Super User
ครั้งที่ 59 - วันพุธ ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 1/2554 (ครั้งที่ 59)
เมื่อวันพุธที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
2. ขอขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายชวลิต พิชาลัย) กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลง 0.50 บาท/ลิตร จาก 0.65 บาท/ลิตร เป็น 0.15 บาท/ลิตร โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2553 ทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับลดราคาขายปลีกลง 0.30 บาท/ลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลงอยู่ที่ 29.99 บาท/ลิตร การดำเนินการดังกล่าวทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเงินไหลออกเพิ่มขึ้นจาก 89 ล้านบาท/เดือน เป็น 537 ล้านบาท/เดือน ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 ลงชนิดละ 0.50 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.35 และ 1.00 บาท/ลิตร ตามลำดับ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ซึ่งทำให้ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกลง 0.30 บาท/ลิตร โดยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 ลดลงอยู่ที่ 29.69 และ 29.09 บาท/ลิตร ตามลำดับ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องติดลบประมาณ 40.5 ล้านบาท/วัน หรือ 1,257 ล้านบาท/เดือน
2. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553 มีมติเห็นชอบให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราวประมาณ 2 - 3 เดือน โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการ และถ้าหากราคาน้ำมันตลาดโลกยังปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ และเงินกองทุนน้ำมันฯ ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม และให้นำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
3. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ได้ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2553 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ปรับเพิ่มขึ้น 0.30 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2553 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 ขึ้นอีก 0.50 บาท/ลิตร ต่อมา ณ 4 มกราคม 2554 น้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซล อยู่ที่ระดับ 91.58, 105.39 และ 106.37 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับตัวสูงตาม และ ณ วันที่ 5 มกราคม 2554 ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 91 น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 อยู่ที่ระดับ 38.64 และ 34.34 บาท/ลิตร ตามลำดับ ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 อยู่ที่ระดับ 29.99 บาท/ลิตร มีค่าการตลาด 1.0239 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับ 29.59 บาท/ลิตร มีค่าการตลาด 1.0217 บาท/ลิตร (ค่าการตลาดที่เหมาะสมอยู่ที่ระดับ 1.50 บาท/ลิตร) จากการที่ค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำ อาจทำให้ผู้ค้าปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ขึ้นเกิน 30 บาท/ลิตร ได้
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2553 มีเงินสดในบัญชี 36,267 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 8,536 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 8,234 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 303 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 27,731 ล้านบาท และจากการดำเนินการแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ถึงวันที่ 4 มกราคม 2554 กองทุนน้ำมันฯได้ใช้เงินเพื่อรักษาระดับราคาไปแล้วประมาณ 770 ล้านบาท
5. จากปัญหาค่าการตลาดที่อยู่ในระดับต่ำข้างต้น เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลของผู้ค้าน้ำมันไม่ให้สูงเกิน 30 บาท/ลิตร ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และ บี5 อยู่ในระดับ 1.5239 และ 1.5217 บาท/ลิตร ตามลำดับ และกองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลง จากติดลบ 1,257 ล้านบาท/เดือน เป็น ติดลบ 1,977 ล้านบาท/เดือน
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากชดเชย 0.35 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.85 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จากชดเชย 1.00 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 1.50 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2554 เป็นต้นไป
เรื่องที่ 2 ขอขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2553
