- นโยบายและแผน
- คำแถลงนโยบายด้านพลังงานของรัฐบาล
- นโยบายด้านพลังงานของกระทรวงพลังงาน
- ยุทธศาสตร์กระทรวงพลังงาน
- แผนแม่บทพลังงาน
- แผนบูรณาการพลังงานระยะยาว (TIEB)
- ยุทธศาสตร์สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน
- แผนปฏิบัติราชการรายปี และแผนปฎิบติราชการระยะ 5 ปี
- การติดตามและประเมินผล
- ความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Sectoral Approach: SA
Sectoral Approach: SAตั้งแต่อนุสัญญาฯ ถูกรับรองขึ้นและประกาศพิธีสารเกียวโต มาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมุ่งเน้นการจัดการในรูปแบบ Country-specific Quantitative Approach คือการกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แต่ละประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศจะไปกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละสาขาการผลิตเอง ในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งถูกจำกัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาคการผลิตใดที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าระดับเป้าหมายที่กำหนดไว้ สามารถนำเอา Carbon Credit ไปซื้อขายในตลาดการค้าคาร์บอนได้แต่แนวคิดหนึ่งของการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกใหม่หลังหมดพันธกรณีแรกของพิธีสารเกียวโต โดยมีแนวคิดการลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการพิจารณาแยกตามรายสาขาการผลิตหรือบริการต่างๆ ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าสาขาทั่วไป เช่นสาขาโรงงานเหล็ก โรงงานปูนซีเมนต์ อุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน หรืออุตสาหกรรมด้านพลังงาน เป็นต้น โดยใน COP 16 นั้น ไม่ได้มีวาระและการเจรจาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับมาตรการในส่วนนี้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นที่ปรึกษาจะสรุปรายละเอียดตามการเจรจาล่าสุดของ AWG-LCA 10 ดังนี้
แนวทาง Cooperative Sectoral และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขาควร (should) สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องและหลักการที่กำหนดไว้ในอนุสัญญาฯ [โดยเฉพาะหลักการรับผิดชอบร่วมกันแต่แตกต่างกัน] [และอาจจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศภาคีที่จะสำรวจแนวทาง (Measures) และข้อปฎิบัติ (Actions) เหล่านี้ต่อไป] [ที่ซึ่งการจำกัดการปล่อยก๊าซฯ และการลดการปล่อยก๊าซฯ ที่ไม่ได้ถูกควบคุมภายใต้พิธีสารมอนทรีออล อันเนื่องมาจากเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการบิน (Aviation) และเชื้อเพลิงที่ใช้สำหรับการขนส่งโดยเรือ (Marine Bunker Fuels) ควร (should) ได้รับการดำเนินการต่อไปผ่านทาง International Civil Aviation Organization สำหรับการบิน และ the International Maritime Organization สำหรับภาคการขนส่งโดยเรือ [โดยคำนึงถึงหลักการและข้อกำหนดที่ระบุไว้ในอนุสัญญาฯ] [ในอัตราการลดที่สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในระดับโลก ที่ระบุไว้ในหัวข้อวิสัยทัศน์ระยะยาวร่วมกัน ที่กล่าวไว้ในข้างต้นของร่างเอกสารการเจรจาฉบับนี้] ประเทศภาคีต้อง (shall) สืบสานแนวทางรายสาขา และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขา เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามที่ระบุไว้ในมาตราที่ 4.1 (c) ของอนุสัญญาฯในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาขาการผลิตภาคเกษตรกรรมดังที่ระบุไว้ในเอกสาร FCCC/AWG-LCA/2010/6 โดยสาระสำคัญที่ระบุไว้ในเอกสารที่กล่าวถึงคือ การดำเนินการตามแนวทาง Cooperative Sectoral และข้อปฎิบัติที่เฉพาะเจาะจงตามรายสาขาในภาคเกษตรกรรม ควรพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างการเกษตรกรรมและความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ความเชื่อมโยงระหว่างการปรับตัวและการลด กับความจำเป็นในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงทางอาหารจาการใช้แนวทางและข้อปฎิบัติเหล่านั้น โดยทุกประเทศภาคีได้ตัดสินใจบนหลักการความรับผิดชอบร่วมกันแต่แตกต่างกัน ที่ควร (should) ร่วมมือกันในด้านการค้นคว้าวิจัย พัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี, วิธีปฎิบัติ (Practices) และกระบวนการ (Process) ที่ควบคุม ลด และป้องกันการปล่อยก๊าซเรือนกระจก, การเพิ่มประสิทธิภาพและการเพิ่มผลผลิตในภาคเกษตรกรรมตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ซึ่งสามารถสนับสนุนการปรับตัวต่อความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นการสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารด้วยเช่นกันการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสาขาการผลิตเป็นกรอบแนวคิดมากกว่าแนวทางนโยบายใดแนวทางนโยบายหนึ่ง ตั้งแต่อนุสัญญาฯ ถูกจัดตั้งขึ้น และประกาศใช้พิธีสารเกียวโต แนวทางนโยบายบรรเทาภาวะโลกร้อนมุ่งเป้าไปที่แนวทางองค์รวมของแต่ละประเทศ (comprehensive approach) ทางอนุสัญญาฯ ตั้งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้แต่ละประเทศ แล้วรัฐบาลประเทศเหล่านั้นกระจายความรับผิดชอบไปให้แต่ละสาขาการผลิตภายในประเทศตัวเอง กรณีนี้มีชื่อเรียกคือ Country-specific Quantitative Approach ซึ่งก็ถือเป็น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายสาขาการผลิตรูปแบบหนึ่ง (รศ. ดร. นิรมล สุธรรมกิจ, 2553) แนวทางที่น่าสนใจอีกแนวทางหนึ่งคือ Transnational Quantitative Sectoral Approach เป็นความร่วมมือกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับนานาชาติ โดยการกำหนดระดับการปล่อยของแต่ละสาขาการผลิต คุณประโยชน์หลักๆ ของแนวทางฯ ในแต่ละสาขาการผลิตแบบนี้คือผู้ประกอบการในประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่ได้ถูกผูกมัดตามพิธีสารเกียวโตก็สามารถมีส่วนร่วมได้การเจรจาสามารถทำได้โดยง่าย เนื่องจากแต่ละผู้เจรจาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประกอบการในสาขาเดียวกันช่วยลดปัญหาช่องว่างของการแข่งขันอันเกิดจากนโยบายสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมมาตรระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนา อันจะนำไปสู่การรั่วไหลของคาร์บอน (Carbon Leakage)อย่างไรก็ดี คุณสมบัติของสาขาการผลิตที่เหมาะสมกับนโยบายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรูปแบบนี้ควรจะต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาลและมีศักยภาพที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
ข้อมูล: บริษัทอีอาร์เอ็ม-สยาม จำกัด