ผลการประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบาย แผน และมาตรการ
ผลการประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบาย แผน และมาตรการ
ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)
วันนี้ (19 ธันวาคม 2559) นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และโฆษกกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึง ผลการประเมินนโยบาย แผน และมาตรการตามมติ กพช. ในช่วงปี 2556 ถึง 2559 ซึ่งผ่านความเห็นชอบไปแล้ว จำนวน 144 เรื่อง และ กพช. ได้มีมติมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ จำนวน 193 มติ โดยการประเมินผลในครั้งนี้ สนพ. ได้คัดเลือกเรื่องสำคัญๆ ที่มีผลต่อภาคเศรษฐกิจ ภาคการลงทุน และเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน 5 เรื่อง ดังนี้
1) มาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT)
2) นโยบายการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน
3) แนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี 2565 – 2566
4) แผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558 – 2579 (EEP 2015)
5) แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558 – 2579 (PDP 2015)
โดยการประเมินผลการดำเนินงานดังกล่าว สนพ. ได้มอบหมายให้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ประเมิน โดยใช้หลักเกณฑ์ Five Criteria ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่องค์กรระหว่างประเทศเลือกใช้ โดยมีผลการประเมินฯ ดังนี้
มาตรการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในรูปแบบ FiT
พบว่า สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำลังการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ณ เดือนกันยายน 2559 อยู่ที่ 2,142 MW จากเป้าหมาย 1,679 MW ในปี 2559 เนื่องจากรัฐได้ออกมาตรการจูงใจทางด้านราคา ทำให้มีผู้ลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก
ซึ่งมาตรการฯ ดังกล่าว ถือว่าประสบผลสำเร็จ และในอนาคตเห็นควรปรับรูปแบบการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อให้เกิดการแข่งขัน และสะท้อนต้นทุนแท้จริง โดยใช้วิธีการแข่งขันภายใต้กลไกด้านราคา (Competitive bidding)
สำหรับนโยบายการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงด้านพลังงาน
โดยปรับลดอัตราสำรองของน้ำมันเชื้อเพลิงสำเร็จรูป จาก 6% เหลือ 1% ซึ่งจะช่วยเพิ่มพื้นที่ถังเก็บ และลดต้นทุนของผู้ค้าน้ำมัน ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดค้าปลีกน้ำมันมากขึ้น มีผู้ค้าน้ำมันอิสระรายใหม่ๆ เข้ามาเป็นผู้เล่นและลงทุนมากขึ้น ซึ่งพบว่านโยบายดังกล่าวเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะการแข่งขันที่เข้มข้นมากขึ้น และในส่วนของการแข่งขันด้านคุณภาพบริการ แม้ว่าการแข่งขันด้านราคาจะมีข้อจำกัดในหลายพื้นที่ สำหรับในอนาคตทางกรมธุรกิจพลังงาน กำลังศึกษาประเด็นความเป็นไปได้ในการแยกระหว่างการสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ และการสำรองน้ำมันเพื่อการค้า โดยการสำรองน้ำมันเพื่อการค้าควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดเต็มรูปแบบ
แนวทางการบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติที่สัมปทานจะสิ้นสุดอายุในปี 2565 – 2566
การดำเนินงานล่าช้ากว่าแผน ด้วยเพราะเกิดความล่าช้าจากการขยายระยะเวลาพิจารณา พ.ร.บ.ด้านปิโตรเลียม ทั้ง 2 ฉบับ ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถดำเนินการตามมติ กพช. ได้ภายในปี 2560 ซึ่งหากล่าช้ากว่ากำหนด รัฐอาจจะต้องวางปรับแผนนำเข้า LNG เพื่อมาทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติในประเทศที่ผลิตได้ลดลง
แผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2558 – 2579 (EEP 2015)
ในปี 2559 มีเป้าหมายประหยัดพลังงานอยู่ที่ 1,892 ktoe ซึ่งพบว่า ผลประหยัด (ไม่รวมภาคขนส่ง) ยังไม่เป็นไปตามเป้า โดย ณ เดือนพฤษภาคม 2559 อยู่ที่ 636 ktoe จาก 833 ktoe เนื่องจากโครงการที่ได้รับอนุมัติภายใต้มาตรการสนับสนุนทางการเงินอยู่ระหว่างดำเนินการ รวมทั้งในช่วงสถานการณ์ราคาพลังงานขาลง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการอนุรักษ์พลังงานขาดความน่าสนใจ จึงยังไม่สามารถเกิดผลประหยัดได้ นอกจากนี้ มาตรการภาคขนส่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินงาน ทำให้ยังไม่มีผลประหยัดเป็นรูปธรรมในปี 2559 รวมทั้งมาตรการดังกล่าวเป็นการขอความร่วมมือ ซึ่งทำให้ไม่สามารถเร่งรัดผลักดันให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ ดังนั้น รัฐควรมีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ราคาพลังงาน โดยอาจพิจารณาให้ความสำคัญกับการใช้มาตรการภาคบังคับมากขึ้น
แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2558 – 2579 (PDP 2015)
พบว่า การกระจายเชื้อเพลิง และลดสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้า ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติ ณ เดือนกรกฎาคม 2559 อยู่ที่ 64% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 59% เนื่องจาก การก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ ซึ่งเกิดจากการต่อต้านจากประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและการซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน (โรงไฟฟ้าหงสา) ยังต่ำกว่าเป้าหมาย รัฐควรมีการทบทวนการสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน มีการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าถ่านหินสะอาด และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการมีโรงไฟฟ้าในพื้นที่ รวมทั้งบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานกำกับกิจการพลังงาน การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ฯลฯ
อย่างไรก็ดี เพื่อให้การดำเนินงานตามมติ กพช. บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ สนพ. จำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบติดตามและสืบค้นมติที่ได้รับการอนุมัติจาก กพช. โดยมีการให้บริการผ่านเว็บไซต์ของ สนพ.(www.eppo.go.th) สำหรับเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่ประชาชนทั่วไปได้รับทราบ และหน่วยงานต่างๆ สามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลมติ กพช. เพื่อนำไปปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานความคืบหน้าการดำเนินงาน เพื่อ สนพ. จะได้รวบรวมนำเสนอ กพช. ตามขั้นตอน ซึ่งจะช่วยเร่งรัดและกำกับดูแลการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบาย แผน และมาตรการที่วางไว้ต่อไป