2. จากหลักเกณฑ์การคำนวณราคาเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลโดยใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง (บาท/กิโลกรัม) เช่น ราคาเฉลี่ยเดือนที่ 1, 2 และ 3 นำไปคำนวณราคาในเดือนที่ 5 โดยที่ราคากากน้ำตาลเฉลี่ยที่ใช้ในการคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลเดือนธันวาคมอยู่ที่ 7.79 บาท/กิโลกรัม คำนวณจากราคาเฉลี่ยของราคากากน้ำตาลเดือนสิงหาคม กันยายน และตุลาคม ที่ 5.89 4.52 และ 12.96 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ส่งผลให้ราคาอ้างอิงเอทานอลที่ผลิตจากกากน้ำตาลอยู่ที่ระดับ 38.61 บาท/ลิตร เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 12.18 บาท/ลิตร โดยมีสาเหตุจากเดือนตุลาคม 2553 มีการส่งออกกากน้ำตาลเพียง 40,584 กิโลกรัม แต่มีมูลค่าส่งออก 526,061 บาท ส่งผลให้ราคากากน้ำตาลในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจาก 4.52 บาท/กิโลกรัม เป็น 12.96 บาท/กิโลกรัม ทั้งนี้ เนื่องจากวิธีการคำนวณเป็นการนำราคา 3 เดือน มาหารเฉลี่ย ดังนั้น ถ้ามีเดือนที่ราคาปรับสูงหรือต่ำผิดปกติจะมีผลทำให้ราคาเอทานอลอ้างอิงผันผวนอย่างมาก
3. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2553 กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากรเฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณการส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลของเดือนธันวาคม 2553 และมอบหมายให้คณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (คณะอนุกรรมการฯ) ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงของสาเหตุความผิดปกติของราคากากน้ำตาลพร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอ กบง. พิจารณาต่อไป
4. สาเหตุที่ราคาอ้างอิงเอทานอลของเดือนธันวาคมสูงผิดปกติ เกิดจากราคาส่งออกกากน้ำตาลเฉลี่ยในเดือนตุลาคมสูงขึ้นมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทน้ำตาลกุมภวาปี มีการส่งออกกากน้ำตาลชนิด Hi test molasses ซึ่งสามารถนำมาทำเป็นอาหารได้และมีราคาสูงกว่าชนิดอื่นโดยมีราคาประมาณ 12-14 บาท/กิโลกรัม มีการส่งออกประมาณ 20 ตัน/เดือน เมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกกากน้ำตาลทั้งหมดเฉลี่ยประมาณ 8,000 ตัน/เดือน ที่ระดับราคา 4-5 บาท/กิโลกรัม จึงทำให้ราคาส่งออกในช่วงก่อนหน้าไม่มีความผิดปกติ แต่ในเดือนตุลาคม 2553 มีการส่งออกเฉพาะบริษัทน้ำตาลกุมภวาปีเพียงบริษัทเดียว จึงส่งผลให้ราคากากน้ำตาลในเดือนตุลาคมสูงมากผิดปกติ
5. เพื่อให้การประกาศราคาอ้างอิงเอทานอล ถูกต้องเหมาะสมและเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอความเห็นชอบขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิตเป็นการชั่วคราว โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือน มีนาคม 2554 โดยขอใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลัง ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554 และขอให้ กบง. มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการปรับปรุงราคากากน้ำตาลส่งออกให้สะท้อนต้นทุนในการผลิตเอทานอล โดยประสานกรมศุลกากร เพื่อขอแยก Hi Test Molasses ออกจากพิกัดส่งออกกากน้ำตาล หรือขอข้อมูลมาใช้ในการตัดออกจากการคำนวณ โดยนำเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอโครงสร้างฯ ใหม่ต่อ กบง. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการใช้หลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลจากต้นทุนการผลิต (Cost Plus) โดยให้มีผลตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554
2. เห็นชอบให้ใช้ราคากากน้ำตาลตามประกาศเผยแพร่โดยกรมศุลกากร เฉลี่ย 3 เดือนย้อนหลังที่มีการส่งออก ถ่วงน้ำหนักด้วยปริมาณส่งออก (บาท/กิโลกรัม) เพื่อคำนวณราคาอ้างอิงเอทานอลในเดือนมกราคม ถึงเดือนมีนาคม 2554 ทั้งนี้ ให้แยกกากน้ำตาลส่งออกที่ไม่ได้ใช้ในการผลิตเอทานอล อาทิ Hi Test Molasses ออกจากการคำนวณ
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการปรับปรุงราคากากน้ำตาลส่งออกให้สะท้อนต้นทุนในการผลิตเอทานอล โดยประสานกับกรมศุลกากร เพื่อขอแยก Hi Test Molasses ออกจากพิกัดส่งออกกากน้ำตาล หรือขอข้อมูลมาใช้ในการตัดออกจากการคำนวณ และให้นำเสนอคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขอความเห็นชอบ ก่อนนำเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคาอ้างอิงเอทานอลใหม่ต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 15 กันยายน 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 14 กันยายน 2552
โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมัน 11 กันยายน 2552
ครั้งที่ 58 - วันพฤหัสบดี ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2553 (ครั้งที่ 58)
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 9.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน(นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันแพง
สรุปสาระสำคัญ
1. เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2553 ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับ 88.65 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับ 100.26 และ 101.52 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ในเดือนมกราคม 2554 คาดว่าแนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ระดับประมาณ 88 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล น้ำมันดีเซลอยู่ที่ระดับประมาณ 102 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และจากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศปรับตัวสูงขึ้นตาม โดย ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2553 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับ 33.84, 29.99 และ 29.39 บาท/ลิตร ตามลำดับ และหากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น ผู้ค้าน้ำมันก็จะปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งจะทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เกิน 30.00 บาท/ลิตร
2. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 14 ธันวาคม 2553 มีเงินสดในบัญชี 36,843 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 9,227 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระชดเชย 8,922 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 304 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 27,617 ล้านบาท
3. เนื่องจากน้ำมันดีเซลเป็นน้ำมันพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจ หากมีการปรับราคาขายปลีกเกิน 30 บาท/ลิตร จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งสินค้าและบริการ รวมทั้งค่าครองชีพของประชาชน ดังนั้นควรปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ และเพิ่มการอุดหนุนน้ำมันดีเซลเพื่อมิให้ราคาน้ำมันดีเซลสูงเกิน 30 บาท/ลิตร เป็นการชั่วคราวก่อนในระยะ 1 - 2 เดือน โดยมี 2 แนวทาง ดังนี้
3.1 แนวทางที่ 1 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เฉพาะน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล บี3 ลดลง 0.30 บาท/ลิตร แนวทางนี้มีผลทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ระดับต่ำกว่า บี3 ดังนั้นผู้ค้าน้ำมันอาจปรับเพิ่มราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ประมาณ 0.30 บาท/ลิตร เพื่อให้ค่าการตลาดใกล้เคียงกับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 จะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 เท่ากับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ซึ่งอาจจะเป็นการไม่สนับสนุนนโยบายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และจะส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องลดลงจากติดลบ 537 ล้านบาท/เดือน เป็นติดลบ 986 ล้านบาท/เดือน
3.2 แนวทางที่ 2 ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ปรับลดลง 0.30 บาท/ลิตร โดยที่ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 กับน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 อยู่ที่ 0.60 บาท/ลิตร และกองทุนน้ำมันฯ จะมีสภาพคล่องลดลงจากติดลบ 537 ล้านบาท/เดือน เป็นติดลบ 1,257 ล้านบาท/เดือน
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้พิจารณาแนวทางการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้ง 2 แนวทางแล้ว และได้มีข้อเสนอดังนี้
4.1 ขอความเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามแนวทางที่ 2 โดยปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร จาก 0.15 บาท/ลิตร เป็น -0.35 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร จาก -0.50 บาท/ลิตร เป็น -1.00 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
4.2 เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและทันเหตุการณ์ในการรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมัน จึงเห็นควรให้คณะกรรมการฯ เห็นชอบในหลักการและมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม โดยให้สามารถปรับลด/เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ได้อีกไม่เกิน 1.00 บาท/ลิตร แล้วรายงานให้ กบง. ทราบในภายหลัง
โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงหลังปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามแนวทางที่ 2
หน่วย : บาท/ลิตร | ULG95 | ULG91 | E10,95 | E10,91 | B3 | B5 |
ราคา ณ โรงกลั่น | 19.4212 | 19.0054 | 20.3630 | 20.1597 | 20.4217 | 20.8951 |
ภาษีสรรพสามิต | 7.0000 | 7.0000 | 6.3000 | 6.3000 | 5.3100 | 5.0400 |
ภาษีเทศบาล | 0.7000 | 0.7000 | 0.6300 | 0.6300 | 0.5310 | 0.5040 |
กองทุนน้ำมันฯ | 7.5000 | 6.7000 | 2.4000 | 0.1000 | -0.3500 | -1.0000 |
กองทุนอนุรักษ์ฯ | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 | 0.2500 |
ภาษีมูลค่าเพิ่ม | 2.4410 | 2.3559 | 2.0960 | 1.9208 | 1.8314 | 1.7982 |
ราคาขายส่ง | 37.3122 | 36.0113 | 32.0390 | 29.3605 | 27.9941 | 27.4873 |
ค่าการตลาด | 4.9793 | 1.5222 | 1.6832 | 1.8500 | 1.5850 | 1.4978 |
ภาษีค่าการตลาด | 0.3485 | 0.1066 | 0.1178 | 0.1295 | 0.1109 | 0.1048 |
ราคาขายปลีก | 42.64 | 37.64 | 33.84 | 31.34 | 29.69 | 29.09 |
กองทุนน้ำมันฯ เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | -0.50 | -0.50 |
ค่าการตลาด เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.22 | 0.22 |
ราคาขายปลีก เปลี่ยนแปลง | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | -0.30 | -0.30 |
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี3 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร จาก 0.15 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 0.35 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี5 ลดลง 0.50 บาท/ลิตร จากชดเชย 0.50 บาท/ลิตร เป็นชดเชย 1.00 บาท/ลิตร และมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป