Super User
ครั้งที่ 29 - วันจันทร์ ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2551 (ครั้งที่ 29)
วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2551 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) เป็นประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) เป็นกรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่าการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมนัดพิเศษเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมันแพง ทั้งนี้เนื่องจาก สนพ. ได้รายงานให้ทราบ เกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วกับราคาน้ำมันดิบ ในช่วงปี 2549 - 2550 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ จึงได้หารือกับโรงกลั่นในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ว่าจะมีแนวทางช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างไร ซึ่งเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยรองปลัดกระทรวงพลังงาน (นายณอคุณ สิทธิพงศ์) ในฐานะประธานคณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของโรงกลั่นได้มาพบและรายงานให้ทราบถึงแนวทางการช่วยเหลือที่กลุ่มโรงกลั่นในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) สามารถช่วยเหลือกับประชาชน โดยมีรายละเอียดคือ โรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก จะร่วมกันบริจาคโดยจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปริมาณ 122 ล้านลิตร/เดือน เป็นเวลา 6 เดือนรวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติในอัตรา 3 บาท/ลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดยน้ำมันดังกล่าวจะช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ และได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น ซึ่งในรายละเอียดของแนวทางการช่วยเหลือจะขอนำมาปรึกษาหารือในวันนี้ และในนามของกระทรวงพลังงาน ขอขอบคุณโรงกลั่นทั้ง 4 แห่งในเครือของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
เรื่องที่ 1 แนวทางการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 119.46 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม 2551 จำนวน 32.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เพิ่มขึ้นเป็นการเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคมถึง 16.05 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สาเหตุจากประเทศจีนต้องนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนการใช้ถ่านหิน อันเนื่องจากเหมืองหลายแห่งปิดทำการด้วยเหตุแผ่นดินไหว ส่วนราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 158.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาเฉลี่ยของเดือนมกราคม 2551 จำนวน 52.93 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล สูงกว่าน้ำมันดิบที่สูงขึ้นเพียง 32.1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากจีนได้เพิ่มปริมาณการนำเข้าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วมากขึ้นเพื่อใช้แทนน้ำมันเตาและถ่านหิน ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95, 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วของไทยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 40.09, 38.99, 35.39, 34.59 และ 39.04 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
2. กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในบางสาขาอาชีพที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมันแพงแล้ว ดังนี้
2.1 กลุ่มเรือประมง โดยกลุ่มเรือประมงชายฝั่งจะใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อลดราคาน้ำมันม่วงให้ต่ำกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบนบกลิตรละ 2 บาท ส่วนกลุ่มเรือประมงน้ำลึกจะจำหน่ายน้ำมันเขียวในราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลบนบกสำหรับเรือประมงขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ในบริเวณเขตต่อเนื่องซึ่งห่างจากชายฝั่ง 12-24 ไมล์ทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน ทั้งนี้ราคาน้ำมันเขียวจะได้รับการยกเว้นภาษีอากร และไม่เก็บเงินเข้ากองทุนต่างๆ ทำให้ราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินบนบกลิตรละ 5-6 บาท
2.2 กลุ่มธุรกิจการขนส่ง รถกระบะและรถตู้ที่ไม่สามารถดัดแปลงหรือปรับแต่งเครื่องยนต์ให้เปลี่ยนไปใช้ NGV ยังสามารถเลือกใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้ซึ่งกระทรวงพลังงานจะใช้การบริหารกองทุนน้ำมันฯ ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลลิตรละ 0.70 บาท
2.3 กลุ่มเกษตรกร ส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ซึ่งมีราคาถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลิตรละ 0.70 บาท ให้มีการจำหน่ายอย่างทั่วถึงในสถานีบริการของ ปตท. และ บางจาก รวมทั้งส่งเสริมการผลิตและการใช้ไบโอดีเซลชุมชนสำหรับเครื่องจักรกลการเกษตรในพื้นที่ชนบททั่วไป
3. แนวทางการช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง
3.1 แนวทางการจัดหาน้ำมัน จากสถานการณ์ราคาน้ำมันพบว่าราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและลดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่นในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก ร่วมกันจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท เพื่อเป็นการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น
3.2 แนวทางดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับความเดือดร้อนโดยสามารถติดต่อมาที่ สนพ. หรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบจาก กบง. ไปแล้ว กบง. จะพิจารณาติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน และมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และ สนพ. เป็นผู้ประสานการดำเนินงาน
4. เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2551 ผู้แทนกระทรวงคมนาคมได้ยื่นข้อเสนอทางวาจาต่อกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ กบง. พิจารณา ช่วยเหลือลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้กับรถหมวด 1 (รถโดยสารในเมือง เช่น ขสมก. และรถร่วมบริการ) และหมวด 4 (รถโดยสารในเขตจังหวัด (ชานเมือง)) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 14,636 คัน ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน โดยผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เท่านั้น อันเนื่องจากศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้ทุเลาการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารชั่วคราว จึงทำให้รถโดยสารหยุดเดินรถประท้วง ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้รถโดยสาร
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมข้างต้นแล้วเห็นควรให้ความช่วยเหลือ โดยมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือ ดังนี้
