กอ. ครั้งที่ 40 - วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40)
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2548 เวลา 14.00 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 3
3. โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
4. การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดคุณลักษณะภายนอกของโคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงตามแผนอนุรักษ์พลังงานของอาคารควบคุม
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า การบริหารงานของแผนอนุรักษ์พลังงาน ในระยะที่ 3 (ช่วงปี 2548-2554) ได้ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (กบอ.) ในการทำหน้าที่พิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ และบริหารจัดการแผนอนุรักษ์พลังงานให้เป็นไปตามกรอบแผนอนุรักษ์พลังงาน ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้เห็นชอบไว้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กบอ. มีการประชุมไปแล้ว จำนวน 3 ครั้ง โดยได้พิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานใน ปีงบประมาณ 2548 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,458.92 ล้านบาท โดยสรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
แผนงาน | กรอบเงิน | กบอ. อนุมัติจัดสรรแล้ว | ||
พพ. | สนพ. | รวมทั้งสิ้น | ||
1. แผนพลังงานทดแทน | 650.00 | 192.00 | 49.00 | 241.00 |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 422.00 | 30.00 | - | 30.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 130.00 | 129.00 | - | 129.00 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 65.00 | 33.00 | 49.00 | 82.00 |
1.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 33.00 | - | - | - |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 455.00 | 645.92 | 201.50 | 847.42 |
2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 137.00 | 28.00 | - | 28.00 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 205.00 | 547.20 | - | 547.20 |
2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 91.00 | 70.72 | 201.50 | 272.22 |
2.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 22.00 | - | - | - |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 195.00 | - | 370.50 | 370.50 |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 65.00 | - | 250.50 | 250.50 |
3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ. +บก.) | 65.00 | - | - | - |
3.3 งานอื่นๆ | 65.00 | - | 120.00 | 120.00 |
รวมงบประมาณปี 2548 | 1,300.00 | 837.92 | 621.00 | 1,458.92 |
หมายเหตุ : ทั้งนี้ให้สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ในแผนงานเดียวกันได้
2. ในการประชุม กบอ. เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2548 ผู้แทนกรมบัญชีกลาง ได้ให้ข้อสังเกตว่าการแต่งตั้ง กบอ. ให้ทำหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ในหลักการไม่น่าจะกระทำได้ เนื่องจากพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 34 กำหนดให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมายเท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้ทุกมติของ กบอ. และ การเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ เป็นไปด้วยความถูกต้อง ที่ประชุมจึงให้ฝ่ายเลขานุการฯ หารือเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามข้อสังเกตของกรมบัญชีกลาง
3. สนพ. มีหนังสือถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือเรื่องการแต่งตั้ง กบอ. ตามข้อสังเกตของกรมบัญชีกลางแล้ว และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้แจ้งผลการหารือ สรุปได้ดังนี้
3.1 ในประเด็นชื่อ กบอ. คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่าคณะกรรมการกองทุนฯ สามารถแต่งตั้ง กบอ. แทนชื่อคณะอนุกรรมการได้ เพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการกองทุนฯ ในด้านต่างๆ เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงาน และถือได้ว่าเป็นคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการกองทุนฯ แม้จะใช้ชื่อว่าเป็นคณะกรรมการ
3.2 ในประเด็นของมติ กบอ. ทุกมติที่แจ้งไปแล้ว จะมีผลประการใด คณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า มติของ กบอ. ในส่วนที่เป็นการทำหน้าที่แทนคณะกรรมการกองทุนฯ ได้แก่ 1) การพิจารณาจัดสรรและการพิจารณาอนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ และ 2) การพิจารณาอนุมัติการขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและแผนงานโครงการที่ได้อนุมัติไว้แล้ว ซึ่งเป็นอำนาจของคณะกรรมการกองทุนฯ โดยเฉพาะนั้น คณะกรรมการกองทุนฯ ไม่สามารถมอบหมายให้ กบอ. มีอำนาจกระทำการแทนได้ ดังนั้น มติของ กบอ. เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับจนกว่าคณะกรรมการกองทุนฯ จะพิจารณาและมีมติยืนยันในเรื่องดังกล่าว
4. เพื่อดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่ายเลขานุการฯ ใคร่ขอเสนอระบบการบริหารงานกองทุนฯ เพื่อพิจารณาตามแนวทาง ดังต่อไปนี้
4.1 นำงบประมาณที่ กบอ. อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ ให้แก่ สนพ. และ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานในปีงบประมาณ 2548 มาขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการกองทุนฯ อีกครั้งหนึ่ง
4.2 นำโครงการภายใต้แผนงานภาคบังคับ แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ที่อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (อพพ.) ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผน (ผอ.สนพ.) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับการขอเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและแผนงานโครงการไปแล้ว ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มอบอำนาจให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว เสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ เป็นผู้อนุมัติงบประมาณ และการเปลี่ยนแปลงกิจกรรมและแผนงานโครงการที่อนุมัติไว้แล้ว ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา
4.3 เพื่อให้การบริหารงานของคณะกรรมการกองทุนฯ เกิดความคล่องตัว และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขานุการฯ จึงขอเสนอภารกิจของคณะกรรมการกองทุนฯ และคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ให้มีความชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีการประสานสอดคล้องกัน ในภารกิจ ดังนี้
(1) ภารกิจที่จะต้องดำเนินการโดยประจำของคณะกรรมการกองทุนฯ
(2) ภารกิจที่ดำเนินการโดยการประชุมอนุกรรมการกองทุนฯ และเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
(3) ภารกิจที่ดำเนินการโดยการประชุมคณะอนุกรรมการกองทุนฯ และเสนอเวียนให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา
(4) ภารกิจที่ดำเนินการโดยการประชุมคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
นอกจากนี้ เพื่อให้การปฏิบัติงานของคณะกรรมการกองทุนฯ และอนุกรรมการกองทุนฯ เป็นไปตามระบบการบริหารงานกองทุนฯ ตามภารกิจดังกล่าว และสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2547 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานมาทำหน้าที่แทน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (กบอ.) ได้มีมติอนุมัติไปแล้ว ของแผนและงานต่างๆ ยกเว้นงานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ในส่วนของงานประชาสัมพันธ์ อนุมัติเฉพาะรายการที่มีการก่อหนี้ผูกพันไปแล้วก่อนวันที่ 25 สิงหาคม 2548 โดยมีวงเงินที่อนุมัติรวมทั้งสิ้น 1,431,368,113 บาท (หนึ่งพันสี่ร้อยสามสิบเอ็ดล้านสามแสน หกหมื่นแปดพันหนึ่งร้อยสิบสามบาทถ้วน) แยกเป็นให้ พพ. จำนวน 814,911,021 บาท (แปดร้อยสิบสี่ล้านเก้าแสนหนึ่งหมื่นหนึ่งพันยี่สิบเอ็ดบาทถ้วน) และ สนพ. จำนวน 616,457,092 บาท (หกร้อยสิบหกล้านสี่แสนห้าหมื่นเจ็ดพันเก้าสิบสองบาทถ้วน) ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ กบอ. ได้มีมติอนุมัติงบประมาณดังกล่าว โดยให้ พพ. และ สนพ. สามารถถัวจ่ายรายการต่างๆ ในแผนงานเดียวกันได้ โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
1.1 วงเงินงบประมาณของ สนพ. ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติตามที่ กบอ. อนุมัติจัดสรรไว้ ดังนี้
หน่วย : บาท
แผนงาน | กบอ. อนุมัติจัดสรรให้ | คณะกรรมการกองทุนฯอนุมัติ |
1. แผนพลังงานทดแทน | ||
1.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | ||
(1) งานพัฒนาบุคลากร | 49,000,000 | 49,000,000 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | ||
2.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | ||
(1) งานพัฒนาบุคลากร | 42,500,000 | 42,500,000 |
(2) งานประชาสัมพันธ์ | 159,000,000 | 154,457,092 |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | ||
3.1 งานบริหารเชิงนโยบายและวิชาการ | 250,500,000 | 250,500,000 |
3.2 งานอื่นๆ | 120,000,000 | 120,000,000 |
รวมเป็นเงิน | 621,000,000 | 616,457,092 |
1.2 วงเงินงบประมาณของ พพ. ที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติตามที่ กบอ. อนุมัติจัดสรรไว้ ดังนี้
หน่วย : บาท
แผนงาน | กบอ. อนุมัติจัดสรรให้ | คณะกรรมการกองทุนฯอนุมัติ |
1. แผนพลังงานทดแทน | ||
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 30,000,000 | 30,000,000 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 129,000,000 | 129,000,000 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | ||
(1) งานพัฒนาบุคลากร | 3,000,000 | 3,000,000 |
(1) งานประชาสัมพันธ์ | 30,000,000 | 11,184,500 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | ||
2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 28,000,000 | 28,000,000 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 547,200,000 | 547,200,000 |
2.3 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | ||
(1) งานพัฒนาบุคลากร | 25,020,000 | 25,020,000 |
(2) งานประชาสัมพันธ์ | 45,700,000 | 41,506,521 |
รวมเป็นเงิน | 837,920,000 | 814,911,021 |
2. สำหรับงานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ในส่วนของงานประชาสัมพันธ์ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรจาก กบอ. ไว้แล้ว แต่ยังมิได้มีการก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนวันที่ 25 สิงหาคม 2548 หากมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการให้นำเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติ
3. เห็นชอบการปรับแผนของโครงการภายใต้แผนงานภาคความร่วมมือและแผนงานสนับสนุน ตามที่ ผอ.สนพ. ได้มีมติเห็นชอบไว้แล้ว ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ผอ.สนพ. ได้มีมติอนุมัติให้ปรับแผนของโครงการดังกล่าว ดังรายละเอียดตามเอกสารประกอบวาระ 4.1.3
4. เห็นชอบระบบการบริหารงานกองทุนฯ ให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังรายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.1.5
5. เห็นชอบยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2547 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2547 และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานคณะหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่แทน ดังรายละเอียดตามเอกสารแนบ 4.1.6
เนื่องจากประธานฯ จะต้องไปปฏิบัติภารกิจเร่งด่วน จึงมอบหมายให้ปลัดกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่เป็นประธานฯ ในที่ประชุมต่อไป
เรื่องที่ 2 โครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 3
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติให้มีการดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ไปแล้ว 2 ระยะ ซึ่ง สนพ. การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นผู้ดำเนินโครงการ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและติดเป็นนิสัย ด้วยการให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าแก่ทุกครัวเรือนที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยครัวเรือนที่สามารถประหยัดหน่วยไฟฟ้าลงได้ตั้งแต่ 10% ขึ้นไป จะได้รับรางวัลเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าอีก 20% ของหน่วยไฟฟ้าที่ประหยัดได้ในเดือนนั้น โดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สนับสนุน "ส่วนลด ค่าไฟฟ้า" ซึ่งผลการดำเนินงานของโครงการฯ สรุป ได้ดังนี้
(1) ระยะที่ 1 ดำเนินการระหว่างเดือนกันยายน 2544 ถึง สิงหาคม 2545 มีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับส่วนลด 5 ล้านครัวเรือน ประหยัดไฟฟ้าได้ 3,067 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 9,089 ล้านบาท โดยกองทุนฯ จ่าย "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" รวมทั้งสิ้น 1,679 ล้านบาท ( ผ่าน กฟน. 556 ล้านบาทและ กฟภ. 1,123 ล้านบาท)
(2) ระยะที่ 2 ดำเนินการระหว่างเดือนมิถุนายน 2547 ถึง พฤษภาคม 2548 มีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับส่วนลด 4 ล้านครัวเรือน ประหยัดไฟฟ้าได้ 3,456 ล้านหน่วย คิดเป็นเงินที่ประหยัดได้ 10,748 ล้านบาท โดยกองทุนฯ จ่าย "ส่วนลดค่าไฟฟ้า" รวมทั้งสิ้น 1,499 ล้านบาท (ผ่าน กฟน. 501 ล้านบาท และ กฟภ. 998 ล้านบาท)
2. ผลประเมินโครงการฯ ระยะที่ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้สำรวจความเห็นจาก 3,000 ตัวอย่าง ทั่วประเทศ มีผลดังนี้
(1) การรับรู้ : 92% ได้รับทราบข้อมูลข่าวสารโครงการฯ และ 76% ที่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากโครงการฯ เห็นว่ามีผลต่อการกระตุ้นให้ได้รับส่วนลดมาก
(2) ความเข้าใจ : พบว่า ผู้ที่มีความเข้าใจในรายละเอียดขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการฯ จะประสบความสำเร็จในการได้รับส่วนลดมาก
3. เพื่อให้การลดใช้พลังงานในส่วนของภาคประชาชน เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ (ร้อยละ 10 ของปริมาณการใช้ในปีที่ผ่านมา) และเพื่อจูงใจให้ประชาชนไม่ลืมพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นจุดเปลี่ยนให้เป็นพฤติกรรมถาวร สนพ. จึงเห็นควรดำเนินงาน "โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 3" ให้มีความต่อเนื่อง โดยมีรูปแบบแนวทางดำเนินงาน ดังนี้
(1) คงลักษณะกิจกรรมไว้เช่นเดียวกับโครงการฯ ระยะที่ 2 ระยะเวลาดำเนินการรวม 12 เดือน เริ่มตั้งแต่ เดือนกันยายน 2548 ถึงเดือนสิงหาคม 2549
(2) การให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าคงเป็นไปตามโครงการฯ ระยะที่ 2 "ประหยัดได้อย่างน้อยร้อยละ 10 ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าของเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้า ร้อยละ 20 ของจำนวนหน่วยไฟฟ้าที่ลดลงได้แต่ละเดือน" และเพื่อขจัดปัญหาเรื่องการจ่ายเงินค่าส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับบ้านที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยจริงในช่วงนั้น จึงจำกัดผลประหยัดสูงสุดที่จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้า ไม่เกินร้อยละ 40 โดยมีข้อความแสดงความยินดีที่ได้รับส่วนลด และกระตุ้นให้ผู้ใช้ไฟฟ้าพยายามประหยัดการไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในกรณีที่ไม่ได้รับส่วนลด ซึ่งจะปรากฏอยู่ที่หน้าซองแจ้งค่าไฟฟ้า
(3) กฟน. และ กฟภ. ได้ประมาณการค่าใช้จ่าย "โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 3" เสนอขอสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นจำนวนเงิน 1,770.9 ล้านบาท และจำแนกได้ดังนี้
"ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 3" | กฟน. | กฟภ. |
กลุ่มเป้าหมาย "ประเภทบ้านอยู่อาศัย" | 580,950 ครัวเรือน | 3,294,634 ครัวเรือน |
คิดเป็นร้อยละของผู้ใช้ไฟฟ้า | 28.2 % | 26.7 % |
ประมาณการเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ | 496.02 ล้านบาท | 1,274.88 ล้านบาท |
- เงินส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า | 493.92 ล้านบาท | 1,271.78 ล้านบาท |
- เงินค่าประชาสัมพันธ์และฝึกอบรมพนักงาน | 2.10 ล้านบาท | 3.10 ล้านบาท |
และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนได้รับทราบถึงนโยบายและเข้าใจรายละเอียดการเข้าร่วมโครงการฯ ก่อให้เกิดพฤติกรรมการประหยัดไฟอย่างจริงจัง และให้โครงการเป็น Theme เดียวกัน สนพ. จะเป็นผู้ผลิตสัญลักษณ์โครงการฯ เอกสารเผยแพร่ สารคดี จัดรายการพิเศษ กิจกรรมอื่นๆ เพื่อแนะนำวิธีประหยัดไฟฟ้า ผ่านสื่อต่างๆ โดยขออนุมัติใช้เงินจากกองทุนฯ ดำเนินการภายใต้ "โครงการประชาสัมพันธ์ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 3" ในวงเงิน 55 ล้านบาท
4. เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ซ้ำซ้อน ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาแล้ว เห็นควรปรับลดค่าใช้จ่ายงานประชาสัมพันธ์ของ กฟภ. และ กฟน. ในรายการ (1) ค่าครุภัณฑ์ในการจัดซื้อ Note book (2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้านข้อมูล
มติที่ประชุม
เห็นชอบในหลักการของโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 3 โดยมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ จัดทำรายละเอียดงบประมาณของโครงการฯ โดยเฉพาะในส่วนของการประชาสัมพันธ์โครงการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป
เรื่องที่ 3 โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาพลังงานของประเทศ โดยได้มีการกำหนดแนวทางในการส่งเสริมการนำก๊าซธรรมชาติมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล และคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง ได้มีการประชุมปรับเป้าหมายและวิธีการดำเนินงานขยายจำนวนรถ NGV ในปี 2548 จำนวนทั้งสิ้น 16,920 คัน และสถานีบริการ NGV ทั้งสิ้น 60 สถานี
2. เพื่อให้การดำเนินงานส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่งบรรลุตามเป้าหมาย ภาครัฐควรมีมาตรการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติให้เป็นตัวอย่างแก่ภาคเอกชน โดยการปรับเปลี่ยนรถยนต์ราชการจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นใช้ก๊าซ NGV ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐให้การสนับสนุนมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังกำหนดระเบียบการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับ รถยนต์ราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2548 โดย ปตท. จะติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้ผ่อนจ่ายคืนโดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซฯ ที่เติมแต่ละครั้ง ซึ่งมีหน่วยงานต่างๆ แจ้งความประสงค์ต่อ สนพ. ขอติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับรถยนต์ของหน่วยงาน เป็นจำนวน 1,708 คัน
3. จากผลการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV สำหรับรถยนต์ของหน่วยงานราชการ มีปัญหาในการดำเนินงาน 2 ประเด็น คือ หน่วยงานไม่มีงบประมาณที่จะนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV และปัญหาจากระเบียบการเบิกจ่ายวัสดุ (เชื้อเพลิง) ยังไม่เอื้อในกรณีติดตั้งอุปกรณ์ไปก่อนและผ่อนจ่ายคืนทีหลัง จึงได้ข้อสรุปว่า สนพ. ควรจัดหาแหล่งเงินทุนสนับสนุนเพื่อผลักดันโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ดังนั้น เพื่อให้มาตรการดังกล่าวดำเนินการไปได้โดยไม่หยุดชะงัก จึงเห็นควรขอรับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากกองทุนฯ ในรูปของเงินยืมเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย และจัดสรรให้แต่ละหน่วยงานตามที่ได้แจ้งความประสงค์ไว้กับ สนพ. โดยให้ บริษัท ปทต. มหาชน (จำกัด) เป็นผู้ดำเนินโครงการดังกล่าว
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 110 ล้านบาท จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2548 ให้ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อนำไปใช้ในโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ โดยให้ สนพ. ปตท. และ กรมบัญชีกลางร่วมกันหารือในรายละเอียด เพื่อกำหนดเป็นระเบียบเกี่ยวกับวิธีการเบิกจ่ายเงินและการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ โดยเร็วต่อไป
2. ในกรณีที่วิธีการเบิกจ่ายเงินและการเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ ตามข้อ 1 ไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2548 และวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 มอบให้ สนพ. นำเรื่องเข้า ครม. เพื่อพิจารณาอนุมัติ ต่อไป
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุม เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2544 เห็นชอบให้ พพ. จัดตั้ง "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน" เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงาน และเพื่อสร้างความมั่นใจและความคุ้นเคยให้แก่สถาบันการเงินในการกู้ยืมเพื่อโครงการอนุรักษ์พลังงาน และอนุมัติให้ พพ. ใช้เงินจากโครงการโรงงานควบคุมและอาคารควบคุมที่กำลังใช้งาน (ในส่วนของโรงงานควบคุม) ในวงเงิน 2,000 ล้านบาท นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้โรงงานควบคุมและอาคารควบคุมนำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงานในอัตราดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงโรงงานและอาคารนอกข่ายควบคุมและบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) ได้ โดยสถาบันการเงินจะต้องปล่อยเงินกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี (และมีการขยายระยะเวลาโครงการถึงวันที่ 30 มกราคม 2549)
2. ผลการดำเนินงานในช่วงโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 1 สรุปได้ดังนี้
(1) ผลการอนุรักษ์พลังงาน : การดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 1 (ข้อมูล ณ 17 ส.ค. 2548) พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 74 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคารจำนวน 11 ข้อเสนอ โรงงาน 62 ข้อเสนอ และบริษัทจัดการพลังงาน 1 ข้อเสนอ จำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติคิดเป็นเงิน 1,814 ล้านบาท (เงินลงทุน 3,002 ล้านบาท) ประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประเทศชาติจะได้รับคิดเป็นการประหยัดพลังงาน ดังนี้
ประเภท | จำนวน (แห่ง) |
เงินลงทุน (ล้านบาท) |
วงเงินสนับสนุนที่ พพ. อนุมัติ (ล้านบาท) |
ผลประหยัดไฟฟ้า (ล้านหน่วย/ปี) |
ผลประหยัดเชื้อเพลิง (ล้านลิตร/ปี) |
รวมผลประหยัด (ล้านบาท/ปี) |
โรงงาน | 62 | 2,751 | 1,680 | 164 | 84 | 1,209 |
อาคาร | 11 | 85 | 84 | 7.7 | 0.9 | 28 |
ESCO | 1 | 166 | 50 | 10 | 8.2 | 103 |
รวม | 74 | 3,002 | 1,814 | 182 | 93.1 | 1,340 |
การประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประหยัดได้ตลอดอายุอุปกรณ์ สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 2,514 ล้านหน่วย (คิดเป็นเงิน 6,284 ล้านบาท) ประหยัดน้ำมันได้ 1,218 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันเตา (คิดเป็นเงิน 11,573 ล้านบาท) รวมประหยัดได้ 17,857 ล้านบาท หรือ 1,361 ktoe
(2) การเบิกจ่ายและการคืนเงินกองทุนฯ : ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2548 ผู้บริหารเงินหมุนเวียน ได้ขอเบิกเงินกองทุนฯ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 854,528,662 บาท พพ. ได้รับการชำระคืนเงินแล้ว เป็นจำนวนเงิน 141,423,387 บาท
(3) สรุปภาพรวมความสำเร็จของโครงการ ระยะที่ 1
ได้ส่งเสริมผลักดันให้เกิดการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานเป็นจำนวนกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งก่อให้เกิดผลประหยัดพลังงานมากกว่า 1,340 ล้านบาทต่อปี โดยทางภาครัฐมีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนที่ต่ำมาก คือค่าเสียโอกาสจากดอกเบี้ยเงินฝากและค่าใช้จ่ายในการบริหารประมาณ 20-25 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ ยังเกิดผลประโยชน์ต่อเนื่องอื่นๆ เช่น ผลประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม การชะลอการลงทุนเพื่อสร้างโรงไฟฟ้า การลดการนำเข้าน้ำมัน และการขาดดุลการค้า ซึ่งเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
ได้สร้างความมั่นใจและความคุ้นเคยให้แก่สถาบันการเงินซึ่งสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 6 แห่ง ได้เห็นความสำคัญและโอกาสทางการตลาดของการปล่อยสินเชื่อเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน และมีประสบการณ์ในการให้สินเชื่อในโครงการฯ มากกว่า 3,000 ล้านบาท ในกว่า 80 โครงการ
3. จากการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน และการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงพลังงานและสมาคมธนาคารไทย ภาคเอกชนและภาคการเงินมีความเห็นว่า การให้การสนับสนุนในลักษณะของแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเป็นประโยชน์และช่วยให้เกิดการดำเนินการเพื่อการอนุรักษ์พลังงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับมาตรการพลังงานทดแทนต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างสูง จึงจำเป็นต้องให้การสนับสนุนทางด้านดอกเบี้ยอัตราต่ำ แต่สามารถลดการนำเข้าน้ำมันได้อย่างมาก อีกทั้งการสนับสนุนของโครงการเงินหมุนเวียนนี้นอกจากจะเกิดผลสัมฤทธิ์ที่สูงแล้ว ยังเป็นการใช้เงินของภาครัฐ ที่ต่ำมากเนื่องจากเงินที่ใช้ทั้งหมดจะกลับคืนเข้ากองทุนฯ เมื่อสิ้นสุดโครงการ ดังนั้น เพื่อให้เกิดการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พพ. จึงขออนุมัติเงินกองทุน เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ในระยะที่ 2 จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาการปล่อยกู้ 3 ปี และมีระยะเวลาการส่งคืนเงินกลับเข้ากองทุนฯ 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน โดยจะมี ขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ ในการให้การสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ในระยะที่ 1
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. ดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ในระยะที่ 2 โดยใช้เงินจากแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกของ พพ. นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน นำไปใช้ในการอนุรักษ์พลังงานในอัตราดอกเบี้ยต่ำโดยสถาบันการเงินนั้น จะต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และ ส่งเงินคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน โดยจะมี ขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ ในการให้การสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ในระยะที่ 1
2. ให้ พพ. ดำเนินการเจรจากับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้จ่ายดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของเงินกองทุนฯ ที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสในส่วนของดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนฯ ได้รับเป็นประจำ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเงินช่วยเหลือให้เปล่า เพื่อปรับปรุงอุปกรณ์ของอาคารควบคุมตามแผนอนุรักษ์พลังงานไปให้แก่อาคารควบคุมตามแผนอนุรักษ์พลังงานนั้น อาคารควบคุมได้จัดทำหนังสือยืนยันกับ พพ.ตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้ในระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการขอจัดสรร ขอเงินช่วยเหลือหรือขอเงินอุดหนุนจากกองทุนฯ ซึ่งถือเสมือนเป็นสัญญาข้อตกลงระหว่างผู้ให้การสนับสนุนกับผู้ที่ได้รับการสนับสนุนต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไข ได้แก่ ผู้ให้การสนับสนุนตกลงให้การสนับสนุนด้านการเงินตามข้อกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงานที่ได้รับไว้ในแผนอนุรักษ์พลังงาน
2. การดำเนินการจัดหาอุปกรณ์ตามแผนอนุรักษ์พลังงานเป็นหน้าที่ของอาคารควบคุมที่ต้องดำเนินการเอง และต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบราชการกำหนด โดย พพ. มีนิติสัมพันธ์กับอาคารควบคุมด้วยหนังสือยืนยัน และอาคารควบคุมมีนิติสัมพันธ์กับผู้รับจ้างด้วยหนังสือสัญญาว่าจ้างจัดหาและติดตั้งอุปกรณ์อนุรักษ์พลังงาน
3. ด้วยมีอาคารควบคุมจำนวน 13 แห่ง ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนในการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ ได้แก่ ไฟฟ้าประสิทธิภาพสูง โดยจะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
(1) คุณลักษณะภายนอกของโคม "ตัวโคมผลิตจากแผ่นเหล็กที่มีความหนาไม่น้อยกว่า 0.6 มม. พับขึ้นเป็นรูปตัวโคมด้วยแผ่นเหล็กชิ้นเดียวตลอดหรือประกอบส่วนหัวท้ายด้วยการเชื่อมแบบเป็นจุด (Spot Welding) หรือใช้สลักย้ำ (Rivet) ผ่านกรรมวิธีกำจัดไขมันและสนิม และป้องกันการผุกร่อนด้วยกรรมวิธีการเคลือบฟอสเฟตของโลหะ"
(2) คุณสมบัติของแผ่นสะท้อนแสง กล่าวถึงความหนาของแผ่นสะท้อนแสง การผ่านมาตรฐานเกี่ยวกับการป้องกันความหมอง ความชื้น ค่าสัมประสิทธิ์การสะท้อนแสง
(3) การกำหนดค่าประสิทธิภาพของโคมไฟฟ้า (Luminaire Efficiency) เช่น ต้องไม่ต่ำกว่า 80% สำหรับโคมไฟฟ้าชนิดตะแกรง
4. หลังจากที่อาคารทั้ง 13 แห่ง ได้ทำสัญญาว่าจ้างจัดซื้อและได้ติดตั้งอุปกรณ์ตามแผนอนุรักษ์พลังงานแล้ว อาคารควบคุมได้มีหนังสือขอเบิกเงินงวดมาที่ พพ. โดยผลการตรวจเอกสารหลักฐานต่างๆ พบว่า โคมไฟฟ้าชนิดติดเพดาน/ติดลอย/ติดแขวนที่อาคารติดตั้งมีคุณลักษณะภายนอกของตัวโคมไม่เป็นไปตามข้อกำหนด คือ ใช้แผ่นเหล็ก 9 ชิ้น ประกอบขึ้นรูปเป็นตัวโคม แต่ทั้งนี้คุณสมบัติของโคมไฟฟ้าในด้านอื่นๆ รวมทั้งค่าประสิทธิภาพของโคมไฟฟ้าเป็นไปตามข้อกำหนดทุกประการ พพ. จึงไม่สามารถเบิกจ่ายเงินสำหรับ ค่าอุปกรณ์โคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงได้ จนกว่าอาคารจะได้ดำเนินการเปลี่ยนอุปกรณ์ให้เป็นไปตามคุณลักษณะอุปกรณ์ที่กำหนดก่อน จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผู้รับจ้างตามสัญญาว่าจ้างร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาและกระทรวงพลังงาน เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีที่ พพ. ไม่จ่ายเงินค่าอุปกรณ์ดังกล่าวให้ในฐานะผู้รับโอนสิทธิการรับเงินจากอาคารควบคุม
5. กระทรวงพลังงานได้มีหนังสือหารือกรมบัญชีกลาง กรณีผู้รับจ้างได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญาแล้ว แต่ไม่เป็นไปตามรายละเอียดข้อกำหนดของ พพ. เพื่อจะขอแก้ไขสัญญา ซึ่งกรมบัญชีกลางได้แจ้งผลการหารือว่า หลังจากที่มหาวิทยาลัยได้รับอนุมัติเงินลงทุนตามแผนอนุรักษ์พลังงานจากคณะกรรมการกองทุนฯ แล้ว จะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขของโครงการฯ จึงจะสามารถเบิกเงินได้
6. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ในขณะนั้น ได้ให้ความเห็นว่า ถ้าคุณภาพไม่ครบถ้วนควรปรับลดราคาลงให้ได้คุณภาพที่ต้องการ ซึ่ง พพ. ได้คำนวณเปรียบเทียบราคาตามคุณภาพที่กำหนดกับราคาตามคุณภาพของโคมไฟฟ้าที่อาคารควบคุมติดตั้ง โดยต้องปรับลดราคาลงเป็น ดังนี้
(1) โคม 1 x 18 วัตต์ ลด 10 บาทต่อโคม
(2) โคม 2 x 18 วัตต์ ลด 12 บาทต่อโคม
(3) โคม 1 x 36 วัตต์ ลด 7 บาทต่อโคม
(4) โคม 2 x 36 วัตต์ ลด 9 บาทต่อโคม
7. จากปัญหาการติดตั้งอุปกรณ์โคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงของอาคารควบคุมทั้ง 13 แห่ง ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดนั้น พพ. พิจารณาแล้วและมีความเห็นซึ่งสรุปได้ดังนี้
(1) โคมไฟฟ้าที่ติดตั้ง มีค่าประสิทธิภาพของโคมไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 80 % ตามที่คุณลักษณะเฉพาะอุปกรณ์โคมไฟฟ้ากำหนด
(2) โคมดังกล่าวได้ผ่านการทดสอบความแข็งแรงทางกลตามมาตรฐาน มอก. ซึ่งมีความแข็งแรงเทียบเท่ากับโคมไฟฟ้าตามข้อกำหนดของ พพ. แต่มีรูปลักษณะภายนอกไม่ตรงกับข้อกำหนดเท่านั้น ซึ่งหากให้อาคารควบคุมเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะภายนอกของโคมไฟฟ้าที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ก็จะไม่ทำให้วงเงินที่ได้รับอนุมัติเพิ่มขึ้น และไม่ทำให้ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการลดลงแต่ประการใด
(3) หากให้อาคารควบคุมเปลี่ยนโคมไฟฟ้าใหม่ จะทำให้เสียโอกาสและเวลาในการประหยัดพลังงาน
(4) หาก พพ. ไม่เบิกจ่ายเงินให้กับอาคารควบคุม ก็จะเป็นภาระกับอาคารควบคุมในการจัดหางบประมาณมาจ่ายให้กับผู้รับจ้างในฐานะคู่สัญญากัน
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้อาคารควบคุมทั้ง 13 แห่ง เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะภายนอกของโคมไฟฟ้าจากตัวโคมพับขึ้นรูปด้วยแผ่นเหล็กชิ้นเดียวตลอด หรือประกอบส่วนหัวท้ายด้วยการเชื่อมเป็นจุด หรือใช้สลักย้ำ เป็นการใช้แผ่นเหล็ก 9 ชิ้นประกอบขึ้นรูปแทน โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ได้ทำให้วงเงินที่ได้รับอนุมัติเพิ่มขึ้น และผลตอบแทนของโครงการไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด
2. เห็นชอบให้ พพ. ทำการปรับลดราคาโคมไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงแบบติดเพดานหรือติดลอยที่อาคารได้ทำสัญญาจ้างไปแล้ว โดยลดราคาลงเป็น ดังนี้
(1) โคม 1 x 18 วัตต์ ลด 10 บาทต่อโคม
(2) โคม 2 x 18 วัตต์ ลด 12 บาทต่อโคม
(3) โคม 1 x 36 วัตต์ ลด 7 บาทต่อโคม
(4) โคม 2 x 36 วัตต์ ลด 9 บาทต่อโคม
กอ. ครั้งที่ 41 - วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2548
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41)
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม 2548 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
2. คำสั่งแต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
3. ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
5. การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง
6. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
7. การยื่นแบบและรับชำระภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ผู้เข้าร่วมประชุม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานงบการเงินที่กรมบัญชีกลางได้ส่งให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 ซึ่งมีหนี้สินและส่วนของทุน รวมทั้งสิ้น 10,599 ล้านบาท และรายงานการรับ-จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 - 30 มิถุนายน 2548 โดยมีเงินคงเหลือ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 รวมทั้งสิ้น 7,827 ล้านบาท
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 คำสั่งแต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน"
ฝ่ายเลขานุการฯ แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกคำสั่งคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ที่ 1/2547 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2547 และเห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" ขึ้นแทน เพื่อทำหน้าที่ ในการพิจารณาหรือปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ มอบหมาย โดยประธานคณะกรรมการกองทุนฯ (นายวิษณุ เครืองาม) ได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกองทุนฯ เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2548 โดยองค์ประกอบ "คณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน" มีดังนี้
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน | ประธานอนุกรรมการ |
2. ปลัดกระทรวงพลังงาน | อนุกรรมการ |
3. อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน | อนุกรรมการ |
4. ผู้แทนกรมบัญชีกลาง | อนุกรรมการ |
5. ผู้แทนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย | อนุกรรมการ |
6. นายปิยะวัติ บุญ-หลง | อนุกรรมการ |
7. นายพรายพล คุ้มทรัพย์ | อนุกรรมการ |
8. ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | อนุกรรมการและเลขานุการ |
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 ผลการประชุมคณะอนุกรรมการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน
ฝ่ายเลขานุการฯ คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้ประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 ช่วงปี 2543 - 2547 และได้นำผลการประเมิน ไปจัดสัมมนาระดมความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว และเห็นควรเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบความเห็นและข้อเสนอของคณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ดังต่อไปนี้
1. การพัฒนาพลังงานทดแทน
การติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้า ไม่คุ้มค่าเชิงพาณิชย์ จึงควรสนับสนุน เป็นทางเลือกสุดท้าย ยกเว้นโครงการเพื่อการศึกษาวิจัยที่มีจุดประสงค์ชัดเจนเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านพลังงานทดแทน
ควรมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ให้เกิดเอกภาพในการดำเนินการพัฒนาพลังงานทดแทน
การพัฒนาพลังงานทดแทนที่สำคัญและเร่งด่วน ควรเน้น 4 เรื่อง ได้แก่ Gasohol NGV Biodiesel และกังหันลมขนาดใหญ่
2. การประหยัดพลังงาน
ควรดำเนินการให้มีการกำหนดค่ามาตรฐานการประหยัดพลังงานในอาคารมีผลในทางปฏิบัติ
การเก็บภาษีรถยนต์ ควรพิจารณาจากเกณฑ์การประหยัดพลังงาน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการอนุรักษ์พลังงาน
3. การวิจัยและพัฒนา
ควรส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในโครงการที่มีความเสี่ยงน้อย มีศักยภาพ และมีผลกระทบสูง
งานศึกษาวิจัยและพัฒนา ต้องมีการศึกษาวิจัยเชิงนโยบายก่อน เพื่อให้สามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างสอดคล้องชัดเจน
4. การพัฒนาบุคลากร
งบประมาณในการพัฒนาบุคลากรมีวงเงินสูง จึงควรกำหนดคุณสมบัติของผู้รับเงินสนับสนุนให้เป็นไปอย่างเหมาะสม
5. การบริหารงานกองทุนฯ
การกำหนดเป้าหมายของแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 ควรให้มีการปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
เป้าหมายของโครงการที่ขอรับการสนับสนุน ควรระบุได้ชัดเจนว่าสามารถตอบสนองต่อเป้าหมายของแผนอนุรักษ์ฯ ได้อย่างไร
ควรกำหนดเกณฑ์ความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ของโครงการให้ชัดเจนเหมาะสม เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกโครงการ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบผลการประเมินฯ โดยที่ประชุมได้มีข้อสังเกต ดังนี้
1. การติดตั้งเซลล์แสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้ายังคงเป็นทางเลือกในการใช้พลังงาน เพราะยังมีความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งความความมั่นคง ซึ่งควรแยกให้ละเอียดว่า เหมาะสมกับระดับไหน และไม่เหมาะสมระดับไหน นอกจากนี้ การสรุปผลควรคำนึงถึงการให้กำลังใจกับภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานในประเทศไทย เพื่อจะได้มีความต่อเนื่องในระยะยาวด้วย
