการประหยัดพลังงานหลังปี 2554 จึงสรุปเป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงานฯ เป็นดังนี้
เป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงาน ณ ปี 2554 | |||
กพช. | กพช. | ปรับปรุง | |
23 ธ.ค.47 | 26 ธ.ค.49 | ต.ค. 50 | |
(ktoe) | (ktoe) | (ktoe) | |
เป้าหมายรวม | 17,884 | 19,005 | 18,931 |
แผนงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 10,354 | 7,694 | 7,725 |
สาขาอุตสาหกรรม | 3,411 | 3,832 | 3,094 |
สาขาขนส่ง | 6,270 | 3,290 | 3,413 |
การจัดการด้านการใช้พลังงาน | 673 | 572 | 1,217 |
แผนงานด้านพลังงานทดแทน | 7,530 | 11,311 | 11,206 |
ส่งเสริม NGV | - | 4,348 | 4,518 |
พลังงานหมุนเวียน* | 7,530 | 6,963 | 6,688 |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยรับคำแนะนำของอนุกรรมการฯ ไปปรับปรุงแนวทางฯ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
2. เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการเริ่มโอนอัตราการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" จัดเก็บแทน ในอัตรา 0.50 บาทต่อลิตร ในวันที่ 17 ธันวาคม 2550 และปรับเพิ่มเป็น 0.70 บาท/ลิตร ในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 เพื่อใช้สำหรับโครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่งขนาดใหญ่ โดยกองทุนน้ำมันฯ ไม่ต้องโอนเงินจำนวน 3,000 ล้านบาท ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อเพิ่มสภาพคล่องตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เคยมีมติไว้แล้ว และให้เสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
3. รับทราบและเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานในช่วงปี 2551-2554 ที่ปรับปรุงตามข้อ 5.3 และให้เสนอ กพช.พิจารณาต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมเพื่อรับทราบผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ซึ่งเป็นโครงการที่คณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ในวงเงินรวม 50 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในศึกษาวิจัยที่เป็นงานต่อเนื่องระยะเวลา 5 ปี โดยให้ มช. เสนอผลการดำเนินงานแต่ละปีให้คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ทราบและเห็นชอบก่อน สนพ. จะจัดสรรเงินดำเนินการปีต่อไป
2. มช. ได้ดำเนินโครงการฯ มาจนครบปีที่ 2 โดยได้คัดเลือกสายพันธุ์ปาล์มน้ำมัน 3,200 ต้น และคัดเลือกสายพันธุ์สบู่ดำ 10,000 ต้น และได้นำไปลงปลูกในแปลงวิจัยพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2 แห่ง รวม 386 ไร่ คือ แปลงวิจัยศรีบัวบาน จ.ลำพูน 350 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 100% และที่แปลงวิจัยแม่เหียะ อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 36 ไร่ ควบคุมสภาวะแวดล้อม 50% ควบคุมวิธีการให้น้ำด้วยระบบชลประทานน้ำหยด การคลุมด้วยวัสดุต่างๆ ปริมาณการให้น้ำ ระยะเวลาการให้น้ำที่เหมาะสม การจัดการปุ๋ย ได้แก่ ปุ๋ยยูเรีย ฟอสเฟต ปุ๋ยคอก และการตัดแต่งกิ่ง วิจัยผลกระทบต่อปาล์มน้ำมันและสบู่ดำที่เกิดจากการจัดการวัชพืชด้วยวิธีต่างๆ วิธีปลูกพืชแซมที่ไม่กระทบต่อปาล์มและสบู่ดำ
3. ในปีที่ 2 ได้เก็บข้อมูลวิจัยการเจริญเติบโตปาล์มน้ำมัน และสบู่ดำ ในแปลงวิจัยทั้ง 2 แห่ง
1) ปาล์มน้ำมัน อายุ 20 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2550) เจริญเติบโตดี มีความสูงเฉลี่ย 278 เซนติเมตร จำนวนทางใบเฉลี่ย 35 ทางใบ การออกดอกของปาล์มน้ำมัน พบว่า ปาล์มน้ำมันพันธุ์สุราษฎร์ธานี 2 ออกดอกมากที่สุด 116 ต้น พันธุ์ไนจีเรียจำนวน 30 ต้น พันธุ์สุราษฎร์ธานี 3 จำนวน 5 ต้น โดยจะทราบว่าปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตหรือไม่ ต้องรอให้ปาล์มน้ำมันมีอายุประมาณ 36 เดือน หรือประมาณเดือนมิถุนายน 2551
2) ปลูกสบู่ดำ อายุ 16 เดือน (ณ เดือนมิถุนายน 2550) เจริญเติบโตดี มีการให้ผลผลิตครั้งแรก ในเดือนพฤษภาคม 2549 - ธันวาคม 2549 (รวม 8 เดือน) และหยุดการให้ผลผลิตเนื่องจากเกิดการทิ้งใบเพื่อพักตัวและหยุดการเจริญเติบโตในช่วงฤดูแล้ง ผลผลิตของสบู่ดำในปีที่ 2 เฉลี่ย 307 กิโลกรัม/ไร่ โดยพันธุ์ชัยภูมิให้ผลผลิตมากที่สุด คือ 345.87 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนสบู่ดำพันธุ์สตูล ให้ผลผลิตน้อยที่สุด คือ 278.46 กิโลกรัม/ไร่ อย่างไรก็ตามผลผลิตในครั้งแรกยังไม่ใช่ผลผลิตที่สูงสุดของสบู่ดำ ปริมาณผลผลิตต่อไร่สูงสุด จะทราบผลในการให้ผลผลิตปีที่ 3
4. มช. ได้ศึกษาออกแบบพัฒนาเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำ เครื่องหีบน้ำมันปาล์มขนาดเล็ก และเครื่องผลิตไบโอดีเซลขนาด 300 ลิตรต่อครั้ง โดยเครื่องสกัดน้ำมันสบู่ดำและเครื่องผลิตไบโอดีเซลที่พัฒนาขึ้น ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานได้ง่าย ไม่มีความยุ่งยากซับซ้อน เมื่อนำไปให้เกษตรกรทดลองใช้งาน ช่วยให้เกษตรกรมีความรู้ความเข้าใจในหลักการทำงานของเครื่องจักรทั้งสองอย่าง สำหรับการสาธิตใช้ไบโอดีเซลกับเครื่องยนต์การเกษตรในชุมชนนั้น เครื่องยนต์เดินปกติสม่ำเสมอไม่มีสะดุด การถอดชิ้นส่วนของเครื่องยนต์เพื่อตรวจสภาพ ไม่พบคราบหรือยางเหนียว ทุกชิ้นส่วนยังคงสภาพเดิม
5. แผนงานในปีที่ 3 ยังคงเป็นเรื่องการศึกษาวิจัยการเจริญเติบโตของต้นปาล์มน้ำมันและต้นสบู่ดำ ทั้งในแปลงวิจัยและแปลงสาธิต โดยต้นปาล์มน้ำมันในแปลงวิจัยจะครบรอบการให้ผลผลิตในครั้งแรก ซึ่งจะทราบโอกาสและความเป็นไปได้ของการปลูกปาล์มในภาคเหนือ พร้อมนี้ มช. จะเริ่มพัฒนาสายพันธุ์สบู่ดำด้วยวิธีตัดต่อพันธุกรรม (GMO) เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ด้วย โดย มช. ประมาณการรายจ่ายสำหรับปีที่ 3 ในวงเงิน 11,846,000 บาท
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบรายงานผลการดำเนินงาน "โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจรในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ" ปีที่ 2 ตามที่ มช. เสนอมา
2. เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ มช. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานโครงการฯ ในปีที่ 3 ตามแผนงานที่เสนอมา ในวงเงินรวม 11,846,000 บาท โดยใช้เงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ ปีงบประมาณ 2550 โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของการปลูกพืชน้ำมันและพัฒนารูปแบบการผลิตพลังงานจากพืชแบบครบวงจร ในพื้นที่ตัวอย่างเขตภาคเหนือ ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อทราบความเป็นมาของ "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ในวงเงินรวม 60 ล้านบาท เพื่อศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์และนำเสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหาด้านพลังงานของประเทศ ซึ่งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2550 มีข้อสังเกตว่ารายงานผลการศึกษาของ สกว. ข้อมูลบางตัวอ้างอิงเป้าหมายเดิมที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นปัจจุบัน บางส่วนต่างไปจาก พพ. บางส่วนอ้างอิงจากต่างประเทศ จึงทำให้ผลการศึกษาอาจคลาดเคลื่อนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จึงมีมติให้ สนพ. พพ. และ สกว. พิจารณาข้อมูลร่วมกันและปรับตัวเลขเป้าหมายของการศึกษาให้ตรงกัน รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนและปรับขอบเขตงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ผลการศึกษาได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดย สกว. จะใช้เงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรไปแล้วและยังคงเหลืออยู่ ประมาณ 28.5 ล้านบาท เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
2. สนพ. พพ. และ สกว. ประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาข้อมูลและปรับตัวเลขที่ปรากฏในรายงานการศึกษาให้ตรงกัน รวมถึงพิจารณาความซ้ำซ้อนและปรับขอบเขตงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติม เพื่อให้ได้ผลการศึกษาที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจได้แม่นยำมากขึ้น โดย สกว. จะใช้เงินกองทุนฯ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรไปแล้วและยังคงเหลืออยู่ ประมาณ 28.5 ล้านบาท เพื่อเสนอให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง ซึ่ง สนพ. พพ. และ สกว. ได้ประชุมร่วมกันตามมติคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว สามารถสรุปได้ดังนี้
2.1 ศักยภาพการผลิตไบโอดีเซล สกว. ได้ประเมินตามแผนการขยายพื้นที่เพาะปลูกปาล์มของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เฉลี่ย 3 แสนไร่ต่อปี พบว่าในปี 2554 การผลิตไบโอดีเซลจะอยู่ระหว่าง 1.48-3.24 ล้านลิตรต่อวัน ทั้งนี้กรณีต่ำสุดคิดจากฐานปัจจุบันที่มีข้อจำกัดด้านการขยายพื้นที่ให้ผลผลิตจริงและยังไม่มีการปรับปรุงอัตราการผลิตผลปาล์มต่อหน่วยพื้นที่ ส่งผลให้พื้นที่ให้ผลผลิตจริงอาจจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 1.5 แสนไร่/ปี เท่านั้น ทั้งนี้หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการเพาะปลูกในรูปแบบ Good Agricultural Practice การใช้กล้าปาล์มที่ให้ผลผลิตสูง (ซึ่งเอกชนบางรายสามารถทำได้ถึง 5.0 ตันต่อไร่ต่อปี) อีกทั้งมีการคัดสรรพื้นที่ส่งเสริมให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มสัดส่วนของพื้นที่ให้ผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูกแล้ว ก็สามารถจะผลิตไบโอดีเซลได้ถึง 3.0 ล้านลิตรต่อวัน
2.2 ค่า External cost ของโรงไฟฟ้าถ่านหิน จากที่ สกว. เคยเสนอไว้ 6.0 บาท/kWh พบว่าข้อมูลที่นำมาใช้คำนวณเป็นข้อมูลที่ยังมิได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยเฉพาะภายหลังการติดตั้งอุปกรณ์กำจัดซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (FGD) ทั้งนี้ สกว. จึงได้นำข้อมูลของโรงไฟฟ้าแม่เมาะและโรงไฟฟ้า BLCP ที่ดำเนินการผลิตอยู่ในปัจจุบันมาเป็นฐานการคำนวณ และแปลงค่าเงินยูโรด้วย Purchasing Power Parity Index พบว่า ค่า External cost ของการผลิตไฟฟ้าจากลิกไนท์เฉลี่ยในช่วงปี 2544-2549 คือ 0.48 บาท/kWh ค่า External cost ของการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินนำเข้าคือ 0.33 บาท/kWh และของก๊าซธรรมชาติคือ 0.18 บาท/kWh สรุปได้ดังนี้
สารมลพิษ | External cost (บาท/kWh) | ||
ลิกไนต์ (แม่เมาะ) | ถ่านหินนำเข้า (BLCP) | ก๊าซธรรมชาติ (บางปะกง) | |
CO2 | 0.28 | 0.23 | 0.12 |
SO2 | 0.06 | 0.05 | 0 |
NOX | 0.12 | 0.05 | 0.06 |
PM10 | 0.02 | N/A | 0 |
รวม | 0.48 | 0.33 | 0.18 |
2.3 การพิจารณาประเด็นงานวิจัย พพ. สนพ. และ สกว. ได้ประชุมร่วมกันเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2550 ณ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย เพื่อร่วมกันพิจารณาประเด็นงานวิจัยที่ สกว. เสนอขอศึกษาเพิ่มเติมเพื่อลดความซ้ำซ้อนของงาน และสรุปได้ดังนี้
ประเด็นงานวิจัย | ผลที่คาดหวัง | สรุปความเห็น |
1.พลังงานน้ำขนาดเล็ก | ||
1.1 การใช้ทรัพยากรแหล่งน้ำ เพื่อการผลิตไฟฟ้า | อุปสรรคข้อกฎหมายที่ขัดแย้งกัน ระหว่างหน่วยงานใช้ประโยชน์ของทรัพยากรน้ำ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ. มีการปรึกษาหารือกับกรมป่าไม้และ สผ. อยู่แล้ว |
1.2 การประเมินศักยภาพเพิ่มเติม ของแหล่งพลังงานน้ำขนาดเล็ก | สำรวจศักยภาพของน้ำทิ้งท้ายเขื่อน (กฟผ.และกรมชลฯ) ด้วยวิธีการสำรวจพื้นที่และความเป็นไปได้ในการพัฒนาเขื่อนแบบ run-of-river ในลุ่มน้ำที่สำคัญ | ให้ศึกษาศักยภาพในภาพรวมในส่วนที่ยังไม่ได้มีการศึกษา (พพ.มีการสำรวจศักยภาพลุ่มน้ำโขง-ชี-มูลและน่าน รวมถึงน้ำทิ้งท้ายเขื่อนของกรมชลฯ) |
2.พลังงานลม | ||
2.1 การใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม | ปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของภาคเอกชนในการติดตั้งกังหันลมในพื้นที่สาธารณะเพื่อผลิตไฟฟ้า | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ.ศึกษากฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องแล้ว |
3.พลังงานชีวมวล | ||
3.1 การเพิ่มศักยภาพแหล่งชีวมวลสำหรับผลิตไบโอดีเซล | ศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิตโดยเพิ่มพื้นที่และใช้เทคโนโลยี | ให้รวบรวมเทคโนโลยีพร้อมทั้งประเมินความเป็นไปได้ในการเพิ่มผลผลิต ภายใต้ความร่วมมือกับ ก.เกษตรฯ |
3.2 นโยบายการกำหนดราคาเอทานอลและไบโอดีเซลที่เหมาะสม | หลักเกณฑ์การกำหนดราคาที่เหมาะสมและผลกระทบของการใช้สูตรกำหนดราคาต่างๆ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจากกระทรวงฯได้ประกาศหลักเกณฑ์และสูตรการคำนวณเรียบร้อยแล้ว |
3.3 การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกอ้อย มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน | ความเป็นไปได้การเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกและการกระจายเชิงภูมิศาสตร์ | ให้ศึกษาศักยภาพสูงสุดในการขยายพื้นที่เพาะปลูกพืชพลังงานโดยดูผลกระทบในการขยายพืชที่ไปทับซ้อนกับพืชเศรษฐกิจอื่นๆ |
3.4 การใช้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อปลูกไม้โตเร็ว | ประเภทไม้โตเร็วที่เหมาะสมและความเป็นไปได้ในการปลูกในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก สนพ.ได้ให้ทุนนักวิจัยศึกษาการปลูกไม้โตเร็วเพื่อผลิตไฟฟ้าเป็น pilot scale แล้ว |
3.5 ประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการเก็บรวบรวมยอดใบอ้อย ฟางข้าว เพื่อผลิตความร้อนและไฟฟ้า | ศึกษาเทคนิคการจัดเก็บฟางข้าว ยอดและใบอ้อยเพื่อให้เกิดความคุ้มทุนในเชิงเศรษฐศาสตร์ในภาพรวมของประเทศ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก สนพ. ให้ทุนวิจัยศึกษาศักยภาพที่แหล่งของแกลบและชานอ้อยแล้ว |
3.6 การพัฒนากระบวนการและเครื่องมือการจัดการพลังงานชีวมวลที่ยั่งยืนโดยคำนึงการใช้อย่างคุ้มค่าและลด CO2 | จัดทำฐานข้อมูลและประเมินข้อดีข้อเสียและทางเลือกการใช้ชีวมวลต่างๆ | ไม่มีข้อขัดข้อง |
3.7 ประเมินทางเทคนิคและเศรษฐศาสตร์ของการผลิตก๊าซ ชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางเกษตรและพืชพลังงาน | ค้นหาวัตถุดิบใหม่สำหรับการผลิตก๊าซชีวภาพ ได้แก่วัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและพืชที่ปลูกเพื่อเป็นพลังงานโดยเฉพาะ | ไม่ซ้ำซ้อน กับที่ พพ.ได้ศึกษาศักยภาพของการใช้น้ำเสียจากโรงงานประเภทต่างๆและฟาร์มสุกรแล้ว |
4.ประสิทธิภาพพลังงาน | ||
4.1 ประเมินผลกระทบ SPP ต่อการส่งเสริม CHP และ ปรับปรุงระเบียบ SPP | ได้ศึกษาล่วงหน้าเพื่อให้ทันกับระเบียบปรับปรุงของ SPP | ไม่มีข้อขัดข้อง |
4.2 การบังคับใช้ building energy code | ปัญหาข้อขัดข้องในการนำไปสู่การปฏิบัติ | ไม่ต้องศึกษา เนื่องจาก พพ.ได้ทำร่างกระทรวง หารือขั้นตอนการปฏิบัติกับ กทม.และกรมโยธาธิการ และรอประกาศใช้ |
4.3 ประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีประหยัดพลังงานเฉพาะอุตสาหกรรมบางสาขาที่มีการใช้พลังงานมาก | ประเมินศักยภาพและโอกาสการประหยัดพลังงานในภาพรวมเพื่อวางยุทธ์ศาสตร์ในการยกระดับเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน | พพ.ได้ประเมินศักยภาพและเทคโนโลยีการประหยัดพลังงาน 13 สาขาจาก 28 สาขา และยินดีให้ สกว.นำข้อมูลไปวิเคราะห์และหาแนวทางในการบรรลุเป้าหมาย |
4.4 พัฒนากรอบและจัดทำฐานข้อมูลสำหรับประเมินศักยภาพและติดตามผลกระทบทางเลือกการประหยัดพลังงานในภาคขนส่ง | พัฒนาแนวทางการจัดทำฐานข้อมูลที่จำเป็นที่สามารถทำเป็นงานประจำที่สะสมตัวเองได้ | ให้ศึกษากรอบการจัดทำฐานข้อมูล พร้อมทั้งทำการสำรวจข้อมูลในภาคขนส่งเพื่อให้ในงานวางแผนต่อไป |
5.ประเด็นทั่วไป | ||
5.1 ประเมิน cost-effectiveness ของการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนและการประหยัดพลังงานในภาพรวมของประเทศ | ศึกษาการลงทุนและผลตอบแทนในภาพรวมของประเทศ | ไม่มีข้อขัดข้อง |
5.2 แนวทางคิด carbon tax เป็นส่วนหนึ่งของ avoided cost ในการประหยัดพลังงานในภาคขนส่งและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและพลังงานหมุนเวียน | ศึกษาความเหมาะสมของการใช้ carbon tax ในประเทศไทยและรูปแบบที่เหมาะสม และคิดค่า carbon tax สำหรับประเทศไทย | ไม่มีข้อขัดข้อง |
5.3 การพัฒนาและสาธิตกระบวนการ PDP โดยคำนึงการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานหมุนเวียนและการมีส่วนร่วมของประชาชน | พัฒนากระบวนการวางแผน PDP ที่ประชาชนมีส่วนร่วม | ให้ศึกษา model กระบวนการจัดทำ PDPที่เป็นรูปธรรมสามารถนำไปใช้จริงได้ เช่น มีระยะการปฎิบัติตามกระบวนการไม่นานจนข้อมูลล้าสมัย ระบุนิยามผู้มีส่วนได้เสียที่จะเข้าร่วมกระบวนการที่ชัดเจน |
มติที่ประชุม
1. รับทราบและเห็นชอบผลการศึกษา "โครงการส่งเสริมการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้พลังงานหมุนเวียนและประสิทธิภาพการใช้พลังงาน" ตามที่ สกว. ปรับตัวเลขเสนอมา โดยให้ สกว. ดำเนินการจัดพิมพ์รายงานฉบับใหม่และส่งไปยังหน่วยงานต่างๆ ตามที่ที่ประชุมให้ความเห็นไว้ด้วย
2. เห็นชอบให้ สกว. ปรับแผนงานโครงการฯ โดยขยายระยะเวลาออกไปจนถึงเดือนตุลาคม 2551 และให้ใช้จ่ายเงินส่วนที่เหลืออยู่จำนวน 28.5 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษารายละเอียดเชิงลึกเพิ่มเติม ได้ตามที่เสนอมา ดังรายละเอียดที่ปรากฏในส่วนที่ 5 ของเอกสารประกอบวาระที่ 4.3 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 5 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 20 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน รวม 12 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการอบแห้งกุนเชียง | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | กันยายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(2) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สำนักงานพลังงานภูมิภาค 3 | พฤษภาคม 2550 | สิงหาคม 2550 |
(3) | โครงการศึกษาดัชนีการใช้พลังงานสำหรับหน่วยงานราชการ | ม.เชียงใหม่ | กันยายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(4) | โครงการออกแบบประตูบานเกล็ดเพื่ออนุรักษ์พลังงาน | ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | ธันวาคม 2548 | ธันวาคม 2550 |
(5) | โครงการกรุงเทพฯ ฟ้าใส ด้วยไบโอดีเซล | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | พฤศจิกายน 2550 | พฤศจิกายน 2551 |
(6) | โครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซชีวภาพจากระบบจัดการน้ำเสียโรงฆ่าสัตว์ | มูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม | กันยายน 2550 | สิงหาคม 2552 |
(7) | โครงการการส่งเสริมการผลิตการใช้ไบโอดีเซลในระดับชุมชน (ทดสอบการใช้ ไบโอดีเซลกับเครื่องยนต์การเกษตรเอนกประสงค์) | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | สิงหาคม 2550 | กุมภาพันธ์ 2551 |
(8) |
โครงการการศึกษาวิศวกรรมแบบบูรณาการเพื่อเพิ่มทักษะด้านการอนุรักษ์พลังงานสำหรับพนักงานปฏิบัติการในโรงงานอุตสาหกรรม |
ม.พระจอมเกล้าธนบุรี | เมษายน 2550 | ธันวาคม 2550 |
(9) |
โครงการอบรมบุคลากรเรื่องบูรณาการการเรียนการสอนด้านพลังงานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา |
มูลนิธิสิ่งแวดล้อมไทย | กันยายน 2550 | มีนาคม 2551 |
(10) | โครงการสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา รวม 3 ทุน | ม. พระจอมเกล้าธนบุรี | - | - |
(11) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 ทุน | ม.เชียงใหม่ | - | - |
(12) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 5 ราย | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 8 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการบูรณาการงานด้านพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด | สำนักงานพลังงานภูมิภาค 9 | ขอนำเงินค่าบริหารโครงการ ไปจัดซื้อเครื่องมือตรวจวัดการใช้พลังงาน จำนวน 6 ชุด ราคาชุดละ 29,799.50 บาท รวมเป็นเงิน 178,797 บาท |
(2) | โครงการการจัดการพลังงานพลังงานทั่วทั้งองค์กรสำหรับโรงแรมและการบริหารเปลี่ยนแปลง | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกันยายน 2550 เป็นเดือนพฤษภาคม 2551 และขอปรับรายละเอียดการรายงานความก้าวหน้าและการเบิกจ่ายเงิน |
(3) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 3 ทุน | - | ขอขยายระยะเวลาการศึกษาและเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 2 หน่วยงาน และขอโอนการชดใช้ทุน จำนวน 1 หน่วยงาน * |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | - | ขอเปลี่ยนแปลงคณะผู้วิจัย จำนวน 3 หน่วยงาน และ ขอสละสิทธิ์การรับทุน อุดหนุนการวิจัย จำนวน 1 หน่วยงาน |
(5) | โครงการศึกษากำหนดคุณภาพและคุณสมบัติของน้ำมันแก๊สโซฮอล์ที่เหมาะสมหลังปี 2550 | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2551 เป็นเดือนพฤษภาคม 2551 และปรับลดวงเงินจากเดิม 6,400,000 บาท เป็น 5,340,000 บาท |
(6) | โครงการตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากรถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงาน จากเดิมสิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ 2550 เป็นเดือนพฤศจิกายน 2550 และปรับลดจำนวนรถยนต์ที่ใช้ทดสอบจาก 2 คัน เหลือ 1 คัน พร้อมปรับลดวงเงินจาก 11,762,000 บาท เหลือ 11,296,500 บาท |
(7) | โครงการ การส่งเสริมการผลิต การใช้ไบโอดีเซลในระดับชุมชน (ขนาด 2,000 ลิตรต่อวัน) | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - ขอเปลี่ยนชุมชนต้นแบบการผลิตและใช้ไบโอดีเซล จาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เป็นศูนย์ทดลองวิชาการพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จังหวัดหนองคาย
- ขอโอนเงินกองทุนฯ หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ งานบริหารแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน 4,733,500 บาท ไปก่อสร้างอาคารโรงคลุมระบบผลิตไบโอดีเซล ศูนย์ทดลองวิชาการฯ จ.หนองคาย |
(8) | โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | ขอยกเลิกการดำเนินงานโครงการผลิต เมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง เพื่อเปลี่ยนไปดำเนินโครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมีระยะที่ 2 แทน ในวงเงิน 6,000,000 บาท |
* หมายเหตุ
(1)สำนักงานศาลปกครอง ขอขยายเวลาการศึกษาให้แก่ นางสาวรัชดาพร นิ่มพงษ์ศักดิ์ ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2552 เพื่อปรับปรุงวิทยานิพนธ์ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินทุนการศึกษา จำนวน 9,040 ปอนด์
(2) ม. อุบล ขอขยายเวลาการศึกษาให้แก่ นางสาวบงกช สุขอนันต์ ออกไปอีก 10 เดือน ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551 เพื่อใช้เวลาในการเขียนวิทยานิพนธ์ และขออนุมัติเพิ่มวงเงินจำนวน 9,550 ปอนด์
(3) กรมควบคุมมลพิษ ขอให้ นายสราวุธ เทพานนท์ โอนการชดใช้ทุนการศึกษาจากกรมควบคุมมลพิษ ไปปฏิบัติงานเป็นพนักงานของรัฐ ตำแหน่งอาจารย์ ในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาการขอขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดของโครงการฯ ทั้ง 20 โครงการแล้ว เห็นควรให้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 เห็นสมควรให้โครงการตามข้อ 1.1 (1)-(12) และข้อ 1.2 (1)-(7) รวม 19 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่เสนอมา เนื่องจากไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้วและไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง
2.2 ไม่เห็นสมควรให้โครงการตามข้อ 1.2 (8) เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการ เพราะเป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของโครงการไปจากเดิม เนื่องจาก พพ. จะขอยกเลิกการดำเนิน "โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง" และจะขอนำเงินของโครงการดังกล่าวไปใช้สำหรับดำเนิน "โครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมี ระยะที่ 2" แทน
ในกรณีข้างต้น ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าถ้า พพ. จะไม่ดำเนิน "โครงการผลิตเมทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเซลล์เชื้อเพลิง" ก็ควรส่งเงินจำนวนดังกล่าวคืนกองทุนฯ และถ้า พพ. จะดำเนิน "โครงการพัฒนาสาธิตการผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนเคมี ระยะที่ 2" ก็ควรจัดทำรายละเอียดโครงการฯ เสนอขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ต่อไป
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 1.1 (1)-(12) และ ข้อ 1.2 (1)-(7) รวม 19 โครงการ สามารถขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ไม่เห็นชอบให้ พพ. ปรับรายละเอียดของโครงการตามข้อ 1.2 (8) โดยให้พิจารณาดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กพช. ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2550 มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear Power Infrastructure Preparation Committee : NPIPC) เพื่อทำหน้าที่ในการจัดทำและเสนอแนะแผนงาน มาตรการ แนวทางในการดำเนินงานด้านการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากนิวเคลียร์เพื่อผลิตไฟฟ้า รวมทั้งการสื่อสารสาธารณะเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และนำไปสู่การยอมรับของประชาชน และมีการได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 7 คณะ เพื่อช่วยเหลือคณะกรรมการในการศึกษาประเด็นหลัก (Key Issues) ประกอบด้วย (1) คณะอนุกรรมการด้านระบบกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ (2)คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (3) คณะอนุกรรมการด้านการถ่ายทอด พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4)คณะอนุกรรมการความปลอดภัยนิวเคลียร์ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (5) คณะอนุกรรมการด้านสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน (6) คณะอนุกรรมการด้านการวางแผนด้านการเตรียมจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ และ (7) คณะอนุกรรมการยกร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์
โดยคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ และคณะอนุกรรมการฯ ได้จัดทำร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2550 และได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากทบวงพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) มาให้ความเห็นต่อร่างดังกล่าว พร้อมทั้งได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องทุกภาคฝ่าย เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2550 และนำข้อคิดเห็นที่ได้รับมาปรับปรุงร่างแผนงานฯ ที่สมบูรณ์ ประกอบด้วย 6 แผน คือ (1 )แผนงานด้านระบบกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ (2) แผนงานโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ (3) แผนการถ่ายทอดพัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (4) แผนด้านความปลอดภัยและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (5)แผนการสื่อสารและการยอมรับของสาธารณะ และ (6) การวางแผนการดำเนินการโครงสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
2. คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ ได้เสนอร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ต่อ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 116) เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 และที่ประชุมมีมติดังนี้
2.1 เห็นชอบในหลักการ แผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานฯ โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ รับไปศึกษาในรายละเอียดเพื่อจัดทำแผนให้สมบูรณ์ และเสนอ กพช. ต่อไป
2.2 เห็นชอบให้มีการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เป็นหน่วยงานภายในกระทรวงพลังงาน
2.3 เห็นชอบในการดำเนินโครงการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยจัดประชุมสัมมนาอย่างน้อย 8 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน
2.4 เห็นชอบแผนการดำเนินงานในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 - 2553) โดยมอบหมายให้คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ รับไปกำหนดแผนการดำเนินงานในรายละเอียดต่อไป
2.5 เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551 - 2553) จำนวน 1,800 ล้านบาท เพื่อใช้ในการจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ การดำเนินงานแผนงานด้านกฎหมาย ระบบกำกับและข้อผูกพันระหว่างประเทศ แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ แผนงานด้านพัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แผนงานด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม แผนงานด้านสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน และแผนงานด้านการเตรียมการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ โดยให้ตั้งงบประมาณรวมอยู่ในกระทรวงพลังงาน และให้กระทรวงพลังงานรับไปพิจารณาจัดหางบประมาณต่อไป
2.6 เห็นชอบให้การกำกับดูแลในระยะเริ่มแรกให้ใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลายฉบับไปพลางก่อน หลังจากนั้นมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รับไปยกร่างกฎหมายเฉพาะในการกำกับดูแล มาตรฐานและความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ โดยครอบคลุมถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
3. กระทรวงพลังงาน ได้มีข้อเสนอสำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ดังนี้
3.1 คณะอนุกรรมการยกร่างแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์ ได้มีการประชุมครั้งที่ 4/2550 (ครั้งที่ 4) เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2550 เพื่อรับทราบมติของ กพช. และให้คณะอนุกรรมการทั้ง 6 ชุด จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานและแผนงบประมาณในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ. 2551-2553) ซึ่งคาดว่าจะใช้จ่ายเงินประมาณ 450 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 1,350 ล้านบาท
3.2 เพื่อให้การดำเนินงานตามแผนฯ มีความต่อเนื่องและทันตามกำหนดเวลาที่ กพช. เห็นชอบไว้ กระทรวงพลังงานจึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ สนพ. ไว้สำหรับจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำนวน 250 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 750 ล้านบาท โดยมีแนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ จัดทำแผนการดำเนินงานในรายละเอียดของแต่ละโครงการและหน่วยงานที่รับผิดชอบ พร้อมกำหนดแหล่งทุนที่จะใช้สำหรับโครงการนั้น
ขั้นตอนที่ 2 โครงการที่คณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ กำหนดให้ใช้เงินจากกองทุนฯ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการฯ ยื่นข้อเสนอต่อ สนพ. เพื่อให้ความเห็นเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ขั้นตอนที่ 3 ข้อเสนอที่คณะอนุกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบแล้ว สนพ. จะแจ้งมติให้เจ้าของโครงการทราบ และลงนามในหนังสือยืนยันหรือสัญญากับเจ้าของโครงการ การเบิกจ่ายเงินงวดแรกให้ "เจ้าของโครงการ" เป็นไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือยืนยันหรือสัญญา
ขั้นตอนที่ 4 เจ้าของโครงการดำเนินการตามแผนงาน และรายงานผลให้ สนพ. ทราบทุกระยะ โดยมีคณะกรรมการเพื่อเตรียมการศึกษาความเหมาะสมฯ รับรองรายงานแต่ละฉบับ
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อต้องมีการจ่ายเงินตามงวดในหนังสือยืนยัน สนพ. จะดำเนินการเบิกเงินจากที่เก็บรักษาเงินกองทุนฯ เพื่อนำมารอจ่ายให้แก่เจ้าของโครงการ โดย สนพ. ต้องตรวจสอบให้เจ้าของโครงการดำเนินการตามหนังสือยืนยันหรือสัญญาก่อนจึงจ่ายเงินได้
ขั้นตอนที่ 6 สนพ. รายงานความก้าวหน้าและผลการดำเนินงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบเป็นระยะๆ รวมถึงติดตามประเมินผลโครงการด้วย
มติที่ประชุม
เห็นชอบการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ สนพ. จำนวน 250 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 750 ล้านบาท ไว้สำหรับจัดสรรเป็นเงินช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับดำเนินการตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในช่วง 3 ปีแรก (พ.ศ.2551 - 2553) และเห็นชอบกรอบ แนวทางและขั้นตอนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยนำคำแนะนำของที่ประชุมไปปรับให้ชัดเจนขึ้น และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
เรื่องที่ 7 ขอความเห็นชอบโครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า พพ. ได้จัดทำแผนงานเบื้องต้น "โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร" เสนอต่อ สนพ. เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานในวงเงินรวม 13,800,000 บาท (สิบสามล้านแปดแสนบาทถ้วน) ซึ่งมีระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ 6 เดือน
2. โครงการนี้มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
2.1 พพ. จะร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนา และกลุ่มธุรกิจพืชครบวงจร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ณ โรงสีข้าว จัดตั้งและสาธิตเครื่องจักรแปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร คือ โรงสีข้าวชุมชนและเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าจากแกลบ หรือ Gasifier ณ พื้นที่ของศูนย์บริการวิชาการเกษตร มูลนิธิชัยพัฒนา หมู่ 1 ตำบลบึงทองหลาง อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นการใช้ประโยชน์จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรหรือชีวมวล คือ แกลบ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยการนำไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า อีกทั้งเครื่องจักรทั้งสองดังกล่าว ยังเป็นนวัตกรรมด้านวิศวกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรที่ได้ทำการศึกษา ออกแบบ วิจัย พัฒนา และประดิษฐ์ขึ้นด้วยฝีมือคนไทยทั้งหมด จนประสบความสำเร็จ และสามารถนำไปใช้งานได้จริง
2.2 ศูนย์บริการวิชาการเกษตร มูลนิธิชัยพัฒนา จะเป็นสถานที่ตัวอย่างพร้อมถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจในการดำเนินกิจกรรมข้าวแบบครบวงจร สอดคล้องกับดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง คือ เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยเริ่มตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว การเพาะปลูกข้าว การทำเขตกรรมนาข้าว การเก็บเกี่ยวข้าว การแปรรูปจากข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร การบริหารจัดการการตลาด รวมถึงการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างแกลบจากโรงสีข้าวไปผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อป้อนกลับไปใช้ยังโรงสี และเหลือใช้ภายในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับการสร้างพลังงานทดแทน และการอนุรักษ์พลังงาน โดยเกษตรกรสามารถใช้ทุกพื้นที่นาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.3 พพ. ขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงินทั้งสิ้น 16,300,000 บาท ประกอบด้วย
หน่วยการผลิต | งบลงทุน (บาท) | (%) | |
หน่วยงานผู้สนับสนุนโครงการ | |||
กองทุนฯ | CP | ||
1. โรงสีข้าวชุมชน ซีพี-อาร์1000 (1,000 กก. ข้าวเปลือก/ชม.) | - | 2,500,000 | 15.34% |
2. Gasifier 200 kW (200 กิโลวัตต์) | 9,500,000 | - | 58.28% |
3. เครื่องอบลดความชื้น (30 ตัน ข้าวเปลือก/วัน) | 3,800,000 | - | 23.31% |
4. เครื่องสกัดน้ำมันรำ (80 กก. รำ/ชม.) | 500,000 | - | 3.07% |
รวมเงินลงทุนทั้งโครงการ | 13,800,000 | 2,500,000 | 100.00% |
2. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าโครงการนี้มีวัตถุประสงค์และแนวทางดำเนินโครงการฯ อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ จึงเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเห็นชอบให้ สนพ. จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ พพ. ในวงเงิน 13,800,000 บาท โดย สนพ. จะแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ คือ ดร. สมชาติ โสภณรณฤทธิ์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และ ดร. วีระชัย อาจหาญ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ร่วมพิจารณาข้อเสนอดังกล่าว และเมื่อ พพ. ปรับแผนงานของโครงการฯ ตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิเรียบร้อยแล้ว ผอ.สนพ. จะได้พิจารณาเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ พพ. ต่อไป
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ สนพ. ใช้จ่ายเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้ สนพ. สามารถขยายระยะเวลาการผูกพันและใช้จ่ายเงินต่อไปได้ถึงเดือนธันวาคม 2550 จัดสรรให้ พพ. ในวงเงิน 13,800,000 บาท (สิบสามล้านแปดแสนบาทถ้วน) เพื่อนำไปใช้จ่ายสำหรับ "โครงการศูนย์สาธิตและพัฒนาพลังงานทดแทนจากข้าวครบวงจร" โดยดำเนินการตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอความเห็นไว้
เรื่องที่ 8 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย
1. อธิบดี พพ. เสนอที่ประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพัฒนาพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2551 วงเงินรวม 64,780,000 บาท ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย จ.พิษณุโลก โดยมีเงื่อนไขให้ พพ. เพิ่มเติมหนังสือจากกรมป่าไม้เห็นชอบให้เข้าดำเนินการในพื้นที่ได้ด้วยนั้น
2. เนื่องจากการขอหนังสือให้ความเห็นชอบจากกรมป่าไม้เห็นชอบ ต้องใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ พพ. จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าไปดำเนินการขอใช้พื้นที่ป่าตามขั้นตอนของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้วย เช่น การดำเนินการร่วมประชุมกับราษฎร และ อบต. เพื่อขอมติจากที่ประชุมในการอนุญาตให้ใช้พื้นที่ รวมถึงเจ้าหน้าที่ของ พพ. ต้องเข้าสำรวจแนวเขตพื้นที่โครงการฯ เพื่อตรวจสอบสภาพพื้นที่ที่ขอใช้ก่อสร้างโครงการฯ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ เป็นต้น พพ. จึงขอปรับแผนค่าใช้จ่ายโดยขอจัดสรรเงินจำนวน 3,307,800 บาท มาใช้เป็นค่าดำเนินงานบริหารโครงการฯ โดยวงเงินรวมไม่เปลี่ยนแปลง
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ พพ. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายของโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กแควน้อย โดยจัดสรรเงินจำนวน 3,307,800 บาท ไปใช้เป็นค่าดำเนินงานบริหารโครงการฯ ได้ตามที่ขอมา
กอ. ครั้งที่ 49 - วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2552
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2552 (ครั้งที่ 49)
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม 2552 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552
2. รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 2549 และ 2550 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
3. รายงานการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550
4. งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
5. เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2552
6. การนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฝากธนาคารของรัฐ
7. การขอปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
8. การขอขยายระยะเวลาผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 ของ พพ.
รองนายกรัฐมนตรี (นายกอบศักดิ์ สภาวสุ) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า นายปิยะวัติ บุญ-หลง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามหนังสือที่ นร 6809/0143/2552 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2552 โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 เป็นต้นไป เนื่องจากหมดวาระการดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
มติที่ประชุม
รับทราบการลาออกจากคณะกรรมการกองทุนฯ ของนายปิยะวัติ บุญ-หลง
เรื่องที่ 1 รายงานฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานที่ประชุมเพื่อทราบฐานะการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 มีเงินคงเหลือ จำนวน 10,632,792,295.63 บาท โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
1. | เงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน | 5,465,968,767.07 บาท |
2. | เงินโครงการพัฒนาระบบการขนส่ง | 5,166,823,528.56 บาท |
รวมเป็นเงิน | 10,632,792,295.63 บาท | |
ประกอบด้วย | ||
1) เงินฝากธนาคารกรุงไทย - ออมทรัพย์ | 10,556,897,955.63 บาท | |
2) เงินฝากธนาคารกสิกรไทย - ออมทรัพย์ | 75,894,340.00 บาท |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบฐานะการเงินกองทุนฯ สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 2549 และ 2550 ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
1. ระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 30 กำหนดให้กรมบัญชีกลาง (บก.) จัดทำรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนและเงินคงเหลือบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นรายไตรมาส และส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อทราบ และให้จัดทำงบการเงินประจำปีส่งให้ สตง. ตรวจสอบรับรอง แล้วรายงานให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบต่อไป
2. บก. ได้รายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 2549 และ 2550 โดย สตง. มีข้อเสนอแนะให้กองทุนฯ ดำเนินการต่างๆ ดังนี้
2.1 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำเงินกองทุนฯ ที่เบิกจาก บก. และค้างจ่ายอยู่ที่ สนพ. ณ วันที่ 30 กันยายน 2549 จำนวน 184,476,648.16 บาท เพื่อรอจ่ายให้กับผู้ได้รับจัดสรรเงินกองทุนฯ หรือคู่สัญญา ตามโครงการต่างๆ โดยให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินดังกล่าว ที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว หากโครงการใดมีปัญหาอุปสรรค ที่ทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนงานเดิม ก็ควรส่งเงินจำนวนนั้นคืนกองทุนฯ
2.2 ให้ สนพ. นำเงินสนับสนุนทุนการศึกษา ทุนวิจัย ทุนฝึกอบรม และเงินพัฒนาหลักสูตรสื่อการเรียนการสอน ที่เบิกจากกองทุนฯ ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2543 - 2549 และค้างอยู่ที่ สนพ. ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 จำนวน 14,083,873.77 บาท ส่งคืนกองทุนฯ
2.3 ให้เรียกเงินคืนจาก กทม. ในส่วนที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ และมิได้ดำเนินการตามแผนที่กำหนด ตามโครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง จำนวน 45,500,000 บาท พร้อมดอกผลนำส่งคืนกองทุนฯ โดยเร็ว
2.4 ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) นำเงินค่าปรับจำนวน 1,149,457.80 บาท และเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2545-2549 ที่สถาบันการเงินส่งคืนรวมทั้งดอกเบี้ย ส่งคืนกองทุนฯ จำนวน 1,283,204,374.89 บาท
2.5 ให้ตรวจสอบหาสาเหตุที่ทำให้โครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถดำเนินการตามแผนงานหรือการดำเนินงานไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และหาแนวทางแก้ไขเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ บรรลุวัตถุประสงค์ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ข้อ 25
2.6 ให้นำเสนอผลการตรวจสอบของ สตง. ให้คณะกรรมการกองทุนฯ รับทราบปัญหา อุปสรรค จากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาสั่งการให้มีการปฏิบัติตามแผนงานที่กำหนด และให้การดำเนินงานโครงการบรรลุวัตถุประสงค์ โดยถือปฏิบัติตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 30 โดยเคร่งครัด
3. สนพ. และ พพ. ได้ดำเนินการตามที่ สตง. ได้เสนอแนะแล้ว โดยได้ส่งเงินคืนกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2552
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบรายงานผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 2549 และ 2550 ของ สตง. ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และในส่วนโครงการจัดซื้อรถเก็บขนมูลฝอยชนิดใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ที่ประชุมได้มีมติให้ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้ง กทม. ให้ยุติโครงการและส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้ กทม. ยื่นขอรับการสนับสนุนอีกครั้ง เมื่อพร้อมที่จะดำเนินโครงการดังกล่าว
เรื่องที่ 3 รายงานการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2550
1. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้แต่งตั้ง "คณะทำงานเตรียมการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน)" เพื่อทำหน้าที่ในการเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน โดยมี ปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะทำงานฯ และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินกองทุนฯ เป็นคณะทำงานฯ และผู้แทน สนพ. เป็นคณะทำงานและเลขานุการฯ
2. "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ได้เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของ บก. ในปีประจำบัญชี 2549 โดยมีประธานกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้ลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) กับกระทรวงการคลัง โดย บก. ได้มอบหมายให้ บริษัท ไทยเรตติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส จำกัด เป็นผู้ดำเนินการประเมิน
3. เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินงานฯ มีเกณฑ์ที่เหมาะสม ถูกต้อง ตามสภาพความเป็นจริงของการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน บก. จึงได้กำหนดเกณฑ์ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน รวม 7 ตัวชี้วัด ดังนี้
1. ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (15%)
ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2550 อยู่ในระดับร้อยละ 94.01 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 3.8020
ตัวชี้วัดที่ 1.2 ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริหารกองทุนฯ ที่เกิดขึ้นจริงเทียบกับงบประมาณ ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2550 อยู่ในระดับร้อยละ 69.64 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.0000
2. ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (30%)
ตัวชี้วัดที่ 2.1 ร้อยละของโครงการที่มีการทำสัญญาของแต่ละแผนงาน ต่อจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติทั้งหมดของแต่ละแผนงาน ผลการดำเนินงานสิ้นปี 2550
- แผนพลังงานทดแทน อยู่ในระดับร้อยละ 95.00 ส่งผลให้ได้คะแนน 4.0000
- แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อยู่ในระดับร้อยละ 94.05 ส่งผลให้ได้คะแนน 3.8100
- แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ อยู่ในระดับร้อยละ 100 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.0000
ตัวชี้วัดที่ 2.2 ร้อยละของจำนวนโครงการที่สามารถดำเนินงานได้ตามแผนภายระยะเวลาที่กำหนดต่อจำนวนโครงการทั้งหมด
- แผนพลังงานทดแทน อยู่ในระดับร้อยละ 76.03 ส่งผลให้ได้คะแนน 1.0000
- แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน อยู่ในระดับร้อยละ 64.44 ส่งผลให้ได้คะแนน 1.0000
- แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ อยู่ในระดับร้อยละ 100 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 5.0000
3. การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (15%)
ตัวชี้วัดที่ 3.1
- การศึกษาแนวทางความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างการบริหารกองทุนฯ เนื่องจากคณะอนุกรรมการกองทุน มีอำนาจคัดเลือกโครงการและมีอำนาจในการบริหารจัดการมากขึ้นแล้ว ตาม พรบ. (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 จึงไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน 3 ขั้นตอนได้ ทำให้มีระดับคะแนน 1.0000
- การศึกษารูปแบบการบริหารกองทุนฯ เนื่องจากมี กฎหมายที่กำหนดให้จัดตั้งกองทุนในกระทรวงพลังงานแล้ว ตาม พรบ. (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2550 จึงไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอน 3 ขั้นตอน ส่งผลให้มีระดับคะแนน 1.0000
4. การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (40%)
ตัวชี้วัดที่ 4.1 เนื่องจากกองทุนฯ จะโอนจาก กระทรวงการคลังมายังกระทรวงพลังงาน เพื่อรอความชัดเจนของการโอนงาน จึงยังไม่ได้ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ และคาดว่าการพัฒนา/ปรับปรุงโปรแกรมสำเร็จรูปการบริหารการเงินจะดำเนินการได้ประมาณปี 2552 ส่งผลให้ได้รับคะแนน 2.5292
ตัวชี้วัดที่ 4.2 การติดตามประเมินผลตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สิ้นปี 2550 ได้สรุปรายงานการติดตามประเมินผลลัพธ์ และเสนอคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ โดยได้รับความเห็นชอบ ภายใน 30 กันยายน 2550 ส่งผลให้มีระดับคะแนน 5.0000 ทำให้ผลการดำเนินงานดีกว่าเป้าหมายมาก
4. ในปีบัญชี 2549 TRIS ประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ โดยภาพรวม อยู่ในระดับ 3.6036 คะแนน และสำหรับในปีบัญชี 2550 บก. ได้รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ให้ทราบว่า อยู่ในระดับ 2.843 คะแนน
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบรายงานการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2550
เรื่องที่ 4 งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2550 ได้รับทราบแผนอนุรักษ์พลังงานและเป้าหมาย ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2554 ตามที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเสนอ โดยมีเป้าหมายและการดำเนินการจะลดปริมาณการใช้พลังงานลง 7,820 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อย 10.8 ของความต้องการใช้พลังงานทั้งหมดของประเทศในปี 2554 และกำหนดเป้าหมายการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้แทนพลังงานเชิงพาณิชย์ 8,858 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นร้อยละ 12.2 ของความต้องการใช้พลังงานในปี 2554
2. ณะกรรมการกองทุนฯ ได้จัดสรรเงินกองทุนฯ จำนวน 89,848,165,183 บาท เพื่อนำไปช่วยเหลือ อุดหนุน หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียน สนับสนุนการดำเนินงานตามแผนดังกล่าว เป็นรายจ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 18,881 ล้านบาท และงบประมาณรอจ่ายสำหรับ โครงการลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง จำนวน 70,967 ล้านบาท โดยอนุมัติจำนวนเงินจำแนกตามแผนงานรายปี ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | 2555 | รวม 5 ปี |
1. แผนพลังงานทดแทน | 4,838 | 1,190 | 1,315 | 880 | 1,110 | 9,332 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | 12,549 | 15,927 | 17,940 | 17,116 | 16,736 | 80,267 |
- ดำเนินการตามแผนอนุรักษ์ฯ | 5,838 | 2,356 | 428 | 351 | 328 | 9,300 |
- ลงทุนพัฒนาระบบการขนส่ง | 6,711 | 13,571 | 17,512 | 16,765 | 16,408 | 70,967 |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 249 | 249 | ||||
รวม (ล้านบาท) | 17,635 | 17,116 | 19,255 | 17,996 | 17,846 | 89,848 |
รวม (ล้านบาท) ไม่รวมขนส่ง | 10,924 | 3,545 | 1,743 | 1,231 | 1,438 | 18,881 |
3.ความคืบหน้าของการดำเนินงานและการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เป็นไปตามแผนฯ โดยงบประมาณปี 2551 จำนวน 10,924 ล้านบาท มีการเบิกจ่าย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 จำนวน 2,393 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22 และเป็นเงินส่งคืนกองทุนฯ จำนวน 924 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 โดยรายจ่ายผูกพันของงบประมาณปี 2551 จำนวน 7,607 ล้านบาท โดยสรุปผลการดำเนินงานได้ดังนี้
(1) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงาน ภาคอุตสาหกรรม
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. การดำเนินการตาม พรบ. * | - | - | 25 | 50 | 100 | 211 |
2. การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี | 52 | 134 | 232 | 341 | 454 | 570 |
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
3. การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ | 75 | 200 | 300 | 400 | 500 | 600 |
4. ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ ESCO | 12 | 49 | 97 | 153 | 224 | 300 |
5. การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม | 47 | 100 | 200 | 300 | 400 | 551 |
6. การสาธิตเทคโนโลยีระดับสูง | - | 9 | 25 | 50 | 100 | 200 |
7. DSM Bidding+โรงแรม | 75 | 149 | 149 | 149 | 149 | |
8. นโยบาย CoGen | 311 | 358 | 406 | 500 | 608 | |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 186 | 878 | 1,387 | 1,849 | 2,427 | 3,190 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 255 1,345 |
(2) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงาน ด้านการจัดการ
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. มาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ไฟฟ้า | ||||||
กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ (MEPs) | 7 | 36 | 63 | 93 | 134 | 179 |
กำหนดมาตรฐานขั้นสูง (Labeling) | 70 | 77 | 81 | 100 | 120 | 158 |
2. มาตรฐานเครื่องจักรอุปกรณ์ความร้อน | ||||||
กำหนดมาตรฐานขั้นสูง เตา LPG | 3 | 6 | 8 | 11 | 14 | |
3. มาตรฐานสำหรับยานยนต์ | 4 | 8 | 40 | 100 | 140 | |
4. มาตรฐานสำหรับอาคาร | 1 | 1 | 1 | |||
5. ส่งเสริมการใช้งานอุปกรณ์ | 1 | 10 | 19 | 28 | ||
6. ส่งเสริมการใช้เตาถ่านประสิทธิภาพสูง | 6 | 17 | 28 | 46 | 68 | |
7. ส่งเสริม CFL | 2 | 17 | 31 | 46 | 46 | |
8. ส่งเสริม T5 | 18 | 56 | 148 | 260 | 408 | |
9. รณรงค์สร้างจิตสำนึก/ราชการ | 49 | 79 | 111 | 140 | 172 | 176 |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 126 | 225 | 360 | 599 | 908 | 1,217 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 2551 | 223 |
(3) เป้าหมายและผลลดการใช้พลังงาน ภาคขนส่ง
แผนและเป้าหมาย | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 |
1. ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งมวลชน | 127 | 136 | 144 | 153 | 1,441 | 1,554 |
2. ปรับปรุงระบบจัดการจราจร | 25 | 34 | 45 | 60 | 80 | 106 |
3. ส่งเสริมธุรกิจ LOGISTIC DEPOT และ ICD | 100 | 100 | 450 | 800 | 1,150 | 1,450 |
4. สร้างเครือข่ายระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพ | 155 | 167 | 180 | 180 | 180 | 180 |
5. นโยบาย ECO CAR | 0 | 0 | 0 | 26 | 66 | 123 |
เป้าหมายผลประหยัด ktoe (สะสม) | 407 | 437 | 819 | 1,219 | 2,917 | 3,413 |
ผลประหยัด ktoe (สะสม) ณ ปี 2551 445 |
(4) เป้าหมายและผลลดการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน
ประเภท | ผล | เป้าหมาย | ผล | เป้าหมาย | ตามแผน 15 ปี | หน่วย |
ปี 2550 | ปี 2551 | ปี 2551 | ปี 2554 | ปี 2554* | ||
1. การผลิตไฟฟ้า | ||||||
(1) พลังงานแสงอาทิตย์ | 32 | 34 | 36 | 45 | 55 | MW |
(2) พลังงานลม | 0.96 | 16 | 3.1 | 115 | 150 | MW |
(3) พลังงานน้ำ | 50 | 59 | 66 | 156 | 165 | MW |
(4) พลังงานชีวมวล | 1,507 | 1,807 | 1,655 | 2,800 | 2,800 | MW |
(5) ขยะ | 4.25 | 14.3 | 4.25 | 100 | 60 | MW |
(6) ก๊าซชีวภาพ | 29.2 | 34.2 | 68.8 | 60 | 100 | MW |
2. การใช้ความร้อน | ||||||
(7)พลังงานชีวมวล | 2,345 | 2,645 | 2,406 | 3,660 | 3,544 | ktoe/ปี |
(8)ก๊าซชีวภาพ | 79 | 140 | 144 | 370 | 540 | ktoe/ปี |
(9)พลังงานแสงอาทิตย์ | 0.3 | 0.9 | 0.3 | 5 | 17 | ktoe/ปี |
3. การใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ | ||||||
(8) เอทานอล | 0.55 | 1.3 | 0.8 | 2.4 | 3 | ล้านลิตร/วัน |
(9) ไบโอดีเซล | 0.07 | 1.2 | 1.3 | 3 | 3 | ล้านลิตร/วัน |
4. กระทรวงพลังงาน มีการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2552 เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ได้มีงบประมาณสำหรับใช้เป็นหลักในการใช้จ่ายเป็นเงินหมุนเวียน เงินช่วยเหลือ หรือเงินอุดหนุนสำหรับการลงทุน และดำเนินงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน มาตรา 25 แห่ง "พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" โดยมี "คณะทำงานพิจารณากลั่นกรองงบประมาณประจำปี 2552 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ที่ประธานคณะอนุกรรมการกองทุนฯ แต่งตั้ง ทำหน้าที่กลั่นกรองงบประมาณและแผนการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆ ที่จะขอจัดสรรจากกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2552 ซึ่งคณะทำงานฯ ได้ยึดตามภารกิจสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้
(1) ภารกิจตามข้อกำหนดและกฎหมาย พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
(2) ภารกิจตามยุทธศาสตร์ระดับชาติ นโยบายรัฐบาล และกระทรวงพลังงาน
(3) ภารกิจตามเจตนารมณ์ของกองทุนฯ ตามมาตรา 25 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และตามแผนและเป้าหมายอนุรักษ์พลังงาน ในช่วงปี 2551-2554
คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายเรียบร้อยแล้ว สรุปผลงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ของกองทุนฯ เป็นจำนวนไม่เกิน 2,405,004,804 บาท โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็น 2 หน่วยงานผู้เบิกเงินกองทุนฯ คือ พพ. จำนวน 1,549,388,680 บาท และ สนพ. จำนวน 855,616,124 บาท
5. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2552 ได้รับทราบผลการดำเนินงานในช่วงปี 2551 และพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 ของกองทุนฯ แล้ว เห็นควรให้เพิ่มเติมงบประมาณแผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลมจาก 12,000,000 บาท เป็น 27,000,000 บาท เพื่อให้ พพ. ดำเนินการติดตั้งสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลมเพิ่มเติม ในส่วนที่ พพ. ไม่สามารถดำเนินการผูกพันงบประมาณได้ทันในปีงบประมาณ 2551 จึงเห็นชอบรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เป็นจำนวน 2,420,004,804 บาท ดังนี้
จำแนกตามแผนอนุรักษ์พลังงาน | รวม | ร้อยละ | จำแนกตามหน่วยผู้เบิก (บาท) | |
พพ. | สนพ. | |||
1. แผนพลังงานทดแทน | 974,012,560.00 | 40.25% | 436,388,680.00 | 537,623,880.00 |
1.1 งานศึกษาวิจัยพัฒนา | 236,540,000.00 | 10% | 86,540,000.00 | 150,000,000.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 275,895,680.00 | 11% | 275,895,680.00 | - |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 435,276,880.00 | 18% | 47,653,000.00 | 387,623,880.00 |
1.4 งานบริหารแผนงาน | 26,300,000.00 | 1% | 26,300,000.00 | |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 1,329,700,000.00 | 54.95% | 1,128,000,000.00 | 201,700,000.00 |
2.1 งานศึกษาวิจัยพัฒนา | 93,500,000.00 | 4% | 58,500,000.00 | 35,000,000.00 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 1,011,500,000.00 | 42% | 1,011,500,000.00 | - |
2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 202,200,000.00 | 8% | 35,500,000.00 | 166,700,000.00 |
2.4 งานบริหารแผนงาน | 22,500,000.00 | 1% | 22,500,000.00 | |
3. แผนบริหารเชิงกลยุทธ์ | 116,292,244.00 | 4.81% | - | 116,292,244.00 |
3.1 งานศึกษาวิจัยเชิงนโยบาย | 15,000,000.00 | 1% | - | 15,000,000.00 |
3.2 งานบริหารแผนงาน | 101,292,244.00 | 4% | - | 101,292,244.00 |
รวมงบประมาณ กทอ. ปี 2552 | 2,420,004,804.00 | 100% | 1,564,388,680.00 | 855,616,124.00 |
เนื่องด้วย พพ. และ สนพ. มีงานบริหารเกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานที่ต้องดำเนินงานต่อเนื่อง เช่น การเบิกจ่ายเงินให้หน่วยงาน โครงการ ตามข้อผูกพันสัญญาฯ การประสานหน่วยงาน โรงงาน อาคาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมายอนุรักษ์พลังงาน การให้คำแนะนำกับประชาชนในเรื่องวิธีประหยัดพลังงาน ฯลฯ จึงมีรายจ่ายประจำที่จำเป็นเพื่อการบริหารงานที่เกิดขึ้นแล้ว ได้แก่ ค่าจ้างลูกจ้างชั่วคราว ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการสัมมนา ค่าใช้จ่ายในการจัดงานวันครบรอบสถาปนา สนพ. และ เงินสมทบกองทุนประกันสังคมฝ่ายนายจ้าง เป็นต้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาเห็นชอบให้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2552 ของกองทุนฯ งานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551
มติที่ประชุม
อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 ของกองทุนฯ เป็นจำนวน 2,396,252,804 บาท (สองพันสามร้อยเก้าสิบหกล้านสองแสนห้าหมื่นสองพันแปดร้อยสี่บาทถ้วน) โดยแบ่งรายจ่ายออกเป็น 2 หน่วยงานผู้เบิกเงินกองทุนฯ ดังนี้
(1) พพ. จำนวน 1,540,636,680 บาท (หนึ่งพันห้าร้อยสี่สิบล้านหกแสนสามหมื่นหกพันหกร้อยแปดสิบบาทถ้วน)
(2) สนพ. จำนวน 855,616,124 บาท (แปดร้อยห้าสิบห้าล้านหกแสนหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยยี่สิบสี่บาทถ้วน)
หน่วย : บาท
หน่วยงาน | แผนพลังงานทดแทน | แผนเพิ่มประสิทธิภาพฯ | แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | รวม |
1) พพ. | 412,636,680 | 1,128,000,000 | 1,540,636,680 | |
2) สนพ. | 537,623,880 | 201,700,000 | 116,292,244 | 855,616,124 |
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้อนุมัติให้ค่าใช้จ่ายในงานบริหารของทั้ง 3 แผนงาน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
เรื่องที่ 5 เกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีบัญชี 2552
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 มีมติอนุมัติให้หน่วยงานต่างๆ ที่มีเงินนอกงบประมาณ ถือปฏิบัติตามมาตรการกำกับดูแลเงินนอกงบประมาณ ที่กระทรวงการคลังเสนออย่างเคร่งครัด โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามผลการดำเนินงาน ซึ่ง บก. เริ่มใช้ระบบประเมินผลทุนหมุนเวียนตั้งแต่ปีบัญชี 2547 เป็นต้นไป โดยกองทุนฯ เป็นทุนหมุนเวียนที่เข้าสู่ระบบประเมินผลการดำเนินงาน ตั้งแต่ปีบัญชี 2549
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดประชุมเพื่อหารือระหว่างผู้ถูกประเมินกับผู้ประเมิน คือ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ทริส) เพื่อจัดทำร่างเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552 และ ตัวชี้วัดที่จะต้องทำการประเมินที่เหมาะสม ถูกต้อง ตามสภาพความเป็นจริงของการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน
3. บก. ได้มีหนังสือเรื่อง "การลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552" ให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนเสนอให้ประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานฯ และส่งคืน บก. ภายในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือเวียนถึง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน)" โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธาน เพื่อขอความเห็นชอบร่างเกณฑ์การประเมินผลฯ ตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ซึ่งคณะทำงานเตรียมการฯ ได้มีมติเห็นชอบร่างเกณฑ์การประเมินผลฯ ตามบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 และให้นำเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ และ คณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 ที่ประธานกรรมการกองทุนฯ จะลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินกับกระทรวงการคลัง ตามที่ บก. เสนอมาโดยให้สอดคล้องกับร่างเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552 แล้ว โดยจะประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน 4 ด้าน 10 ตัวชี้วัด สรุปได้ ดังนี้
เกณฑ์วัดการดำเนินงาน | สาระสำคัญของเกณฑ์วัด | |
1. ผลการดำเนินงานด้านการเงิน (ร้อยละ 15) | ||
ตัวชี้วัดที่ 1.1 | ร้อยละของงบประมาณที่มีการผูกพันสัญญาต่องบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนฯ (ร้อยละ 10) |
ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 โดยปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของกองทุน |
ตัวชี้วัดที่ 1.2 | ค่าใช้จ่ายบริหารที่เกิดขึ้นจริงและผูกพันเทียบกับงบประมาณ (ร้อยละ 5) |
ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 โดยปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของกองทุน |
2. ผลการดำเนินงานด้านปฏิบัติการ (ร้อยละ 33) | ||
ตัวชี้วัดที่ 2.1 | ร้อยละของจำนวนโครงการที่มีการทำสัญญา ของแต่ละแผนงาน ต่อจำนวนโครงการ ที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด ของแต่ละแผนงาน (ร้อยละ 16)
|
ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 |
ตัวชี้วัดที่ 2.2 | ร้อยละความสำเร็จของจำนวนโครงการที่ผูกพันและดำเนินงานได้ตามแผนภายในปีบัญชี 2552 ต่อจำนวนโครงการที่ผูกพันและมีแผนดำเนินงานภายในปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 17)
|
ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 |
3. การสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (ร้อยละ 15) | ||
ตัวชี้วัดที่ 3.1 | การจัดทำแผนการปรับปรุงการให้บริการจากผลสำรวจความพึงพอใจและการดำเนินงานตามแผนการปรับปรุงฯ ประจำปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 15) |
ดำเนินงานต่อจากปี 51 ซึ่งได้สำรวจความพึงพอใจของผู้รับบริการกองทุนไว้เสร็จแล้ว โดยในปี 52 เป็นการจัดทำแผนการปรับปรุงการดำเนินงานจากผลสำรวจความพึงพอใจ พร้อมกับดำเนินงานตามแผนให้ทันภายใน 30 กันยายน 2552 |
4. การบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน (ร้อยละ 37) | ||
ตัวชี้วัดที่ 4.1 | การทบทวนแผนกลยุทธ์กองทุนฯ (ร้อยละ10) |
เป็นการทบทวนแผนกลยุทธ์ของกองทุนซึ่งเคยทำไว้เมื่อปี 49 ให้ทันสมัย โดยต้องวิเคราะห์สถานการณ์สิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ SWOT กองทุน ตลอดจนกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมายระยะยาว และเป้าหมายประจำปี เพื่อนำไปสู่การบรรลุตามวิสัยทัศน์ของกองทุนฯ และแผนจะได้ระดับ 5 เมื่อได้รับความเห็นชอบจากประธานคณะทำงานเตรียมการฯ |
ตัวชี้วัดที่ 4.2 | การจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2553 (ร้อยละ 7) |
เป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบัญชี 2553 ให้มีความสอดคล้องกับกลยุทธ์ของกองทุน ตามตัวชี้วัด 4.1 โดยมีการกำหนดเป้าหมาย น้ำหนัก ผลลัพธ์ ที่สามารถวัดได้ในแต่ละกิจกรรมไว้อย่างชัดเจน และสามารถใช้ในการประเมินผลได้ |
ตัวชี้วัดที่ 4.3 | การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ ประจำปีบัญชี 2552 (ร้อยละ 8) |
|
|
เป็นการศึกษาและปรับปรุงระบบฐานข้อมูลสารสนเทศและโปรแกรมสำเร็จรูปของ 2 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกองทุน คือ สนพ. และ พพ. ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยในปี 52 เป็นการศึกษาระบบที่มีอยู่แล้วของทั้ง 2 หน่วยงาน และในปี 53 จึงเริ่มดำเนินการ | |
|
เป็นการประเมินเกี่ยวกับการจัดประชุม/สัมมนา เกี่ยวกับปัญหาของหน่วยงานภายในกองทุน และการจัดอบรมให้ความรู้แก่หน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรเงินของกองทุน | |
ตัวชี้วัดที่ 4.4 | การติดตามประเมินผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ร้อยละ 7) | ประเมินผลการดำเนินงานเช่นเดียวกับปี 49 50 และ 51 และปรับรายละเอียดให้สอดคล้องกับการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการประเมินผลภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน |
ตัวชี้วัดที่ 4.5 | บทบาทของผู้บริหารกองทุนฯ (ร้อยละ 5) |
เป็นตัวชี้วัดร่วมของกองทุนต่างๆ กับกระทรวงการคลัง ที่มีสินทรัพย์ของกองทุนตั้งแต่พันล้านบาทขึ้นไป ตัวชี้วัดนี้เป็นประเมินการทำหน้าที่ของผู้บริหารกองทุนฯ และฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อให้ผู้บริหารให้ความสำคัญกับการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนที่อยู่ในความดูแลซึ่งประกอบด้วย 1. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ 2. คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (กองทุนฯ) ที่มี ปพน. เป็นประธาน 3. สนพ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ ของทั้ง 2 คณะ ประเด็นสำคัญในการประเมินคือ 1. มีการประชุมและติดตามการดำเนินงานของคณะกรรมการทั้ง 2 คณะ ทุกไตรมาสหรือไม่ รวมทั้งมีมติ ข้อเสนอแนะและข้อสังเกตอย่างไร 2. ในส่วนของ สนพ. ได้ดำเนินการตามมติตามข้อ 1 ครบถ้วนหรือไม่ |
มติที่ประชุม
เห็นชอบเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ประจำปีบัญชี 2552 และ มอบอำนาจให้ประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ลงนามในบันทึกข้อตกลงการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2552 กับ กระทรวงการคลัง ต่อไป
เรื่องที่ 6 การนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานฝากธนาคารของรัฐ
1. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ตามมาตรา 24 ได้กำหนดให้จัดตั้ง "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ในกระทรวงพลังงาน เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียน และใช้จ่ายช่วยเหลือ หรือ อุดหนุนการดำเนินงาน และ พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 มาตรา 24/1 กำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินจาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในกระทรวงการคลัง" ไปเป็นของ "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน" โดยปลัดกระทรวงพลังงานมอบหมายให้ สนพ. ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้รับโอนงาน
2. สนพ. ฝากเงินกองทุนฯ ไว้กับ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานขาว ประเภทออมทรัพย์ และเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขา กิ่งเพชร) สำหรับรองรับการโอนเงินจากบัญชีเงินฝากกองทุนฯ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเบิกจ่ายเงิน และโอนเงินให้แก่ผู้เบิกเงินกองทุน ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551 ตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 หมวด 1 การรับเงินกองทุน ข้อ 6.
3. เงินรวมของกองทุนฯ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 มีจำนวนประมาณ 10,632 ล้านบาท โดยเป็นเงินรอจ่ายให้กับผู้เบิกเงินกองทุนฯ คือ สนพ. และ พพ. นำไปใช้จ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินประมาณ 6,000 ล้านบาทต่อปี ส่วนจำนวนเงินที่เหลืออยู่ประมาณ 4,600 ล้านบาท จะเก็บอยู่ใน ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสะพานขาว ประเภทออมทรัพย์ และเกิดดอกผลในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ปัจจุบัน ร้อยละ 0.50 บาทต่อปี ทำให้กองทุนฯ เสียโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูงจากเงินฝากที่มีอยู่ 4,600 ล้านบาท ทั้งนี้ โดยวิธีปฏิบัติเมื่อครั้งที่กองทุนฯ ยังอยู่ในกระทรวงการคลังนั้น บก. จะนำเงินกองทุนฯ ส่วนที่เกินความจำเป็นใช้ตามช่วงเวลานั้นๆ ไปฝากกับสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประเภทฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน หรืออื่นๆ ที่มีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่สูงกว่าประเภทออมทรัพย์ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะบริหารเงินของกองทุนฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. สนพ. (ในฐานะผู้เก็บรักษาเงินของกองทุนฯ) เห็นว่า ถ้าสามารถจัดสรรเงินโดยคำนึงถึงสภาพคล่องของกองทุนฯ และนำเงินส่วนที่เกินความจำเป็นต้องใช้ตามช่วงเวลานั้นๆ ไปฝากกับสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ประเภทฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน หรืออื่นๆ เหมือนดังที่ บก. ได้เคยปฏิบัติไว้ ก็จะเป็นอีกทางหนึ่งที่การบริหารเงินของกองทุนฯ จะเกิดประโยชน์มากขึ้น
มติที่ประชุม
เห็นชอบและมอบอำนาจให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอนุมัติวงเงินและประเภทเงินฝากที่จะนำเงินกองทุนฯ ที่เกินความจำเป็นในการเบิกจ่ายเงินตามภาระผูกพัน ฝากธนาคารที่เป็นของรัฐ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และเมื่อดำเนินการแล้วให้รายงานคณะกรรมการกองทุนฯ รับทราบต่อไป
เรื่องที่ 7 การขอปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณาและอนุมัติไว้ รวมจำนวน 52 โครงการ โดยตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินฯ ตามข้อ 1.3 (2) หมวด 3 ข้อ 24 กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงรายการ ระยะเวลาดำเนินการไปจากรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนได้อนุมัติไว้แล้ว จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ก่อน จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาเหตุผลและรายละเอียดที่เจ้าของโครงการฯ ทั้ง 52 โครงการ ได้แจ้งขอเปลี่ยนแปลงแล้ว โดยจำแนกเรื่องที่ขอเปลี่ยนแปลงออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
2.1 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 17 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุน ไว้กับ พพ. จำนวน 10 โครงการ และ สนพ. จำนวน 7 โครงการ โดยคู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรได้ส่งงาน/รายงานตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว แต่การตรวจรับงานของ พพ. และ สนพ. พบว่าผลงานยังไม่สมบูรณ์ตามข้อตกลง เช่น ขาดรายละเอียด ขาดข้อมูลหรือเอกสารอ้างอิง ขาดประเด็นสำคัญ ฯลฯ และให้คู่สัญญาหรือผู้ได้รับจัดสรรเงินนั้น ดำเนินการให้รายงานฉบับนั้นๆ เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งการปรับปรุงรายงานได้ใช้เวลาระยะหนึ่ง ที่ส่งผลให้เลยกำหนดระยะเวลา 3 เดือน นับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาหรือหนังสือยืนยันการรับทุน พพ. และ สนพ. จึงได้เสนอขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ
การปฏิบัติข้างต้น เป็นการดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 16 ที่ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายเงินกองทุนไว้ "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ กรณีผู้เบิกเงินกองทุนก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณแต่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ทันภายในปีงบประมาณนั้นๆ ให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายรายการนั้นๆ ต่อไปได้ ภายในสาม (3) เดือนนับจากเวลาสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา"
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขยายเวลาของทั้ง 17 โครงการดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 17 โครงการดังกล่าว ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายแต่ละรายการ ได้ตามที่เสนอมา โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายออกไปได้อีก 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติอนุมัติ
2.2 ขอเปลี่ยนแปลง เพื่ออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการฯ จำนวน 26 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้กับ พพ. และ สนพ. จำนวน 26 โครงการ แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น ต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลสำหรับการทำวิทยานิพนธ์ การรอเวลาเพื่อนำผลงานวิจัยไปตีพิมพ์ทั้งในและต่างประเทศ การปรับรายละเอียดการดำเนินกิจกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่เป้าหมาย การทำงานวิจัยแล้วผลการทดลองมีความคลาดเคลื่อนไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ จำเป็นต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ผลการทดลองเพิ่มเติม เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขยายเวลาของทั้ง 26 โครงการดังกล่าว เห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากเจตนาของผู้ได้รับทุน และการเปลี่ยนแปลงแต่ละรายการไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว และไม่ได้ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลง จึงเห็นควรให้ทั้ง 26 โครงการดังกล่าว ขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
2.3 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ และ/หรือ ขอขยายระยะเวลาดำเนินการ จำนวน 9 โครงการ
มีสาเหตุจาก คู่สัญญาหรือผู้ได้รับเงินจัดสรรที่ได้ทำสัญญาจ้างหรือหนังสือยืนยันการรับทุนไว้แต่ละหน่วยงานได้ดำเนินการตามแผนงานที่เสนอไว้กับกองทุนฯ แล้ว แต่มีข้อจำกัดระหว่างการดำเนินงาน เช่น การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดกิจกรรมย่อยให้มีความหลากหลายและสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น หรือเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์พลังงานในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารของโครงการ และการขอโอนย้ายหน่วยงานในการชดใช้ทุนของผู้ได้รับทุนการศึกษา เป็นต้น
ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียด และ/หรือการขอขยายระยะเวลาดำเนินการดังกล่าว เป็นการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะทำให้โครงการเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น และบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับแล้ว จึงเห็นควรให้ทั้ง 9 โครงการดังกล่าว เปลี่ยนแปลงรายละเอียด และ/หรือขยายระยะเวลาโครงการออกไปได้
มติที่ประชุม
อนุมัติให้โครงการตาม ข้อ 2.1 ข้อ 2.2 และ 2.3 รวม 52 โครงการ โดยให้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญาหรือหนังสือยืนยันการรับทุน ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการฯ และปรับรายละเอียดโครงการฯ ได้ตามที่ขอมา
เรื่องที่ 8 การขอขยายระยะเวลาผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 ของ พพ.
1. พพ. ได้ขออนุมัติขยายระยะเวลาการผูกพันและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับโครงการของ พพ. จำนวน 9 โครงการ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ พบว่า การดำเนินงานโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2551 สำหรับโครงการของ พพ. 9 โครงการ ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ในข้อ 16 ซึ่งระบุไว้ว่า "ให้ผู้เบิกเงินกองทุนใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันตามประมาณการรายจ่ายประจำปีได้ภายในวงเงินและปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ"
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เชิญผู้แทนจาก พพ. บก. และนิติกรของกระทรวงพลังงาน ร่วมประชุมหารือเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2551 ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาตามข้อกำหนดของระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว พบว่า ไม่มีข้อกำหนดหรือวิธีปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ผู้เบิกเงินกองทุนฯ ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพันได้ทันภายในปีงบประมาณที่ได้รับอนุมัติ และจากข้อกำหนดของระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ในข้อ 4 ซึ่งระบุไว้ว่า "หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายเงินและการพัสดุ ที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ที่ประชุมจึงเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณา โดยให้ พพ. พิจารณาทบทวนถึงความจำเป็นในการขอขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันของโครงการทั้ง 9 โครงการ พร้อมทั้งชี้แจงปัญหาอุปสรรคของโครงการ เสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ
3. พพ. ได้ชี้แจงว่ามีโครงการที่จำเป็นต้องขอก่อหนี้ผูกพัน เนื่องจากเป็นโครงการที่ดำเนินการประกวดราคาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จำนวน 4 โครงการ ดังนี้
(1) โครงการปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลม พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 25,000,000 บาท โดยแยกการดำเนินงานเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าบริหารโครงการ 850,000 บาท (2) ค่าปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพพลังงานลม ส่วนการจัดทำโครงสร้างเสาวัดลมพร้อมติดตั้ง 15,000,000 บาท และ (3) ค่าปรับปรุงสถานีสำรวจศักยภาพลม ส่วนการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องวัดลมและบันทึกข้อมูลพร้อมอุปกรณ์ประกอบ 9,150,000 บาท
(2) โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมขนาดใหญ่ จ.ปัตตานี พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 125,000,000 บาท โดยแยกการดำเนินงานเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย (1) ค่าจ้างศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม 1,500,000 บาท (2) ค่าอำนวยการและบริหาร 3,500,000 บาท และ (3) ค่ากังหันลมพร้อมติดตั้งและทดสอบ 120,000,000 บาท
(3) โครงการรณรงค์และประกวดด้านอนุรักษ์ พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 77,000,000 บาท
(4) โครงการพัฒนาเซลล์แสงแดดไทยสู่ความเป็นเลิศ ระยะที่ 2 ปีที่ 1 พพ. ได้รับการจัดสรรเงินกองทุนฯ ในวงเงิน 40,000,000 บาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการผูกพันรายจ่ายและการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 สำหรับโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมขนาดใหญ่ จ.ปัตตานี ในวงเงิน 103,288,000 บาท และ โครงการรณรงค์และประกวดด้านอนุรักษ์พลังงาน สำหรับการจัดงาน "พลังงานก้าวไกล ประเทศไทยก้าวหน้า" ในวงเงิน 27,500,000 บาท ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 3 เดือน นับจากวันที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติอนุมัติ
กอ. ครั้งที่ 37 - วันอังคารที่ 2 ธันวาคม 2546
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 5/2546 (ครั้งที่ 37)
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2546 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6อาคาร 7
อาคารกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน
1. รายงานผลการประชุมเรื่องการนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน
2. รายงานการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ช่วงปีงบประมาณ 2543-2544
6. ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการ ภายใต้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ กระทรวงการคลัง (กค.) ได้แจ้งให้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) นำทุนหมุนเวียนส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดิน ซึ่งประกอบด้วยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 1,000 ล้านบาท และกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม จำนวน 100 ล้านบาท และ สนพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 35) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2546 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงาน หารือกับปลัดกระทรวงการคลังในกรณีข้างต้น
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ประชุมหารือกับรองปลัดกระทรวงการคลัง (นายสมหมาย ภาษี) เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2546 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมกรมบัญชีกลาง ซึ่งสรุปผลการประชุมหารือ ได้ดังนี้
2.1 การนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 1,000 ล้านบาท ตามพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491 มาตรา 13 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจออกข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายเงินการเก็บรักษาเงินและการนำทุนหรือผลกำไรส่งเข้าบัญชีคงคลังบัญชีที่ 1 เพื่อให้ส่วนราชการเจ้าของทุนหมุนเวียน นำทุนหมุนเวียนหรือผลกำไร เข้าบัญชีคงคลังบัญชีที่ 1 ได้นั้น แต่อย่างไรก็ดีในปัจจุบันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังมิได้ออกข้อบังคับดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น รองปลัดกระทรวงการคลัง จึงมอบหมายให้กลุ่มงานพัฒนาเงินนอกงบประมาณ กรมบัญชีกลาง พิจารณาจัดทำข้อบังคับเรื่องการให้ส่วนราชการนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินเสนอรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป และพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการนำเงินทุนหมุนเวียนส่งเข้าเป็นเงินรายได้แผ่นดินไปในแนวทางและมาตรฐานเดียวกันโดยให้กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารกองทุน เป็น 3 เรื่อง คือ (1) กองทุนที่จัดตั้งขึ้นใหม่ (2) กองทุนที่ดำเนินการอยู่และยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป และ (3) กองทุนที่หมดความจำเป็นแล้ว
2.2 สำหรับการนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินของกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียม จำนวน 100 ล้านบาท นั้น เนื่องจากเงินกองทุนเงินอุดหนุนจากสัญญาโรงกลั่นปิโตรเลียมเป็นเงินบริจาคที่ต้องใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค ซึ่งเงินกองทุนมีจำนวน 350 ล้านบาท และใช้ได้เฉพาะดอกผล โดยขณะนี้มีดอกผลที่สามารถนำไปใช้จ่ายได้ จำนวน 38 ล้านบาท ที่ประชุมจึงมีมติให้ สนพ. เก็บเงินไว้ใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคเงินดังกล่าว
3. สนพ. ได้พิจารณาเห็นว่ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานยังมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินกองทุนฯ ในการดำเนินโครงการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งในขณะนี้กองทุนฯ มีภาระผูกพันเงินกองทุนฯ ประจำปีงบประมาณ 2538-2546 อยู่จำนวน 7,309.58 ล้านบาท และหากกองทุนฯ ยังมีแผนความต้องการในการใช้จ่ายเงินอยู่ต่อไปอีกในอนาคต โดยไม่มีการเพิ่มอัตราการเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ ก็จะทำให้กองทุนฯ มีเงินไม่พอจ่ายตามแผนในอนาคต รวมทั้งในส่วนของการพัฒนาด้านการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์พลังงานของประเทศต่อไป จะเห็นได้จากประมาณการรับ-จ่ายเงินงบประมาณ พ.ศ. 2547 กองทุนฯ มีเงินคงเหลือสุทธิ ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 เท่ากับ 89.61 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอในการนำเงินกองทุนฯ ส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน จำนวน 1,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงเห็นควรที่จะชะลอการนำส่งเงินเข้ารายได้แผ่นดินออกไปอีกระยะหนึ่งจนกว่ากองทุนฯ จะมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะนำส่งเข้ารายได้แผ่นดินได้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ และเห็นชอบให้ สนพ. ยังไม่ต้องนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานส่งเข้าเป็นรายได้แผ่นดินในขณะนี้ จนกว่ากระทรวงการคลังจะออกข้อบังคับ
เรื่องที่ 2 รายงานการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ช่วงปีงบประมาณ 2543-2544
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทำหน้าที่ประเมินผลโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ
2. คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2544 เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2544ได้มีมติเห็นชอบให้ สนพ. ดำเนินการว่าจ้างบริษัทคอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด และบริษัทแม็กซิม ยูนิกรุ๊ป จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ในวงเงิน 39,632,265 บาท โดยที่ปรึกษาจะต้องทำการประเมินผลโครงการที่ได้รับการจัดสรรเงินจากกองทุนฯ หรือมีผลดำเนินงานในช่วงปีงบประมาณ 2543-2544 และที่ปรึกษาได้นำเสนอรายงานฉบับสมบูรณ์การติดตามประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ให้คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ พิจารณาแล้ว ในการประชุมครั้งที่ 3/2546 (ครั้งที่ 16) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2546 และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามที่เสนอ และเห็นชอบให้ที่ปรึกษานำผลการประเมินแผนอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการกองทุนฯ
3 . ที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า การประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 เป็นการประเมินผลครึ่งแผนของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2543-2547) เป็นการประเมินผลโครงการที่อยู่ภายใต้แผนงานรองทั้ง 3 แผนงาน คือ แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือ และแผนงานสนับสนุน ที่อยู่ระหว่างดำเนินการหรือเห็นผลดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ 2543-2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์กระบวนการดำเนินการ ผลการดำเนินการ ประสิทธิภาพ (Efficiency) ประสิทธิผล (Effectiveness) ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินโครงการต่างๆ ทั้งทางเทคนิค การใช้งบประมาณ และทรัพยากรในการดำเนินงาน รวมถึงเสนอทางเลือกในการดำเนินการ (Alternative Method) เพื่อนำไปพัฒนาปรับปรุงแผนงานในระยะต่อไป และเพื่อประเมินผลกระทบของการดำเนินโครงการทั้งทางด้านพลังงาน เศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ซึ่งสามารถสรุปผลได้ดังนี้
3.1 แผนงานภาคบังคับ
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการดี เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของโครงการประสิทธิภาพของแผนงานค่อนข้างดี ประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ และมีผลกระทบในด้านบวก เนื่องจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ที่กำลังใช้งาน ซึ่งเป็นโครงการที่มีสัดส่วนด้านการอนุรักษ์พลังงานมากแต่มีประสิทธิผลอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ดังนั้น จึงทำให้ภาพรวมของแผนงานภาคบังคับมีประสิทธิผลอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ จึงไม่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานที่กำหนดไว้ในแผนงานภาคบังคับได้
3.2 แผนงานภาคความร่วมมือ
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลกระทบค่อนข้างดี แต่เมื่อพิจารณาประสิทธิผลการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานในภาพรวมของแผนงานภาคความร่วมมือแล้ว พบว่า ประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ เนื่องจากวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการย่อยต่างๆ สนองตอบต่อเป้าหมายอนุรักษ์พลังงานของแผนงานได้น้อย อีกทั้งโครงการที่ดำเนินการส่วนใหญ่เป็นโครงการศึกษาวิจัย พัฒนาและสาธิต ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลทางด้านการทดแทนพลังงานไฟฟ้า/เชื้อเพลิง และความต้องการพลังงานไฟฟ้าได้ทันที
3.3 แผนงานสนับสนุน
สนพ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการภายใต้แผนงานนี้ พบว่า การดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลค่อนข้างดี ส่วนผลกระทบนั้นยังไม่ชัดเจน เนื่องจากการดำเนินงานอยู่ในลักษณะการให้การสนับสนุนช่วยเหลือ จึงไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการประหยัดพลังงานโดยตรงหรือทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการพัฒนาบุคลากร ซึ่งต้องรอเวลาให้ผู้ที่ได้รับการพัฒนาแล้วปฏิบัติงานต่อไปภายหลังจากเสร็จสิ้นโครงการแล้ว และโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วมีแนวโน้มที่จะไม่สามารถดำเนินการให้ยั่งยืนต่อเนื่องได้
3.4 สรุปผลการประเมินในภาพรวม
พบว่าการดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลค่อนข้างดี และผลกระทบค่อนข้างดี แต่เมื่อประเมินผลโดยยึดเอาเป้าหมายด้านการทดแทนและประหยัดพลังงานของแผนอนุรักษ์พลังงานแล้ว พบว่าการดำเนินงานด้านกระบวนการ ประสิทธิภาพ และผลกระทบค่อนข้างดี ส่วนประสิทธิผลค่อนข้างต่ำ เนื่องจากแผนงานภาคบังคับเป็นแผนงานที่ส่งผลกระทบถึงเป้าหมายของการอนุรักษ์พลังงานโดยตรงที่สำคัญที่สุด และแผนงานภาคความร่วมมือที่มีเป้าหมายการทดแทนพลังงานไฟฟ้าและเชื้อเพลิงมีประสิทธิผลการอนุรักษ์พลังงานอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
3.5 ข้อเสนอแนะ
ที่ปรึกษาประเมินผลมีข้อเสนอแนะที่สำคัญในการดำเนินการแผนอนุรักษ์พลังงานต่อไป ดังนี้
(1) การบูรณาการแผนงานรองทั้ง 3 แผนงาน
(2) ปรับปรุงแนวทางในการสนับสนุนโครงการในแผนงานภาคความร่วมมือ
(3) การจัดทำดัชนีเกี่ยวกับ Energy Intensity เพื่อใช้สำหรับการวางแผนเชิงนโยบาย และการกำหนดแนวทางของมาตรการเพื่ออนุรักษ์พลังงาน
(4) การปรับปรุงแผนอนุรักษ์พลังงานในเชิงนโยบาย เช่น แผนงานภาคบังคับ ควรมีการพิจารณาปรับเป้าหมายการอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ปรับแนวทางการดำเนินงานโดยเน้นผลลัพธ์มากกว่ากระบวนการ ทบทวนมาตรการการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ เช่น
แผนงานภาคบังคับ : การปรับเป้าหมายแผนอนุรักษ์พลังงานให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ปรับแนวทางการดำเนินงานโดยเน้นผลลัพธ์มากกว่าขั้นตอนกระบวนการ การทบทวนมาตรการการให้การสนับสนุนจากกองทุนฯ ในการทำรายงานฯ ทบทวนบทบาทให้ความสำคัญแก่ภาคเอกชนในการมีส่วนร่วมมากขึ้นทั้งในด้านการปฎิบัติงาน สนับสนุน ส่งเสริม โดยรัฐเป็นผู้ชี้นำและผลักดัน เป็นต้น
แผนงานภาคความร่วมมือ : ควรมีการกำหนดประเภทโครงการที่จะให้การสนับสนุนเป็นพิเศษ ผลักดันให้เกิดธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงานอย่างครบวงจร
แผนงานสนับสนุน : ควรเน้นการพัฒนาบุคลากรในทุกระดับตามความต้องการของทั้งแผนงานภาคบังคับและแผนงานภาคความร่วมมือ เป็นต้น
3.6 ข้อเสนอแนะในการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานครั้งต่อไป
ที่ปรึกษาประเมินผลได้มีข้อเสนอแนะสำหรับแนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในครั้งต่อไป โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน และประสบการณ์จากการประเมินผลในครั้งนี้ จึงได้เสนอแนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงานในครั้งต่อไปเป็น 2 ระดับ และในการติดตามประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ควรมีการพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูลที่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามประเมินผลโครงการได้อย่างต่อเนื่อง แนวทางการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน 2 ระดับ มีดังนี้
(1) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของแผนอนุรักษ์พลังงาน ควรดำเนินการประเมินผลในช่วงที่มีการดำเนินการไปแล้วครึ่งหนึ่งของแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อติดตามประเมินผลและให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงแผนในระยะเวลาที่เหลือ และเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยการติดตามตรวจสอบสถานภาพแผนงานรองทั้ง 3 แผน ประกอบด้วย จำนวน งบประมาณ ประมาณการประหยัดพลังงานและการทดแทนพลังงานของทุกโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุน เป็นต้น ประเมินผลโครงการโดยการสำรวจภาคสนาม โดยการจำแนกกลุ่มและคัดเลือกตามหลักสถิติ และติดตามตรวจสอบ (Follow Up) การดำเนินงานต่อเนื่องของโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วที่ได้ผ่านการประเมินในครั้งที่ 1 และ ครั้งที่ 2
(2) การติดตามประเมินผลรายโครงการ ซึ่งสามารถดำเนินการติดตามและประเมินผลได้ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการ กำลังดำเนินการ และเสร็จสิ้นโครงการ การพิจารณาเลือกติดตามและประเมินผลโครงการใดๆ นั้น ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการประเมิน หรือ ความสำคัญของโครงการ เช่น พิจารณาจากโครงการที่มีศักยภาพด้านการอนุรักษ์พลังงานสูง หรือ โครงการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ที่ต้องประเมินทันที เมื่อโครงการเสร็จสิ้นเพื่อทราบกระบวนการ ประสิทธิผล ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจากโครงการอย่างแท้จริง เป็นต้น
มติที่ประชุม
รับทราบและเห็นชอบผลการประเมินแผนอนุรักษ์พลังงาน ครั้งที่ 2 ตามที่บริษัทที่ปรึกษานำเสนอ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ในปี 2544 สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้รับมอบหมายจากรองนายกรัฐมนตรี (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ในฐานะประธานคณะกรรมการกองทุนฯ ในขณะนั้น ให้ทำกิจกรรมการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน และเนื่องจากเห็นว่ามาตรการปิดถนนบางส่วนในบางช่วงเวลาในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นมาตรการที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามามีส่วนร่วมและสามารถลดการใช้พลังงานลงได้ สนพ. จึงได้เชิญผู้เชี่ยวชาญและผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อหารือและพิจารณาถึงความเป็นไปได้และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปิดถนนบางส่วนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เป็นผู้จัดทำแผนการดำเนินงานและให้มีการจัดตั้ง "คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนเพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษและส่งเสริมการท่องเที่ยว" เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณารายละเอียดการดำเนินงานของโครงการฯ และกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปอย่างรัดกุมและคุ้มค่ากับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุม ครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานสนับสนุน ปีงบประมาณ 2545 ให้ มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว ภายใต้ชื่อว่า "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" ในวงเงิน 33,073,000 บาท (สามสิบสามล้านเจ็ดหมื่นสามพันบาทถ้วน) โดย มจธ. ได้จ้าง บริษัท เจเอส แอล จำกัด เป็นผู้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ และ บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นผู้รับจ้างช่วงจาก บริษัท เจเอส แอล จำกัด
3. หลังจากกิจกรรม "7 มหัศจรรย์ที่สีลม" เสร็จสิ้นลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2544 คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ ได้มีมติให้ดำเนินโครงการปิดถนนสีลมต่อไปเพื่อให้ถนนสีลมเป็นถนนคนเดิน ที่ยั่งยืนและมีความต่อเนื่อง โดยเน้นการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น และใช้งบประมาณของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2545 ได้อนุมัติงบประมาณ "โครงการเที่ยวทั่วไทยไปได้ทุกเดือน" โดยมีงบประมาณที่จะใช้ใน "โครงการปิดถนนสีลมฯ" รวมอยู่ด้วยในจำนวนเงิน 26 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 52 สัปดาห์ ของปี 2545 โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545 เป็นต้นมา และเพื่อมิให้เกิดความล่าช้าและเกิดภาวะชะงักงัน ซึ่งจะมีผลให้โครงการขาดความต่อเนื่อง คณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารโครงการปิดถนนฯ จึงเห็นชอบและมอบหมายให้ บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ดำเนินกิจกรรม "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ต่อไป โดยให้บริษัทฯ สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการไปก่อน
4. คณะทำงานบริหารจัดการโครงการปิดถนนสีลม ซึ่งแต่งตั้งโดยคณะอนุกรรมการอำนวยการโครงการปิดถนนฯ ในการประชุมครั้งที่ 7/2545 เมื่อวันศุกร์ที่ 26 เมษายน 2545 ได้พิจารณาเรื่องการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายโครงการปิดถนนสีลม ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545- 21 เมษายน 2545 คืนให้กับ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด แต่ปรากฏว่า ททท. ยังไม่สามารถดำเนินการจัดจ้างและเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวคืนให้บริษัทฯ ได้ และคณะทำงานฯ จึงได้มีมติให้ประธานคณะทำงานฯ (นางจุฑามาศ ศิริวรรณ) พิจารณานำเรื่องเสนอ "คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย" เพื่อพิจารณานำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาอนุมัติให้ ททท. ทำการว่าจ้างบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นผู้รับจ้างจัดกิจกรรมต่างๆ บนถนนสีลมทุกอาทิตย์ ก่อนได้รับเงินงวด พร้อมทั้งขออนุมัติให้มีผลการจ้างตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545
5. ททท. ได้มีหนังสือแจ้งให้คณะทำงานฯ ทราบว่า ททท. ไม่สามารถดำเนินการตามมติคณะทำงานฯ ที่ให้ ททท. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขออนุมัติจ้างบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด โดยให้มีผลการจ้างตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2545 ได้ เนื่องจากขัดต่อข้อบังคับของ ททท. ว่าด้วยการพัสดุ ซึ่งกำหนดว่าการจัดจ้างต้องดำเนินการแล้วเสร็จก่อนงานเริ่ม แต่อย่างไรก็ตาม ททท. ได้ดำเนินการจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด แล้วตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2545 โดยมีระยะเวลาดำเนินกิจกรรมจนถึงธันวาคม 2545
6. บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้มีหนังสือลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 ถึง รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เพื่อขอให้พิจารณาเรื่องการเบิกค่าจ้างดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ในช่วงวันที่ 6 มกราคม - 28 เมษายน 2545 เป็นจำนวนเงิน 12,329,978.04 บาท ซึ่งสรุปได้ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายเดือนมกราคม 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 1,848,960.00 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายเดือนกุมภาพันธ์ 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 4,118,574.45 บาท |
3. ค่าใช้จ่ายเดือนมีนาคม 2545 (รวม 5 สัปดาห์) | 2,471,914.00 บาท |
4. ค่าใช้จ่ายเดือนเมษายน 2545 (รวม 4 สัปดาห์) | 3,890,529.59 บาท |
รวมค่าใช้จ่ายที่บริษัทจ่ายไปล่วงหน้า | 12,329,978.04 บาท |
7. รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ได้มีบัญชาให้ สนพ. ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องขอของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ตามข้อ 2 โดย สนพ. ได้พิจารณาแล้วและนำมาสรุปความเห็นได้ดังนี้
(1) บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ได้ดำเนินกิจกรรม "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ตามมติและความเห็นที่คณะอนุกรรมการฯ ได้มอบหมายให้ดำเนินการ ซึ่งบริษัทฯ รับทราบว่าภายหลังจากที่ ททท. ได้รับโอนเงินงบประมาณเรียบร้อยแล้ว จะมีการชำระคืนค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ โดยการดำเนินกิจกรรมของบริษัทฯ ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น มีผลงานเป็นที่ปรากฏและรับทราบโดยประชาชนทั่วไป ซึ่งคณะทำงานฯ และคณะอนุกรรมการฯ ก็ได้รับทราบความก้าวหน้าของงานทั้งจากการไปร่วมกิจกรรมบนถนนสีลมที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ และรับทราบจากที่ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานต่อที่ประชุมแต่ละครั้ง
(2) ททท. หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณจากคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการนี้ ไม่มีเจตนาที่จะไม่จ่ายเงินค่าจ้างให้กับบริษัทฯ แต่เนื่องจากมีข้อบังคับด้านพัสดุ จึงทำให้ไม่สามารถจัดจ้าง บริษัทแอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม 2545- เมษายน 2545 และส่งผลให้ ททท. ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินค่าจ้างจำนวนดังกล่าว คืนให้บริษัทฯ ได้
จากข้อ 7 จะเห็นได้ว่าเหตุแห่งความเสียหายที่บริษัทฯ ได้รับ มิได้เกิดจากเจตนาของบริษัทฯ หากแต่เป็นการดำเนินการตามที่ภาครัฐได้มอบหมาย ประกอบกับจากการที่กองทุนฯ เป็นผู้สนับสนุนและก่อให้เกิด "โครงการปิดถนนสีลมฯ" ในช่วงต้น และอาศัยข้อกำหนดแห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 "---ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" สนพ. จึงมีความเห็นว่า หากคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นควรแก้ไขปัญหาดังกล่าว อาจจำเป็นต้องใช้เงินจากกองทุนฯ จ่ายคืนให้กับบริษัทฯ และเนื่องจากโครงการนี้ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว คณะกรรมการกองทุนฯ คงต้องอนุมัติให้ สนพ. ยกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ เพื่อสามารถจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ คือ ไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการจัดจ้างและคณะกรรมการตรวจรับ และให้ สนพ. ใช้ใบแจ้งหนี้ของบริษัทเป็นหลักฐานในการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ สนพ. ประสานงานกับบริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อขอหลักฐานและรายละเอียดการใช้จ่ายเงินเพิ่มเติม และเจรจาต่อรองกับบริษัทฯ ให้ปรับลดค่าใช้จ่ายที่จะขอรับจากกองทุนฯ ตามข้อเสนอแนะของกรรมการกองทุนฯ แล้วส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณายกเว้นการดำเนินการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ในการจัดจ้าง บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เป็นกรณีพิเศษ
2. เห็นชอบให้ สนพ. อาศัยข้อกำหนดแห่งระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 4 "---ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง" ในการดำเนินการจัดจ้าง และการจ่ายเงินค่าจัดจ้างให้ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลม ของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ในช่วง ปีงบประมาณ 2543-2547 ให้ พพ. และ สนพ. ใช้เป็นเป็นแนวทางดำเนินการเพื่อก่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงานและส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น โดยในช่วงระยะเวลาดำเนินการตามแผนงาน 5 ปี ดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบให้ พพ. และ สนพ. ใช้เงินจากกองทุนฯ ภายในกรอบวงเงิน 29,110.61 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ และโครงการบริหารงานตามกฎหมายส่วนของ สนพ. ที่บรรจุอยู่ในแผนอนุรักษ์พลังงานดังกล่าว ได้รับการจัดสรรวงเงินไว้จำนวน 552.15 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2546 ปรากฏว่ามีการจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการบริหารงานตามกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2543-2546 รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 390.95 ล้านบาท และมีงบประมาณคงเหลือประมาณ 161.20 ล้านบาท
2. คณะอนุกรรมการการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ได้พิจารณาคำของบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. ซึ่งขอความเห็นชอบงบประมาณในวงเงิน 153.94 ล้านบาท และที่ประชุมมีความเห็นว่า งบประมาณรวมของโครงการบริหารงานตามกฎหมายยังมีเงินคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 161.20 ล้านบาท ประกอบกับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมาย ปี 2547 ประมาณการไว้เพียง 120.65 ล้านบาท ดังนั้น เงินงบประมาณโครงการบริหารงานตามกฎหมายจึงมีจำนวนเพียงพอที่จะนำมาจัดสรรให้ สนพ. เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานตามกฎหมายดังกล่าว ได้อยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
3. คณะกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 4/2546 (ครั้งที่ 36) เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2546 ได้พิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. พพ. และ บก. และที่ประชุมได้มีมติให้ สนพ. และ พพ. ดำเนินการปรับปรุงประมาณการค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน โดยให้มีตัวชี้วัดผลงานหลักประกอบการพิจารณาคำขอตั้งงบประมาณ และมอบหมายให้คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน คือ นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ นายพรายพล คุ้มทรัพย์ และ นายอัศวิน คงสิริ ร่วมให้คำปรึกษาแนะนำการจัดทำงบประมาณของ สนพ. และ พพ. ด้วย
4. คณะอนุกรรมการฯ และคณะทำงานซึ่งเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมพิจารณาคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. และ พพ. ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2546 โดยได้พิจารณาตามหมวดค่าใช้จ่ายทั้ง 5 หมวด โดยเฉพาะหมวดรายจ่ายอื่นได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานมีตัวชี้วัดผลงานหลักประกอบการพิจารณาแล้ว เห็นชอบตามที่เสนอ และเนื่องจาก สนพ. และ พพ. มีความจำเป็นเร่งด่วนต้องใช้งบประมาณรายจ่ายบางรายการในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ดังนั้นประธานกรรมการกองทุนฯ จึงเห็นชอบให้สนพ. ดำเนินการทำหนังสือเวียนคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายของ สนพ. และ พพ. ในหมวดรายจ่ายค่าจ้างชั่วคราว หมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ และหมวดค่าสาธารณูปโภค เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สนพ. ในวงเงิน 24,784,120 บาท และ พพ. ในวงเงิน 69,411,380 บาท ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติแล้วตามหนังสือคณะกรรมกรกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ด่วนที่สุด ที่ พน 0603.3/ว 3156 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2546
โดยให้ถัวจ่ายรายการต่าง ๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา งบประมาณฯ สำหรับหมวดค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และหมวดรายจ่ายอื่น ดังต่อไปนี้
หน่วย : บาท
หมวดรายจ่าย | สนพ. | พพ. | รวม |
1. ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง | 2,272,000.00 | 22,157,455.00 | 24,429,455.00 |
2. รายจ่ายอื่น | 126,882,110.00 | 411,525,000.00 | 538,407,110.00 |
รวม | 129,154,110.00 | 433,682,455.00 | 562,836,565.00 |
โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมาย รวม 2 หมวดรายจ่าย ในวงเงิน 129,154,110 บาท (หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าล้านหนึ่งแสนห้าหมื่นสี่พันหนึ่งร้อยสิบบาทถ้วน) โดยขยายกรอบวงเงินงบประมาณ ปี 2547 จากเดิมที่ได้จัดสรรไว้ 120.65 ล้านบาท เป็น 153.94 ล้านบาท (153,938,230 บาท) ซึ่งอยู่ภายในวงเงินที่อนุมัติในกรอบของแผนอนุรักษ์พลังงานปีงบประมาณ 2543 - 2547 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของ สนพ. ในการบริหารงานตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่างๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานพิจารณาอนุมัติ และรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2547 โครงการบริหารงานตามกฎหมายเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ของ พพ. รวม 2 หมวดรายจ่าย ในวงเงิน 433,682,455 บาท (สี่ร้อยสามสิบสามล้านหกแสนแปดหมื่นสองพันสี่ร้อยห้าสิบห้าบาทถ้วน) ในการบริหารงานตาม พรบ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 โดยให้ถัวจ่ายรายการต่าง ๆ ภายในหมวดเดียวกันได้ สำหรับรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและไม่เกินรายการละ 10 ล้านบาท ให้เสนอผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน พิจารณาอนุมัติและรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานพิจารณาอนุมัติ ส่วนรายการที่ต้องการถัวจ่ายระหว่างหมวดและเกินรายการละ 50 ล้านบาท ให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ
3. โดยให้มีผลการเบิก - จ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 และได้เห็นชอบให้ พพ. และ สนพ. ใช้เงินจากกองทุนฯ ภายในกรอบวงเงิน 29,110.61 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนดังกล่าว ซึ่งโครงการพัฒนาบุคลากรเป็นหนึ่งโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนดังกล่าว ได้รับการจัดสรรวงเงินไว้ 1,688 ล้านบาท แบ่งการจัดสรรออกเป็น ปีงบประมาณ 2543 ในวงเงิน 316 ล้านบาท และตั้งแต่ปีงบประมาณ 2544-2547 ได้รับจัดสรรปีละ 343 ล้านบาท ซึ่งเมื่อสิ้นสุดปีงบประมาณ 2546 ปรากฏว่ามีการจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ตั้งแต่ปี 2543-2546 รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 1,331.04 ล้านบาท และมีงบประมาณคงเหลือประมาณ 504.31 ล้านบาท
2. คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545 ได้อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ โครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2546 ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้น ณ อาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ บริเวณเทคโนธานี จ.ปทุมธานี ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 147,446,000 บาท ประกอบด้วย "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงาน" ในวงเงิน 12,446,000 บาท และค่าใช้จ่ายในกิจกรรม "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ในวงเงิน 135 ล้านบาท
3. พพ. ได้ดำเนินการทำสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้าง ในวงเงิน 12,440,000 บาท แล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2546 แต่สำหรับการคัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาดำเนินการก่อสร้างศูนย์ฯ นั้นมีความล่าช้าไปจากกำหนดเดิม เนื่องจากจำเป็นต้องมีการปรับปรุงรายละเอียดคุณสมบัติของอุปกรณ์ 54 เทคโนโลยี ที่จะนำมาติดตั้งสาธิตและจัดแสดงเกี่ยวกับเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานในศูนย์ฯ ให้ทันสมัย ซึ่ง พพ. เพิ่งจะจัดทำข้อกำหนด (TOR) เสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์เมื่อเดือนกันยายน 2546 จึงเป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถทำข้อผูกพันได้ทันภายในปีงบประมาณ 2546 และตามข้อ 2 คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติกรอบการใช้เงิน "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ไว้ในโครงการพัฒนาบุคลากร ปีงบประมาณ 2545 ประกอบกับจากเหตุผลตามข้อ 2 ทำให้ พพ. ไม่สามารถทำข้อผูกพันกับผู้รับจ้างได้ทันภายในปีงบประมาณ 2546 และเนื่องจากกรมบัญชีกลางได้มีความเห็นว่า ตามกรอบงบประมาณ 2546 ไม่ได้รวมถึงค่ากิจกรรมโครงการก่อสร้างศูนย์ฯ ไว้ด้วย จึงไม่สามารถเบิกจ่ายเงินให้ พพ. ได้
4. พพ. จึงได้มีหนังสือที่ พน 0503/11683 ลงวันที่ 9 กันยายน 2546 เพื่อขอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ พพ. ดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงานได้ในปีงบประมาณ 2547 สนพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อพิจารณา ในการประชุมครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว มีความเห็นว่าเนื่องจากงบประมาณรวมของโครงการพัฒนาบุคลากรยังมีเงินคงเหลืออยู่เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 504.31 ล้านบาท ประกอบกับแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2547 ประมาณการไว้เพียง 343 ล้านบาท ดังนั้นเงินงบประมาณโครงการพัฒนาบุคลากรจึงมีจำนวนเพียงพอที่จะนำมาจัดสรรให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการ ดังกล่าวได้อยู่แล้ว ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการตามแผนงานโครงการพัฒนาบุคลากร ปี 2547 โดยให้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณปี 2547 จากเดิม ที่ได้จัดสรรไว้ 343 ล้านบาท (สามร้อยสี่สิบสามล้านบาทถ้วน) เป็น 478 ล้านบาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบแปดล้านบาทถ้วน) โดยงบประมาณที่ขยายเพิ่มขึ้น 135 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสามสิบห้าล้านบาทถ้วน) นั้น ให้ใช้สำหรับกิจกรรม "โครงการก่อสร้างศูนย์แสดงเทคโนโลยีการอนุรักษ์พลังงาน" ตามข้อเสนอของ พพ. ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบไว้แล้วในการประชุมเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2545
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2546 พิจารณาว่าเพื่อให้การบริหารงานกองทุนฯ และการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นเอกภาพ มีความคล่องตัว ที่ประชุมจึงได้มมติมอบอำนาจปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ให้ อพพ. และ ผอ.สนพ.
2. ในการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ครั้งที่ 7/2546 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 ผู้แทนกรมบัญชีกลางได้ขอหารือเพื่อซ้อมความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันในเรื่องขอบเขตอำนาจที่ อพพ. และ ผอ.สนพ. ซึ่งได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ กรณี "การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ" ปรากฏตามข้อความดังต่อไปนี้ "
(1) การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคบังคับ ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ให้นำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
อพพ. กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
คณะอนุกรรมการฯ กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
(2) การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ตามที่มีผู้ได้รับจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ให้นำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
ผอ.สนพ. กรณีไม่เกิน 10 ล้านบาท หรือเกิน 10 ล้านบาท แต่ไม่มีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง
คณะอนุกรรมการฯ กรณีเกิน 10 ล้านบาท และมีผลกระทบต่อวงเงินที่ได้รับอนุมัติแล้วและ/หรือทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการฯ ลดลง"
โดยผู้แทนกรมบัญชีกลางได้มีความเห็นว่า ข้อความ "การเปลี่ยนแปลงกิจกรรมหรือแผนการงานของโครงการใดๆ" นั้น น่าจะไม่ครอบคลุมถึงการโอนเปลี่ยนแปลงเงินจากหมวดรายจ่ายหนึ่งไปใช้ในอีกหมวดรายจ่ายหนึ่งด้วย คณะอนุกรรมการฯ ได้รับทราบข้อหารือเพื่อซ้อมความเข้าใจตามที่ผู้แทนกรมบัญชีกลางนำเสนอแล้ว และที่ประชุมเห็นสมควรเสนอประเด็นดังกล่าวให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
มติที่ประชุม
คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบในการมอบอำนาจปฏิบัติหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ และ/หรือคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้ คณะอนุกรรมการฯ และ/หรือ ผอ.สนพ และ/หรือ อพพ. เพิ่มเติม ในกรณีการพิจารณาอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลง กิจกรรมหรือแผนงานโครงการใดๆ ภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือ แผนงานสนับสนุน และ/หรือแผนงานภาคบังคับ ที่ผู้ได้รับการจัดสรรเงินขอเปลี่ยนแปลง ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2546 (ครั้งที่ 33) เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 254 ได้มีมติเห็นชอบไปแล้วนั้น ให้ครอบคลุมถึงการมีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติการโอนเปลี่ยนแปลงเงินจากหมวดรายจ่ายหนึ่งไปใช้ในอีกหมวดรายจ่ายหนึ่ง ภายใต้แผนงานเดียวกัน และภายในวงเงินตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มอบอำนาจไว้ตามหนังสือที่อ้างถึงดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ ให้มตินี้มีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2546
อนุ กอ. ครั้งที่ 13 - วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม 2550
มติคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 13)
วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. ขอความเห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ สำหรับการดำเนินงานตามแผนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์
2. ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนากำลังพลด้านพลังงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
3. ขอความเห็นชอบรายละเอียดเพิ่มเติมโครงการของ พพ. ที่ขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 ตามมติคณะกรรมการกองทุนฯ
4. ขอความเห็นชอบเพิ่มเงินสนับสนุนโครงการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย ขนาด 1.5 เมกกะวัตต์ อ.สทิงพระ จังหวัดสงขลา
5. ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานอนุกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) อนุกรรมการและเลขานุการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมเพื่อรับทราบมติของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550 และ มติของ กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 เรื่อง "แผนการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์" สรุปได้ดังนี้
1.1 รับทราบประมาณการรายจ่ายสำหรับกิจกรรมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งคาดว่าจะใช้จ่ายเงินประมาณ 450 ล้านบาท/ปี หรือจำนวนรวม 1,350 ล้านบาท ประกอบด้วย 7 แผนงานดังนี้
แผนงาน | งบประมาณ (ล้านบาท) | ||
ปี 2551 | ปี 2552 | ปี 2553 | |
1. แผนงานด้านกฎหมาย ระบบกำกับ และข้อผูกพันระหว่างประเทศ | 30.0 | 30.0 | 30.0 |
2. แผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ | 10.0 | 10.0 | 10.0 |
3. แผนงานด้านการถ่ายทอด พัฒนาเทคโนโลยี และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ | 65.0 | 65.0 | 65.0 |
4. แผนงานด้านความปลอดภัย และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม | 30.0 | 30.0 | 30.0 |
5. แผนงานด้านการสื่อสารสาธารณะ และการยอมรับของประชาชน | 185.0 | 200.0 | 240.0 |
6. แผนงานด้านการการวางแผนการดำเนินการโครงการไฟฟ้านิวเคลียร์ | 70.0 | 90.0 | 85.0 |
7. การจัดตั้งสำนักพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (NPPDO) | 25.0 | 25.0 | 25.0 |
รวมค่าใช้จ่ายรายปี | 415.0 | 450.0 | 485.0 |
รวมค่าใช้จ่ายรวม 3 ปี | 1,350.00 |
1.2 เห็นชอบให้ สนพ. เพิ่มเติมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (ในช่วงปี 2551-2554) และอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ให้ สนพ. ในวงเงินประมาณ 250 ล้านบาท/ปี ไว้ใช้สำหรับช่วยเหลืออุดหนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับกิจกรรมตามแผนงานที่ 1 ถึง 7 ที่มีความเร่งด่วนต้องเริ่มดำเนินการและมีกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรี โดยการพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ จะต้องดำเนินการตามแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขและลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ที่กองทุนกำหนด
นอกจากนี้ กพช. ในการประชุมครั้งที่ 9/2550 (ครั้งที่ 118) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2550 ได้เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานจัดตั้ง "สำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์" ขึ้น เพื่อเป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินงานและประสานงานตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์
2. เพื่อให้การประสานและผลักดันกิจกรรมต่างๆ เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ การดำเนินการจำเป็นต้องเริ่มต้นโดยเร็ว คือในส่วนของการจัดตั้งสำนักงานฯ และการสร้างความรู้และความเข้าใจกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กระทรวงพลังงานจึงจัดทำข้อเสนอขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 30 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานตามแผนงานปีที่ 1 ของแผนงานที่ 7 การจัดตั้งสำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในวงเงิน 25 ล้านบาท และของแผนงานที่ 5 แผนงานด้านการสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน ในวงเงิน 5 ล้านบาท โดยสรุปสาระสำคัญของแต่ละแผนงานได้ดังนี้
2.1 การจัดตั้งสำนักงานพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ : เป็นการดำเนินการตามแผนการจัดตั้งหน่วยงานกลางที่จะทำหน้าที่จัดทำแผนงาน มาตรการ และแนวทางดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานนิวเคลียร์ โดยปลัดกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ ดร.ณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักงานฯ โดยมีการแบ่งโครงสร้างการบริหารออกเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย (1) สำนักประสานความร่วมมือการจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (2) สำนักประสานความร่วมมือการวางแผนการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ (3) สำนักสื่อสารและการยอมรับสาธารณะ และ (4) สำนักบริหารงานกลาง โดยมีสาระสำคัญของแผนงานจัดตั้งสำนักงานฯ สรุปได้ ดังนี้
2.1.1 การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร คาดว่าจะมีบุคลากรปฏิบัติงานในสำนักงานฯ ประมาณ 20 คน โดยบางส่วนจะเป็นข้าราชการประจำของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน และ สนพ. เข้าไปช่วยบริหารจัดการ แต่ด้วยอัตรากำลังคนที่จำกัดและปริมาณงานที่มีอยู่มาก ประกอบกับงานหลายส่วนจำเป็นต้องจ้างผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางและประสบการณ์สูงเข้ามาช่วยดำเนินการ เช่น การเตรียมความพร้อมทางด้านกฎหมาย การเตรียมการด้านเทคนิคโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การศึกษาเตรียมการด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม การจัดเตรียมงบประมาณ การบริหารจัดการด้านการเงินและพัสดุ ฯลฯ
2.1.2 การเตรียมความพร้อมด้านสถานที่ปฏิบัติงาน ด้วยกระทรวงพลังงานมีพื้นที่จำกัด จึงจำเป็นต้องจัดหาหรือเช่าพื้นที่ของอาคารอื่นสำหรับเป็นที่ตั้งของสำนักงานฯ โดยมีพื้นที่เพียงพอรองรับจำนวนบุคลากรที่จะเข้ามาร่วมดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ หรือแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงการใช้เป็นที่จัดประชุมคณะอนุกรรมการทั้ง 6 คณะ พร้อมทั้งการเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์สำนักงานที่จำเป็นต่อการใช้งานขั้นพื้นฐาน เช่น โต๊ะและเก้าอี้สำหรับทำงานและการประชุม เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมระบบเชื่อมโยง เครื่องโทรศัพท์ โทรสาร เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ
2.1.3 การเตรียมการด้านงบประมาณ ด้วยกระทรวงพลังงานไม่ได้จัดเตรียมงบประมาณไว้ จึงขอรับสนับสนุนเงินจากกองทุนฯ เพื่อนำไปใช้จ่ายสำหรับการดำเนินงานจัดตั้งสำนักงานฯ ในปีที่ 1 ในวงเงิน 25 ล้านบาท สรุปได้ดังนี้
รายการ | บาท | |
1) เงินเดือน/ค่าจ้าง | 10,000,000 | |
ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน (ด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์ วางแผนงาน ด้านสื่อสาร ด้านเทคนิค) | 6,000,000 | |
เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 15 คน | 4,000,000 | |
2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน | 5,000,000 | |
ค่าล่วงเวลา ค่าเบี้ยประชุม | 400,000 | |
ค่าเช่าอาคาร ค่าใช้จ่ายในการเดินทางในประเทศ ค่าจัดสัมมนา ฝึกอบรม | 3,500,000 | |
ค่าวัสดุ ค่าสาธารณูปโภค |
500,000 600,000 |
|
3) ค่าใช้จ่ายในการลงทุน | 5,000,000 | |
ค่าครุภัณฑ์ (สำนักงาน และ คอมพิวเตอร์) | 5,000,000 | |
4) ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 5,000,000 | |
ค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ |
3,000,000 2,000,000 |
|
รวมทั้งสิ้น (ยี่สิบห้าล้านบาทถ้วน) | 25,000,000 |
ระยะเวลาดำเนินการ 14 เดือน โดยขอถัวจ่ายทุกรายการภายในวงเงิน 25 ล้านบาท และอาจจะจ้างที่ปรึกษา เข้ามาบริหารทั้งโครงการฯ ตามความเหมาะสม
ผลที่คาดว่าจะได้รับ สามารถจัดหาผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานส่วนต่างๆ ภายใต้กิจกรรมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เข้ามาช่วยดำเนินการโดยเป็นบุคลากรหรือทีมงานที่มีความรู้เฉพาะทาง มีความชำนาญหรือประสบการณ์สูง มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ โดยสามารถจัดทำร่างแผนโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทั้งด้านเทคนิคโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ความปลอดภัย การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม กฎหมาย ระบบกำกับ แนวทางพิจารณาความเหมาะสมของการคัดเลือกสถานที่ตั้ง เสนอคณะอนุกรรมการวางแผนการดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้ความเห็นชอบ
2.2 แผนงานด้านการสื่อสารสาธารณะและการยอมรับของประชาชน ปีที่ 1 : เป็นการดำเนินการตามแผนสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของประชาชน ซึ่งเป็นงานสำคัญและต้องรีบดำเนินการทันที ต่อเนื่องและนำไปสู่การยอมรับของสาธารณะที่ถูกต้อง ชัดเจนและโปร่งใส โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชน ให้รู้ถึงความเสี่ยงและข้อดีของโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ การไขปัญหาที่ประชาชนยังมีความกังวลสูงให้ได้ โดยเฉพาะการจัดการเชื้อเพลิงใช้แล้วและกากกัมมันตภาพรังสี
โดยในช่วงต้นจะต้องเร่งสร้างความเข้าใจไปยังกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่มีต่อโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 ได้กำหนดให้ดำเนินการผ่านจัดการประชุมสัมมนาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างน้อย 8 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน และเพื่อให้การดำเนินการสำเร็จลงตามแผนงานฯ ที่กำหนด กระทรวงพลังงาน จึงเสนอขอจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 5 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการสร้างความรู้ ความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อพลังงานนิวเคลียร์
ผลที่คาดว่าจะได้รับ สามารถดำเนินการจัดการประชุมสัมมนาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างน้อย 8 ครั้ง ในระยะเวลา 6 เดือน โดยมีจำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนารวมอย่างน้อย 800 คน และร้อยละ 70 ของผู้เข้าร่วมสัมมนามีความรู้ ความเข้าใจในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2551 ให้ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน ในวงเงิน 30,000,000 บาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) สำหรับดำเนินการตามแผนจัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ 3.1 โดยใช้เงินส่วนที่ สนพ. ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2550
เรื่องที่ 2 ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนากำลังพลด้านพลังงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า กรมการพลังงานทหาร กระทรวงกลาโหม (พท.) ได้ยื่นข้อเสนอ "โครงการพัฒนากำลังพลด้านพลังงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" ไว้กับ สนพ. เพื่อขอรับการสนับสนุนทุนจากกองทุนฯ และ สนพ. ได้แต่งตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อร่วมพิจารณาข้อเสนอโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย (1) รศ.ดร.กล้าณรงค์ ศรีรอต (2) นาวาเอก ดร. สมัย ใจอินทร์ (3) ผศ.ดร.อนุชา พรหมวังขวา และ (4) นายประพนธ์ วงศ์ท่าเรือ
2. คณะผู้ทรงคุณวุฒิได้ประชุมพิจารณาข้อเสนอโครงการฯ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2550 พร้อมกับเชิญผู้แทนจาก พท. เข้าร่วมประชุมเพื่อเสนอข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ที่ประชุมมีความเห็นว่า พท. ควรปรับแผนการดำเนินการใหม่ โดยสำรวจหน่วยทหารที่เชื่อมั่นว่าจะมีวัตถุดิบเพียงพอ สำหรับระบบผลิตไบโอดีเซล 100-150 ลิตร/วัน และเป็นหน่วยที่มีความพร้อมในการดูแลระบบผลิต โดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 2 ระยะ
ระยะแรก เพื่อสร้างต้นแบบความรู้ความเข้าใจในวิธีแนวทางปฏิบัติ ควรเลือกหน่วยทหารที่มีความพร้อมทั้งด้านการรวบรวมวัตถุดิบและมีกำลังคนที่จะเข้ามารับผิดชอบการดำเนินงาน ความพร้อมของชุมชนรอบ ค่ายทหารที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อเข้ารับการฝึกอบรมในกระบวนการผลิต โดยเลือกเทคโนโลยีเครื่องผลิตไบโอดีเซลในประเทศที่เห็นว่าเหมาะสม และให้มีความรู้ด้านกระบวนการบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างเป็นระบบ
ระยะที่สอง เมื่อดำเนินงานในระยะแรก สามารดำเนินการได้ผลดีแล้ว จะได้ดำเนินการถ่ายทอดให้หน่วยทหารอื่นๆ ดำเนินการต่อเนื่องต่อไป
สำหรับระบบผลิตไบโอดีเซล 10,000 ลิตร/วัน นั้น เห็นควรพิจารณาใหม่ หากเป็นไปได้ควรเลือกดำเนินการในพื้นที่ที่หน่วยทหารมีแหล่งวัตถุดิบอยู่ในปริมาณที่มากพอและไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
3. พท. ได้ปรับแผนการดำเนินโครงการฯ ตามคำแนะนำของคณะผู้ทรงคุณวุฒิ และเสนอให้ สนพ. เพื่อพิจารณา โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 วัตถุประสงค์และเป้าหมาย : พท. จะสร้างเครื่องผลิตน้ำมันไบโอดีเซลขนาด 100 ลิตรต่อครั้ง จำนวนไม่น้อยกว่า 46 ระบบ เพื่อตั้งในพื้นที่ของหน่วยงานทหารหรือชุมชนใกล้เคียง ที่ พท. ได้สำรวจศักยภาพด้านวัตถุดิบและพบว่าสามารถรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้วนำมาผลิตเป็นน้ำมันไบโอดีเซลได้เพียงพอกับกำลังการผลิต ไม่น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยกระบวนการดำเนินการเน้นให้กำลังพลมีความรู้ และสามารถที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ไปยังหน่วยงานทหารอื่นๆ ที่สนใจได้
3.2 วิธีการดำเนินงาน
(1) สำรวจและรวบรวมข้อมูลหน่วยงานทหารที่มีความต้องการร่วมโครงการ และมีความพร้อมด้านศักยภาพวัตถุดิบสำหรับผลิตน้ำมันไบโอดีเซล นำมาจัดเรียงลำดับตามศักยภาพ และคัดเลือกหน่วยงานทหารที่มีศักยภาพสูง จำนวน 46 แห่ง เป็นหน่วยงานนำร่องผลิตและใช้งานน้ำมันไบโอดีเซล และเป็นหน่วยงานหลักในการถ่ายทอดความรู้สู่ประชาชนทั่วไป และหน่วยงานทหารอื่นๆ ที่จะขยายผลต่อไป
(2) จัดตั้งระบบผลิตน้ำมันไบโอดีเซลขนาด 100 ลิตรต่อครั้ง และระบบบำบัดน้ำเสีย อบรมให้ความรู้เรื่องการผลิตการใช้งานน้ำมันไบโอดีเซล จัดตั้งกลไกในการรวบรวมน้ำมันพืชใช้แล้ว และสาธิตการผลิตการใช้งานน้ำมันไบโอดีเซล การบริหารจัดการโครงการที่เหมาะกับหน่วยงานนำร่องทั้ง 46 แห่ง พร้อมทั้งขยายผลสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับหน่วยงานทหารอื่นๆ ในสังกัด ครอบครัวของทหาร และชุมชนในพื้นทีใกล้เคียง
(3) ติดตามประเมินผล และสรุปผลการดำเนินโครงการของหน่วยงานนำร่อง และผลักดันให้หน่วยงานทหารนำร่องทั้ง 46 แห่ง เป็นศูนย์กลางการถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการผลิตและการใช้น้ำมันไบโอดีเซล เพื่อทำการขยายไปยังหน่วยงานทหารอื่นๆ ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ
3.3 ผลที่คาดว่าจะได้รับ : กระทรวงกลาโหมมีบุคลากรที่ความรู้ความเชี่ยวชาญ ในด้านไบโอดีเซล และสามารถต่อยอดองค์ความรู้และพัฒนาได้อย่างต่อเนื่องต่อไป รวมทั้งสามารถผลิตน้ำมันไบโอดีเซล ทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลได้ ไม่น้อยกว่า 1.38 ล้านลิตรต่อปี
3.4 วงเงินงบประมาณ : ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 30,000,000 บาทประกอบด้วย (1) ค่าจ้างที่ปรึกษาจัดทำระบบผลิตไบโอดีเซลขนาด 100 ลิตร/ครั้ง จำนวน 46 แห่ง วงเงิน 29,900,000 บาท และค่าบริหารโครงการ 100,000 บาท
มติที่ประชุม
เห็นชอบจัดสรรเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค โครงการสนับสนุนทุนการศึกษา วิจัย พัฒนาเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2550 ที่ สนพ. ได้รับอนุมัติไว้แล้วจากคณะกรรมการกองทุนฯ ให้ กรมพลังงานทหาร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการพัฒนากำลังพลด้านพลังงาน ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง" ในวงเงิน 30 ล้านบาท ดังรายละเอียดที่ปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 ได้มีมติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ในช่วงปี 2551-2554 และอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้ พพ. เพื่อใช้ตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในปีงบประมาณ 2551 ในวงเงินรวม 4,279,988,401 บาท โดย มีเงื่อนไขให้ พพ. จัดทำรายละเอียดของโครงการเพิ่มเติม และเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ รวม 9 โครงการ ดังต่อไปนี้
โครงการ | มติคณะกรรมการกองทุนฯ |
1) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 | เพิ่มเติมรายละเอียดปริมาณงานและค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรม |
2) โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน | เพิ่มเติมรายละเอียดแผนงานและวิธีการดำเนินงาน |
3) โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ | ปรับขอบเขตและรายละเอียดของงานเพื่อลดความซ้ำซ้อนกับงานที่สำนักงานพลังงานภูมิภาคดำเนินการ โดยให้ พพ. ดำเนินการเฉพาะอาคารส่วนราชการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ กทม. และให้ พพ. ปรับลดวงเงินให้เหมาะสมกับปริมาณงาน |
4) โครงการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ พพ. มีแผนจะเข้าไปดำเนินการ | เพิ่มเติมความเห็นชอบของศูนย์อำนวยการบริหารชายแดนใต้ (ศอบต.) |
5) โครงการวิจัยสาธิตสนับสนุนระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลแบบ Three Stage Gasifier | รายงานผลงาน Two Stage Gasifier เพื่อทราบผลสำเร็จ ปัญหาอุปสรรค และการแก้ไขปัญหา |
6) โครงการวิจัยและทดสอบการใช้ไบโอดีเซลตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป กับเรือประมง วงเงิน | เพิ่มเติมรายละเอียดปริมาณงานและค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรม |
7) โครงการประชาสัมพันธ์ | เพิ่มเติมรายละเอียดแผนงานและวิธีการดำเนินงาน |
8) โครงการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงาน ชีวมวลตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงศูนย์ภูฟ้าพัฒนา | เพิ่มเติมความเห็นของคณะทำงานของศูนย์ภูฟ้าพัฒนา |
9) โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็ก แควน้อย อ.นครไทย จ.พิษณุโลก | เพิ่มเติมหนังสือจากกรมป่าไม้เห็นชอบให้ พพ. เข้าดำเนินการในพื้นที่ได้ |
2. พพ. ได้จัดทำรายละเอียดโครงการฯ ที่ 1) ถึง 7) เพื่อเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา สรุปได้ดังนี้
โครงการ | รายละเอียดโครงการเพิ่มเติม |
1) โครงการสนับสนุนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ. การส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 |
พพ. ได้เพิ่มเติมรายละเอียดปริมาณงานและค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรม รวมทั้งสิ้น 5 กิจกรรม ดังนี้ 1) ติดต่อประสานงาน เข้าพบผู้บริหารโรงงาน/อาคารควบคุม เพื่อให้คำปรึกษาแนะนำวิธีการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน ค่าใช้จ่าย 11,000 บาท/แห่ง 2) ตรวจสอบการแจ้งแต่งตั้ง ผชร./ผชอ. ค่าใช้จ่าย 6,750 บาท/แห่ง 3) ตรวจสอบแบบส่งข้อมูลการใช้พลังงาน บพร.1/บพอ.1 ค่าใช้จ่าย 4,500 บาท/แห่ง 4) จัดทำรายงานผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพการใช้พลังงานจากข้อมูลใน บพร.1/บพอ.1 (Feedback Report) ค่าใช้จ่าย 2,800 บาท/แห่ง 5) ตรวจสอบรายงานเป้าหมายและแผนฯ ค่าใช้จ่าย 20,000 บาท/แห่ง |
2) โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน |
พพ. จะจัดตั้งกองทุนเพื่อร่วมลงทุนและส่งเสริมการลงทุนให้โครงการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนที่มีศักยภาพทางเทคนิคแต่ไม่สามารถหาสินเชื้อจากธนาคารพาณิชย์ได้เพียงพอ โดยในเบื้องต้นจะส่งเสริมการลงทุนในหลายลักษณะ เช่น ร่วมลงทุนในกิจการของบริษัทจัดการพลังงาน ร่วมลงทุนในโครงการ equity investment ร่วมลงทุนในการพัฒนาและซื้อ/ขายคาร์บอนเครดิต การเช่าซื้อ (leasing) การอำนวยเครดิตให้สินเชื่อ (credit guarantee facility) การให้สินเชื่อลักษณะ sub debt หรือ mezzanine debt และการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค เป็นต้น |
3) โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ |
พพ. ปรับขอบเขตและรายละเอียดของการดำเนินงาน โดยแบ่งออกเป็น 2 โครงการ ดังนี้ 1) โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ โดยดำเนินการกับส่วนราชการ ในเขต กทม. ที่ใช้พลังงานน้อยกว่า 10,000 หน่วย/เดือน เพิ่มอีก 750 แห่ง ใช้งบประมาณ 15 ล้านบาท 2) โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการตรวจวิเคราะห์การอนุรักษ์พลังงานในอาคารส่วนราชการ โดยจะติดตามสอนงานเพิ่มให้กับหน่วยงานที่เคยเข้าร่วมโครงการปี 2550 ไม่น้อยกว่า 900 แห่ง ใช้งบประมาณ 9 ล้านบาท |
4) โครงการในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ พพ. มีแผนจะเข้าดำเนินการ |
พพ. ได้มีหนังสือถามความเห็นของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เพื่อขอเข้าดำเนินงาน ในเขตพื้นที่จำนวน 8 โครงการ ซึ่ง ศอ.บต. ได้มีหนังสือตอบกลับ โดย เห็นชอบและยินดีให้ พพ. เข้าดำเนินโครงการในเขตพื้นที่ได้ตามที่เสนอมา |
5) โครงการวิจัยสาธิตสนับสนุนระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลแบบ Three Stage Gasifier วงเงิน 52,000,000 บาท |
รายงานผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาสาธิตระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลระดับชุมชน สรุปได้ดังนี้ 1) พพ. ได้ออกแบบระบบการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวมวลแบบ Two - Stage Fluid Bed Pyrolysis and Gasification Unit ขนาด 80 kw ปัจจุบันสาธิตที่โรงสีและตลาดกลางข้าวเปลือกสหกรณ์การเกษตรลำลูกกา จ.ปทุมธานี ใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง 2) การเดินระบบผลิตก๊าซและเครื่องยนต์ผลิตกระแสไฟฟ้า ที่โรงสีข้าวเป็นระยะเวลา 360 ชั่วโมง พบว่า ระบบมีอัตราการใช้แกลบเท่ากับ 85 kg/hr ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบเท่ากับ 92 % และสามารถทดแทนน้ำมันดีเซลได้เฉลี่ยเท่ากับ 77 % 3) การประเมินผลตอบแทนด้านเศรษฐศาสตร์ พบว่าใช้เงินลงทุนในการก่อสร้างระบบฯ 3.9 ล้านบาท และมีระยะเวลาคืนทุน ประมาณ 5 ปี |
6) โครงการวิจัยและทดสอบการใช้ไบโอดีเซลตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไปกับเรือประมง |
เพิ่มเติมรายละเอียดปริมาณงานและค่าใช้จ่ายดังนี้ 1) จัดจ้างที่ปรึกษา วงเงิน 3.3 ล้านบาท เพื่อสำรวจประชากรเรือประมงที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2) คัดเลือกเครื่องยนต์เรือ และกำหนดวิธีการทดสอบ 3) ทดสอบเครื่องยนต์ตามมาตรฐานสากล เปรียบเทียบการใช้ไบโอดีเซลกับดีเซลปกติใน Lab test 4) จัดหาเครื่องยนต์เพื่อใช้ในการทดสอบ 3 ยี่ห้อๆ ละ 1 โมเดลๆ ละ 2 เครื่อง รวม 6 เครื่อง วงเงิน 10.8 ล้านบาท 5) ทดสอบด้านสมรรถนะและผลกระทบที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งประเมินผลและวิเคราะห์อุปกรณ์และชิ้นส่วนต่างๆ วงเงิน 3.8 ล้านบาท 6) ค่าดำเนินการอื่นๆ เช่น หาแนวทางในการปรับแต่งเครื่องยนต์หรืออุปกรณ์ต่างๆ ให้เหมาะสมกับการใช้ ไบโอดีเซล วงเงิน 2.1 ล้านบาท |
7) โครงการประชาสัมพันธ์ วงเงิน 202,500,000 บาท |
เพิ่มเติมรายละเอียดแผนงานและวิธีดำเนินการ รวม 8 โครงการ ดังนี้ 1) โครงการผลิตสารคดีอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน วงเงิน 30 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อโทรทัศน์ โดยผลิตสารคดีโทรทัศน์แบบต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลดใช้พลังงานในทุกภาคส่วนแบ่งเป็นโครงการอนุรักษ์พลังงาน โครงการพลังงานทดแทน และโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ท้องถิ่นและชุมชน 2) โครงการผลิต Spot โฆษณาโครงการ/กิจกรรมด้านอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทนวงเงิน 5 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อวิทยุ โดยผลิต Spot โฆษณาโครงการ/กิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ความยาว 1 นาที 3) โครงการผลิตบทความ/โครงการกิจกรรมด้านอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทน วงเงิน 30 ล้านบาท เพื่อประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์และวารสาร โดยผลิตบทความโครงการ/กิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงาน 4) โครงการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์โครงการ/กิจกรรมอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ วงเงิน 15 ล้านบาท โดยจัดทำสิ่งพิมพ์เผยแพร่องค์ความรู้ด้านพลังงาน จำนวน 4 ชุด รวม 47 เรื่อง เผยแพร่ให้กับประชาชนทั่วไป 5) โครงการจัดทำผลสำเร็จของโครงการ/กิจกรรมและข่าวสารความเคลื่อนไหวโครงการด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนผ่านสื่อประเภทคัตเอาท์ และโปสเตอร์ วงเงิน 10 ล้านบาท โดยจัดทำคัตเอาท์ จำนวน 3 คัตเอาท์ และโปสเตอร์ จำนวน 5 แบบ พิมพ์เผยแพร่ไม่น้อยกว่าแบบละ 10,000 แผ่น 6) โครงการรณรงค์และประกวดด้านอนุรักษ์พลังงาน วงเงินรวม 77 ล้านบาท โดยมีกิจกรรมดังนี้ การจัดงาน "พลังงานก้าวไกลประเทศไทยก้าวหน้า" วงเงิน 30 ล้านบาท โดยจัดนิทรรศการแสดงผลสำเร็จของเทคโนโลยีด้านการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทน โดยจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 100,000 คน การจัดกิจกรรมสัญจรเพื่อเผยแพร่ผลสำเร็จด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนในเขต กทม. และจังหวัดต่างๆ ใน 4 ภูมิภาค วงเงิน 10 ล้านบาท โดยจัดนิทรรศการแสดงผลสำเร็จด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โครงการ Thailand Energy Awards โดยจัดประกวด วงเงิน 15 ล้านบาท คัดเลือกโรงงาน อาคาร องค์กร บุคลากร ตลอดจน องค์กรสื่อมวลชนที่ส่งเสริมและสนับสนุนการ อนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โครงการประกวดบ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ปี 2551 วงเงิน 12 ล้านบาท โดยจัดประกวดบ้านจัดสรรที่มีการอนุรักษ์พลังงานดีเด่น และจะมีการเผยแพร่ผ่านทางสื่อ การจัดกิจกรรมการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทนตามสถานการณ์ วงเงิน 8 ล้านบาท โดยนำสื่อมวลชนดูงานด้านการพัฒนาพลังงานทดแทน จัดสัมมนาระหว่างผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติงานของ พพ. กับ สื่อมวลชน การจัดนิทรรศการพลังงานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงที่มูลนิธิสิรินธรอ.ชะอำ จ.เพชรบุรี วงเงิน 2 ล้านบาท โดยจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านพลังงาน ภายในอาคารมูลนิธิสิรินธร 7) โครงการให้บริการด้านข้อมูล และคำปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน วงเงิน 10 ล้านบาท โดยให้บริการด้านข้อมูลและคำปรึกษา ผ่านหน่วยลูกค้าสัมพันธ์ และศูนย์ที่ปรึกษาการประหยัดพลังงาน 8) โครงการการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน วงเงิน 25.5 ล้านบาท โดยจะทำการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อใช้ในการ ประชาสัมพันธ์ ประกอบด้วย การจัดทำฐานข้อมูล เผยแพร่องค์ความรู้ และสร้างเครือข่ายด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบรายละเอียดของโครงการตามที่ พพ. ได้จัดทำเสนอเพิ่มเติมมา รวม 6 โครงการ (ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ 3.3 ) เว้นโครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ที่ พพ. จะต้องจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้มีความชัดเจนถึงวิธีการบริหารจัดการและแนวทางในการบริหารกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
2. เห็นชอบให้ พพ. ดำเนินการตามแผนงานของทั้ง 6 โครงการ (ดังรายละเอียดปรากฏตามเอกสารประกอบวาระ3.3) โดยให้ใช้เงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2551 ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 46) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2550 ได้อนุมัติให้ พพ. ไว้แล้ว เว้นแต่โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ที่ พพ. จะต้องจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมให้มีความชัดเจนถึงวิธีการบริหารจัดการและแนวทางในการบริหารกองทุนฯ แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอีกครั้ง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 42) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2549 แผนพลังงานทดแทน งานศึกษา วิจัย และพัฒนาด้านเทคนิค ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย" ในวงเงิน 76,828,000 บาท โดยมีเงื่อนไขให้ กฟภ. ต้องดำเนินการจัดหาผู้ติดตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินจากกองทุนฯ (28 กันยายน 2549) สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1) กฟภ. จะทำการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย ขนาด 1.5 เมกกะวัตต์ แบบไม่มีเฟืองทด (Gearless) จำนวน 1 ชุด ก่อสร้างระบบจำหน่ายเพื่อเชื่อมโยงและจ่ายไฟขนานเข้าระบบจำหน่ายของ กฟภ. ในพื้นที่ บ้านพังเสม็ด ต.จะทิ้งพระ อ.สทิงพระ จ.สงขลา ซึ่งได้สำรวจศักยภาพพลังงานลมแล้วและมีความเหมาะสมที่จะดำเนินการ คาดว่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 2.6 ล้านหน่วยต่อปี
2) ฝึกอบรมบุคลากรในการใช้งาน ดูแลบำรุงรักษาระบบ จัดเก็บและรวบรวมข้อมูลการจ่ายไฟเพื่อวิเคราะห์และประเมินผลการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมที่ทำการติดตั้ง และวิเคราะห์เปรียบเทียบเทคโนโลยีระหว่างกังหันลมแบบมีเฟืองทด (Gear Box) และกังหันลมแบบไม่มีเฟืองทด
2. กฟภ. ได้จัดประกวด จ้างเหมาก่อสร้างสถานีกังหันลมผลิตไฟฟ้าสทิงพระ จังหวัดสงขลา ในวงเงินเริ่มต้นที่ 90.5 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่สนใจซื้อซองเอกสารประกวดราคา จำนวน 5 บริษัท แต่เมื่อครบกำหนดยื่นซอง ไม่มีผู้มายื่นซองตามกำหนด ซึ่ง กฟภ. ได้สอบถามบริษัทเอกชนเพื่อขอทราบเหตุผลที่ไม่ยื่นซองประกวดราคา ส่วนใหญ่แจ้งว่างบประมาณที่ตั้งไว้ต่ำเกินไป จึงไม่สามารถเสนอราคาได้ โดยแต่ละบริษัทได้จัดทำงบประมาณเสนอให้ กฟภ. พิจารณา อยู่ในช่วง 120-137 ล้านบาท และจากการศึกษาข้อมูลในต่างประเทศ กฟภ. พบว่ากังหันลมแบบไม่มีเฟืองทดมีผู้ผลิตน้อยราย มีราคาสูงกว่ากังหันลมชนิดมีเฟือง ประมาณร้อยละ 30-40 ประกอบกับโครงการดังกล่าวเป็นการจัดหากังหันลมเพียง 1 ตัว เท่านั้น ทำให้ค่าติดตั้ง ค่าฐานราก ของกังหันลมมีราคาสูง
3. กฟภ. ได้ขอปรับแผนงานโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้
3.1 ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้า โดยเพิ่มจากวงเงิน 76,828,000 บาท เป็น 105,000,000 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
รายการ | งบประมาณเดิม | งบประมาณใหม่ | เพิ่ม/(ลด) |
1) เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ประกอบด้วยค่าระบบอุปกรณ์กังหันลมผลิตไฟฟ้าค่าขนส่งอุปกรณ์ในประเทศและระหว่างประเทศค่าภาษีนำเข้า | 76,828,000 บาท (75.78%) |
105,000,000 บาท (71.42%) |
28,172,000 บาท |
2) เงินสมทบของ กฟภ. ประกอบด้วย ค่าบริหารและค่าตอบแทน ค่าก่อสร้างฐานรากและระบบจำหน่าย ค่าสัมมนาและประชาสัมพันธ์ ค่าครุภัณฑ์ | 24,551,900 บาท (24.22%) |
42,018,000 บาท (28.58%) |
17,466,100 บาท |
งบประมาณโครงการรวมทั้งสิ้น | 101,379,900 บาท | 147,018,000 บาท | 45,638,100 บาท |
3.2 ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จจากเดิม ภายใน 1 ปี เป็น 1 ปี 8 เดือน นับตั้งแต่วันที่ได้รับเงินจากกองทุนฯ และขอขยายระยะเวลาโครงการฯ จากเดิม 39 เดือน เป็น 54 เดือน และขอปรับงวดการเบิกจ่ายเงินและการรายงานความก้าวหน้าเป็นดังนี้
งวด | แผนงานที่ขอปรับใหม่ | |
จำนวนเงิน | เงื่อนไข | |
งวดที่ 1 | 10,000,000 | หลังจากลงนามในหนังสือยืนยัน |
งวดที่ 2 | 15,000,000 | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 ภายใน 9 เดือน |
งวดที่ 3 | 75,000,000 | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 2 ภายใน 22 เดือน |
งวดที่ 4 | 5,000,000 | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 3 ภายใน 42 เดือน |
งวดที่ 5 | - | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 4 ภายใน 48 เดือน |
งวดที่ 6 | - | รายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 5 ภายใน 54 เดือน |
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ กฟภ. ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จจากเดิม ภายใน 1 ปี เป็น 1 ปี 8 เดือน และให้ขยายระยะเวลาโครงการฯ จากเดิม 39 เดือนเป็น 54 เดือน โดย เห็นควรให้ กฟภ. เป็นผู้จัดหางบลงทุนที่ขอสนับสนุนเพิ่มเติมจำนวน 28,172,000 บาท ดังกล่าวเอง
เรื่องที่ 5 ขอความเห็นชอบปรับรายละเอียดโครงการที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติไว้แล้ว
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า มีหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว ได้ยื่นเรื่องเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการไปจากที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติไว้ รวม 16 โครงการ ดังนี้
1.1 ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาดำเนินงาน รวม 11 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | เดิม | ขยายถึง | |
(1) | โครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีก๊าซชีวภาพในการจัดการน้ำเสียในโรงงานแป้งมันสำปะหลังเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม | มูลนิธิสถาบันก๊าซชีวภาพ | พฤศจิกายน 2550 | กรกฎาคม 2551 |
(2) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียในโรงงานอุตสาหกรรม | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | พฤษภาคม 2550 | มีนาคม 2551 |
(3) | โครงการศึกษาอิทธิพลการบังเงาต่อการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังทึบ | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ | เมษายน 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
(4) | โครงการศึกษาการถ่ายเทความร้อนและปริมาณแสงผ่านกระจกสองชั้นชนิดต่างๆ | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ | เมษายน 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
(5) | โครงการ Ceramic Coating | มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ | เมษายน 2550 | พฤศจิกายน 2550 |
(6) | โครงการสัมมนารับฟังความคิดเห็นเพื่อกำหนด ค่ามาตรฐานการจัดการใช้พลังงานของส่วนราชการ | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | มกราคม 2551 | มิถุนายน 2551 |
(7) | โครงการลดการสูญเสียพลังงานจากการเดินรถบรรทุกเที่ยวเปล่า | กรมการขนส่งทางบก | กันยายน 2549 | กุมภาพันธ์ 2551 |
(8) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาในประเทศ จำนวน 2 ทุน | สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | - | - |
(9) | โครงการสนับสนุนทุนวิจัยแก่นักศึกษา ระดับอุดมศึกษา จำนวน 4 หน่วยงาน | สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | - | - |
(10) | ขอขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินเกิน 3 เดือนนับจากวันสิ้นสุดเงื่อนไขแห่งสัญญา จำนวน 16 ราย | กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | - | 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติการขยายระยะเวลา |
(11) | โครงการค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) | กรมทางหลวง | มกราคม 2550 | 1 เดือนนับจากวันที่ได้รับอนุมัติขยายระยะเวลา |
1.2 ขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ รวม 5 โครงการ คือ
โครงการ | หน่วยงาน | ขอเปลี่ยนแปลง | |
(1) | โครงการส่งเสริมการผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ขนาดกลางและขนาดใหญ่ระยะที่ 3 : ส่วนที่ 3 : แผนงานเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานศูนย์แห่งความเป็นเลิศ | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | ขอปรับระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ จากเดิม เป็น ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 - มีนาคม 2552 และ ขอปรับรายละเอียดแผนการเบิกจ่ายงบประมาณ |
(2) | โครงการลดใช้พลังงานในภาครัฐ ในหน่วยงานภาครัฐขนาดเล็ก | สำนักงานพลังงานภูมิภาค ที่ 1 | ขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและรายละเอียดงบประมาณขอสนับสนุนจากกองทุนฯ |
(3) | โครงการบริหารจัดการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม ในอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร | มูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามความเหมาะสมเช่น การต่อประปาเทศบาลเข้าค่ายฝึกอบรม การสร้างถังเก็บน้ำสำรองไว้ การติดตั้งมุ้งลวด เหล็กดัด และผ้าม่านอาคารที่พักของผู้เข้ารับการอบรม |
(4) | โครงการสนับสนุนทุนการศึกษาต่างประเทศ จำนวน 1 ทุน | สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | ขออนุมัติย้ายสถานศึกษา ของ นายเฉลิมพล เปล่งสะอาด จาก Oregon State University ไปที่ University of Wisconsin at Madison และขอขยายระยะเวลาการศึกษาต่อระดับปริญญาเอก ออกไปอีก 1 ปีการศึกษา ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2550 ถึงวันที่ 16 กันยายน 2551 |
(5) | โครงการสนับสนุนทุนวิจัยแก่ นักศึกษาระดับอุดมศึกษา จำนวน 1 หน่วยงาน |
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | ขอเปลี่ยนแปลงผู้วิจัยในโครงการทุนอุดหนุนการวิจัยแก่นักศึกษาระดับอุดมศึกษา ปี 2550 เรื่อง"การศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตไบโอเอทานอลจากของเหลือใช้ทางการเกษตร" จากเดิมนางสาวอภิรดี เสียงสืบชาติ เป็น นางสาวธนัญชนก ไชยรินทร์ |
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้โครงการตาม ข้อ 1.1 (1)-(10) และ ข้อ 1.2 (1)-(5) รวม 15 โครงการ ขยายระยะเวลาดำเนินงานและปรับรายละเอียดได้ตามที่ขอมา และให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอเวียนขออนุมัติจากคณะกรรมการกองทุนฯ ต่อไป
2. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทำหนังสือหารือไปยังกรมบัญชีกลาง เกี่ยวกับระเบียบพัสดุ เรื่องการเบิกจ่ายเงินระหว่างกรมทางหลวงและบริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ในกรณีที่ไม่มีการทำสัญญาเรื่องการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางยกระดับ ระหว่างกรมทางหลวง กับบริษัททางยกระดับฯ นั้น กรมทางหลวงสามารถจ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ให้กับบริษัททางยกระดับฯ ตามมติคณะรัฐมนตรีได้หรือไม่ แล้วนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาอีกครั้ง
กอ. ครั้งที่ 38 - วันจันทร์ที่ 19 เมษายน 2547
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 38)
วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2547 เวลา 14.00 น
ณ ห้อง 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
3. ขออนุมัติโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2
4. ขออนุมัติวงเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานให้กับอาคารควบคุม
5. ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
7. ขอปรับปรุงโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
รองนายกรัฐมนตรี (ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ผู้เข้าร่วมประชุม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนฯ ว่ามีเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากธนาคาร ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2547 จำนวน 11,187.90 ล้านบาท และได้รายงานงบการเงินที่กรมบัญชีกลางส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2546 ว่ามี หนี้สินและเงินทุน จำนวน 11,925,041,828.02 บาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2542 (ครั้งที่ 18) เมื่อวันอังคารที่ 21 กันยายน 2542 ได้เห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงานและอนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ในวงเงินรวม 750 ล้านบาท และในการประชุมเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2545 ได้อนุมัติเงินกองทุนฯ โครงการประชาสัมพันธ์ ให้ สนพ. เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2546 ในวงเงิน 200 ล้านบาท โดย สนพ. ได้ดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2546 ไปแล้ว 9 กิจกรรม โดยใช้จ่ายเงินไปรวม 104,219,881.40 บาท และมีงบประมาณคงเหลือ 95,780,118.60 บาท
2. สนพ. ได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเมินผลงานโครงการประชาสัมพันธ์ฯ ปีงบประมาณ 2546 สรุปได้ว่ากิจกรรมรณรงค์ภายใต้โครงการรวมพลังหารสองผ่านสื่อประเภทต่างๆประสบความสำเร็จในการสร้างนิสัยประหยัดพลังงานให้กับคนไทยและควรดำเนินการต่อไป โดยที่ปรึกษาฯ ได้มีข้อเสนอแนะที่สำคัญของการประเมินในครั้งนี้คือ การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต ควรเน้นเนื้อหาการปลูกจิตสำนึกในการใช้พลังงานอย่างประหยัด สร้างความรู้สึกให้เห็นคุณค่าในการอนุรักษ์และรักษาสิ่งแวดล้อมโดยเนื้อหาที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ ควรเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน หรืออาจจัดทำเป็นเพลงโฆษณาประหยัดพลังงานเปิดตามสถานีวิทยุและโทรทัศน์เป็นประจำ และควรมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพิ่มเวลาและความถี่ในการออกอากาศเพื่อดึงดูดให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจการประหยัดพลังงาน
3. สนพ. ได้จัดทำ "แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547" และนำเสนอต่อคณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 เพื่อขออนุมัติจัดสรรงบประมาณในการดำเนินงานตามแผน ในวงเงิน 310 ล้านบาท (สามร้อยสิบล้านบาทถ้วน) โดยคณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นว่า มีบางกิจกรรมที่เริ่มดำเนินการในช่วงปีงบประมาณ 2548 ซึ่งเกินกว่าระยะเวลาการใช้จ่ายเงินตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด คณะอนุกรรมการฯ จึงเห็นควรให้ สนพ. ปรับแผนงานโดยเป็นแผนงานเฉพาะที่จะดำเนินการในปีงบประมาณ 2547 แล้วเวียนให้คณะอนุกรรมการฯ เห็นชอบก่อนเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายคงเหลือเพียงในวงเงิน 261 ล้านบาท (จากเดิม 310 ล้านบาท) และเวียนขอความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ เรียบร้อยแล้ว ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณา "แผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547" โดยสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
3.1 แผนประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในปี 2547 มีเป้าประสงค์ตามยุทธศาสตร์ของกระทรวงพลังงาน ที่จะลดสัดส่วนอัตราเติบโตของการใช้พลังงานต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จาก 1.4 : 1 เป็น 1:1 ภายในปี พ.ศ. 2551 โดยมุ่งเน้นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารกับกลุ่มเป้าหมาย และประชาชนทั่วประเทศกว่า 60 ล้านคน ภายใต้แนวคิด "60 ล้านไทย ลดใช้พลังงาน" โดยมีประเด็นหลักในการสื่อสาร คือ
(1) ความสำคัญของการร่วมกันประหยัดพลังงานของคนไทยทั่วประเทศกว่า 60 ล้านคน ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ด้วยวิธีง่ายๆ โดยพร้อมเพรียงกันและต่อเนื่อง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและช่วยเศรษฐกิจของตนเอง ของชุมชน และของประเทศชาติ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
(2) "กระทรวงพลังงาน" เป็นองค์กรที่ดูแลรับผิดชอบในด้านพลังงานของชาติ เป็น "พลังที่อยู่คู่คนไทยทุกเวลา" สร้างประโยชน์สูงสุดให้ประชาชน พัฒนาพลังงาน ก้าวไปข้างหน้า สร้างประเทศไทยเป็นผู้นำด้านพลังงานในอาเซียน ซึ่งเป็น "พลังขับเคลื่อนอนาคตประเทศไทย"
3.2 แนวทางดำเนินงาน เพื่อสร้างกระแสอย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดการตระหนักถึงการประหยัดพลังงานอย่างกว้างขวางพร้อมกันทั่วประเทศ มีดังนี้
(1) สร้างกระแสการประหยัดพลังงานทั่วประเทศ ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน และจังหวัด โดยกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงาน
(2) เน้นการประชาสัมพันธ์กลุ่มเป้าหมาย ในภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง บ้านที่อยู่อาศัย และทำการประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเยาวชนอย่างต่อเนื่อง
(3) ประชาสัมพันธ์ผลงานของกองทุนฯ ที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงาน
(4) จัดกิจกรรมที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ อาทิ สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ และสื่อสนับสนุนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง
3.3 รูปแบบการดำเนินงาน
ลำดับ | กิจกรรมและรายละเอียด | (ล้านบาท) |
1. | โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อกระตุ้น และปลูกจิตสำนึก 1.1 กิจกรรม "ผู้ว่า CEO กับบทบาทการอนุรักษ์พลังงาน" (ระยะที่ 1) เป็นการสร้างกระแสเพื่อกระตุ้นและเตรียมความพร้อมให้จังหวัดต่างๆ เข้าร่วมกิจกรรมแข่งขันประหยัดไฟฟ้าและน้ำ ระหว่างจังหวัด โดยคาดว่าจะมีจังหวัดเข้าร่วมโครงการฯ อย่างน้อย 20 จังหวัด - แคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อรณรงค์สร้างกระแสและเผยแพร่ข้อมูล - จัดกิจกรรมเสริมเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย อาทิ นิทรรศการสัญจรให้ความรู้เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน 1.2 กิจกรรมบ้านประหยัดพลังงาน - แคมเปญประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร - จัดกิจกรรม "สัปดาห์บ้านประหยัดพลังงาน" 1.3 กิจกรรมลดใช้รถ ลดใช้น้ำมัน - แคมเปญประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร เพื่อบอกวิธีขับรถประหยัดพลังงาน - จัดสัมมนาเกี่ยวกับการขับรถอย่างถูกวิธี เพื่อประหยัดพลังงาน "Smart Drive" |
115 |
2. | กิจกรรมประชาสัมพันธ์ (PR Event) 2.1 กิจกรรมเยาวชน (1) ระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา เข้าถึง 100,000 คนทั่วประเทศ - กิจกรรมละคร Edutainment - กิจกรรมค่ายครึ่งวัน (Half day camp) (2) ระดับอุดมศึกษา กิจกรรมช่วงปิดเทอม อาทิ กิจกรรมล้างแอร์ 2.2 กิจกรรมความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานรัฐและเอกชนในภาคคมนาคม อุตสาหกรรมและที่อยู่อาศัย 2.3 กิจกรรมตามวันสำคัญของชาติ และสอดคล้องกับสถานการณ์ |
28 |
3. | โครงการประชาสัมพันธ์โดยศูนย์ประชาสัมพันธ์รวมพลังหารสอง | 7 |
4. | กิจกรรมประชาสัมพันธ์อื่นๆ เพื่อสนับสนุนโครงการ 4.1 ผลิตและเผยแพร่สื่อสนับสนุน - เผยแพร่บทความผ่านสื่อสิ่งพิมพ์อย่างต่อเนื่อง - ผลิตและเผยแพร่สื่อสนับสนุนอาทิ คู่มือเอกสารเผยแพร่ ของที่ระลึก ฯลฯ |
8 |
5. | การประชาสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการรักษ์พลังงานของชาติ 5.1 แคมเปญประชาสัมพันธ์ เพื่อแนะนำและสร้างความน่าสนใจในการประชาสัมพันธ์ 5.2 สารคดี นำเสนอในเชิงสาระความรู้ ชวนให้ติดตามชม 5.3 งานข่าว ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านเครือข่ายของสำนักข่าวไทยของ อ.ส.ม.ท. |
100 |
6. | การประเมินผลกิจกรรมประชาสัมพันธ์ | 3 |
รวมงบประมาณทั้งสิ้น | 261 |
หมายเหตุ : โดยประเด็นที่จะสื่อสารในปี 2547 สนพ. ได้มีการปรับปรุงโดยคำนึงถึง นโยบายของรัฐ แผนยุทธศาสตร์กระทรวงฯ กระแสสังคม สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจของประเทศ พฤติกรรมการเปิดรับสื่อของกลุ่มเป้าหมายผลการประเมินในปีที่ผ่านมา และความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณราชการสูงสุด
3.4 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
(1) เกิดกระแสการมีส่วนร่วมในการประหยัดพลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อช่วย เศรษฐกิจของตนเองและประเทศ
(2) เกิดความร่วมมือและมีส่วนร่วมของชุมชนและจังหวัดในการประหยัดพลังงาน
(3) ปลูกฝังความรู้พื้นฐานด้านพลังงานแก่เยาวชน สามารถนำความรู้ที่ได้ไปปฎิบัติได้จริง
(4) ประชาชนรับรู้ผลงานของรัฐและกองทุนฯ อย่างทั่วถึง
(5) เกิดการลดใช้พลังงานของประเทศ โดยเฉพาะในภาคคมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรมและ บ้านอยู่อาศัย อย่างต่อเนื่อง และขยายผลไปสู่การประหยัดพลังงานในด้านอื่นๆ
(6) เกิดแนวทางในการบูรณาการยุทธศาสตร์ด้านพลังงานกับยุทธ์ศาสตร์จังหวัดทั่วประเทศเพื่อ ความยั่งยืน
4. คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติงบประมาณค่าใช้จ่ายโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ในช่วงปีงบประมาณ 2543-2547 ไว้ในวงเงินรวม 750 ล้านบาท สนพ. ได้มีการใช้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 707,153,607.97 บาท และมีวงเงินคงเหลือเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ในปี 2547 เป็นเงินจำนวน 42,846,392.03 บาท แต่ในปี 2547 ตามแผนงานที่ สนพ. เสนอจำเป็นต้องใช้งบประชาสัมพันธ์ เป็นเงินจำนวน 310,000,000 บาท ดังนั้น สนพ. จำเป็นต้องขอขยายวงเงินประชาสัมพันธ์ปี 2547 เป็นเงินจำนวน 267,153,607.97 บาท โดยขอโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับมาสมทบ 267,153,607.97 บาท เนื่องจากแผนภาคงานบังคับ มีวงเงินงบประมาณคงเหลืออยู่ในกรอบของโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม และคาดว่า พพ. จะใช้ไม่ทันภายในปีงบประมาณ 2547 สนพ. จึงขอโอนเงินดังกล่าว จำนวน 218,153,607.97 บาท มาสมทบวงเงินคงเหลือ (จำนวน 42.8 ล้านบาท) ในแผนงานสนับสนุนโครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547 และให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ต่อไป
มติที่ประชุม
1. รับทราบผลการดำเนินงานโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2546 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 104,219,881.40 บาท ตามรายงานผลการดำเนินงานของ สนพ. ที่เสนอ
2. อนุมัติแผนปฏิบัติการโครงการประชาสัมพันธ์ ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547 และงบประมาณในการดำเนินงานตามแผน ในวงเงิน 261 ล้านบาท (สองร้อยหกสิบเอ็ดล้านบาทถ้วน) โดยเบิกจ่ายจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน แผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2547 และอนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
3. อนุมัติให้โอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 218,153,607.97 บาท เพื่อนำมาสมทบวงเงินคงเหลือ (จำนวน 42.8 ล้านบาท) ในแผนงานสนับสนุน โครงการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ปีงบประมาณ 2547
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติโครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะอนุกรรมการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า คาดว่าปริมาณการใช้ไฟในปี 2547 นี้ จะอยู่ที่ระดับ 126,811 ล้านหน่วย และมีการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) อยู่ที่ระดับ 19,600 เมกะวัตต์ โดยสาเหตุหลักนอกจากอากาศจะร้อนแล้ว ยังเกิดจากการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอีกด้วย ในขณะที่ปริมาณสำรองไฟฟ้าอยู่ในสัดส่วน 24% กระทรวงพลังงานจึงเห็นสมควรนำโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" มาดำเนินการอีกครั้ง เพื่อจูงใจประชาชนทุกครัวเรือนอนุรักษ์พลังงานภายในครัวเรือน
สนพ. จึงได้จัดประชุมหารือกับผู้แทนจาก กฟน. และ กฟภ. เพื่อประสานความร่วมมือดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ซึ่งที่ประชุมได้นำด้านดีและด้านเสียของการดำเนินโครงการฯ ในช่วงเดือนกันยายน 2544 ถึงสิงหาคม 2545 มาพิจารณา แล้วเห็นว่าการกำหนดฐานคำนวณจากการเฉลี่ยหน่วยไฟฟ้าในเดือนมิถุนายน 2544 ถึงสิงหาคม 2544 นั้นยังไม่สะท้อนต่อพฤติกรรมการประหยัดไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง เนื่องจากมีผลของการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการใช้ไฟฟ้าตามฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง และเห็นว่าหากจะดำเนินโครงการฯ ในระยะต่อไป ควรใช้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเดือนที่จะเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในปีที่ผ่านมาเป็นฐานการคิดส่วนลด ส่วนในกิจกรรมอื่นๆ นั้น ที่ประชุมเห็นว่าควรให้คงลักษณะเดิมไว้ โดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี ในช่วงเดือนมิถุนายน 2547-พฤษภาคม 2548 พร้อมทั้งให้ กฟน. และ กฟภ. เร่งจัดทำข้อเสนอและประมาณการค่าใช้จ่าย ยื่นไว้กับ สนพ. เพื่อนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ และคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามขั้นตอนต่อไป
2. กฟน. และ กฟภ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 เสนอต่อ สนพ. เรียบร้อยแล้ว โดยสรุปได้ดังนี้
"ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 | กฟน. | กฟภ. |
กลุ่มเป้าหมาย "ประเภทบ้านอยู่อาศัย" | 688,400 ครัวเรือน | 3,394,305 ครัวเรือน |
คิดเป็นร้อยละของผู้ใช้ไฟฟ้า | 35 % | 30 % |
ประมาณการเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | 544 ล้านบาท | 1,306 ล้านบาท |
- เงินส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า | 538 ล้านบาท | 1,300 ล้านบาท |
- เงินค่าประชาสัมพันธ์และฝึกอบรมพนักงาน | 6 ล้านบาท | 6 ล้านบาท |
3. เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับทราบถึงนโยบายและเข้าใจรายละเอียดการเข้าร่วมโครงการฯ โดยทั่วถึง ก่อให้เกิดพฤติกรรมการประหยัดไฟอย่างจริงจัง สนพ. จึงได้เสนอที่จะจัดทำ โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 เพื่อแนะนำวิธีประหยัดไฟหลากหลายวิธี ด้วยวิธีง่ายๆ ผ่านสื่อต่างๆ โดยผลิตและเผยแพร่สารคดี จัดรายการพิเศษ ทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ผลิตและแจกเอกสารแนะนำวิธีการประหยัดไฟให้กลุ่มเป้าหมายได้รับทราบ จัดทีมรณรงค์ออกไปเผยแพร่ โดยขออนุมัติใช้เงินจากกองทุนฯ ในวงเงิน 55 ล้านบาท
4. สนพ. ได้นำโครงการดังกล่าวเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 เพื่อพิจารณา และที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าว และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติ ในประเด็นดังนี้
4.1 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ กฟน. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟน. รับผิดชอบ ในวงเงิน 600.83 ล้านบาท
4.2 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ กฟภ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟภ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 1,286.24 ล้านบาท
4.3 อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงิน 55,000,000 บาท
4.4 อนุมัติโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 942.07 ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบ ในแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงินรวม 1,942.07 ล้านบาท ตามข้อ 4.1-4.3
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ กฟน. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟน. รับผิดชอบ ในวงเงิน 600.83 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น (1) ส่วนลดค่าไฟฟ้า ในวงเงิน 594.83 ล้านบาท และ (2) ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 6 ล้านบาท
2. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ กฟภ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2-ส่วนที่ กฟภ. รับผิดชอบ ในวงเงิน 1,286.24 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น (1) ส่วนลดค่าไฟฟ้า ในวงเงิน 1280.24 ล้านบาท และ (2) ส่วนการประชาสัมพันธ์ ในวงเงิน 6 ล้านบาท
3. อนุมัติให้ใช้เงินกองทุนฯ แผนงานภาคความร่วมมือ โครงการส่งเสริมธุรกิจด้านการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อให้ สนพ. นำไปเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการประชาสัมพันธ์ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงิน 55,000,000 บาท และอนุมัติให้ สนพ. ดำเนินการจัดจ้างผู้ที่จะรับทำกิจกรรมประชาสัมพันธ์ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
4. อนุมัติโอนเงินในกรอบของแผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน ในส่วนของการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม จำนวน 942.07 ล้านบาท เพื่อนำมาสมทบ ในแผนงานภาคความร่วมมือ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 ในวงเงินรวม 1,942.07 ล้านบาท ตามข้อ 1-3 ของมติที่ประชุม ในวงเงินรวม 1,942,070,000 บาท
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้รับข้อเสนอโครงการจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความประสงค์จะขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน โดยอาคารทั้ง 2 ราย ได้ดำเนินการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานเบื้องต้น การตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานโดยละเอียด และการจัดทำเป้าหมายและแผนอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาระดับการใช้พลังงานในส่วนของระบบการถ่ายเทความร้อนรวม ระบบแสงสว่าง และระบบปรับอากาศ เมื่อเปรียบเทียบกับกับเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ตามกฎกระทรวงแล้ว มีศักยภาพที่จะปรับปรุงให้ระดับการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพดีขึ้นกว่าเดิมและอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง
2. พพ. ได้วิเคราะห์และกลั่นกรองมาตรการอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุมทั้ง 2 ราย ที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้เงินสนับสนุนจากกองทุนฯ แล้ว และเห็นควรให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานของแต่ละมาตรการ ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) โดยมีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้
หน่วยงาน/มาตรการ | เงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน จากกองทุนฯ (บาท) | |
1. | มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำหรับอาคารมหาวิทยาลัยขอนแก่น | 117,742,879 |
1.1 มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | ||
(1) การบุฉนวนใต้หลังคา | 415,222 | |
(2) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง | 48,568,959 | |
(3) การปรับปรุงระบบแสงสว่าง | 3,967,057 | |
1.2 มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน | ||
(1) การปรับปรุงระบบแสงสว่าง | 64,791,641 | |
2. | จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำหรับอาคารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อาคารฝั่งตะวันออก) | 69,243,908 |
2.1 มาตราการที่ต้องปรับปรุงตามกฎกระทรวง | ||
(1) การปรับปรุงฉนวนหลังคา | 24,977,628 | |
(2) การใช้หลอด Compact Flurescent | 86,355 | |
(3) การใช้แผ่นเคลือบสารสะท้อนแสง | 3,082,240 | |
(4) การใช้บัลลาสต์ Low Watt Loss | 6,932,250 | |
(5) การใช้เครื่องปรับอากาศชนิดประสิทธิภาพสูง | 27,465,500 | |
2.2 มาตรการปรับปรุงระดับการใช้พลังงานที่มีศักยภาพในการอนุรักษ์พลังงาน | ||
(1) การใช้หลอด Compact Flurescent | 276,735 | |
(2) การใช้แผ่นเคลือบสารสะท้อนแสง | 845,600 | |
(3) การใช้บัลลาสต์ Low Watt Loss | 5,577,600 | |
รวมเงินลงทุนเงินลงทุนที่เห็นควรให้การสนับสนุน แก่อาคารทั้ง 2 ราย | 186,986,787 |
3. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ในการประชุมครั้งที่ 1/2547 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547 และได้มีมติเห็นชอบให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการทั้ง 2 อาคาร เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานภาคบังคับ โครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของอาคารควบคุม) ปีงบประมาณ 2547 ให้ พพ. เพื่อนำไปจัดสรรให้แก่อาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการทั้ง 2 อาคาร เพื่อสนับสนุนเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ในวงเงินรวมทั้งสิ้น 186,986,787 บาท (หนึ่งร้อยแปดสิบหกล้านเก้าแสนแปดหมื่นหกพันเจ็ดร้อยแปดสิบเจ็ดบาทถ้วน) ตามรายละเอียดที่ปรากฏในตารางในข้อ 2 ตามที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้มีมติเห็นชอบ
2. สำหรับอาคารราชการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานไปแล้ว พพ. ควรประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อหาแนวทางในการปรับลดงบประมาณในส่วนของค่าสาธารณูปโภคลง
3. พพ. ต้องดำเนินการติดตามประเมินผลการประหยัดพลังงานของอาคารดังกล่าวที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ ไปแล้ว อาคารดังกล่าวสามารถลดการใช้พลังงานได้ตามที่กำหนดไว้ในข้อเสนอมากน้อยเพียงไร แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาต่อไป
4. พพ. ควรจะพิจารณาทบทวนถึงแหล่งที่มาของเงินลงทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานในอาคารของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จากเดิมที่ใช้เงินกองทุนฯ นั้นควรจะเปลี่ยนไปใช้เงินจากงบประมาณประจำปี ของสำนักงบประมาณ
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าขอถอนเรื่องที่ 4.4 เรื่อง ขออนุมัติโครงการพัฒนาศูนย์วิจัยและอบรมการออกแบบอาคารราชการและ เอกชนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และเรื่องที่ 4.8 เรื่อง ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมปิดถนนสีลมของ บริษัท แอคทวิน เอเซีย จำกัด ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2545 ฝ่ายเลขานุการฯ ออกจากการพิจารณาในการประชุมครั้งนี้
เรื่องที่ 5 ขอปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2541 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันพุธที่ 14 ตุลาคม 2541 ได้มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติเงินกองทุนเพื่อใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษาเพื่อประเมินผลการดำเนินงานของโครงการที่ได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ตามหลักเกณฑ์และวงเงินที่คณะกรรมการกองทุนฯ กำหนด พร้อมทั้งประเมินผลการดำเนินงานโครงการและเสนอข้อพิจารณาประกอบรายงานการประเมินผล แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
2. ประธานกรรมการกองทุนฯ (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์) ได้มีคำสั่งคณะกรรมการกองทุนฯ ที่ 4/2545 ลงวันที่ 2 กันยายน 2545 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งมีนายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการดังกล่าว และเนื่องจาก ศ.ดร. เทียนฉาย กีระนันทน์ มีภารกิจมากไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้อย่างเต็มที่ จึงขอลาออกจากการเป็นอนุกรรมการฯ
นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้เสนอให้เรียนเชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านพลังงานและด้านเศรษฐศาสตร์เข้าร่วมในคณะอนุกรรมการฯ เพิ่มเติมจำนวน 2 ท่าน ได้แก่ ศ.ดร. จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ รศ.ดร. ธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ์ โดยให้คงอำนาจและหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ ไว้คงเดิม โดยมีองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการฯ คือ นายปรีดา วิบูลย์สวัสดิ์ เป็นประธานอนุกรรมการฯ นายปิยะวัติ บุญ-หลง นายมานิจ ทองประเสริฐ นายศุภชาติ จงไพบูลย์พัฒนะ นายธีระพงษ์ วิกิตเศรษฐ์ เป็นอนุกรรมการ และมีผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
มติที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ตามที่คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ เสนอในข้อ 2 และให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำคำสั่งแต่งตั้งเสนอประธานกรรมการกองทุนฯ ลงนามต่อไป
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า ปัจจุบันกรมบัญชีกลางเป็นผู้เก็บรักษาเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยฝากเงินไว้กับธนาคารกรุงไทย ซึ่งได้ดอกเบี้ยจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ในอัตราร้อยละ 0.75 บาท และบัญชีเงินฝากประจำ 3 เดือน ในอัตราร้อยละ 1.00 บาท ขณะนี้มีเงินคงเหลือตามประมาณการจำนวน 9,223.12 ล้านบาท ดังนั้นสถาบันบริหารกองทุนพลังงานได้เสนอความเห็นว่าหากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสามารถนำเงินจำนวนหนึ่งให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน เพื่อส่งมอบให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็จะทำให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านดอกเบี้ยลงได้ และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เพิ่มขึ้น โดยอาจใช้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลเป็นอัตราอ้างอิง
2. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรขอแก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ใน ข้อ 6 กำหนดให้ กรมบัญชีกลางเปิดบัญชีเงินฝาก "กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ประเภทเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ หรือเงินฝากประจำกับสถาบันการเงินที่เป็นของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ เห็นสมควร โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง โดยเพิ่มข้อความ "และให้สามารถนำเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ไปหาประโยชน์ในรูปอื่นๆ ได้มากขึ้น โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการกองทุนฯ" เพื่อ เปิดโอกาสให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสามารถนำเงินกองทุนฯ ไปให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานกู้ยืมได้ เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในรูปดอกเบี้ยและในส่วนของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานก็จะได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ในการแก้ไขระเบียบดังกล่าว คณะกรรมการกองทุนฯ มีอำนาจในการดำเนินการได้ตามข้อ 4 ซึ่งกำหนดว่า หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในเรื่องการเก็บรักษาเงิน การเบิกจ่ายและการพัสดุที่มิได้กำหนดไว้ในระเบียบนี้ ให้ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของทางราชการโดยอนุโลม ในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติตามระเบียบของทางราชการได้ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกองทุนกำหนดโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
มติที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการที่จะให้แก้ไขระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินและการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 ตามที่ ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ โดยให้กรมบัญชีกลางร่วมกับฝ่ายเลขานุการฯ ไปดำเนินการยกร่างการแก้ไขระเบียบดังกล่าว ในแต่ละประเด็นที่ต้องการแก้ไขให้มีความชัดเจน แล้วนำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
เรื่องที่ 7 ขอปรับปรุงโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน
1. ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 มีมติให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ดำเนินการ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน" ภายในวงเงิน 2,000 ล้านบาท โดยให้ พพ.ปรับปรุงวิธีการปฏิบัติในการใช้เงินหมุนเวียนและมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่าควรนำหลักเกณฑ์เงินหมุนเวียนไปใช้สนับสนุนกับโรงงานและอาคารที่สนใจจะลงทุนทางด้านอนุรักษ์พลังงาน แต่มิได้เป็นโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมด้วย
2. เมื่อ พพ. เปิดตัวโครงการฯ มีโรงงานควบคุม/อาคารควบคุมให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 300 ราย โดยติดต่อสอบถามข้อมูลผ่านทางสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่ง และ พพ. โดยมีโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมได้ส่งข้อเสนอโครงการฯ มาจำนวน 29 แห่ง สถาบันวิจัยพลังงานและ พพ. ได้ดำเนินการพิจารณาข้อเสนอโครงการดังกล่าว นำเสนออธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน พิจารณาและได้อนุมัติเงินให้การสนับสนุนแล้ว จำนวน 26 แห่ง ในวงเงิน 567,128,938 บาท โดยสามารถประหยัดพลังงานได้รวมเป็นเงิน 311,826,420 บาทต่อปี
3. เนื่องจากสถาบันการเงินและผู้ประกอบการด้านอนุรักษ์พลังงาน ได้แจ้งว่ามีผู้สนใจที่ไม่ได้เป็นโรงงาน/อาคารควบคุม ต้องการจะขอเข้าร่วมโครงการฯ โดยแบ่งได้เป็น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม พพ. และกรณีที่ 2 บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) เป็นบุคคลอื่นที่ไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงาน/อาคาร แต่เป็นผู้ลงทุนดำเนินการติดตั้งมาตราการ/เทคโนโลยีอนุรักษ์ พลังงานให้แก่เจ้าของโรงงานและอาคาร ซึ่งตามหลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้วนั้น สถาบันการเงินจะต้องปล่อยกู้ให้แก่โรงงานควบคุม/อาคารควบคุม โดยเจ้าของโรงงานควบคุม/อาคารควบคุมเป็นผู้กู้ ทำให้ผู้ต้องการลงทุนอนุรักษ์พลังงานทั้ง 2 กรณี ดังกล่าวไม่สามารถขอรับการสนับสนุนจากโครงการฯ นี้ได้ ทั้งๆ ที่การอนุรักษ์พลังงานทั้ง 2 กรณี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและควรได้รับการสนับสนุนเหมือนกับการอนุรักษ์พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ซึ่งลงทุนโดยเจ้าของโรงงาน/อาคารเอง
4. พพ. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 4/2547 (ครั้งที่ 11) เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2547 ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของ พพ. แล้ว เห็นว่า การขยายขอบเขตโครงการฯ เป็นการเปิดกว้างกลุ่มเป้าหมายและวิธีการการสนับสนุนให้แก่ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) ในการนำหลักเกณฑ์เงินหมุนเวียนไปใช้กับโรงงานและอาคารที่สนใจ แต่มิได้เป็นโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมด้วย อีกทั้งการขยายขอบเขตการสนับสนุน เป็นการพัฒนารูปแบบการสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงาน (Model Development) ซึ่งอาจจะเป็นรูปแบบการสนับสนุนที่ยั่งยืนของกองทุนฯ ต่อไป จึงมีมติเห็นชอบ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. ขยายขอบเขตโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ได้ให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งที่ 5/2544 (ครั้งที่ 26) โดยให้ พพ. สนับสนุนแก่โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุมตามกรณีที่ 1 และบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) ตามกรณีที่ 2 รวมทั้งให้ครอบคลุมการให้การสนับสนุนแก่โครงการชีวมวลผลิตพลังงานและการใช้พลังงานทดแทนจากวัตถุดิบการเกษตรเพื่อผลิตพลังงาน ด้วย
2. อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติเงิน โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน สนับสนุนให้แก่โรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุม บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) และนักพัฒนาโครงการ (Project Developers) โดยใช้หลักเกณฑ์และวิธีการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม และเมื่ออนุมัติแล้วให้รายงานคณะอนุกรรมการฯ ทราบเป็นคราวๆ ไป