5.1 การจัดหาน้ำมัน : กระทรวงพลังงานโดย ปตท. จัดหาน้ำมันดีเซลจำนวนประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน ตามที่กระทรวงคมนาคมร้องขอ ให้กับรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยน้ำมันดีเซลที่จำหน่ายเป็นน้ำมันดีเซลคุณภาพปกติที่จำหน่ายในสถานีบริการทั่วไป และถูกกว่าราคาจำหน่ายในสถานีบริการปกติ 3.00 บาท/ลิตร มีปริมาณการจำหน่ายประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ จนกว่าจะได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีการขอปรับขึ้นค่าโดยสาร
5.2 การจัดสรรน้ำมัน จะจัดสรรให้กับรถ ขสมก. และ รถร่วม ขสมก. เฉพาะรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,636 คัน หรือคิดเป็นประชาชนที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน โดยมีปริมาณความต้องการใช้น้ำมันประมาณ 30 ล้านลิตรต่อเดือน โดยมอบให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินงาน ติดตาม และกำกับดูแลการจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการของ ขสมก. ให้กับรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,636 คัน
5.3 เนื่องจากจุดจำหน่ายน้ำมันในปัจจุบันของ ขสมก. มี 24 แห่งสามารถรองรับความต้องการใช้ได้น้ำมันดีเซลได้ 0.4 ล้านลิตรต่อวัน แต่จากการที่กระทรวงพลังงานมีแนวทางช่วยเหลือ รถหมวด 1 และ หมวด 4 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านลิตรต่อวัน และต้องมีรถขนส่งน้ำมันวิ่งในช่วงกลางวัน จึงมีความจำเป็นต้องขออนุญาตสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นกรณีพิเศษให้รถขนส่งน้ำมันสามารถวิ่งนอกช่วงเวลาที่กฎหมายกำหนดได้
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการช่วยเหลือที่กระทรวงพลังงานได้ขอความร่วมมือกับ 4 โรงกลั่นในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้แก่ โรงกลั่นพีทีทีเออาร์ โรงกลั่นไออาร์พีซี โรงกลั่นไทยออยล์ และโรงกลั่นบางจาก ได้ร่วมกันบริจาค โดยการจัดสรรน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในปริมาณ 122 ล้านลิตรต่อเดือน เป็นเวลา 6 เดือน (มิถุนายน - พฤศจิกายน 2551) รวม 732 ล้านลิตร ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดีเซลหมุนเร็วปกติ 3 บาทต่อลิตร รวมเป็นมูลค่า 2,196 ล้านบาท โดยคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาจัดสรรแทนกระทรวงพลังงาน และให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำและได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มประมง กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นประสานงานกับโรงกลั่นทั้ง 4 แห่ง ในการจัดหาน้ำมันดังกล่าว
2. เห็นชอบแนวทางการช่วยเหลือประชาชนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง โดยให้การช่วยเหลือกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำ เช่น ชาวประมง เกษตรกร และ ผู้ใช้รถโดยสารประจำทาง เป็นต้น โดยกลุ่มประชาชนหรือสาขาอาชีพที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับความเดือดร้อนติดต่อมาที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหรือหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ และให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบเป็นผู้นำเสนอขอรับความช่วยเหลือต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยข้อเสนอที่ได้รับความเห็นชอบไปแล้ว คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานจะพิจารณาติดตามและประเมินผลทุกๆ เดือน
ทั้งนี้ มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานและสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นผู้ประสานการดำเนินงาน
3. เห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม โดยให้ความช่วยเหลือลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วให้กับรถหมวด 1 (รถโดยสารในเมือง เช่น ขสมก. และรถร่วมบริการ) และหมวด 4 (รถโดยสารในเขตจังหวัด (ชานเมือง)) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน ซึ่งมีปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน โดยผ่านจุดจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ดังนี้
3.1 การจัดหาน้ำมัน : กระทรวงพลังงานโดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดหาน้ำมันจำนวนประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน ตามที่กระทรวงคมนาคมร้องขอให้กับรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
3.2 ราคาน้ำมันดีเซล : น้ำมันดีเซลที่จำหน่ายเป็นน้ำมันดีเซลคุณภาพปกติที่จำหน่ายในสถานีบริการทั่วไป และถูกกว่าราคาจำหน่ายในสถานีบริการปกติ 3.00 บาทต่อลิตร
3.3 ปริมาณการจำหน่าย : ประมาณ 1 ล้านลิตรต่อวัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มจำหน่ายน้ำมันในโครงการฯ จนกว่าจะได้ข้อยุติของศาลปกครองในกรณีการขอปรับขึ้นค่าโดยสารหรือเท่าที่จำนวนน้ำมันที่ได้รับการจัดสรรหมดลง แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน
3.4 การจัดสรรน้ำมัน : จัดสรรให้กับรถ ขสมก. และ รถร่วม ขสมก. เฉพาะรถหมวด 1 และ หมวด 4 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน หรือคิดเป็นประชาชนที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน โดยมีปริมาณความต้องการใช้น้ำมันประมาณ 30 ล้านลิตรต่อเดือน
3.5 การบริหารจัดการ : มอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินงาน ติดตาม และกำกับดูแลการจำหน่ายน้ำมันของสถานีบริการของ ขสมก. หรือสถานีบริการที่ ขสมก. รับรอง ให้กับรถหมวด 1 และหมวด 4 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนประมาณ 14,600 คัน
3.6 มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นผู้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามมติข้างต้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และให้นำผลการดำเนินงานเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการประชุมครั้งต่อไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 11 ธันวาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 9 พฤศจิกายน 2554
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 9 ธันวาคม 2552
ครั้งที่ 28 - วันศุกร์ ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/255 (ครั้งที่ 28)
วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เวลา 9.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด-นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มีนาคม - 9 พฤษภาคม 2551)
2. รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
3. หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า
4. แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมฯ ทราบว่าจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในวันจันทร์ที่ 26 พฤษภาคม 2551 ซึ่งกระทรวงพลังงานจะได้นำเสนอเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงาน เช่น เรื่องการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งปัจจุบันยังขาดการสนับสนุนทางด้านแรงจูงใจ มาตรการแก้ไขปัญหา NGV และการส่งเสริมการใช้ E85 ให้เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มีนาคม - 9 พฤษภาคม 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 96.76 และ 103.26 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.74 และ 8.53 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวและข่าวกลุ่มคนร้ายติดอาวุธได้ลอบวางระเบิดท่อส่งน้ำมันในประเทศอิรัก ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกน้ำมันของอิรักลดลงอย่างรุนแรง ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ เฉลี่ยเดือนเมษายน 2551 อยู่ที่ระดับ 103.41 และ 109.98 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.66 และ 6.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับจากตลาดที่ยังกังวลต่อการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องและข่าวกลุ่มก่อการร้ายโจมตีท่อส่งน้ำมันของบริษัท Royal Dutch Shell ในประเทศไนจีเรีย และต่อมาในช่วงวันที่ 1-9 พฤษภาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 112.92 และ 118.18 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงและไนจีเรียได้ลดการส่งออกน้ำมันดิบลงในเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ระดับ 1.63 ล้านบาร์เรล/วัน หลังเกิดเหตุการณ์พนักงานบริษัทน้ำมันประท้วงและก่อการวินาศกรรมแหล่งผลิต
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมีนาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 109.78, 109.17 และ 126.19 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 4.71, 5.04 และ 14.99 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากข่าว PetroChina ของจีนงดส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนเมษายน 2551 และจะปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในเดือนเมษายน ประกอบกับข่าวประเทศชิลีมีแผนนำเข้าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าปริมาณ 7.8 ล้านบาร์เรล ส่งมอบในเดือนมิถุนายน - ตุลาคม 2551 และในเดือนเมษายน 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 118.08, 117.09 และ 138.33 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วตามราคาน้ำมันดิบและอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในเวียดนาม จีนและอินโดนีเซีย และต่อมาในช่วงวันที่ 1-9 พฤษภาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 123.48, 122.79 และ 144.97 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบและ IES รายงานปริมาณสำรอง Light Distillates ของสิงคโปร์ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 พฤษภาคม 2551 ลดลง 0.31 ล้านบาร์เรล ประกอบกับข่าวประเทศอินโดนีเซียอาจเพิ่มการตรึงราคาน้ำมันในประเทศเนื่องจากราคาตลาดโลกอยู่ในระดับสูง
3. เดือนมีนาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (E10), แก๊สโซฮอล 91 เพิ่มขึ้น 1.00 บาทต่อลิตร และปรับราคาแก๊สโซฮอล 95 (E20) เพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 1.50 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.80 บาทต่อลิตร และ ในเดือนเมษายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (E10), แก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 1.50 บาทต่อลิตร ปรับราคาแก๊สโซฮอล 95 (E20) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2.00 บาทต่อลิตร และในช่วงวันที่ 1-12 พฤษภาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.50 บาทต่อลิตร จำนวน 2 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 12 พฤษภาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 37.59, 36.49, 33.59, 31.59, 32.79, 34.44 และ 33.74 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนมิถุนายน 2551 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนในทิศทางที่สูงขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 115-125 และ 120-130 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปริมาณความต้องการใช้น้ำมันของจีนและอินเดียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความต้องการจากประเทศในตะวันออกกลาง และจากความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นในไนจีเรีย การเมืองในอิรักและกรณีพิพาทระหว่างอิหร่านและสหรัฐเกี่ยวกับโครงการพัฒนานิวเคลียร์ สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 125-135 และ 140-160 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและการเข้ามาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าของกองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าจากภาวะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
5. สำหรับสถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนพฤษภาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น42 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 851 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบตลอดโลกและความต้องการก๊าซ LPG จากธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น รัฐบาลกำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขายส่งไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ระดับ 13.6863 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ในเดือนเมษายน 2551 ได้นำเข้า ก๊าซ LPG 20,000 ตัน ณ ระดับราคา 27.1799 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 16.1839 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 323.68 ล้านบาท สำหรับราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนมิถุนายน 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 805-820 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปริมาณนำเข้า ก๊าซ LPG เดือนพฤษภาคมและมิถุนายนอยู่ที่ประมาณ 13,000 และ 19,000 ตัน ตามลำดับ
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในช่วงต้นปี 2551 มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 7.4 ล้านลิตรต่อวัน และในเดือนเมษายน 2551 มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 8.1 ล้านลิตรต่อวัน โดยมีสถานีบริการ 3,963 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 33.59 บาทต่อลิตร และ 32.79 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 เริ่มจำหน่ายเดือนมกราคม 2551 ราคาขายปลีกอยู่ที่ 31.59 บาทต่อลิตร บ.บางจาก และ ปตท. มีสถานีบริการในกรุงเทพและปริมณฑล 15 แห่ง และ 27 แห่ง ตามลำดับ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคมและเมษายน 2551 เท่ากับ 9,000 16,000 29,000 และ 47,000 ลิตรต่อวัน ตามลำดับ และกำลังการผลิตและปริมาณการผลิตเอทานอลจริงเท่ากับ 1.57 และ 0.89 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิต เอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 10 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 2 ในปี 2551 อยู่ที่ลิตรละ 17.54 บาท
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนเมษายน 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.18 ล้านลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมีนาคม เมษายน และพฤษภาคม 2551 อยู่ที่ 40.94, 38.29 และ 38.11 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมีนาคมและเมษายนมีจำนวน 7.52 และ 8.30 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 33.74 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.70 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 15,662 ล้านบาท มีหนี้สิน ค้างชำระ 11,980 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 258 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 2,426 ล้านบาท หนีชดเชยก๊าซ LPG 107 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,682 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 รายงานผลการประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีคำสั่งที่ 10/2550 ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2550 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานที่มีปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานร่วม ทำหน้าที่เสนอแนะนโยบาย และแนวทางแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการด้านพลังงาน ซึ่งเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2551 คณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงานได้จัดประชุมครั้งที่ 1/2551 เพื่อพิจารณาแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับโครงการด้านพลังงาน
2. ประชุมคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมและพลังงาน และความก้าวหน้าในการดำเนินการสรุปได้ดังนี้
2.1 ปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการฯ ที่ประชุมได้มีมติให้ปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการฯ ใหม่ โดยให้เพิ่มอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ, อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน, กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน), ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นอนุกรรมการ รวมทั้งให้เปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ เพื่อความเหมาะสมและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานยิ่งขึ้น โดยประธาน กบง. ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการประสานการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ได้ปรับปรุงใหม่แล้วเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551
2.2 การขอยกเว้นการจัดทำ EIA ก่อนการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือน โดยเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 สผ. ได้ยกร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยกำหนดให้มีโครงการที่ต้องจัดทำ EIA จำนวน 34 โครงการ ซึ่งไม่นับรวมโครงการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือนเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ซึ่งได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศดังกล่าวและให้นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ (ชธ.) ร่วมกับ สผ. นำเสนอรายละเอียดที่จำเป็นสำหรับการสำรวจปิโตรเลียมโดยวิธีวัดคลื่นไหวสะเทือนที่ได้ผ่านการสัมมนาและมีการปรับปรุงแล้วเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ เพื่อให้ความเห็นชอบด้วย ซึ่งปัจจุบันคาดว่าจะสามารถเสนอรายละเอียดต่อคณะอนุกรรมการฯ ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2551 เพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนให้ ชธ.นำไปใช้โดยอาศัยอำนาจตามกฎกระทรวงฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2514) ออกตามความใน พ.ร.บ. ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514 มาตรา 14(1)
2.3 การจัดตั้งโรงไฟฟ้า และระบบส่งไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2550-2564 (PDP 2007) และการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่ประชุมได้มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบแนวทางดำเนินการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ ปรับแก้และเพิ่มเติมแนวทางดำเนินการตามข้อสังเกตที่ประชุม ตลอดจนมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามแนวทางการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้เกิดผลทางปฏิบัติ ต่อไป (2) มอบให้กระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพดำเนินการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรงไฟฟ้าถ่านหินในลักษณะ Clean Coal ต่อประชาชน รวมทั้งภาพรวมของแผนและทิศทางการพัฒนาพลังงาน โดยบรรจุในแผนประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงานและดำเนินการให้เกิดผลโดยเร็ว และ (3) มอบหมายให้กระทรวงพลังงานโดย สนพ. กำหนดพื้นที่สำหรับพัฒนาโรงไฟฟ้าในอนาคตสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) ในรอบต่อไป โดยให้พิจารณาจากเกณฑ์ที่สำคัญ 2 ประการ คือ ความเหมาะสมทางด้านเทคนิคในการจัดตั้งโรงไฟฟ้า และความเหมาะสมด้านการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม
2.4 การทบทวนการกำหนดประเภท ขนาด โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่ต้องจัดทำ EIA ที่ประชุมได้มีมติมอบให้ พพ. ประสานกับ สผ. และกรมป่าไม้ พิจารณาทบทวนการกำหนด ประเภท ขนาด โครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่ต้องจัดทำ EIA หรือ IEE เป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กที่มีกำลังผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ไม่ต้องจัดทำ EIA ให้ได้ข้อยุติ แล้วนำเสนอ กบง. เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ให้ความเห็นชอบและกำหนดบังคับใช้ต่อไป ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อยุติสามารถนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ ภายในเดือนมิถุนายน 2551
2.5 การกำหนดหลักเกณฑ์การปฏิบัติ (Code of Practice) สำหรับระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติ ทางท่อ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบให้ ธพ. เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการอนุมัติโครงการที่ใช้ COP และบังคับใช้ COP และมอบหมาย ธพ. ร่วมกับ สผ. นำเสนอคณะกรรมการกำกับการศึกษา COP พิจารณาทบทวนลักษณะของโครงการและพื้นที่ที่สามารถใช้ COP แทนการจัดทำ EIA ให้ได้ข้อยุติ ตลอดจนให้ศึกษาการแก้ไขกฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอต่อคณะอนุกรรมการฯ ให้ความเห็นชอบก่อนให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ นำเสนอ กก.วล. พิจารณาเพื่อให้สามารถนำไปใช้ภายในกลางปี 2551 ปัจจุบัน ธพ.ร่วมกับ สผ. นำเสนอคณะกรรมการกำกับการศึกษา COP พิจารณาทบทวนลักษณะของโครงการและพื้นที่ที่สามารถใช้ COP แทนการจัดทำ EIA จนได้ข้อยุติ และนำร่าง COP ประกาศในระบบเครือข่ายสารสนเทศเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Focus Group) ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำเสนอ COP ที่มีการปรับปรุงต่อคณะอนุกรรมการฯ ภายในเดือนมิถุนายน 2551
2.6 การปรับลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตา ที่ประชุมมีมติเห็นควรชะลอเรื่องการปรับลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตาไปก่อน และมอบให้กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ตรวจสอบและเฝ้าระวังปัญหาก๊าซ SO2ในบรรยากาศ และหากพบว่าแนวโน้มของก๊าซ SO2 จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพบรรยากาศโดยรวมให้เสนอแนะการปรับลดปริมาณกำมะถันในน้ำมันเตา
2.7 การควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ คพ. รับไปดำเนินการติดตามตรวจสอบสภาพปัญหาจากไอระเหยน้ำมันเชื้อเพลิง และเสนอแนะมาตรการและเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาการควบคุมไอน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งระบบ ตลอดจนศึกษาความเป็นไปได้ในการติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมไอระเหยน้ำมันในรถยนต์เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายต่อไป ปัจจุบัน คพ. อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนเก็บตัวอย่างอากาศเพื่อวิเคราะห์หาสารประกอบอินทรีย์ระเหย (VOCs) เพื่อติดตามประเมินผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง
2.8 การผลิตไฟฟ้าจากขยะและการกำจัดของเสีย ที่ประชุมได้มีมติมอบให้ คพ. ยกร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน และดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติ ต่อไป ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) นำเข้า
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ได้มติดังนี้ 1) เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินการตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 โดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากนั้น ให้มีการพิจารณาดำเนินการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 2) เห็นชอบให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคาอิงตลาดโลกในข้อ 1) แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศ และลดความต้องการใช้ ก๊าซ LPG โดยให้กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป 3) เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป 4) มอบหมายให้ ธพ. และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพน.) ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับ ก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ ในประเทศ รวมทั้งการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยให้ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้ สบพน. เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย 5) มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่ายและนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป และ 6) มอบให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ตามข้อ 1) ข้อ 2) และข้อ 3) ได้ตามความเหมาะสม
2. การที่ภาครัฐได้กำหนดให้ราคาก๊าซ LPG อยู่ในระดับที่ต่ำ ส่งผลให้ปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาครถยนต์และภาคอุตสาหกรรม ขณะที่การผลิตลดลงเนื่องจากผู้ผลิตมีแผนปิดซ่อมบำรุงประจำปี ประกอบกับโรงกลั่นได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตโดยใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงแทน น้ำมันเตา เนื่องจากราคาจำหน่ายในประเทศมีราคาต่ำ และจากประมาณการการผลิตและการใช้ก๊าซ LPG ของ ธพ. พบว่าในเดือนเมษายน 2551 ปริมาณก๊าซ LPG จะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ จำเป็นต้องมีการนำเข้า ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ค้าตามมาตรา 7 (บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)) ในการนำเข้าก๊าซ LPG เพื่อใช้ในประเทศในเดือนเมษายน 2551 ปริมาณ 20,000 ตัน
3. หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า โดยที่อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าจะเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG นำเข้าและราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร ซึ่งการคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้าจะเท่ากับ
ราคาก๊าซ LPG นำเข้า = CP + Premium +ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
โดยที่
1) CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า
2) Premium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า
3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor/witness fee & Lab expenses, Management Fee และ Depot Operating Expenses
4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า
ในการคำนวณราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร จะใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 และวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551
4. ประมาณการคำนวณราคานำเข้าก๊าซ LPG ตามหลักเกณฑ์ในข้อ 3 พบว่าในเดือนเมษายน 2551 ปริมาณนำเข้าก๊าซ LPG 20,000 ตัน จะมีต้นทุนราคานำเข้าก๊าซ LPG เท่ากับ 860.6891 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ณ ที่อัตราแลกเปลี่ยน 31.5792 บาท/เหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นต้นทุนราคานำเข้าก๊าซ LPG เดือนเมษายน 2551 จะเท่ากับ 27.1799 บาท/กิโลกรัม และจากมติ กบง. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 ได้กำหนดให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ตั้งแต่มีนาคม 2551 จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ของเดือนเมษายน 2551 เท่ากับราคาในเดือนมีนาคม 2551 คือ 10.9960 บาท/กิโลกรัม และจากการคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะต้องรับภาระในการจ่ายเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG 20,000 ตันจากต่างประเทศ ณ เดือนเมษายน 2551 ในอัตรากิโลกรัมละ 16.1839 บาท คิดเป็นเงินประมาณ 323.68 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า
อัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เท่ากับ ส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG นำเข้าและราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นที่ทำในราชอาณาจักร
2. เห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้า
ราคาก๊าซ LPG นำเข้า = CP + Premium + ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
โดยที่
1) CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่าง โพรเพนกับบิวเทน 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า
2) Premium = ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า
3) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ
Insurance
Loss
Demurrage
Import duty
Surveyor / witness fee & Lab expenses
Management Fee
Depot Operating Expenses
4) อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า
ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยให้เป็นไปตามมติการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
เรื่องที่ 4 แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. จากมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 เรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ออกประกาศกำหนดเงื่อนไขการจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปนอกราชอาณาจักร ปี 2551 ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ ผู้ที่ส่งออกได้ต้องเป็นผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เท่านั้น โดยต้องขอรับหนังสือรับรองจากกรมธุรกิจพลังงาน เพื่อไปแสดงต่อ เจ้าพนักงานศุลกากรทุกครั้งในการส่งออกและให้ส่งออกได้ ณ ท่า หรือด่านศุลกากรที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งประกาศฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2551 เป็นต้นไป
2. เดือนมีนาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถนำเข้าก๊าซ LPG ตามปริมาณส่วนที่ขาดได้ จึงจำเป็น ต้องนำปริมาณก๊าซ LPG ที่โรงกลั่นน้ำมันใช้เองออกจำหน่าย และให้โรงกลั่นน้ำมันเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงอื่นแทนก๊าซ LPG เช่น ก๊าซธรรมชาติ หรือน้ำมันเตา การกำหนดเงื่อนไขการส่งออกตามข้อ 1 อาจส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดประเทศไทยและต้องพึ่งพาการนำเข้าก๊าซ LPG จากไทย โดยเฉพาะ สปป.ลาว ที่ไม่มีทางออกทะเล ในการนี้ สปป.ลาว ได้มีคำร้องผ่านอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ เวียงจันทน์ ระบุว่า สปป.ลาวไม่สามารถจัดหาก๊าซ LPG จากที่อื่นได้นอกจากไทย โดยมีปริมาณนำเข้าปีละประมาณ 2,500 - 3,000 เมตริกตัน หรือประมาณเดือนละ 200-250 เมตริกตัน รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านอื่นที่มีชายแดนติดไทย เช่น พม่ามีการนำเข้าประมาณเดือนละ 35 เมตริกตัน
3. ธพ. ได้เจรจากับโรงกลั่น เพื่อให้นำก๊าซ LPG ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงกลั่นออกมาจำหน่าย ในประเทศให้มากที่สุดตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป ประมาณเดือนละ 10,000 เมตริกตัน ซึ่ง โรงกลั่นให้ความร่วมมือ โดยขอให้ภาครัฐจ่ายเงินชดเชยราคาต้นทุนที่สูงขึ้นให้ ดังนี้
เปรียบเทียบจำนวนเงินที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรับภาระจ่ายชดเชยส่วนต่างของราคา
หน่วย : เหรียญสหรัฐฯ/เมตริกตัน
ชนิดเชื้อเพลิง | ราคาต้นทุนเชื้อเพลิงอื่น | ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG (เดือนมีนาคม 2551) | จำนวนเงินที่กองทุนฯ รับภาระจ่ายชดเชยส่วนต่างของราคา |
ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ราคาตลาดโลก | 870 - 950 | 332.75 | 537.25 - 617.25 |
ก๊าซธรรมชาติ (NG) | 450 | 332.75 | 117.25 |
น้ำมันเตา | 523.88 | 332.75 | 191.13 |
4. การใช้เชื้อเพลิงชนิดอื่นทดแทนการใช้ก๊าซ LPG ในโรงกลั่นน้ำมันมีอัตราจ่ายเงินชดเชยต่ำกว่าเงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ทำให้ประเทศจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าการนำเข้าก๊าซ LPG รวมทั้งสามารถแก้ไขปัญหาการขาดแคลนก๊าซ LPG ของประเทศได้เร็วกว่าการนำเข้า คือตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป และการส่งออกก๊าซ LPG ไปประเทศเพื่อนบ้านจะต้องไม่สร้างภาระจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ โดยผู้ค้าที่จะส่งออกไปจำหน่ายต้องขออนุญาตปริมาณส่งออกล่วงหน้า เพื่อนำมารวมในปริมาณนำเข้า และปริมาณส่วนนี้จะไม่ได้รับเงินชดเชยนำเข้า
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการจ่ายชดเชยราคาของเชื้อเพลิงอื่นที่นำมาใช้ทดแทนก๊าซ LPG เช่น ก๊าซธรรมชาติหรือน้ำมันเตาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป โดยมอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงาน และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปพิจารณากำหนดแนวทางการจ่ายเงินชดเชยดังกล่าวต่อไป
2. เห็นชอบให้ไม่มีการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่นำเข้ามาเพื่อส่งออกไปประเทศเพื่อนบ้าน
ทั้งนี้ มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบทุกครั้งการประชุมด้วย
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการประชาสัมพันธ์ ปี 2551 ให้กับ 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) รวมเป็นเงินจำนวน 213 ล้านบาท
2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้รับทราบงบประมาณประชาสัมพันธ์ ปี 2551 ที่กระทรวงพลังงานได้รับจัดสรรจากเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ และได้มอบนโยบายให้แต่ละหน่วยงาน ใช้เงินตามความจำเป็น แต่ให้มีประสิทธิภาพและได้ประสิทธิผล สอดรับกับนโยบายหลัก 5 ข้อด้านพลังงานของรัฐบาลที่แถลงไว้ต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 และตามมติที่ประชุมผู้บริหารของกระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2551 ที่ได้มีมาตรการประหยัดพลังงานเพื่อประชาชนจำนวน 11 มาตรการใหม่ เพื่อเร่งรัดส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีการประหยัดพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม
3. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2551 ในการประชุมคณะกรรมการบริหารงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงาน ได้พิจารณาการบริหารจัดการทรัพยากรด้านงบประชาสัมพันธ์ใหม่ เนื่องจากงบประมาณโครงการประชาสัมพันธ์บางส่วนยังไม่มีภาระผูกพันเป็นจำนวน 105.5 ล้านบาท และขณะนี้ได้เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ 2551 ซึ่งคาดว่าการใช้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวจะไม่ทันเวลา คณะกรรมการบริหารงานประชาสัมพันธ์ฯ จึงเห็นควรให้ สป.พน. สนพ. และ ธพ. ปรับแผนงานโครงการประชาสัมพันธ์และนำเงินงบประมาณรวม 105.5 ล้านบาท ส่งคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปก่อน ดังต่อไปนี้
หน่วยงาน/โครงการ | จำนวนเงิน (ล้านบาท) | |
อนุมัติ | ส่งคืน | |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | ||
1.1 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน | 50 | 42.5 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | ||
2.1 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ระยะที่ 3 | 50 | 20.0 |
2.2 โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG | 40 | 10.0 |
2.3 โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ | 30 | 30.0 |
2.4 โครงการประชาสัมพันธ์พลังงานตามสถานการณ์ | 30 | - |
2.5 การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2551 | 3 | 3 |
3. กรมธุรกิจพลังงาน | ||
3.1 โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านพลังงานตามภารกิจและยุทธศาสตร์ของกรมธุรกิจพลังงาน | 10 | - |
รวม 3 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น | 213 | 105.5 |
รวม 3 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น (หลังส่งเงินคืนกองทุนฯ) | 107.5 |
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 8 ธันวาคม 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 8 พฤศจิกายน 2554
ครั้งที่ 27 - วันพฤหัสบดี ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 2/2551 (ครั้งที่ 27)
วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
2. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มกราคม - 25 กุมภาพันธ์ 2551)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลโทหญิง พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าการประชุมครั้งนี้เป็นการประชุม กบง. ครั้งแรกของรัฐบาล ชุดปัจจุบัน และได้สอบถามฝ่ายเลขานุการฯ เกี่ยวกับงานที่ยังค้างอยู่ของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ ได้ชี้แจงว่าจากการประชุมฯ ครั้งที่ผ่านมา กบง. ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการส่งเสริม การแปรรูปขยะเป็นน้ำมัน โดยนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาช่วยอุดหนุนราคารับซื้อน้ำมันที่ผลิตได้จากการแปรรูปขยะในอัตราไม่เกิน 7 บาทต่อลิตร แต่เนื่องจากต้องมีการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับนิยามของน้ำมันเชื้อเพลิงให้ครอบคลุมการผลิตน้ำมันจากขยะ ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ จะได้ดำเนินการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรีตามมติ กบง. ต่อไป
เรื่องที่ 1 แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG และมีมติเห็นชอบการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยให้ปรับขึ้นราคาขายส่ง และให้ยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG และยังคงนโยบายราคาก๊าซ ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศ โดยเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากก๊าซ LPG ในระดับที่เพียงพอสำหรับชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซภูมิภาค และเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG โดยกำหนดเพดานที่ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 60 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 40 โดยให้ทยอยปรับสัดส่วนการผลิตระหว่างโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นน้ำมันไปสู่ระดับจริง คือ 60 ต่อ 40 รวมทั้งได้มอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 รัฐบาลได้ยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยให้ปรับราคาขายส่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.20 บาทต่อกิโลกรัม จากราคา 16.81 บาท เป็น 18.01 บาทต่อกิโลกรัม วันที่ 4 มกราคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. ได้เห็นชอบการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 7 มกราคม 2551 และวันที่ 30 มกราคม 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้เห็นชอบให้ราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG ของเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ตามหลักเกณฑ์ฯ ซึ่งทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับตัวเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 20 สตางค์ จากราคา 18.01 เป็น 18.21 บาทต่อกิโลกรัม และเดือนมีนาคม 2551 ราคาขายปลีกก๊าซ LPG จะเป็น 18.13 บาทต่อกิโลกรัม
3. ประมาณการใช้ก๊าซ LPG ในช่วงเดือนมกราคม - เมษายน 2551 อยู่ที่ระดับ 11.87 ล้านกิโลกรัมต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.81 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ขณะที่ประมาณการผลิตอยู่ที่ระดับ 11.20 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ลดลงจากปีก่อน 0.26 ล้านกิโลกรัมต่อวัน ทั้งนี้เนื่องจากผู้ผลิตมีแผนปิดซ่อมบำรุงประจำปี ประกอบกับโรงกลั่นได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตโดยใช้ก๊าซ LPG เป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันเตา และจากราคาจำหน่ายในประเทศมีราคาต่ำ ทั้งนี้ คาดว่าปริมาณการผลิตก๊าซ LPG จะไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ จำเป็นต้องมีการนำเข้าเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ โดยคาดว่าในช่วง 4 เดือนแรกของ ปี 2551 ต้องนำเข้าก๊าซ LPG ประมาณ 81 ล้านกิโลกรัม
4. เพื่อการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยรักษาระดับราคาพลังงานให้อยู่ระดับ ที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงมีข้อเสนอดังนี้
4.1 เห็นควรให้ขยายเวลาการดำเนินการโดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นตามสูตรการคำนวณของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ก่อน เนื่องจากการส่งเสริมการใช้ NGV ให้เป็นทางเลือกของผู้ใช้ LPG ต้องใช้ระยะเวลาอีกระยะหนึ่ง โดยคาดว่าจะมีความพร้อมประมาณเดือนกรกฎาคม 2551
4.2 ให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคา อิงตลาดโลกในข้อ 1 แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และลดความต้องการใช้ก๊าช LPG โดยให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป
4.3 เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป
4.4 มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ รวมทั้งการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย
4.5 มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนคืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่ายและนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
4.6 มอบหมายให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ตามข้อ 4.1 ข้อ 4.2 และข้อ 4.3 ได้ตามความเหมาะสม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ขยายเวลาการดำเนินการตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 เรื่อง แนวทาง การแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว โดยให้คงราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจาก โรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้ จนถึงเดือนกรกฎาคม 2551 หลังจากนั้น ให้มีการพิจารณาดำเนินการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
2. เห็นชอบให้รักษาระดับราคาก๊าซ LPG โดยให้คงราคาก๊าชหุงต้มไว้ ณ ระดับราคาตามราคาอิงตลาดโลกในข้อ 1 แต่สำหรับก๊าช LPG ที่นำไปใช้ในทางอื่นๆ ทั้งหมด ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงไปชำระหนี้ เงินชดเชยการนำเข้าก๊าช LPG จากต่างประเทศ และให้ลดความต้องการใช้ก๊าช LPG โดยมอบให้ กรมธุรกิจพลังงานรับไปดำเนินการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติต่อไป
3. เห็นชอบให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณสัดส่วนที่ขาด ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป
4. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานและสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน ร่วมกันจัดระบบการจ่ายเงินชดเชยสำหรับก๊าซ LPG ที่นำเข้ามาใช้ในประเทศ และการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการใช้ก๊าซ LPG ที่มิใช่การใช้ในภาคครัวเรือน โดยมอบให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบปริมาณการนำเข้าและปริมาณการใช้ก๊าซ LPG ที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบด้านการจ่ายเงินชดเชย
5. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อัตราเงินชดเชยและอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ คืนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิต จำหน่าย และนำเข้ามาใช้ในประเทศ เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
6. มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณา ให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทน กบง. ตามข้อ 1 ข้อ 2 และข้อ 3 ได้ตามความเหมาะสม
7. มอบหมายให้กรมธุรกิจพลังงานรับไปจัดทำข้อเสนอจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการนำก๊าซหุงต้มไปจำหน่ายในสาขาอื่น และคณะกรรมการป้องกันการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG เพื่อนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
เรื่องที่ 2 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (มกราคม - 25 กุมภาพันธ์ 2551)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ระดับ 87.37 และ 92.03 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1.79 และ 0.78 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากข่าวไนจีเรียส่งออกน้ำมันดิบเดือนมีนาคม ลดลง 420,000 บาร์เรลต่อวัน และโรงกลั่น Aruba (255,000 บาร์เรลต่อวัน) ในสหรัฐฯ ปิดฉุกเฉินอย่างไม่มีกำหนดจากเหตุเพลิงไหม้ รวมทั้งข่าวกลุ่มโอเปค จะยังไม่พิจารณาเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 25 กุมภาพันธ์ ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 89.13 และ 93.61 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความวิตกว่าอุปทานน้ำมันดิบอาจตึงตัวจากข่าวบริษัทน้ำมัน Lukoil ของรัสเซียหยุดการส่งน้ำมันดิบทางท่อส่งน้ำมันปริมาณ 520,000 ตัน ไปยังเยอรมมีในเดือนกุมภาพันธ์ ประกอบกับพายุไซโคลน Nicholas พัดผ่านบริเวณแหล่งผลิตน้ำมันดิบในประเทศออสเตรเลีย ทำให้ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราว รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศอิรัก
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ระดับ 100.51, 99.56 และ 105.70 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 2.13, 2.47 และ 0.01 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง รวมทั้งจีนมีแผนลดปริมาณส่งออกน้ำมันเบนซินเพื่อสำรองไว้ใช้ในฤดูกาลแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูร้อน และในช่วงวันที่ 1-25 กุมภาพันธ์ ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 103.59, 102.59 และ 109.71 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจาก Formosa Petrochemical Corp. ของไต้หวันจะปิดซ่อมบำรุงตามแผน CDU (180,000 บาร์เรลต่อวัน) ประกอบกับข่าวเกาหลีใต้ลดส่งออกน้ำมันดีเซล เนื่องจากโรงกลั่นลดปริมาณการกลั่นน้ำมันดิบในเดือนมีนาคม
3. เดือนมกราคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 0.10 บาทต่อลิตร และปรับลดราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.20 บาท/ลิตร และปรับเพิ่มราคาน้ำมันเบนซิน 91 ขึ้นอีก 0.20 บาทต่อลิตร และในช่วงวันที่ 1-27 กุมภาพันธ์ 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร จำนวน 1 ครั้ง และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95 (E10), (E20), 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ณ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 อยู่ที่ระดับ 33.19, 32.09, 29.19, 27.19, 28.39, 29.54 และ 29.04 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนมีนาคม 2551 คาดว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวในระดับสูง ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 83 - 88 และ 88 - 93 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากความกังวลเกี่ยวกับ Supply Disruption และค่าเงินดอลล่าห์ที่อ่อนตัวทำให้ Trader & Hedge Funds เข้าซื้อขายเพื่อเก็งกำไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้า และข่าวโอเปคมีแนวโน้มไม่เพิ่มปริมาณการผลิต ขณะที่ความต้องการในตลาดใช้น้ำมันของสหรัฐฯ และจีนยังอยู่ในระดับสูง สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 98 - 105 และ 105 - 112 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของประเทศสหรัฐฯ และจีน
5. สำหรับสถานการณ์ LPG ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง70 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 802 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามราคาน้ำมันดิบตลอดโลกในช่วงเดือนมกราคม 2551 แต่ความต้องการใช้เพื่อความอบอุ่นและจากธุรกิจปิโตรเคมียังคงมีจำนวนมาก ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 18.21 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่าย ในประเทศอยู่ในระดับ 0.3033 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 42.51 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนมีนาคม 2551 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 795 - 805 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนกุมภาพันธ์ 2551 การผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีปริมาณรวม 0.967 และ 0.81 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 7 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 1 - 4 ในปี 2550 อยู่ที่ลิตรละ 19.33, 18.62, 16.82 บาท และ 15.29 บาท ตามลำดับ และราคาเอทานอล ไตรมาส 1 ปี 2551 ลิตรละ 17.28 บาท ขณะที่มีปริมาณ เอทานอลสำรองของผู้ค้าน้ำมันรวม 22.39 ล้านลิตร ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 (E10) เดือนมกราคมและในช่วงวันที่ 1-16 กุมภาพันธ์ 2551 ปริมาณ 5.27 และ 5.53 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่าย จำนวน 15 บริษัท และสถานีบริการ 3,822 แห่ง โดยที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ในช่วงเวลาเดียวกันมีปริมาณ 1.44 และ 1.60 ล้านลิตรต่อวัน จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 4 บริษัท และสถานีบริการน้ำมัน 1,127 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 (E10) และ 91 (E20), 91 อยู่ที่ 22.19, 27.19 และ 28.09 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 4.00, 6.00 และ 3.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีกำลังการผลิตรวม 2.185 ล้านลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนมกราคม และ กุมภาพันธ์ 2551 อยู่ที่ 38.93 และ 40.67 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2550 มีจำนวน 4.89 และ 4.75 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 อยู่ที่ 29.04 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 0.50 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2551 มีเงินสดในบัญชี 13,519 ล้านบาท มีหนี้สิน ค้างชำระ 10,129 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ยพันธบัตร 388 ล้านบาท และหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 941 ล้านบาท หนีชดเชยก๊าซ LPG 107 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 3,390 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