2. การส่งเสริมบุคลากร โดยการให้ทุนเรียนทั้งในและต่างประเทศ ควรมีการกำหนดคุณสมบัติ ให้เหมาะสมและรัดกุม ไม่ควรให้ความสำคัญอันดับแรกกับหน่วยงาน ซึ่งอาจจะได้บุคคลที่ไม่เหมาะสม
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอที่ประชุมพิจารณางบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2549 ของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ตามลำดับดังนี้
1. สถานภาพของกองทุนฯ ประมาณการ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 สรุปได้ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
ยอดเงินคงเหลือยกมา ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2547 | 9,856.20 |
บวก ประมาณการรายรับ ถึงเดือน 30 กันยายน 2548 บวก ประมาณการรายรับ จากเงินทุนหมุนเวียน |
2,103.66 240.00 |
รวมเป็นเงิน (ก่อนหักรายจ่าย) | 12,199.71 |
หัก รายจ่าย ณ เดือน 30 กันยายน 2548 | 4,749.57 |
|
|
รวมเงินคงเหลือในบัญชี ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 | 7,350.18 |
บวก เงินสดในมือ (สนพ. 583 +พพ. 610) | 1,193.00 |
รวมเงินคงเหลือทั้งสิ้น ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 | 8,543.18 |
รายได้ รอรับคืน (เงินหมุนเวียน 2 ระยะ และ NGV ราชการ) | 3,820.00 |
รายจ่าย ค้างจ่าย (ผูกพันตามแผนงานฯ ปี 2538-2539) | 8,860.00 |
2. รายจ่ายผูกพันตามแผนฯ ปี 2538-2548 จำแนกตามแผนงาน ได้ดังนี้
หน่วย: ล้านบาท
ปีงบประมาณ | 2549 | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
แผนงานภาคบังคับ | 980 | 980 | 980 | - | - | - | 2,940 |
แผนงานสนับสนุน | 272 | 137 | 137 | - | - | - | 546 |
แผนงานภาคความร่วมมือ | 1,383 | 403 | 496 | 194 | 56 | 5 | 2,537 |
รวมผูกพันจากปี 38-47 | 2,635 | 1,520 | 1,613 | 194 | 56 | 5 | 6,023 |
แผนพลังงานทดแทน | 285 | - | - | - | - | - | 285 |
แผนเพิ่มประสิทธิภาพ | 435 | - | - | - | - | - | 435 |
แผนบริหารทางกลยุทธ์ | 218 | - | - | - | - | - | 218 |
เงินทุนหมุนเวียนระยะที่ 2 | 800 | 600 | 600 | - | - | - | 2,000 |
รวมผูกพันปี 48 | 937 | - | - | - | - | - | 937 |
รวมผูกพันทั้งสิ้น | 4,272 | 2,120 | 2,213 | 194 | 56 | 5 | 8,860 |
3. นโยบายการจัดสรรเงินกองทุนฯ ตามที่ คณะกรรมการกองทุนฯ (กทอ.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 และ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2547 โดยให้ กทอ. สามารถพิจารณาจัดสรรเงินกองทุนฯ ส่วนที่เกินจากประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า (ในวงเงิน 1,300 ล้านบาท) ได้ในวงเงิน 700 ล้านบาท (ตามระดับรายรับต่อปีของกองทุนฯ) หรือมากกว่านั้น สามารถสรุปได้ดังนี้
วัตถุประสงค์ของการจัดทำนโยบายการจัดสรรเงินกองทุนฯ
เพื่อควบคุมการใช้จ่ายเงินไม่สูงกว่ารายรับที่มีอยู่ โดยรายได้เฉลี่ยกองทุนฯ ประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี และเดิมกองทุนฯ มีรายจ่ายเฉลี่ย 1,847 ล้านบาท/ปี จึงมีการกำหนดขอบเขตการใช้จ่ายประมาณ 70% ของรายจ่ายเฉลี่ยเดิม หรือ 1,300 ล้านบาท เพื่อให้มีจำนวนเงินคงเหลือไว้ดำเนินการหากรัฐบาลมีนโยบายเพิ่มเติมในปีนั้นๆ ให้สามารถเพิ่มเติมรายจ่ายรายปีเกิน 1,300 ล้านบาท ได้ในวงเงิน 700 ล้านบาท หรือมากกว่านั้น ตามความจำเป็นและความเหมาะสม
เพื่อกำหนดทิศทางการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์และเป้าหมายของรัฐบาล โดยกำหนดสัดส่วนวงเงินใช้จ่ายในแต่ละแผนงานเป็นการจัดสรร ซึ่ง ณ ปี 2548 เน้นที่การพัฒนาพลังงานทดแทน 50% เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 35% และงานบริหารทางกลยุทธ์ 15%
โดย กพช. กำหนดให้ กทอ. มีอำนาจปรับปรุงแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข ลำดับความสำคัญ และการจัดสรรเงินตามแผนงานต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
4. การจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2548 ได้มีการจัดสรรทั้งสิ้น 4 ครั้ง รวมเป็นวงเงิน 1,901.49 ล้านบาท ตามรายละเอียดดังนี้
แผนงาน | กรอบเงิน | ร้อยละ | อนุมัติ | ร้อยละ |
1. แผนพลังงานทดแทน | 650.00 | 50.00 | 586.50 | 30.80 |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 422.00 | 65.00 | 230.00 | 39.20 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 130.00 | 20.00 | 239.00 | 40.80 |
1.3 งานพัฒนาบุคลกรและประชาสัมพันธ์ | 65.00 | 10.00 | 85.00 | 14.50 |
1.4 งานบริหารแผนงาน (พพ.) | 33.00 | 5.00 | 32.5 | 5.50 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | 455.00 | 35.00 | 869.92 | 45.70 |
2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 137.00 | 30.00 | 28.00 | 3.20 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 205.00 | 45.00 | 547.20 | 62.90 |
2.3 งานพัฒนาบุคลกรและประชาสัมพันธ์ | 91.00 | 20.00 | 147.22 | 16.90 |
PR เพิ่มเติม (Kick-off, ลดผลกระทบราคาน้ำมัน) | - | 125.00 | 14.40 | |
2.4 งานบริหารแผนงาน (พพ.) | 22.00 | 5.00 | 22.50 | 2.60 |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 195.00 | 15.00 | 445.07 | 23.40 |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 65.00 | 33.00 | 250.50 | 56.30 |
3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ.+บก.) | 65.00 | 33.00 | 62.57 | 14.10 |
3.3 งานอื่นๆ (บรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมัน) | 65.00 | 34.00 | 132.00 | 29.70 |
รวมงบประมาณปี 2548 | 1,300 | 100 | 1,901.49 | 100 |
* * โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงานเดียวกันได้
การจัดสรรเงินกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2548 ไม่เป็นไปตามกรอบจัดสรรนั้น เนื่องมาจากกรอบนโยบายเดิมมุ่งเน้นสร้างงานวิจัยด้านพลังงานเพื่อเป็นองค์ความรู้ เมื่อนำกรอบมาปฏิบัติในปีงบประมาณ 2548 พบว่า สัดส่วนการจัดสรรเงินกองทุนฯ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมดังตารางข้างต้น เนื่องจาก ปี 2548 ประเทศไทยประสบปัญหาวิกฤตด้านราคาน้ำมัน จึงต้องเน้นการแก้ปัญหาระยะสั้น ทำให้งานด้านการลดใช้พลังงานของประเทศ เป็นงานสำคัญเร่งด่วน โดยคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้เห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศและได้กำหนดให้การประหยัดการใช้พลังงานและการใช้ไฟฟ้า เป็นวาระแห่งชาติ
5. แผนอนุรักษ์พลังงานปี 2549
ในปี 2549 ประเทศยังประสบปัญหาวิกฤตด้านราคาน้ำมันอยู่ ทำให้การดำเนินงานในปีงบประมาณ 2549 ยังเน้นที่การแก้ไขปัญหาระยะสั้น คือ การเน้นงานเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ดังนั้นกรอบแผนงาน/โครงการ ในปี 2549 สรุปได้ดังนี้
5.1 เพิ่มประสิทธิภาพ ภาคขนส่ง (สนพ.) 40 ล้านบาท
ลดปัญหาจราจร และ Taxi วิ่งเที่ยวเปล่า (10 ล้านบาท)
ร่วมมือกับ กทม. จัดจุดจอด Taxi และระบบรับส่ง ผู้โดยสารในศูนย์การค้า โรงพยาบาล หน่วยราชการ
Park & ride (30 ล้านบาท)
ลดปริมาณรถเข้าเมือง โดยสร้าง Park & ride ชานเมือง (รถบุคคล / car pool รถโรงเรียน/รถหมู่บ้าน) นำร่อง 1 แห่ง พร้อมจัดระบบ Feeder
ปรับปรุง Park & ride ที่บางซื่อ เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อ รถขนส่งสาธารณะต่างจังหวัด และรถขนส่งพนักงานองค์กรขนาดใหญ่ กับระบบขนส่งสายหลัก
5.2 เพิ่มประสิทธิภาพ อุตสาหกรรม/อาคาร/บ้านอยู่อาศัย (พพ.) 653 ล้านบาท
การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม (313 ล้านบาท)
สิทธิประโยชน์ทางภาษี
Tax Incentive (100 ล้านบาท)
สิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้จากกรมสรรพากร (100 ล้านบาท)
สนับสนุนการดำเนินงานตาม พรบ. (50 ล้านบาท)
การบริหารงานโครงการเงินทุนหมุนเวียน (10 ล้านบาท)
ศึกษาเกณฑ์การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมและอาคารต่างๆ (SEC) (40 ล้านบาท)
การศึกษาจัดทำแผนการส่งเสริมเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (3.5 ล้านบาท)
การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ทดสอบวัสดุอุปกรณ์เพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (6.5 ล้านบาท)
ศึกษาจัดทำเกณฑ์การสนับสนุนและดำเนินการส่งเสริมการจำหน่ายเครื่องปรับอากาศและตู้เย็น Premium เบอร์ 5 (10 ล้านบาท)
นำร่องปรับปรุงบ้านพักอาศัยเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน (20 ล้านบาท)
5.3 ใช้พลังงานทดแทน 497.14 ล้านบาท
5.3.1 ส่วนของ พพ. 492.1 ล้านบาท
ส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวมวล/ชีวภาพ 60.5 ล้านบาท
ส่งเสริมก๊าซชีวภาพในโรงงานอุตสาหกรรม (15 ล้านบาท)
ส่งเสริมก๊าซชีวภาพจากขยะระดับชุมชน (30 ล้านบาท)
พัฒนา/สาธิตระบบผลิตพลังงานจากชีวมวลชุมชน (7 ล้านบาท)
พัฒนาเตาเผาก๊าซชีวมวลในอุตสาหกรรมเซรามิค (1.5 ล้านบาท)
ศึกษาเทคโนโลยีการผลิตก๊าซเชื้อเพลิงถ่านหิน (7 ล้านบาท)
ส่งเสริมพลังงานแสงอาทิตย์ / ลม 60 ล้านบาท
พัฒนาเซลแสงแดดสู่ความเป็นเลิศ (30 ล้านบาท)
พัฒนามาตรฐานและทดสอบระบบเซลแสงอาทิตย์ (30 ล้านบาท)
ส่งเสริมเชื้อเพลิง ไบโอดีเซล/เอทานอล 95.64 ล้านบาท
ส่งเสริมไบโอดีเซลชุมชน (51 ล้านบาท)
ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลใน กทม. และ เชียงใหม่ (30 ล้านบาท)
กำหนดคุณสมบัติแก๊สโซฮอล์ที่เหมาะสมหลังปี 2550 (6.4 ล้านบาท)
วงจรชีวิตการผลิตและใช้เอทานอลจากมันสำปะหลังและอ้อย (8.24 ล้านบาท)
ส่งเสริมพลังงานทดแทนอื่นๆ 276 ล้านบาท
ฐานข้อมูลการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนใน SME (5 ล้านบาท)
สาธิตเซลเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า SOFC (25 ล้านบาท)
สาธิตผลิตไฮโดรเจนจากขบวนการความร้อนทางเคมี (6 ล้านบาท)
พัฒนาระบบติดตาม / สำรวจการใช้พลังงานทดแทน (15 ล้านบาท)
พัฒนาศูนย์รวมองค์ความรู้พลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (19 ล้านบาท)
ปรับปรุงระเบียบเพื่อการพัฒนาการผลิตการใช้พลังงาน (2 ล้านบาท)
ประเมินศักยภาพแหล่งน้ำพุร้อนในประเทศไทย (4 ล้านบาท)
วิจัยพัฒนาการใช้ Vanadium แบตเตอรี่ -พพ. (200 ล้านบาท)
5.3.2 ส่วนของ สนพ. 5 ล้านบาท
ส่งเสริมพลังงานทดแทนอื่นๆ 5 ล้านบาท
ติดตามประเมินผล วิจัยพัฒนาการใช้ Vanadium -สนพ. (5 ล้านบาท)
5.4 ใช้เชื้อเพลิงทางเลือก (สนพ.) 40.5 ล้านบาท
ส่งเสริมการใช้ NGV ด้วยระบบสินเชื่อ (22 ล้านบาท)
เรือประมงเล็ก 100 ลำ และรถส่วนบุคคล 10,000 คัน
สร้างความเชื่อมั่น NGV กับเครื่องยนต์ดีเซลโดยทดสอบชุด Kit แต่ละเทคโนโลยีกับเครื่องยนต์แต่ละประเภทของรถปิคอัพและรถตู้ (10 ล้านบาท)
พัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพในภาคเหนือ (โครงการต่อเนื่องปี 2) (8.5 ล้านบาท)
5.5 การดำเนินการเชิงนโยบาย (สนพ.) 34 ล้านบาท
ศึกษา/จัดทำ/ปรับปรุงนโยบายให้สอดคล้องสถานการณ์พลังงานโลก (20 ล้านบาท)
ศึกษานโยบาย เทคโนโลยีด้านพลังงานและด้านทางการจัดการปัญหาราคาน้ำมันของประเทศที่ประสบความสำเร็จ เพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย
บูรณาการแผนพลังงานกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด (24 ล้านบาท)
5.6 รณรงค์การเปลี่ยนพฤติกรรมให้ประหยัดพลังงาน(สนพ.) 127 ล้านบาท
กระทรวงพลังงานจับมือพันธมิตร (50 ล้านบาท)
อสมท. กระทรวงวัฒนธรรม อาชีวศึกษา (Fix it Center) กระทรวงศึกษาธิการ (ต่อยอด MOU) กระทรวงคมนาคม บริษัทไปรษณีย์ไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
Energy Fantasia ระยะที่ 2 (30 ล้านบาท)
บ้านประหยัดพลังงานร่วมกับธุรกิจบ้านจัดสรร (25 ล้านบาท)
PR ตามสถานการณ์ + ผลิตสื่อสนับสนุนอื่นๆ + ประเมินผล (22 ล้านบาท)
5.7 รณรงค์การใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน (สนพ.) 45 ล้านบาท
สร้างความรู้ความเข้าใจการใช้ NGV (15 ล้านบาท)
เผยแพร่ความสำเร็จของการใช้พลังงานทดแทน (30 ล้านบาท)
5.8 การสร้างทรัพยากรบุคลากรด้านพลังงาน (สนพ.) 104 ล้านบาท
ให้ทุนการศึกษาใน+ต่างประเทศ (ข้าราชการ) ระดับ ตรี-โท-เอก
ให้ทุนวิจัย ทุนดูงาน/ฝึกอบรม (หน่วยงานต่างๆ)
อบรมข้าราชการไทย ลดใช้พลังงาน
อบรมอาชีวศึกษา Fix it center
อบรมบุคลากรเรื่องบูรณาการการเรียนการสอนด้านพลังงานระดับประถมและมัธยมศึกษา
5.9 พัฒนาบุคลากรด้านพลังงาน (พพ.) 54.55 ล้านบาท
พัฒนาหลักสูตรอนุรักษ์พลังงาน/พลังงานทดแทน (10 ล้านบาท)
เอกสารเผยแพร่การอนุรักษ์พลังงาน (0.8 ล้าน)
อบรมและพัฒนาคุณภาพผู้รับผิดชอบด้านพลังงาน (23.25 ล้านบาท)
อบรมเทคนิคพลังงานสำหรับราชการ (3 ล้านบาท)
จัดทำโปรแกรมจำลอง Mini Plant (3.5 ล้านบาท)
เผยแพร่เทคโนโลยีของอาคารอนุรักษ์พลังงานเฉลิมพระเกียรติ (3 ล้านบาท)
อบรม/ดูงาน/ประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (7 ล้านบาท)
อบรมสร้างจิตสำนึก การใช้พลังงานอาคารราชการ (4 ล้านบาท)
5.10 ประชาสัมพันธ์ (พพ.) 103.8 ล้านบาท
Feedback Report สำหรับโรงงาน/อาคารควบคุม (5 ล้านบาท)
รายงานสถานภาพการใช้พลังงานและผลการดำเนินงาน ของ พพ. (3.5 ล้านบาท)
ประกวดโรงงาน/อาคาร/บุคลากรด้านพลังงาน (9 ล้านบาท)
จัดกิจกรรมอนุรักษ์พลังงาน (9.5 ล้านบาท)
ประชาสัมพันธ์อนุรักษ์พลังงาน (10 ล้านบาท)
ศูนย์ปรึกษาการประหยัดพลังงาน (8 ล้านบาท)
พัฒนาหน่วยลูกค้าสัมพันธ์ (15 ล้านบาท)
ประชาสัมพันธ์พลังงานทดแทน (25 ล้านบาท)
เผยแพร่การอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (10 ล้านบาท)
ค่าสมาชิกเว็บไซต์ (0.3 ล้านบาท)
จัดทำแผนและบริหารงานวิชาการด้านเพิ่มประสิทธิภาพและพลังงานทดแทน (8.5 ล้านบาท)
5.11 งานบริหารจัดการ/บริหารแผนงาน 126.63 ล้านบาท
พพ. (55 ล้านบาท)
สนพ. (68.5 ล้านบาท)
บก. (3.13 ล้านบาท)
6. ผลประโยชน์ที่จะได้รับถึงปี 2549
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (ขนส่ง อุตสาหกรรม บ้าน) 2,975 ktoe คิดเป็นมูลค่าประมาณ 47,600 ล้านบาท
ใช้พลังงานหมุนเวียน (เอทานอล ชีวมวล ฯลฯ) 1,402 ktoe ใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 2,258 ktoe ทดแทนการนำเข้าพลังงาน 58,560 ล้านบาท
7. สรุปงบประมาณการรายจ่ายตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ประจำปี 2549
หน่วย : ล้านบาท
แผนงาน | สนพ. | พพ. | บก. | รวม* | ร้อยละ |
1. แผนพลังงานทดแทน | 100.00 | 579.44 | 0.00 | 679.44 | 36.80 |
1.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 5.00 | 260.00 | 0.00 | 265.00 | 39.00 |
1.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 0.00 | 232.14 | 0.00 | 232.14 | 34.17 |
1.3 งานพัฒนาบุคลากร | 50.00 | 11.00 | 0.00 | 61.00 | 8.98 |
และประชาสัมพันธ์ | 45.00 | 43.80 | 0.00 | 88.80 | 13.07 |
1.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) ** | 0.00 | 32.50 | 0.00 | 32.50 | 4.78 |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน | 191.00 | 779.05 | 0.00 | 970.05 | 52.55 |
2.1 งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 0.00 | 60.00 | 0.00 | 60.00 | 6.19 |
2.2 งานส่งเสริมและสาธิต | 0.00 | 593.00 | 0.00 | 593.00 | 61.13 |
2.3 งานพัฒนาบุคลากร | 54.00 | 43.55 | 0.00 | 97.55 | 10.06 |
และประชาสัมพันธ์ | 137.00 | 60.00 | 0.00 | 197.00 | 20.30 |
2.4 งานบริหารจัดการ (พพ.) | 0.00 | 22.50 | 0.00 | 22.50 | 2.32 |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | 193.50 | 0.00 | 3.13 | 196.63 | 10.65 |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 125.00 | 0.00 | 0.00 | 125.00 | 63.57 |
3.2 งานบริหารจัดการ (สนพ.+บก.) ** | 68.50 | 0.00 | 3.13 | 71.63 | 36.43 |
3.3 งานอื่นๆ | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 | 0.00 |
รวมงบประมาณปี 2549 | 484.50 | 1,358.49 | 3.13 | 1,846.12 | 100.00 |
หมายเหตุ :
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
** ให้มีผลบังคับใช้และสามารถเบิกจ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมพิจารณากลั่นกรองแผนงานปี 2549 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 ในโครงการ Vanadium Battery วงเงินงบประมาณ 205 ล้านบาทนั้น บัดนี้ พพ. ยังไม่สามารถลงนามในข้อผูกพันกับ สวทช. ได้ทันในปีงบประมาณ 2548 ซึ่งปัญหาเกิดจากขั้นตอน การเจรจาตกลงเรื่องสิทธิประโยชน์ ดังนั้น ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอขอคณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติใช้เงินปีงบประมาณ 2549 แทน โดยมีเงื่อนไขคือ หาก พพ.ไม่สามารถตกลงและลงนามในสัญญากับ สวทช.ได้ทันภายในเดือนธันวาคม 2548 ก็เห็นควรยกเลิกการสนับสนุนโครงการนี้ ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบในเงื่อนไขที่นำเสนอ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงินรวม 479,500,000 บาท (สี่ร้อยเจ็ดสิบเก้าล้านห้าแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ โดยแยกรายจ่ายตามแผน/งาน ได้ดังนี้
1. แผนพลังงานทดแทน | |
1.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 95,000,000 บาท |
2. แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน | |
2.1 งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 191,000,000 บาท |
3. แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ | |
3.1 งานศึกษาเชิงนโยบายและวิชาการ | 125,000,000 บาท |
3.2 งานบริหารจัดการ | 68,500,000 บาท |
รวมทั้งสิ้น | 479,500,000 บาท |
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ สำหรับรายจ่ายงานบริหารจัดการ ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดยให้ สนพ. สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ พพ. ในวงเงินรวม 1,158,490,000 บาท (หนึ่งพันหนึ่งร้อยห้าสิบแปดล้านสี่แสนเก้าหมื่นบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปีงบประมาณ 2549 ในส่วนที่ พพ. รับผิดชอบ โดยแยกรายจ่ายตามแผน/งาน ได้ดังนี้
งาน | แผนพลังงานทดแทน | แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน |
งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค | 60,000,000 บาท | 60,000,000 บาท |
งานส่งเสริมและสาธิต | 232,140,000 บาท | 593,000,000 บาท |
งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ | 54,800,000 บาท | 103,550,000 บาท |
งานบริหารแผนงาน | 32,500,000 บาท | 22,500,000 บาท |
รวมทั้งสิ้น | 379,440,000 บาท | 779,050,000 บาท |
* โดยให้สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในแผนงาน/งานเดียวกัน ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
ทั้งนี้ สำหรับรายจ่ายงานบริหารแผนงานพลังงานทดแทน และงานบริหารแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดย พพ. สามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนงานบริหารทางกลยุทธ์ งานบริหารจัดการ ให้กรมบัญชีกลาง ในวงเงินรวม 3,130,000 บาท (สามล้านหนึ่งแสนสามหมื่นบาทถ้วน) ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม 2548 โดยกรมบัญชีกลางสามารถถัวจ่ายและเปลี่ยนแปลงรายการในหมวดต่างๆ ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม
4. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ในวงเงินรวม 200 ล้านบาท (สองร้อยล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ หากไม่สามารถดำเนินการได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2548 ก็ให้ยกเลิกการสนับสนุนโครงการนี้
5. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ สนพ. ในวงเงิน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการติดตามประเมินผล โครงการต้นแบบการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี Vanadium Redox Flow สำหรับการลดภาระกำลังไฟฟ้าสูงสุด การผลิตไฟฟ้าผสมผสานขนาดเล็ก รถประจำทางไฟฟ้า และเซลล์เชื้อเพลิงคาร์โบไฮเดรท" ทั้งนี้ หาก พพ. ไม่สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2548 ก็ให้ยกเลิกรายจ่ายโครงการนี้
เรื่องที่ 5 การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนของกรมบัญชีกลาง
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กระทรวงการคลังจะมีคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียนเข้ามาประเมินผลกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยเริ่มตั้งแต่ ปีบัญชี 2549 เป็นต้นไป โดยเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2548 กรมบัญชีกลาง และ สนพ. ได้ประชุมหารือกรอบแนวทาง วิธีการ และขั้นตอนในการจัดทำร่างบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ซึ่งมีหลายหน่วยงานที่มี ส่วนเกี่ยวข้องในการใช้จ่ายเงินจากกองทุนฯ แล้ว และเห็นควรจัดตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" และให้ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ รายงานเรื่องดังกล่าว ให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบด้วย
2. เพื่อให้การจัดทำวิสัยทัศน์ ภารกิจหลัก และวัตถุประสงค์หลักของกองทุนฯ รวมทั้งการจัดทำเกณฑ์วัดผลการดำเนินงาน ตัวชี้วัด และเป้าหมายในการดำเนินงานของกองทุนฯ ตอบสนองต่อการดำเนินงานของกองทุนฯ และเป็นไปตามข้อกำหนดในการจัดทำบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเห็นควรให้มีการแต่งตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" เพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว โดยมีปลัดกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะทำงาน และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการใช้เงินกองทุนฯ เป็นคณะทำงาน และผู้แทนสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เป็นคณะทำงานและเลขานุการ
มติที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แต่งตั้ง "คณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน" ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้แต่งตั้ง นายพรายพล คุ้มทรัพย์ และ นายอัศวิน คงสิริ เป็นคณะทำงานในชุดดังกล่าวด้วย
2. เมื่อคณะทำงานเตรียมการเพื่อดำเนินการตามระบบประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ดำเนินการยกร่างบันทึกข้อตกลงประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบก่อนเสนอประธานกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
เรื่องที่ 6 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัดการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) เพื่อเป็นทางออกให้กับประเทศในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชนที่มีภาระในการใช้น้ำมันในราคาสูงเนื่องจากก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงที่สามารถใช้ทดแทนน้ำมันได้ทั้งหมด ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศสูง ในขณะที่เชื้อเพลิงชีวภาพเป็นการทดแทนเพียงบางส่วนเท่านั้น ประมาณ 10% อีกทั้งระยะเวลาในการจัดหา และเตรียมเชื้อเพลิงสั้นกว่า เนื่องจากไม่ต้องรอระยะเวลาในการปลูกพืช ดังนั้น มาตรการหลักที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาทั้งในภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการขนส่งทางบก ทางรถไฟ ทางน้ำ เป็นต้น ซึ่งจากนโยบายดังกล่าว รัฐจึงได้ขยายเป้าหมาย การส่งเสริม NGV มาเป็นลำดับดังนี้
เป้าหมาย | มติ ครม. 6 ม.ค.48 |
มติ ครม. 17 พ.ค. 48 |
29 ก.ย. 48 (รอนำเสนอ ครม. ) |
สถานี NG (แห่ง) | 180 | 240 | 740 |
รถยนต์ (คัน) | 61,000 | 180,000 | 500,000 |
2. รัฐบาลมอบหมายให้ ปตท. เป็นหน่วยงานหลักในการทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการให้นโยบายที่กำหนดไว้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็วที่สุด ซึ่งทำให้ ปตท. มีภาระทางการเงินอย่างสูงในการลงทุน ทั้งด้านการสร้างสถานีบริการ การจัดซื้ออุปกรณ์ การสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาใช้ก๊าซธรรมชาติ เช่น รถ Taxi รถยนต์ส่วนบุคคล รถเมล์ รถบรรทุก รถขยะ เรือประมง รถไฟ ภาคอุตสาหกรรม District cooling CHP ในอุตสาหกรรม เป็นต้น ดังนั้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ ปตท. สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายที่ขยายตัวไปอย่างมาก ปตท. จึงขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ ในรูปเงินยืมเพื่อนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียน สร้างแรงจูงใจ ให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาติดตั้งอุปกรณ์ โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้
วงเงินทุนหมุนเวียน | 7,000 ล้านบาท โดยมีแหล่งเงินสนับสนุนจาก - ปตท. 5,000 ล้านบาท - กองทุนฯ 2,000 ล้านบาท |
วัตถุประสงค์ | เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนให้เจ้าของยานยนต์ใช้ในการดัดแปลง และ/หรือติดตั้งชุด Kit NGV รวมถึงค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มในการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ |
การเรียกเก็บคืน | เพิ่มจากราคาจำหน่าย NGV 5 บาท/กก. โดยมีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เทียบเท่าธนาคารอื่นๆ ที่ให้สินเชื่อ NGV |
ระยะเวลาเก็บคืน | เฉลี่ย 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทรถ การดัดแปลง และระยะการใช้งาน |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ให้ ปตท. ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และ อัตราดอกเบี้ย เป็นต้น
2. เมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าวและได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
เรื่องที่ 7 การยื่นแบบและรับชำระภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า กรมสรรพสามิตแจ้งว่าเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบอุตสาหกรรมน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันในการชำระภาษีสรรพสามิต กรมจึงมีนโยบายที่จะเพิ่มวิธีการนำส่งเงินค่าภาษีและการนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน โดยจะให้ผู้เสียภาษีสามารถชำระค่าภาษีผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและสามารถโอนเงินเข้าบัญชีกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานโดยโอนผ่านทางธนาคารพาณิชย์ของรัฐหรือธนาคารพาณิชย์อื่นด้วยระบบอัตโนมัติ (Automatic Sweep) จึงขอให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับวิธีการยื่นแบบและชำระภาษีสรรพสามิตประเภทสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตของผู้มีหน้าที่ เสียภาษี ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะทำให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้รับเงินเข้ากองทุนเร็วขึ้น (ภายในวันเดียวกันกับวันที่ผู้ประกอบการชำระเงิน) จากเดิมที่กองทุนจะได้รับเงินที่นำเข้าบัญชีโดยกรมสรรพสามิต ในวันที่ 2 นับจากวันที่ผู้ประกอบการน้ำมันนำเงินมาชำระ
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้กรมบัญชีกลาง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐที่ได้รับมอบหมายจากกรมสรรพสามิตให้เป็นผู้ดำเนินโครงการรับชำระภาษีน้ำมันผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
2. มอบอำนาจให้กรมบัญชีกลาง (กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน) เข้าไปดูยอดเงินฝากจากบัญชีเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ฝากไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นผู้ดำเนินการโครงการรับชำระภาษีผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
3. มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเรื่องการขอเปิดบัญชีกับธนาคารพาณิชย์อื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่เป็นของรัฐเสนอขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินของกองทุน พ.ศ. 2537 ข้อ 6
กอ. ครั้งที่ 42 - วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2549
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 42)
วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2549 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
3. โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
4. ข้อเสนอขอปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
5. ขออนุมัติโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 2 โครงการ
7. โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน
8. ขออนุมัติโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบรับรองงบการเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2547 และ 2546 เรียบร้อยแล้ว โดย สตง. มีข้อสังเกตว่าสินทรัพย์ถาวรที่จัดซื้อจากเงินกองทุนฯ ยังไม่ได้บันทึกเป็นสินทรัพย์ของส่วนราชการที่จัดซื้อ ซึ่งไม่เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานว่าด้วยการเก็บรักษาเงินและทรัพย์สิน และการเบิกจ่ายเงินกองทุน พ.ศ. 2537 สตง. ได้เสนอแนะให้กองทุนฯ ประสานงานกับส่วนราชการ (หน่วยผู้เบิก) ให้สำรวจและจัดทำทะเบียนคุมทรัพย์ให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ส่วนราชการดังกล่าวนำไปบันทึกเป็นสินทรัพย์ ในบัญชีชุดส่วนราชการต่อไป
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการกองทุนฯ ได้แจ้งให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและกรมบัญชีกลางทราบและถือปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ สตง. โดยเคร่งครัดต่อไปแล้ว
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะอนุกรรมการประเมินผลฯ ได้เห็นชอบการปรับเปลี่ยนแนวทางในการติดตามประเมินผลใหม่ โดยการประเมินผลแผนอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 3 (2548 - 2554) จะใช้แนวทางการติดตามและประเมินผลแบบมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นการประเมินที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับเจ้าของโครงการ ผู้ร่วมโครงการและผู้ประเมินผลได้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการประเมิน และเป็นการประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่องทั้งโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (Ongoing Evaluation) และโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว (Post Evaluation) ซึ่งจะทำให้สามารถนำผลการประเมินไปปรับปรุงการดำเนินโครงการและแผนงานได้อย่างทันท่วงที โดยการประเมินผลในระดับแผนงาน จะนำผลการประเมินระดับโครงการมาเป็นข้อมูลวิเคราะห์และประเมินผล โดยจะพิจารณาประเด็น4 ด้าน คือ ด้านพันธกิจ ด้านกลุ่มเป้าหมาย ด้านการบริหารจัดการ และด้านการเรียนรู้และพัฒนา
2. การติดตามประเมินผลปี 2548 เป็นการติดตามประเมินผลโครงการทั้งหมดภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงานระยะที่ 3 ปีงบประมาณ 2548 มีทั้งสิ้น 84 โครงการ งบประมาณรวม 1,571.92 ล้านบาท โดยที่ปรึกษาได้แบ่งกลุ่มโครงการเพื่อการติดตามและประเมินผลออกเป็น 4 กลุ่มเพื่อให้สอดคล้องตามดัชนีชี้วัดของโครงการ ดังนี้
2.1 โครงการภายใต้แผนงานพลังงานทดแทน (กลุ่มงานวิจัยและสาธิต)
2.2 โครงการภายใต้แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (กลุ่มงานวิจัยและสาธิต)
2.3 โครงการภายใต้แผนงานบริหารเชิงกลยุทธ์
2.4 โครงการกลุ่มประชาสัมพันธ์และบุคลากรภายใต้แผนงานพลังงานทดแทนและแผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
3. สรุปผลการติดตามประเมินผล : การดำเนินงานติดตามและประเมินผลที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปด้วยดี โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2549 สถานะการประเมินผลโครงการมีรายระเอียดดังนี้คือ
โครงการอยู่ระหว่างขอข้อมูลโครงการ จำนวน 1 โครงการ
โครงการอยู่ระหว่างการพัฒนาดัชนีชี้วัดรายโครงการ จำนวน 13 โครงการ
โครงการที่สรุปดัชนีชี้วัด และกำลังพัฒนาเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 47 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 18 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูล จำนวน 1 โครงการ
อยู่ในขั้นตอนการสรุปผลการประเมิน และจัดทำข้อเสนอแนะ จำนวน 4 โครงการ
โดยคาดว่าจะสามารถสรุปผลการประเมินโครงการและแผนงานทั้งหมดภายในเดือนพฤษภาคม 2549 นี้
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 โครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2548 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ได้พิจารณาโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เสนอ และได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ จำนวน 2,000 ล้านบาท จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ให้ ปตท. เพื่อนำไปใช้ในโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV โดยมีเงื่อนไขให้ ปตท. จัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอคณะอนุกรรมการฯ พิจารณา เช่น การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ เท่าที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละช่วงเวลา ระยะเวลาการส่งเงินคืนกองทุนฯ และอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น และเมื่อ ปตท. ได้ดำเนินการตามเงื่อนไขดังกล่าว และได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการฯ แล้ว ให้ฝ่ายเลขานุการฯ รายงานผลให้คณะกรรมการกองทุนฯ ทราบ ต่อไป
2. ปตท.ได้เสนอสาระสำคัญและขั้นตอน วิธีการดำเนินโครงการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
2.1 ปตท. จัดตั้งกองทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV เพื่อขยายการใช้ NGV จำนวน 5,000 ล้านบาท และเงินทุนจากกองทุนฯ สมทบกองทุนหมุนเวียนฯ อีกจำนวน 2,000 ล้านบาท ปตท. จะเบิกเงินเป็นรายเดือนตามรายละเอียดการจ่ายจริง
2.2 ปตท. เชิญธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ เข้าร่วมในโครงการให้สินเชื่อแก่เจ้าของยานยนต์ ซึ่งมีความประสงค์ที่จะดัดแปลง และ/หรือ ติดตั้งอุปกรณ์ใช้ NGV โดย ปตท. จะนำเงินเข้าฝากในบัญชีที่ ปตท. เปิดไว้กับแต่ละธนาคารและสถาบันการเงินให้เพียงพอกับวงเงินสินเชื่อที่ธนาคาร/สถาบันการเงินนั้นปล่อยกู้เพื่อโครงการ ฯ
2.3 ปตท. เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อร่วมกับธนาคาร/สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ
2.4 ปตท. จะทำการลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) กับธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่เข้าร่วมโครงการ
2.5 ปตท. โอนเงินไปฝากไว้ในบัญชีให้แต่ละธนาคาร/สถาบันการเงินตามที่ธนาคาร/สถาบันการเงินแจ้งประมาณการปล่อยสินเชื่อ
2.6 ธนาคาร/สถาบันการเงิน จะดำเนินการปล่อยสินเชื่อตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับ ปตท.
2.7 ปตท. จัดทำรายละเอียดการเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ พร้อมทั้งรายงานความก้าวหน้าการปล่อยสินเชื่อโครงการให้แก่ สนพ. ทราบทุกไตรมาส
2.8 ปตท. จะชำระคืนเงินกองทุนฯ เป็นรายไตรมาส พร้อมอัตราดอกเบี้ย 0.50% ต่อปี
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงิน และการคืนเงินกองทุนฯ เป็นการประมาณการ โดยอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตามการเบิกจ่ายจริง
3. คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 2) เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2549 ได้พิจารณาแล้วมีมติดังนี้
3.1 เห็นชอบในรายละเอียดขั้นตอนการดำเนินงานของโครงการทุนหมุนเวียนสำหรับยานยนต์ NGV ตามข้อเสนอโครงการที่ ปตท. เสนอ ทั้งนี้ หากกองทุนฯ มีปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางด้านการเงินในปีแรก ปตท. จะต้องจ่ายเพิ่มให้เพียงพอกับความต้องการใช้เงินของธนาคารด้วย
3.2 เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำโครงการดังกล่าว เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อทราบต่อไป
3.3 กองทุนฯ ต้องไม่มีความเสี่ยงใดๆ ในการปล่อยกู้ หากมีหนี้สูญ ปตท. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง
3.4 มอบหมายให้ ปตท. สนพ. และกรมบัญชีกลางหารือเรื่องรายละเอียดการเบิกจ่ายเงิน และการส่งเงินคืนกองทุนฯ โดยให้คำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินของกองทุนฯ ด้วย
3.5 มอบหมายให้ สนพ. ศึกษาความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐศาสตร์ สังคม และสิ่งแวดล้อม ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศในระยะยาวหากมีการส่งเสริมให้มีการใช้ NGV อย่างแพร่หลาย
4. ผู้แทน ปตท. ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่าสำหรับประเด็นที่อนุกรรมการฯ ได้ให้ข้อสังเกตไว้นั้น ปตท. ได้ร่วมหารือกับ สนพ. แล้ว และ ปตท. สามารถดำเนินการได้ตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการฯ
มติที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบมติคณะอนุกรรมการฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ
เรื่องที่ 4 ข้อเสนอขอปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ จำนวน 110 ล้านบาท จากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2548 ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อนำไปใช้ในโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ โดยมีจำนวนรถที่สนใจเข้าร่วมโครงการ จากหน่วยงานราชการต่างๆ จำนวน 21 กระทรวง เป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,708 คัน โดยให้ ปตท. เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์ NGV กรมธุรกิจพลังงานเป็นผู้จัดทำแผนการติดตั้ง และมีหน่วยงานทหารและสถาบันอาชีวศึกษาต่างๆ จำนวน 15 แห่ง เป็นผู้ติดตั้ง
2. ผลการดำเนินโครงการ ปรากฏว่าการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ของหน่วยงานราชการตามข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2549 มีรถราชการติดตั้งอุปกรณ์ NGV แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 314 คัน โดยการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถราชการไม่เป็นไปตามแผนที่กรมธุรกิจพลังงานได้กำหนด เนื่องจาก จำนวนรถที่หน่วยงานราชการแต่ละหน่วยงานยืนยันเข้าร่วมโครงการ ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งบางหน่วยงานมีจำนวนรถลดลง ปตท. จึงได้มีหนังสือที่ 71063000/329/2549 ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2549 เพื่อขอปรับรายละเอียดในโครงการส่งเสริมการใช้ก๊าซ NGV ในรถราชการ ดังนี้
2.1 ขอปรับรายงานความก้าวหน้าและรายงานการเงิน โดยรวมส่งรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 ซึ่งเป็นการรายงานความก้าวหน้าการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถราชการ จำนวน 500 คัน และ 1,000 คันตามลำดับ เป็นรายงานฉบับเดียวกัน โดยขอส่งรายงานความก้าวหน้า ณ สิ้นเดือนที่ 8 (พฤษภาคม 2549) และขอรวมการเบิกเงินตามรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 และฉบับที่ 2 เป็นครั้งเดียวกันจำนวนทั้งสิ้น 75,500,000 บาท เมื่อรายงานความก้าวหน้าฉบับที่ 1 ได้รับความเห็นชอบจาก สนพ.
2.2 ขอเพิ่มเติมรถยนต์ราชการที่สามารถเข้าร่วมโครงการจากเดิม เฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน เป็นเครื่องยนต์เบนซิน หรือดีเซล
2.3 ขออนุมัติถัวจำนวนรถยนต์ในโครงการระหว่างหน่วยงานราชการต่างๆ รวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,708 คัน
2.4 ขอเพิ่มหน่วยงานราชการอื่นที่ไม่ได้แจ้งความจำนงไว้ ตั้งแต่เริ่มโครงการแต่ได้ยื่นความจำนงเพิ่มเติมในภายหลัง โดย ปตท. จะทำการติดตั้งอุปกรณ์ให้กับหน่วยงานที่ได้ยื่นความจำนงไว้ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการก่อนเป็นลำดับแรก หากติดตั้งแล้วเสร็จทั้งหมด แต่จำนวนรถราชการที่ติดตั้งยังไม่ครบจำนวน 1,708 คัน และหรืองบประมาณยังคงเหลือ ปตท. จะแจ้งให้หน่วยงานที่แจ้งความจำนงภายหลัง นำรถของหน่วยงานมาติดตั้งอุปกรณ์ NGV
มติที่ประชุม
อนุมัติให้ ปตท. ปรับโครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ตามรายละเอียดที่เสนอในข้อ 2 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 5 ขออนุมัติโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม 2 โครงการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 8/2547 (ครั้งที่ 15) เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ได้อนุมัติข้อเสนอของ 3 หน่วยงาน ประกอบด้วย กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่ได้ยื่นขอทุนจากกองทุนฯ เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการสาธิตการใช้พลังงานลมเพื่อผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย รวม 3 โครงการ โดย พพ. กฟผ. และ กฟภ. จะติดตั้งกังหันลมหน่วยงานละ 1 ชุด เพื่อเก็บสถิติข้อมูลจากการใช้งานจริง โดยแต่ละระบบมีความแตกต่างกันในด้านขนาดกำลังการผลิต เทคโนโลยี และสถานที่ติดตั้ง ดังนี้
หน่วยงาน | สถานที่ติดตั้ง | กำลังการผลิต | ขอทุน (ล้านบาท) |
ร่วมลงทุน (ล้านบาท) |
รวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) |
(1) พพ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช |
900 kW | 50.000 | - | 50.000 |
(2) กฟภ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.สทิงพระ จ.สงขลา |
600 kW | 41.108 | 13.980 | 55.088 |
(3) กฟผ. | ชายฝั่งทะเลอันดามัน แหลมพรหมเทพ จ.ภูเก็ต |
600 kW | 31.037 | 13.302 | 44.339 |
รวมทั้งสิ้น | 2,100 kW | 122.145 | 27.282 | 149.427 |
2. พพ. ได้มีหนังสือที่ พน.0506/31097 ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2548 เพื่อขอเปลี่ยนแปลงการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามนโยบายกระทรวงพลังงาน จากวิธีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนให้กับแต่ละหน่วยงานโดยตรงเพื่อดำเนินการติดตั้งระบบสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม เป็น พพ. กฟภ. และ กฟผ.ร่วมดำเนินการโครงการฯ โดยเปิดให้เอกชนลงทุน จัดตั้งกังหันลมเพื่อขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย และนำเงินที่ได้รับอนุมัติไว้แล้ว รวมทั้งสิ้น 122,145,194 บาท มาจัดทำ "โครงการสนับสนุนการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานลม" เพื่อเปิดให้เอกชนลงทุนเพื่อติดตั้งระบบสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม โดยให้เงินสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มไม่เกินหน่วยละ 8 บาท มีระยะเวลาการรับเงินชดเชย 5 ปี
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะอนุกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2548 ที่ประชุมได้พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าเนื่องจากการจัดทำโครงการพลังงานลม 3 โครงการเดิมนั้น มีวัตถุประสงค์ เพื่อวิจัย พัฒนาและสาธิต เทคโนโลยีที่ยังไม่มีในประเทศ ดังนั้นควรเป็นการสาธิตกังหันขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการวิจัยพัฒนาในอนาคตมากกว่า โดยควรสาธิตที่ขนาด 1.5 MW ขึ้นไป และเพื่อไม่ให้กระทบต่อวงเงินเดิมที่ได้อนุมัติไว้ จึงเห็นควรให้มีการปรับลดหน่วยงานที่ดำเนินการจากเดิม ลงเหลือ 2 แห่ง คือ พพ. และ กฟภ. ซึ่งที่ประชุมได้มีมติในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
(1) เห็นควรสนับสนุนให้มีการส่งเสริมและสาธิตการผลิตไฟฟ้าโดยมอบหมายให้ พพ. และ กฟภ. ดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมโดยปรับเปลี่ยนจากการดำเนินงาน 3 โครงการ เหลือ 2 โครงการ และแต่ละโครงการมีขนาดติดตั้ง 1.5 MW ขึ้นไป และเสนอให้คณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป
(2) เห็นชอบให้ กฟผ. กฟภ. และ พพ. ปิดบัญชีโครงการเดิม และส่งเงินที่เหลือพร้อมดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ โดยให้แต่ละหน่วยงานสามารถหักรายจ่ายที่เกิดขึ้นจากดำเนินโครงการได้ตามที่เกิดขึ้นจริง
4. พพ. และ กฟภ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ แล้ว โดยจะติดตั้งกังหันลมหน่วยงานละ 1 ชุด เพื่อเก็บสถิติข้อมูลจากการใช้งานจริง สรุปได้ดังนี้
หน่วยงาน | สถานที่ติดตั้ง | กำลังผลิต | ขอทุน (ล้านบาท) |
ร่วมลงทุน (ล้านบาท) |
รวมทั้งสิ้น (ล้านบาท) |
เทคโนโลยี |
พพ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช |
1.5 MW | 87.000 | - | 87.000 | Gear Box |
กฟภ. | ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย อ.สทิงพระ จ.สงขลา |
1.5 MW | 76.828 | 24.552 | 101.380 | Gearless |
รวมทั้งสิ้น | 3.0 MW | 163.828 | 188.380 |
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้ พพ. กฟภ. และ กฟผ. ยกเลิกการดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากลม ทั้ง 3 หน่วยงาน ตามที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในการประชุม เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ได้อนุมัติไว้ และให้ พพ. กฟภ. และ กฟผ. ทำการปิดโครงการฯ พร้อมทั้งคืนเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดต่อกองทุนฯ
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้แก่ พพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ในวงเงิน 87,000,000 บาท (แปดสิบเจ็ดล้านบาทถ้วน) ทั้งนี้ พพ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ โดยให้ พพ. จะต้องพิจารณาเลือกชนิด ขนาด เทคโนโลยีของกังหันลมให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของพลังลมในพื้นที่ที่จะติดตั้ง และควรคำนึงถึงความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของกังหันลมด้วย
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้แก่ กฟภ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าจ่ายขนานเข้าระบบจำหน่าย ในวงเงิน 76,828,000 บาท (เจ็ดสิบหกล้านแปดแสนสองหมื่นแปดพันบาทถ้วน) ทั้งนี้ กฟภ. จะต้องดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ โดยให้ กฟภ. จะต้องพิจารณาเลือกชนิด ขนาด เทคโนโลยีของกังหันลมให้มีความสอดคล้องกับศักยภาพของพลังลมในพื้นที่ที่จะติดตั้ง และควรคำนึงถึงความสามารถในการผลิตไฟฟ้าของกังหันลมด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอขอความเห็นชอบ ปรับเปลี่ยนค่าผ่านทางของ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) สำหรับรถยนต์ที่มีล้อไม่เกิน 4 ล้อ เป็น 20 บาทต่อคัน ตลอดทั้งสาย และลดค่าผ่านทางสำหรับรถยนต์ที่มีล้อเกินกว่า 4 ล้อ ลงเหลือไม่เกิน 50 บาทต่อคัน ในช่วงทดลองเป็นระยะเวลา 3 เดือน ในกรณีรายได้จากค่าผ่านทางที่บริษัทฯ เก็บได้ลดลงต่ำกว่าวันละ 3.3 ล้านบาท รัฐจะต้องชดเชยในส่วนต่างให้กับบริษัทฯ ร้อยละ 80 ของส่วนต่าง โดยให้กองทุนฯ จัดสรรเงินชดเชยให้ ส่วนกรณีรายได้สูงกว่า 3.3 ล้านบาท ก็เห็นควรแบ่งรายได้กันฝ่ายละครึ่ง ซึ่งคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ แนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนถนนวิภาวดีรังสิต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ แต่เนื่องจากการจัดสรรเงิน กองทุนฯ เพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่บริษัทฯ เป็นอำนาจของคณะกรรมการกองทุนฯ ตามพระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ.2535 จึงให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง คือการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการฯ ดังกล่าวด้วย
2. บริษัทฯ ได้ปรับลดค่าผ่านทางของทางยกระดับอุตราภิมุขตลอดสายตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 - 21 มีนาคม 2548 เป็นระยะเวลา 3 เดือนแล้ว กรมทางหลวง ได้ทำการตรวจสอบรายได้ หลังจากทดลองปรับลดค่าผ่านทาง สรุปผลได้ดังนี้ รายได้ค่าผ่านทางตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2547 - 21 มีนาคม 2548 เป็นเงิน 258,408,950 บาท ซึ่งต่ำกว่ารายได้ของบริษัทฯ ก่อนปรับลดค่าผ่านทาง คือ 297,000,000 บาท ดังนั้น กรมทางหลวง จึงมีหนังสือที่ คค 0637/ฝส./10614 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2548 ขอให้ สนพ. ดำเนินการ ในส่วนที่รัฐต้องชดเชยค่าผ่านทางร้อยละ 80 ของส่วนต่าง เป็นจำนวน 30,603,845 บาท ให้กับบริษัทฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี
3. ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นควรให้จ่ายค่าชดเชยให้กับบริษัทฯ เป็นจำนวนเงิน 30,603,845 บาท เนื่องจากเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และผลจากการดำเนินการดังกล่าวนั้น คาดว่าจะก่อให้เกิดประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคขนส่ง
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 ในวงเงิน 30,603,845 บาท ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทาง ในส่วนต่างให้แก่ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547
2. การเบิกจ่ายเงินกองทุนฯ ให้แก่กรมทางหลวง เพื่อนำไปเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการจ่ายเงินเพื่อชดเชยค่าผ่านทางในส่วนต่างให้แก่ บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2547 โดยมอบหมายให้กรมทางหลวง รวบรวมเอกสาร หลักฐาน การเบิกจ่ายเงิน ให้ครบถ้วนตามจำนวนเงิน 30,603,845 บาท แล้วจัดส่งให้ สนพ. เพื่อใช้เป็นเอกสาร หลักฐาน การเบิกจ่ายเงินจากกองทุนฯ พร้อมทั้งตรวจสอบผลประหยัดที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการในช่วงดังกล่าวส่งให้ฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการต่อไปด้วย
เรื่องที่ 7 โครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) ประสานและหารือมายังกระทรวงพลังงาน (พน.) ถึงแนวทางความร่วมมือในการดำเนินงานด้านพลังงานทั้งในระยะสั้น และระยะยาว เพื่อให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือ และเกิดผลในการปฏิบัติโดยเร็ว ดังนั้น พน. จึงได้จัดให้มีการประชุมเพื่อพิจารณาแนวทางความร่วมมือร่วมกันระหว่าง พน. และ สอศ. ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบให้เร่งดำเนินงานในระยะสั้น โดยการจัดกิจกรรมการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน คือ โครงการล้างแอร์ และโครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ทั่วประเทศ
2. พน. ได้จัดทำโครงการประหยัดพลังงานหน้าร้อนเพื่อให้เกิดผลในทุกภาคส่วน โดยดำเนินกิจกรรมล้างแอร์และตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ ร่วมกับ สอศ. พร้อมกับประสานขอความร่วมมือกับพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บมจ. กฟผ. จำกัด (มหาชน) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) บริษัทผู้ให้บริการล้างเครื่องปรับอากาศ บริษัทน้ำมัน และกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้บริการแก่ประชาชน ซึ่ง พน. จำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการร่วมกับ สอศ. ในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ และการประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ภูมิภาค ดังนี้
2.1 โครงการล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของประเทศ โดยสนับสนุนให้ สอศ. ล้างเครื่องปรับอากาศสำหรับภาคราชการ จำนวน 20,000 เครื่อง ในวงเงิน 10,000,000 บาท และในภาคประชาชน/เอกชน ไม่ต่ำกว่า 20,000 เครื่อง (ไม่รวมเป้าหมายจากพันธมิตร เช่น กฟน. ร่วมให้บริการในพื้นที่ของ กฟน. จำนวน 10,000 เครื่อง บริษัทน้ำมันต่างๆ ร่วมล้างเครื่องปรับอากาศในร้านสะดวกซื้อและสำนักงานทั่วประเทศ) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าหน่วยงานราชการ ประชาชน และภาคธุรกิจ ไม่ต่ำกว่า 4,500,000 หน่วย คิดเป็นเงิน 13,500,000 บาท/เดือน ลดการใช้น้ำมันเตาในการผลิตไฟฟ้าในช่วง Peak ไม่ต่ำกว่า 19,485,000 บาท
2.2 โครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ (Tune up) เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำมันในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเดินทางไปต่างจังหวัด เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ โดยความร่วมมือระหว่างกองทุนฯ ผู้ให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายจำนวน 4,886,400 บาท ร่วมกับ สอศ. และบริษัทเชลล์ ออร์โตเซิร์ฟ สนับสนุนด้านบุคลากรในการปรับแต่งเครื่องยนต์ กรมการขนส่งทางบก และบริษัทน้ำมันต่างๆ อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด บริษัท น้ำมันคาลเท็กซ์ (ไทย) จำกัด และบริษัท คอนอโค (ประเทศไทย) จำกัด สนับสนุนในการจัดพื้นที่ให้บริการ สนพ. สนับสนุนงานด้านการประชาสัมพันธ์โครงการ โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1-10 เมษายน 2549 จำนวน 200 แห่ง ทั่วประเทศ มีเป้าหมายเพื่อให้มีการปรับแต่งเครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ทั่วไป จำนวน 25,000 คัน คาดว่าประหยัดน้ำมันเบนซิน 190,000 ลิตร/เดือน และประหยัดน้ำมันดีเซล 72,000 ลิตร/เดือน คิดเป็นผลประหยัด 6.55 ล้านบาท/เดือน
2.3 การรณรงค์ประชาสัมพันธ์ โครงการ "พลังไทย ฉลาดใช้พลังงาน...หน้าร้อน" เพื่อสร้างกระแสให้กลุ่มเป้าหมายทุกภาคส่วนลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำมันในช่วงฤดูร้อน และเพื่อรณรงค์ประหยัดพลังงาน ด้วยการกระตุ้นและจูงใจให้กลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกิจกรรม ซึ่งสามารถเห็นผลการประหยัดไฟฟ้า และน้ำมันได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้การประชาสัมพันธ์ยังเป็นการให้คำแนะนำถึงวิธีการปฏิบัติ หรือวิธีการดูแลและรักษาเครื่องปรับอากาศ และเครื่องยนต์อย่างถูกวิธีที่กลุ่มเป้าหมายสามารถนำไปปฏิบัติให้เคยชินเป็นนิสัย ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายให้กับตนเองได้ โดยขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงิน 27,855,000 บาท ซึ่ง สนพ. ใช้งบประมาณประจำปี 2549 ที่กองทุนฯ ได้อนุมัติไว้แล้ว จำนวนเงิน 20,245,000 บาท และขออนุมัติเพิ่มเติมอีกจำนวน 7,610,000 บาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือประชาชนทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
2.4 ค่าใช้จ่ายในการติดต่อประสานงานกับหน่วยราชการในจังหวัดและการดำเนินกิจกรรมประชาสัมพันธ์ เพื่อสนับสนุนโครงการนี้ในระดับจังหวัดของสำนักงานพลังงานภูมิภาค ในสังกัดของสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน จำนวน 600,000 บาท
มติที่ประชุม
1. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ในวงเงิน 14,184,400 บาท ( สิบสี่ล้านหนึ่งแสนแปดหมื่นสี่พันสี่ร้อยบาทถ้วน) โดยแบ่งเป็น โครงการล้างแอร์ลดค่าไฟหน้าร้อน จำนวน 9,298,000 บาท (เก้าล้านสองแสนเก้าหมื่นแปดพันบาทถ้วน) และ โครงการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ จำนวน 4,886,400 บาท (สี่ล้านแปดแสนแปดหมื่นหกพันสี่ร้อยบาทถ้วน)
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เพิ่มเติมอีกในวงเงิน 7,610,000 บาท (เจ็ดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ
3. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานพัฒนาบุคลากรและประชาสัมพันธ์ ปีงบประมาณ 2549 ให้สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) ในวงเงิน 600,000 บาท (หกแสนบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรณรงค์ประหยัดพลังงานในหน้าร้อน ในส่วนที่ สป.พน. รับผิดชอบ
เรื่องที่ 8 ขออนุมัติโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ โดยให้แต่งตั้งคณะกรรมการประสานการรณรงค์ และติดตามการประหยัดพลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและแนะนำการประหยัดพลังงานกับทุกภาคส่วน
2. ประธานคณะกรรมการฯ (นายเชิดพงษ์ สิริวิชช์) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน เพื่อทำหน้าที่ในการประสานและให้คำแนะนำด้านเทคนิคและแนวทางปฏิบัติในการประหยัดพลังงานในทุกภาคส่วน จากการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการด้านเทคนิคฯ ที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้ง ทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน ซึ่งประกอบไปด้วยทีมวิศวกรของ พพ. กฟน. กฟภ. และ กฟผ. ประมาณ 80 ทีม โดย พพ. กฟน. และ กฟผ. รับผิดชอบอาคารในเขตกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และนนทบุรี ส่วน กฟภ. รับผิดชอบอาคารในภูมิภาค 73 จังหวัด ซึ่งในช่วงระยะเวลา 10 เดือนที่ผ่านมา (มิถุนายน 2548 - กุมภาพันธ์ 2549) พพ. กฟผ. กฟน. และ กฟภ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปยังหน่วยงานต่างๆ ดังนี้
2.1 พพ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 39 แห่ง รวมทั้งได้มีการบรรยายข้าราชการไทยลดใช้พลังงาน ให้กับกลุ่มหน่วยงานราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค อีก 5 ครั้ง
2.2 กฟผ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานของรัฐ จำนวน 56 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวนมากกว่า 3,745 คน
2.3 กฟน. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวน 56 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 5,732 คน
2.4 กฟภ. ได้จัดส่งทีมเทคนิคไปฝึกอบรมให้ความรู้กับหน่วยงานต่างๆ จำนวน 128 แห่ง มีผู้เข้าร่วมสัมมนาจำนวน 8,355 คน
3. ปัญหาและอุปสรรคการดำเนินงานทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน สรุปได้ ดังนี้
3.1 การประสานงาน: ในการเข้าไปประสานงานกับหน่วยงานราชการบางแห่ง ผู้ประสานงานของหน่วยงานยังไม่เข้าใจหน้าที่ของตน ที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม. ซึ่งฝ่ายเลขานุการฯ จะต้องชี้แจงเพิ่มเติมทางโทรศัพท์ เพื่อให้ผู้ประสานงานของหน่วยงานเข้าใจเรื่องดังกล่าว
3.2 งบประมาณ: เนื่องจากการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการฯ และทีมเทคนิคเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ไม่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ จึงมีอุปสรรคในด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ เช่น การจัดทำสื่อที่ใช้ประชาสัมพันธ์ การจัดฝึกอบรม เป็นต้น
4. แผนการดำเนินงานทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงานในปี 2549: จากความสำเร็จในการดำเนินงานที่ผ่านมาในช่วงระยะเวลา 10 เดือน (มิถุนายน 2548 - กุมภาพันธ์ 2549) กระทรวงพลังงานมีนโยบายในการขยายการทำงานของทีมเทคนิค โดยจะร่วมมือกับ สอศ. เพื่อเพิ่มศักยภาพและสร้างเครือข่ายการทำงานของทีมเทคนิคเพื่อการประหยัดพลังงาน โดยให้นักศึกษาและคณาจารย์ที่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านเทคนิคเข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานของทีมเทคนิคที่จะช่วยเหลือโรงงานอุตสาหกรรม/อาคารในด้านการประหยัดพลังงาน ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงานในปี 2549 จำนวน 15,000,000 บาท
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ในวงเงิน 15 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการทีมเทคนิคและอาชีวศึกษาเพื่อการประหยัดพลังงาน
กอ. ครั้งที่ 45 - วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2550
มติคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
ครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 45)
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน 2550 เวลา 16.00 น.
ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล
1. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3
2. ขอนุมัติเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
3. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
4. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2
5. ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก"
6. ขอคืนหลักประกันซอง โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
รองนายกรัฐมนตรี (นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) กระทรวงพลังงาน ผู้เข้าร่วมประชุม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่าในช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการกองทุนฯ ได้พิจารณา อนุมัติจัดสรรเงินกองทุนฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานโดยสถาบันการเงิน ดังนี้
1.1 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อ 25 สิงหาคม 2548
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ 2,000 ล้านบาท ให้ พพ. เพื่อดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 โดยใช้เงินจาก แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2549 เพื่อให้สถาบันการเงินที่ผ่านการคัดเลือกของ พพ. นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงาน นำไปใช้ในการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงาน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินนั้น จะต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และส่งคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ พพ. ทำสัญญากับสถาบันการเงิน โดยจะมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 1
(2) ให้ พพ. ดำเนินการเจรจากับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้จ่ายดอกเบี้ยคืนกองทุนฯ ในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.5 ของเงินกองทุนฯ ที่สถาบันการเงินนำไปปล่อยให้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการฯ เพื่อเป็นค่าเสียโอกาสในส่วนดอกเบี้ยเงินฝากที่กองทุนฯ ได้รับเป็นประจำ
1.2 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 ได้อนุมัติเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานจำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. ดำเนินโครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริม การใช้พลังงานทดแทน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 1 โดยใช้เงินจากแผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550
2. ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนฯ
2.1 ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1
การดำเนินงานฯ ระยะที่ 1 โครงการฯ ได้ครบกำหนดระยะเวลาการปล่อยกู้เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2550 โดย พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 78 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคารจำนวน 13 ข้อเสนอ โรงงาน 63 ข้อเสนอ บริษัทจัดการพลังงาน (ESCO) 2 ข้อเสนอ จำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติคิดเป็นเงิน 1,908 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนจำนวน 3,427 ล้านบาท และจากการประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประเทศชาติจะได้รับ คิดเป็นการประหยัดพลังงานรวมเป็นเงิน 1,402 ล้านบาทต่อปี
2.2 ผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 2
การดำเนินงานฯ ระยะที่ 2 โครงการฯ (ข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน 2550) ครบกำหนดระยะเวลาการปล่อยกู้เมื่อ 16 มีนาคม 2552 โดย พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 75 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคารจำนวน 9 ข้อเสนอ โรงงาน 66 ข้อเสนอ จำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติคิดเป็นเงิน 1,446 ล้านบาท (วงเงินคงเหลือ 554 ล้านบาท) โดยมีเงินลงทุนจำนวน 2,794 ล้านบาท และจากการประเมินศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประเทศชาติจะได้รับ คิดเป็นการประหยัดพลังงานรวมเป็นเงิน 1,258 ล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการในระยะที่ 2 ได้ปล่อยสินเชื่อสำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนเองในวงเงินกว่า 12,000 ล้านบาท และยังมีข้อเสนอโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของ พพ. อีกจำนวน 20 ข้อเสนอ ในวงเงินกว่า 567 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินในระยะที่ 2
2.3 สรุปผลการดำเนินงานโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานฯ ระยะที่ 1 และ 2
พพ. ได้อนุมัติข้อเสนอโครงการจำนวนทั้งสิ้น 153 ข้อเสนอ ประกอบด้วย อาคาร 22 ข้อเสนอ โรงงาน 129 ข้อเสนอ บริษัทจัดการพลังงาน 2 ข้อเสนอ รวมจำนวนเงินที่ พพ. อนุมัติ 3,354 ล้านบาท โดยมีเงินลงทุนทั้งหมดจำนวน 6,221 ล้านบาท มีศักยภาพผลการอนุรักษ์พลังงานที่ประหยัดได้ตลอดอายุอุปกรณ์ สามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ 6,329 ล้านหน่วย (คิดเป็นเงิน 20,486 ล้านบาท) ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 2,134 ล้านลิตรเทียบเท่าน้ำมันเตา (คิดเป็นเงิน 15,608 ล้านบาท) รวมประหยัดได้ 36,094 ล้านบาท หรือ 2,384 ktoe
2.4 ความคืบหน้าโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนฯ ระยะที่ 1
เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของโครงการฯ การดำเนินงานของโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1 พพ. จะดำเนินการจัดสรรวงเงินให้แก่สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 11 แห่ง โดยจะมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ในระยะที่ 2 ต่อไป โดยจะเน้นการให้สินเชื่อทางด้านพลังงานทดแทนให้มากขึ้น
3. เหตุผลความจำเป็นในการเพิ่มวงเงินหมุนเวียน
3.1 ความต้องการการลงทุนโครงการด้านพลังงานของภาคสถาบันการเงิน : จากการสำรวจข้อมูลจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการทั้ง 11 แห่ง ธนาคารต่างๆ ได้ให้ข้อมูลที่ภาคเอกชนมีความต้องการจะขอสินเชื่อเกี่ยวกับโครงการด้านพลังงานประมาณ 80 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,350 ล้านบาท
3.2 โครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการ : สถาบันการเงินได้ยื่นโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนมายัง พพ. (ข้อมูล ณ วันที่ 5 เมษายน 2550) และอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอโครงการอย่างเป็นทางการอีกจำนวน 20 ข้อเสนอ คิดเป็นเงินลงทุนรวม 1,280 ล้านบาท โดยต้องการเงินในส่วนของเงินโครงการเงินหมุนเวียน จำนวน 567.2 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าวงเงินที่ได้รับอนุมัติในโครงการเงินหมุนเวียน ระยะที่ 2
3.3 การพิจารณาผลกระทบกับฐานะของกองทุนฯ
เมื่อพิจารณาฐานะการเงินของกองทุนฯ โดยอยู่บนฐานของรายได้เฉลี่ยปีละ 1,400 ล้านบาท และประมาณการรายจ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท หากมีการจัดสรรเงินเพิ่มเติมอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ พพ. รับไปดำเนินโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 3 จะมีผลกระทบต่อฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่จะขาดดุลในปีงบประมาณ 2551 และ 2552 วงเงิน 610 ล้านบาท และ 281 ล้านบาท ตามลำดับ และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยแสดงรายการได้ดังนี้
ปีงบประมาณ | 2550 | 2551 | 2552 | 2553 | 2554 | รวม |
1. เงินคงเหลือยกมาต้นปี | 4,915 | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 4,915 |
2.ประมาณการรายรับล่วงหน้า | 1,795 | 2,149 | 2,198 | 2,248 | 2,299 | 10,688 |
3. เงินทุนหมุนเวียนรอรับคืน | 413 | 937 | 1,080 | 986 | 936 | 4,351 |
รวมรับ | 2,208 | 3,086 | 3,277 | 3,233 | 3,235 | 19,954 |
4. รายจ่าย ประกอบด้วย | ||||||
4.1 รายจ่ายผูกพัน ปี 2538-2547 | 558 | 468 | 398 | 265 | 76 | 1,764 |
4.2 รายจ่ายผูกพัน ปี 2548-2549 | 3,082 | 824 | 551 | 503 | - | 4,959 |
4.3 ประมาณการรายจ่ายล่วงหน้า | 2,244 | 3,644 | 2,000 | 2,000 | 2,600 | 12,488 |
รวมจ่าย | 5,884 | 4,935 | 2,948 | 2,768 | 2,676 | 19,212 |
5. เงินคงเหลือปลายปี ยกไป | 1,239 | (610) | (281) | 184 | 742 | 742 |
4. คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 7) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ได้เห็นชอบ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ตามที่ พพ. เสนอมา
(1) จากความต้องการของภาคเอกชนที่ให้ความสนใจยื่นขอสินเชื่อเพื่อการลงทุนด้านพลังงานที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก และสถาบันการเงินจะได้มีความเชื่อมั่นสามารถตัดสินใจในการให้สินเชื่อได้เร็วขึ้นหากมีนโยบายหรือสัญญาณที่แสดงว่าจะมีแหล่งเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ จึงเห็นควรสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามการจัดสรรเงินในช่วงปีงบประมาณ 2551 และ 2552 ต้องมีการบริหารจัดการเพื่อลดรายจ่ายตามแผนงานที่คาดว่าจะใช้จ่ายปีละ 2,000 ล้านบาท เพื่อให้ฐานะการเงินของกองทุนฯ อยู่ในลักษณะไม่ขาดดุล
(2) งานด้านอนุรักษ์พลังงานและผลักดันการใช้พลังงานทดแทนมีหลายโครงการที่จำเป็นต้องมีแหล่งทุนสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนฯ อาจต้องขอโอนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีรายได้เฉลี่ยประมาณเดือนละ 2,700 - 3,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ เดือนมกราคม 2550 ฐานะของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ที่มีวงเงิน 34,204 ล้านบาท ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 จึงควรเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
(3) ระหว่างที่รอปรับฐานะการเงินของกองทุนฯ ให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ 1" ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานได้ด้วย โดยมีขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการสนับสนุนเหมือนกับโครงการเงินหมุนเวียนฯ ระยะที่ 2 และให้รับข้อสังเกตของที่ประชุมไปดำเนินการด้วย
(4) พพ. ควรนำตัวอย่างมาตรการที่ประสบความสำเร็จของโครงการฯ ระยะที่ 1 และ 2 ไปเผยแพร่ให้สาธารณชนสามารถรับทราบได้มากขึ้นเพื่อจะได้มีการนำไปประยุกต์ใช้และก่อให้เกิดการขยายผลในวงกว้าง
มติที่ประชุม
1. อมุมัติให้ พพ. ขยายกรอบการใช้เงิน " โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ระยะที่ " ที่คณะกรรมการกองทุนฯ ได้อนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ให้สามารถปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเพื่อการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน โดยมีขั้นตอนขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
2. อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 3" ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ นำไปเป็นเงินหมุนเวียนให้แก่โรงงาน อาคาร และบริษัทจัดการพลังงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดยสถาบันการเงินต้องปล่อยกู้ภายในระยะเวลา 3 ปี และ ส่งเงินคืนกองทุนฯ ผ่าน พพ. ในเวลา 10 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติ โดยอนุโลมให้ใช้ขั้นตอน เงื่อนไข หลักเกณฑ์ การเบิกจ่ายเงิน ในการให้การสนับสนุนเช่นเดียวกับโครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันการเงิน ระยะที่ 2
3. เห็นชอบให้ สนพ. เสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 3,000 ล้านบาท มาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของฐานะการเงินของกองทุนฯ ทำให้มีศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
เรื่องที่ 2 ขอนุมัติเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ สำหรับ โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงมาตรการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ สรุปได้ดังนี้
1.1 คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาพลังงานของประเทศ โดยกำหนดแนวทางในการส่งเสริมการนำก๊าซธรรมชาติ (NGV) มาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลและให้รถยนต์ราชการที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงติดตั้งอุปกรณ์เพื่อเปลี่ยนไปใช้ NGV โดยให้ ปตท. ดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้กระทรวงการคลังกำหนดระเบียบการผ่อนจ่ายค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการเพื่อคืนให้ ปตท. โดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซฯ อีกกิโลกรัมละ 5 บาท เป็น 9.53 + 5.00 บาท = 14.53 บาท และ คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2548 (ครั้งที่ 40) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 ได้พิจารณาข้อเสนอ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และมีมติดังนี้
(1) อนุมัติเงินกองทุนฯ จากแผนพลังงานทดแทน ปีงบประมาณ 2548 ให้ ปตท. เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ในวงเงิน 110 ล้านบาท (หนึ่งร้อยสิบล้านบาทถ้วน) มีระยะเวลาใช้เงินทั้งหมดคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10
(2) ก่อนดำเนินโครงการฯ ให้ ปตท. หารือกับกรมบัญชีกลาง เรื่องระเบียบวิธีการเบิกจ่ายและเรียกเก็บเงินคืนกองทุนฯ และให้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 19 เมษายน 2548 ที่ให้ ปตท. ออกค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้ก่อน และให้ส่วนราชการผ่อนจ่ายคืนโดยบวกเพิ่มในราคาก๊าซ ซึ่งหากวิธีดำเนินการขัดกับมติคณะรัฐมนตรีก็ให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป
(3) การติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยใช้เงินกองทุนฯ ให้ดำเนินการกับรถยนต์ราชการจำนวน 1,708 คัน ที่แจ้งความประสงค์ไว้ ในราคาประมาณ 65,000 บาท/คัน และสำหรับรถยนต์ราชการที่จะติดตั้งต่อจากนี้ให้ตั้งเรื่องของบประมาณแผ่นดินมาเป็นค่าติดตั้ง
(4) รถยนต์ของส่วนราชการที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV แล้ว และรถยนต์หมดอายุการใช้งานก่อนอุปกรณ์ NGV สามารถนำอุปกรณ์ NGV เปลี่ยนไปติดตั้งกับรถยนต์ราชการคันอื่นได้
1.2 กระทรวงการคลังเห็นว่าการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับรถยนต์ราชการที่เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนราชการต่างๆ ไม่สามารถชำระค่าติดตั้งให้เสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณ และจะต้องผูกพันเงินงบประมาณในปีต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน ตามนัยพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 วรรค 4 ดังนั้นเพื่อเป็นแนวทางให้ส่วนราชการถือปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2548 ได้อนุมัติหลักการให้ทุกส่วนราชการที่นำรถยนต์ราชการเข้าร่วม "โครงการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่รถยนต์ราชการ" ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณในการผ่อนชำระคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้แก่กองทุนฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และสำหรับแนวทางการชำระคืนเงินค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV มีมติให้ สนพ. เป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ เพื่อผูกพันงบประมาณโดยรวม
1.3 ในปี 2549 ปตท. ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ราชการรวม 1,209 คัน (เป้าหมายเดิมจำนวน 1,708 คัน) คาดว่าจะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในภาครัฐคิดเป็นมูลรวม 32,358,856 บาท/ปี ซึ่งกรมธุรกิจพลังงานเห็นว่ายังมีรถยนต์ราชการจำนวน 1,200 คัน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ยังไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ NGV จึงเสนอขอใช้เงินจากกองทุนฯ 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ยสำหรับสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กับหน่วยงานดังกล่าว โดยในครั้งนี้กรมธุรกิจพลังงานจะเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณเป็นเงินอุดหนุนชดเชยกองทุนฯ
1.4 คณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2549 ได้มีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ ให้ สนพ. ในวงเงินรวม 1,188,516,104 บาท (หนึ่งพันหนึ่งร้อยแปดสิบแปดล้านห้าแสนหนึ่งหมื่นหกพันหนึ่งร้อยสี่บาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนอนุรักษ์พลังงาน ปี 2550 ในส่วนที่ สนพ. รับผิดชอบ ภายใต้แผนพลังงานทดแทน งานส่งเสริมและสาธิต จะมีงบประมาณส่วนหนึ่งในวงเงิน 100,000,000 บาท (หนึ่งร้อยล้านบาทถ้วน) ที่เตรียมไว้ให้กรมธุรกิจพลังงานเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ซึ่งปัจจุบัน (25 เมษายน 2550) กรมธุรกิจพลังงานกำลังจัดทำรายละเอียดของโครงการฯ เสนอ สนพ.
2. ผลการดำเนินงาน
ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ( ธันวาคม 2548 ถึง ธันวาคม 2549) สนพ. ปตท. กรมธุรกิจพลังงาน กรมการพลังงานทหาร กระทรวงมหาดไทย ได้ร่วมกันดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ จำนวน 1,209 คัน ประกอบด้วย
รถยนต์เบนซิน ติดระบบ Bi Fuel 1,177 คัน (41,000 ถึง 97,000 บาท/คัน)
รถยนต์ดีเซลขนาดเล็ก ติดระบบ Diesel Dual Fuel 27 คัน ( 45,000 บาท/คัน)
รถบัส เปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ NGV (Re – powering) 5 คัน ( 150,000 บาท/คัน)
การดำเนินงานดังกล่าวคาดว่า ส่วนราชการจะประหยัดน้ำมันเบนซินได้ 1,730,100 ลิตรต่อปี และดีเซล 217,175 ลิตรต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าผลประหยัดรวม 32,358,856 บาทต่อปี โดย ปตท. มีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ผ่านเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย รวม 66,091,653 บาท (หกสิบหกล้านเก้าหมื่นหนึ่งพันหกร้อยห้าสิบสามบาทถ้วน) และ สนพ. เตรียมตั้งเป็นรายจ่ายในงบประมาณประจำปี 2551 เสนอสำนักงบประมาณเพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ต่อไป
3. การขอเปลี่ยนแปลงการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ
3.1 ปัจจุบันฐานะการเงินของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเมื่อจัดสรรเงินตามประมาณการรายจ่ายตามแผนงาน 2550-2554 แล้วยังอยู่ในลักษณะสมดุล และกระทรวงพลังงานได้ประเมินฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแล้วเห็นว่ามีแนวโน้มจะสามารถชำระหนี้ชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระและหนี้ชดเชยราคา LPG ได้หมดภายในสิ้นปี 2550 จึงจะเสนอขอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโอนเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนมาสมทบเป็นรายได้ให้กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพช่วยผลักดันการดำเนินการตามนโยบายของรัฐในการแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศได้มากขึ้น
3.2 จากเหตุผลตามข้อ 3.1 ประกอบกับภาระค่าใช้จ่ายของงบประมาณแผ่นดินที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการผลักดันงานและโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาและสร้างความมั่นคงของประเทศ สนพ. จึงขอเสนอคณะอนุกรรมการฯ เพื่อโปรดพิจารณาการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ สำหรับ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" ของ ปตท. และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ของกรมธุรกิจพลังงาน ดังต่อไปนี้
(1) ให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10"
(2) จากข้อ (1) สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ
(3) เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงานปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
4. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
คณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 2/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อ 25 เมษายน 2550 เห็นว่า ทั้ง 2 โครงการข้างต้นได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ไปแล้วโดยให้ใช้ในลักษณะ "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย" ที่ สนพ. จะเป็นผู้แทนทุกส่วนราชการในการเสนอขอตั้งงบประมาณแผ่นดินนำมาชำระคืนกองทุนฯ ภายหลังและในเวลาที่กำหนด ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าทั้ง 2 โครงการดังกล่าวเป็นการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้รถยนต์ของส่วนราชการ และฐานะการเงินของกองทุนฯ ที่มีสภาพคล่องดีแล้ว จึงเห็นชอบการเปลี่ยนแปลงการใช้เงินจากกองทุนฯ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอมาในข้อ 3 .4 และให้เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อโปรดพิจารณาต่อไป
มติที่ประชุม
1. อนุมัติให้การใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ภายใต้ "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ" และ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" เปลี่ยนแปลงเป็น "เงินให้เปล่า" แทน "เงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย ที่ต้องคืนกองทุนฯ ภายใน 10 ปี โดยใช้คืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินภายในปีที่ 5 และคืนส่วนที่เหลือภายในปีที่ 10" ทั้งนี้ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงาน ไม่ต้องตั้งรายจ่ายในงบประมาณแผ่นดินประจำปี เพื่อนำมาชำระคืนกองทุนฯ ทั้ง 2 โครงการ
2. อนุมัติให้เปลี่ยนชื่อ "โครงการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" ที่กรมธุรกิจพลังงานได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไว้แล้วจากมติคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 44) เมื่อ 21 ธันวาคม 2549 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น "โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถยนต์ราชการ ระยะที่ 2" และให้กรมธุรกิจพลังงาน ปรับแผนงานโครงการฯ ให้สอดรับกับการดำเนินงานสนับสนุนค่าติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ราชการ แบบให้เปล่า
เรื่องที่ 3 ขออนุมัติเงินสนับสนุนโครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า พพ. เสนอขอรับจัดสรรเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายใน "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม" ซึ่งคณะกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2549 (ครั้งที่ 41) เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2549 เคยมีมติอนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2549 ให้ พพ. ไปดำเนินการจัดหา ติดตั้ง กังหันลมระบบมีเกียร์ เพื่อสาธิตการผลิตไฟฟ้า ขนาด 1.5 MW บริเวณพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช โดยมีเงื่อนไขที่สำคัญ ให้ พพ. ทำการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากโครงการและพพ. จะต้องจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับทุนจากกองทุนฯ
พพ. ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในวงเงิน 498,000 บาท ศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และได้ส่งรายงานฉบับสมบูรณ์แล้วเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2549 สรุปได้ ดังนี้
(1) ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางกายภาพทางด้านลบในระดับ "น้อย" ขณะที่คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิตอยู่ในระดับ "มาก"
(2) จัดรับฟังความเห็นของประชาชนในพื้นที่ มีผู้เข้าร่วม 113 คน โดยร้อยละ 98.7 เห็นด้วยเพราะเห็นว่าจะเป็นแหล่งพลังงาน แหล่งท่องเที่ยวใหม่และช่วยนำรายได้เข้าสู่ท้องถิ่น ส่วนร้อยละ 1.3 มีความกังวลในเรื่องเสียงรบกวน ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และผลกระทบต่อการทำมาหากิน (ผลกระทบกับนกนางแอ่น ซึ่งเป็นสัตว์เศรษฐกิจประจำท้องถิ่น)
2. พพ. ไม่สามารถดำเนินการจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปีได้ จึงนำโครงการดังกล่าว เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 1/2550 (ครั้งที่ 8) เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 เพื่อขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ อีกครั้ง เพราะจากการดำเนินการจัดหาผู้ติดตั้งระบบฯ ตามขั้นตอนของระเบียบพัสดุด้วยวิธีทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามประกาศลงวันที่ 11 กันยายน 2549 กำหนดให้ยื่นเอกสารวันที่ 21 กันยายน 2549 ปรากฏว่ามีผู้ยื่นข้อเสนอเพียง 1 ราย พพ. จึงยกเลิกการจัดหาเมื่อ 26 กันยายน 2549 เป็นเหตุให้ พพ. ไม่สามารถจัดหาผู้ดำเนินการติดตั้งระบบกังหันลมให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี แต่การดำเนินงานของโครงการในกิจกรรมอื่น มีความก้าวหน้าไปพอสมควรแล้ว และได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นเป็นอย่างดี เพื่อให้มีทางเลือกในการนำพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาใช้ทดแทนพลังงานสิ้นเปลือง พพ. จึงเสนอขอที่จะดำเนินการโครงการดังกล่าวต่อ โดยใช้เงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ในวงเงิน 119 ล้านบาท ซึ่ง พพ. จะดำเนินการติดตั้งกังหันลม 1 ชุด จะเสียค่าใช้จ่าย Overhead ไม่ต่างกับการติดตั้ง Wind Farm (ตั้งแต่ 5 ชุดขึ้นไป)
3. มติคณะอนุกรรมการฯ 1/2550 และ 2/2550
คณะอนุกรรมการฯ ได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาอนุมัติเงินกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ "โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม"
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนพลังงานทดแทน งานศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านเทคนิค ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติม ในวงเงิน 119,000,000 บาท (หนึ่งร้อยสิบเก้าล้านบาทถ้วน) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับ โครงการสาธิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ตามรายละเอียดที่ปรากฎในเอกสารประกอบวาระ 3.3
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2 จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์" เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ เพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท (สิบแปดล้านแปดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานโครงการดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
ในช่วงปี 2543-2548 พพ. ได้จัดทำร่างกฎกระทรวงฯ จำนวน 11 ผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว คือ กระจก ตู้แช่ เตารีดไฟฟ้า เครื่องซักผ้า เตาไฟฟ้า เตาอบไมโครเวฟ กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า ฉนวนใยแก้ว เครื่องอบผ้า เตาอบไฟฟ้า และเครื่องทำน้ำเย็น แต่เนื่องจากร่างกฎกระทรวงดังกล่าวได้จัดทำไว้หลายปีแล้วโดยอาศัยข้อมูลจากเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ ณ เวลานั้น ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของแต่ละผลิตภัณฑ์ได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว จึงจำเป็นต้องทบทวนร่างกฎกระทรวงฯ ให้เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน เพื่อประกาศใช้ในการส่งเสริมการผลิตและจำหน่าย ตลอดจนจัดทำร่างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ประสิทธิภาพขั้นต่ำ) เพื่อส่งให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดำเนินการต่อไป
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอรับสนับสนุนจากกองทุนฯ ในวงเงินรวม 18.8 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่าย | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 6,337,550 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายประชุม-สัมมนา | 1,450,000 บาท |
3. ค่าใช้จ่ายทดสอบผลิตภัณฑ์ | 4,950,000 บาท |
4. ค่าใช้จ่ายประชาสัมพันธ์ | 5,092,100 บาท |
5. ค่าใช้จ่ายอื่นๆ | 972,100 บาท |
รวม | 18,801,650 บาท |
* ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ | 18,800,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน คาดว่าการออกกฎกระทรวงของอุปกรณ์ 11 ประเภท จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
เห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.อภิชิต เทอดโยธิน ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความ
(1) การทบทวนงานที่หน่วยงานต่างๆ รวมถึง พพ. ที่ได้ดำเนินการศึกษาไว้แล้ว เพื่อศึกษาแนวทาง กระบวนการที่จะผลักดันให้งานจัดทำมาตรฐานประสิทธิภาพ ประสพความสำเร็จ
(2) การทบทวนผลการดำเนินงานศึกษาร่างกฎกระทรวงที่ พพ. ดำเนินการผ่านมา เพื่อบ่งชี้ให้เห็นปัญหาอุปสรรคที่ พพ. ไม่สามารถนำร่างกฎกระทรวงของอุปกรณ์ที่ได้ศึกษาไว้ทั้ง 24 ชนิด มาประกาศใช้ และระบุกระบวนการหรือแนวทางที่จะเชื่อมั่นได้ว่าการศึกษาครั้งนี้ จะผ่านอุปสรรคเดิมและสามารถประกาศกฎกระทรวงได้
(3) การอ้างอิงถึงกระบวนการพิจารณาถึงความเหมาะสมที่แจ้งว่าผลการศึกษาเดิม (ปี 2543-2548) ไม่เป็นปัจจุบัน จำเป็นต้องศึกษาใหม่ ทั้ง 11 อุปกรณ์
(4) เหตุผลที่ต้องศึกษาเพื่อกำหนดค่ามาตรฐานโดยแยกเป็นรายอุปกรณ์ เพราะอุปกรณ์บางชนิดไม่มีความซับซ้อนและเทคโนโลยีไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น กระติกน้ำร้อน กาต้มน้ำร้อน เตาอบไมโครเวฟ เป็นต้น หรือความจำเป็นที่ต้องกำหนดมาตรฐานในอุปกรณ์บางชนิดที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ออกรุ่นใหม่ๆ มาเสมอ เช่น เครื่องซักผ้า และมีแนวทางจะกำหนดมาตรฐานอย่างไรกับอุปกรณ์ลักษณะนี้
(5) ความจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดำเนินการแทนในทุกรายการ เพราะการทบทวนกฎกระทรวงฯ ไม่น่าจะจำเป็นที่ต้องจ้างที่ปรึกษามาให้ความเห็นทุกอุปกรณ์ บุคลากรของหน่วยงานเจ้าของโครงการ น่าจะดำเนินการเองได้ เพราะต้องมีความชำนาญการในเรื่องนี้มากกว่าที่ปรึกษาเพื่อการกำกับดูแลคุณภาพงานจะได้เป็นไปด้วยความครบถ้วน
(6) ที่มาของผลการประหยัดพลังงานที่ระบุไว้ หากมีการประกาศใช้กฎกระทรวงของ 11 ผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 90 ktoe/ปี
(7) ยังไม่ควรดำเนินการประชาสัมพันธ์ เพราะเป้าหมายของโครงการฯ เป็นเรื่องทางเทคนิคที่ยังไม่มีผลเป็นนามธรรมหรือจับต้องได้
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ด้วยเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้เครื่องจักรอุปกรณ์และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทยมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว พพ. จึงได้จัดทำข้อเสนอฯ ที่ได้ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ พิจารณาในการประชุมครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9) เมื่อ 11 มิถุนายน 2550 ซึ่งเห็นชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป โดยให้ พพ. ปรับลดงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ให้เน้นเพียงการสร้างความเข้าใจกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นและสามารถจัดทำการประชาสัมพันธ์พร้อมกันได้เมื่อประกาศใช้กฎกระทรวงแล้ว
พพ. ได้ดำเนินการปรับปรุงข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการฯ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยการปรับลดงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ให้เน้นเพียงการสร้างความเข้าใจกับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเท่านั้น พร้อมทั้งปรับลดวงเงินงบประมาณที่ขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ เป็นเงิน 15,700,00 บาท ฝ่ายเลขานุการฯ จึงใคร่ขอเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา ตามรายละเอียดที่ปรากฏเอกสารประกอบวาระ 3.4.
