คณะกรรมการและอนุกรรมการ (2531)
Children categories
กบง. ครั้งที่ 130 - วันพุธที่ 24 ตุลาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 23/2555 (ครั้งที่ 130)
วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 23 ตุลาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.25, 118.4 และ 124.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 3.55, 6.18 และ 4.73 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 18 ตุลาคม 2555) จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 24 ตุลาคม 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 ตุลาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,454 ล้านบาท หนี้สินรวม 23,693 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 19,239 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันทุกชนิด 0.50 บาท/ลิตร ยกเว้นน้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ที่เก็บในอัตราเดิม โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.50 | 8.00 | +0.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.20 | 6.70 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.80 | 2.30 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.50 | 0.00 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -2.30 | -+0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 | - |
น้ำมันดีเซล | 0.20 | 0.70 | +0.50 |
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 36.84 ล้านบาท จากติดลบวันละ 21.42 ล้านบาท เป็นบวกวันละ 15.42 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.50 | 8.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.20 | 6.70 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.80 | 2.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.50 | 0.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.80 | -2.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 |
น้ำมันดีเซล | 0.20 | 0.70 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 129 - วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 32/2555 (ครั้งที่ 129)
วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 18 ตุลาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.80, 124.32 และ129.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 0.20, 5.88 และ 1.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากราคาปิดตลาดเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2555 ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอลลง 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,582 ล้านบาท หนี้สินรวม 24,607 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 19,025 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและดีเซลอยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร 95, 91 ลง 0.40 บาทต่อลิตร และเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 จึงขอปรับอัตราเงินชดเชยเพิ่ม 0.50 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 | +0.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.30 | 1.80 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.00 | -0.50 | +0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.30 | -2.80 | -0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 | - |
น้ำมันดีเซล | -0.10 | +0.20 | +0.30 |
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 25.27 ล้านบาท จากติดลบวันละ 46.69 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 21.42 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.00 | 7.50 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 5.70 | 6.20 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.30 | 1.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -1.00 | -0.50 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -2.30 | -2.80 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 |
น้ำมันดีเซล | -0.10 | +0.20 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 128 - วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 31/2555 (ครั้งที่ 128)
วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. การเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคา ขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับ เพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมัน แก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 111.00, 130.20 และ131.00 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.35, 6.33 และ 4.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 26 กันยายน 2555) จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2555 ผู้ค้าน้ำมันปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล 0.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2555 เป็นดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงณ วันที่ 12 ตุลาคม 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,749 ล้านบาท หนี้สินรวม 24,379 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 18,630 ล้านบาท
5. กพช. เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. ปรับส่วนต่างราคาขายปลีกน้ำมัน แก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เพื่อจูงใจให้ประชาชนหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ให้มากขึ้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอเพิ่มแรงจูงใจอีกร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 8 หรือปรับส่วนต่าง เป็น 3 บาท/ลิตร โดยในครั้งนี้จะปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และ E20 ลง 0.40 และ1.40 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างของราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และ E20 อยู่ที่ 2 บาท/ลิตร และจะทยอยปรับส่วนต่างราคาขายปลีกให้เป็น 3 บาท/ลิตร พร้อมทั้งติดตามผลการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เป็นระยะๆ ต่อไป
6. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและดีเซลอยู่ในระดับต่ำ และเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของเบนซิน 95, 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91 ลง 0.40 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ลง 1.40 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับลด 0.30 บาทต่อลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ | เปลี่ยนแปลง(+/-) |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.40 | 7.00 | -0.40 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.10 | 5.70 | -0.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.70 | 1.30 | -0.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.60 | -1.00 | -0.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.90 | -2.30 | -1.40 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 | - |
น้ำมันดีเซล | 0.20 | -0.10 | -0.30 |
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 20 ล้านบาท จากติดลบวันละ 20 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 40 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(หน่วย : บาทต่อลิตร)
ชนิดน้ำมัน | เดิม | ใหม่ |
น้ำมันเบนซิน 95 | 7.40 | 7.00 |
น้ำมันเบนซิน 91 | 6.10 | 5.70 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 | 1.70 | 1.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 | -0.60 | -1.00 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 | -0.90 | -2.30 |
น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 | -11.80 | -11.80 |
น้ำมันดีเซล | 0.20 | -0.10 |
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 การเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2554 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้บังคับใช้ประกาศกำหนดคุณภาพของน้ำมันดีเซลให้มีไบโอดีเซลผสมอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 5 (4.5 – 5%) โดยปริมาตร ต่อมา ธพ. ได้ออกประกาศปรับลดสัดส่วนไบโอดีเซล เหลือร้อยละ 4 (3.5 – 4%) โดยปริมาตร ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2555 เนื่องจากสต๊อคน้ำมันปาล์มดิบในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2555 คงเหลือเพียง 176,030 ตัน และ 158,633 ตัน ตามลำดับ
2. สำนักส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร กรมการค้าภายใน ได้รายงานปริมาณการผลิต การนำเข้า และส่งออกน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ เดือนสิงหาคม 2555 พบว่ามีปริมาณสูงถึง 218,564 ตัน โดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้พยากรณ์ปริมาณน้ำมันปาล์มดิบไว้ ดังนี้
ชนิดน้ำมัน | ปี 55 (พยากรณ์โดย สศก.) | ปี 56 (เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) | |||||
ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | |
ผลผลิต | 182,631 | 182,685 | 185,361 | 169,430 | 117,864 | 137,269 | 173,819 |
คงเหลือ | 251,000 | 285,000 | 310,000 | 322,000 | 290,000 | 274,000 | 289,000 |
3. ความต้องการใช้ภายในประเทศ 132,500 ตันต่อเดือน ประมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อการบริโภค 85,000 ตันต่อเดือน ใช้เพื่อการผลิตไบโอดีเซล (สัดส่วน 5%) 47,500 ตันต่อเดือน ดังนั้นสต๊อกปาล์มน้ำมันคงเหลือรายเดือนที่มีความมั่นคงสำหรับประเทศควรมีปริมาณที่พอเพียงสำหรับการใช้ 1.5 เดือน หรือ ประมาณ 200,000 ตัน/เดือน ปริมาณคงเหลือที่ต้องเฝ้าระวัง คือ ปริมาณใช้งานได้ 1.25 เดือน หรือประมาณ 170,000 ตัน/เดือน และปริมาณคงเหลือที่เข้าสู่วิกฤต คือ ปริมาณการใช้งาน 1 เดือน คือ 132,500 ตัน/เดือน
4. เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาน้ำมันปาล์มดิบล้นตลาด ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอแนวทาง ดังนี้
4.1 เห็นควรมอบหมายให้ ธพ. ปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลเป็นร้อยละ 5 (4.5 – 5%) และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2555 เป็นต้นไป
4.2 กำหนดกรอบปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ ไม่ต่ำกว่า 200,000 ตัน/เดือน และเมื่อใดปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือต่ำกว่า 200,000 ตัน/เดือน ให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องประชุมหารือเพื่อหาทางบริหารจัดการต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานปรับเพิ่มสัดส่วนไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลเป็นร้อยละ 5 (4.5 – 5%) และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 เป็นต้นไป
2. เห็นชอบให้กำหนดกรอบปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือ ไม่ต่ำกว่า 200,000 ตันต่อเดือน โดยทั้งนี้ เมื่อปริมาณน้ำมันปาล์มดิบคงเหลือต่ำกว่า 200,000 ตันต่อเดือนให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องประชุมหารือ เพื่อหาทางบริหารจัดการต่อไป
กบง. ครั้งที่ 127 - วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 30/2555 (ครั้งที่ 127)
วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. กรอบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556
3. โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 26 กันยายน 2555 น้ำมันดิบดูไบเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 107.65, 123.87 และ126.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 3.15, 1.06 และ 3.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 19 กันยายน 2555) และโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 27 กันยายน 2555 ดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 กันยายน 2555
(กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 กันยายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,162 ล้านบาท หนี้สินรวม 22,329 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 18,168 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลที่อยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลเพิ่มขึ้น 0.20 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 10 ล้านบาท จากติดลบวันละ 61 ล้านบาท เป็นติดลบ
วันละ 51 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (นางสาวสุมาลี สถิตชัยเจริญ) ได้ให้ความเห็นว่า ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2555 ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกลดลง 1.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของดีเซล 0.60 บาทต่อลิตร โดยครั้งนี้ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกลดลงถึง 3.35 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ดังนั้นเพื่อให้ฐานะกองทุนดีขึ้นโดยเร็ว จึงควรให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้นมากกว่า 0.20 บาทต่อลิตร ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ในการพิจารณาโครงสร้างราคาขายปลีกจะพิจารณาจากราคาน้ำมันดิบดูไบ ราคาตลาดสิงคโปร์ และอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 27 กันยายน 2555 อ่อนตัวลงกว่าครั้งที่ผ่านมาประมาณ 0.15 บาทต่อดอลล่าห์สหรัฐ
ทำให้ราคาขายปลีกสูงขึ้น 0.10 บาทต่อลิตร รวมทั้งผู้ค้าน้ำมันได้ลดราคาขายปลีกลงก่อนแล้ว 0.20 บาทต่อลิตร
หากครั้งนี้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันดีเซลมากกว่า 0.20 บาทต่อลิตร จะส่งผลให้ค่าการตลาดต่ำกว่า 1.50 บาทต่อลิตรอย่างต่อเนื่อง และอาจส่งผลให้ผู้ค้ารายเล็กไม่สามารถประกอบกิจการต่อได้
2. ประธานฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ผู้ค้าน้ำมันหลายแห่งได้มีการเข้าชี้แจงกับกระทรวงพลังงานเกี่ยวกับค่าการตลาดที่เหมาะสมว่าควรอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร เนื่องจากปัจจุบันค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่
1.40 - 1.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้ค้าบางรายไม่สามารถประกอบกิจการต่อไปได้ ดังนั้นจึงอาจจะต้องมีการศึกษาวิจัยเพื่อหาค่าการตลาดที่เหมาะสมอีกครั้ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 กรอบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 กบง. ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551–2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.)
รวมจำนวนเงิน 173,679,300 บาท พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน
350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้
2. เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2554 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2555
ให้หน่วยงานต่างๆ ข้างต้น เป็นจำนวนเงินรวม 41,345,200 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
3. สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2555 งบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวนรวม 3 โครงการ ได้อนุมัติเงินรวม 35.084 ล้านบาท เป็นเงินสนับสนุน สนพ. จำนวน 2 โครงการ เป็นเงิน 21.50 ล้านบาท ได้แก่ โครงการศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) (วงเงิน 1.5 ล้านบาท) และโครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ (วงเงิน 20 ล้านบาท) และ ธพ. จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการป้องกันและปราบปรามการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวข้ามสาขา และการลักลอบส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (วงเงิน 13.584 ล้านบาท)
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 23 กันยายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,162 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 22,329 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 17,131 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว
148 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 5,050 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 18,168 ล้านบาท
5. เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2555 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจัดทำคำขอแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2556 และหน่วยงานต่างๆได้ส่งคำขอรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 34,229,600 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
กรอบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2556 สป.พน. และ สนพ. ได้ขอปรับลดเงินสนับสนุนจากปี 2555 จำนวน 23.0067 ล้านบาท และ 9.4903 เป็นปี 2556 จำนวน 16.540 และ 6.3604 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. ในปี 2556 ได้ขอปรับเงินสนับสนุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตามระเบียบกระทรวงการคลังเป็นจำนวน 7.7518, 1.2352 และ 2.3422 ล้านบาท ตามลำดับ
6. ในส่วนงบรายจ่ายอื่น ในปี 2556 ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอปรับลดเงินจาก 300 ล้านบาท เป็น 150 ล้านบาท เพื่อให้สอกคล้องกับสถานการณ์ของฐานะกองทุนน้ำมันฯ ที่ติดลบ
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับ การใช้ประโยชน์ของเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ในวงเงิน 150 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า เป็นวงเงินเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้ในการดำเนินโครงการศึกษาวิจัยตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันฯ เช่น สนพ. ใช้ในการศึกษาความเหมาะสมของค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เดิมได้มีการวางกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2551-2555 ในวงเงิน 300 ล้านบาทต่อปี ซึ่งหน่วยงานหลักที่มีการเบิกจ่าย ได้แก่ สนพ. กรมธุกิจพลังงาน และ สป.พน. ซึ่งได้มีการดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายพลังงานในกรณีเร่งด่วน เช่น กรมธุรกิจพลังงานมีการปรับภาษีสรรพษามิตต้องมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบคลังน้ำมันค่าใช้จ่ายจะใช้ในส่วนนี้ ค่าใช้จ่ายเร่งด่วนที่ไม่สามารถตั้งงบประมาณขึ้นได้ทัน และที่ผ่านมาการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในส่วนนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาทต่อปี จึงได้มีการปรับลดการขอกรอบวงเงินในส่วนนี้เหลือ 150 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้ กบง. ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้น เพื่อกลั่นกรองและอนุมัติเกี่ยวกับการใช้เงินในส่วนนี้
3. รักษาการผู้อำนวยการ สบพน. (นายชายน้อย เผื่อนโกสุม) ได้ให้ความเห็นว่า การเบิกเงินจากกองทุนน้ำมันฯ งบรายจ่ายอื่น ยังไม่มีระเบียบปฏิบัติในการติดตามและตรวจสอบผลการดำเนินการที่ชัดเจน จึงเห็นควรให้มีการจัดทำระบบการติดตามผลการดำเนินการเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยขณะนี้ สบพน. กำลังศึกษารายละเอียดและจะนำผลเสนอ กบง. ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2555 ของหน่วยงานต่างๆ
2. เห็นชอบกรอบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2556 ของ 5 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวม 34.2296 ล้านบาท (สามสิบสี่ล้านสองแสนสองหมื่นเก้าพันหกร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
3. เห็นชอบอนุมัติเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2556 ในวงเงิน 150 ล้านบาท (หนึ่งร้อยห้าสิบล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินสำรองกองกลาง
เรื่องที่ 3 โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์) ได้ขอหารือเกี่ยวกับ โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในรถจักรยานยนต์สาธารณะ โดยการให้ส่วนลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอลให้กับรถจักรยานยนต์สาธารณะ 3 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมัน
แก๊สโซฮอลถูกกว่าน้ำมันเบนซิน 91 ประมาณ 10 บาทต่อลิตร แต่เนื่องจากมอเตอร์ไซด์บางรุ่นไม่สามารถใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลได้ หรือยังไม่มีความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ซึ่งควรมีมาตรการในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ดังกล่าว โดยอาจจะปรับปรุงเครื่องยนต์ รวมทั้งต้องสร้างความมั่นใจด้วยการประชาสัมพันธ์หลายๆ ช่องทาง เพื่อให้ประชาชนได้เข้าใจในนโยบายดังกล่าว เช่น การเผยแพร่ทางโฆษณา หรือติดตั้งป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ขนาดใหญ่ตามที่ต่างๆ เป็นต้น
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประสานงานและร่วมหารือกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เพื่อหาแนวทางและขั้นตอนในการดำเนินการต่อไป
กบง. ครั้งที่ 126 - วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 29/2555 (ครั้งที่ 126)
วันอังคารที่ 20 กันยายน 2555 เวลา 15.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. โครงการแลกเปลี่ยนถังก๊าซคอมโพสิตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 1
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับตัวลดลง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 19 กันยายน 2555 น้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 110.80, 124.93 และ129.95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวลดลง 2.11, 2.92 และ 1.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 10 กันยายน 2555) โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 20 กันยายน 2555 ดังนี้
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงณ วันที่ 20 กันยายน 2555
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 16 กันยายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,829 ล้านบาท หนี้สินรวม 22,257 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 17,429 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลที่อยู่ในระดับสูง ฝ่ายเลขานุการฯ ได้ขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และ แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร และดีเซลเพิ่มขึ้น 0.60 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 43 ล้านบาท จากติดลบวันละ 106 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 63 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. รองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายคุรุจิต นาครทรรพ) ได้ให้ความเห็นว่า เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินในตลาดโลกได้มีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมากถึง 1.82 และ 2.92 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จึงควรให้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จำนวนที่เท่ากันเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ควรพิจารณาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกเฉลี่ย 7 วัน ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า เนื่องจากน้ำมันดีเซลมีปริมาณการใช้เป็นจำนวนมากหากเทียบกับน้ำมันเบนซิน รวมทั้งราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง ดังนั้นการปปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลในอัตราที่ 0.60 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากที่สุด
2. ผู้แทนปลัดกระทรวงคมนาคม (นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า เนื่องจากปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 53 ล้านลิตรต่อวัน นับว่าเป็นปริมาณมาก หากเทียบกับน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านลิตรต่อวัน ดังนั้นการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลที่ 0.60 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ประมาณ 1.40 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นอัตราที่ผู้ค้าน่าจะยอมรับได้ และเป็นการลดภาระของกองทุนลงอีก
3. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายภูมิใจ อัตตะนันทน์) ได้ให้ความเห็นว่า การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ที่ 0.50 บาทต่อลิตร จะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 1.59 และ 1.51 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ซึ่งยังเป็นอัตราที่สูงจึงเห็นควรให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 ให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะพิจารณาจากค่าการตลาดเฉลี่ยรายเดือน และเฉลี่ย 7 วันย้อนหลัง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาค่าการตลาดเฉลี่ยของน้ำมันเบนซิน 95, 91 และดีเซลอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 1.50 บาทต่อลิตร รวมถึงสถานการณ์ราคาน้ำมัน
ในตลาดโลกยังมีความผันผวนจึงอาจจะปรับตัวสูงขึ้นได้ จึงควรรักษาค่าการตลาดให้อยู่ที่ระดับ 1.50 บาทต่อลิตร
และดูสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกไปอีกระยะหนึ่ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
เรื่องที่ 2 โครงการแลกเปลี่ยนถังก๊าซคอมโพสิตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 1
รองอธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นางพูนทรัพย์ สกุณี) ได้รายงานเกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนถังก๊าซ
คอมโพสิตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ระยะที่ 1 ว่า ปัจจุบันใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการใช้ถังแก๊สหุงต้มเหล็กอยู่ประมาณ 740.000 ใบ เป็นถังขนาด 4 กิโลกรัม จำนวน 237,000 ใบ ขนาด 13.5 กิโลกรัม จำนวน 467,000ใบ และขนาด 48 กิโลกรัม จำนวน 36,000 ใบ ซึ่งถังเหล็กบางส่วนได้ถูกนำมาใช้ในการก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงควรดำเนินการเปลี่ยนมาใช้ถังก๊าซคอมโพสิตซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าถังเหล็ก ปัจจุบันมีบริษัท อุตสาหกรรมจอบไทย จำกัด เป็นผู้ผลิตถังคอมโพสิตเพียงแห่งเดียว มีกำลังการผลิตเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 20,000
ใบต่อเดือน แต่คาดว่าในช่วงเดือนมีนาคม 2556 จะมีบริษัท ทีเจ คอมโพสิต จำกัด เพิ่มอีกแห่ง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตประมาณ 20,000 ใบต่อเดือน จึงคาดว่าจะสามารถจัดหาถังได้ประมาณ 40,000 ใบต่อเดือน และในเบื้องต้น
จะดำเนินการเปลี่ยนถังขนาด 13.5 และ 15 กิโลกรัมก่อน โดยจะรับแลกเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มเหล็กที่มีราคาเฉลี่ย
ถังละประมาณ 800 บาท และภาครัฐต้องชดเชยในส่วนที่เหลืออีกประมาณ 480 บาท เนื่องจากต้นทุนราคาถัง
ก๊าซคอมโพสิตอยู่ที่ประมาณ 1,280 บาท ซึ่งคาดว่าในระยะแรกจะดำเนินการเปลี่ยนประมาณ 468,000 ใบ ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 ถึงไตรมาสที่ 4 ของปี 2556 โดยจะใช้เงินในการประชาสัมพันธ์และดำเนินการทั้งสิ้นประมาณ 234 ล้านบาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการแลกเปลี่ยน การขนส่ง และซ่อมแซมถังเหล็ก
ทางผู้ค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด ปัจจุบันมีผู้ค้าที่รับดำเนินการเพียงแห่งเดียว คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เนื่องจากมีการซื้อขายถังคอมโพสิตกับบริษัท อุตสาหกรรมจอบไทย จำกัด อยู่แล้วในปัจจุบัน
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ในเบื้องต้น ปตท. ได้ประสานงานกับ บริษัท จอบไทยฯ และสั่งผลิตถังก๊าซคอมโพสิตครั้งแรกเป็นจำนวน 100,000 ใบ เพื่อดำเนินการเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มเหล็กเป็นถังก๊าซคอมโพสิตที่ใช้ภายในประเทศทั้งหมด และจากการหารือกันได้มีความเห็นว่า ควรดำเนินการเปลี่ยนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อน โดยทั้งนี้กระทรวงพลังงานควรหารือกับผู้ค้ารายอื่นด้วยเพื่อให้มีความเข้าใจและเปิดโอกาสให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการนี้ต่อไป
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ควรศึกษารายละเอียดการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินการเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มเหล็กเป็นถังก๊าซคอมโพสิตเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนน้ำมันฯ มากที่สุด และควรชักชวนให้ผู้ค้ารายอื่นๆ เข้าร่วมดำเนินการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันทางการตลาด เพราะการใช้ถังก๊าซคอมโพสิตจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่ง เนื่องจากถังก๊าซคอมโพสิตมีน้ำหนักเบาและมีความปลอดภัยสูงกว่าถังเหล็ก
มติของที่ประชุม
เห็นชอบมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานดำเนินการหารือกับผู้ค้าที่เกี่ยวข้อง ในด้านศักยภาพของการเตรียมความพร้อมและแนวทางในการดำเนินการเปลี่ยนถังแก๊สหุงต้มเหล็กเป็นถังก๊าซคอมโพสิตต่อไป
กบง. ครั้งที่ 125 - วันอังคารที่ 11 กันยายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 28/2555 (ครั้งที่ 125)
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. รายงานสถานการณ์การใช้น้ำมันภายในประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 10 กันยายน 2555
น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และดีเซลอยู่ที่ 112.91, 127.85 และ131.77 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ
โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและดีเซลปรับตัวลดลง 0.60 และ 3.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ และราคาน้ำมันเบนซินปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.79 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาปิดตลาด ณ วันที่ 4 กันยายน 2555 ดังนั้น โครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 11 กันยายน 2555 คือ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 9 กันยายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 4,412 ล้านบาท หนี้สินรวม 21,525 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 17,114 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลที่อยู่ในระดับต่ำ ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน และ แก๊สโซฮอลลง 0.20 บาท/ลิตร และจากค่าการตลาดน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับสูง จึงขอปรับลดอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซลลง 0.20 บาท/ลิตร โดยมีอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 6 ล้านบาท จากติดลบวันละ 112 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 106 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายสมชาย ศักดาเวคีอิศร) ได้ให้ความเห็นว่า ในส่วนของน้ำมันเบนซิน 91 และ น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ไม่ควรมีการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ลง 0.20 บาท/ลิตร เพื่อเพิ่มส่วนต่างของราคาขายปลีกให้เพิ่มขึ้นและเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมัน แก๊สโซฮอล 91, E20 และ E85 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า หากไม่ดำเนินการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน 91 และ น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ลง ผู้ค้าน้ำมันอาจจะปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 และ น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 รายงานสถานการณ์การใช้น้ำมันภายในประเทศ
อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) ได้รายงานสถานกาณ์การใช้น้ำมันภายในประเทศว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลโดยการเพิ่มส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้มากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันปริมาณการใช้น้ำมันเบนซิน 91 มีแนวโน้มลดลงจากช่วงต้นปีมีการใช้ประมาณ 10 ล้านลิตรต่อวัน ลงมาอยู่ที่ 8 ล้านลิตรต่อวัน ส่วนน้ำมันเบนซิน 95 ยังคงมีปริมาณการใช้คงที่ประมาณ 1 แสนลิตรต่อวัน แต่ทั้งนี้ปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซอฮลมีแนวโน้มที่มากขึ้นโดย E20 ในช่วงต้นปีมีปริมาณการใช้อยู่ที่ประมาณ 7 แสนลิตรต่อวัน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน ส่วน E85 ในช่วงต้นปีมีปริมาณการใช้อยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นลิตรต่อวัน ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนลิตรต่อวัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าส่วนต่างของราคามีผลกระทบต่อปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลโดยตรง เนื่องปัจจุบันยังมีสถานีจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 เพียง 800 - 900 แห่ง แต่คาดว่าในช่วงสิ้นปีจะเพิ่มขึ้นเป็น 1,200 แห่ง จะทำให้มีปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 และ E85 เพิ่มขึ้นอีก
กบง. ครั้งที่ 124 - วันพุธที่ 5 กันยายน 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 27/2555 (ครั้งที่ 124)
วันพุธที่ 5 กันยายน 2555 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคาจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่ง และส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและค่าโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอล ให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 4 กัยายน 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 113.51 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 125.06 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 134.97 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน และดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 30 สิงหาคม 2555) 3.26, 0.93 และ 2.51 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 5 กันยายน 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ ณ วันที่ 2 กันยายน 2555 มีทรัพย์สินรวม 3,745 ล้านบาท หนี้สินรวม 19,900 ล้านบาท โดยกองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 16,155 ล้านบาท
5. จากค่าการตลาดของน้ำมันเบนซินที่อยู่ในระดับสูง เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้นฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเบนซิน และ แก๊สโซฮอล 0.50 บาท/ลิตร และจากค่าการตลาดน้ำมันดีเซลที่อยู่ในระดับต่ำ จึงขอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยของน้ำมันดีเซล 0.30 บาท/ลิตร
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 6 ล้านบาท จากติดลบวันละ 120 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 126 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้มีความเห็นว่า ราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง ดังนั้นการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซล เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมเนื่องจากราคาปิดตลาดโลกของน้ำมันดีเซลในช่วงเย็น
มีแนวโน้มที่จะลดลงอีก หากปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.30 บาทต่อลิตร จะทำให้
ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลสูงจนเกินควร จึงเห็นควรให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง
0.20 บาทต่อลิตร
2. ประธานฯ ได้มีความเห็นเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ผ่านมาค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำเพียง
0.84 บาทต่อลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น แต่ในปัจจุบันราคาน้ำมันดีเซลในตลาดโลกมีแนวโน้มที่ลดลงซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลสูงขึ้นด้วย ดังนั้นการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลลง 0.20 บาทต่อลิตร น่าจะทำให้ค่าการตลาดมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และควรมีการติดตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกอย่างใกล้ชิด และหากเกิดการเปลี่ยนแปลงจนส่งผลกระทบต่อกลไกการตลาดให้นำมาพิจารณาเพื่อความเหมาะสมอีกครั้ง
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 123 - วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 26/2555 (ครั้งที่ 123)
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 30 สิงหาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 110.25 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 124.13 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 132.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 16 สิงหาคม 2555) 1.03 และ 6.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 0.16 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 26 สิงหาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 3,470 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 18,795 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 15,005 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 163
ล้านบาท และเงินกู้ยืม 3,627 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 15,324 ล้านบาท
5. จากราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงเพื่อเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ให้ดีขึ้นฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน ดังนี้
กองทุนน้ำมันฯ จะมีภาระลดลงประมาณวันละ 4 ล้านบาท จากติดลบวันละ 79 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 75 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้สอบถามเกี่ยวกับ ราคาขายปลีกของน้ำมันเชื้อเพลิงหลังการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และแนวโน้มปริมาณการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า ภายหลังการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ คาดว่าจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน 95 และ91 มีอัตราคงเดิม ส่วนน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 จะมีการปรับลดราคาขายปลีกลง ส่วนปริมาณการใช้ น้ำมันแก๊สโซฮอล E20 มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น โดยเดือนกรกฎาคม 2555 มีปริมาณการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 850,000 ลิตรต่อเดือน
สูงกว่าเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 750,000 ลิตรต่อเดือน
2. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายสมชาย ศักดาเวคีอิศร) ได้ให้ความเห็นว่า หากเปรียบเทียบโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของวันที่ 17 สิงหาคม 2555 ที่ราคาตลาดโลกใกล้เคียงกัน พบว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ณ ปัจจุบันยังมีอัตราที่สูงกว่า ดังนั้นเพื่อให้ฐานะกองทุนฯ ดีขึ้นควรจะปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 ขึ้นอีก ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่า จากการศึกษาของสถาบันปิโตรเลียมฯ ค่าการตลาดของน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 1.50 - 180 บาทต่อลิตร ซึ่งค่าตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95, 91, E20 และ E85 เมื่อวันที่
17 สิงหาคม 2555 อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่า 1.00 บาทต่อลิตร โดยค่าการตลาดเฉลี่ยของเดือนสิงหาคม 255 อยู่ที่ 1.21 บาทต่อลิตร และเดือนกรกฎาคม 2555 อยู่ที่ 1.38 บาทต่อลิตร ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าการตลาดเฉลี่ยของเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 1.80 บาทต่อลิตร จะพบว่าในช่วงที่ผ่านมาค่าการตลาดอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ต่ำ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 122 - วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 25/2555 (ครั้งที่ 122)
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 13.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
1. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง.พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 16 สิงหาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 111.28 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 131.12 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 132.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบและดีเซลปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 13 สิงหาคม 2555) 2.69 และ 3.40 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันเบนซินปรับตัวลดลง 0.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศเพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,062 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 19,492 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,179 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 163
ล้านบาท และเงินกู้ยืม 5,150 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 14,430 ล้านบาท
5. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล ดังนี้
ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 42 ล้านบาท จากติดลบวันละ 37 ล้านบาทเป็นติดลบวันละ 79 ล้านบาท
การพิจารณาของที่ประชุม
1. ประธานฯ ได้มีความเห็นว่า การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน โดยเฉพาะราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลซึ่งส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพ และการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในการประชุมครั้งนี้ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ ติดลบเพิ่มมากขึ้น จากติดลบวันละ 37 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 79 ล้านบาท
2. รักษาการผู้อำนวยการสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (นายชายน้อย เผื่อนโกสุม) ได้มีความเห็นว่า
จากการคาดการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่หลังจากไตรมาส 3 ของปี 2555 ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอาจจะมีแนวโน้มลดลง และเห็นด้วยกับการใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้อยู่ระดับสูงเกินไป เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงราคาของน้ำมันดีเซลที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน แต่ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินลง อาจเป็นการส่งสัญญาณที่
สวนทางกับนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91 ซึ่งปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ได้ชี้แจงว่า ในช่วงนี้ราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ในระดับสูง และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดมีปริมาณการใช้มาก จึงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันทั้งสองชนิดอย่างใกล้ชิดรวมทั้งดูแลราคาขายปลีกให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าอีกประมาณ
1 – 2 สัปดาห์ ราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกอาจจะปรับตัวลดลง และ กบง. สามารถพิจารณาปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 121 - วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2555
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 24/2555 (ครั้งที่ 121)
วันอังคารที่ 14 สิงหาคม 2555 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 15 ศูนย์เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ (ENCO) อาคารบี
2. แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
3. โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
4. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ) กรรมการและเลขานุการ
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล และเรื่อง แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และ ก๊าซ LPG ดังนี้
1.1 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล
(1) น้ำมันดีเซล ให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควร ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม และหากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลง ให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร และ (2) น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล ให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น รวมทั้งให้คำนึงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกและภาวะเงินเฟ้อของประเทศ การส่งเสริมพลังงานทดแทนและฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ประเมินผลการดำเนินงานตามการมอบหมายข้างต้น เสนอ กพช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจาณาทุกไตรมาส
1.2 แนวทางการปรับราคาก๊าซ NGV ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยพิจารณาจากผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.3 แนวทางการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม
1.4 แนวทางการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 มอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ประเมินผลการดำเนินงานตามข้อ 1.2 - 1.4 เสนอ กพช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาทุกไตรมาส
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ราคาน้ำมันดิบดูไบ เบนซิน 95 และดีเซล อยู่ที่ระดับ 108.6, 122.3 และ 123.3 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปัญหาภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนที่มีความรุนแรงขึ้น ทำให้มีการคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มยูโรโซนจะลดลงอยู่ที่ระดับติดลบร้อยละ 0.1 ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง กบง. ได้มีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ โดยในช่วงระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2555 - 30 มิถุนายน 2555 จำนวน 6 ครั้ง โดยอัตราที่เพิ่มขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดของน้ำมัน ทำให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2555 ของน้ำมันเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล 95 แก๊สโซฮอล 91 และดีเซล อยู่ที่ 7.10, 3.30, 1.70 และ 2.80 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. จากราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลงตามราคาตลาดโลก ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ราคาขายปลีกเบนซิน 91 แก๊สโซฮอล 95 แก๊สโซฮอล 91 และดีเซล อยู่ที่ 41.65, 38.23, 36.48 และ 30.43 บาทต่อลิตร ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2555 มีฐานะติดลบ 22,787 ล้านบาท จากการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันสำเร็จรูปและราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง
4. จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ไว้ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นมา จึงยังไม่ได้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ปัจจุบันราคาขายปลีกก๊าซ NGV อยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำส่งผลการศึกษาทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ NGV และเพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้จัดให้มีการประชุมคณะทำงานศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เป็นผู้ประกอบการขนส่งโดยสารเป็นคณะทำงาน เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 โดยคณะทำงานฯ ได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน เพื่อพิจารณาหาข้อสรุปต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่เหมาะสมซึ่งสามารถสรุปผลการประชุม ได้ดังนี้
4.1 ต้นทุนเนื้อก๊าซ ที่ประชุมฯ มีความเห็นว่าไม่ควรแยกต้นทุน LNG ออกจากต้นทุนเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) แต่ให้กำหนดเพดานต้นทุน LNG ในต้นทุนเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติไว้ที่ 0.25 บาทต่อกิโลกรัม จนกว่าจะมีแผนจัดหา LNG ออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
4.2 ค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ เนื่องจากขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) อยู่ระหว่างการทบทวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ ดังนั้นที่ประชุมฯ จึงเห็นว่าควรใช้อัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อในปัจจุบันไปก่อนและให้กำหนดอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อเป็นต้นทุนผันแปร โดยเมื่อ สกพ. ทำการศึกษาแล้วเสร็จจะได้สามารถนำอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อที่ทบทวนแล้วมาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง
4.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (ต้นทุนค่าสถานีและค่าขนส่ง) ให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดยใช้สมมติฐานว่าภาครัฐกำหนดนโยบายให้มีสัดส่วนของเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการสถานี NGV มากขึ้นและก่อสร้างสถานีบนแนวท่อมากขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มผู้ประกอบการไม่ขัดข้องเกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV แต่ขอให้มีก๊าซ NGV อย่างเพียงพอ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ ปตท. ไปจัดทำแผนการขยายสถานีบริการและการใช้ก๊าซ NGV ในอนาคต เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาครั้งต่อไป
5. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 กบง. เห็นชอบแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม โดยให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมไว้ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม กรณีราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมากทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเกิน 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมไว้ที่ 30.13 บาทต่อกิโลกรัม และให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันกรณีราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกปรับตัวลดลงทำให้ต้นทุนราคาก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันต่ำกว่า 30.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2555 ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) อยู่ที่ 714 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ส่งผลให้ต้นทุนก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นอยู่ที่ 27.89 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายปลีก LPG ภาคอุตสาหกรรมลดลงจากเดิม 30.13 บาทต่อกิโลกรัม เหลือ 27.89 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี สนพ. ได้ปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2555 ในอัตรา 9.12 บาทต่อกิโลกรัม
6. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง โดยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งไว้ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซ LPG ให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ในอัตราเดิมคือ 2.8036 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบรายงานประเมินผลการดำเนินงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล และการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ไตรมาสที่ 2 (16 พฤษภาคม 2555 - 30 มิถุนายน 2555)
2. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำรายงานประเมินผลการดำเนินงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล และน้ำมันดีเซล และการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ไตรมาสที่ 2 (16 พฤษภาคม 2555 - 30 มิถุนายน 2555) เสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
เรื่องที่ 2 แนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ภาคขนส่ง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ดังนี้
1.1 ก๊าซ NGV โดยเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน
(16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และ ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 เห็นชอบมอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยพิจารณาจากผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่ศึกษาโดยสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1.2 ก๊าซ LPG ภาคขนส่ง โดยเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ต่ออีก 3 เดือน (16 พฤษภาคม 2555 ถึง 15 สิงหาคม 2555) และตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 มอบหมายให้ กบง. พิจารณาการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งให้ราคาไม่เกินต้นทุนก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมัน โดยกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯในแต่ละเดือนได้ตามความเหมาะสม
2. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ไว้ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 เป็นต้นมา จึงยังไม่มีการปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV แต่ประการใด ปัจจุบันราคาขายปลีก ก๊าซ NGV อยู่ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำส่งผลการศึกษาทบทวนต้นทุนราคาก๊าซ NGV และเพื่อให้ผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง สนพ. ได้จัดให้มีการประชุมคณะทำงานศึกษาทบทวนการคำนวณต้นทุนราคาก๊าซ NGV ซึ่งมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เป็นผู้ประกอบการขนส่งโดยสารเป็นคณะทำงาน เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 โดยคณะทำงานฯได้เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน เพื่อพิจารณาหาข้อสรุปต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่เหมาะสมซึ่งสามารถสรุปผลการประชุม ได้ดังนี้
2.1 ต้นทุนเนื้อก๊าซ ที่ประชุมฯ มีความเห็นว่าไม่ควรแยกต้นทุน LNG ออกจากต้นทุนเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติ (Pool Gas) แต่ให้กำหนดเพดานต้นทุน LNG ในต้นทุนเฉลี่ยเนื้อก๊าซธรรมชาติไว้ที่ 0.25 บาทต่อกิโลกรัม จนกว่าจะมีแผนจัดหา LNG ออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงพลังงานกำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการ
2.2 ค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ เนื่องจากขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) อยู่ระหว่างการทบทวนอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อ ดังนั้นที่ประชุมฯ จึงเห็นว่าควรใช้อัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อในปัจจุบันไปก่อนและให้กำหนดอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อเป็นต้นทุนผันแปร โดยเมื่อ สกพ. ทำการศึกษาแล้วเสร็จจะได้สามารถนำอัตราค่าบริการส่งก๊าซทางท่อที่ทบทวนแล้วมาใช้เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพข้อเท็จจริง
2.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (ต้นทุนค่าสถานีและค่าขนส่ง) ให้กำหนดราคาขายปลีกก๊าซ NGV โดยใช้สมมติฐานว่าภาครัฐกำหนดนโยบายให้มีสัดส่วนของเอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการสถานี NGV มากขึ้นและก่อสร้างสถานีบนแนวท่อมากขึ้น
ทั้งนี้กลุ่มผู้ประกอบการไม่ขัดข้องเกี่ยวกับการปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV แต่ขอให้มีก๊าซ NGV อย่างเพียงพอ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้ ปตท. ไปจัดทำแผนการขยายสถานีบริการและการใช้ก๊าซ NGV ในอนาคต เพื่อนำมาใช้ประกอบการพิจารณาครั้งต่อไป
3. การปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่ง เนื่องจากมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคขนส่งไว้ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 โดยให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่จำหน่ายก๊าซให้ภาคขนส่งต้องส่งเงินเข้ากองทุนเพิ่มตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2555 ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ในอัตราเดิมคือ 2.8036 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกคงอยู่ที่ 21.13 บาทต่อกิโลกรัม
4. เนื่องจากการพิจารณาหาข้อสรุปต้นทุนราคาก๊าซ NGV ที่เหมาะสมตามผลการศึกษาต้นทุนราคาก๊าซ NGV ของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาหาข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับของทุกภาคส่วนและรอผลการศึกษาอัตราค่าบริการทางท่อซึ่งเป็นเงื่อนไขข้อกำหนดในการพิจารณาปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ดังนั้น ในระหว่างรอหาข้อสรุปดังกล่าว จึงขอเสนอให้คงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ไปก่อนจนกว่า กบง. จะมีมติเห็นชอบให้มีการปรับราคาก๊าซ NGV ใหม่
5. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวข้างต้นและเพื่อบรรเทาผลกระทบค่าครองชีพของประชาชน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 0.2336 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 3.0374 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับเพิ่มขึ้น 0.25 บาทต่อกิโลกรัม จาก 21.13 บาทต่อกิโลกรัมเป็น 21.38 บาทต่อกิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้คงราคาขายปลีกก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่ 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป จนกว่าจะได้ข้อสรุปต้นทุนราคาก๊าซ NGV ของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. เห็นชอบกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่จำหน่ายให้ภาคขนส่งในอัตรา 3.0374 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 3 โครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ
สรุปสาระสำคัญ
1. คำแถลงนโยบายของรัฐบาลเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 ข้อ 1 นโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการในปีแรก ข้อ 1.7 แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.2 จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานและบัตรคูปองสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน และ ข้อ 3 นโยบายเศรษฐกิจ ข้อ 3.5 นโยบายพลังงาน ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีราคาเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคาจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่ง และส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์และไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 กบง. ได้มีมติเห็นชอบโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะที่ใช้ก๊าซ NGV เป็นเชื้อเพลิง ประกอบด้วย รถแท็กซี่ รถตุ๊กตุ๊ก และรถตู้ร่วมโดยสาร ขสมก. ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการจัดทำบัตรเครดิตพลังงานเพิ่มเติมสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะเพื่อนำไปใช้ในการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอลในวงเงินที่เหมาะสมกับค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้จริงต่อเดือน และเพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในรถจักรยานยนต์สาธารณะ
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ดังนี้
(1) กลุ่มเป้าหมาย : ผู้มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 240,000 คน
(2) หลักการการให้บัตรเครดิตพลังงานฯ : จัดทำบัตรเครดิตพลังงานให้กับผู้มีใบขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะเป็น "รายบุคคล" โดยพื้นที่ให้บริการประกอบด้วยสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 อื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
(3) เงื่อนไขการใช้บัตรเครดิตพลังงาน : วงเงินเครดิต (เติมก่อน-จ่ายเงินทีหลัง) จำนวน 3,000 บาท
ต่อบัตร สำหรับเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และแก๊สโซฮอล 95 ทุกชนิด เท่านั้น โดยมีระยะเวลาเครดิต 45 วัน โดยจ่ายเงินชำระหนี้ค่าใช้น้ำมันฯ จากการใช้บัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะที่เคาน์เตอร์ เซอร์วิส ในร้านสะดวกซื้อ 7-11 และ ธนาคารกรุงไทยทุกสาขา แบ่งชำระเงินขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง (ไม่น้อยกว่า 100 บาท) ทั้งนี้ สิทธิ์ในการใช้วงเงินเครดิต จะกลับมาเท่ากับจำนวนเงินที่ชำระ (ชำระเงินคืนเท่าไหร่ ก็มีสิทธิใช้เงินเท่านั้น แต่ไม่เกิน 3,000 บาทต่อเดือน) ในกรณีที่ผู้ใช้บัตรไม่ชำระเงินตามกำหนดเกิน 60 วัน ธนาคารจะยกเลิกสิทธิการใช้บัตรดังกล่าว และขึ้นบัญชีไม่สามารถสมัครได้อีก
(4) เริ่มใช้บัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป
(5) ประมาณการงบประมาณในการดำเนินการ วงเงินบัตรเครดิตพลังงาน 3,000 บาทต่อราย จากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
(6) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ : ส่งเสริมให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สาธารณะหันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลมากขึ้น สามารถสร้างความเชื่อมั่นและขยายผลการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลไปยังผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ทั่วไปได้มากขึ้น และเพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนนโยบายการยกเลิกการใช้น้ำมันเบนซิน 91
(7) ผู้รับผิดชอบโครงการ
- เจ้าของโครงการ : สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน
- ผู้ดำเนินโครงการในระยะเริ่มต้น (15 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2555) : บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สำหรับในระยะต่อไปให้หน่วยงานที่จะจัดตั้งขึ้นภายใต้สังกัดกระทรวงพลังงานเป็นผู้ดำเนินโครงการต่อไป
- ผู้ออกบัตรและเจ้าของกรรมสิทธิ์บัตรเครดิตพลังงาน : ธนาคารกรุงไทย
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
2. เห็นชอบให้ขอความร่วมมือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการโครงการบัตรเครดิตพลังงานสำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะในระยะเริ่มต้น
เรื่องที่ 4 การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลมีนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ข้อ 1.7.3 ดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและราคาพลังงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคและผู้ผลิต และ ข้อ 3.5.3 กำกับราคาพลังงานให้มีความเหมาะสม เป็นธรรมและมุ่งสู่การสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยปรับบทบาทกองทุนน้ำมันฯ ให้เป็นกองทุนสำหรับรักษาเสถียรภาพราคา ส่วนการชดเชยราคานั้นจะดำเนินการอุดหนุนเฉพาะกลุ่ม ส่งเสริมให้มีการใช้ก๊าซธรรมชาติมากขึ้นในภาคขนส่งและส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลและไบโอดีเซลในภาคครัวเรือน
2. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 เห็นชอบหลักเกณฑ์การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และมอบให้ กบง. พิจารณากำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และระยะเวลาให้มีความเหมาะสมภายใต้กรอบหลักเกณฑ์การมอบหมาย ดังนี้
2.1 น้ำมันดีเซล การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาสูงขึ้นจนทำให้มีผลกระทบต่อภาคขนส่งและค่าโดยสารเกินสมควรให้ กบง. พิจารณาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม การปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลให้พิจารณาจากราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หากมีราคาต่ำจนทำให้ผู้ประกอบการขนส่งและโดยสารสมควรปรับอัตราค่าบริการลงให้ กบง. ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสมไม่กระทบเกินสมควรต่อค่าขนส่งและโดยสาร
2.2 น้ำมันเบนซิน/น้ำมันแก๊สโซฮอล การปรับเพิ่ม/ลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลให้พิจารณาปรับเพื่อรักษาระดับส่วนต่างราคาระหว่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อจูงใจให้มีการใช้พลังงานทดแทน (เอทานอล) มากขึ้น
3. ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาปิดตลาด ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2555 น้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 108.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 131.75เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 128.90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2555 (ราคาปิดตลาดวันที่ 8 สิงหาคม 2555) 1.74, 3.22 และ 2.06 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลตามลำดับ จากราคาน้ำมันเบนซินตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันในประเทศ เพิ่มสูงตามไปด้วย โดยมีโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 14 สิงหาคม 2555 ดังนี้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 12 สิงหาคม 2555 มีทรัพย์สินรวม 5,062 ล้านบาท หนี้สินกองทุน 19,492 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 14,179 ล้านบาท งบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 163 ล้านบาท และเงินกู้ยืม 5,150 ล้านบาท ดังนั้น กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะสุทธิติดลบ 14,430 ล้านบาท
5. จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันตลาดโลก ส่งผลให้ต้นทุนราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ดังนี้
ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ จะมีรายรับลดลงประมาณวันละ 22 ล้านบาท จากติดลบวันละ 15 ล้านบาท เป็นติดลบวันละ 37 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป