Super User
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 15-21 เมษายน 2556
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 8-14 เมษายน 2556
สถานการณ์ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 01-07 เมษายน 2556
กบง. ครั้งที่ 6 - วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 6/2558 (ครั้งที่ 6)
วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13.30 น.
1. โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกรกฎาคม 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกรกฎาคม 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 เห็นชอบ การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และการนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยโครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนกรกฎาคม 2558 มีปัจจัยที่สำคัญคือ ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนกรกฎาคม 2558 อยู่ที่ 407 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 12 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนมิถุนายน 2558 อยู่ที่ 33.8789 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2558 ที่ 0.1733 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.1205 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 15.7969 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.6764 บาทต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนกรกฎาคม 2558 ที่ปรับลดลง 0.1205 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG เป็น 2 แนวทาง ดังนี้ (1) คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.9520 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.1289 บาทต่อกิโลกรัม จาก 23.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.83 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนมีรายรับ 271 ล้านบาทต่อเดือน (2) ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ที่ 0.1205 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 0.9520 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 1.0725 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกคงเดิมที่ 23.96 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับ 314 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG ณ วันที่ 28 มิถุนายน 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 7,395 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตและนำเข้ากิโลกรัมละ 1.0725 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2558 เป็นต้นไป
สรุปสาระสำคัญ
1. เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ได้มีมติมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) รับไปดำเนินการประกาศหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder โดยให้มีผลนับถัดจากวันที่ กพช. มีมติ (ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2557) ซึ่งต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้มีหนังสือถึงการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อแจ้งมติ กกพ. ให้การไฟฟ้าดำเนินการออกประกาศหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder โดยให้มีผลนับถัดจากวันที่ กพช. มีมติ และต่อมา กฟน. กฟผ. และ กฟภ. ได้ดำเนินการออกประกาศ เรื่อง การหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder เมื่อวันที่ 23 29 และ 30 มกราคม 2558 ตามลำดับ โดยประกาศทั้งหมดให้มีผลนับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2557
2. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 กพช. ได้มีมติมอบหมายให้ กกพ. รับไปแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนของโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder ที่หยุดรับซื้อไฟฟ้า ซึ่งมีผลถัดจากวันที่ กพช. มีมติซึ่งทำให้ผู้ยื่นขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder ไม่สามารถยื่นขอขายไฟฟ้าได้ทัน และเมื่อได้ข้อยุติแล้วให้นำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
3. โดยที่ผ่านมาสำนักงาน กกพ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้า ในรูปแบบ Adder ภายหลังจากที่ กพช. มีมติให้หยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder แต่เป็นการยื่นก่อนที่การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการออกประกาศฯ จำนวน 8 ราย แบ่งออกเป็น VSPP จำนวน 5 ราย และ SPP จำนวน 3 ราย คิดเป็นปริมาณเสนอขายประมาณ 97.966 เมกะวัตต์ โดยผู้ผลิตไฟฟ้าได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอให้ทบทวนมติ กพช. เนื่องจากผู้ผลิตไฟฟ้าได้ยื่นคำขอขายไฟฟ้าตามหลักเกณฑ์ปฏิบัติ ประกอบกับได้ลงทุนและมีค่าใช้จ่ายคิดเป็นเงินจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีความเห็นว่าการออกประกาศของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งที่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
4. ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 กกพ. ได้มีมติว่าประกาศของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ไม่สามารถมีผลใช้บังคับย้อนหลังไปถึงวันถัดจากวันที่ กพช. มีมติได้ เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งความเห็นดังกล่าวสอดคล้องกับความเห็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คำวินิจฉัยและกลั่นกรองคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนด ดังนั้น กกพ. จึงได้มอบหมายให้สำนักงาน กกพ. นำเสนอเรื่องดังกล่าวต่อ กบง. เพื่อพิจารณาหาข้อยุติ ตามมติของ กพช. โดย กกพ. ได้มีหนังสือถึงการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง เพื่อให้จัดส่งข้อมูลการยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Adder ที่ได้รับระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2557 จนถึงวันที่การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะดำเนินการออกประกาศฯ พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานการยื่นคำร้องของผู้ยื่นคำร้องและข้อเสนอทุกราย รวมถึงผู้ยื่นคำร้องและข้อเสนอที่ถูกปฏิเสธ ซึ่งสำนักงาน กกพ. ได้รับหนังสือรายงานข้อมูลการยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าจากการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง รวมทั้งสิ้น 35 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายทั้งสิ้น 314.706 เมกะวัตต์ แบ่งออกเป็น (1) กฟผ. จำนวนทั้งสิ้น 4 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายทั้งสิ้น 131.866 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเป็นเชื้อเพลิงขยะ และชีวมวลจำนวน 1 และ 3 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย 70 และ 61.866 เมกะวัตต์ ตามลำดับ (2) กฟภ. จำนวนทั้งสิ้น 31 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขายทั้งสิ้น 182.840 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นเป็นเชื้อเพลิงขยะ ชีวภาพ ชีวมวล และน้ำจำนวน 13 5 12 และ 1 โครงการ มีปริมาณพลังไฟฟ้าเสนอขาย 67.600 8.840 106.300 และ 0.100 เมกะวัตต์ ตามลำดับ และ (3) กฟน. ไม่มีผู้เสนอขอ ทั้งนี้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาเทียบเคียง ได้แก่ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อ.64–79/2551 และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.66/2553 ได้มีคำวินิจฉัยว่า ประกาศเป็นการใช้อำนาจทางปกครองที่มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป จึงเป็นกฎ และต้องอยู่ภายใต้บังคับของหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่า นิติกรรมทางปกครองไม่มีผลย้อนหลัง
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ประกาศการหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยให้มีผลใช้บังคับถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป ดังนี้
(1) การไฟฟ้านครหลวง ให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 24 มกราคม 2558
(2) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 30 มกราคม 2558
(3) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ 31 มกราคม 2558
โดยให้สิทธิแก่ผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าระหว่างวันที่ 16 ธันวาคม 2557 จนถึง วันที่ประกาศ เรื่อง การหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder ของการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง มีผลใช้บังคับตามข้อ (1) – (3) ทั้งนี้ ให้การไฟฟ้าพิจารณาคำร้องขอขายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าภายหลังจากที่ กพช. ได้มีมติให้หยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้าในรูปแบบ Adder และได้ยื่นคำร้องขอขายไฟฟ้าก่อนที่การไฟฟ้า ออกประกาศหยุดรับคำร้องขอขายไฟฟ้า แต่การไฟฟ้าได้ปฏิเสธการรับคำขอขายไฟฟ้าไว้ เนื่องจากเป็นการยื่นภายหลังวันที่ 16 ธันวาคม 2557
2. ให้การไฟฟ้าพิจารณาคำร้องขอขายไฟฟ้าของผู้ผลิตไฟฟ้าข้างต้น โดยคำนึงถึงศักยภาพของระบบไฟฟ้า (Grid Capacity) ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2558 ทั้งนี้ให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานดำเนินการแจ้งมติของที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ทราบทันที
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 06 พฤศจิกายน 55
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 15 ตุลาคม 55
รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 09 ตุลาคม 55
กบง. ครั้งที่ 5 - วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5)
วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.30 น.
2. แนวทางการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
3. การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี กรรมการและเป็นประธานที่ประชุม
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ เป็นกรรมการและเลขานุการ(แทน)
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบกรอบและแนวทางในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้ (1) ราคาพลังงานต้องสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง (2) ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ขนส่งแต่ละประเภทควรจะมีอัตราภาษีสรรพสามิตที่ใกล้เคียงกัน (3) กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและส่งเสริมพลังงานทดแทน (4) ลดการชดเชยข้ามประเภทเชื้อเพลิง (5) ค่าการตลาดควรอยู่ในระดับที่เหมาะสม (6) ช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และ (7) เก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละประเภทในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ตามค่าความร้อน
2. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วลงให้เท่ากับภาษีสรรพสามิตน้ำมันและภาษีเทศบาลที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับ 2.75 บาทต่อลิตร (ภาษีสรรพสามิตน้ำมันปรับเพิ่ม 2.50 บาทต่อลิตร และภาษีเทศบาลปรับเพิ่ม 0.25 บาทต่อลิตร) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2557 ซึ่งในวันที่ 17 ธันวาคม 2557 ได้มีการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็วเพิ่มขึ้น จาก 0.75 บาทต่อลิตร เป็น 3.25 บาทต่อลิตร และภาษีเทศบาลเพิ่มขึ้นจาก 0.075 บาทต่อลิตร เป็น 0.325 บาทต่อลิตร รวมภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาล ปรับเพิ่ม 2.75 บาทต่อลิตร ในขณะที่กองทุนน้ำมันฯ ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนลง 2.75 บาทต่อลิตร จาก 4.50 บาทต่อลิตร เป็น 1.75 บาทต่อลิตร ซึ่งจะเห็นว่าภาษีสรรพสามิตและภาษีเทศบาลที่ปรับขึ้นเท่ากับเงินกองทุนฯ ที่ปรับลดลง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เปลี่ยนแปลง
3. ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 10 ภายใต้บังคับมาตรา 11 วรรคสอง มาตรา 12 วรรคสอง และมาตรา 13 ความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษี ระบุว่ากรณีสินค้า ที่ผลิตขึ้นในราชอาณาจักร ถ้าสินค้าอยู่ในโรงอุตสาหกรรม ให้ถือว่าความรับผิดในอันจะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น ในเวลาที่นําสินค้าออกจากโรงอุตสาหกรรม ดังนั้น จากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2557 น้ำมันดีเซลที่ค้างอยู่ในโรงอุตสาหกรรมซึ่งได้เสียภาษีสรรพสามิตในอัตรา 0.75 บาทต่อลิตร ภาษีเทศบาลในอัตรา 0.075 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันฯ ในอัตรา 4.50 บาทต่อลิตร แล้ว เมื่อนำออกจาก โรงอุตสาหกรรม ตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2557 จะต้องเสียภาษีในอัตราใหม่ คือ ภาษีสรรพสามิตในอัตรา 3.25 บาทต่อลิตร ภาษีเทศบาลในอัตรา 0.325 บาทต่อลิตร และกองทุนน้ำมันฯ ในอัตราเดิมที่ 4.50 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ผู้ผลิตต้องรับภาระส่วนต่างในอัตรา 2.75 บาทต่อลิตร ปัจจุบันมีผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน 6 ราย มีหนังสือถึงกระทรวงพลังงานเพื่อขอให้พิจารณาแนวทางบรรเทาผลกระทบจากการขาดทุนปริมาณน้ำมันคงเหลือ โดย ในเบื้องต้น มีประมาณปริมาณน้ำมันคงเหลือรวมจำนวน 745.01 ล้านลิตร และมีภาระขาดทุนรวมประมาณ 2,048.77 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
ที่ประชุมรับทราบ
เรื่อง แนวทางการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2557 มีมติเห็นชอบ แนวทางการปรับโครงสร้างก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) โดยให้ยกเลิกการกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของโรงแยก ก๊าซธรรมชาติ ที่ระดับ 332.7549 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และมอบหมายให้คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) รับไปกำหนดราคา ณ โรงกลั่นของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม กำหนดราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซปิโตรเลียมเหลวสำหรับการใช้ประเภทต่างๆ ให้อยู่ในระดับเดียวกัน และปรับเงินจ่ายเข้า/ออกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีค่าใกล้ศูนย์ โดยมอบหมายให้ กบง. รับไปดำเนินการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ต่อไป
2. แนวทางการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG มีดังนี้
2.1 ราคาก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติ: เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2552 กบง. เห็นชอบให้กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ทำในราชอาณาจักรและนำเข้ามาเพื่อใช้ในราชอาณาจักรอยู่ที่ระดับ 332.7549 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติต้องจำหน่ายก๊าซ LPG สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงที่ราคา 332.7549 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แต่ต้นทุนการผลิตก๊าซ LPG ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติในปัจจุบันอยู่ที่ 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ทำให้โรงแยกก๊าซธรรมชาติต้องแบกรับต้นทุนส่วนต่างที่ประมาณ 165 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน แนวทางดำเนินการคือเสนอให้ ปรับราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติให้สะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริงในปัจจุบันที่ระดับ 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
2.2 ราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่นน้ำมัน: เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 กบง. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG ของโรงกลั่น เท่ากับ (0.24 x 333) + (0.76 x CP) มีหน่วยเหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยใช้ราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เป็นตัวแทนต้นทุนก๊าซ LPG ของโรงกลั่นน้ำมัน แนวทางดำเนินการคือ เสนอให้ปรับราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันให้สะท้อนราคาตลาดโลกมากขึ้น โดยอ้างอิงราคา ก๊าซ LPG ตลาดโลกลบด้วยค่าขนส่งจากประเทศไทยไปจีนใต้ (CP - 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน)
2.3 ราคาก๊าซ LPG นำเข้า: เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2556 กบง. มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซ LPG นำเข้าเท่ากับ (CP + Premium + ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ) มีหน่วยเหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน โดยที่ CP เท่ากับ ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบีย เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปนกับ บิวเทนที่ 60 ต่อ 40 ณ เดือนที่มีการนำเข้า Premium เท่ากับ ค่าขนส่งและค่าธรรมเนียม ณ เดือนที่นำเข้า และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ได้แก่ Insurance, Loss, Demurrage, Import duty, Surveyor / witness fee & Lab, expenses, Management Fee, Depot Operating Expenses และ Adjust Demurrage (ส่วนต่างระหว่างค่า Demurrage ที่เกิดขึ้นจริงกับค่าประมาณการของเที่ยวเรือก่อนหน้าที่สามารถเจรจาจนได้ข้อยุติแล้ว) โดยใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคาร แห่งประเทศไทยเฉลี่ยเดือนก่อนหน้าเดือนที่นำเข้า แนวทางดำเนินการคือ เสนอให้ปรับราคาก๊าซ LPG นำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ซึ่งประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายสำหรับขนส่งโดยเรือขนาด 44,000 ตัน เท่ากับ 70 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และค่าใช้จ่ายสำหรับคลังนำเข้าเท่ากับ 15 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
2.4 การกำหนดราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (LPG Pool) เพื่อให้ราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักสะท้อนต้นทุนการจัดหาก๊าซ LPG ของประเทศ จึงกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG เท่ากับ [0.48 x 498] + [0.25 x (CP -20)] + [0.27 x (CP + 85)] โดยที่ CP เท่ากับ ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียรายเดือนเป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปนกับบิวเทนที่ 60 ต่อ 40 อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยเดือนก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนแบ่งตามแหล่งจัดหาได้ดังนี้ (1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ปริมาณการจัดหา 299 พันตันต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 48 (2) โรงกลั่นน้ำมัน ปริมาณการจัดหา 155 พันตัน ต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 25 และ (3) นำเข้า ปริมาณการจัดหา 172 พันตันต่อเดือน คิดเป็นร้อยละ 27 จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว ราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ของเดือนมกราคม 2558 จะเท่ากับ 488 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน หรือ 16.1156 บาทต่อกิโลกรัม (คิดจากราคา CP เดือนมกราคม 2558 ที่ 443 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยเดือนธันวาคม 2557 เท่ากับ 33.0459 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
2.5 แนวทางการบริหารจัดการราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ให้เป็นราคาเดียวกัน ให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการบริหารจัดการ โดยแหล่งจัดหาใดที่มีต้นทุนการจัดหาต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่นของ ก๊าซ LPG เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ตามส่วนต่าง และแหล่งจัดหาใดที่มีต้นทุนการจัดหาสูงกว่าราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG เฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก จะได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันฯ ตามส่วนต่าง
2.6 เปรียบเทียบโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ก่อนและหลังปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG พบว่ากองทุนน้ำมันฯจะมีรายรับลดลงประมาณ 70 ล้านบาทต่อวัน จากเดิม 76 ล้านบาทต่อวัน เป็น 6 ล้านบาทต่อวัน โดยจำนวนเงินดังกล่าวนำไปใช้ในการปรับราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool)
3. ฝ่ายเลขานุการฯ ขอเสนอดังนี้ (1) ยกเลิกการกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรม ให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 และยกเลิกการกำหนดราคา ขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตามมติ กบง. เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 (2) กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซให้ผู้บรรจุก๊าซหรือร้านค้าก๊าซเพื่อจำหน่ายต่อให้ภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ 5.64 บาทต่อกิโลกรัม ตั้งแต่วันที่ 1 - 27 มกราคม 2558 เพื่อให้ราคาขายปลีกก๊าซ LPG อยู่ที่ 24.16 บาทต่อกิโลกรัม (3) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน กำหนดราคาก๊าซ LPG นำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน กำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก (LPG Pool) เท่ากับ [0.48 x 498] + [0.25 x (CP -20)] + [0.27 x (CP + 85)] กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯสำหรับก๊าซ LPG ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในอัตรา 0.8203 บาทต่อกิโลกรัม ให้ใช้กองทุนน้ำมันฯ เป็นกลไกในการบริหารจัดการราคา ณ โรงกลั่นของก๊าซ LPG ให้เป็นราคาเดียวกัน โดยมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป และมอบหมายให้ ปตท. รับผิดชอบโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน (ครัวเรือนรายได้น้อย) ทั้งหมด ทั้งนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2558 และ (4) มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศ กบง. ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป
มติของที่ประชุม
1. เห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคอุตสาหกรรมให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมัน ตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2555 และ ยกเลิกการกำหนดราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนและภาคขนส่งให้เป็นไปตามต้นทุนโรงกลั่นน้ำมันตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2557 โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558