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 13,700,000 บาท (สิบสามล้านเจ็ดแสนบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงาน "โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดเครื่องจักรอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงและวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน ระยะที่ 2" ตามรายละเอียดที่ปรากฏเอกสารประกอบวาระ 3.4 โดยให้ประสานสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการดำเนินการด้วย
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบว่า กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้ ขอให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำ "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" เสนอคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินจากกองทุนฯ ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนินงานโครงการ สรุปได้ดังนี้
1) วัตถุประสงค์และสาระสำคัญ
โรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วประเทศ มีประมาณ 36,000 แห่ง ที่ต้องการความรู้ความเข้าใจวิธีการอนุรักษ์พลังงานอย่างถูกต้องและเป็นระบบ ในช่วงปี 2548 และ 2549 พพ. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้าไปดำเนินการโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กแล้ว 700 แห่ง เกิดผลประหยัดพลังงาน 8.366 ktoe และเพื่อให้การดำเนินงานมีความต่อเนื่อง พพ. จึงจะว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการต่อในปี 2550 อีก 100 แห่ง
2) งบประมาณรายจ่ายของโครงการฯ ขอสนับสนุนจากกองทุนฯ 22 ล้านบาท แบ่งเป็น
ค่าใช้จ่ายต่อกลุ่ม (กลุ่มละ 25 แห่ง) | จำนวน |
1. ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร | 3,306,000 บาท |
2. ค่าใช้จ่ายอื่น | 1,835,250 บาท |
3. ภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 | 359,888 บาท |
รวม | 5,501,138 บาท |
ขอตั้งงบประมาณ ต่อกลุ่ม | 5,500,000 บาท |
รวมงบประมาณ 100 แห่ง (แบ่ง 4 กลุ่มๆ ละ 25 แห่ง) | 22,000,000 บาท |
3) ประโยชน์ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน : ระยะเวลา 8 เดือน คาดว่าจะมีผลประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี หรือเมื่อจบโครงการแล้วจะเกิดผลประหยัดรวมไม่น้อยกว่า 500 toe/ปี ระยะเวลาคืนทุนเฉลี่ยไม่เกิน 2 ปี
2. สนพ. ได้ประเมินคุณภาพของข้อเสนอฯ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน ประกอบด้วย 1) ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ 2) ศ.ดร.จุลละพงษ์ จุลละโพธิ และ 3) รศ.ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ ร่วมประชุมแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเห็นว่ารายละเอียดในข้อเสนอของ พพ. ยังขาดข้อมูลในประเด็นสำคัญ คือ
(1) การทบทวนการทำงานโครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม ที่ พพ. ดำเนินการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2545 การที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่ พพ. ได้เรียนรู้จากประสบการณ์การทำงาน จำแนกกลุ่มของสถานประกอบการที่เข้าไปดำเนินการมาแล้ว แสดงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทั้งด้านพลังงานและมาตรการที่เกิดขึ้น ระบุประเด็นปัญหาหรือข้อจำกัด ที่นำมาสู่การทำโครงการตามที่เสนอมาในครั้งนี้ โดยระบุให้ชัดเจนว่าจะเลือกเข้าไปดำเนินการกับกลุ่มเป้าหมายใน sector ใดบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร
(2) ปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ที่ไม่ใช่การดำเนินการผ่านระบบที่ปรึกษา แต่ควรมุ่งเน้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดความยั่งยืนโดยปลูกฝังพัฒนาไว้ที่บุคลากรของสถานประกอบการ เช่น การนำองค์ความรู้ที่ได้จากการดำเนินงานที่ผ่านมาที่ พพ. จัดทำไว้ในรูปแบบเอกสารเผยแพร่ หรือ VDO อยู่มากนั้น ไปขยายผลด้วยวิธีที่เข้าถึงสถานประกอบการที่ยังไม่ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานกว่า 20,000 แห่ง ได้เร็วขึ้น รวมถึงการใช้ทรัพย์สินที่ลงทุนไว้แล้ว เช่น ศูนย์ให้คำปรึกษา ให้เกิดประโยชน์มากขึ้น หรือหากต้องการให้มีที่ปรึกษาเข้าไปช่วยให้คำแนะนำ ก็ควรให้เจ้าของสถานประกอบการนั้นออกค่าใช้จ่ายด้วยส่วนหนึ่ง
(3) พิจารณาปรับตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการ จากที่จะประหยัดพลังงานเฉลี่ยต่อแห่งไม่ต่ำกว่า 5 toe/ปี โดยน่าจะเพิ่มการวัดผลที่ความยั่งยืนที่สถานประกอบการดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่องด้วย
โดยคณะผู้ทรงคุณวุฒิมีความเห็นว่า พพ. ควรจัดทำข้อเสนอใหม่ โดยเพิ่มเติมข้อมูลที่สำคัญในประเด็น ตามที่มีความเห็นไว้ข้างต้น ประกอบกับในช่วงนี้กระทรวงพลังงานจะทำงบประมาณปี 2551 เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณา และงานที่ พพ. มีอยู่เดิมและต้องดำเนินการในปีงบประมาณ 2550 มีปริมาณมากอยู่แล้ว จึงเห็นควรให้ พพ. จัดทำรายละเอียดและปรับแนวทางการดำเนินโครงการฯ ให้เรียบร้อย และยื่นเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ในปีงบประมาณ 2551 ต่อไป
3. มติคณะอนุกรรมการกองทุนฯ
ด้วยเรื่องดังกล่าวมีความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการเพื่อช่วยผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กสามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน ประกอบกับ พพ.ได้จัดทำข้อเสนอที่ปรับปรุงตามความเห็นของคณะผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ 2 เสนอคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ในการประชุมครั้งที่ 3/2550 (ครั้งที่ 9) เมื่อ 11 มิถุนายน 2550 ได้พิจารณาแล้ว มีมติชอบให้ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาต่อไป ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.5
มติที่ประชุม
อนุมัติเงินกองทุนฯ แผนเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน งานส่งเสริมและสาธิต ปีงบประมาณ 2550 ให้ พพ. เพิ่มเติมในวงเงินรวม 22 ล้านบาท (ยี่สิบสองล้านบาทถ้วน) เป็นค่าดำเนิน "โครงการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมโดยโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก" ตามรายละเอียดปรากฏในเอกสารประกอบวาระ 3.5 ทั้งนี้ก่อนดำเนินโครงการให้ พพ. พิจารณาปรับข้อเสนอโครงการฯ ตามข้อเสนอแนะในรายงานของคณะอนุกรรมการประเมินผลโครงการภายใต้แผนอนุรักษ์พลังงาน ด้วย
เรื่องที่ 6 ขอคืนหลักประกันซอง โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน
1. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอให้ที่ประชุมได้พิจารณาเกี่ยวกับการขอคืนหลักประกันซองโครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน ที่ไม่ได้ทำสัญญาขอรับการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มกับ กฟผ. รวม 6 ราย คือ
(1) อุตสาหกรรมโคราช จำกัด จ.นครราชสีมา
(2) ไฟฟ้าชนบท จำกัด จ.ลพบุรี
(3) น้ำตาลตะวันออก จำกัด จ.สระแก้ว
(4) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) จ.ลพบุรี
(5) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนเจ้าพระยา) จ.ชัยนาท
(6) ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (เขื่อนคลองท่าด่าน) จ.นครนายก
2. การคืนหนังสือค้ำประกันซองให้กับ 6 หน่วยงาน สนพ. ได้พิจารณาตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ใน "เอกสารเชิญชวนเพื่อยื่นข้อเสนอขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ โครงการส่งเสริมผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียน" ตามที่แจ้งแล้วในข้อ 1.1 และสรุปผลการพิจารณาได้ดังนี้
2.1 รายที่ 1 บริษัท อุตสาหกรรมโคราช จำกัด สนพ. ได้คืนหนังสือค้ำประกันซองให้บริษัทฯ แล้ว เมื่อ 18 พฤษภาคม 2548 เนื่องจาก เป็นไปตามข้อ 1.1 (3) บริษัทฯ ไม่ผ่านการพิจารณาตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กของการไฟฟ้า เพราะ ไม่สามารถจัดหาเชื้อเพลิงได้สม่ำเสมอและเพียงพอต่อการขายไฟฟ้าตามสัญญา Firm อันเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอ้อยและน้ำตาล ซึ่งคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ในคราวการประชุมครั้งที่ 2/2547 เมื่อ 28 กรกฎาคม 2547 ได้มีมติเห็นชอบให้ บริษัท อุตสาหกรรมโคราชฯ ยกเลิกคำร้องการขายไฟฟ้าประเภทสัญญา Firm ได้
2.2 รายที่ 2 และ 3 สนพ. จะไม่คืนหนังสือค้ำประกันซองให้ เพราะไม่เข้าลักษณะข้อหนึ่งข้อใดตามที่ปรากฏในข้อ 1.1 (1) - (3) แต่เข้าลักษณะของการริบหลักประกันซองในกรณีบริษัทฯ ผ่านการคัดเลือกตามเกณฑ์ที่ สนพ. กำหนด แต่ไม่ไปทำสัญญาขอรับเงินสนับสนุนฯ กับ กฟผ. ภายในเวลาที่กำหนด
2.3 รายที่ 4 ถึง 6 ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้งกับ กฟผ. เพื่อจัดทำโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อการลงนามในสัญญากับ กฟผ. แล้ว แต่คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อ 9 ธันวาคม 2546 ได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้ดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทาน และให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคนิค จึงเป็นเหตุที่ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินโครงการดังกล่าวได้
สนพ. เห็นว่า กฟผ. ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินโรงไฟฟ้าขนาดเล็กท้ายเขื่อนชลประทานทั้ง 3 แห่ง ทั้งด้านเทคนิค สังคมและสิ่งแวดล้อม แต่เหตุที่ทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถทำสัญญาขอรับการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าส่วนเพิ่มกับ กฟผ. ได้ทันภายในเวลาที่กำหนดเกิดจากมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
กรณีที่เกิดขึ้นข้างต้นไม่ได้ระบุไว้ในเอกสารเชิญชวนฯ สนพ. จึงอาศัยข้อความที่ระบุไว้ในเอกสารเชิญชวนฯ ข้อ 10 "ในกรณีที่ข้อความในเอกสารเชิญชวนฯ ไม่ชัดเจน......ให้คำวินิจฉัยของ สนพ. ถือเป็นเด็ดขาด" จึงเห็นว่าควรจะคืนหนังสือค้ำประกันซองให้บริษัทฯ ทั้ง 3 ราย อย่างไรก็ตามโครงการสนับสนุนค่าพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่ใช้พลังงานหมุนเวียนนี้ ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สนพ. จึงเสนอต่อฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อเสนอคณะกรรมการกองทุนฯ โปรดพิจารณาเรื่องการคืนหลักประกันซอง ตามที่ สนพ. เสนอมา
มติที่ประชุม
ให้ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว
กบง. ครั้งที่ 16 - วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 4/2559 (ครั้งที่ 16)
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 09.30 น.
1. รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
3. ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
4. ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายทวารัฐ สูตะบุตร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานความคืบหน้าการลอยตัวราคา NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 กบง. มีมติเห็นชอบ Roadmap การปรับโครงสร้างราคาก๊าซ NGV ดังนี้ (1) เห็นชอบให้ลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซ NGV ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร แบบมีเงื่อนไข โดยตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 ถึง 15 กรกฎาคม 2559 ให้ ปตท. กำหนดเพดานราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ 13.50 บาทต่อกิโลกรัม แต่หากต้นทุนราคาก๊าซ NGV อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 13.50 บาทต่อกิโลกรัม ให้ปรับราคา ขายปลีกก๊าซ NGV ลง และตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2559 เป็นต้นไป ให้ปรับราคาก๊าซ NGV สำหรับรถยนต์ทั่วไป ให้สะท้อนต้นทุน ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปรับให้สะท้อนกับต้นทุนราคาเฉลี่ย Pool Gas ในวันที่ 16 ของทุกเดือน รวมทั้งให้คงราคา ขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับรถโดยสารสาธารณะไว้ที่ 10.00 บาทต่อกิโลกรัม และปรับเพิ่มวงเงินช่วยเหลือสำหรับ กลุ่มรถโดยสารสาธารณะจากเดิมที่ได้รับในวงเงิน 9,000 และ 35,000 บาทต่อเดือน เป็น 10,000 และ 40,000 บาทต่อเดือน จนกว่าจะมีกลไกถาวรอื่นมาดูแลแทน เช่น พรบ. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และ (2) เห็นชอบการปรับ ค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักตามระยะทางจริง โดยขอความร่วมมือ ปตท. ให้คิดค่าขนส่งโดยใช้อัตราค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร ในการคำนวณแต่สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
2. ปัจจุบัน ต้นทุนก๊าซ NGV คำนวณภายใต้หลักเกณฑ์ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้ใช้ค่าใช้จ่ายดำเนินการเฉพาะเอกชนที่ 3.4367 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจากการคำนวณราคาขายปลีกก๊าซ NGV พบว่า ราคาขายปลีกก๊าซ NGV เดือนมกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ 2559 อยู่ที่ 13.92 และ13.66 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนต้นทุนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก ปัจจุบันคิดในอัตรา 0.0120 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร และคิดค่าขนส่งก๊าซ NGV สูงสุดที่ไม่เกิน 1.84 บาทต่อกิโลกรัม แต่ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2559 และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ก๊าซ NGV โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมาก สนพ. จึงได้มีการประชุมหารือร่วมกับ ปตท. เรื่องแผนการปรับค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลัก สรุปได้ดังนี้ (1) ต้นทุนก๊าซ NGV ตามหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ NGV (ภายในรัศมี 50 กิโลเมตร) ในปัจจุบันบวกค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่ 0.0150 บาทต่อกิโลกรัมต่อกิโลเมตร (สูงสุดได้ไม่เกิน 4 บาทต่อกิโลกรัม) และ (2) ควรให้คงราคาขายปลีกก๊าซ NGV ที่จำหน่ายในสถานีบริการ NGV ที่อยู่ห่างไกลจากสถานีหลักมากกว่า 250 กิโลเมตรไว้ที่ 15.34 บาทต่อกิโลกรัม (ไม่รวมภาษี อบจ.) ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม 2559 และตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 ให้มีการทยอยปรับราคาขายปลีกก๊าซ NGV สำหรับในสถานีที่อยู่ในช่วงระยะทางดังกล่าว ทั้งนี้ โดยให้สะท้อนค่าขนส่งก๊าซ NGV นอกรัศมี 50 กิโลเมตรจากสถานีหลักที่สูงสุดที่ 4 บาทต่อกิโลกรัม ในเดือนพฤศจิกายน 2559
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2558 กบง. ได้เห็นชอบหลักการการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ประกอบด้วย (1) เน้นให้เป็นการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เองในบ้านและอาคารเป็นหลักแล้วจึงขายไฟฟ้าส่วนที่เกินให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายให้น้อยที่สุด (2) มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) รับไปดำเนินโครงการฯ ในรูปแบบโครงการนำร่อง (Pilot Project) ก่อน และให้ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) คัดเลือกพื้นที่ในการดำเนินโครงการนำร่อง (3) ให้ พพ. สนพ. และการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ประเมินผลโครงการ หากบรรลุเป้าหมายที่กำหนดก็ให้พิจารณาแนวทางขยายผลการปฏิบัติไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และ (4) รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ให้ กบง. ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป
2. พพ. ได้ประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการนำร่อง สรุปได้ดังนี้ (1) ร่วมกันกำหนดเป้าหมายโครงการ กลุ่มเป้าหมาย พื้นที่เป้าหมาย ขนาดกำลังผลิตติดตั้ง และรูปแบบโครงการ (2) นำระเบียบเดิมของ กฟภ. และ กฟน. มาปรับใช้รองรับโครงการนำร่องฯ (3) ขั้นตอนดำเนินการ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก คือ 1) การปรับปรุงกฎระเบียบ 2) การประกาศเปิดรับสมัคร 3) การพิจารณาตอบรับ เข้าร่วมโครงการ 4) การติดตั้งระบบ และ 5) ตรวจสอบระบบเชื่อมต่อ (4) ข้อจำกัดทางเทคนิคที่ต้องคำนึงในการดำเนินโครงการ ได้แก่ ข้อกำหนดปริมาณกำลังไฟฟ้า และข้อจำกัดปริมาณการติดตั้ง (5) ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ประกอบด้วย รูปแบบการสนับสนุน การกำกับดูแล การติดตามผล การตรวจวัดข้อมูล การอำนวยความสะดวกในการสมัครเข้าร่วมโครงการ (6) กำหนดปริมาณการติดตั้งที่ 100 MWp ตามลำดับการยื่นขอ จนกว่าจะครบ 100 MWp โดยติดตั้งในพื้นที่ของ กฟน. และ กฟภ. (7) ระยะเวลาดำเนินโครงการ 1 ปี โดยสิ้นปี 2559 จะมีการติดตามและประเมินผลกระทบ เรื่องความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเสนอแนวทางการส่งเสริมในระยะต่อไป
3. วันที่ 5 มกราคม 2559 กบง. ได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานโครงการนำร่อง ที่ พพ. นำเสนอและ มอบหมายให้พิจารณาเพิ่มเติมในประเด็นดังต่อไปนี้ (1) การซื้อขายไฟฟ้าในอนาคต ควรมีการพิจารณาราคาให้เหมาะสม (2) ควรมีการศึกษาระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าให้ชัดเจนก่อนดำเนินการ (3) การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายควรมีการศึกษาแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาทางเทคนิค จากการเกิดกระแสไฟฟ้าไหลย้อนจากการดำเนินการโครงการนำร่องและ (4) เพื่อให้การดำเนินการเกิดความชัดเจนมากขึ้น ควรมีการจัดตั้งคณะทำงานเข้ามากำกับดูแลการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งต่อมา พพ. ได้จัดตั้งคณะทำงานกำหนดแนวทางและประสานงาน กำกับติดตามโครงการ นำร่องฯ และได้มีการจัดประชุมแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2559 และเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2559 และมีผลสรุปแนวทางการดำเนินงานดังนี้ (1) คณะทำงานฯ ได้เห็นชอบให้จัดทำหลักเกณฑ์และแนวทางการดำเนินการโครงการนำร่องฯ เฉพาะเช่นเดียวกับโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากโซล่ารูฟในระบบ FiT ในปี 2556 และเพิ่มเติมในปี 2558 และเมื่อคณะทำงานฯ เห็นชอบแล้ว ให้นำส่งให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาออกระเบียบว่าด้วยการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอย่างเสรี (สำหรับโครงการ นำร่องฯ) และออกประกาศต่อไป (2) คณะทำงานฯ พิจารณาเห็นชอบให้สถาบันวิจัยพลังงาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันที่มีประสบการณ์ในการศึกษาจัดทำ Solar PV Roadmap ของประเทศไทย ศึกษาวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ของระบบพลังงานแสงอาทิตย์และผลกระทบด้านเทคนิคของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ต่อระบบไฟฟ้า รวมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ (3) พื้นที่โครงการนำร่องของ กฟน. เป็นพื้นที่ทั้งหมดในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ส่วนพื้นที่โครงการนำร่องของ กฟภ. ได้เสนอนำร่องใน 2 พื้นที่ คือ พัทยา และเกาะสมุย ต่อมา กฟภ. ได้เสนอคณะทำงานฯ ขอปรับเป็นพื้นที่ทั่วประเทศในเขตบริการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (4) คณะทำงานฯ พิจารณาว่า ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการฯ คงต้องใช้ระยะเวลาดำเนินการนานกว่าที่ พพ. เคยนำเสนอ กบง. ไว้เดิม เนื่องจากต้องมีการเพิ่มขั้นตอนการออกระเบียบและประกาศเข้าร่วมโครงการฯ โดยจากเดิมคาดว่าจะเปิดรับสมัครในเดือนมีนาคม 2559 และเริ่มติดตั้งในเดือนเมษายน 2559 นั้น จึงได้ปรับปรุงกำหนดการใหม่ โดยจะทำการประชาสัมพันธ์และเริ่มรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการฯ ได้ในเดือนกรกฎาคม 2559 และเริ่มดำเนินการติดตั้งในช่วงเดือนธันวาคม 2559 – มกราคม 2560 พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลโครงการตั้งแต่เดือนมกราคม 2560
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง ข้อสรุปการแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้าชีวมวล
สนพ. ขอถอนวาระออกก่อน โดยจะนำเสนอในการประชุม กบง. ครั้งต่อไป
เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ....
สรุปสาระสำคัญ
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถูกจัดตั้งตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่องกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือในการป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้รักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศจากความผันผวนของราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่เกิดจากความผันผวนดังกล่าวให้น้อยที่สุด แต่เนื่องจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ตั้งแต่เริ่มจนถึงปัจจุบัน ยังมีปัญหาและยังมีความไม่ชัดเจนในการดำเนินงานบางประการที่ต้องแก้ไข เช่น การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามความเห็นของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และการนำเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปใช้เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันจนทำให้เกิดการบิดเบือน ราคาไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง เป็นต้น ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องยกร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... (พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ) ขึ้นมาใหม่ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของกองทุนน้ำมันฯ วัตถุประสงค์ การบริหารงาน และแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ เพื่อให้ พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2558 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะประธาน กบง. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางปฏิรูปกฎหมายเกี่ยวกับกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้มีการศึกษาแนวทางในการปฏิรูปบทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์ของกองทุนน้ำมันฯ และการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อันเป็นการเตรียมการเสนอแนะนโยบายและมาตรการทางด้านพลังงาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ดำเนินการประชุมเพื่อร่วมพิจารณายกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... แล้ว จำนวน 4 ครั้ง ซึ่ง สนพ. ได้ดำเนินการยกร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการฯ สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ (1) ร่าง พ.ร.บ. กองทุนน้ำมันฯ พ.ศ. .... มี 7 หมวด และบทเฉพาะกาล จำนวน 42 มาตรา โดยหมวด 1 การจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ เป็นการกำหนดวัตถุประสงค์ของกองทุนฯ หมวด 2 การบริหารกิจการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 3 สำนักงานกองทุนน้ำมันฯ กำหนดฐานะ อำนาจหน้าที่ของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 4 การดำเนินการของกองทุนน้ำมันฯ หมวด 5 พนักงานเจ้าหน้าที่ กำหนดอำนาจหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน หมวด 6 การบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผล และหมวด 7 บทกำหนดโทษ และบทเฉพาะกาล (2) ให้ กบง. ยังคงมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกองทุนน้ำมันฯ เหมือนเดิม (3) โอนอำนาจหน้าที่ของ สบพน. และคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (อบน.) มารวมไว้ใน พ.ร.บ. นี้ (4) มาตรา 3 เป็นการกำหนดบทนิยามเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสะดวกในการใช้งาน (5) มาตรา 4 เป็นการกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานรักษาการตาม พ.ร.บ. นี้ (6) มาตรา 5 เป็นบทการจัดตั้งกองทุนน้ำมันฯ และกำหนดวัตถุประสงค์ (7) มาตรา 6 และ มาตรา 7 เป็นการกำหนดเงินและทรัพย์สิน (8) มาตรา 8 เป็นการกำหนดการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (9) มาตรา 9 ถึง มาตรา 13 เป็นการกำหนดคุณสมบัติ วาระการดำรงตำแหน่ง และการพ้นตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ การประชุมและการได้รับเบี้ยประชุม (10) มาตรา 14 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันฯ (11) มาตรา 15 และมาตรา 16 เป็นการจัดตั้งสำนักงาน กองทุนน้ำมันฯ ขึ้นเป็นนิติบุคคล (12) มาตรา 17 ถึงมาตรา 22 เป็นการกำหนดผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารสำนักงาน (13) มาตรา 23 กำหนดให้กองทุนน้ำมันฯ มีสถานะเพียงพอเพื่อใช้ในการบริหารการจัดการกองทุนน้ำมันฯ (14) มาตรา 24 ในกรณีเกิดวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง ให้คณะกรรมการประกาศและดำเนินการตามแผนรองรับกรณีวิกฤติตามแนวทางและนโยบายที่ กพช. ให้ความเห็นชอบ (15) มาตรา 25 ถึงมาตรา 30 เป็นการกำหนดแนวทางปฎิบัติ ให้ชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเงินเข้า และการจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ (16) มาตรา 31 เป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ ของพนักงานเจ้าหน้าที่ (17) มาตรา 32 เป็นการกำหนดการดำเนินการด้านการบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลของกองทุนน้ำมันฯ (18) มาตรา 33 ถึง มาตรา 36 เป็นการกำหนดบทลงโทษ เพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. และ (19) มาตรา 37 ถึง มาตรา 42 เป็นการกำหนดบทเฉพาะกาลเพื่อให้การบังคับใช้ พ.ร.บ. เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทุนน้ำมันฯ
มติของที่ประชุม
มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับไปปรับปรุง และแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของที่ประชุม และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2559 เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติต่อไป
ครั้งที่ 14 - วันพฤหัสบดี ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2549
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 3/2549 (ครั้งที่ 14)
วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2549 เวลา 09.30 น.
ณ ห้องประชุม 603 ชั้น 6 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เดือนพฤษภาคม 2549)
2. ผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีงบประมาณ 2547 และ 2548
4. การเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี 5
5. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ในการใช้ก๊าซเอ็นจีวีในรถยนต์
6. การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
7. โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer)
8. โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายวิเศษ จูภิบาล) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (เดือนพฤษภาคม 2549)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบ เดือนพฤษภาคม 2549 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 0.73 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 70.53 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 0.04 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากผู้นำอิหร่านยังคงยืนยันสิทธิที่จะทดลองพลังงานนิวเคลียร์ต่อไปและโอเปคไม่ลดเพดานการผลิตในการประชุมเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2549 ที่ประเทศเวเนซูเอล่า
2. ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดจรสิงคโปร์ เดือนพฤษภาคมราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95 , 92 และดีเซลหมุนเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.80, 86.17 และ 84.21 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น จากเดือนที่แล้ว 5.32, 5.70 และ 0.94 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากโรงกลั่นในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งปิดซ่อมบำรุง และตลาดในภูมิภาคยังคงมีความต้องการซื้อเข้ามาจากผู้ซื้อหลัก ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ส่วนดีเซลหมุนเร็วปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจาก บริษัท Pertamina ในไนจีเรียต้องการนำเข้าน้ำมันดีเซล ในเดือนมิถุนายนเพิ่มอีก 600,000 บาร์เรล เพื่อใช้ในโรงไฟฟ้าที่เกิดปัญหาในระบบท่อส่งก๊าซ ขณะที่อุปทานในภูมิภาคลดลงจากโรงกลั่นหลายแห่งอยู่ในช่วงปิดซ่อมบำรุง
3. ราคาขายปลีก เดือนพฤษภาคมผู้ค้าน้ำมันยกเว้น ปตท และเชลล์ ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.50, 0.55 และ 0.50 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล หมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร ส่วนเชลล์ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 3 ครั้งๆ ละ 0.50, 0.55 และ 0.50 บาท/ลิตร และปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วลดลง 0.40 บาท/ลิตร และ ปตท. ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น 2 ครั้งๆ ละ 0.50 และ 0.55 บาท/ลิตร โดยราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 และดีเซลหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2549 อยู่ที่ระดับ 29.89, 29.09 และ 27.24 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เดือนพฤษภาคม 2549 การจัดเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันชนิดต่างๆ ยังไม่เปลี่ยนแปลงในอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ฐานะกองทุน น้ำมันฯ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2549 มีเงินสดสุทธิจำนวน 10,008 ล้านบาท หนี้สินค้างชำระจำนวน 68,089 ล้านบาท หนี้พันธบัตรจำนวน 26,400 ล้านบาท หนี้สถาบันการเงินอายุ 2.5 ปีจำนวน 26,605 ล้านบาท หนี้ เงินชดเชยตรึงราคาค้างชำระจำนวน 1,422 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG จำนวน 10,367 ล้านบาท ดอกเบี้ยค้างประจำเดือนจำนวน 159 ล้านบาท และหนี้เงินคืนกรณีอื่นๆ จำนวน 159 ล้านบาท ฐานะกองทุน น้ำมันฯ สุทธิติดลบ 58,081 ล้านบาท และคาดว่าจะมีเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในเดือนมิถุนายนประมาณ 2,611 ล้านบาท โดยที่กองทุนฯ จะไม่ต้องชำระหนี้ธนาคารรวม 8,800 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายนจึงส่งผลให้กองทุนฯ จะมีรายรับมากกว่ารายจ่าย จำนวน 1,978 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 ผลการตรวจสอบงบการเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับปีงบประมาณ 2547 และ 2548
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามระเบียบกระทรวงพลังงานว่าด้วยการฝากและเบิกจ่ายเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2546 ได้กำหนดให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (สบพ.) จัดทำบัญชี และรายงานการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ทุกสิ้นระยะเวลาบัญชีและให้ตรวจสอบภายในเกี่ยวกับการดำเนินงานอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และรายงานให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานทราบ
2. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ตรวจสอบงบการเงินสำหรับสิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547 ของกองทุนน้ำมันฯ และได้แจ้งผลพร้อมมีข้อสังเกตของการตรวจสอบให้ สบพ. สรุปได้ดังนี้
2.1 ฐานะการเงินของกองทุนน้ำมันฯ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2548 และ 2547 มีรายได้ต่ำกว่า ค่าใช้จ่ายสะสม เป็นจำนวนเงิน -78,359.5 ล้านบาท และ - 28,259.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีรายได้จาก การดำเนินงานต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และหนี้สินรวมเป็นจำนวน 81,080.1 ล้านบาท และ 29,332.6 ล้านบาท ตามลำดับ แต่ทั้งนี้ กองทุนน้ำมันฯ มีผลลัพธ์ของรายได้จากดำเนินการในปี 2548 สูงกว่าปี 2547 ขณะที่งบกระแสเงินสดของกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 และ 2547 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือเป็นจำนวนเงิน 1,254.0 ล้านบาท และ 805 ล้านบาท ตามลำดับ
2.2 ข้อสังเกตจากการตรวจสอบบัญชี พบว่า ระบบบันทึกบัญชีของกองทุนน้ำมันฯ ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่ยากต่อการปฏิบัติทางบัญชี และการรับรู้รายได้จากเงินส่งเข้ากองทุนฯ ซึ่งจะได้รับข้อมูลนำส่งเข้ากองทุนและเงินชดเชยราคาน้ำมันจากกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร กองทุนฯ ยังไม่มีข้อมูลที่สามารถสอบยืนยันจำนวนเงินที่หน่วยงานทั้งสองนำฝากเข้าบัญชีได้ ทำให้กองทุนฯ ต้องบันทึกบัญชีพักไว้เป็นบัญชีเงินรับรองการตรวจสอบซึ่งทำให้ไม่สามารถรับรู้จำนวนเงินนำส่งในเดือนกันยายนที่เป็นรายได้ของกองทุนฯ ให้ทันต่อการจัดทำงบการเงินประจำปี
2.3 ข้อเสนอแนะของ สตง. เห็นว่ากองทุนฯ ควรจัดหาโปรแกรมสำเร็จรูปเฉพาะงานมาใช้ โดยมีการออกแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานและง่ายต่อความเข้าใจรวมทั้งจัดให้มีระบบสำรองข้อมูลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อข้อมูลสูญหาย ส่วนประเด็นข้อสังเกตเกี่ยวกับการรับรู้รายได้ฯ เห็นว่า กองทุนฯ ต้องรับ ข้อมูลโดยตรงจากผู้มีหน้าที่นำส่งเงินเข้ากองทุนฯ ซึ่งทำให้สามารถรับรู้รายได้ในงบการเงินได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ โดยนำเทคโนโลยีการสื่อสารเข้ามาใช้ระบบการจัดเก็บรายได้ และจัดประชุม/สัมมนาชี้แจงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ
2.4 ปัจจุบัน สบพ. ได้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาเชื่อมต่อกับระบบโปรแกรมพร้อมทั้งศึกษารูปแบบและวิธีการที่จะปฏิบัติได้โดยต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. ปัจจุบันแนวโน้มราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น กำลังการผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติเห็นชอบ "แผนยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานของประเทศ" ซึ่งประกอบด้วย การจัดหาแหล่งพลังงาน การเร่งใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน เช่น ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ ไบโอดีเซล และถ่านหิน รวมทั้งการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และต่อมาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2549 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบ "มาตรการแก้ไขปัญหาพลังงานระยะสั้น (มิถุนายน-สิงหาคม 2549) และระยะยาว เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาปัญหาราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นแก่ประชาชน และกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์ หรือ NGV เป็นมาตรการหนึ่งที่ภาครัฐกำหนดให้เป็นมาตรการใช้พลังงานทดแทนน้ำมันอย่างยั่งยืน
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จึงเห็นควรเร่งให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง เกิดความมั่นใจ ยอมรับ และสนใจปรับเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาใช้ก๊าซธรรมชาติแทน จึงได้จัดทำโครงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภาคขนส่งขึ้น เพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่กลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ รวมถึงนโยบายของรัฐ เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นข้อมูล หรือทางเลือกสำหรับการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพื่อสร้างกระแสการรับรู้ เกิดทัศนคติที่ดีต่อการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ สนใจที่จะทดลองและเปลี่ยนจากการใช้น้ำมันมาใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทน พร้อมทั้งเพื่อสร้างความมั่นใจแก่กลุ่มเป้าหมายในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย และความเพียงพอของสถานีบริการ ตลอดจนเพื่อประชาสัมพันธ์ผลงาน และ ผลสำเร็จของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ จากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
3. สำหรับกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ประกอบด้วย กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ เจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล เจ้าของธุรกิจรถบริการ/รถสาธารณะ และผู้ลงทุน/ผู้ประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ สถานีบริการก๊าซธรรมชาติ และกลุ่มเป้าหมายรอง ได้แก่ สื่อมวลชน ผู้นำความคิด อาทิ คอลัมน์นิสต์ นักวิชาการ เป็นต้น และหน่วยงาน ภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการขนส่งทางบก สมาคมผู้ประกอบการรถแท๊กซี่ เป็นต้น
4. แนวทางการดำเนินงาน โดยประชาสัมพันธ์ด้วยการจัดจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ในการวางแผนการผลิต การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ และซื้อสื่อเพื่อเผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์ โดยกิจกรรมประชาสัมพันธ์ประกอบด้วยการผลิตและเผยแพร่สารคดีสั้นผ่านสื่อโทรทัศน์ และวิทยุ เผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบคอลัมน์ประจำผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ การออกแบบ และผลิต Web page NGV และ/หรือพลังงานทดแทน การจัดกิจกรรมและดูงาน กับสื่อมวลชน และการจัดสัมภาษณ์ผู้บริหารทาง โทรทัศน์
5. โครงการจะใช้งบประมาณจำนวนเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) ในการดำเนินงาน โดยมีระยะเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2549 - มกราคม 2550 (8 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญา)
6. ผลที่คาดว่าจะได้รับคือ ทำให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ พลังงานทดแทนอื่นๆ รวมถึง นโยบายของรัฐ และการสนับสนุนการใช้พลังงานทดแทนในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อประหยัดพลังงาน และสามารถนำไปใช้เป็นทางเลือกสำหรับการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และทำให้เกิดกระแสการรับรู้ เกิดทัศนคติที่ดีต่อก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์และพลังงานทดแทน รวมทั้งเกิดความมั่นใจในเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัย ความเพียงพอของสถานีบริการเชื้อเพลิง NGV
7. เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2548 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานได้อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2549 - 2553 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายบริหารกองทุนของทุกหน่วยงานจำนวน 376.1534 ล้านบาท และงบประมาณสำรองปีละ 80 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ด้วยภารกิจเร่งด่วนที่ สนพ. และกรมธุรกิจพลังงานจะต้องดำเนินการโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดรับกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย จึงจำเป็นต้องขอรับเงินสนับสนุนจากงบประมาณสำรองมาใช้เพื่อการดังกล่าว
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินกิจกรรมในโครงการรณรงค์และประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานในภาคขนส่งให้กับ สนพ. ในวงเงิน 20,000,000 บาท (ยี่สิบล้านบาทถ้วน) (โดย รายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบวาระที่ 4.1)
เรื่องที่ 4 การเพิ่มอัตราเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงดีเซลหมุนเร็ว บี 5
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 ได้มีมติให้กระทรวงพลังงานส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซลจากปาล์ม สำหรับราคาจำหน่ายปลีกให้ควบคุมราคาให้เหมาะสม ตามกลไกตลาดและให้แข่งขันได้กับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปกติ โดยอาจกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อชดเชยราคาจำหน่ายปลีกไบโอดีเซลได้ตามความจำเป็น
2. โครงการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) และ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการจัดจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 โดยที่ราคาขายปลีกต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ 50 สตางค์/ลิตร ซึ่งปัจจุบัน ปตท.และบางจาก มีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 23 แห่ง และ 12 แห่ง ตามลำดับ
3. การผลิตและจำหน่ายไบโอดีเซล ปัจจุบันปริมาณ CPO (Crude Palm Oil) ที่ล้น Stock มีปริมาณ 1,200,000 ลิตร/วัน โดยมีโรงงานที่ผลิต B100 จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ โรงงานสยามน้ำมันพืช ไทยไบโอดีเซลออยล์ ราชาไบโอดีเซล และไบโอเอนเนอยี่พลัส ซึ่งกำลังการผลิตรวมทั้ง 4 โรงงานเท่ากับ 274,000 ลิตร/วัน ดังนั้น CPO คงเหลือในตลาด 926,000 ลิตร/วัน ประกอบกับปริมาณการจำหน่าย B5 ของ ปตท. และ บางจาก เท่ากับ 100,000 ลิตร/วัน
4. เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นในด้านราคาจำหน่ายของน้ำมันไบโอดีเซล จึงต้องมีการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรือจ่ายชดเชยแตกต่างไปจากอัตราปกติ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ดังนี้
4.1 การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จะประกอบด้วย คุณลักษณะน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่แตกต่างจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ
4.2 ให้มีการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
4.3 ความคล่องตัวในการเปลี่ยนแปลงอัตรา เนื่องจากการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ในข้อ 2 มีความไม่แน่นอนจึงไม่อาจกำหนดเป็นอัตราคงที่ได้ ดังนั้น จึงเห็นควรให้ กบง. เห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ประธานคณะกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการฯ ในการกำหนดรายละเอียด ในหลักเกณฑ์วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และให้ผู้อำนวยการ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 ในกรณีการเพิ่มหรือลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนดังกล่าวไม่เกิน 0.50 บาท/ลิตร/ครั้ง ทั้งนี้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของ น้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 รวมแล้วจะต้องไม่เกิน 2.50 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการให้มีการกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 ประกอบด้วย คุณลักษณะน้ำมัน ภาษีสรรพสามิต ภาษีเทศบาล และกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่แตกต่างจากราคาน้ำมันดีเซล หมุนเร็วปกติ และในส่วนการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนส่งเสริมเพื่อการอนุรักษ์พลังงานให้เรียกเก็บเท่ากับอัตราที่เก็บจากน้ำมันดีเซลหมุนเร็วปกติ
ทั้งนี้ให้เรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5
2. มอบหมายให้ประธานคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติแทนคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานในการกำหนดรายละเอียดในหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติและการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินการต่างๆ ได้ตามความเหมาะสม และให้ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงานเป็นผู้ดำเนินการออกประกาศอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี 5 โดยที่จะไม่มีการนำเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ไปชดเชยราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5
3. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหารือร่วมกับกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ วิธีการปฏิบัติ และราคาน้ำมันไบโอดีเซล (B 100) ให้เหมาะสมต่อไป
4. เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสนับสนุนการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 5 จากปริมาณปาล์ม (CPO : Crude Palm Oil) ที่มีมากเกินความต้องการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เท่านั้น
สรุปสาระสำคัญ
1. จากปัจจุบันราคาน้ำมันทั้งในตลาดโลกและตลาดภายในประเทศได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งภาครัฐได้จัดหาพลังงานทางเลือกที่มีราคาถูกและสามารถผลิตได้ในประเทศมาใช้แทนน้ำมันคือ ก๊าซเอ็นจีวี (NGV) ซึ่งสามารถใช้ได้โดยตรงกับรถยนต์เพื่อทดแทนการใช้น้ำมันเบนซินและดีเซล และในการจะปรับเปลี่ยนการใช้ เชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นก๊าซ NGV ในรถยนต์ สิ่งจำเป็นต้องดำเนินการ คือ การดัดแปลงเครื่องยนต์ หรือใช้รถยนต์ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อใช้กับก๊าซ NGV รวมทั้ง ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สถานีบริการเติมก๊าซ NGV การจัดหาอุปกรณ์และเตรียมผู้ชำนาญการในการติดตั้งอุปกรณ์ ตรวจสอบความปลอดภัย เป็นต้น เพื่อให้การส่งเสริมการใช้ NGV ประสบความสำเร็จ กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ขึ้น โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 2.0 ล้านบาท (สองล้านบาทถ้วน)
2. สำนักความปลอดภัยธุรกิจธรรมชาติ กรมธุรกิจพลังงานได้จัดทำโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ก๊าซ NGV อย่างปลอดภัย เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ NGV อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสถานีบริการก๊าซ NGV ให้แพร่หลาย และให้บริการอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งส่งเสริมการเป็นผู้ตรวจสอบความปลอดภัยในการดัดแปลงเครื่องยนต์ NGV
3. สำหรับแนวทางการดำเนินโครงการเป็นการจัดสัมมนาและบรรยายในส่วนภูมิภาคของประเทศ จำนวนรวม 8 ครั้ง ครั้งละ 1 วัน พร้อมแจกสื่อและสิ่งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่างๆ รวมทั้งการสาธิตรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ณ สถานที่ของภาคเอกชนในส่วนภูมิภาคจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ราชบุรี ชลบุรี นครศรีธรรมราช และสงขลา โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนาครั้งละ 100 คน ประกอบด้วย 1) กลุ่มผู้ประกอบการกิจการภาคขนส่ง 2) กลุ่มผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดตั้ง ทดสอบ และ ตรวจสอบเครื่องยนต์ดัดแปลง 3) หน่วยงานภาครัฐ ในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และเทศบาล และ 4) ข้าราชการ/พนักงาน/ลูกจ้างและประชาชนทั่วไป ซึ่งระยะเวลาการดำเนินการ 6 เดือน (เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2549)
4. การประเมินผลโครงการฯ โดยวัดจากปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ที่จดทะเบียนเพิ่มขึ้น และ/หรือปริมาณการจำหน่ายก๊าซ NGV ในภาคขนส่งที่เพิ่มขึ้น ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิงในภาคขนส่งลดลง ช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ให้กับกรมธุรกิจพลังงานในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) ระยะดำเนินการ 6 เดือน (เดือนกรกฎาคม - ธันวาคม 2549) (โดยมีรายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบการประชุมวาระที่ 4.3)
เรื่องที่ 6 การขอรับเงินสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงานซึ่งมีภารกิจหลักเกี่ยวกับการกำกับควบคุมกิจการพลังงานในด้านคุณภาพ ความปลอดภัย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความมั่นคง โดยการกำกับดูแลตามกฎหมายและพัฒนามาตรฐานการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีมาตรฐานสูงขึ้น และเพื่อการยกระดับมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันและปลูกจิตสำนึกของประชาชนเกี่ยวกับความปลอดภัยให้เกิดเป็นรูปธรรมขึ้น กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) จึงจะจัดให้มีการรับรองมาตรฐาน "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ขึ้น เพื่อเป็นมาตรการในการสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการปรับปรุงมาตรฐานและระบบการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการให้บริการของตนเอง รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับประชาชน ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้รับบริการ และภาพพจน์ที่ดีของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน
2. สำนักความปลอดภัยธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิง กรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำโครงการปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ ขึ้น เพื่อการดังกล่าวโดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ด้วย มีวัตถุประสงค์ของโครงการ คือ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและการควบคุมคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อยกระดับมาตรฐานด้าน คุณภาพ ความปลอดภัย ความสะอาด สะดวก ของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงตระหนักและมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์และรับผิดชอบต่อสังคม โดยที่กลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ สถานีบริการ น้ำมันเชื้อเพลิงประเภท ก และประเภท ข ทั่วประเทศ ซึ่งรับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543
3. ลักษณะโครงการจะเป็นการจัดการเชิญชวนให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ที่ประสงค์จะขอรับ เครื่องหมายรับรองปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ จะต้องจัดทำคู่มือปฏิบัติการระบบการควบคุมคุณภาพ น้ำมันเชื้อเพลิงและความปลอดภัย และให้สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่รับน้ำมันเชื้อเพลิงจากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 ส่งรายชื่อสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงให้ ธพ. ประเมินเพื่อรับรองมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงในด้านคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง ปลอดภัย สะอาด สะดวก และ ธพ. จะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับรู้ถึง โครงการนี้เพื่อให้การรับรองมาตรฐานเป็นที่รับทราบแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง โดยตั้งเป้าหมายจะมีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ 1,000 แห่ง ในส่วนคู่มือปฏิบัติการระบบฯ ธพ. จะพิจารณา รายละเอียดของคู่มือให้ครอบคลุมทุกขั้นตอนที่กำหนดและขั้นตอนการดำเนินงานมีความน่าเชื่อถือ และสามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อผู้ค้าน้ำมันได้รับอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองแล้ว จะสามารถนำเครื่องหมายรับรองไปแสดง ณ สถานีบริการที่ ธพ. อนุญาตเท่านั้น
4. การดำเนินการของโครงการจะเป็นการกำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนการรับรองมาตรฐาน "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้กบริการ" และการจัดแถลงข่าวโครงการ พร้อมด้วยการประชาสัมพันธ์เชิญชวนสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการรับรองมาตรฐาน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงโครงการนี้ นอกจากนี้ มีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจประเมินและคัดเลือกลงตรวจสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่เข้าร่วมโครงการเพื่อตรวจประเมินรับรองระดับมาตรฐาน และการจัดพิธีมอบการรับรอง มาตรฐานให้แก่สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ผ่านการตรวจประเมิน โดยจะแบ่งการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 โดยจะจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และคณะทำงานดำเนินโครงการ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการ ร่างหลักเกณฑ์และกระบวนการรับรองมาตรฐานตามโครงการ พร้อมทั้งติดตามและประเมินผลการดำเนินการ จัดตั้งคณะทำงานตรวจประเมินและคัดเลือกในส่วนภูมิภาคและส่วนกลางเพื่อรับสมัคร คัดเลือก ตรวจประเมิน และรับรองมาตรฐานให้กับสถานีบริการน้ำมันที่เข้าร่วมโครงการ รวมทั้งการมอบสัญลักษณ์ระดับมาตรฐาน "ปั๊มปลอดภัย น่าใช้บริการ" ที่ผ่านเกณฑ์การรับรองตามโครงการ แล้วติดตามประเมินผลหลังการ ออกรับรองระดับมาตรฐาน
5. สำหรับส่วนที่ 2 เป็นการการดำเนินงานส่วนประชาสัมพันธ์โดยการจ้างที่ปรึกษา เพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการทางวิทยุหรือด้านอื่นๆ เพื่อเชิญชวนให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการและเป็นการเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการรับรองมาตรฐานของสถานีบริการน้ำมัน จัดงานแถลงข่าวเปิดโครงการ และส่วนที่ 3 คือ การดำเนินงานส่วนของบริษัทผู้ค้าน้ำมัน/ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมัน และประชาสัมพันธ์ไปยังสถานีบริการน้ำมันเครื่องหมายการค้าของตนเอง
6. โครงการได้กำหนดระยะเวลา ดำเนินการ 12 เดือน (กรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550) โดยใช้วงเงินงบประมาณ 3 ล้านบาทถ้วน โดยแบ่งเป็นงบประมาณส่วนงานตรวจประเมินและคัดเลือก 600,000 บาท และ งบประมาณส่วนงานประชาสัมพันธ์โดยจ้างที่ปรึกษา 2,400,000 บาท
7. ส่วนผลที่คาดว่าจะได้รับ โดยประชาชนผู้ใช้บริการจะได้รับความปลอดภัย สะอาดและสะดวก จากการให้บริการของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ และสถานีบริการน้ำมันได้ปรับปรุง พัฒนาและยกระดับคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการของตนเองให้ดีขึ้น และมีมาตรฐานที่ดี พร้อมทั้งสร้าง Brand Awareness ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการรับรองมาตรฐานสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ "ปั๊มคุณภาพ ปลอดภัย น่าใช้บริการ" ให้กับกรมธุรกิจพลังงานในวงเงิน 3,000,000 ล้าน (สามล้านบาทถ้วน) ระยะเวลา ดำเนินการ 12 เดือน (เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550) (โดยมีรายละเอียดของโครงการตามเอกสารประกอบวาระที่ 4.4)
เรื่องที่ 7 โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer)
สรุปสาระสำคัญ
1. ตามเป้าหมายการเพิ่มปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV จำนวน 300,000 คัน ในปี 2551 และเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คัน ในปี 2553 ของแผนยุทธศาสตร์พลังงานประเทศ เพื่อรองรับการดำเนินการตามเป้าหมายดังกล่าว จึงมีความจำเป็นต้องจัดเตรียมผู้ชำนาญการติดตั้งและปรับแต่งเครื่องยนต์ และผู้ตรวจและทดสอบความปลอดภัยของการติดตั้งที่เป็นไปตามกฎหมายให้เพียงพอกับปริมาณงานและความต้องการที่เพิ่มขึ้น กรมธุรกิจพลังงาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดการฝึกอบรมผู้ชำนาญการติดตั้ง โดยปัจจุบันได้ขอความอนุเคราะห์เจ้าหน้าที่จาก ปตท. และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเป็นวิทยากร จึงเห็นควรจัดทำ โครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ขึ้น เพื่อกระจายการผลิตวิทยากรดังกล่าวให้ทั่วประเทศ โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ
2. วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสร้างวิทยากรที่จะไปอบรมช่างติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV และเพื่อเพิ่มจำนวนผู้ตรวจและทดสอบการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV ตามกฎหมาย โดยการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ในการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV และการตรวจและทดสอบรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์แล้ว ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 10 ครั้ง ครั้งละ 5 วัน แบ่งเป็นภาคทฤษฎี 1 วัน และภาคปฏิบัติ 4 วัน ซึ่งจะจัด ฝึกอบรม 10 รุ่นๆ ละ 15 คน รวม 150 คน โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ อาจารย์ในวิทยาลัยอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัย และวิทยากรของสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยใช้สถานที่ขอรัฐหรือเอกชนในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นที่จัดฝึกอบรม สำหรับในส่วนภูมิภาคจะดำเนินการในจังหวัดที่มีศักยภาพในการใช้ NGV เช่น เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา ราชบุรี ชลบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช สงขลา เป็นต้น
3. โครงการจะดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550 โดยใช้งบประมาณ 8.39 ล้านบาท ซึ่งผลที่คาดว่าจะได้รับคือการติดตั้งอุปกรณ์รถยนต์ NGV เป็นไปตามเป้าหมาย และประชาชนได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย และมีทางเลือกใช้เชื้อเพลิงราคาประหยัด
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงินงบประมาณ 8,390,000 บาท (แปดล้านสามแสน เก้าหมื่นบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี (เดือนกรกฎาคม 2549 - มิถุนายน 2550)
เรื่องที่ 8 โครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานมีนโยบายและมาตรการเร่งด่วนให้รถยนต์ติดตั้งอุปกรณ์ NGV เพื่อส่งเสริมให้มีการใช้พลังงานอื่นทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง และช่วยรักษาดุลการค้าของประเทศ ตามนโยบายประหยัดพลังงานและลดการใช้น้ำมันของรัฐบาล จึงจำเป็นต้องมีสถานประกอบการติดตั้ง ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของผู้เข้ารับการติดตั้ง และได้รับความคุ้มครองตามความเหมาะสม รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจ โดยใช้หลักวิชาการที่ถูกต้อง มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานในระดับสากล และเป็นที่ยอมรับของผู้เข้ารับการ ติดตั้ง กรมธุรกิจพลังงานจึงได้จัดทำโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ
2. การจัดทำโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานสถานประกอบการฯ ให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของประชาชน และช่วยสร้างภาพพจน์และความรับผิดชอบธุรกิจการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ตลอดจนลดความเสี่ยงของผู้มารับการติดตั้งและผู้เกี่ยวข้องให้น้อยลง
3. วิธีการดำเนินงาน โดยประชาสัมพันธ์ได้สถานประกอบการฯ มีความประสงค์จะขอใบรับรองมาตรฐานสถานประกอบการฯ ยื่นคำขอรับใบรับรองจากคณะอนุกรรมการ โดยคณะอนุกรรมการดังกล่าวเป็นคณะกรรกมารเฉพาะกิจ ประกอบด้วย ผู้แทนจากส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และหลังจากนั้น คณะอนุกรรมการจะแต่งตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบสถานประกอบการฯ ผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับใบรับรองมาตรฐานฯ พร้อมป้ายแสดงมาตรฐานฯ จากคณะกรรมการ และกลุ่มเป้าหมายจะเป็นสถานประกอบการติดตั้งรถยนต์ NGV ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 163 แห่ง โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - กรกฎาคม 2550 และใช้วงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายจำนวน 2 ล้านบาท ซึ่งจะมีคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ
4. ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ จะมีสถานประกอบการฯ ที่ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ที่มีมาตรฐานความปลอดภัย และเป็นไปตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง เป็นที่ยอมรับของประชาชน
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 2,000,000 บาท (สองล้านบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการเป็นเวลา 1 ปี (ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2549 - กรกฎาคม 2550)
ครั้งที่ 24 - วันจันทร์ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2550
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 7/2550 (ครั้งที่ 24)
วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2550 เวลา 15.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1.แนวทางในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
3. การเรียกเก็บค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย (Energy Loss) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
6. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ตุลาคม - 28 พฤศจิกายน 2550)
8. รายงานผลการศึกษาดูงาน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
9. รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
10. รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้ NGV ในยานยนต์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ประธานฯ ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการออกประกาศเกี่ยวกับการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อให้ราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศสะท้อนราคาต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตามขั้นตอนโดยไม่มีผลกระทบต่อประชาชนมาก
เรื่องที่ 1 แนวทางในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2550 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติเห็นชอบแนวทางบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงภายหลังการใช้หนี้หมด โดยให้โอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามแผนงานปกติในระดับ 0.18 บาทต่อลิตร ค่าใช้จ่ายสนับสนุนโครงการพัฒนาระบบขนส่ง 0.50 บาทต่อลิตร และเพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิง 0.50 บาทต่อลิตร และเมื่อกองทุนน้ำมันฯ ได้สะสมเงินไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในภาวะฉุกเฉินและเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงได้เพียงพอแล้ว ให้เพิ่มการโอนอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ไปยังกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานสำหรับโครงการพัฒนาระบบขนส่งอีก 0.20 บาทต่อลิตร และต่อมา กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2550 ได้เห็นชอบการดำเนินการดังนี้
การโอนอัตราเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ให้แก่กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
หน่วย : บาท/ลิตร
ชนิดน้ำมัน | แผนงานปกติ | โครงการพัฒนาระบบการขนส่ง | |
ครั้งที่ 1 | ครั้งที่ 2 | ||
1) เบนซิน | 0.1800 | 0.5000 | 0.2000 |
2) แก๊สโซฮอล | 0.1870 | - | 0.2000 |
3) ดีเซลหมุนเร็ว | 0.1800 | 0.5000 | 0.2000 |
4) ไบโอดีเซลบี 5 | 0.1835 | - | 0.2000 |
วันที่เริ่มมีผลบังคับใช้ | วันที่ 17 ธ.ค. 2550 | เมื่อหนี้กองทุนน้ำมันฯ เป็น 0(ประมาณ ธ.ค. 50 - ม.ค.51) | วันที่ 1 ต.ค. 2551 |
2. เนื่องจากราคาน้ำมันในเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2550 ได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก ดังนั้น เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกในประเทศปรับตัวสูงขึ้นมากตามต้นทุนราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้า ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) จึงได้นำอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ที่เตรียมไว้สำหรับลดราคาขายปลีกน้ำมันมาปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน 91, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 3 ครั้ง ลดลงรวม 0.40, 0.60, 0.80 และ 1.10 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
3. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 มีเงินสดสุทธิ 13,496 ล้านบาท มีหนี้สินค้างชำระ 15,639 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิติดลบ 2,143 ล้านบาท ประมาณการรายได้สุทธิของกองทุนน้ำมันฯ อยู่ที่ระดับ 2,178 ล้านบาทต่อเดือน โดยคาดว่า ฐานะกองทุนน้ำมันฯ จะเป็นบวกประมาณปลายเดือนธันวาคม 2550
4. เพื่อเป็นการดำเนินการตามมติ กพช. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้เสนอให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.1800, 0.1870, 0.1800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่17 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป และเมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ เป็นศูนย์ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซินและดีเซลลงอีก 0.50 บาทต่อลิตร โดยมอบอำนาจให้ ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณากำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลงอีก 0.20 บาท/ลิตร ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. เพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. รับทราบการปรับลดอัตรากองทุนน้ำมันฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบราคาน้ำมัน
2. ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลง 0.1800, 0.1870, 0.1800 และ 0.1835 บาทต่อลิตร ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป
3. ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซินและดีเซลลง 0.50 บาทต่อลิตร เมื่อหนี้สินสุทธิของกองทุนน้ำมันฯ เป็นศูนย์ โดยมอบอำนาจให้ ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เป็นผู้พิจารณากำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมในการดำเนินการ
4. ให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันเบนซิน, แก๊สโซฮอล, ดีเซลและดีเซลหมุนเร็วบี 5 ลงอีก 0.20 บาทต่อลิตร เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2548 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาด้านพลังงานในการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล โดยเพิ่มสัดส่วนการผสมเอทานอลจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 20 หรือมากกว่า และสนับสนุนให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันซึ่งมีส่วนผสมของ เอทานอลร้อยละ 20 หรือสัดส่วนที่มากกว่า และต่อมาเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2550 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง และกระทรวงการคลังได้ออกประกาศลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกินสิบคน ประเภทใช้เชื้อเพลิงทดแทนที่มีกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงประเภทเอทานอลเป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20
2. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้ดำเนินการออกประกาศเรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2549 โดยกำหนดให้ปริมาณสารอะโรมาติกในน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 ไม่สูงกว่าร้อยละ 35 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป ต่อมากลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ได้มีหนังสือขอให้ ธพ. พิจารณาทบทวนผ่อนผันการกำหนดปริมาณสารอะโรมาติกในน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 ดังกล่าว เป็นไม่สูงกว่าร้อยละ 38 ในระหว่างปี 2551-2554 เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่โรงกลั่นกำลังดำเนินการปรับปรุงเพื่อเตรียมการผลิตน้ำมันตามมาตรฐานใหม่ (ยูโร 4) จึงเป็นเหตุให้โรงกลั่นน้ำมันบางแห่งยังไม่สามารถผลิตน้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีค่าอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 35 ได้ทันในวันที่ 1 มกราคม 2551
3. ธพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรฐานน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เพื่อรองรับรถยนต์ อี 20 ที่จะนำมาจำหน่ายในต้นปี 2551 และสนับสนุนให้มีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ในเชิงพาณิชย์ และพิจารณาผ่อนผันปริมาณสารอะโรมาติกในน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 โดย ธพ. ได้ดำเนินการออกประกาศกรมธุรกิจพลังงาน เรื่อง กำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมันแก๊สโซฮอล พ.ศ. 2550 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดมาตรฐานน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 และกำหนดมาตรฐานน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่ 1 มีสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 35 และชนิดที่ 2 มีสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 38 และ ธพ. ขอให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) พิจารณาเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 38 ให้สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอลที่มีสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 35 เพื่อให้มีข้อแตกต่างกับโรงกลั่นที่สามารถผลิตน้ำมันที่มีปริมาณสารอะโรมาติกไม่สูงกว่าร้อยละ 35
4. เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2550 สนพ. ธพ. และผู้ผลิตน้ำมัน ได้ร่วมหารือเพื่อให้สอดคล้องกับประกาศของ ธพ. โดยจากการประชุมดังกล่าว สนพ. พิจารณาแล้วเห็นควร ดังนี้
4.1 การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20
1) ให้กำหนดราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันพื้นฐานแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันเบนซิน 95 + 1.7 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสมและสามารถจูงใจให้มีการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20
2) เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้ผู้ค้าน้ำมันจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 มากขึ้น โดยควรกำกับดูแลค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ให้อยู่ในระดับที่ไม่น้อยกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน โดยใช้กลไกอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ เพื่อสนับสนุนให้มีการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ได้เร็วขึ้น โดยในช่วงแรกอาจให้ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 สูงกว่าค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ได้ระดับหนึ่ง จึงเห็นควรกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ให้เท่ากับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1)
4.2 การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 2) ที่มีปริมาณสารอะโรมาติกร้อยละ 38
1) ใช้หลักการกำหนดจากส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 50 กับน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 ที่มีการซื้อขายจริงในตลาดสิงคโปร์ แล้วใช้วิธีคำนวณหาส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ38 (ซึ่งไม่มีซื้อขายในตลาดสิงคโปร์)
2) จากข้อมูลราคาน้ำมันเบนซินที่มีการซื้อขายจริงในตลาดสิงคโปร์ในเดือนพฤศจิกายน 2550 พบว่า ราคาน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 50 กับน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 จะแตกต่างกันประมาณ 1 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งเมื่อคำนวณเป็นส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 กับน้ำมันเบนซินที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 38 จะอยู่ระดับ 0.20 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล หรือเท่ากับ 0.05 บาทต่อลิตร
5. การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ดังนี้
1) ให้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับ 80% ของ [ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันเบนซินออกเทน 95 + (1.7 $/BBL x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984)] + 20% ของราคาเอทานอล
2) ให้ระดับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล อี 20 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) ไม่น้อยกว่า 0.50 บาทต่อลิตร
3) ให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ เพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน
4) ในช่วงแรกให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) โดยมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ได้ตามความเหมาะสม
6. ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 2) ที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 38 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) ที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 เท่ากับ 0.05 บาท/ลิตร
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบการกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ดังนี้
1.1 ให้กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับ 80% ของ [ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมันเบนซินออกเทน 95 + (1.7 $/BBL x อัตราแลกเปลี่ยน /158.984)] + 20% ของราคาเอทานอล
1.2 ให้ระดับราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) ประมาณ 1.00 บาทต่อลิตร
1.3 ให้ใช้เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นกลไกในการรักษาระดับค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 ให้ไม่ต่ำกว่าค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน เช่นเดียวกับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10
1.4 ในช่วงแรกให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เท่ากับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) โดยมอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการปรับอัตราเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ตามความเหมาะสม
2. ให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 2) ที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 38 สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 ออกเทน 95 (ชนิดที่ 1) ที่มีสารอะโรมาติกร้อยละ 35 เท่ากับ 0.05 บาทต่อลิตร
ทั้งนี้ มอบหมายให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อมีผลบังคับใช้ต่อไป
เรื่องที่ 3 การเรียกเก็บค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย (Energy Loss) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
สรุปสาระสำคัญ
1. รัฐบาลได้มีนโยบายการส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจการผลิตไฟฟ้า โดยได้ออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) เมื่อปี 2535 เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สามารถรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานนอกรูปแบบ กากหรือเศษวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิง และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration ซึ่งเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานนอกรูปแบบและแหล่งพลังงานภายในประเทศให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น และเป็นการลดการลงทุนของภาครัฐในระบบผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า
2. การดำเนินงานตามนโยบายการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ที่ผ่านมา การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้ทำสัญญาเชื่อมโยงระบบกับ SPP โดยมี SPP 2 ราย คือ บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด และบริษัท น้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ จำกัด ที่ กฟภ. กำหนดให้ชำระค่าชดเชยการสูญเสียพลังงานไฟฟ้า (Loss) ให้กับ กฟภ. ขณะที่ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ไม่ได้กำหนดให้ SPP ต้องลงนามในสัญญาเพื่อจ่ายค่า Loss
3. เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2547 คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ได้พิจารณาเรื่อง ผลกระทบของ SPP ต่อการสูญเสียพลังงานในระบบไฟฟ้า และได้มีมติเห็นควรให้การรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ไม่ต้องคิดค่าชดเชย Loss ยกเว้นในกรณี SPP จำนวน 2 ราย ที่ได้ทำสัญญาชดเชย Loss กับ กฟภ. แล้ว โดยให้ กฟภ. ปรับปรุงวิธีการคิดค่าชดเชย Loss เช่น กำหนดรูปแบบมาตรฐานการเก็บข้อมูลสำหรับการคำนวณให้ชัดเจน ข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณควรใช้ค่าเฉลี่ยของความต้องการไฟฟ้า และข้อมูลกำลังการผลิตของ SPP โดยใช้ค่าเฉลี่ยรายเดือน นอกจากนี้ การคำนวณค่า Loss ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ให้ใช้ Single Line Diagram และใช้ข้อมูลป้อนรายเดือน เป็นต้น ทั้งนี้ กรณี SPP ที่ได้ทำสัญญาชดเชยค่า Loss กับ กฟภ. แล้ว หากต้องการยกเลิกสัญญาต้องเป็นการยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย หรืออาจตกลงกันว่าเมื่อค่า Loss มีค่าเป็นศูนย์ ให้ยุติการคิดค่าชดเชย Loss
4. บริษัท อมตะ เพาเวอร์ (บางปะกง) จำกัด ได้มีหนังสือถึง รมว.พน. แจ้งให้ทราบว่าบริษัทฯ ได้ทำสัญญาเชื่อมโยงระบบกับ กฟภ. เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 และได้มีการจ่ายชดเชยค่า Loss ตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 - กุมภาพันธ์ 2549 และต่อมา กฟภ. ได้แจ้งบริษัทฯ ว่า เดือนมีนาคม - มิถุนายน 2549 ไม่มีหน่วยสูญเสีย บริษัทฯ จึงได้มีหนังสือถึง กฟภ. ลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2549 เพื่อขอแก้ไขสัญญาเชื่อมโยงระบบสำหรับ SPP โดยขอให้ กฟภ. พิจารณายกเลิกการเก็บค่าชดเชย Loss ซึ่ง กฟภ. ได้พิจารณาแล้วเห็นควรให้คงข้อความตามสัญญาเชื่อมโยงระบบสำหรับ SPP ของบริษัทฯ ไว้เหมือนเดิม
5. คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2550 ได้พิจารณาเรื่อง การเรียกเก็บค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย (Energy Loss) ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
5.1 คณะอนุกรรมการฯ มีความเห็นและข้อเสนอแนะดังนี้ (1) กระทรวงพลังงานยังคงนโยบายให้การรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ไม่ต้องคิดค่าชดเชย Loss เนื่องจากผลกระทบจากการเชื่อมโยงกับระบบของ SPP กับการไฟฟ้า จะขึ้นอยู่กับกำลังผลิตและตำแหน่งที่ตั้งของ SPP ซึ่งบางตำแหน่งอาจช่วยลด Loss ในระบบได้ โดยการไฟฟ้าสามารถกำหนดหลักเกณฑ์การเชื่อมโยงระบบ และวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตั้งและขนาดที่เหมาะสมของ SPP ก่อนอนุญาตให้เชื่อมโยงกับระบบได้อยู่แล้ว และ (2) ปัจจุบันได้มีการขยายการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP เพิ่มขึ้น และมีการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ทำให้ในบางตำแหน่งอาจกระทบกับระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ ดังนั้น จึงเห็นควรพิจารณาทบทวนเรื่อง การเก็บค่าชดเชย Loss สำหรับ SPP และ VSPP โดยในกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายประสงค์ที่จะให้มีสัญญาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าและต้องการคิดค่าชดเชย Loss ก็ให้มีการคิดค่าชดเชย Loss บนหลักเกณฑ์ที่ เท่าเทียมกัน กล่าวคือ ให้มีการคิดค่าชดเชย Loss ในระบบที่เพิ่มขึ้นจาก SPP และ VSPP และมีการจ่ายค่าชดเชย Loss ในระบบของการไฟฟ้าที่ลดลงให้กับ SPP และ VSPP ด้วย
5.2 คณะอนุกรรมการฯ มีมติดังนี้ (1) เห็นชอบในหลักการให้การรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP และ VSPP ไม่ต้องคิดค่าชดเชย Loss และ (2) เห็นควรให้ กฟภ. ยกเลิกการคิดค่าชดเชย Loss ตามสัญญาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของ SPP ที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าสูญเสียมีค่าเป็นศูนย์แล้ว
6. เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 กพช. ได้มีมติมอบหมายให้ กบง. เป็นผู้วินิจฉัยปัญหาจากการปฏิบัติตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ในประเด็นที่ไม่ใช่ปัญหาด้านนโยบาย เพื่อให้การแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติที่มีลักษณะดังกล่าวสามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัวและรวดเร็ว และเสนอ กพช. เพื่อทราบต่อไป ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอให้พิจารณารับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ดังรายละเอียดข้อ 5.1และขอความเห็นชอบมติของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ดังรายละเอียดข้อ 5.2
มติของที่ประชุม
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ดังนี้
1.1 กระทรวงพลังงานยังคงนโยบายให้การรับซื้อไฟฟ้าจาก SPP ไม่ต้องคิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย เนื่องจากผลกระทบจากการเชื่อมโยงกับระบบของ SPP กับการไฟฟ้า จะขึ้นอยู่กับกำลังผลิตและตำแหน่งที่ตั้งของ SPP ซึ่งบางตำแหน่งอาจช่วยลด Loss ในระบบได้ โดยการไฟฟ้าสามารถกำหนดหลักเกณฑ์การเชื่อมโยงระบบ และวิเคราะห์ตำแหน่งที่ตั้งและขนาดที่เหมาะสมของ SPP ก่อนอนุญาตให้เชื่อมโยงกับระบบได้อยู่แล้ว
1.2 เห็นควรพิจารณาทบทวนเรื่อง การเก็บค่าชดเชย Loss สำหรับ SPP และ VSPP โดย ในกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายประสงค์ที่จะให้มีสัญญาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าและต้องการคิดค่าชดเชย Loss โดยให้คิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสียบนหลักเกณฑ์ที่เท่าเทียมกัน กล่าวคือ ให้คิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสียในระบบที่เพิ่มขึ้นจาก SPP และ VSPP และจ่ายค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย ในระบบของการไฟฟ้าที่ลดลงให้กับ SPP และ VSPP ด้วย
2. เห็นชอบตามมติของคณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้า ดังนี้
2.1 เห็นชอบในหลักการให้การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้า ขนาดเล็กมาก (VSPP) ไม่ต้องคิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย
2.2 เห็นควรให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยกเลิกการคิดค่าชดเชยพลังงานไฟฟ้าสูญเสีย ตามสัญญาเชื่อมโยงระบบไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าสูญเสียมีค่าเป็นศูนย์แล้ว
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันฯ เพื่อดำเนินโครงการผลิตวิทยากรการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ (Training the Trainer) ในวงเงิน 8.39 ล้านบาท เพื่อผลิตวิทยากรที่จะไปอบรมติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคต โดย ธพ. ได้ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ในการฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้กับเจ้าหน้าที่ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 150 คน แต่เนื่องจากในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 กรมพัฒนาฝีมือแรงงานไม่ได้จัดตั้งงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดซื้อชุดเครื่องมือ อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ให้กับหน่วยงานส่วนภูมิภาคและศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน
2. วันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินโครงการ "จัดซื้อชุดเครื่องมือ อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์" เพื่อจัดซื้อชุดเครื่องมือ อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ให้กับส่วนภูมิภาค หรือศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงานที่เป็นศูนย์กลางประจำภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวน 4 ชุด ในวงเงินงบประมาณ 10.6 ล้านบาท โดยมีสำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ระยะเวลาดำเนินโครงการ 6 เดือนนับจากวันที่ลงนามในสัญญา
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประจำดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน ชอบโครงการ ใช้ก๊าซบอากาศหรับฝึกติดตั้งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวนรวม 4 ชุดปีงบประมาณ 2551 ให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในการดำเนินโครงการจัดซื้อชุดเครื่องมือ อุปกรณ์และวัสดุที่ใช้ในการฝึกอบรมช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์ ในวงเงิน 10,600,000 บาท (สิบล้านหกแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือนนับจากวันที่ลงนามในสัญญา
สรุปสาระสำคัญ
1. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้รับการสนับสนุนเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อดำเนินโครงการ เสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ในวงเงิน 14.25 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2549 - 29 กุมภาพันธ์ 2551 มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ให้เพียงพอกับความต้องการในอนาคต โดย ธพ. ได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ในการจัดฝึกอบรมเพื่อผลิตผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV รวมทั้งจัดหาชุดเครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ให้กับวิทยาลัยเทคนิคในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการฯ เมื่อโครงการดำเนินการแล้วเสร็จจะมีสถานที่ตรวจและทดสอบที่ได้มาตรฐานทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 29 จังหวัด
2. เนื่องจากในปีงบประมาณ 2551 ตามแผนการขยายสถานีบริการ NGV ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะมีการกระจายของสถานีบริการฯ ในจังหวัดต่างๆ จำนวนกว่า 45 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อผลักดันยุทธศาสตร์การใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง ธพ. จึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ระยะที่ 2 ขึ้นโดยจัดฝึกอบรมเพื่อผลิตผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV รวมทั้งจัดหาชุดเครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ให้กับวิทยาลัยเทคนิคในสังกัดของสำนักงานคณะกรรมการฯ เพิ่มเติมอีก 16 จังหวัด
3. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 ธพ. ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันฯ ในการดำเนินโครงการ "เสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ระยะที่ 2" เพื่อเพิ่มจำนวนบุคลากรที่ทำหน้าที่ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ที่มีคุณสมบัติตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด และเพื่อเพิ่มสถานที่ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ให้กระจายไปในจังหวัดที่มีสถานีบริการ NGV ให้ครบถ้วนทั่วทั้งประเทศ ดำเนินการโดยจัดซื้อชุดเครื่องมือและอุปกรณ์สำหรับตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV จำนวน 16 ชุด และจัดฝึกอบรมบุคลากรจากวิทยาลัยเทคนิค จำนวน 16 จังหวัดๆ ละ 4 คน รวมทั้งหมด 64 คน ในวงเงินงบประมาณ 10.5 ล้านบาท โดยมีสำนักความปลอดภัยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ธพ. เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ มีระยะเวลาดำเนินโครงการ 9 เดือนนับจากวันลงนามในสัญญา
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประจำดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน ชอบโครงการ ใช้ก๊าซบอากาศหรับฝึกติดตั้งกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน จำนวนรวม 4 ชุดปีงบประมาณ 2551 ให้กับกรมธุรกิจพลังงาน ในการดำเนินโครงการเสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ระยะที่ 2 ในวงเงิน 10,500,000 บาท (สิบล้านห้าแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 9 เดือนนับจากวันลงนามในสัญญา
เรื่องที่ 6 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (ตุลาคม - 28 พฤศจิกายน 2550)
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์เฉลี่ยเดือนตุลาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 77.12 และ 82.45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 3.76 และ 5.63 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ เนื่องจากข่าวกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกาประกาศปริมาณสำรองน้ำมัน ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2550 ลดลงทุกชนิด ประกอบกับข่าวค่าเงินสกุลดอลล่าห์สหรัฐฯ อ่อนตัวลดลงต่ำสุด และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 28 พฤศจิกายน ราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 86.99 และ 92.82 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากค่าเงินดอลล่าห์สหรัฐฯ อ่อนตัวลงมากและแผ่นดินไหวในอิหร่านที่อาจมีผลต่ออุตสาหกรรมน้ำมัน และญี่ปุ่นยังคงนำเข้าน้ำมันอย่างต่อเนื่องเพื่อทดแทนพลังงานนิวเคลียร์ ประกอบกับ PIRA คาดว่าปริมาณการใช้น้ำมันเพื่อความอบอุ่นจะเพิ่มขึ้น รวมทั้งเหตุเพลิงไหม้หลุมขุดเจาะ Thistle Alpha บริเวณทะเลเหนือได้ส่งผลให้ปริมาณการผลิตประมาณ 5,000 บาร์เรลต่อวันได้หยุดดำเนินการชั่วคราว
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนตุลาคม 2550 อยู่ที่ระดับ 88.71, 87.46 และ 95.08 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 6.20, 6.11 และ 4.37 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและโรงกลั่น Dumai กำลังผลิต 120,000 บาร์เรลต่อวันของอินโดนีเซียจะปิดซ่อมบำรุงในช่วงเดือนพฤศจิกายน รวมทั้งข่าวเพลิงไหม้ที่โรงกลั่น S-Oil ของเกาหลีใต้และข่าว Chinese Petroleum Corp. ของไต้หวันลดการส่งออกน้ำมันดีเซลในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 120,000 ตัน และในช่วงวันที่ 1 - 28 พฤศจิกายน ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 100.42, 99.10 และ 106.96 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและอุปทาน Heating Oil ในยุโรปตึงตัวจากโรงกลั่น Gonfreville ในฝรั่งเศสเลื่อนกำหนดเดินเครื่องใหม่ออกไปอีก 1 สัปดาห์ ประกอบกับโรงกลั่น Yokkaichi (175,000 บาร์เรลต่อวัน) ของประเทศญี่ปุ่นเลื่อนการเดินเครื่องใหม่ (13,500 บาร์เรลต่อวัน) ออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งทำให้ราคาน้ำมันดีเซล 0.5%S ทำสถิติอยู่ในระดับสูงสุดอีกครั้งที่ 111.120 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
3. เดือนตุลาคม ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91แก๊สโซฮอล 95, 91 เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 3 ครั้ง และปรับราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 2 ครั้ง ดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้ง และเพิ่มขึ้น 0.10 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้งและในช่วงวันที่ 1 - 28 พฤศจิกายน ผู้ค้าน้ำมันปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95, 91แก๊สโซฮอล 95, 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็วบี 5 เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้ง เพิ่มขึ้น 0.40 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้ง และเพิ่มขึ้น 0.30 บาท/ลิตร จำนวน 1 ครั้ง ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91 แก๊สโซฮอล 95, 91 ดีเซลหมุนเร็ว และดีเซลหมุนเร็วบี 5 ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ระดับ 32.89, 31.59, 28.89, 28.09, 29.34 และ 28.34 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
4. แนวโน้มราคาน้ำมันเดือนธันวาคม 2550 คาดว่าราคาน้ำมันยังคงมีความผันผวนและแกว่งตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งราคาน้ำมันดิบดูไบและเบรนท์จะเคลื่อนไหวอยู่ที่ 85 - 90 และ 90 - 95 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ จากปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ลดลงและเข้าเก็งกำไรในตลาดน้ำมันของกลุ่มเฮดฟันท์ รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศผู้ผลิต สำหรับราคาน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วในตลาดจรสิงคโปร์เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 100 - 105 และ 105 - 110 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและความต้องการใช้น้ำมันดีเซลที่เพิ่มมากขึ้นในฤดูหนาว และค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องและความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นของประเทศที่กำลังพัฒนา
5. สำหรับสถานการณ์ LPG ช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2550 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น 172.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 740.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ตามต้นทุนราคาน้ำมันดิบและความต้องการในภูมิภาคเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและความอบอุ่น ขณะที่อุปทานในภูมิภาคตึงตัวจากโรงกลั่นในไทยปิดซ่อมบำรุงประจำปี อย่างไรก็ตามจากระดับราคาที่สูงส่งผลให้ปริมาณความต้องการเริ่มปรับตัวลดลง ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นอยู่ในระดับ 10.9962 บาทต่อกิโลกรัม อัตราเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่จำหน่ายในประเทศอยู่ในระดับ 0.9263 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 276.07 ล้านบาทต่อเดือน อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ส่งออก อยู่ที่ระดับ 7.1809 บาทต่อกิโลกรัม คิดเป็น 53.86 ล้านบาทต่อเดือน สำหรับราคาก๊าซ LPG ตลาดโลกในช่วงเดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 120.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน มาอยู่ที่ระดับ 860.00 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 กบง. ได้มีมติเห็นชอบยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นอยู่ที่ระดับ 10.8964 บาทต่อกิโลกรัม และเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.29 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายได้ประมาณ 89 ล้านบาท
6. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล เดือนตุลาคม 2550 การผลิตและจำหน่ายเอทานอลมีปริมาณรวม 0.67 และ 0.72 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากผู้ประกอบการที่ผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 7 ราย โดยราคาเอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 1 - 4 ในปี 2550 อยู่ที่ลิตรละ 19.33, 18.62, 16.82 บาท และ 15.29 บาท ตามลำดับ ขณะที่มีปริมาณเอทานอลสำรองของผู้ค้าน้ำมันรวม 24.22 ล้านลิตร ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 เดือนตุลาคมและในช่วงวันที่ 1 - 28 พฤศจิกายน 2550 มีปริมาณ 4.67 และ 4.95 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่าย จำนวน 11 บริษัท และสถานีบริการ 3,661 แห่ง โดยที่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ในช่วงเวลาเดียวกันมีปริมาณ 0.93 และ 1.08 ล้านลิตรต่อวัน จากบริษัทค้าน้ำมันที่จำหน่ายจำนวน 3 บริษัท และสถานีบริการน้ำมัน 740 แห่ง ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 28.89 และ 28.09 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 4.00 และ 3.50 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
7. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล เดือนตุลาคมมีผู้ผลิตไบโอดีเซลที่ได้คุณภาพตามประกาศของกรมธุรกิจพลังงานจำนวน 6 ราย มีกำลังการผลิตรวม 950,000 ลิตรต่อวัน และราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2550 อยู่ที่ 31.17 และ 34.38 บาทต่อลิตร ตามลำดับ ส่วนปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เดือนตุลาคม มีจำนวน 2.10 ล้านลิตรต่อวัน หรือมีการใช้ไบโอดีเซล (B100) เฉลี่ย 150,500 ลิตรต่อวัน โดยมีบริษัทน้ำมันที่จำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 จำนวน 2 ราย คือ ปตท. และ บางจาก สถานีบริการรวม 819 แห่ง ปัจจุบันใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 5 เท่ากับ 0.10 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาขายปลีกอยู่ที่ 28.34 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.00 บาทต่อลิตร
8. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2550 มีเงินสดสุทธิ 13,496 ล้านบาท มีหนี้สิน ค้างชำระ 15,639 ล้านบาท แยกเป็นหนี้พันธบัตร 8,800 ล้านบาท หนี้เงินชดเชยตรึงราคาน้ำมันค้างชำระ 990 ล้านบาท หนี้ชดเชยราคาก๊าซ LPG 5,332 ล้านบาท ภาระดอกเบี้ย (ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 3 ปี) 517 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิติดลบ 2,143 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประจำปีงบประมาณ 2551 ให้แก่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน ในวงเงิน 50 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม - ธันวาคม 2551 แต่โครงการฯ ดังกล่าวมีสำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงาน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความสะดวก คล่องตัว และรวดเร็วในการดำเนินโครงการยิ่งขึ้น จึงควรให้ สป.พน.เป็นผู้เบิกจ่ายโดยตรงจากสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน
2. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้มีหนังสือเวียนขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ ให้เปลี่ยนแปลงชื่อหน่วยงานที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ประจำปีงบประมาณ 2551 ในการดำเนินโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน จาก "สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน" เป็น "สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน" ในวงเงินงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 รายงานผลการศึกษาดูงาน ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2549 กบง. ได้อนุมัติเงินจากกองทุนน้ำมันฯ ให้ สนพ. ในการดำเนินโครงการสนับสนุนการประสานผลักดันนโยบายแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ โดยให้มีการศึกษา ดูงานและสัมมนาเกี่ยวกับการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลในต่างประเทศ ต่อมา สนพ. ได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ของ สนพ. และเจ้าหน้าที่จาก ธพ. เดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อดูงานด้านการใช้แก๊สโซฮอล ในรถยนต์ และเข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง Cellulosic Ethanol and 2nd Generation Biofuels Moving to industrial-Scale Production ในระหว่างวันที่ 12-22 ตุลาคม 2550 โดยมีรายละเอียดการสัมมนาดังนี้
1.1 การพัฒนาด้านการจัดหาเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels) โดยประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดหาพลังงานจากสิ่งมีชีวิต ได้แก่ การผลิตเอทานอลจากเส้นใยพืชและส่วนเหลือใช้จากพืชนำมาย่อยสลายด้วยเอนไซม์ที่เหมาะสม ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาวัตถุดิบขาดแคลนและมีแหล่งวัตถุดิบให้เลือกใช้ได้มากขึ้น รวมทั้งสามารถลดต้นทุนการผลิต โดยคาดว่าจะเริ่มมีการผลิตใช้ในเชิงพาณิชย์ในปี ค.ศ. 2012
1.2 การวิจัยพัฒนาการผลิตบิวทานอลจากชีวมวลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงแทนเอทานอลในอนาคต เนื่องจากมีคุณสมบัติดีกว่าเอทานอล มีความดันไอต่ำ ละลายในน้ำได้น้อยกว่า ให้พลังงานสูงกว่า และไม่มีปัญหาในการขนส่งทางท่อ
1.3 การวิจัยและพัฒนาการผลิตไบโอดีเซลจากสาหร่าย โดยพบว่าในสาหร่ายจะมีสารคาร์บอนสูง ซึ่งเหมาะสมในการนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง (ไบโอดีเซล) ขณะเดียวกันสามารถเพาะเลี้ยงง่าย เจริญเติบโตรวดเร็วและได้ปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาวิจัย คาดว่าต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 5 ปี จึงจะสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
2. การส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลในรัฐ Minnesota มีหน่วยงานหลัก 3 หน่วยงาน ที่รับผิดชอบการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล คือ 1) กระทรวงพาณิชย์ มีหน้าที่กำหนดและดูแลด้านมาตรฐานของน้ำมันชนิดต่างๆ 2) กระทรวงเกษตร มีหน้าที่ส่งเสริมการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในเชิงพาณิชย์ และ 3) ศูนย์ทดสอบเครื่องยนต์ ทำหน้าที่ทดสอบและวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบที่จะนำน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดใหม่มาใช้ในเชิงพาณิชย์ โดยมีขั้นตอนการบังคับใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ดังนี้ 1) ค.ศ.1990 เริ่มการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล อี10 2) ค.ศ.1996 บังคับใช้ อี10 ทั่วมลรัฐและสถานีบริการที่จะขายน้ำมัน 3) ค.ศ.2000 เริ่มมีการใช้ อี85 4) ค.ศ.2007 เริ่มมีการใช้น้ำมัน อี20 5) ค.ศ.2013 ประกาศบังคับใช้ อี20 และ 6) ค.ศ.2015 ประกาศบังคับใช้ บี20
3. สรุปผลการสัมมนาและดูงาน ได้ดังนี้ 1) ประเทศต่างๆ ได้คิดค้นพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างแพร่หลายเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากฟอสซิล เช่น การผลิตไบโอดีเซลจากสาหร่าย การผลิตเอทานอลจากต้นพืช และคาดว่าจะสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี ค.ศ. 2012 โดยประเทศสหรัฐอเมริกา จะกลายเป็นผู้ผลิตเอทานอลรายใหญ่ของโลก ขณะเดียวกันจะเป็นผู้ใช้รายใหญ่ด้วยเช่นกัน ส่วนแนวทางการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอลในรัฐ Minnesota คือภาครัฐมีความเข้มแข็ง กำหนดนโยบายชัดเจนและมีการประสานงานกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน และภาคเอกชนมีการตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนมีการเตรียมการเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 9 รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงานมีนโยบายส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าปิโตรเลียมจากต่างประเทศและช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศ โดยให้มีการใช้เอทานอลทดแทน MTBE ในน้ำมันเบนซิน 95 และเนื้อน้ำมันเบนซิน 91 บางส่วน โดยมีเป้าหมายปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล วันละ 8 ล้านลิตร ณ สิ้นปี 2550 โดยได้กำหนดมาตรการส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ดังนี้
1.1 มาตรการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องยนต์ โดยบริษัทน้ำมันและบริษัทผลิตรถยนต์ได้ออกมารับประกันการซ่อมฟรี หากเกิดความเสียหายกับเครื่องยนต์
1.2 มาตรการจูงใจด้านผู้บริโภค โดยส่งเสริมด้านราคาด้วยการใช้เงินกองทุนน้ำมันฯ ปรับเพิ่มส่วนต่างของราคาน้ำมันเบนซินให้สูงกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล 1.50 บาทต่อลิตร ตั้งแต่ต้นปี 2548 ณ ปัจจุบันส่วนต่างราคาสำหรับออกเทน 95 อยู่ที่ระดับ 4 บาทต่อลิตร และออกเทน 91 อยู่ที่ระดับ 3.50 บาทต่อลิตร
1.3 มาตรการจูงใจด้านผู้จำหน่าย มีการปรับเพิ่มค่าการตลาดน้ำมันแก๊สโซฮอลให้สูงกว่าน้ำมันเบนซิน โดยลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอลลง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากราคาน้ำมันแพงและเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ณ ปัจจุบันค่าการตลาดน้ำมัน แก๊สโซฮอลสูงกว่าน้ำมันเบนซินประมาณลิตรละ 90 สตางค์
1.4 การเพิ่มสัดส่วนการใช้เอทานอลในน้ำมันแก๊สโซฮอล กระทรวงพลังงานได้ร่วมกับกระทรวงการคลัง ส่งเสริมการจำหน่ายรถยนต์ที่สามารถใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิงตั้งแต่ร้อยละ 20 ขึ้นไป โดยใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิต ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551
2. การส่งเสริมน้ำมันแก๊สโซฮอล อี 10 ในช่วงปลายปี 2547 มีปริมาณจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับวันละ 244,337 ลิตร หลังจากดำเนินการมาตรการส่งเสริมแก๊สโซฮอลตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับจนเดือนพฤศจิกายน 2550 มีปริมาณจำหน่ายวันละ 6.03 ล้านลิตร มีสถานีบริการที่จำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล จำนวน 3,743 แห่ง และคาดว่าปริมาณจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลเดือนธันวาคม 2550 เป็นวันละ 6.57 ล้านลิตร และมีจำนวนสถานีบริการฯ เพิ่มขึ้นเป็น 3,911 แห่ง
3. แผนดำเนินการในอนาคต ผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ ได้แก่ ปตท. และเจ็ท ที่มีหัวจ่ายน้ำมัน แก๊สโซฮอล 95 ครบทุกสถานีบริการแล้ว และมีแผนจะเพิ่มหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 ให้มากขึ้น รวมทั้ง บริษัทบางจาก จะเพิ่มหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และมีแผนจะจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 เป็นรายแรกในต้นปีหน้า ส่วนเชฟรอนจะมีหัวจ่ายน้ำมันแก๊สโซฮอลครบทุกสถานีบริการในเดือนธันวาคม 2550 สำหรับบางจาก เจ็ท และระยองเพียวฯ จะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ในเดือนมกราคม 2551 ส่วนเอสโซ่จะยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 95 ให้ได้ร้อยละ 80 ภายในปีนี้
4. เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 ธพ. ได้ออกประกาศกำหนดลักษณะและคุณภาพของน้ำมัน แก๊สโซฮอล อี20 ออกเทน 95 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 เป็นต้นไป ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่าง นำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยผู้ผลิตรถยนต์ได้ประมาณการว่าภายในปี 2551 จะจำหน่ายรถยนต์ อี 20 ได้ 60,000 คัน โดยรถยนต์อี 20 จะเพิ่มขึ้นประมาณเดือนละ 5,000 คัน ปัจจุบันค่ายรถยนต์ฮอนด้าและฟอร์ดได้เปิดตัวรถยนต์อี 20 แล้ว ส่วนการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล อี20 บริษัทบางจาก จะเริ่มจำหน่ายตั้งแต่เดือนมกราคม 2551 โดยจะมีสถานีบริการ 5 แห่ง และบริษัท ปตท. จะมีสถานีบริการในกรุงเทพฯ 5 - 10 แห่ง ต้นปี 2551 และจะทยอยเปิดให้ครบ 20 แห่งภายในปี 2551
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 10 รายงานความก้าวหน้าการส่งเสริมการใช้ NGV ในยานยนต์
สรุปสาระสำคัญ
1. กระทรวงพลังงาน มีมาตรการส่งเสริมการใช้ NGV ในภาคการขนส่ง 3 ส่วน ได้แก่ 1) การพัฒนาบุคลากร 2) การกำหนดกฎระเบียบ กฎหมาย และ 3) การส่งเสริมด้านธุรกิจ NGV
2. การพัฒนาบุคลากร ได้ดำเนินโครงการต่างๆ ประกอบด้วย
2.1 โครงการเสริมสร้างช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV เพื่อเพิ่มจำนวนช่างชำนาญการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต โดยจัดฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติให้ประชาชนที่สนใจ โดยการดำเนินงานที่ผ่านมามีผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 480 คน โดยในปี 2551 ตั้งเป้าหมายไว้ 400 คน
2.2 โครงการผลิตวิทยากรติดตั้งอุปกรณ์ NGV (Training the Trainer) โดยร่วมมือกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในการฝึกอบรมข้าราชการ/พนักงานเพื่อเป็นวิทยากรสอนการฝึกอบรมช่างติดตั้งอุปกรณ์ NGV ให้กระจายไปทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในปี 2551 ให้มีผู้ผ่านการฝึกอบรมจำนวน 150 คน
2.3 โครงการเสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษาและกรมการขนส่งทางบก เพื่อเพิ่มจำนวนสถานที่ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ไปทั่วประเทศ โดยฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยเทคนิค พร้อมทั้งจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจและทดสอบให้ ปัจจุบันมีสถานที่ตรวจและทดสอบ 40 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยมีเป้าหมายในปี 2551ที่จะพัฒนาวิทยาลัยเทคนิคเพิ่มขึ้นอีก 35 จังหวัด
3. การกำหนดกฎระเบียบและกฎหมาย โดยได้พัฒนากฎหมายเพื่อกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติให้เกิดความปลอดภัยแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งปัจจุบันมีกฎหมายที่ใช้ในการกำกับดูแล 1 ฉบับ คือ กฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยของสถานีบริการ NGV ส่วนที่เหลืออยู่ในระหว่างดำเนินการ และเนื่องจากปัจจุบันก๊าซธรรมชาติที่ใช้มาจากแหล่งที่แตกต่างกัน ทำให้คุณภาพของก๊าซแตกต่างกันด้วย ดังนั้นจึงได้ดำเนินการกำหนดมาตรฐานคุณภาพของก๊าซธรรมชาติให้อยู่ในมาตรฐานที่สามารถยอมรับได้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค โดยได้จัดตั้งศูนย์ทดสอบอุปกรณ์ NGV เพื่อทำหน้าที่ตรวจรับรองถังและอุปกรณ์ NGV ตามกฎหมาย โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างอาคารและการจัดหาเครื่องมือของผู้รับจ้าง
4. การส่งเสริมด้านธุรกิจ NGV กระทรวงพลังงานร่วมมือกับ ปตท. ดำเนินการส่งเสริมการใช้ NGV ในภาคการขนส่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดโดยเน้นกลุ่มเป้าหมายที่ใช้เชื้อเพลิงจำนวนมาก
4.1 ต่างจังหวัด มีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ รถบรรทุก หัวลากและรถโดยสาร บขส. โดยจัดเงินทุนหมุนเวียนให้กู้ยืมเพื่อดัดแปลงเครื่องยนต์มาใช้ NGV ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งปัจจุบันมีรถบรรทุกและรถโดยสารเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 3,000 คัน ทั้งนี้ ปตท. ได้ก่อสร้างสถานีบริการ NGV เพื่อให้บริการตามเส้นทางหลักทั่วประเทศกว่า 90 สถานี
4.2 กรุงเทพฯ และปริมณฑล รถยนต์ที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ รถโดยสาร ขสมก. รถร่วมบริการ รถแท็กซี่และรถตุ๊กตุ๊ก โดยมีรถที่เปลี่ยนแปลงเป็นรถ NGV แล้วกว่า 20,000 คัน และมีสถานีบริการ NGV ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลกว่า 100 สถานี
4.3 โครงการส่งเสริมการใช้ NGV ในรถแท็กซี่ เพื่อให้รถแท็กซี่ที่ใช้ LPG เปลี่ยนเป็น NGV มีเป้าหมายจำนวน 50,000 คัน ภายในปี 2552 โดยได้จัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงในรถแท็กซี่ มีหน้าที่กำหนดมาตรการส่งเสริม สนับสนุนและเสนอแนะนโยบายเพื่อผลักดันให้รถแท็กซี่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลเปลี่ยนมาใช้ NGV เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งได้กำหนดมาตรการต่างๆ ดังนี้ 1) มาตรการสนับสนุนด้านนโยบาย ได้แก่ การปรับเพิ่มราคา LPG, ให้สถานีบริการ LPG ของรถแท็กซี่เปลี่ยนเป็น NGV ฟรี, รถแท็กซี่ NGV ติดตั้งฟรี จำนวน 50,000 คัน และรถแท็กซี่จดทะเบียนใหม่ต้องใช้ NGV เป็นต้น 2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ การเพิ่มสถานีบริการ NGV อีก 149 แห่งภายในปี 2552, เปลี่ยนสถานีบริการ LPG เป็นสถานีบริการ NGV, รับรองอู่ติดตั้งมาตรฐานฯ เพิ่มขึ้นอีก 26 แห่ง, เพิ่มรถขนส่งก๊าซ NGV อีก 660 คัน ภายในปี 2552
5. ผลการดำเนินงาน ณ ปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้ 1) จำนวนรถ NGV รวม 51,121คัน 2) จำนวนสถานีบริการ NGV รวม 188 แห่ง 3) จำนวนสถานที่ตรวจและทดสอบฯ ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 32 แห่ง ต่างจังหวัด 8 แห่ง รวมทั้งสิ้น 40 แห่ง และ 4) จำนวนอู่ติดตั้งมาตรฐาน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 18 แห่ง ต่างจังหวัด 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 21 แห่ง
6. แผนการดำเนินงานในอนาคต มีดังนี้ 1) เพิ่มสถานีบริการ NGV ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลจำนวน 149 แห่ง ภายในปี 2552 ส่วนต่างจังหวัดอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง 33 แห่ง 2) เพิ่มจำนวนสถานที่ตรวจและทดสอบฯ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ปัจจุบันกำลังดำเนินการฝึกอบรมให้วิทยาลัยเทคนิค 20 จังหวัด และ 3) เพิ่มจำนวนอู่ติดตั้งมาตรฐานฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 26 แห่ง และกำหนดหลักเกณฑ์การรับรอง สำหรับศูนย์บริการติดตั้งสาขาและสำหรับอู่ติดตั้งรถยนต์ขนาดใหญ่
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
ครั้งที่ 17 - วันพุธ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2549 (ครั้งที่ 17)
วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 เวลา 10.00 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ ชั้น 11 อาคาร 7 กระทรวงพลังงาน
1. การขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP)
2. การกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
3. ข้อเสนอมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ
6. การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (RPS)
7. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
8. การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
9. ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
10. การลดค่ากระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์) ประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายเมตตา บันเทิงสุข) กรรมการและเลขานุการ
เรื่องที่ 1 การขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP)
สรุปสาระสำคัญ
คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 ได้มีมติเห็นชอบร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ร่างระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชิงพาณิชย์ ระบบ Cogeneration และร่างระเบียบว่าด้วยการเดินเครื่องกำเนิด ไฟฟ้าขนานกับระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าขายเข้าระบบไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเร่งดำเนินการออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจาก ผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากต่อไป โดยมอบหมายให้ สนพ. และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายพิจารณาในรายละเอียด (1) การคำนวณค่าปรับสำหรับ VSPP ที่ผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration (2) ค่าใช้จ่ายการเชื่อมโยงระบบ ไฟฟ้า สำหรับ VSPP ที่มีปริมาณไฟฟ้าเกินกว่า 6 เมกะวัตต์ โดยที่ VSPP ที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าไม่เกิน 6 เมกะวัตต์ ค่าใช้จ่ายการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้ายังคงตามระเบียบเดิม (3) แนวทางในการทดสอบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และการกำหนดขั้นตอนและหลักการในการขออนุญาตเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า (4) แบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และ (5) ต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้แล้วเสร็จเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ให้ความเห็นชอบก่อนออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมากต่อไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2549 คณะอนุกรรมการประสานการดำเนินงานในอนาคตของการไฟฟ้าได้พิจารณาและหารือประเด็นที่ได้รับมอบหมายจาก กพช. และได้มีข้อสรุปดังนี้
2.1 การคำนวณสัดส่วนการประหยัดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า (PES) โดยเห็นควรให้ ปรับปรุงสูตรการคำนวณสัดส่วนการประหยัดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า (PES) โดยกำหนดค่าประสิทธิภาพทางความร้อนอ้างอิงของระบบผลิตความร้อนและประสิทธิภาพทางความร้อนอ้างอิงของระบบผลิตไฟฟ้า แตกต่างกันตามชนิดเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมัน เป็นร้อยละ 45 และ 85, ร้อยละ 40 และ 80, และร้อยละ 40 และ 80 ตามลำดับ นอกจากนี้ เห็นชอบในหลักการการตรวจวัดประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าโดยการตรวจวัดพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งระบบ ส่วนการตรวจวัดพลังงานความร้อนที่นำไปใช้ประโยชน์จริง เห็นควรให้พิจารณาเป็นกรณีๆ ไป โดยให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับระบบผลิตไฟฟ้าและความร้อน โดยกำหนดในแบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า พร้อมทั้งมอบหมายให้ สนพ. และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจัดทำคู่มือการตรวจวัดฯ
2.2 การคำนวณค่าปรับสำหรับ VSPP ที่ผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานเชิงพาณิชย์ ระบบ Cogeneration เห็นควรกำหนดบทปรับสำหรับ VSPP ที่ไม่สามารถรักษาสัดส่วนการประหยัดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า (PES) ตามที่กำหนดในระเบียบ โดยมีสูตรการคำนวณ ดังนี้
ค่าปรับ - [(PESที่กำหนด - PESจริง)/100] x รายได้ค่าพลังงานไฟฟ้าที่ซื้อในรอบปีนั้น
ทั้งนี้ ค่าปรับที่เรียกเก็บจาก VSPP ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายนำไปลดค่าไฟฟ้าให้กับประชาชน ผ่านสูตร Ft
2.3 ค่าใช้จ่ายการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า สำหรับ VSPP ที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเกินกว่า 6 เมกะวัตต์ โดย กฟภ. จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับระบบป้องกัน อาทิ กรณีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาด 6 เมกะวัตต์ขึ้นไป โดยเฉพาะเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบ Synchronous โดยให้ติดตั้ง Synchronizing Check Relay ที่สถานีไฟฟ้าของ กฟภ. และกรณีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าขนาดเกิน 500 เมกะวัตต์ แต่ไม่เกิน 6 เมกะวัตต์ กฟภ. กำหนดเป็นเงื่อนไข ให้การคิดค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อ VSPP มีความประสงค์ต้องการติดตั้งเท่านั้น นอกจากนี้ กฟภ. ได้ขอเรียกเก็บค่าบริการทางวิศวกรรม ได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่รับผิดชอบในการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ทั้งนี้ ฝ่ายเลขานุการฯ เห็นว่าการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายควรนำรายได้จากค่าดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ร้อยละ 2 ของปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบของ VSPP ที่ทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเกินกว่า 1 เมกะวัตต์ ไปช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร
2.4 คู่มือการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP โดยเห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายปรับปรุงคู่มือการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ให้ใช้ปฏิบัติได้กับผู้ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และผู้ผลิตไฟฟ้าระบบ Cogeneration นอกจากนี้เพื่อเป็นการดูแลด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในกรณีที่ผู้ผลิตไฟฟ้ามีขนาดกำลัง การผลิตติดตั้งไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ เห็นควรให้ผู้ผลิตไฟฟ้าจะต้องนำใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน ซึ่งได้รับอนุมัติจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ยื่นต่อการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ก่อนวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาด้วย ซึ่งได้มีการกำหนดไว้ในคู่มือการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP แล้ว
2.5 แบบคำขอจำหน่ายไฟฟ้าและการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ได้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมต้นแบบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า สำหรับ VSPP 1 เมกะวัตต์ ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยให้ VSPP จะต้องจัดส่งปริมาณของเชื้อเพลิงที่ใช้ต่อปีและค่าความร้อนเฉลี่ยของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิต ไฟฟ้า ทั้งเชื้อเพลิงหลักและเชื้อเพลิงเสริม ขณะที่กรณี VSPP ที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเป็นเชื้อเพลิง หากพลังงานความร้อนที่ได้จากการใช้เชื้อเพลิงเสริมในแต่ละรอบปี เกินร้อยละ 25 ของพลังงานความร้อนทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าในรอบปีนั้น ให้เปลี่ยนไปใช้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับ VSPP ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชิงพาณิชย์ ระบบ Cogeneration ส่วนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าสำหรับ VSPP ที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานเชิงพาณิชย์ ระบบ Cogeneration เห็นควรเพิ่มเติมรายละเอียดวิธีการคำนวณค่าปรับ การชำระเงินค่าปรับให้ VSPP พร้อมทั้งกำหนดให้ VSPP จะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์สัดส่วนการประหยัดเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นประจำทุกเดือน และจัดส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายเป็นประจำทุก 3 เดือน เพื่อใช้ในการพิจารณาคุณสมบัติ Cogeneration และ VSPP
2.6 ผู้ผลิตไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP เมื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในกระบวนการผลิตหรือใช้ในโรงไฟฟ้าแล้ว สามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ โดยไม่สามารถจำหน่ายให้กับผู้ใช้ไฟในบริเวณใกล้เคียงได้
2.7 เห็นควรให้ผู้ผลิตไฟฟ้าปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ หากมีปัญหาการร้องเรียนให้เร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบเอกสารประกอบการออกประกาศขยายการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP)
2. เห็นชอบให้ผู้ผลิตไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP เมื่อผลิตไฟฟ้าใช้ในกระบวนการผลิต หรือใช้ในโรงไฟฟ้าแล้วสามารถขายไฟฟ้าเข้าระบบการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายได้ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ โดยไม่สามารถจำหน่ายให้กับผู้ใช้ไฟในบริเวณใกล้เคียงได้
3. เห็นชอบให้ผู้ผลิตไฟฟ้าปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งนี้ หากมีปัญหาการร้องเรียนให้เร่งดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว
4. มอบหมายให้ สนพ. และการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายจัดทำคู่มือการตรวจวัดประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งนี้เมื่อได้ข้อยุติแล้วให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายปรับปรุงคู่มือการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ให้สอดคล้องกันต่อไป
เรื่องที่ 2 การกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กพช. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration โดยมีมติให้มีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนโดยใช้มาตรการจูงใจด้านราคาผ่านระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) โดยกำหนดส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้าตามระเบียบ SPP หรือ VSPP ตามประเภทเชื้อเพลิงและเทคโนโลยี ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงภาระค่าไฟฟ้าของประชาชน
2. เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2549 กระทรวงพลังงานได้พิจารณาแนวทางส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานหมุนเวียน และได้เห็นชอบกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้า แยกตามประเภทเชื้อเพลิง โดยมีแนวทางในการให้การสนับสนุน ได้แก่ 1) ผู้ผลิตไฟฟ้า ที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขาย ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามระเบียบ VSPP ได้รับส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้าในอัตราคงที่ และ 2) ผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังงานไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญา เกินกว่า 10 เมกะวัตต์ จะเปิดให้มีการประมูลแข่งขันส่วนเพิ่มอัตรารับซื้อไฟฟ้า
3. จากผลการศึกษาของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนฯ และ สนพ. ในเรื่องต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน พบว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน มีความแตกต่างกันตามเทคโนโลยี ชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ขนาดกำลังการผลิต รวมทั้งรายละเอียดในการลงทุนต่างๆ ทำให้ระดับ ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) มีความหลากหลาย ดังนั้น เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมากเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น จึงควรให้กำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) โดยพิจารณาจาก
3.1 ระยะเวลาการให้การสนับสนุน : ควรเป็นระยะเวลา 7 ปี นับจากวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญา
3.2 การบังคับใช้ : กำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย ไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามระเบียบ VSPP โดยให้ การสนับสนุนเฉพาะโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ภายหลังวันที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายออกประกาศขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP สำหรับปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายเข้าระบบไม่เกิน 10 เมกะวัตต์
3.3 ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) แยกตามประเภทเชื้อเพลิง เป็นดังนี้ 1) เชื้อเพลิงชีวมวล, 2) พลังน้ำขนาดเล็ก (50-200 กิโลวัตต์), 3) พลังน้ำขนาดเล็ก (< 50 กิโลวัตต์), 4) ขยะ, 5) พลังงานลม และ 6) พลังงานแสงอาทิตย์ ให้คิดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าในอัตรา 0.30, 0.40, 0.80, 2.50, 2.50 และ 8.00 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ตามลำดับ
3.4 ภาระค่าไฟฟ้า : มูลค่าการรับซื้อไฟฟ้าตามส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าดังกล่าว ให้ส่งผ่านค่า ไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
มติของที่ประชุม
เห็นชอบการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิต ไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ตามรายละเอียด ดังนี้
1. ระยะเวลาการให้การสนับสนุน : ให้การสนับสนุนเป็นระยะเวลา 7 ปีนับจากวันเริ่มต้นซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญา
2. การบังคับใช้ : กำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP โดยให้การสนับสนุนเฉพาะโรงไฟฟ้าใหม่ที่ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าตามระเบียบรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP ภายหลังวันที่การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายออกประกาศขยายระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจาก VSPP สำหรับปริมาณ พลังไฟฟ้าเสนอขายเข้าระบบไม่เกิน 10 เมกะวัตต์
3. ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) แยกตามประเภทเชื้อเพลิง เป็นดังนี้
เชื้อเพลิง/เทคโนโลยี | ส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง) |
ชีวมวล | 0.30 |
พลังน้ำขนาดเล็ก (50-200 กิโลวัตต์) | 0.40 |
พลังน้ำขนาดเล็ก (< 50 กิโลวัตต์) | 0.80 |
ขยะ | 2.50 |
พลังงานลม | 2.50 |
พลังงานแสงอาทิตย์ | 8.00 |
4. ภาระค่าไฟฟ้า : มูลค่าการรับซื้อไฟฟ้าตามส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวในข้อ 3 ให้ส่งผ่านค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft)
เรื่องที่ 3 ข้อเสนอมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซปิโตรเลียมเหลวในประเทศ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 กบง. ได้มีมติเรื่องการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ดังนี้
1.1 กำหนดรายได้ของผู้ผลิตและผู้นำเข้าให้เท่ากับราคาประกาศเปโตรมิน (CP) ที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทนเป็น 60 ต่อ 40 ลบ 16 USD/ตัน มีราคาต่ำสุดในระดับ 185 USD/ตัน และสูงสุดในระดับ 315 USD/ตัน
1.2 จำกัดอัตราเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG สูงสุด เพื่อยุติการไหลออกของเงินกองทุนน้ำมัน เชื้อเพลิง และให้กองทุนน้ำมันฯ สามารถชำระหนี้ได้หมดภายในปี 2547 โดย 1) เดือนกรกฎาคม 2546 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 3 บาท/กก. ซึ่งเป็นระดับไม่สูงกว่ารายได้ของกองทุนน้ำมันฯ 2) เดือนกรกฎาคม 2547 จำกัดอัตราชดเชยไม่เกิน 2 บาท/กก. 3) เดือนกรกฎาคม 2548 ให้ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG ยกเลิกการควบคุมราคาระบบ "ลอยตัวเต็มที่"
1.3 ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลังวันทำการธนาคารแห่งประเทศไทยในสัปดาห์ผ่านมา
2. ต่อมา กบง. ได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาก๊าซ LPG และฐานะกองทุนน้ำมันฯ อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2549 ได้มีมติให้คงนโยบายราคาก๊าซ LPG ในปัจจุบันต่อไปอีก 6 เดือน พร้อมทั้งให้ขยายเวลาการกำหนดอัตราเงินชดเชยสูงกว่าระดับเพดานอัตราเงินชดเชยสูงสุด 2 บาท/กก. โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2549 - 31 ธันวาคม 2549 เนื่องจากการใช้ LPG ในภาคการขนส่งโดยเฉพาะกลุ่มรถแท็กซี่มีแพร่หลายมากขึ้น แต่การใช้ NGV ตามนโยบายรัฐบาลทำได้อย่างจำกัด
3. เนื่องจากราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกได้ปรับสูงขึ้นกว่าระดับราคาเพดานที่ภาครัฐกำหนด ณ ระดับ 315 USD/ตัน ทำให้ผู้ผลิตและผู้ค้าก๊าซ LPG มีการส่งออกมากกว่าการจำหน่ายภายในประเทศ และประกอบกับประชาชนได้เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ LPG ในรถยนต์มากขึ้นด้วยปัญหาราคาน้ำมันแพง ซึ่งทำให้ปริมาณความต้องการใช้ LPG ภายในประเทศมีปริมาณใกล้เคียงกับปริมาณการผลิต ซึ่งหากความต้องการใช้ก๊าซ LPG ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดการขาดแคลนก๊าซ LPG ได้ กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการจัดสรรให้ส่งออกได้เฉพาะผู้ผลิต โดยคำนวณปริมาณการส่งออกจากสัดส่วนปริมาณการผลิตและการส่งออกของก๊าซ LPG นอกจากนี้ได้กำหนดให้ผู้ที่มีปริมาณการผลิตมากจะต้องรับผิดชอบปริมาณการจำหน่ายในประเทศมากขึ้นตามสัดส่วนการผลิต ซึ่งมาตรการดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้และก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ค้าก๊าซ LPG และเกิดการร้องเรียนจากผู้บริโภคต่อภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
4. ส่วนแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนจึงควรจะต้องปรับเพิ่มราคา LPG ให้สูงขึ้นถึงระดับที่เป็นจริง และเร่งส่งเสริมการใช้ก๊าซ NGV ในรถยนต์ให้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้ก๊าซ LPG โดยเร็วที่สุด โดยดำเนินการ ดังนี้ 1) ยกเลิกการจ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG เพื่อให้สะท้อนกับต้นทุนตามเพดานราคาที่รัฐกำหนด 2) เร่งขยายโครงการ NGV เพื่อให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์มากกว่าการใช้ก๊าซ LPG และ 3) ยกเลิกการกำหนดรายได้ของผู้ผลิตและผู้นำเข้า (ราคาต่ำสุดในระดับ 185 USD/ตัน และสูงสุดในระดับ 315 USD/ตัน) เพื่อให้เป็นราคาที่แท้จริงตามราคาตลาดโลก โดยทั้งนี้การดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวจะต้องใช้เวลานานพอควรในการปรับราคา LPG เพิ่มขึ้น และหากปรับราคาทันทีอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลราคาสินค้าและบริการได้
5. เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้นด้านความเสี่ยงภัยการขาดแคลน LPG ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออก LPG ซึ่งทำให้ผู้ส่งออกมีรายได้จากส่วนต่างด้านราคา น้อยลงและนำรายได้ในส่วนนี้ไปจ่ายชดเชยให้แก่ผู้ที่จำหน่าย LPG ในประเทศแทน เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดการจำหน่ายในประเทศและลดการส่งออก โดยการปรับราคาเพดานของราคา ณ โรงกลั่นจาก 315 USD/ตัน ให้สูงขึ้นในระดับที่รายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่เพิ่มขึ้น ในส่วนนี้เท่ากับรายรับของกองทุนน้ำมันฯ ที่ได้จากการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของ LPG ส่งออก โดยให้ออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ดังนี้
1) หลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้า โดยให้ใช้ราคา FOB ของราคาประกาศเปโตรมินที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทนเป็น 60 ต่อ 40 ลบ 16 USD/ตัน และให้รับประกันราคา ณ โรงกลั่นและราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ณ รับประกันราคาต่ำสุดที่ระดับ 185 USD/ตัน และรับประกันราคาสูงสุดในระดับที่ได้จากการคำนวณตามสูตรต่อไปนี้
โดยที่
- Px หมายถึง ราคาส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวซึ่งกำหนดให้เท่ากับราคา FOB ของราคาประกาศเปโตรมินที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทน เป็น 60 ต่อ 40
x หมายถึง ปริมาณการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวของประเทศ ตามแผนที่ผู้ค้าแจ้งต่อกรมธุรกิจพลังงาน
c หมายถึง ปริมาณการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวของประเทศซึ่งคำนวณจากแผนการผลิต และส่งออกที่ผู้ค้าแจ้งต่อกรมธุรกิจพลังงาน
2) หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของก๊าซ LPG ส่งออก ให้เท่ากับครึ่งหนึ่งของส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ส่งออก และราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักร ตามที่กำหนดในข้อ 1)
3) ประกาศเปลี่ยนแปลงราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกสัปดาห์ โดยให้มีการประกาศใช้ทุกวันจันทร์ และวันที่ 1 ของเดือน
4) ข้อมูลที่ใช้ประกอบในการคำนวณ โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ ลูกค้าธนาคารทั่วไป และปริมาณการใช้และการส่งออกก๊าซ LPG ของประเทศ จากกรมธุรกิจพลังงาน
6. เมื่อดำเนินการตามข้อ 5 อาจจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิต คือ ราคา ณ โรงกลั่นจะเพิ่มขึ้นเป็น 11.77 บาท/กก. ซึ่งได้จากการเก็บเข้ากองทุนน้ำมันฯ ร้อยละ 50 ของรายได้จากการส่งออกประมาณ 78.6 ล้านบาท/เดือน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้มีการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจากการส่งออกก๊าซ LPG ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกมีรายได้จากส่วนต่างด้านราคาน้อยลงและนำรายได้ในส่วนนี้ไปจ่ายชดเชยให้แก่ผู้ที่จำหน่ายก๊าซ LPG ในประเทศแทนเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดการจำหน่ายในประเทศและลดการส่งออก โดยการปรับราคาเพดานของราคา ณ โรงกลั่นจาก 315 USD/ตัน ให้สูงขึ้นในระดับที่รายจ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้เท่ากับ รายรับของกองทุนน้ำมันฯ ที่ได้จากการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG
2. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดทำการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อการแก้ไขปัญหาความเสี่ยงภัยการขาดแคลนก๊าซ LPG ในระยะสั้นโดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
2.1 หลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้า
(1) ให้ใช้ราคา FOB ของราคาประกาศเปโตรมินที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโพรเทนกับบิวเทน เป็น 60 ต่อ 40 ลบ 16 USD/ตัน
(2) ให้รับประกันราคา ณ โรงกลั่น และราคานำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว ดังนี้
(2.1) รับประกันราคาต่ำสุดที่ระดับ 185 USD/ตัน
(2.2) รับประกันราคาสูงสุดในระดับที่ได้จากการคำนวณตามสูตรต่อไปนี้
- โดยที่
Px หมายถึง ราคาส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวซึ่งกำหนดให้เท่ากับราคา FOB ของราคาประกาศเปโตรมินที่ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียเป็นสัดส่วนระหว่างโพรเพนกับบิวเทนเป็น 60 ต่อ 40
x หมายถึง ปริมาณการส่งออกก๊าซปิโตรเลียมเหลวของประเทศ ตามแผนที่ผู้ค้าแจ้งต่อกรมธุรกิจพลังงาน
c หมายถึง ปริมาณการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวของประเทศซึ่งคำนวณจากแผนการผลิตและส่งออกที่ผู้ค้าแจ้งต่อกรมธุรกิจพลังงาน
(3) ให้ใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป มีประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย โดยใช้ค่าเฉลี่ยย้อนหลังวันทำการของธนาคารแห่งประเทศไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา
2.2 หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินส่งเข้ากองทุนฯ ของก๊าซปิโตรเลียมเหลวส่งออก อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ส่งออกให้เท่ากับครึ่งหนึ่งของส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ส่งออก และราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักรตามที่กำหนดในข้อ 2.1
2.3 ประกาศเปลี่ยนแปลงราคา ให้มีการเปลี่ยนแปลงราคาทุกสัปดาห์ โดยให้มีการประกาศใช้ ทุกวันจันทร์และวันที่ 1 ของทุกเดือน
2.4 ข้อมูลที่ใช้ประกอบในการคำนวณ คือ อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป
1. เห็นชอบให้แก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อการแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรองรับแนวทางและวิธีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการขาดแคลนก๊าซ LPG โดยเฉพาะประเด็นการเรียกเก็บเงินส่งเข้ากองทุนฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG
2. เห็นชอบให้บังคับใช้มาตรการในข้อ 1 และ 2 หลังจากการแก้ไขคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 4/2547 ตามข้อ 3 เรียบร้อยแล้ว
3. เห็นชอบให้ สนพ. รับไปพิจารณาความเหมาะสมของช่วงเวลาเกี่ยวกับข้อมูลปริมาณการผลิต ปริมาณการส่งออก และปริมาณการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวของประเทศ ตามแผนที่ผู้ค้าแจ้งต่อกรมธุรกิจ พลังงาน
4. เห็นชอบให้ สนพ. รับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน และติดตามผลการเปลี่ยนแปลงปริมาณการส่งออกและการจำหน่ายก๊าซ LPG ในประเทศ และหากพบว่าจำเป็นต้องมีการปรับสัดส่วนการเก็บเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากร้อยละ 50 ของส่วนต่างระหว่างราคาส่งออกและจำหน่ายในประเทศให้สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม โดยมอบหมายให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบแทนคณะกรรมการฯ
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2549 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการ "โครงการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์พลังงานสู่การปฏิบัติ" โดยมอบหมายให้ สนพ. จัดทำรายละเอียดโครงการ (TOR) ให้เป็นรูปธรรมและชัดเจนมากขึ้น พร้อมทั้งประมาณการงบประมาณดำเนินการเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการฯ อีกครั้ง
2. กพช. ในการประชุมเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ได้มีมติเห็นชอบนโยบายและแผนพัฒนา พลังงานของประเทศ โดยเน้นความสำคัญของแผนพัฒนาพลังงานระยะสั้นที่ต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในรัฐบาลชุดปัจจุบัน และเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเกิดความรวดเร็วในการดำเนินงาน สนพ. ได้ปรับแผนการดำเนินงานจาก การจัดตั้งศูนย์ประสานงานฯ เป็นการจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการด้านพลังงาน เพื่อดำเนินงานกับ สนพ. ในการผลักดันแผนพลังงานสู่การปฏิบัติและเป็นรูปธรรมภายใน 1 ปี ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน และมีการจัดกิจกรรมเชิงรุก อาทิ การประชาสัมพันธ์ การสัมมนาระดมความคิดเห็น การศึกษาวิจัย การติดตามเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อผลักดันสนับสนุนงานนโยบายด้านพลังงานไปสู่การปฏิบัติ โดยการปรับเปลี่ยนโครงการจัดตั้งศูนย์ประสานเพื่อผลักดันยุทธศาสตร์ฯ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ เป็นโครงการสนับสนุนการประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ
3. โครงการสนับสนุนการประสานผลักดันฯ จะดำเนินงานระยะเวลา 12 เดือน โดยประกอบด้วย 3 กิจกรรม คือ (1) การจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน 4 คน นักวิชาการ 2 คน และเจ้าหน้าที่ธุรการ 2 คน (2) การจ้างศึกษาวิจัย และ (3) การจัดกิจกรรมเพื่อผลักดันนโยบาย เพื่อให้เกิดกิจกรรมเชิงรุกที่สอดรับต่อเป้าประสงค์ของนโยบายและแผนพัฒนาประเทศ เกิดการประสานงานระหว่างภาครัฐ เอกชน และยุทธศาสตร์ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ หน่วยงานภายใต้กระทรวงพลังงาน หน่วยงานราชการด้านการวางแผนบริหารราชการแผ่นดินและแผนงบประมาณ และด้านยุทธศาสตร์พลังงาน รวมทั้งหน่วยงานและองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันการเงิน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาที่ปรึกษาฯ ผู้ประกอบการด้านพลังงาน นักวิชาการ สื่อมวลชน และประชาชน
4. งบประมาณดำเนินการโครงการฯ จำนวน 23.5 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าจ้างบุคลากร 8.5 ล้านบาท ค่าจ้างศึกษาวิจัย 3.0 ล้านบาท และค่าจัดกิจกรรมเพื่อผลักดันนโยบาย 12.0 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการสนับสนุนการประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ ให้กับ สนพ. เป็นวงเงิน 23,500,000 บาท (ยี่สิบสามล้านห้าแสนบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 12 เดือน (ธันวาคม 2549 - พฤศจิกายน 2550)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2549 กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) ได้มีหนังสือถึงฝ่ายเลขานุการฯ เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการดำเนิน "โครงการส่งเสริมผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV" เพื่อเพิ่มจำนวนบุคลากรที่ทำหน้าที่ในการตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV โดยใช้เงินงบประมาณรวม 27.811 ล้านบาท ต่อมา ธพ. ได้ขอปรับลดเงินสนับสนุนโครงการฯ ใหม่ เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันโดยขอรับเงินสนับสนุนเหลือเพียงจำนวน 14.250 ล้านบาท
2. จากเป้าหมายการเพิ่มปริมาณรถยนต์ที่ใช้ก๊าซ NGV ของ ปตท. จำนวน 300,000 คัน ในปี 2551 และเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 คัน ในปี 2553 โดยมีรถที่ติดตั้งส่วนควบและอุปกรณ์เกี่ยวกับก๊าซ NGV ต้องได้รับการตรวจและทดสอบเพื่อความปลอดภัย ต้องตรวจสภาพรถยนต์ในครั้งแรกและครั้งต่อไปตามระยะเวลามีจำนวนมากขึ้น ทำให้ปริมาณงานการตรวจและทดสอบรถมีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน แต่ปัจจุบันมีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้รับอนุญาตเพียง 20 ราย ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการผู้ใช้ก๊าซ NGV โดยที่การตรวจและทดสอบส่วนใหญ่ จะอยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ทำให้ไม่สามารถรองรับการให้บริการรถที่จะทำการติดตั้ง NGV ที่จะเกิดขึ้นตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้ และเพื่อให้มีการผลิตบุคลากรผู้ตรวจและทดสอบเพื่อรองรับการกระจายตัวของรถ NGV ที่จะเกิดขึ้น และเพิ่มจำนวนสถานที่ตรวจและทดสอบรับอนุญาตให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ธพ. จึงได้จัดทำโครงการเสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ขึ้น
3. ธพ. มีแนวทางในการดำเนินโครงการฯ โดยการจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรม จัดทำเอกสารคู่มือ จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์การฝึกอบรม จัดการฝึกอบรมให้แก่ข้าราชการและพนักงานของหน่วยงานต่างๆ ที่มีหน้าที่ในการตรวจและทดสอบหรือบุคคลที่สนใจเป็นผู้ตรวจและทดสอบ จำนวนรวม 80 คน (4 รุ่นๆ ละ 20 คน) จัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ให้กับหน่วยงานราชการที่จะประสงค์เป็นผู้ตรวจและทดสอบรับอนุญาต สถานที่ ฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน กรมธุรกิจพลังงาน จ.ชลบุรี มีระยะเวลาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2549 - กันยายน 2550
มติของที่ประชุม
อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้กับกรมธุรกิจพลังงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการเสริมสร้างผู้ตรวจและทดสอบรถยนต์ NGV ในวงเงิน 14,250,000 บาท (สิบสี่ล้านสองแสนห้าหมื่นบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนธันวาคม 2549 - เดือนกันยายน 2550)
เรื่องที่ 6 การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (RPS)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547 ได้มีมติอนุมัติเรื่อง แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2547 - 2558 (PDP 2004) โดยเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้า 4 โรง รวมกำลังผลิต 2,800 เมกะวัตต์ ทั้งนี้จะต้องมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตามนโยบาย Renewable Portfolio Standard (RPS) ร้อยละ 5 ของกำลังผลิตโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะสร้างขึ้นตามแผน PDP 2004 หรือปริมาณ 140 เมกะวัตต์ และต่อมาในการประชุม กพช. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 ได้มีมติเรื่อง แนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและการผลิตไฟฟ้าด้วยระบบ Cogeneration โดยเห็นชอบการกำหนดสัดส่วนกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามนโยบาย RPS ของ กฟผ. และมอบให้ กฟผ. เร่งดำเนินการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กำลังการผลิตประมาณ 80 เมกะวัตต์ สำหรับกำลังการผลิตส่วนที่เหลืออีก 60 เมกะวัตต์ ให้ กฟผ. เร่งดำเนินการออกประกาศเชิญชวนให้ผู้ลงทุนยื่นข้อเสนอขายไฟฟ้า โดยใช้วิธีประมูลแข่งขัน ส่วนราคาที่ได้จากการประมูลแข่งขันดังกล่าว ให้ สนพ. นำไปประกอบการพิจารณากำหนดส่วนเพิ่มอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่อไป
2. ต่อมากระทรวงพลังงานได้ขอให้ กฟผ. พิจารณาทบทวนสัดส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่มี ต้นทุนสูง และ กฟผ. ได้มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงพลังงานเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 เรื่องการทบทวนแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามนโยบาย RPS สำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ของ กฟผ. เพื่อนำเสนอ สศช. ให้ความเห็นชอบและนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติต่อไป
3. สาระสำคัญของการทบทวนแผนพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน RPS สำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ของ กฟผ. ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 140.7 เมกะวัตต์ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กฟผ. ดำเนินการเอง ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กจำนวน 78.7 เมกะวัตต์ ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 1 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้ากังหันลมจำนวน 1 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 80.7 เมกะวัตต์ 2) กฟผ. ดำเนินการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชน ได้แก่ ระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 1 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้ากังหันลมจำนวน 3 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าขยะจำนวน 20 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าชีวมวลจำนวน 36 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 60 เมกะวัตต์ ซึ่งมีกำหนดการจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในช่วงปี 2551 - 2553
4. ผลการวิเคราะห์ค่าไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าฯ พบว่าราคาไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดเล็กอยู่ที่ 2.21 บาท/หน่วย ส่วนราคาไฟฟ้าจากระบบพลังงานแสงอาทิตย์, โรงไฟฟ้ากังหันลม, โรงไฟฟ้าขยะ และโรงไฟฟ้าชีวมวล ราคาไฟฟ้าเป็น 20.20, 5.98, 4.63 และ 2.63 บาท/หน่วย ตามลำดับ หรือมีราคาไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 2.92 บาท/หน่วย ซึ่งจะส่งผลกระทบทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของทั้งระบบสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2551 - 2554 เป็น 0.0001, 0.0021, 0.0045 และ 0.0044 บาท/หน่วยจำหน่าย ตามลำดับ
5. จากแนวทางการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมในมติ กพช. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2549 โดยให้มีการกำหนดส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าในอัตราคงที่ สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีปริมาณ พลังไฟฟ้าเสนอขายไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ ซึ่งขายไฟฟ้าเข้าระบบตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) และให้มีการเปิดประมูลแข่งขันส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้า ที่มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญาเกินกว่า 10 เมกะวัตต์ ดังนั้น จึงให้ กฟผ. ดำเนินการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน RPS สำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ของ กฟผ. กำลังการผลิต 80.7 เมกะวัตต์ ตามแผนที่ กฟผ. เสนอ และให้ กฟผ. ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนโดยวิธีการเปิดประมูลแข่งขันจำนวน 60 เมกะวัตต์ โดยให้มีการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) จากราคารับซื้อไฟฟ้าตามระเบียบ VSPP หรือ SPP ที่จะมีการเปิดประมูลแข่งขันในอนาคต ทั้งนี้ ให้คงสัดส่วนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเท่ากับร้อยละ 5 ของกำลังการผลิตตามเดิม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ กฟผ. ดำเนินการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน RPS สำหรับโรงไฟฟ้าใหม่ของ กฟผ. กำลังการผลิต 81.7 เมกะวัตต์ ดังนี้
โรงไฟฟ้า | กำลังการผลิตของโรงไฟฟ้า RPS หน่วยเมกะวัตต์) |
1. พลังน้ำขนาดเล็ก | 78.7 |
2. แสงอาทิตย์ | 1 |
3. กังหันลม | 2 |
รวม | 81.7 |
2. เห็นชอบให้ กฟผ. ยุติการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนโดยวิธีการเปิดประมูลแข่งขัน โดยส่งเสริม การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านมาตรการสนับสนุนส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และให้คง สัดส่วนการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเท่ากับร้อยละ 5 ของกำลังการผลิตใหม่ตามเดิม
เรื่องที่ 7 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กพช. ครั้งที่ 4/2549 เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ได้มีมติเห็นชอบให้ยกเลิกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า พ.ศ. 2548 และให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้าในช่วง เปลี่ยนผ่าน ต่อมาฝ่ายเลขานุการฯ ได้เวียนหนังสือขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เรื่อง การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน และคณะกรรมการฯ ได้มีมติ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ดังนี้ 1) เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน เพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายการประกอบกิจการพลังงาน 2) เห็นชอบการมอบอำนาจให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ ภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
2. เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2549 ประธาน กบง. ได้มีคำสั่งคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ที่ 4/2549 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน โดยมีปลัดกระทรวงพลังงานหรือรองปลัดกระทรวงพลังงานที่ได้รับมอบหมายเป็นประธานอนุกรรมการ และมีผู้เกี่ยวข้องด้าน พลังงานเป็นอนุกรรมการ รวม 23 คน โดยมีผู้แทน สนพ. เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 8 การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กพช. เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2549 ได้พิจารณาเรื่อง แนวทางการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ และได้มีมติให้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแล กิจการไฟฟ้าในช่วงเปลี่ยนผ่าน จำนวน 4 คณะ ได้แก่ 1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและ ค่าบริการ 2) คณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า 3) คณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า และ 4) คณะอนุกรรมการประเมินและคัดเลือกข้อเสนอการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน
2. เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2549 ประธาน กบง. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ กบง. ขึ้น จำนวน 3 คณะ คือ 1) คำสั่ง กบง. ที่ 5/2549 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ 2) คำสั่ง กบง. ที่ 6/2549 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า และ 3) คำสั่ง กบง. ที่ 7/2549 เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาระเบียบการเชื่อมโยงระบบไฟฟ้า ซึ่งคณะอนุกรรมการทั้ง 3 คณะ จะมี สนพ. เป็นฝ่ายเลขานุการฯ
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 9 ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. ครั้งที่ 3/2549 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2549 ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจาก กองทุนน้ำมันเชื่อเพลิงให้ ธพ. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในวงเงิน 2 ล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินการ 1 ปี
2. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 ธพ. ได้มีหนังสือถึง สนพ. เรื่อง ขอหารือการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการรับรองมาตรฐานฯ ที่ได้รับอนุมัติแล้ว โดยขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการฯ ใน 3 ประเด็น ซึ่ง เกี่ยวกับ 1) วิธีดำเนินงานเรื่องการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2) การเปลี่ยนผู้รับผิดชอบโครงการ และ 3) การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดงบประมาณ โครงการ
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กรมธุรกิจพลังงานเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการรับรองมาตรฐานสถานประกอบการ ติดตั้งอุปกรณ์ NGV ที่ได้รับอนุมัติจาก กบง. ในการประชุมครั้งที่ 3/2549 เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2549 โดยมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้
1. เปลี่ยนวิธีการดำเนินงานเรื่องการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการจาก "คณะอนุกรรมการที่แต่งตั้ง โดยคณะกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติ" เป็น "คณะกรรมการที่ปลัดกระทรวงพลังงานแต่งตั้ง"
2. เปลี่ยนผู้รับผิดชอบโครงการจาก "คณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการพัฒนาเทคโนโลยีก๊าซธรรมชาติ" เป็น "กรมธุรกิจพลังงาน"
3. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดงบประมาณจาก "ประกอบด้วย ค่าเบี้ยเลี้ยงเดินทาง ค่าพาหนะ ค่าจัดทำใบรับรอง ค่าจัดทำป้ายมาตรฐาน ค่าจ้างบุคลากรและค่าเอกสารอื่นๆ" เป็น "ประกอบด้วย ค่าเบี้ยประชุม ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่าใช้จ่ายในการประชุม ค่าพาหนะ ค่าจัดทำใบรับรอง ค่าจัดทำป้ายมาตรฐาน ค่าจ้างบุคลากร ค่าวัสดุ และค่าเอกสารอื่นๆ"
เรื่องที่ 10 การลดค่ากระแสไฟฟ้าเพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2549 กระทรวงมหาดไทย ได้เชิญผู้แทน กฟภ. เข้าร่วมการประชุมเพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาและการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายบัญญัติ จันทร์เสนะ) เป็นประธานการประชุมฯ ซึ่งที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้ กฟภ. พิจารณาแนวทางช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเนื่องจากน้ำท่วม
2. การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเมื่อปี 2538 คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2538 ได้อนุมัติให้กำหนดส่วนลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้า ประเภทบ้านอยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็กที่ประสบอุทกภัยเนื่องจากน้ำท่วมขังจำนวน 500 บาท/ราย โดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้ารายละ 100 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 5 เดือน ซึ่งในกรณีที่ผู้ใช้ไฟรายใดใช้ไฟไม่เกินอัตราที่กำหนด สามารถลดค่าไฟฟ้าในเดือนถัดไปจนครบอัตราที่กำหนด โดยให้ 1) กฟผ. และ กฟน. แบ่งรับภาระที่เกิดจากการลดค่าไฟฟ้าในเขต กฟน. ฝ่ายละครึ่ง และ 2) กฟผ. และ กฟภ. แบ่งรับภาระที่เกิดจากการลดค่าไฟฟ้าในเขต กฟภ. ฝ่ายละครึ่ง ทั้งนี้ การให้ส่วนลด ค่าไฟฟ้าในเขต กฟภ. เมื่อปี 2538 คิดเป็นมูลค่า 833 ล้านบาท จำแนกเป็น กฟผ. และ กฟภ. รับภาระฝ่ายละ 416.5 ล้านบาท
3. กฟภ. ได้พิจารณาแนวทางช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในปี 2549 รวม 47 จังหวัด ซึ่งมีพื้นที่สถานการณ์คลี่คลายแล้ว 32 จังหวัด และยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 15 จังหวัด โดยเสนอเรื่องการกำหนดส่วนลดค่าไฟฟ้าให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัยต่อกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาลงนามถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบในหลักการกำหนดส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย และกิจการ ขนาดเล็กที่ประสบอุทกภัย รายละ 100 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 5 เดือน ระหว่างเดือนธันวาคม 2549 - เมษายน 2550 ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้ารายใดใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 100 บาท/เดือน จะไม่สามารถนำส่วนลดค่าไฟฟ้าดังกล่าวมาลดค่าไฟฟ้าในเดือนถัดไปได้
2. เห็นชอบแนวทางการแบ่งรับภาระส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยให้ (1) กฟผ. และ กฟน. แบ่งรับภาระที่เกิดจากการลดค่าไฟฟ้าในเขต กฟน. ฝ่ายละครึ่ง และ (2) กฟผ. และ กฟภ. แบ่งรับภาระ ที่เกิดจากการลดค่าไฟฟ้าในเขต กฟภ. ฝ่ายละครึ่ง
3. มอบหมายให้ กฟน. และ กฟภ. จัดทำประมาณการภาระส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับผู้ประสบอุทกภัย โดยพิจารณาถึงปริมาณการใช้ไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็กที่ประสบอุทกภัยร่วมด้วย และจัดส่งให้ สนพ. เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการนำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเพื่อทราบ ต่อไป
ครั้งที่ 37 - วันจันทร์ ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 12/2551 (ครั้งที่ 37)
เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา 13.30 น.
ณ ห้องประชุมบุญรอด - นิธิพัฒน์ อาคาร 7 ชั้น 11 กระทรวงพลังงาน
1. สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมการใช้ E85 ของประเทศไทยแบบบูรณาการ
3. มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
4. ข้อเสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
5. แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552
6. แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มาตรการด้านราคา และการกำกับดูแล
7. แผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV
8. แผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) กรรมการ เป็นประธานในที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (นายวีระพล จิรประดิษฐกุล) กรรมการและเลขานุการ
ปลัดกระทรวงพลังงาน (นายพรชัย รุจิประภา) ได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน ติดเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี จึงได้ มอบให้ปลัดกระทรวงพลังงานทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
เรื่องที่ 1 สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนกันยายน 2551 อยู่ที่ระดับ 95.90 และ 103.61 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 16.95 และ 12.97 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย จะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกลดลง และสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในยุโรป ประสบปัญหาทางการเงินส่งผลให้รัฐบาลต้องเข้าช่วยเหลือ รวมทั้งข่าวท่าขนส่งน้ำมัน Dos Bocas ซึ่งเป็นหนึ่งในท่าขนส่งน้ำมันหลักของประเทศเม็กซิโกกลับมาดำเนินงานได้ตามปกติ หลังจากปิดดำเนินการ ส่วนราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัส เฉลี่ยเดือนตุลาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 62.42 และ 76.62 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 28.48 และ 26.99 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าว GDP ของประเทศสหรัฐฯ ในไตรมาส 3 ปี 2551 ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.3 รุนแรงที่สุดในรอบ 7 ปี และท่าขนถ่ายน้ำมันของเม็กซิโกทั้ง 3 แห่ง กลับมาดำเนินการได้ตามปกติภายหลังปิดฉุกเฉิน เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับตัวลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 49.84 และ 57.41 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2550 รวมทั้งข่าวรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของอิรักรายงานว่า ปริมาณการส่งออกน้ำมันดิบของประเทศอิรักเดือนตุลาคม 2551 เพิ่มขึ้น 60,000 บาร์เรล/วัน มาอยู่ที่ 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 10 ธันวาคม 2551 ราคาน้ำมันดิบดูไบและเวสต์ เท็กซัสปรับตัวลดลงเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 41.56 และ 44.61 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ จากข่าวโอเปคไม่ปรับลดปริมาณการผลิต ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2551 และตลาดวิตกกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายภูมิภาคทั่วโลก จะทวีความรุนแรงขึ้น และอาจใช้เวลานานในการฟื้นตัว
2. ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยเดือนกันยายน 2551 อยู่ที่ระดับ 107.10, 104.82 และ 118.93 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้ว 8.40, 9.16 และ 13.24 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและข่าวจีนที่มีแผนส่งออกน้ำมันเบนซินในเดือนตุลาคม 2551 ที่ระดับ 1.78 ล้านบาร์เรล รวมทั้งเวียดนามยังคงชะลอการนำเข้าน้ำมันดีเซลในเดือนตุลาคม 2551 และ ในเดือนตุลาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 79.49, 77.19 และ 83.98 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ โดยปรับตัวลดลงจากเดือนที่แล้วตามราคาน้ำมันดิบ และความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่มีมากเกินความต้องการหลังจากโรงกลั่นต่างๆ จากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวันและอินเดียส่งออกน้ำมันเบนซินมากขึ้น ประกอบกับเวียดนามอาจลดปริมาณการนำเข้า ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 48.41, 47.45 และ 68.77 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและอุปสงค์น้ำมันเบนซินในภูมิภาคเบาบาง และอุปสงค์น้ำมันดีเซลในออสเตรเลียมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ทดแทน และต่อมาในช่วงวันที่ 1 - 10 ธันวาคม 2551 ราคาน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 92 และน้ำมันดีเซลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 38.48, 37.02 และ 58.73 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันดิบและจากจีนมีแผนส่งออกน้ำมันดีเซลเดือนธันวาคม 2551 ปริมาณ 1.12 ล้านบาร์เรล เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศเบาบาง
3. เดือนกันยายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 0.10 บาท/ลิตร, เบนซิน 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.10 บาท/ลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซล หมุนเร็ว B5 ลดลง 2.30 บาท/ลิตร เดือนตุลาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 6.00 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 ลดลง 6.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 4.40 บาท/ลิตร, น้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 7.90 และ 8.20 บาท/ลิตร ตามลำดับ ต่อมาในเดือนพฤศจิกายน 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 4.40 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 ลดลง 5.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 5.00 บาท/ลิตร, ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลง 1.80 และ 2.30 บาท/ลิตร ตามลำดับ และในช่วงวันที่ 1 - 11 ธันวาคม 2551 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 0.60 บาท/ลิตร, เบนซิน 91 ลดลง 1.60 บาท/ลิตร, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91 ลดลง 1.40 บาท/ลิตร, ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ลดลงชนิดละ 1.20 บาท/ลิตร ทำให้ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินออกเทน 95, 91, แก๊สโซฮอล 95 E10, E20, แก๊สโซฮอล 91, ดีเซลหมุนเร็วและดีเซลหมุนเร็ว B5 ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2551 อยู่ที่ระดับ 26.59, 21.39, 16.89, 16.09, 15.59, 19.84 และ 18.34 บาท/ลิตร ตามลำดับ
4. สำหรับสถานการณ์ก๊าซ LPG ช่วงเดือนธันวาคม 2551 ราคาก๊าซ LPG ในตลาดโลกปรับตัวลดลง 152 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน มาอยู่ที่ระดับ 338 เหรียญสหรัฐฯ/ตัน ตามปริมาณน้ำมันดิบและอุปทานในตลาดมีมาก ขณะที่อุปสงค์โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจปิโตรเคมีลดลง ราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นในประเทศอยู่ที่ระดับ 10.9960 บาท/กิโลกรัม ปริมาณการนำเข้าก๊าซ LPG ณ พฤศจิกายน 2551 อยู่ที่ระดับ 93,460.97 ตัน ราคาก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 21.0553 บาท/กิโลกรัม อัตราเงินชดเชยก๊าซ LPG นำเข้าอยู่ที่ระดับ 10.593 บาท/กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 940.15 ล้านบาท โดยมีการนำเข้าก๊าซ LPG ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน - 30 พฤศจิกายน 2551 รวมทั้งสิ้น 446,414.46 ตัน คิดเป็นหนี้ชดเชย 7,947.68 ล้านบาท
5. สถานการณ์น้ำมันแก๊สโซฮอล ในเดือนพฤศจิกายน 2551 มีผู้ประกอบการผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง 11 ราย แต่ผลิต 9 ราย มีกำลังการผลิตรวม 1.57 ล้านลิตร/วัน ผลิตจริง 0.92 ล้านลิตร/วัน และราคา เอทานอลแปลงสภาพไตรมาส 4 ปี 2551 อยู่ที่ 22.11 บาท/ลิตร ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2551 มีปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล 10.5 และ 10.9 ล้านลิตรต่อวัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการรวม 4,171 แห่ง ณ วันที่ 11 ธันวาคม 2551 ราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และ 91 อยู่ที่ 16.89 และ 16.09 บาท/ลิตร ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 9.70 และ 5.30 บาท/ลิตร ตามลำดับ และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ในช่วงเวลาเดียวกันมีปริมาณ 0.11 และ 0.12 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จำนวน 180 แห่ง ราคาขายปลีกอยู่ที่ 15.59 บาท/ลิตร ต่ำกว่าราคาน้ำมันเบนซิน 95 อยู่ที่ 11.00 บาท/ลิตร
6. สำหรับน้ำมันไบโอดีเซล ในเดือนพฤศจิกายน 2551 มีผู้ผลิตไบโอดีเซล 10 ราย กำลังการผลิตรวม 2.90 ล้านลิตร/วัน ปริมาณความต้องการเฉลี่ย 1.34 ล้านลิตร/วัน ราคาไบโอดีเซลในประเทศเฉลี่ยเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2551อยู่ที่ 25.11 และ 21.11 บาท/ลิตร ตามลำดับ การจำหน่ายน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน 2551 มีปริมาณ 13.34 และ 14.11 ล้านลิตร/วัน ตามลำดับ โดยมีสถานีบริการรวม 2,866 แห่ง ส่วนน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ปัจจุบันกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 เท่ากับ 0.20 บาท/ลิตร มีราคาขายปลีกที่สถานี ปตท. ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2551 อยู่ที่ 20.14 บาท/ลิตร ซึ่งต่ำกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว 1.50 บาท/ลิตร
7. ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2551 มีเงินสดในบัญชี 16,097 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 7,787 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 7,461 ล้านบาท และงบบริหารและโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันสุทธิ 8,310 ล้านบาท โดยที่ยังมีหนี้นำเข้า LPG จาก ปตท. ถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2551 อยู่ประมาณ 7,948 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 2 มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง การส่งเสริมการใช้ E85 ของประเทศไทยแบบบูรณาการ
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้รับทราบผลการหารือและศึกษาดูงานเกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ระหว่างวันที่ 8 -15 มิถุนายน 2551 ของกระทรวงพลังงาน ต่อมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการผลิตการใช้ E85 กระทรวงพลังงานได้นำเสนอร่างวาระแห่งชาติการส่งเสริมการใช้ E85 ของประเทศไทยแบบบูรณาการ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นควรให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาเพื่อให้ได้ข้อยุติก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
2. ตั้งแต่ปี 2547 รัฐบาลได้ส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล โดยทดแทนการใช้ MTBE ในน้ำมันเบนซิน 95 และทดแทนเนื้อน้ำมันในเบนซิน 91 มีเป้าหมายการใช้เอทานอล 2.4 ล้านลิตรต่อวัน ภายในปี 2554 โดยไทย มีวัตถุดิบที่เหลือจากการบริโภค อุตสาหกรรมในประเทศและการส่งออก สนับสนุนการผลิตเอทานอลขั้นต่ำ 2.95 ล้านลิตรต่อวัน ณ เดือนกันยายน 2551 ความต้องการใช้แก๊สโซฮอลอยู่ที่ระดับ 9.72 ล้านลิตรต่อวัน คิดเป็น เอทานอล 0.97 ล้านลิตรต่อวัน และจากมาตรการสนับสนุนเอทานอลของภาครัฐ ส่งผลให้มีโรงงานได้รับอนุญาต 47 ราย กำลังผลิตรวม 12.3 ล้านลิตรต่อวัน โดยเดือนกันยายน 2551 มีการผลิต 11 ราย กำลังผลิต 1.58 ล้านลิตรต่อวัน สามารถผลิตจริง 8 ราย กำลังผลิตเฉลี่ย 0.85 ล้านลิตรต่อวัน นอกจากนี้ยังมีผู้ผลิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2552 อีก 9 ราย กำลังผลิตเฉลี่ย 2.19 ล้านลิตรต่อวัน รวมกำลังผลิตทั้งสิ้น 3.77 ล้านลิตรต่อวัน มีสถานีบริการจำหน่ายแก๊สโซฮอล 4,132 แห่ง ปริมาณการจำหน่าย 291.69 ล้านลิตร หรือเฉลี่ย 9.72 ล้านลิตรต่อวัน
3. กระทรวงพลังงานได้กำหนด Road Map การส่งเสริมการใช้ E85 โดยในปี 2551 - 2552 เริ่มทดลอง Fleet และนำเข้ารถยนต์ FFV เชิงพาณิชย์ประมาณ 1,000 คัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน และ เปิด Line การผลิตรถ FFV ในประเทศตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป การส่งเสริมการใช้ E85 ตาม Road Map ข้างต้น จะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ 447,377 ล้านบาท ภายใน 10 ปีข้างหน้า
4. สำหรับแนวทางส่งเสริมการใช้ E85 ประกอบด้วยมาตรการ ดังนี้
4.1 มาตรการด้านภาษีรถยนต์ ปี 2551 - 2552 ลดอากรนำเข้ารถยนต์ FFV (Flexible Fuel Vehicle) จากร้อยละ 80 เหลือร้อยละ 60 จำนวน 1,000 คัน ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 2,000 ซีซี จากร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 22 และขนาดความจุกระบอกสูบมากกว่า 2,000 ซีซี จากร้อยละ 30 เหลือร้อยละ 27
4.2 มาตรการส่งเสริมวัตถุดิบ การผลิตเอทานอล และน้ำมัน E85 ครบวงจร เพื่อสนับสนุนการส่งเสริมการใช้ E85 และเพิ่มประสิทธิภาพในระยะยาว โดยส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตอ้อยเป็น 15 ตัน/ไร่ และ มันสำปะหลังเป็น 5 ตัน/ไร่ เพิ่มพื้นที่การเพาะปลูกในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าและที่ราชพัสดุ พิจารณาราคา เอทานอลให้สอดคล้องกับวัตถุดิบในประเทศ กำหนดราคา E85 ให้มีราคาขายปลีกต่ำกว่าแก๊สโซฮอล 95 (E10) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 สนับสนุนการผลิตน้ำมัน E85 ครบวงจร รวมทั้งจัดทำโครงการ Fleet รถยนต์ E85 ตลอดจนสนับสนุนเงินทุนส่งเสริมจากรัฐในการวิจัยและพัฒนาพันธุ์วัตถุดิบและการใช้เซลลูโลสเป็นวัตถุดิบ ในการผลิตเอทานอล การพัฒนารถยนต์ FFV เป็นต้น
4.3 เพื่อให้การส่งเสริมการใช้ E85 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม ควรให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินการตามแผนงาน/โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการการส่งเสริมการใช้ E85 แบบครบวงจรให้แล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนด
5. เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีการพิจารณาเรื่อง การส่งเสริมการใช้ E85 ของประเทศไทยแบบบูรณาการ และได้มีมติดังนี้
5.1 เห็นชอบให้มีการส่งเสริมการใช้น้ำมัน E85 เป็นวาระแห่งชาติ และมอบหมายให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติในระยะเวลาที่กำหนดตามแผนปฏิบัติการการส่งเสริมการใช้ E85 ครบวงจร โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดำเนินงานและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
5.2 เห็นชอบให้กระทรวงการคลัง ลดอากรนำเข้า จากร้อยละ 80 เหลือเป็นร้อยละ 60 สำหรับรถยนต์ Flex Fuel Vehicle (FFV) ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ที่จะนำเข้าประเทศไทย ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552
5.3 เห็นชอบให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ขนาดไม่เกิน 2,000 ซีซี และไม่เกิน 2,500 ซีซี ที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในราชอาณาจักร จำนวนไม่เกิน 2,000 คัน ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และใช้เงินจากกองทุนน้ำมันฯ ชดเชยภาระภาษีสรรพสามิตรถยนต์ FFV อัตราร้อยละ 3 ให้กับรถยนต์ FFV ที่ผลิต และต้องจำหน่ายภายในราชอาณาจักร ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2553 และหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2553 เป็นต้นไป มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาโครงสร้างภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ FFV ให้สอดคล้องกับโครงสร้างภาษีรถยนต์ประเภทอื่นทั้งระบบต่อไป
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 แล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 3 มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550 ได้มีมติเห็นชอบการยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG และยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการส่งออกก๊าซ LPG ยังคงนโยบายราคาก๊าซ ณ คลังเท่ากันทั่วประเทศต่อไป โดยเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากก๊าซ LPG ในระดับที่เพียงพอสำหรับชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังก๊าซภูมิภาคและเห็นชอบหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG โดยกำหนดเพดานที่ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 60 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 40 โดยให้ทยอยปรับสัดส่วนการผลิตระหว่างโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นน้ำมันไปสู่ระดับจริง คือร้อยละ 60 ต่อร้อยละ 40 รวมทั้งได้มอบอำนาจให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม
2. เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะประธาน กบง. ได้เห็นชอบยกเลิกการชดเชยราคาก๊าซ LPG โดยปรับราคาขายส่งรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1.20 บาท/กิโลกรัม จากราคา 16.81 บาท เป็น 18.01 บาท/กิโลกรัม ต่อมาในวันที่ 4 มกราคม 2551 ได้เห็นชอบการปรับสูตรราคา ณ โรงกลั่นก๊าซ LPG เท่ากับ ต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 5 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2551 และในวันที่ 30 มกราคม 2551 ได้เห็นชอบราคา ณ โรงกลั่น ก๊าซ LPG ของเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ทำให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG ปรับตัวเพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 20 สตางค์ จากราคา 18.01 เป็น 18.21 บาท/กิโลกรัม
3. ต่อมาเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 กบง. ได้มีมติ ดังนี้ (1) ให้คงราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น เท่ากับต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 95 บวกราคาส่งออกร้อยละ 5 ของเดือนมีนาคม 2551 ไว้จนถึงประมาณเดือนกรกฎาคม 2551 แล้วจึงจะพิจารณาดำเนินการปรับสูตรราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่นให้เหมาะสมกับสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง (2) ให้คงราคาก๊าซหุงต้มในภาคครัวเรือนไว้ ณ ระดับราคาเดือนมีนาคม 2551 ส่วนก๊าซ LPG ที่นำไปใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม (ยกเว้นปิโตรเคมี) ให้ปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อนำเงินที่ได้จากอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไปชำระหนี้เงินชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG (3) ให้จ่ายเงินชดเชยราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้าตามปริมาณที่นำเข้าตั้งแต่เดือนมีนาคม 2551 เป็นต้นไป และ (4) ให้จัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการนำก๊าซ LPG ไปจำหน่ายในสาขาอื่น และคณะกรรมการป้องกันการลักลอบจำหน่ายก๊าซ LPG และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเรื่อง 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤติเพื่อคนไทยทุกคน และมีมติให้ชะลอการปรับราคาก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนเพื่อลดแรงกดดันค่าใช้จ่ายในภาคครัวเรือน จากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาพลังงานเป็นระยะเวลา 6 เดือน (1 สิงหาคม 2551 - 31 มกราคม 2552)
4. ปัจจุบันราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น ประกอบด้วย ราคาของโรงแยกก๊าซฯ และราคาส่งออก (ราคา ณ โรงกลั่นน้ำมัน) ในสัดส่วนร้อยละ 95 ต่อ 5 ซึ่งเป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการผลิตในประเทศที่สัดส่วน ร้อยละ 60 ต่อ 40 และราคาตลาดโลก ทั้งนี้ราคาขายปลีกอยู่ที่ระดับ 18.13 บาท/กิโลกรัม ซึ่งต่ำกว่าต้นทุน การผลิตจริงในประเทศที่ระดับ 23.24 บาท/กิโลกรัม และราคาตลาดโลกที่ระดับ 24.48 บาท/กิโลกรัม ขณะที่การจัดหาก๊าซ LPG ในประเทศมาจากโรงแยกก๊าซฯ ประมาณร้อยละ 60 และจากโรงกลั่นน้ำมันประมาณ ร้อยละ 40 ส่วนความต้องการใช้หลักจะอยู่ในภาคครัวเรือนประมาณร้อยละ 46 และในภาคขนส่ง ภาคอุตสาหกรรมและภาคปิโตรเคมีร้อยละ 17, 15 และ 22 ตามลำดับ