2. เห็นชอบการกำหนดผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่ได้จำหน่ายก๊าซให้กับผู้บรรจุก๊าซหรือร้านค้าก๊าซ เพื่อจำหน่ายต่อให้กับภาคครัวเรือน ภาคขนส่ง และภาคอุตสาหกรรม ต้องส่งเงินเข้ากองทุน 5.64 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558
3. เห็นชอบให้ยกเลิกการกำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ก๊าซโปรเปน และก๊าซบิวเทนที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือโรงแยกก๊าซธรรมชาติ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในโรงอุตสาหกรรมเคมีปิโตรเลียม 1 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558
4. เห็นชอบการกำหนดราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา ดังนี้
(1) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ณ ระดับราคา 498 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
(2) กำหนดราคาก๊าซ LPG ที่ผลิตจากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก เป็นราคาตลาดโลก (CP) ลบ 20 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน
(3) กำหนดราคาก๊าซ LPG จากการนำเข้า เป็นราคาตลาดโลก (CP) บวก 85 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน โดยที่ CP = ราคาประกาศเปโตรมิน ณ ราสทานูรา ซาอุดิอาระเบียของเดือนนั้น เป็นสัดส่วนระหว่างโปรเปน กับ บิวเทน 60 ต่อ 40ทั้งนี้ ราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกเดือน และมีการทบทวนราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหาทุก 3 เดือน
5. เห็นชอบการกำหนดหลักเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และ นำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนักตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน เท่าที่มีการรายงานจากกรมธุรกิจพลังงาน โดยที่อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารพาณิชย์ขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย เฉลี่ยเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ปริมาณการผลิตก๊าซ LPG จากโรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติกไม่รวมที่ใช้เองเป็นเชื้อเพลิง และในส่วนของการนำเข้าจะครอบคลุมเฉพาะปริมาณก๊าซ LPG จากการนำเข้าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนใช้อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยที่ธนาคารขายให้ลูกค้าธนาคารทั่วไป ที่ประกาศ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยเฉลี่ยเดือนก่อนหน้า (บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ)
6. ใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นกลไกในการบริหารจัดการราคา ณ โรงกลั่นซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ให้เป็นราคาเดียวกัน โดยให้ผู้ผลิตหรือผู้จัดหาก๊าซ LPG ที่มีต้นทุนสูงกว่าราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ได้รับเงินชดเชย ในทางกลับกันผู้ผลิตหรือผู้จัดหาก๊าซ LPG ที่มีต้นทุนต่ำกว่าราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามปริมาณการผลิตและการจัดหา โดยมอบหมายให้สถาบันบริหารกองทุนพลังงานรับไปดำเนินการต่อไป
หลักเกณฑ์การคำนวณอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมัน = ราคาก๊าซ LPG เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก- ราคาต้นทุนจากแหล่งผลิตหรือแหล่งจัดหา
7. ขอความร่วมมือให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบโครงการบรรเทาผลกระทบจากการปรับราคาขายปลีกก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน (ครัวเรือนรายได้น้อย) ทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2558 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีแนวทางอื่นมาทดแทน
8. มอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานให้มีผลบังคับใช้ต่อไป โดยการออกประกาศในแต่ละเดือนต้องออกภายใน 5 วันทำการแรกของเดือนนั้น
เรื่อง การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
สรุปสาระสำคัญ
1. กบง. ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2557 ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 ขึ้น 0.30 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร ส่งผลให้ ค่าการตลาดของน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 และน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 24 ธันวาคม 2557 อยู่ที่ 1.8498 และ 1.6876 บาทต่อลิตร ตามลำดับ
2. จากสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 6 มกราคม 2558 เมื่อเปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดโลก ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2557 พบว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบ น้ำมันเบนซิน 95 และน้ำมันดีเซลปรับตัวลดลง มาอยู่ที่ระดับ 48.70 59.82 และ 66.31 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ตามลำดับ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราวันที่ 6 มกราคม 2558 อยู่ที่ 33.1006 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลง 0.1057 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และราคา ไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันของวันที่ 7 มกราคม 2558 อยู่ที่ 34.86 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 1.32 บาทต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 23 ธันวาคม 2557 ทั้งนี้เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2557 ผู้ค้าน้ำมันได้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันแก๊สโซฮอล 95E10 และ E20 ลง 0.30 บาทต่อลิตร และเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2558 ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินลง 0.80 บาทต่อลิตร น้ำมันแก๊สโซฮอลลง 0.50 บาทต่อลิตร ยกเว้น E85 ปรับลง 0.20 บาทต่อลิตร และน้ำมันดีเซลปรับลง 0.50 บาทต่อลิตร จากราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซล ณ วันที่ 7 มกราคม 2558 อยู่ที่ 2.3703 บาทต่อลิตร ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า ค่าการตลาดที่เหมาะสม
3. เพื่อให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ในระดับที่เหมาะสม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงขอเสนอปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ค่าการตลาดของน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 1.7703 บาทต่อลิตร ส่งผลให้กองทุนน้ำมันฯ มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 31.61 ล้านบาท หรือ 948 ล้านบาทต่อเดือน จากมีรายรับ 6,567 ล้านบาทต่อเดือน เป็นมีรายรับ 7,516 ล้านบาทต่อเดือน ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 4 มกราคม 2558 มีทรัพย์สินรวม 29,022 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 11,401 ล้านบาท โดยมีฐานะสุทธิเป็นบวก 17,622 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้ปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลหมุนเร็วขึ้น 0.60 บาท ต่อลิตร จาก 2.45 บาทต่อลิตร เป็นส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่อัตรา 3.05 บาทต่อลิตร โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2558 เป็นต้นไป
กบง. ครั้งที่ 5 - วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558
มติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน
ครั้งที่ 5/2558 (ครั้งที่ 5)
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 10.00 น.
โครงสร้างราคาก๊าซ LPG เดือนมิถุนายน 2558
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นประธานที่ประชุม
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน นายชวลิต พิชาลัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
เรื่อง รายงานการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเดือนเมษายน 2558
สรุปสาระสำคัญ
1. คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในการประชุมเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2558 เห็นชอบ การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG โดยใช้ต้นทุนจากแหล่งผลิตและแหล่งจัดหา (โรงแยกก๊าซธรรมชาติ โรงกลั่นน้ำมันเชื้อเพลิงและโรงอะโรเมติก และการนำเข้า) เฉลี่ยแบบถ่วงน้ำหนัก ตามปริมาณการผลิตและจัดหาเฉลี่ยย้อนหลัง 3 เดือน โดยราคาก๊าซ LPG ตลาดโลก (CP) เดือนเมษายน 2558 อยู่ที่ 419 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน 50 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนพฤษภาคม 2558 อยู่ที่ 33.7056 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงจากอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยเดือนเมษายน 2558 ที่ 1.0479 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น ซึ่งเป็นราคาซื้อตั้งต้นของก๊าซ LPG (LPG Pool) ปรับลดลง 0.3233 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิม 16.1202 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 15.7969 บาท ต่อกิโลกรัม
2. จากราคาก๊าซ LPG Pool ของเดือนมิถุนายน 2558 ที่ปรับลดลง 0.3233 บาทต่อกิโลกรัม ฝ่ายเลขานุการฯ จึงเสนอให้ปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของก๊าซ LPG เป็น 3 แนวทาง ดังนี้ (1) คงอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่ 0.6287 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง 0.3459 บาทต่อกิโลกรัม จาก 23.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.61 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนมีรายรับ 218 ล้านบาทต่อเดือน (ชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค 70 ล้านบาทต่อเดือน) (2) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่ 0.1644 บาทต่อกิโลกรัม และราคาขายปลีกลดลง 0.17 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้อัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG เพิ่มขึ้นจาก 0.6287 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 0.7931 บาท ต่อกิโลกรัม และราคาขายปลีกลดลงจาก 23.96 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 23.79 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะทำให้กองทุนฯ มีรายรับ 275 ล้านบาทต่อเดือน (ชดเชยค่าขนส่งไปยังคลังภูมิภาค 70 ล้านบาทต่อเดือน) และ (3) เพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ที่ 0.3233 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ราคาขายปลีกคงเดิมที่ 23.96 บาทต่อกิโลกรัม ทั้งนี้ ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของก๊าซ LPG ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2558 มีฐานะกองทุนสุทธิ 6,944 ล้านบาท
มติของที่ประชุม
เห็นชอบให้กำหนดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนสำหรับก๊าซ LPG ที่ผลิตในราชอาณาจักรกิโลกรัมละ 0.952 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานรับไปดำเนินการออกประกาศคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2558 เป็นต้นไป