5. การที่รัฐบาลกำหนดราคาขายปลีก LPG อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าต้นทุนที่ควรจะเป็น ทำให้ความต้องการใช้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ส่งผลให้ปริมาณการผลิต LPG ในประเทศไม่เพียงพอ และต้องนำเข้าโดย ปตท. ตั้งแต่เดือนเมษายน - ตุลาคม 2551 จำนวน 375,953 ตัน คิดเป็นภาระชดเชยการนำเข้าของ ปตท. ประมาณ 7,423 ล้านบาท ขณะเดียวกันขีดความสามารถในการนำเข้า ขนส่ง และกระจายก๊าซ LPG ไปยังคลังภูมิภาคจำกัดไม่พอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และเพื่อแก้ไขปัญหา ควรปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ให้สะท้อนราคาที่แท้จริงมากขึ้น และเพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีที่ให้ชะลอการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มออกไปอีก 6 เดือน จึงพิจารณาปรับขึ้นราคาเฉพาะก๊าซ LPG ที่ใช้ในรถยนต์และอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหา 1) การส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ จากการใช้ก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมอาจไม่ครบถ้วน 2) การลักลอบนำก๊าซ LPG จากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายในสถานีบริการหรือโรงงานอุตสาหกรรม และ 3) การนำถังก๊าซ LPG ในครัวเรือนไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมและยานพาหนะ รวมทั้งการลักลอบถ่ายเทก๊าซ LPG จากถังในครัวเรือนไปใช้ในยานพาหนะและโรงงานอุตสาหกรรม
6. สำหรับมาตรการการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ประกอบด้วย
6.1 มาตรการด้านราคา แบ่งเป็น 1) การแก้ไขปัญหาในระยะสั้น โดยปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ให้สะท้อนราคาที่แท้จริงและสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2551 คือ ปรับขึ้นราคา ก๊าซ LPG เฉพาะในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม 2) แนวทางการเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมโดยใช้วิธีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 3) แนวทาง การลดภาระจากการนำเข้าก๊าซ LPG และ 4) เร่งความพร้อมของสถานีบริการก๊าซ NGV และมีมาตรการจูงใจ ให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV มากขึ้น
6.2 มาตรการจูงใจ เพื่อชะลอความต้องการใช้ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้ที่ประหยัดและเพื่อทดแทนน้ำมันในภาคครัวเรือน ขนส่ง และอุตสาหกรรม โดยการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจและรณรงค์ให้ใช้ก๊าซ LPG อย่างประหยัด
6.3 การเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับก๊าซ LPG ของคลังนำเข้าและขยายขีดความสามารถของการขนส่งและการกระจายก๊าซ LPG ของคลังภูมิภาค รวมทั้งปรับเพิ่มอัตราการสำรองตามกฎหมายของก๊าซ LPG ในปัจจุบัน ที่ระดับร้อยละ 0.5 ของปริมาณการค้าให้สูงขึ้นในอัตราเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศแล้ว
6.4 แนวทางการแก้ไขปัญหาจากการกำหนดราคาก๊าซ LPG เป็น 2 ราคา LPG ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็น 2 ระยะ เพื่อแก้ไขปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไม่ครบถ้วน 2) กำหนดให้ติดตั้งมิเตอร์ที่โรงบรรจุก๊าซทุกแห่งและเปรียบเทียบปริมาณก๊าซ LPG ที่บรรจุลงในถังก๊าซ LPG กับปริมาณที่โรงบรรจุรับก๊าซ LPG จากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำก๊าซ LPG จากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายในสถานีบริการหรือโรงงานอุตสาหกรรม และ 3) การแก้ไขปัญหาการนำถังก๊าซ LPG ในครัวเรือน ไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะและการถ่ายเทก๊าซ LPG จากถังก๊าซ LPG
7. เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีการพิจารณาเรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และได้มีมติดังนี้
7.1 เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG
7.1.1 แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ในส่วนของมาตรการราคา
1) เห็นชอบให้ยกเลิกหลักเกณฑ์การกำหนดราคาก๊าซ LPG ณ โรงกลั่น โดยวิธีการกำหนดเพดานให้ประกอบด้วยต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 60 บวกราคาส่งออกก๊าซ LPG ร้อยละ 40 และกำหนดราคาฐานตามต้นทุนการผลิตจากโรงแยกก๊าซฯ ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2550
2) เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ในส่วนของมาตรการราคา ดังนี้ (1) หลักการการจัดสรรปริมาณก๊าซ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศ ให้กับปริมาณความต้องการในภาคครัวเรือนและปิโตรเคมีเป็นลำดับแรก ส่วนปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ที่เหลือจากการจัดสรรข้างต้นจะถูกนำไปจัดสรรให้กับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมเป็นลำดับต่อไป ทั้งนี้ หากปริมาณการผลิตก๊าซ LPG ที่เหลือจากการจัดสรรในลำดับแรกไม่เพียงพอกับปริมาณความต้องการใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้มีการนำเข้าก๊าซ LPG จากต่างประเทศมารองรับในส่วนที่ขาด (2) หลักการการกำหนดส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เท่ากับ 6 บาท/กิโลกรัม หรือ 3.24 บาท/ลิตร โดยให้ กบง. พิจารณาทบทวนการคำนวณตามหลักการการกำหนดส่วนต่างระหว่างราคาก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และ (3) แนวทางการเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมโดยวิธีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเดือนละ 2 บาท/กิโลกรัม (1.08 บาท/ลิตร) เป็นเวลา 3 เดือนโดยเดือนแรกเพิ่มขึ้น 2 บาท/กิโลกรัม เดือนที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาท/กิโลกรัม และเดือนที่สามเพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท/กิโลกรัม และตั้งแต่เดือนที่สี่เป็นต้นไป ให้ใช้อัตราที่เพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท/กิโลกรัม โดยทยอยปรับเพิ่มส่วนต่างระหว่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมให้เท่ากับ 6 บาท/กิโลกรัม (3.24 บาท/ลิตร) โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
3) เมื่อการดำเนินการตามแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ในส่วนของมาตรการราคาโดยเฉพาะการชำระหนี้จากการชดเชยการนำเข้าก๊าซ LPG ได้หมดแล้ว มอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ ทบทวนและนำเสนอ กพช. พิจารณาหลักการในการคำนวณราคาก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้นต่อไป
4) เห็นชอบมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV จำนวนไม่เกิน 20,000 คัน ให้แล้วเสร็จภายในเวลาประมาณ 4 เดือน ดังนี้ (1) จัดสรรจำนวนรถแท็กซี่ที่ประสงค์จะเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ประมาณ 5,000 คัน/เดือน แยกเป็นรถแท็กซี่ใหม่ 800 คัน/เดือน และรถแท็กซี่เก่า 4,200 คัน/เดือน (2) สำหรับรถแท็กซี่ใหม่ทาง ปตท. จะออกค่าถังก๊าซ NGV 28,000 บาท/คัน และกองทุนน้ำมันฯ โดยกระทรวงพลังงานจะออกค่าติดตั้ง 12,000 บาท/คัน (3) รถแท็กซี่เก่าที่ติดตั้งก๊าซ LPG ปตท. จะออกค่าติดตั้งและค่าถังก๊าซ NGV 40,000 บาท/คัน และกองทุนน้ำมันฯ โดยกระทรวงพลังงานจะออกค่าชดเชยอุปกรณ์ก๊าซ LPG เก่า 3,000 บาท/คัน โดยรถแท็กซี่เก่าต้องคืนซากอุปกรณ์ก๊าซ LPG ให้กับกระทรวงพลังงานเพื่อนำไปทำลายซากต่อไป
7.1.2 แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG ในส่วนของมาตรการจูงใจ โดยประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั้งในภาคครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรมใช้ก๊าซ LPG อย่างประหยัดและให้ประชาชนเข้าใจถึงระบบการกำหนดราคาก๊าซ LPG รวมทั้งรณรงค์ในประเด็นราคาขายปลีกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตามตลาดโลก ประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่มีการใช้ LPG ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้ก๊าซ NGV ให้ได้ภายในเดือนเมษายน 2552 บริหารและจัดการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงความก้าวหน้าการขยายระบบเครือข่ายการให้บริการ NGV อย่างทั่วถึงความสะดวกสบายของรถที่ใช้ NGV ที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
7.1.3 เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับก๊าซ LPG ของคลังนำเข้าและขยายขีดความสามารถของการขนส่งและการกระจายก๊าซ LPG ของคลังภูมิภาค รวมทั้ง ปรับเพิ่มอัตราการสำรองตามกฎหมายของ ก๊าซ LPG จากในปัจจุบัน ที่ระดับร้อยละ 0.5 ของปริมาณการค้า ให้สูงขึ้นในอัตราที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศได้มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศแล้ว ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาขีดความสามารถในการนำเข้า ขนส่ง และกระจายก๊าซ LPG ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศ
7.1.4 แนวทางการแก้ไขปัญหาจากการกำหนดราคาก๊าซ LPG เป็น 2 ราคา ดังนี้
1) กำหนดวิธีการคำนวณปริมาณจำหน่ายก๊าซ LPG ที่ได้รับการยกเว้นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ เป็น 2 ระยะ ดังนี้ (1) ช่วง 6 เดือนแรก ใช้ปริมาณจำหน่ายก๊าซ LPG ในปี 2550 เฉลี่ยรายเดือน คำนวณปริมาณก๊าซ LPG ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ (2) ช่วงหลังจาก 6 เดือนไปแล้ว กำหนดให้โรงบรรจุก๊าซทุกแห่งติดตั้งมิเตอร์เพื่อตรวจสอบปริมาณก๊าซ LPG ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ทั้งนี้ อาจกำหนดให้เติมสาร Marker ในก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนด้วยได้
2) กำหนดให้ติดตั้งมิเตอร์ที่โรงบรรจุก๊าซทุกแห่งและเปรียบเทียบปริมาณก๊าซ LPG ที่บรรจุลงในถังก๊าซ LPG กับปริมาณที่โรงบรรจุรับก๊าซ LPG จากผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบนำก๊าซ LPG จากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายในสถานีบริการหรือโรงงานอุตสาหกรรม และใช้บทลงโทษผู้กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งนายกฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3) การแก้ไขปัญหาการนำถังก๊าซ LPG ในครัวเรือน ไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะและการถ่ายเทก๊าซ LPG จากถังก๊าซ LPG ดังนี้ (1) ออกกฎหมายควบคุมการใช้ถังก๊าซ LPG ในโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2552 (2) ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงอันตรายจากการใช้ถังก๊าซ LPG ผิดประเภทและการถ่ายเทก๊าซ และ (3) ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ จับกุม และดำเนินคดีโดยเคร่งครัด ตามความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรี
7.2 มอบหมายให้ สนพ. กรมธุรกิจพลังงาน และกรมการค้าภายใน รับผิดชอบในการติดตามและกำกับดูแลค่าการตลาดของก๊าซ LPG ที่ใช้ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรมให้มีความเหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้บริโภคต่อไปโดยเร็ว แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ กบง. ทราบต่อไป
7.3 เห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการต่างๆ ภายใต้ กพช. จำนวน 5 คณะ ดังนี้ 1) คณะกรรมการป้องกันและตรวจสอบการลักลอบจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลวไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 2) คณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวผิดประเภทและความปลอดภัย 3) คณะกรรมการติดตามตรวจสอบปริมาณก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 4) คณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว และ 5) คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์
7.4 มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลทางปฏิบัติในระยะเวลาที่กำหนดตามตารางแสดงแผนปฏิบัติงานการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG
ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 แล้ว
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่องที่ 4 ข้อเสนอการปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. ในการประชุม กบง. เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2549 ได้มีมติเห็นชอบปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซลเพิ่มขึ้นอีก 1.50 บาท/ลิตร จากระดับเพดานสูงสุด 2.50 บาท/ลิตร เป็น 4.00 บาท/ลิตร ต่อมาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2551 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 น้ำมันแก๊สโซฮอล 91 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 ในอัตรา 1.00, 0.90 และ 0.50 บาท/ลิตร ตามลำดับ และปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E20 ลงอีก 0.15 บาท/ลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป เพื่อให้กองทุนน้ำมันฯ เป็นเครื่องมือ ในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันที่ยังไม่เอื้อต่อการส่งเสริมพลังงานทดแทน เพื่อแก้ไขปัญหาปริมาณปาล์มน้ำมันที่มีมากกว่าความต้องการ และยังส่งผลทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีเสถียรภาพพอที่จะใช้ในการบริหารระดับราคามิให้เพิ่มสูงขึ้นโดยฉับพลันหลังสิ้นสุดนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือน
2. ผลการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2551โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2551 เมื่อพิจารณาโครงสร้างราคาน้ำมัน ณ วันที่ 27 ตุลาคม 2551 พบว่า กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอลมีโครงสร้างราคาเป็นไปตามหลักการบริหารจัดการการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยที่ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 (4.3074 บาท/ลิตร) มากกว่า ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (4.1749 บาท/ลิตร) และราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 (22.59 บาท/ลิตร) ถูกกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล E10 (23.89 บาท/ลิตร) ส่วนกลุ่มน้ำมันไบโอดีเซลมีโครงสร้างราคาเป็นไปตามหลักการบริหารจัดการการจัดโครงสร้างราคาน้ำมันเพื่อส่งเสริมพลังงานทดแทน โดยค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 (3.4547 บาท/ลิตร) มากกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 (2.7358 บาท/ลิตร) และราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B5 ถูกกว่าน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B2 เท่ากับ 1.00 บาท/ลิตร แต่ในช่วง 4 สัปดาห์ ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนราคาเอทานอลยังอยู่ในระดับเดิม ทำให้โครงสร้างราคา ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2551 ไม่เป็นไปตามหลักการการส่งเสริมพลังงานทดแทนข้างต้น
3. แนวทางในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
3.1 เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลในตลาดโลกมีการปรับขึ้น-ลง อย่างรวดเร็ว ส่วนราคาเอทานอลและไบโอดีเซลมีการปรับขึ้น-ลง ทำให้โครงสร้างราคาน้ำมันไม่เป็นไปตามหลักการเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนตาม จึงต้องทบทวนการกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง แต่เนื่องจากการกำหนดหลักเกณฑ์โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ดังนั้นจึงเห็นควรให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้เป็นไปตามหลักการส่งเสริมพลังงานทดแทน
3.2 จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ค้าน้ำมันไม่สามารถปรับลดราคาขายปลีกได้ทัน โดยการปรับราคาจะปรับได้ไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่งผลให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 น้ำมันเบนซิน 91 อยู่ในระดับสูง ดังนั้นเพื่อทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันเบนซิน 91 อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเพิ่มเสถียรภาพของกองทุนน้ำมันฯ ในการบริหารจัดการการส่งเสริมพลังงานทดแทน จึงเห็นควรปรับระดับเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จาก 4.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร และขอปรับเพิ่มอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ สำหรับน้ำมันเบนซิน 95 จากเดิม 4.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 จากเดิม 0.15 บาท/ลิตร เป็นอัตราชดเชย 0.30 บาท/ลิตร ซึ่งจากการปรับอัตราเงิน ส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามโครงสร้างราคาน้ำมันใหม่ ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 101 ล้านบาท/วัน เป็น 103 ล้านบาท/วัน
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ขยายเพดานอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 3.00 บาท/ลิตร จากเดิม 4.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร
3. เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้น 3.00 บาท/ลิตร จากเดิม 4.00 บาท/ลิตร เป็น 7.00 บาท/ลิตร และน้ำมันแก๊สโซฮอล E20 ปรับลดลง 0.45บาท/ลิตร จากเดิมอัตราส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ 0.15 บาท/ลิตร เป็นอัตราชดเชย 0.30 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
เรื่องที่ 5 แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2550 ได้มีมติอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2551-2555 ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน (สป.พน.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) (สบพน.) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 173,679,300 บาท พร้อมทั้งเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน 350 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้ สำหรับปีงบประมาณ 2551 กบง. ได้อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ให้แก่ สป.พน. สนพ. กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และ สบพน. เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2551 เป็นเงิน ดังนี้ 8,125,400 บาท, 20,532,400 บาท, 2,111,200 บาท, 867,200 บาท และ 1,486,800 บาท ตามลำดับ รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 41,093,000 บาท และงบค่าใช้จ่ายอื่น จำนวน 350 ล้านบาท ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2551 - 2555 ที่ กบง. ได้อนุมัติ
2. ตามแผนการใช้จ่ายของกองทุนน้ำมันฯ ปีงบประมาณ 2551-2555 ในงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ทั้ง 5 หน่วยงานที่ได้รับเงินสนับสนุน ได้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยมีผลการใช้จ่ายเงินตามที่ได้รับอนุมัติของปีงบประมาณ 2551 ณ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2551 ค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 24,780,410 บาท เงินคงเหลือ 16,312,590 บาท และในปี 2551 หน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงพลังงาน ได้แก่ สป.พน. กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) และ สนพ. ได้จัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ ในการใช้แก้ปัญหาภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย กบง. ได้อนุมัติเงินรวมเป็นเงิน 317.93 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2551 กบง. ได้มีมติให้ระงับการเบิกจ่ายเงินในโครงการเกี่ยวกับประชาสัมพันธ์บางส่วนของปีงบประมาณ 2551 ได้แก่ 1) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านนโยบายพลังงาน 2) โครงการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล ระยะที่ 3 3) โครงการประชาสัมพันธ์การปรับโครงสร้างราคา LPG 4) โครงการประชาสัมพันธ์สนับสนุนประสานผลักดันนโยบายและแผนพัฒนาพลังงานสู่การปฏิบัติ และ 5) การประเมินผลโครงการประชาสัมพันธ์ ตามที่คณะกรรมการบริหารงานประชาสัมพันธ์ของกระทรวงพลังงานเสนอ
3. ผลการดำเนินโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ พบว่า โครงการที่ถูกระงับการเบิกจ่าย 5 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการด้านประชาสัมพันธ์ ทำให้มีเงินส่งคืนกองทุนน้ำมันฯ จำนวน 105.5 ล้านบาท และโครงการที่เสร็จสิ้นแล้ว 1 โครงการ คือ โครงการพัฒนาช่างผู้ชำนาญการในการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ส่วนโครงการอื่นอยู่ระหว่างดำเนินการ
4. ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2551 มียอดเงินคงเหลือตามบัญชี 16,097 ล้านบาท มีหนี้สินกองทุน 7,787 ล้านบาท แยกเป็นหนี้ค้างชำระเงินชดเชย 7,461 ล้านบาท และงบบริหารโครงการซึ่งได้อนุมัติแล้ว 326 ล้านบาท ฐานะกองทุนน้ำมันฯ สุทธิ 8,310 ล้านบาท
5. สำหรับปีงบประมาณ 2552 หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ได้ขอปรับปรุงแผน การใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันฯ ประจำปีงบประมาณ 2552 ใหม่ เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 41,619,400 บาท มีรายละเอียดดังนี้ คือ
5.1 สป.พน. ได้ขอปรับเพิ่มงบในหมวดค่าจ้างชั่วคราว และหมวดค่าตอบแทนใช้สอยและวัสดุ พร้อมทั้งขอตัดรายจ่ายค่าจ้างเหมาบริการผู้ประสานงานในพื้นที่ออก ส่วนงบรายจ่ายอื่น ได้ขอเพิ่มโครงการศึกษาวิจัยและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศ เนื่องจากกระทรวงพลังงานจะต้องเป็นเจ้าภาพ การประชุมระหว่างประเทศในปี 2552 ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน ทำให้ยอดเงินรวมขอรับการสนับสนุนของ สป.พน. เพิ่มขึ้นเป็นเงินปีละ 23.2147 ล้านบาท (เดิม 8.1254 ล้านบาท) หรือยอดรวมปี 2552 - 2555 เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 92.8558 ล้านบาท
5.2 สนพ. ในปีงบประมาณ 2552 ได้ขอปรับลดทุกหมวดรายจ่ายลง โดยในหมวดรายจ่ายอื่นๆ ได้ปรับลดค่าเดินทางไปราชการต่างประเทศ ค่าจ้างที่ปรึกษาด้านพลังงานลง ทำให้ สนพ. จะมีค่าใช้จ่ายเป็นเงิน ปีละ 12.5952 ล้านบาท (เดิม 20.5324 ล้านบาท) หรือยอดรวมปี 2552 - 2555 เป็นจำนวนเงิน 50.3808 ล้านบาท
5.3 กรมสรรพสามิต ได้ขอปรับเพิ่มงบลงทุนในหมวดครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง โดยขอจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์เลเซอร์ชุดใหม่เพิ่ม จำนวนเงินรวม 0.5050 ล้านบาท และขอเพิ่มหมวดค่าจ้างชั่วคราวเพิ่มขึ้น 1 ตำแหน่ง ทำให้ยอดเงินค่าใช้จ่ายรวมของกรมสรรพสามิต ในปี 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 2.6068 ล้านบาท (เดิม 1.8011 ล้านบาท) และมียอดรวมปี 2552 - 2555 เป็นจำนวนเงิน 8.8762 ล้านบาท
5.4 กรมศุลกากร ได้ขอปรับจำนวนเงินในหมวดค่าจ้างชั่วคราวตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2551 และวันที่ 17 มิถุนายน 2551 ทำให้มียอดค่าใช้จ่ายรวมในปี 2552 เพิ่มขึ้น เป็นจำนวนเงิน 0.9119 ล้านบาท (เดิม 0.8672 ล้านบาท) และมียอดรวมปี 2552 - 2555 เป็นจำนวนเงิน 3.6476 ล้านบาท
5.5 สบพน. ได้ของบประมาณเพื่อดำเนินการจ้างบุคลากรตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ จำนวน 1 ตำแหน่ง ทำให้ สบพน. มียอดค่าใช้จ่ายรวมในปี 2552 เป็นจำนวนเงิน 1.4868 ล้านบาท (เท่ากับปีงบประมาณ 2551) โดยมียอดรวมปี 2552-2555 เป็นจำนวนเงิน 6.3181 ล้านบาท
6. สำหรับการขอรับเงินสนับสนุนโครงการในปี 2552 มีหน่วยงานในกระทรวงพลังงาน คือ กรมธุรกิจพลังงาน ได้จัดทำโครงการเพื่อขอรับเงินสนับสนุน จำนวน 2 โครงการ ซึ่งเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2551 อบน. ได้มีมติอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย ในโครงการต่างๆ จำนวน 2 โครงการ จำนวนเงินรวม 7,120,750 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้
6.1 โครงการฝึกอบรมช่างติดตั้งระบบก๊าซธรรมชาติสำหรับรถใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อฝึกอบรม ช่างติดตั้งระบบก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับก๊าซธรรมชาติ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการขนส่งใช้ก๊าซธรรมชาติกับรถยนต์ขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น ดำเนินการโดยจัดฝึกอบรมภาคทฤษฎีและปฏิบัติให้แก่บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไป จำนวน 15 รุ่นๆ ละ 45 คน ใช้ระยะเวลาฝึกอบรม 5 วัน โดยใช้สถาบันพัฒนาเทคนิคพลังงาน ศรีราชา เป็นสถานที่ฝึกอบรม วงเงินงบประมาณรวม 4,520,750 บาท ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 - ธันวาคม 2552
6.2 โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบถัง อุปกรณ์ และการติดตั้งอุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะ จำนวน 1,160 คัน ให้ปลอดภัย และเพื่อป้องกันอุบัติภัยอันเกิดจากถัง อุปกรณ์ NGV ในรถยนต์โดยสารสาธารณะในส่วนภูมิภาค ที่มีจำนวนผู้ตรวจและทดสอบไม่เพียงพอ ดำเนินการโดยจัดจ้างผู้ตรวจและทดสอบรถที่ใช้ NGV เพื่อตรวจและทดสอบรถยนต์โดยสารสาธารณะ ซึ่งมีจำนวนรถที่จะตรวจสอบรวม 12 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา ลำปาง นครศรีธรรมราช และกรุงเทพฯ เป็นต้น วงเงินงบประมาณรวม 2,600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน
7. สำหรับการใช้จ่ายเงินของกองทุนน้ำมันฯ ในปี 2552 - 2555 ประกอบด้วย เงินสนับสนุนให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกองทุนน้ำมันฯ รวม 5 หน่วยงาน และค่าใช้จ่ายอื่น มียอดรวมเป็นเงินประมาณ 162.8855 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น สป.พน.จำนวน 92.8588 ล้านบาท สนพ. จำนวน 50.3808 ล้านบาท กรมสรรพสามิต จำนวน 8.8762 ล้านบาท กรมศุลกากร จำนวน 3.6476 ล้านบาท สบพน. จำนวน 6.3181 ล้านบาท ประกอบกับค่าใช้จ่ายในการออกพันธบัตร จำนวน 0.8040 ล้านบาท
8. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2551 และวันที่ 17 ตุลาคม 2551 คณะอนุกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ได้พิจารณาเรื่อง แผนการใช้จ่ายเงินบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555และได้มีมติดังนี้
8.1 รับทราบการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551 ของหน่วยงานต่างๆ
8.2 เห็นชอบแผนการใช้จ่ายเงินในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท พร้อมทั้งเงินสนับสนุนในงบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในปีงบประมาณ 2552 - 2555 จำนวนเงินปีละ 300 ล้านบาท โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ ในปีถัดไปได้ ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป
8.3 เห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 2 โครงการ จำนวนเงินรวม 7,120,750 บาท ดังต่อไปนี้ 1) โครงการฝึกอบรมช่างติดตั้งระบบก๊าซธรรมชาติสำหรับรถใหญ่ วงเงิน 4,520,750 บาท มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 - ธันวาคม 2552 และ 2) โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย วงเงิน 2,600,000 บาท ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน
มติของที่ประชุม
1. รับทราบผลการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2551 ของหน่วยงานต่างๆ
2. อนุมัติแผนการใช้จ่ายเงินงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 - 2555 ให้หน่วยงานต่างๆ เป็นจำนวนเงินรวม 162.8855 ล้านบาท (หนึ่งร้อยหกสิบสองล้านแปดแสนแปดหมื่นห้าพัน ห้าร้อยบาทถ้วน) พร้อมทั้งสนับสนุนเงินในงบค่าใช้จ่ายอื่น ในปีงบประมาณ 2552 - 2555 ปีละ 300 ล้านบาท รวม 1,200 ล้านบาท (หนึ่งพันสองร้อยล้านบาทถ้วน) โดยเงินเหลือจ่ายดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในปีถัดไปได้
3. อนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552 ให้หน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร และสถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น 41,619,400 บาท (สี่สิบเอ็ดล้านหกแสนหนึ่งหมื่นเก้าพันสี่ร้อยบาทถ้วน) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 เป็นต้นไป ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
การอนุมัติงบบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ประจำปีงบประมาณ 2552
หน่วย : ล้านบาท
หน่วยงาน | หมวด ค่าจ้าง ชั่วคราว |
หมวด ค่าตอบแทน ใช้สอย และวัสดุ |
หมวด ค่าครุภัณฑ์ |
หมวด รายจ่าย อื่นๆ |
ค่าใช้จ่าย ในการออก พันธบัตร |
รวม |
1. สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน | 1.8309 | 12.1678 | - | 9.2160 | - | 23.2147 |
2. สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน | 0.3399 | 5.6553 | - | 6.6000 | - | 12.5952 |
3. กรมสรรพสามิต | 1.0882 | 1.0016 | 0.5050 | 0.0120 | - | 2.6068 |
4. กรมศุลกากร | 0.5396 | 0.3723 | - | - | - | 0.9119 |
5. สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน | 0.9900 | 0.4968 | - | - | 0.8040 | 2.2908 |
รวม |
4.7886 | 19.6938 | 0.5050 | 15.8280 | 0.8040 | 41.6194 |
4. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ปีงบประมาณ 2552 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการต่างๆ ของกรมธุรกิจพลังงาน จำนวน 2 โครงการ จำนวนเงินรวม 7,120,750 บาท (เจ็ดล้านหนึ่งแสนสองหมื่นเจ็ดร้อยห้าสิบบาทถ้วน) ดังต่อไปนี้
4.1 โครงการฝึกอบรมช่างติดตั้งระบบก๊าซธรรมชาติสำหรับรถใหญ่ วงเงิน 4,520,750 บาท (สี่ล้านห้าแสนสองหมื่นเจ็ดร้อยห้าสิบบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 - ธันวาคม 2552
4.2 โครงการวันแม่ถึงวันพ่อ 116 วัน สร้างสามัคคี ตรวจ NGV 1,160 คัน ปลอดภัย วงเงิน 2,600,000 บาท (สองล้านหกแสนบาทถ้วน) ระยะเวลาดำเนินการ 60 วัน นับถัดจากวันที่ลงนามในหนังสือสัญญา
โดยให้สามารถถัวจ่ายระหว่างรายการและแยกดำเนินการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ให้เบิกจ่ายตามที่ใช้จ่ายจริงภายในวงเงินที่ได้รับการสนับสนุน
เรื่องที่ 6 แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มาตรการด้านราคา และการกำกับดูแล
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยมีรายละเอียดตามเรื่องที่ 3.3 ข้อ 7
2. เพื่อรองรับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งได้เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยเฉพาะในส่วนมาตรการราคา ได้กำหนดราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลวแยกออกตามประเภทการใช้โดยเฉพาะในส่วนของปัญหาการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ไม่ครบถ้วน ปัญหาการลักลอบนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวจากโรงบรรจุก๊าซไปจำหน่ายในสถานีบริการหรือโรงงานอุตสาหกรรม และปัญหาการนำก๊าซปิโตรเลียมเหลวในครัวเรือนไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม ยานพาหนะ ซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขและเพิ่มเติมคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ในประเด็นสำคัญๆ ดังนี้ 1) คำนิยามศัพท์ 2) การกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนหรืออัตราเงินชดเชยสำหรับก๊าซ ให้สามารถกำหนดอัตราเงินสำหรับก๊าซแยกตามประเภทการใช้ได้ 3) การกำหนดบทบาทและหน้าที่ของผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ในประเด็นส่งเงินเข้ากองทุน และการติดตั้งมาตรวัดปริมาณการจ่ายก๊าซจากถังเก็บก๊าซ 4) การกำหนดบทบาทและหน้าที่ของ ธพ. และผู้ว่าราชการจังหวัดในประเด็นตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนเงินที่ผู้ค้าน้ำมันนำส่งเข้ากองทุน และการกำหนดบทปรับเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาก๊าซ LPG
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง และขอความเห็นชอบให้ประธาน กบง. เป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ สนพ. ประกาศกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม ตามแนวทางการเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมโดยวิธีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ สำหรับก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้นเดือนละ 2 บาท/กิโลกรัม (1.08 บาท/ลิตร) โดยเดือนแรกเพิ่มขึ้น 2 บาท/กิโลกรัม เดือนที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 4 บาท/กิโลกรัม และเดือนที่สามเพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท/กิโลกรัม และตั้งแต่เดือนที่สี่เป็นต้นไปให้ใช้อัตราที่เพิ่มขึ้นเป็น 6 บาท/กิโลกรัม
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบร่างคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ .../2551 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง
2. เห็นชอบให้ประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานประกาศกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมตามแนวทางการเพิ่มส่วนต่างราคาขายปลีกก๊าซ LPG ในภาคครัวเรือนกับภาคขนส่งและอุตสาหกรรมโดยวิธีการปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 2 บาท/กิโลกรัม (1.08 บาท/ลิตร) หลังจากนั้นมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ พิจารณาทบทวนและปรับปรุงข้อสมมติฐานให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และนำเสนอต่อประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ หลังจากนายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งนายกรัฐมนตรีฯ แล้ว มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานนำเรื่องเสนอต่อประธานกรรมการบริหารนโยบายพลังงานเพื่อพิจารณากำหนดวันปรับเพิ่ม อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 2 บาท/กิโลกรัม (1.08 บาท/ลิตร) ต่อไป
เรื่องที่ 7 แผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในส่วนของมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน ดังนี้ 1) จัดสรรจำนวนรถแท็กซี่ที่มีความประสงค์จะเปลี่ยนมาใช้ NGV ประมาณ 5,000 คัน/เดือน แยกเป็นรถแท็กซี่ใหม่จำนวน 800 คัน/เดือน และรถแท็กซี่เก่าจำนวน 4,200 คัน/เดือน เป็นเวลา 4 เดือน 2) สำหรับรถแท็กซี่ใหม่ทาง ปตท. จะออกค่าถัง NGV 28,000 บาท/คัน และกองทุนน้ำมันฯ โดยกระทรวงพลังงานจะออกค่าติดตั้ง 12,000 บาท/คัน 3) สำหรับรถแท็กซี่เก่าที่ติดตั้งก๊าซ LPG ปตท. จะออกค่าติดตั้งและค่าถัง NGV 40,000 บาท/คัน และกองทุนน้ำมันฯ จะออกค่าชดเชย 3,000 บาท/คัน โดยรถแท็กซี่เก่าต้องคืนซากอุปกรณ์ก๊าซ LPG ให้กับกระทรวงพลังงานเพื่อนำไปทำลายซากต่อไป ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการรถแท็กซี่ จากการดำเนินการปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม
2. เพื่อรองรับมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น และเพื่อให้สามารถดำเนินการปรับราคาก๊าซ LPG ได้ทันที ตามมาตรการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV จำนวน 20,000 คัน ในระยะเวลา 4 เดือน ทาง ปตท. จะรับภาระในการให้เงินช่วยเหลือประมาณ 190.4 ล้านบาท/เดือน (รวม 761.6 ล้านบาท) และกองทุนน้ำมันฯ รับภาระให้เงินช่วยเหลือประมาณ 22.2 ล้านบาท/เดือน (คิดเป็นเงิน 88.8 ล้านบาท)
3. คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ฯ ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2551 ได้พิจารณาแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV ร่วมกับสมาคมผู้ประกอบการรถแท็กซี่ และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และเห็นควรนำเสนอแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ NGV ต่อ กบง. เพื่อพิจารณา ดังนี้
3.1 ให้ ธพ. และ ปตท. เตรียมความพร้อมทางด้านการติดตั้งอุปกรณ์ NGV โดยร่วมกันจัดทำบัญชีรายชื่ออู่ติดตั้ง NGV มาตรฐาน เพื่อสามารถติดตามและตรวจสอบในประเด็น ดังนี้ คือ 1) ตรวจสอบมาตรฐานของอู่ติดตั้ง NGV ให้มีมาตรฐานตามที่ได้กำหนดไว้ และตรวจสอบให้มีความพร้อมในการรองรับรถแท็กซี่ที่จะเข้ามาติดตั้ง NGV ได้ 2) ตรวจสอบมาตรฐานอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถัง) โดยจัดทำรายละเอียดมาตรฐานของอุปกรณ์ NGV (ชุด Kit และถังก๊าซ NGV) เพื่อให้สามารถดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานของอุปกรณ์ได้ 3) กำหนดให้มีช่างติดตั้งที่ผ่านการฝึกอบรม 4) กำหนดให้มีผู้ตรวจและทดสอบที่ได้การรับรองจากกรมการขนส่งทางบก ซึ่งสามารถออกใบรับรองการติดตั้ง และ 5) การติดตามการบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้อู่ติดตั้งจะต้องรับผิดชอบในกรณีที่เกิดปัญหาจากการติดตั้ง
3.2 เมื่อได้รับการติดตั้ง NGV แล้วเสร็จ ให้ ธพ. เป็นผู้บริหารจัดการในส่วนเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ทั้งในส่วน 3,000 บาท สำหรับรถแท็กซี่เก่า และ 12,000 บาท สำหรับรถแท็กซี่ใหม่ โดย ธพ. เป็นผู้จัดทำรายละเอียดการดำเนินการเพื่อเสนอต่อ สบพน. ต่อไป
3.3 ให้สมาคมผู้ประกอบการรถแท็กซี่เป็นผู้ดำเนินการในการบริหารจัดการจำนวนรถแท็กซี่จะปรับเปลี่ยนจาก LPG เป็น NGV ในแต่ละวัน
3.4 ให้ สนพ. ดำเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV
3.5 ให้คณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ เป็นผู้ติดตามและประเมินผลและรายงานให้ กบง. ทราบเมื่อเสร็จสิ้นโครงการ
4. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันฯ สำหรับแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาใช้ก๊าซ NGV ในวงเงิน 88.8 ล้านบาท และแผนการดำเนินการของแผนงานฯ ดังกล่าว
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV ตามที่เสนอโดยคณะกรรมการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ของกลุ่มรถแท็กซี่จากการใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลวมาเป็นก๊าซธรรมชาติในรถยนต์ ตามข้อ 3 (ในส่วนสรุปสาระสำคัญ)
2. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2552 ในวงเงิน 88.8 ล้านบาท (แปดสิบแปดล้านแปดแสนบาทถ้วน) สำหรับแผนงานการจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่เปลี่ยนมาเป็นรถแท็กซี่ NGV
เรื่องที่ 8 แผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG)
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2551 เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในส่วนของการประชาสัมพันธ์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนทั้งในภาคครัวเรือน ขนส่งและอุตสาหกรรมใช้ก๊าซ LPG อย่างประหยัดและให้เข้าใจระบบการกำหนดราคาก๊าซ LPG รวมทั้งการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้กลุ่มรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ LPG ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์มาเป็น NGV ภายในเดือนเมษายน 2552 ตลอดจนบริหารจัดการและประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงความก้าวหน้าการขยายระบบเครือข่ายการให้บริการ NGV อย่างทั่วถึง ต่อมา เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2551 กพช. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อติดตามความก้าวหน้าการให้ความรู้และสร้างความเข้าใจเพื่อรองรับสถานการณ์ที่ภาครัฐจะประกาศปรับโครงสร้างก๊าซปิโตรเลียมเหลว รวมถึงให้เข้าใจในสถานการณ์พลังงานและมาตรการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐไปยังประชาชน
2. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551 คณะกรรมการดำเนินการประชาสัมพันธ์การปรับเปลี่ยนโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว ได้พิจารณาจัดทำแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อรองรับกับแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามมติคณะรัฐมนตรี โดยที่ประชุมฯ ได้รับทราบแผนงานและโครงการการประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับ LPG ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ของ สนพ. และ ธพ. พร้อมทั้งมีความเห็นว่าโครงการประชาสัมพันธ์ของ สนพ. มีข้อจำกัดที่จะรองรับกับแนวทางประชาสัมพันธ์ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 โดยเฉพาะในส่วนขอบเขตงานและกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งระยะเวลาดำเนินโครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในเดือนมกราคม 2552 ในขณะที่โครงการประชาสัมพันธ์ของ ธพ. เป็นโครงการเพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจด้านพลังงานโดยรวม โดยมีงาน LPG เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ที่ประชุมฯ จึงเห็นควรให้จัดทำแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อรองรับกับแนวทางการประชาสัมพันธ์ตามมติดังกล่าวเป็นการเฉพาะ โดยมอบหมายให้ สนพ. เป็นผู้ดำเนินการจัดทำรายละเอียด เพื่อเสนอ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
3. สนพ. ได้จัดทำแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) มีระยะเวลา 6 เดือน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจและยอมรับนโยบายการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG เป็น 2 ราคา และส่งเสริมการใช้ก๊าซ LPG ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ และมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อประชาสัมพันธ์มาตรการของรัฐในด้านต่างๆ อาทิ การป้องกันก๊าซขาดแคลน การกักตุน ลักลอบ บทลงโทษ มาตรการช่วยเหลือของรัฐ ต่อกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีทยอยการปรับขึ้นราคา LPG ในอนาคต ต่อกลุ่มเป้าหมายภาคขนส่งและอุตสาหกรรมที่ใช้ LPG เป็นเชื้อเพลิง ผู้ประกอบการแท็กซี่ ภาคครัวเรือน และกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ หน่วยงานภายให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานรัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
4. สำหรับแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จะใช้งบประมาณรวมทั้งหมด 30 ล้านบาท ดำเนินการโดยผ่านสื่อต่างๆ ดังนี้
4.1 ผลิตสารคดีโทรทัศน์ ความยาว 2 นาที จำนวน 25 ตอน แทรกในรายการโทรทัศน์ เผยแพร่ ไม่น้อยกว่า 100 ครั้ง และซื้อเวลาในรายการโทรทัศน์ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญหรือพิธีกรชี้แจงให้รายละเอียดข้อมูล ไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง (งบประมาณ 10 ล้านบาท)
4.2 ผลิตสารคดีวิทยุ ความยาว 1 นาที จำนวน 25 ตอน ในคลื่นกลุ่มผู้นำความคิด กลุ่มผู้ขับขี่แท็กซี่ กลุ่มประชาชนในต่างจังหวัดทุกภูมิภาค เผยแพร่ไม่น้อยกว่า 300 ครั้ง (งบประมาณ 3 ล้านบาท)
4.3 เปิดคอลัมน์ถาม - ตอบ ในสื่อหนังสือพิมพ์ ขนาด 4 x 6 นิ้ว จำนวนไม่น้อยกว่า 40 ครั้ง (งบประมาณ 6 ล้านบาท)
4.4 สกู๊ปในสื่อสิ่งพิมพ์ ขนาดจูเนียร์ เพจ ขาว - ดำ 20 ครั้ง ใน หนังสือพิมพ์ 3 ฉบับ (งบประมาณ 2 ล้านบาท)
4.5 จัด press visit ดังนี้ 1) เยี่ยมชมโรงงานบรรจุก๊าซเพื่อชี้แจงการติดตั้งมิเตอร์ป้องกันการลักลอบก๊าซ LPG ในต่างจังหวัด 2 ครั้ง 2) ตรวจสถานีบริการน้ำมัน เพื่อตรวจสอบคุณภาพก๊าซและมาตรฐานของสถานีบริการก๊าซ NGV ใน กทม. 1 ครั้ง ต่างจังหวัด 1 ครั้ง 3) รายงานผลการตรวจคุณภาพของอู่ติดตั้ง NGV โดยกรมการขนส่งทางบกและกรมธุรกิจพลังงาน และ 4) จัดสัมมนาไปยังกลุ่มเป้าหมายอุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซ LPG และได้รับผลกระทบโดยตรงเพื่อสร้างความเข้าใจ และยอมรับนโยบายการปรับราคา รวมถึงรับทราบมาตรการการช่วยเหลือจากภาครัฐ และวิธีประหยัดพลังงาน (งบประมาณ 4 ล้านบาท)
4.6 ดำเนินงานสื่อมวลชนสัมพันธ์อื่นๆ อาทิ 1) จัดส่ง Fact Sheet ข้อมูลความรู้ LPG เพื่อสร้างความเข้าใจแก่สื่อต่างๆ 2) จัดส่ง Fact Sheet ให้พลังงานจังหวัดทุกจังหวัด รับทราบข้อมูลความรู้ LPG และประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนในท้องที่ และ 3) จัดผู้บริหารให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ครอบคลุม สื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสิ่งพิมพ์ (งบประมาณ 3 ล้านบาท)
4.7 ผลิตและเผยแพร่ โปสเตอร์ แผ่นพับ ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และผู้ที่อาจได้รับผลกระทบในอนาคต เพื่อให้รู้วิธีเตรียมพร้อมและใช้ก๊าซอย่างประหยัดและถูกวิธี ทั้งนี้จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ กรมขนส่งทางบก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานการคุ้มครองผู้บริโภค ปตท. สมาคมผู้ค้าปลีกก๊าซ LPG สำนักเขตการศึกษาทั่วประเทศ เป็นต้น (งบประมาณ 2 ล้านบาท)
4.8 เผยแพร่ข้อมูล สร้างความเข้าใจผ่านเว็บไซต์ อาทิ เว็บไซต์ของกระทรวงพลังงาน สนพ. และเว็บไซต์หน่วยงานราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง และการประชาสัมพันธ์อื่นๆ ตามสถานการณ์
5. ฝ่ายเลขานุการฯ ได้นำเสนอ กบง. เพื่อขอความเห็นชอบแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) และอนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับแผนงานฯ ดังกล่าว ในวงเงิน 30 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในข้อ 4 (ในส่วนสรุปสาระสำคัญ) ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานดำเนินการปรับแก้ไขแผนงานดังกล่าวได้ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตามความเหมาะสม
2. อนุมัติเงินสนับสนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง งบค่าใช้จ่ายอื่น ประจำปีงบประมาณ 2552 สำหรับแผนงานการประชาสัมพันธ์การแก้ไขปัญหาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ในวงเงิน 30 ล้านบาท (สามสิบล้านบาทถ้วน) โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน